บทที่ 8
ไป๋สิงเจี่ยนถามถึงหลักฐาน “จะยืนยันตัวไก่ได้อย่างไร”
ตันชิงบอกเล่าถึงสิ่งที่ได้ฟังมา “เจ้าไก่ชนตัวนี้ขนทั้งตัวเขียวบริสุทธิ์ดั่งสีมรกต มีความมันเงาอย่างผ้าต่วน บนหลังมีขนอ่อนแซมด้วยสีขาวจนเห็นเป็นนอกสีดำในสีขาว ส่วนท้ายมีขนหางยาวสี่เส้นสีดำขาวสลับกัน แล้วยังมีปีกสองข้างสีขาว เหมือนไก่ตัวที่องค์หญิงทรงจับมาทุกประการพ่ะย่ะค่ะ”
ฉืออิ๋งรีบเอ่ยแก้ว่า “เป็นเสี่ยวเมิ่งจับมา”
“…” เสี่ยวเมิ่งผู้น่าสงสารพูดอะไรไม่ออก
ทั้งสี่คนจ้องไปที่ ‘อูอวิ๋นไก้เสวี่ย’ ที่ถูกถอนขนเรียบร้อยในจานอาหาร พร้อมกับนึกภาพตอนที่มันเป็นนักสู้ในสนามแข่งและเป็นที่ยกย่องโดยทั่วกัน…
ตอนนี้กลับกลายเป็นเนื้อไก่ที่อยู่ในจานซึ่งไม่มีใครอยากพูดถึง
ไป๋สิงเจี่ยนผ่านเรื่องราวในแวดวงขุนนางมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร เขาจึงพูดแจกแจงสิ่งที่ต้องทำออกมาได้ในทันที “นำขนไก่ที่มีทั้งหมดและเนื้อไก่ในจานนี้ไปฝังรวมกันที่ใต้ต้นอิงเถา เลือดไก่ในห้องครัวใช้น้ำล้างให้สะอาด รอยขาไก่บนกำแพงใช้ฝุ่นโรยปิดไปด้วย เมื่อมีคนเคาะประตูให้ถามฐานะของผู้มาเสียก่อน แจ้งเขาไปว่าที่นี่เป็นบ้านของหัวหน้าสำนักหลันไถ ห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการค้นบ้านจริงๆ ต้องแสดงป้ายคำสั่งของจวนว่าการเมือง”
ฉืออิ๋งตกตะลึงกับสิ่งที่เขาจัดแจงออกมารวดเดียว “ต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ก็บอกไปว่ารัชทายาทกินเจ้าไก่ชนตัวนั้นไปสิ หรือต้องให้ข้าชดใช้ด้วยเงิน”
“ในเมื่อยังไม่ทราบฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไยต้องเปิดเผยพระองค์เองด้วยเล่า” ไป๋สิงเจี่ยนจัดการเรื่องอย่างรัดกุมและระมัดระวัง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเงื่อนงำใดๆ ตอนนี้ถูกฉืออิ๋งโยนภาระให้ จึงได้แต่ต้องรับมือไปแบบนี้
“จะมีฐานะสูงส่งสักแค่ไหนกันเชียว” ฉืออิ๋งไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่
“สามารถสั่งปิดประตูเขตฟางได้ ขนาดเจ้าเมืองยังทำไม่ได้ แล้วนี่ยังเพื่อไก่ตัวเดียวเท่านั้น” ไป๋สิงเจี่ยนคิดอ่านล้ำลึก ฉับพลันก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา “เกรงว่าผู้สูงศักดิ์ผู้นี้จะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ารัชทายาท”
ฉืออิ๋งตระหนกขึ้นมา “ใครกัน”
ไป๋สิงเจี่ยนพอใจที่เห็นนางกระวนกระวายใจได้เสียที “ทรงคาดเดาดูพ่ะย่ะค่ะ”
ตันชิงกับเมิ่งกวงหย่วนทำตามที่ไป๋สิงเจี่ยนกำชับมา พวกเขารีบเร่งจัดการกับสถานที่เกิดเหตุและทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง ฉืออิ๋งย่อมไม่ได้ร่วมด้วย นางเพียงถือแป้งม้วนไส้อิงเถาชิ้นหนึ่งเดินกินไปพลางคอยชี้โน่นชี้นี่เพื่อชี้แนะการทำลายหลักฐานให้ทั้งสองคน
ไป๋สิงเจี่ยนอยู่ภายใต้แสงตะเกียงในบ้าน เขาพลิกอ่านการบ้านที่ฉืออิ๋งยืนยันจะยัดเยียดมาให้ได้ ชั่วขณะนั้นก็ต้องรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา นี่ไม่ใช่ที่เฟิ่งจวินทรงเขียนแทนแน่ แม้ว่าเฟิ่งจวินจะทรงเลียนแบบลายมือขององค์หญิงได้อย่างชำนาญแล้ว แต่บทความนี้เขียนเดินเรื่องได้ไม่ช้าไม่เร็ว ไม่ดูคล้ายกับที่เฟิ่งจวินผู้ร้ายกาจทรงเคยเรียบเรียง หากไม่ใช่ไป๋สิงเจี่ยนเคยเห็นแนวการเขียนบันทึกของฉืออิ๋งที่ห้องหนังสือควบห้องของเล่นนั่นมาแล้ว เกรงว่าเขาคงสงสัยว่านี่จะเป็นการบ้านที่เฟิ่งจวินเขียนแทนเหมือนเดิม เพียงแต่ฉืออิ๋งคัดลอกใหม่
เหตุใดปฏิบัติตัวได้เหลือจะรับเช่นนี้ ไป๋สิงเจี่ยนยกมือนวดหว่างคิ้ว
เสียงเคาะประตูรัวๆ มาเยือนพร้อมเวลาพลบค่ำ “มีคำสั่งจากทางการ เปิดบ้านให้ค้นด้วย!”
ไป๋สิงเจี่ยนได้ยินเสียงนี้ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพียงยกพู่กันป้ายหมึกแล้วเขียนวิจารณ์การบ้าน
เป็นเพราะคำขู่ของไป๋สิงเจี่ยน ฉืออิ๋งจึงไม่ค่อยเป็นสุขนักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางมองตามตันชิงไปรับหน้าที่ประตู เมื่อหันไปมองในบ้าน ยามนี้ไป๋สิงเจี่ยนกลับนิ่งและไม่รีบร้อน ในมือถือพู่กันเขียนอะไรสักอย่างโดยไม่ช้าไม่เร็ว แม้ยามป้ายหมึกก็ดูงามตาอ่อนโยน บิดาของนางเขียนไวดุจสายน้ำไหล ทว่าหัวหน้าสำนักหลันไถกลับเขียนอักษรได้อย่างอบอุ่นมุ่งมั่น คนหนึ่งแสวงหาความโดดเด่น คนหนึ่งกลับต้องการแค่ความเรียบง่าย
เหตุใดบุรุษจึงไม่เหมือนกันเล่า ฉืออิ๋งรู้สึกว่าบุรุษเข้าใจได้ยากเย็นยิ่ง
ตันชิงรับมือกับการตรวจค้นของหน่วยลาดตระเวนอย่างไม่หวาดหวั่น โดยทำตามที่ไป๋สิงเจี่ยนสั่งเอาไว้ ถามฐานะของผู้มา เมื่อหน่วยลาดตระเวนปิดบัง เขาจึงแจ้งให้ทราบว่าที่นี่เป็นเรือนของหัวหน้าสำนักหลันไถ แม้หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนจะรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หยุดการค้นหา ถึงกับแสดงป้ายคำสั่งของจวนว่าการเมืองแล้วฝ่าเข้าไปในบ้าน
หน่วยลาดตระเวนทำการค้นหาทุกซอกทุกมุม ทั้งยังคอยโปรยเมล็ดข้าวเป็นระยะ
ฉืออิ๋งเพียงมองพวกเขาทำงานที่ไร้ผลอย่างเงียบๆ
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเห็นสาวน้อยยืนอยู่ภายในบ้านด้วยคนหนึ่ง เขามีสีหน้าใจดีขณะเดินเข้าหา คลำที่ท้ายทอยนางหนูที่กินแป้งม้วนจนใบหน้าเปื้อนคราบผลไม้ “สาวน้อย เห็นไก่ที่ดูโดดเด่นตัวหนึ่งบ้างหรือไม่”
ฉืออิ๋งส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นเลย”
สาวน้อยคนนี้ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้างามน่าหลงใหล หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพลันรู้สึกตาพร่า มือที่คลำท้ายทอยเลื่อนมาที่ใบหน้า “จริงหรือ คงไม่หลอกพี่ชายใช่หรือไม่!”
“ข้าไม่หลอกท่านอาแน่นอน” ฉืออิ๋งกะพริบตาขึ้นลง ท่าทางดูน่ารักไร้เดียงสา
“สาวน้อย เจ้าเป็นอะไรกับเจ้าบ้านหรือ” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหลงใหล มือเขาค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปอีก “สาวใช้ คนรับใช้ ภรรยารอง คุณหนู?”
“นายหญิง” ดวงตาคู่นั้นของฉืออิ๋งแวววาวสดใสระยิบระยับ “เป็นที่รักยิ่งของไท่สื่อ”
มือของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพลันสั่นไหว เมื่อเห็นว่าที่ด้านหลังฉืออิ๋งมีคนยืนอยู่คนหนึ่งตรงประตู มือเขาก็ยิ่งสั่น ข้างนอกโกลาหลก็ไม่เห็นเจ้าบ้านปรากฏตัว คิดว่าอยู่แต่คนรับใช้ ในบ้านไม่มีคนอื่นเสียอีก ฉับพลันก็ปรากฏบุรุษที่ดูเย็นชาขึ้น หรือว่านี่คือ…
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนหดมือที่สั่นกลับไปยืนตรงอย่างสงบเสงี่ยม เขาประสานมือคารวะฉืออิ๋ง “ข้าน้อยคำนับไป๋ฮูหยิน!” แล้วต่อด้วยประสานมือไปยังด้านหลังฉืออิ๋ง “ข้าน้อยคำนับหัวหน้าสำนักหลันไถ”
ฉืออิ๋งพลันตระหนก อาจารย์ไม่ใช่เขียนอะไรอยู่ในห้องหรือ มาถึงด้านหลังข้าตั้งแต่เมื่อไร หันหลังไปมองก็เห็นไป๋สิงเจี่ยนยืนอยู่ที่ประตูอย่างเงียบเชียบจริงๆ แสงจากตะเกียงในห้องส่องออกมาทำให้เกิดแสงเรื่อเรืองขึ้นรอบตัวเขา คล้ายว่าเขายืนอยู่ในระหว่างพื้นที่มืดกับสว่าง
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนดูขาดความเชื่อมั่นกับคนที่อยู่ระหว่างพื้นที่สลัวนั้นยิ่ง เมื่อครู่เขาเพียงถูกสะกดจากแรงดึงดูดของสาวน้อยน่ารักไร้เดียงสาผู้นี้ จนไม่ทันพบว่าในระยะไม่กี่ฉื่อ มีคนมาถึงอย่างเงียบๆ ยิ่งไม่คิดว่าหัวหน้าสำนักหลันไถที่แผ่ไอเย็นเยือกประดุจหิมะบนยอดเขาสูงจะมีวาสนาถึงเพียงนี้ได้ ทำให้เขาทั้งนับถือทั้งอิจฉาจริงๆ ซึ่งตำแหน่งที่มีชื่ออย่างหัวหน้าสำนักหลันไถก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาจะไปถึงได้ ความต่างกันลิบลับนี้ราวฟ้ากับดิน ทำให้เขามีเม็ดเหงื่อซึมออกมาทั่วร่าง
ไป๋สิงเจี่ยนใช้สายตาเย็นชามองมาที่ตัวเขา ไม่อาจบรรยายถึงความเย็นเยือกยิ่งนี้เลย เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดต้องฝ่าเข้ามาในนี้ให้ได้ด้วย ได้รับการชี้แนะจากเบื้องบนให้ปิดถนนในย่านนี้ แล้วผู้บังคับบัญชายังกำชับมาเป็นพิเศษว่าในตรอกฉางเซิงมีคนผู้หนึ่งที่แม้แต่ตัวผู้บังคับบัญชาก็ยังไม่กล้าตอแย ต้องระวังตัวให้มาก แต่เขาอิงจากประสบการณ์แล้วเห็นว่าคนที่อาศัยอยู่ในตรอกฉางเซิงซึ่งดูไม่ใช่ที่ที่คนใหญ่โตอยู่ จะมีคนสำคัญได้อย่างไรกัน คิดว่าน่าจะมีแต่ครอบครัวที่คับแค้นหรือบัณฑิตยากจนเท่านั้น
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ค้นตามตรอกทุกตรอก ต้องค้นหาทุกบ้าน หากล่วงเกินไป ขอไท่สื่อโปรดให้อภัยด้วย ในเมื่อไม่พบร่องรอยอะไร ข้าน้อยขอตัวไปบ้านอีกหลังก่อน ขอลา!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนที่ชะตาแย่คิดอย่างเดียวว่าต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แม้ว่าสาวน้อยผู้นั้นจะทำให้เขารู้สึกเสียดายก็ตาม
เขาหันหน้าคิดจากไปอย่างเร่งรีบ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงเบาๆ เอ่ยถาม “ประตูเขตฟางปิดถึงกี่โมง”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนโล่งใจได้บ้าง ไท่สื่อยอมพูดด้วยแล้วก็ดี “จนกว่าจะพบของที่หายขอรับ”
ไป๋สิงเจี่ยนฟังจบแล้วก็ดูไม่ใส่ใจอะไรอีก หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก จะขอกล่าวลาอีกครั้ง หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าน้อยขอ…”
“รบกวนท่านสักครั้งได้หรือไม่” ไป๋สิงเจี่ยนในมือว่างเปล่า ไม่รู้ว่าไม้เท้าหล่นพื้นไปตั้งแต่เมื่อไร เขาใช้สายตาบอกแทนคำพูด
“มิกล้า มิกล้า!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคิดหลบออกไปหลายครั้งแต่ไม่ได้เสียที เขาจึงคิดรีบจบรีบไป เดินหน้าหลายก้าว ก้มตัวลงหยิบไม้เท้าบนพื้นขึ้นมาส่งให้
ไป๋สิงเจี่ยนยกแขนเสื้อยาวสีเทาดำที่เป็นแบบเรียบง่ายขึ้น มือเรียวเล็กขาวซีดข้างหนึ่งยื่นออกมารับเอาไม้เท้าไว้ ค่อยๆ วางค้ำบนพื้น “รบกวนแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวลา!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเกิดกลัวว่าหัวหน้าสำนักหลันไถจะมีเรื่องให้ช่วยอีก
“ส่งแขก” ไป๋สิงเจี่ยนไม่รู้ว่าตนเองพูดคำพูดที่ดูไร้ความรู้สึกนี้กับใคร
“ไม่ต้องๆ” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนบอกให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากลับ
ใบหน้าของบรรดาหน่วยลาดตระเวนต่างรู้สึกโชคร้ายที่ไม่อาจหาของมีค่าได้ตามทางที่มา สนใจอะไรกับหัวหน้าสำนักหลันไถ จนยิ่งกว่าจน แปลงผักในบ้านถูกเหยียบย่ำ ต้นอ่อนถูกหัก อิงเถาที่เด็ดติดมือมาเกลื่อนไปทั่วพื้น อย่างไรเสียนี่ก็เป็นงานของทางการ โทษพวกเขาไม่ได้
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนได้แต่ทำเป็นไม่เห็น นำกองกำลังที่เหมือนกองโจรออกมา ก่อนจะถูกเสียงประตูดังปังทำให้ตกใจจนเหงื่อซึมทั้งร่าง
“พี่น้องเราเสียแรงอยู่ครึ่งคืน มารดามันสิ!”
“จนได้ขนาดนี้ก็ไม่ค่อยเคยเห็น ให้ตายเถอะ!”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนบ่นกันอย่างขุ่นเคือง ในนั้นมีคนตาแหลมผู้หนึ่งเห็นสีหน้าของหัวหน้าไม่ค่อยสู้ดี
“หัวหน้า ร้อนหรือขอรับ เหตุใดท่านจึงเหงื่อไหลมากเพียงนี้”
“หัวหน้า มือของท่าน…”
หัวหน้าที่เหงื่อไหลโซมกายยกมือขึ้นดู ฝ่ามือเขาดำไปแถบหนึ่ง มีอาการเจ็บราวถูกเข็มแทง แล้วก็เกิดอาการคัน สุดท้ายทั้งเจ็บทั้งคัน จนแทบทนไม่ไหว
“โอ๊ย!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเอามือทุบกับกำแพงหิน แต่ก็ไม่อาจหยุดอาการเจ็บๆ คันๆ นี้ได้ เหงื่อที่ไหลออกมาไม่ขาดสายก็หาใช่เหงื่อที่มาจากความตกใจ
ที่กลางบ้านมีแสงจันทร์ส่องลงมา เมื่อตอนที่ตันชิง เมิ่งกวงหย่วน และฉืออิ๋งเห็นสภาพของในบ้านเกลื่อนกลาดไปหมดก็รู้สึกโกรธเคือง ก่อนจะต้องตกใจกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังมาจากนอกกำแพงสูง
ฉืออิ๋งตกใจมากจนต้องเกาะไปที่แขนเมิ่งกวงหย่วน “มีหมาป่า?”
เมิ่งกวงหย่วนยืดอกขึ้น “มีกระหม่อมอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”
ตันชิงส่ายหน้า “ฟังเหมือนมีคนได้รับบาดเจ็บ”
ไป๋สิงเจี่ยนยืนอยู่ที่ประตู ลมกลางคืนพัดมาที่แขนเสื้อ เผยให้เห็นว่าที่ด้ามไม้เท้ามีผ้าไหมบางสีขาวหุ้มไว้ ใบหน้าของเขาอยู่ในเงามืด เป็นที่ที่แสงจันทร์ส่องไปไม่ถึง
ฉืออิ๋งอยากรู้นักว่าอาจารย์กลัวหมาป่าหรือไม่ และมีมุมมองต่อหมาป่าที่บาดเจ็บอย่างไร นางหันหน้าไปมอง เนื่องจากแสงของจันทร์ส่องเข้าที่ตานางพอดี จึงยากที่จะสัมผัสถึงมุมมืดนั้น ชั่วครู่กว่าจะรู้ว่าไป๋สิงเจี่ยนถอยไปอยู่ในเงามืดแล้ว กระนั้นก็ไม่อาจเห็นชัดถึงความรู้สึกของเขา เหมือนว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นตลอด เพียงแต่นางมองไม่เห็น
ตันชิงลงมือเก็บกวาดบ้าน เมิ่งกวงหย่วนช่วยทำด้วย ฉืออิ๋งเพียงวางเฉยไม่รับรู้ ทั้งสามจึงตัดเรื่องหมาป่าบาดเจ็บออกไปจากความคิด เนื่องจากเสียงร้องโหยหวนนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ แล้ว สรุปว่าไม่ใช่เรื่องหมาป่าคุกคามอะไร
ฉืออิ๋งมีเรื่องที่จะเอ่ยร้องขอไป๋สิงเจี่ยน นางกำลังใคร่ครวญว่าจะเอ่ยปากขออย่างไร อาศัยตอนที่ตันชิงและเมิ่งกวงหย่วนกำลังยุ่งกับงานในบ้าน นางจึงตัดสินใจว่าต้องไปพูดกับเขาในตอนนี้
ฉืออิ๋งแสร้งทำเป็นอารมณ์ผ่อนคลาย ค่อยๆ เดินไปทางไป๋สิงเจี่ยน ไป๋สิงเจี่ยนเหมือนว่ายืนจนเหนื่อยแล้วจึงหมุนตัวกลับเข้าบ้าน ทิ้งเงาด้านหลังที่เยือกเย็นเงียบเชียบไว้ให้นาง ฉืออิ๋งรีบตามเข้าไปในบ้าน เดินตามไปจนถึงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือของเขา
“ประตูเขตฟางปิดลง คืนนี้องค์หญิงเสด็จกลับวังไม่ได้ ข้าให้ตันชิงเตรียมห้องให้แล้ว องค์หญิงทรงทนอยู่สักคืนหนึ่งเถิด” ไป๋สิงเจี่ยนนั่งหลังโต๊ะ หยิบพู่กันป้ายหมึก ไม่แม้แต่จะมองฉืออิ๋ง เพียงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฉืออิ๋งไม่ได้กังวลเรื่องปัญหาการพักค้างคืนสักนิด ข้อศอกสองข้างของนางวางลงบนโต๊ะ เผยท่าทางเกียจคร้านขณะถามไป๋สิงเจี่ยนขึ้นว่า “อาจารย์ ในบันทึกของท่านได้เขียนเรื่องโต้วเปาเอ๋อร์แอบซ่อนองค์หญิงแคว้นเหยาอย่างลับๆ หรือไม่”
“องค์หญิงยังทรงคิดสอบถามเรื่องบันทึกอีกหรือ” ไป๋สิงเจี่ยนยังคงไม่เงยหน้ามอง ทั้งคำพูดที่ย้อนถามกลับมาก็แฝงไว้ซึ่งการข่มขู่และกดดัน
“ไม่นะ! อาจารย์อย่าได้คิดมากไป!” ฉืออิ๋งรีบร้อนปฏิเสธ นางจ้องมองพู่กันในมือของไป๋สิงเจี่ยนแล้วเอ่ยเยินยอ “พู่กันของอาจารย์ด้ามนี้ไม่ใช่ของธรรมดาแน่ ด้ามพู่กันถูจนมันเงา ขนก็ยังไม่หลุดร่วง เห็นได้ชัดว่าสายตาของอาจารย์เหนือธรรมดา!”
ไป๋สิงเจี่ยนทนฟังคำเยินยอที่ปากกับใจไม่ตรงกันนี้แล้วจึงเอ่ยตัดบทด้วยการเข้าเรื่อง “องค์หญิงใช่มีพระประสงค์จะให้กระหม่อมช่วยพูดให้องค์ชาย?”
ฉืออิ๋งยื่นหน้ามาถาม “อาจารย์ยอมตกลงใช่หรือไม่”
“เหตุใดกระหม่อมต้องตกลง” ไป๋สิงเจี่ยนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“เพราะว่า…” ฉืออิ๋งเค้นความคิดโต้ตอบ “เพราะว่าข้าจับไก่มาเพิ่มเป็นอาหารให้อาจารย์ ท่านกินน่องไก่ของข้าไปหนึ่งน่อง!”
“องค์หญิงเสวยอิงเถาในบ้านกระหม่อมไปครึ่งต้น แป้งม้วนไส้อิงเถาอีกเกินครึ่งกระจาด” ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยโต้กลับมา “เพราะองค์หญิงทรงจับไก่มา จึงได้ชักนำหน่วยลาดตระเวนให้มาเหยียบย่ำในบ้าน”
ฉืออิ๋งถูกโต้กลับมาจนพ่ายแพ้ นางอับอายจนเคืองโกรธ แย่งเอาพู่กันในมือของเขามาลากเส้นยาวบนโต๊ะ แล้วโยนมันทิ้งลงบนพื้น น้ำหมึกกระเซ็นไปถูกชายชุดของไป๋สิงเจี่ยน นางรู้สึกหวั่นใจ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางรู้สึกโกรธมากกว่า
ถูกกระทบอารมณ์มาทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่คนขายน้ำหวานกล้าหลอกลวงนาง หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนกล้ามาลูบจับใบหน้าของนาง ตอนนี้ไป๋สิงเจี่ยนไม่เพียงไม่ตอบตกลงที่นางเอ่ยวิงวอนร้องขอ เขายังกล้ากล่าวโทษนางอีก แล้วแสดงออกว่าไม่พอใจนาง หากไม่ใช่ไป๋สิงเจี่ยนรู้เรื่องแล้วไม่รายงาน จงใจให้โต้วเปาเอ๋อร์ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพัน แล้วเขียนบันทึกถึงเรื่องเขา ไหนเลยจะมีเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นได้!
ฉืออิ๋งรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองใกล้จะมีน้ำตาออกมา ทว่านางฝืนมันกลับไป ต่อหน้าไป๋สิงเจี่ยนที่ไร้น้ำใจและเย็นชานี้ การร้องไห้ออกมาก็คือการยอมแพ้ นางกลับหลังวิ่งออกนอกห้อง วิ่งออกไปร้องไห้โฮๆ ที่ลานบ้านแทน ทำให้ตันชิงและเมิ่งกวงหย่วนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ไป๋สิงเจี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขามองไปยังรอยพู่กันที่ลากยาวบนโต๊ะ แล้วมองรอยหมึกบนชุดของตน…เขารู้ว่าตนเองคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่
ตันชิงรื้อหีบค้นตู้ ก่อนจะหาหุ่นหนังที่ใช้เชิดแสดงออกมาได้ ของเล่นนี้ทำให้ฉืออิ๋งหยุดร้องไห้ลงได้ เมิ่งกวงหย่วนเล่นหุ่นหนังเป็นเพื่อนเพื่อเบี่ยงเบนความเศร้าโศกของนาง ตันชิงยุ่งกับการเก็บห้อง เขายกห้องของตนเองให้ฉืออิ๋ง ส่วนเขากับเมิ่งกวงหย่วนยอมพักแบบง่ายๆ ที่อีกห้องแทน
เพราะข้อจำกัดหลายอย่าง ฉืออิ๋งจึงได้แค่ล้างหน้า แล้วกอดหุ่นหนังนอนหลับไปบนเตียงที่ไม่ใช่ของตนอย่างไม่สบายตัว
นอนถึงกลางดึก ฉืออิ๋งก็ถูกยุงกัด เกาไปเกามา จังหวะที่นางพลิกตัวครั้งหนึ่ง ร่างก็หล่นตุบลงบนพื้น นางงัวเงียตื่นขึ้นมา ค่อยนึกได้ว่าที่นอนอยู่นี่ไม่ใช่เตียงของตนเองในวัง
นางคลานขึ้นมาจากพื้น รีบตรวจดูว่าหุ่นหนังเสียหายหรือไม่ เมื่อเห็นมุมข้างฉีกขาดเล็กน้อยนางก็เจ็บที่ใจตนเอง
ตอนที่ตันชิงให้หุ่นหนังนางไว้เล่นนั้น เขาได้เอ่ยว่า ‘นี่คือของเก่าแก่ของไท่สื่อ องค์หญิงทรงระวังให้มากๆ อย่าทรงทำเสียหายนะพ่ะย่ะค่ะ’
ผ่านไปไม่เท่าไรข้าก็ทำขาดเสียแล้ว…
ไป๋สิงเจี่ยนนั่งอ่านหนังสือภายใต้แสงตะเกียง เมื่อได้ยินประตูห้องถูกผลักออก เดิมทีเขาคิดว่าลมพัด แต่เมื่อหันหน้าไปก็เห็นฉืออิ๋งยืนพิงอยู่ที่ประตูอย่างโดดเดี่ยว
“มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
ฉืออิ๋งชูหุ่นหนังขึ้นอย่างวางหน้าไม่ถูก “มันขาดแล้ว”
“เอามานี่ซิ” มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นตันชิงที่เอามาให้ฉืออิ๋งแน่ ให้อะไรไม่ให้ กลับไปเอาของเก็บสะสมมาให้องค์หญิงเล่นเสียได้!
ฉืออิ๋งก้าวช้าๆ มาทีละก้าว นางวางหุ่นหนังที่ชำรุดลงบนโต๊ะตรงหน้าไป๋สิงเจี่ยน แล้วรีบหลบออกไปยืนด้านข้าง
ไป๋สิงเจี่ยนเห็นมือของนางมีตุ่มแดงๆ จึงเอ่ยถาม “ที่มือเป็นอะไรหรือ”
“ยุงกัดข้า” ฉืออิ๋งตอบด้วยใบหน้าน่าสงสาร
บ้านในตรอกย่อมไม่เหมือนที่วังแน่นอน ห้องนอนไป๋สิงเจี่ยนไม่มียุงเพราะว่ามีหยูกยาต่างๆ ซึ่งยุงและหนอนแมลงต่างๆ ล้วนหลีกหนี ทว่าเขากลับมองข้ามไปว่าฉืออิ๋งไม่อาจทนรับการถูกยุงกัดได้ เขาจึงลุกขึ้นยืนเงียบๆ ไปพลิกหาอะไรบางอย่างในกล่อง
ตอนนั้นเอง ฉืออิ๋งก็รู้สึกว่าห้องของไป๋สิงเจี่ยนแม้มีกลิ่นยาฟุ้งกระจายทั่ว ทว่ากลับอยู่ได้อย่างสบายยิ่ง…ไม่มียุงสักตัว
ในห้องไม่มีเก้าอี้เหลืออยู่ ฉืออิ๋งจึงพาตนเองไปนั่งที่ขอบเตียง ไป๋สิงเจี่ยนหายาทาได้ตลับหนึ่ง พอหันมาเห็นฉืออิ๋งนั่งลงที่เตียงของเขาอย่างสบายๆ เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้ จึงเดินไปที่ข้างเตียง หมุนฝาตลับเปิดออก ฉืออิ๋งถลกแขนเสื้อขึ้น พร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งที่ขาวและนุ่มเนียนออกมา รอให้คนทายา
ไป๋สิงเจี่ยนวางตลับยาลงไปบนมือนาง ความหมายชัดแจ้งยิ่ง…ให้ทายาเอง
ฉืออิ๋งนิ่งรออยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยเข้าใจความหมายของไป๋สิงเจี่ยน นางยื่นสองนิ้วไปปาดเนื้อยาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แล้วทาที่มือตรงบริเวณยุงกัด ทาไปเกาไป เนื่องจากกลิ่นยาไม่ชวนดม นางทาไปสองสามทีก็ไม่ยอมทาต่ออีก
“ที่ขา” ไป๋สิงเจี่ยนเห็นฉืออิ๋งไม่ทาอีก จึงต้องเอ่ยเตือนสติขึ้น
ฉืออิ๋งไม่สนใจเขา นางเกาไปบนขาที่มีผ้ากั้นไว้โดยไม่ยอมแตะต้องยาทาอีก เพียงฟังที่ไป๋สิงเจี่ยนเอ่ยเตือนอย่างหูทวนลม
เห็นว่าฉืออิ๋งไม่ฟัง ไป๋สิงเจี่ยนจึงต้องเลิกกระโปรงนางขึ้น ม้วนขากางเกงนาง บริเวณน่องล้วนถูกยุงกัดเป็นตุ่มแดง ไม่รู้ว่านางเอาเลือดป้อนยุงไปกี่ตัว เขาใช้นิ้วมือป้ายยาขึ้นมา ทาไปที่ขานุ่มขาวของนางอย่างใจเย็นรอบแล้วรอบเล่า ยาที่ทาให้ความรู้สึกเย็นซ่าน ทั้งฝีมือของคนทายาก็ไม่เหมือนใคร เมื่อไม่มียุงมารบกวนอีก ฉืออิ๋งก็เอนตัวบนเตียงอย่างสบาย อาการง่วงงุนมาเยือนกระทั่งหลับไปอย่างไม่เลือกที่
ไป๋สิงเจี่ยนเก็บยาทา ยืดตัวตรง เขาเพิ่งพบว่านางถูกปรนนิบัติจนหลับไปแล้ว
แม้ฉืออิ๋งจะนอนหลับลึกจนดูมิต่างจากท่อนไม้ ไป๋สิงเจี่ยนก็ยังถือยาของตนออกไปที่โถงด้านนอก ตรงลานบ้านมีเสียงร้องของแมลงดังในยามค่ำคืน เขาจุดตะเกียงขึ้น พลางปลดเสื้อลงเพื่อทายา
ไม่นานไป๋สิงเจี่ยนก็กลับเข้าไปในห้อง เขาเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ มีลมพัดเข้ามาเอื่อยๆ ฉืออิ๋งปรารถนาอากาศเย็นสบาย ร่างของนางจึงพลิกตัวมาทางที่ลมเข้าตามสัญชาตญาณ ไป๋สิงเจี่ยนมาช่วยยืนกั้นบริเวณข้างเตียงได้ทันเวลา นางถึงได้ไม่ตกลงมาที่พื้น
กระนั้นไป๋สิงเจี่ยนก็ไม่อาจคอยยืนกั้นให้นางได้ตลอด เขาจึงลากเก้าอี้มาวางที่ข้างเตียง ให้เป็นราวกั้นชั่วคราว ถึงอย่างนั้นเก้าอี้ตัวนี้ก็ไม่อาจทนแรงกระแทกที่มาเป็นช่วงๆ ของฉืออิ๋งได้ไหวแน่ เขาจึงมองไปรอบห้อง ก่อนหยิบพัดพับบนโต๊ะมาหนึ่งเล่ม อ้อมไปอีกด้านของเตียงแล้วคลี่พัดออกพลางโบกพัดช้าๆ เพียงครู่เดียว ‘สิ่งที่กอง’ อยู่ขอบเตียงก็กลิ้งไปอยู่ตรงกลาง
พอไป๋สิงเจี่ยนเก็บพัด ฉืออิ๋งก็กลิ้งกลับมาที่ขอบเตียงอีก เขาจึงคลี่พัดออกอีกครั้ง โดยยกมือขึ้นสูงโบกพัด ฉืออิ๋งก็กลิ้งกลับไปตรงกลาง เขาไม่อาจหยุดพัดได้เลย พอหยุดพัดนางก็จะกลิ้งมาที่ข้างเตียง นอนก็ไม่สบายตัวเพราะเกือบตกเตียง ไป๋สิงเจี่ยนจึงยืนพัดจนเมื่อยมือ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจปิดหน้าต่างลงเสีย
ฉืออิ๋งหลับตานอนตะแคงอยู่บนเตียงแข็งๆ เมื่อไม่มีลมเย็นพัดมา ไม่นานนางก็นอนเหงื่อชุ่มศีรษะ พัดพับพลันถูกคลี่ออกอีกครั้ง แขนเสื้อไหวไปตามพัด ฉืออิ๋งขยับย้ายร่างตามลมมาช้าๆ กระทั่งตามมาจนถึงแขนเสื้อไป๋สิงเจี่ยน ซึ่งเป็นจุดที่โดนลมได้โดยตรงและเย็นสบายที่สุด
ไป๋สิงเจี่ยนหยิบหนังสือมานั่งอ่านที่ข้างเตียง เขาพัดโบกอย่างเป็นจังหวะ ไม่ไปใส่ใจนางที่ประเดี๋ยวก็นอนตรงประเดี๋ยวก็นอนขวาง กระทั่งอ่านไปได้ครึ่งเล่ม เขาจึงรู้สึกว่าที่ขามีอะไรมากระทบ เขาเลื่อนหนังสือออกแล้วมองไป ฉืออิ๋งที่กลิ้งมาเรื่อยจนเจอขาของเขาแล้วเอาไปใช้หนุนต่างหมอน
นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนได้จริงๆ ไป๋สิงเจี่ยนใช้พัดรับตรงท้ายทอยของนางแล้วขยับขาออก ก่อนจะหยิบหมอนของตนให้นาง เมื่อหมอนนุ่มเปลี่ยนเป็นหมอนแข็ง นางรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกัน จึงปรับท่านอนตนเองอีกครั้ง ทว่าทำอย่างไรก็หาที่นอนสบายไม่ได้เสียที นางขยุกขยิกจนไม่เป็นสุข
ไป๋สิงเจี่ยนอ่านหนังสือต่อไม่ได้แล้ว เขาหยิบหมอนมาให้นางหนุนอีกหน ครั้งนี้นางพอจะสงบลงได้บ้างแล้ว
เขาไปที่โต๊ะแล้วหยิบหุ่นหนังขึ้นมาดู หาเครื่องมือมาหลายอย่าง ก่อนจะใช้เข็มกับด้ายซ่อมแซมหุ่นหนังอยู่ภายใต้แสงตะเกียง ฉับพลันที่ด้านหลังก็มีเสียงลอยมา เขาหยุดเข็มพลางหันกลับไปมอง ‘สิ่ง’ ที่อยู่บนเตียงพลิกไปกลิ้งมาพร้อมพึมพำในปาก “เสด็จพ่อ ลูกร้อน…”
ไป๋สิงเจี่ยนไร้คำพูดจะเอ่ย เขามองมาที่นาง ก่อนวางหุ่นหนังลง ผลักหน้าต่างออก แล้วหยิบพัดพับมาถือไว้ เดินมานั่งข้างเตียง
ทันทีที่มีลมพัดมา ฉืออิ๋งก็ไม่พลิกไปกลิ้งมาอีก ดูสงบเสงี่ยมขึ้น เพียงนอนตะแคงหลับตาพริ้มต่อไป นิ้วมือยังเอาเข้าไปดูดในปาก
ไป๋สิงเจี่ยนทนดูไม่ได้จริงๆ เขาใช้ก้านพัดเคาะไปที่มือของนาง หรือว่านิสัยนี้เฟิ่งจวินไม่ได้ทรงแก้ไขเลย
ตอนที่มือเมื่อยมากแล้ว เขาก็ฝืนทนพัดต่อไปไม่ไหว หลังพิงหัวเตียงหลับไป
หน้าต่างมีลมพัดเข้ามา ฉืออิ๋งก็ไม่รู้สึกร้อนอีก ถึงอย่างนั้นนางก็ยังโหยหา ‘หมอนนุ่มๆ’ ฉืออิ๋งค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้หมอนที่นุ่มสบาย สัญชาตญาณทำให้นางขยับศีรษะไปที่ขาของเขา ถึงตอนนี้นางก็หาหมอนที่นุ่มสบายที่สุดพบแล้ว จึงหนุนนอนได้อย่างเต็มอิ่ม
ในความฝันของไป๋สิงเจี่ยน บัวลอยลูกหนึ่งกระโดดออกมาจากชาม กลายเป็นปีศาจบัวลอยตัวมหึมา ที่จับเขากดกับพื้นจนพลิกตัวขึ้นมาไม่ได้…
ในฝันของฉืออิ๋ง ปีศาจหมอนคิดจะหลบหนีออกจากใต้ศีรษะของนาง นางจึงกดมันไว้แน่นไม่ให้หนีไปไหนได้ เพื่อทำสัญลักษณ์เอาไว้ นางจึงกัดปีศาจหมอนไปทีหนึ่งเพื่อประกาศฐานะของตนเหนือมัน
ไป๋สิงเจี่ยนตื่นขึ้นมาโดยที่อารมณ์ของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด
แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา สรรพสิ่งล้วนปรากฏให้เห็น เขาลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียก็เห็น ‘ลูกกลมๆ’ มาขดอยู่ข้างขาของเขา ศีรษะก็ทับบนขาของเขา ขณะที่มือของเขาสัมผัสก้อนกลมๆ อ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก ลองขยับมือดูก็พบว่ามันคือเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งที่มีขนาดกะทัดรัดผิวเนียนละเอียดนุ่ม ซึ่งมือของเขากำรอบได้พอดิบพอดี
เรื่องหนุนขาแล้วกัดนี้ก็แล้วไปเถอะ ทว่าเท้าของนางมาอยู่บนฝ่ามือเขาได้อย่างไรกัน เส้นเขียวๆ ที่หน้าผากพลันเต้นตุบๆ คงเพราะนางนอนหลับแล้วขยับตัวกลิ้งไปมา สุดท้ายก็ขดร่างเป็นก้อนกลม และยื่นเท้ามาบนมือเช่นนี้
ไป๋สิงเจี่ยนนั่งตัวตรง มือเลื่อนออกจากเท้าฉืออิ๋ง แล้วใช้มือยกศีรษะนางขึ้น มืออีกข้างก็ดึงผ้าออกจากปากของนางที่กัดเข้าไปคำหนึ่ง รสขมของยาที่ซึมอยู่ในชุดเขาทำให้นางขมวดคิ้วนิ่วหน้า ถึงอย่างนั้นปากก็ไม่ยอมปล่อย เขาจึงได้แต่ค่อยๆ ดึงผ้าออกมาจากปากนางทีละนิด กระทั่งแยกจากตัวนางได้อย่างเด็ดขาด ก่อนดันร่างนางกลับเข้าไปด้านในเตียง แล้วลุกขึ้นยืนทันที
ทว่าไป๋สิงเจี่ยนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฉืออิ๋งที่อยู่บนเตียงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา “ปีศาจหมอนหนีไปไหน!” นางงึมงำพลางคลานขึ้นมา เงยหน้ากวาดมองไปรอบทั้งซ้ายและขวาด้วยแววตาง่วงงุน
ไป๋สิงเจี่ยนหันไปมองฉืออิ๋ง “บรรทมต่อเถอะ”
ฉืออิ๋งฟุบกลับลงไปจริงๆ นางหลับตาแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋สิงเจี่ยนโล่งอกขึ้นมาหน่อย เขาออกจากประตูห้องไปตักน้ำที่ข้างบ่อน้ำ
ตันชิงที่ตื่นก่อนแปลกใจที่เห็นผู้เป็นนายตื่นเช้ากว่าปกติ เขาเคยชินที่จะเข้าไปเก็บห้อง ทว่ากลับถูกไป๋สิงเจี่ยนหยุดเอาไว้
“รดน้ำผักหรือยัง”
“…ยังขอรับ”
ดังนั้นตันชิงจึงรดน้ำผักตั้งแต่เช้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาเหนื่อยจนเหงื่อท่วมร่าง แม้ไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้ กระนั้นเขาก็เชื่อว่าคำสั่งของผู้เป็นนายต้องมีเหตุผล
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา เมิ่งกวงหย่วนก็ตื่นขึ้น พอเห็นไป๋สิงเจี่ยนที่ลานบ้าน เขาก็ตกใจยิ่ง มาพักค้างที่บ้านอาจารย์แล้วยังตื่นสายกว่าอาจารย์อีก จึงรีบไปช่วยตันชิงรดน้ำผักทันที
อีกครึ่งชั่วยามต่อมา ฉืออิ๋งก็ขยี้ตาเดินออกมาจากห้องของไป๋สิงเจี่ยน “ไม่มีใครปลุกข้าเลย พวกเจ้าแอบกินแป้งม้วนไส้อิงเถาของข้าจนหมดแล้วใช่หรือไม่”
สองคนที่รดน้ำผักอยู่พลันหันมามอง ทั้งสองตกใจจนกระบวยรดน้ำตกพื้น
ฉืออิ๋งเห็นไป๋สิงเจี่ยนอยู่ที่ลานบ้าน นางก็จำภาพความทรงจำรางๆ ได้ “เหตุใดอาจารย์จึงเรียกให้ข้านอนต่อ แล้วตัวอาจารย์กลับลุกจากเตียงมาเงียบๆ”
สองคนที่เพิ่งหยิบกระบวยรดน้ำขึ้นมาก็ทำมันหลุดมืออีกครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.