บทที่ 1
ลมเหนือพัดหวีดหวิวบาดผิวราวกับคมมีดน้ำแข็ง เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ พอล่วงเข้าปลายปีทีไรเป็นต้องหนาวจับจิต ปีนี้หิมะยังไม่ทันตกก็มีน้ำค้างแข็งเสียแล้ว
พอตกกลางคืน เมืองหลวงจะเงียบสงัดเป็นพิเศษ ทว่ายังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ความอลหม่านระเบิดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับน้ำที่หยดลงไปในน้ำมันร้อนๆ
“รีบให้คนไปทูลองค์หญิงว่าหญิงแพศยากับชายชู้ถูกพวกเราจับได้คาเตียง จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!”
ระหว่างที่จือจือกำลังนอนหลับสบาย คนกลุ่มหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในเรือน นางตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย กำลังจะขยับปากเรียกไฉ่หลิง ก็เห็นมือข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนเอวของตนเองเสียก่อน
เอ๋?
ปกตินางนอนคนเดียวเสมอ ครั้งสุดท้ายที่นอนกับคนอื่นคือนอนกับมารดาตอนที่นางอายุสิบขวบ
ในระหว่างที่จือจือยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ม่านหน้าเตียงก็ถูกแหวกออก ถัดจากนั้นคือเสียงหวีดร้อง
“นั่น! มีบุรุษอยู่บนเตียงอี๋เหนียงห้าจริงๆ”
จือจือตาสว่างทันควัน ทว่าก็เป็นเวลาเดียวกับที่ถูกลากลงจากเตียงแล้วเช่นกัน
“วันนี้จับชายโฉดหญิงชั่วได้เสียที”
หลังประโยคนั้น จือจือรับรู้ได้ว่ามีคนดึงทึ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ของนาง
“หญิงสำส่อนจะต้องสวมเสื้อผ้าไปไยกัน แล้วสาวใช้ของหญิงแพศยาผู้นี้เล่า”
“เรียนกงหมัวมัวไฉ่หลิงดื่มสุราจนเมามาย เรียกแล้วไม่รู้สึกตัวเลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องปลุก โบยให้ตายไปทั้งอย่างนั้นเลย”
ตอนแรกสมองของจือจือยังสับสนมึนงงไปหมด แต่ประโยคนั้นทำให้สติของนางตื่นตัว ราวกับมีแสงสว่างสาดวาบเข้ามาในหัว
“ไม่นะ ข้าไม่ได้…”
นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกตบหน้าสองฉาดใหญ่
คนตบคือกงหมัวมัวนั่นเอง
หญิงสูงวัยผู้นี้เป็นคนสนิทขององค์หญิง รับหน้าที่ลงทัณฑ์โดยเฉพาะ ปกติเวลาคนในตำหนักทำอะไรผิด กงหมัวมัวก็จะเป็นผู้ตัดสินโทษ เรียกได้ว่า ‘มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายอยู่ในมือ’ ต่อให้โบยใครสักคนจนตายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ใช้เงินแก้ปัญหาก็เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจือจือจะมีตำแหน่งเป็นอนุของราชบุตรเขย แต่ความจริงแล้วฐานะของนางสูงส่งกว่าสาวใช้ไม่มากนัก กงหมัวมัวเป็นคนในวังหลวงที่ติดตามรับใช้องค์หญิงมาตั้งแต่เล็กจนโต จะสั่งโบยอนุที่มีชู้สักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเช่นกัน
หลังตบหน้าไปสองครั้ง คนกลุ่มนั้นก็กลุ้มรุมกันถอดเสื้อตัวในของนางออก ให้นางสวมแค่บังทรงกับกางเกงตัวใน แล้วใช้เชือกมัดนางไว้พร้อมยัดเศษผ้าอุดปากนาง
“หญิงแพศยาไม่ควรได้ใส่เสื้อผ้าหรอก เอามันไปโยนไว้ในห้องเก็บฟืน”
“ช้าก่อน”
ในจังหวะที่คนสองคนกำลังจะลากตัวจือจือออกไป เสียงบุรุษทุ้มต่ำก็ดังขึ้น กงหมัวมัวหรี่ตาราวกับนางเสือที่หิวโซมานาน ขอเพียงเหยื่อชะล่าใจแม้เพียงนิดก็พร้อมจะกระโจนเข้าไปฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ ขย้ำกิน
“อากาศหนาวเย็น ตำหนักของท่านทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง”
ชายหนุ่มเพิ่งจะพูดอย่างนั้น จือจือก็สัมผัสได้ว่าเสื้อคลุมที่มีไออุ่นห่มลงบนร่างอย่างแผ่วเบา พอนางรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นก็เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างห้ามไม่อยู่
ใบหน้าดวงนั้นหมดจดหล่อเหลาอย่างวิญญูชน
ดวงตายิ่งนุ่มนวลราวกับสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง
ไม่ว่าบุรุษตรงหน้าจะเป็นใคร แค่เขาไม่ใช่ราชบุตรเขย จือจือย่อมหนีไม่พ้นความผิดฐานคบชู้…
จากนั้นกระทั่งก่อนสิ้นใจจือจือก็ยังไม่รู้ว่า ‘ชายชู้’ ที่ว่าคือใคร ทั้งยังไม่มีโอกาสได้พบองค์หญิงกับราชบุตรเขย เพราะถูกลากออกมาจากห้องเก็บฟืนตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง จับกดไว้บนม้ายาวลงทัณฑ์ แล้วถูกโบยจนขาดใจตาย
คนเหล่านั้นนิ่งเงียบและเฉยชาราวกับยมทูต จือจือถูกอุดปากด้วยเศษผ้า ในอากาศจึงมีแต่เสียงไม้ฟาดลงบนเนื้อ
“สิ้นใจแล้ว เอาล่ะ ไปโยนไว้ในสุสานอนาถาไป”
จือจือกลายเป็นวิญญาณล่องลอยหลังตาย
ตอนกลายเป็นวิญญาณล่องลอยใหม่ๆ นางไม่ชินเอาเสียเลย เพราะนางเหยียบพื้นไม่ได้ ทำได้แค่ลอยเท่านั้น หากลมพัดแรงๆ นางยังจะปลิวไปติดยอดไม้เสียอีก
คงเพราะยมทูตดำยมทูตขาวยังหาตัวข้าไม่เจอกระมัง ตอนนี้ข้าจึงยังสามารถลอยไปลอยมาอยู่ในโลกมนุษย์ จือจือคิด
น่าสนุกจริงๆ นางบอกตนเองในใจ
สิ่งแรกที่นางทำเมื่อกลายเป็นวิญญาณล่องลอยคือการกลับบ้าน
ทันทีที่ลอยมาถึงก็พบว่าบ้านที่แต่เดิมมีบิดาอยู่กับน้องชายยามนี้ไม่มีคนพักอาศัยเสียแล้ว
ตอนที่จือจือนั่งเกี้ยวแต่งเข้าตำหนักองค์หญิง บิดาได้รับค่าตอบแทนหนึ่งพันตำลึงเงิน สามัญชนคนธรรมดาครอบครัวหนึ่งใช้จ่ายปีละสิบตำลึงเงินเท่านั้น จำนวนหนึ่งพันตำลึงเงินจึงมากพอให้ครอบครัวของนางอยู่ดีกินดีไปครึ่งค่อนชีวิต องค์หญิงเสกสมรสอย่างยิ่งใหญ่เมื่อสองปีก่อน หลังแต่งงานได้เจ็ดวันก็มีคำสั่งให้ครอบครัวราษฎรทั่วแผ่นดินที่มีบุตรสาวอายุสิบสี่ถึงสิบแปดปีส่งรูปเหมือนของบุตรสาวมาที่ตำหนัก เพราะองค์หญิงประสงค์จะคัดเลือกอนุให้ราชบุตรเขยด้วยตนเอง
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนทั้งแผ่นดินอย่างมาก เนื่องจากตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่เคยมีมาก่อน ทว่าองค์หญิงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงมีพระราชโองการลงมาตามที่นางต้องการ
จือจือที่อายุสิบห้าเข้าข่ายพอดี ดังนั้นบิดาจึงส่งรูปเหมือนของนางที่เตรียมไว้สำหรับหาคู่ครองไปที่ตำหนัก จนนางได้รับคัดเลือก ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับครอบครัวของนาง
จือจือสวยสะคราญแต่กำเนิด ถ้าจะให้พูดตรงๆ ล่ะก็ นางมีดวงหน้าที่สนมนางในควรมี คือเฉิดฉันแต่ไม่จัดจ้าน งดงามแต่ไม่ฉูดฉาดเกินพอดี ผิวกายของนางขาวผ่องราวกับหิมะ ดูไม่ออกว่าเป็นบุตรสาวของครอบครัวยากจน ทรวดทรงองค์เอวยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งที่เพิ่งอยู่ในวัยแรกแย้ม แต่กลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตา ชาวบ้านทั่วไปไม่ชอบสตรีลักษณะนี้ เลือกแม่เรือนทั้งทีจะเลือกสตรีที่มองแล้วชวนให้คิดถึงเรื่องบนเตียงได้อย่างไรกันเล่า หากจะให้นางแต่งไปเป็นอนุคนธรรมดา บิดาก็รู้สึกผิดต่อนางไม่น้อย อีกอย่างสตรีคนใดมีสมองสักหน่อยก็คงไม่อยากให้สามีตนเองได้อนุเช่นนาง
สำหรับตัวจือจือเองแล้ว การได้เป็นอนุของราชบุตรเขยเปรียบเสมือนไก่ป่าบินขึ้นไปอยู่บนยอดไม้เลยก็ว่าได้ ซ้ำยังจะมีวาสนาได้เห็นนางหงส์ตัวจริง นางหงส์ที่ราชวงศ์เลี้ยงดูมาอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
จือจือหาอยู่นานก็ยังไม่เจอพ่อกับน้องชาย ไม่รู้ว่าเรื่องที่ตนคบชู้จะทำให้ทั้งคู่เดือดร้อนไปด้วยหรือไม่ พอคิดได้ดังนั้น นางก็รีบลอยไปที่ตำหนักองค์หญิงทันที
ตำหนักองค์หญิงเงียบสงบ ทุกคนปฏิบัติกิจวัตรประจำวันกันตามปกติ ราวกับว่าเรื่องที่อี๋เหนียงห้าเพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่เคยเกิดขึ้น
อันที่จริงนางแทบจะเป็นอี๋เหนียงห้าแต่ในนาม เพราะแค่หน้าราชบุตรเขยยังได้เจอไม่กี่ครั้ง พูดจากันยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ อนุสามคนก่อนหน้านางชาติตระกูลไม่ธรรมดาเลยสักคน มีแต่นางนี่ล่ะที่เป็นไก่ป่าอยู่คนเดียว อนุพวกนั้นไม่ใคร่เห็นนางอยู่ในสายตานัก ต่อให้ไม่วัดกันที่ชาติกำเนิด ทั้งสามก็มักจะจับกลุ่มคุยกันเรื่องโคลงกลอน ขณะที่จือจือทำได้แค่งานเย็บปักและงานครัวเท่านั้น
ราชบุตรเขยเคยมาหาและพูดคุยกับนาง แต่แค่ถามเรื่องชื่อ จือจือก็ตอบไม่ถูกเสียแล้ว
‘จือจือ? คำว่าจือจากบทกลอนที่ว่า สุ่ยจือชูดอกแดงแลสลอน งามอ่อนน้อมน่ามองประคองใคร่ น่ะหรือ’
จือจือฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง
บ้านนางแซ่หลิน แต่นางเป็นบุตรสาว ตามธรรมเนียมวงศ์ตระกูล บุตรสาวไม่มีสิทธิ์ใช้แซ่ เพราะเดี๋ยวก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี
ดังนั้นนางจึงชื่อจือจือ หนังสือก็อ่านออกไม่กี่มากน้อย แค่พอเขียนชื่อตนเองเป็น จำได้ว่าในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีหนึ่ง ตำหนักองค์หญิงจัดงานใหญ่โต อี๋เหนียงรองเสนอให้เล่นตีกลองวนดอกไม้ให้หญิงสำนักสังคีตเป็นคนตีกลองเล็ก เสียงกลองหยุดลงเมื่อใด ดอกกุ้ยวนไปอยู่ในมือใคร คนผู้นั้นจะต้องแต่งกลอนหนึ่งบท
จือจือนั่งภาวนาขออย่าให้ดอกกุ้ยวนมาหยุดในมือตน ปรากฏว่าเพิ่งจะเล่นรอบแรก ดอกกุ้ยก็หยุดลงในมือนางเสียแล้ว ภายใต้สายตาทุกคู่ นางถือดอกไม้หน้าแดงก่ำ อึกๆ อักๆ พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน
อี๋เหนียงสามผู้ใจร้อนเป็นนิสัยเหน็บอย่างเหลืออด ‘น้องห้า พูดอะไรเข้าสิ ไม่มีปากหรือไรกัน’
อี๋เหนียงรองยิ้มบางๆ ‘น้องห้าอาจจะยังนึกไม่ออกก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน’
จือจือมองพวกนาง แล้วขยับปากพะเยิบพะยาบ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาในที่สุด ‘วันที่สิบห้าเดือนแปดจันทร์กลมโต ข้า…ข้า…กำลังชมจันทร์เวลานี้’
เพิ่งจะเอ่ยจบ เสียงหัวเราะคิกก็ดังขึ้นจากรอบตัว
เสียงนั้นราวกับเป็นคลื่นในทะเลที่โถมซัดท่วมนางจนมิดในพริบตา
ความพยายามและความขมขื่นของนางมีแต่จะโหมให้คลื่นทวีกำลังแรงขึ้นกว่าเก่า
จือจือคิดถึงเรื่องราวต่างๆ พลางลอยไปยังเรือนที่เคยอยู่ แต่บัดนี้ที่นั่นว่างเปล่าวังเวง ไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว มิหนำซ้ำประตูเรือนยังลงกลอนไว้ ดูท่าหลังจากนางตายจะไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ ด้วยกลัวความอัปมงคล เพราะนางถูกโบยจนขาดใจตายที่นี่
จือจือถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าไฉ่หลิงก็กลายเป็นวิญญาณล่องลอยไปแล้วด้วยหรือไม่ ถ้าหากเป็นเหมือนกันจะได้มานั่งคุยกันได้
จนป่านนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าบุรุษที่อยู่บนเตียงในคืนนั้นเป็นใครมาจากไหน ทว่าแม้นางจะหัวทึบ แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าจนถึงที่สุด นางเป็นแค่อนุไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง กระทั่งราชบุตรเขยยังได้เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น หากใครสักคนคิดจะทำร้ายนาง ก็ไม่จำเป็นต้องจัดฉากให้วุ่นวายแต่อย่างใด อีกทั้งคืนนั้นกงหมัวมัวยังให้คนจับตัวนางไปโบยจนตายก่อนจะได้พบองค์หญิงกับราชบุตรเขยด้วยซ้ำ ส่วนบุรุษผู้นั้น…
จือจืออดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกถึงดวงตาคู่นั้น
บุรุษผู้นั้นมีนัยน์ตางดงาม รอบตัวอวลด้วยกลิ่นอายสูงส่งที่ไม่อาจดูถูกได้ เชื่อว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
การจัดฉากให้ร้ายคงพุ่งเป้าไปที่คนผู้นั้นเสียมากกว่า ส่วนนางก็เป็นแค่เบี้ยตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
พอคิดมาถึงตรงนี้จือจือก็ตัดสินใจว่าจะตามสืบให้รู้เรื่อง นางรีบลอยไปที่ตำหนักบรรทมขององค์หญิงโดยไม่รอช้า ด้วยมั่นใจว่าจะต้องได้เจอกงหมัวมัวที่นั่น
องค์หญิงอาศัยอยู่ในตำหนักใหญ่ซึ่งกินพื้นที่แทบจะครึ่งหนึ่งของบริเวณนี้ ปกติไม่ชอบให้ผู้อื่นไปยุ่มย่ามที่ตำหนักตนเอง เหล่าอนุอย่างพวกนางจึงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปหากไม่มีกิจธุระ แต่ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของทุกเดือนจะต้องเข้าไปเรียนรู้กฎระเบียบมารยาท ซู่หมัวมัวซึ่งเป็นคนสนิทขององค์หญิงกำหนดไว้เช่นนี้
เวลาไปเรียนรู้กฎระเบียบมารยาทก็ยากจะได้พบองค์หญิง เพราะในเวลานั้นนางยังนอนไม่ตื่น
รอบนี้จือจือสามารถลอยเข้าไปในตำหนักองค์หญิงได้อย่างสง่าผ่าเผย จึงรู้สึกภาคภูมิอยู่นิดๆ อย่างบอกไม่ถูก
เป็นองค์หญิงแล้วยิ่งใหญ่สักเพียงใดกันเชียว ข้าเป็นผีเลยนะ
จือจือลอยเข้าไปอย่างใจกล้า อีกทั้งยังแกล้งหลอกเหล่าข้ารับใช้ตามทางโดยดึงลิ้นตนเองออกมาพันรอบคอหลายทบ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมองเห็นการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจของนาง พวกนั้นเดินทะลุร่างนางไปเลยด้วยซ้ำ
จือจือหดหู่ขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นเสียงของกงหมัวมัวก็ดังขึ้น
“พวกเจ้าเร่งมือกันหน่อย องค์หญิงทรงใกล้จะตื่นบรรทมแล้ว”
กงหมัวมัวยังมีสีหน้าเฉียบขาดเข้มงวดเหมือนเก่า ผมหวีเกล้าเรียบแปล้ไม่กระดิกสักเส้น ร่องแก้มลึกชัดเป็นพิเศษ ราวกับรอยแผลถูกมีดกรีดเป็นริ้วติดแน่นอยู่บนใบหน้ากระนั้น ดวงตาแผ่ไอสังหารเข้มข้น ดูขึงขังดุดันประหนึ่งสิงโตหินที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
จือจือจ้องหญิงสูงวัยเขม็ง สั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่
คนเช่นนี้ แม้แต่ผียังกลัว
กงหมัวมัวนำข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิง จือจือเลยฉวยโอกาสลอยตามไปด้วย ห้องนั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ตั้งแต่เกิดมาจือจือไม่เคยพบเจอสิ่งใดที่หอมเช่นนี้มาก่อน นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยิ่งกลิ่นในห้องหอมจรุง นางยิ่งลอยเข้าไปข้างในลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จือจือลอยเข้าไปเรื่อยๆ จนแซงข้ารับใช้กลุ่มนั้นขึ้นไปอยู่หน้าสุด ขอเพียงเอื้อมมือออกไปก็แหวกม่านหน้าเตียงองค์หญิงได้เลย แต่แล้วก็มีเสียงมังกรคำรามพลันดังเข้าหู
จือจือหวีดร้องสุดเสียง รีบเอามืออุดหูและหนีออกมาทันที
บทที่ 2
เสียงมังกรคำรามเหมือนจะบดขยี้ดวงวิญญาณของนางให้แหลกละเอียด นางรู้สึกว่าหากตนเองไม่ใช่วิญญาณล่องลอยอยู่แล้ว ก็อาจจะตายลงได้เลยทีเดียว ขนาดพยายามหนีมาจนไกล หัวใจยังเจ็บระบมเสียไม่มีดี นางหอบหายใจหนักหน่วง ภายในชั่วไม่กี่พริบตาร่างทั้งร่างก็เปียกโชกราวกับกลายเป็นผีพรายน้ำ เพราะเหงื่อไหลจนชุ่มไปทั้งร่าง เนื้อตัวสั่นเทาอยู่นานกว่าจะสงบลง
นางเหลือบตามองห้องบรรทมขององค์หญิงที่เห็นอยู่ไกลๆ ด้วยแววตาหวาดผวา
ไหนๆ ก็ตายไปแล้ว อย่าติดใจสืบสาวราวเรื่องอีกเลย
ความคิดนั้นเพิ่งจะผุดขึ้นมาในหัว จือจือก็นึกดูถูกตนเองทันที ก่อนตายกลัวอีกฝ่ายจนหงอ ขนาดตายแล้วยังกลัวไม่เลิก จะไม่เอาไหนเกินไปแล้ว เหล่าผีร้ายในนิทานที่มารดาเคยเล่าให้ฟังสมัยเด็กๆ น่าขนลุกขนพองออกจะตายไป โดยเฉพาะวิญญาณที่ตายทั้งที่ไม่ควรตายเช่นนาง หัวใจจะเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท หากคิดจะแก้แค้นใครก็มักแก้แค้นสำเร็จ ถึงขั้นสามารถฆ่าคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตายได้เลยด้วยซ้ำ
พอคิดได้เช่นนี้จือจือก็กัดฟันแน่นด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว แล้วลอยไปยังห้องบรรทมขององค์หญิงอีกครั้ง คราวนี้นางเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเก่า หลบซ้ายที หลบขวาที จากนั้นก็ไปหลบอยู่หลังประตู โผล่แต่หัวออกมาแอบมองเข้าไปข้างใน
พวกข้ารับใช้ออกมากันหมดแล้ว ดูเหมือนในห้องจะมีแต่องค์หญิงกับกงหมัวมัวแค่สองคน
จือจือพรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะค่อยๆ ลอยเข้าไปข้างในให้เบาที่สุด ระหว่างนั้นยังยกสองมือขึ้นมาประสานกันโดยไม่รู้ตัว พอลอยเข้าไปใกล้ เสียงสตรีนุ่มหูก็ดังขึ้น
เสียงนั้นต่ำกว่าเสียงสตรีทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่บั่นทอนความไพเราะลงเลย
“กงหมัวมัว วันนี้เด็กผู้นั้นตายไปครบเจ็ดวันแล้ว”
จือจือชะงักไปทันที นางยกนิ้วนับ ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่เจ็ดที่นางกลายเป็นผีจริงๆ
“องค์หญิงโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจัดการดูแลครอบครัวของนางเป็นอย่างดีแล้วเพคะ พอบิดาของนางได้เงินไปหมื่นตำลึง ก็พาน้องชายนางย้ายไปอยู่ทางใต้ทันที จะไม่กลับเข้าเมืองหลวงอีกเลยชั่วชีวิต” พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของกงหมัวมัวก็เปลี่ยนไปโดยพลัน กลายเป็นอำมหิตน่ากลัว “หากกล้ากลับเข้าเมืองหลวง หม่อมฉันก็มีวิธีจัดการให้สิ้นซากเช่นกัน”
จือจือทำหน้าเหลอหลา อดลอยเข้าไปใกล้ต้นเสียงอีกนิดไม่ได้
ห้องบรรทมขององค์หญิงหรูหรางดงามยิ่งนัก แต่ชะรอยองค์หญิงจะไม่ชอบจุดตะเกียง ใช้เพียงไข่มุกราตรีให้แสงสว่าง ห้องทั้งห้องจึงสลัวทึบทึม ภาพวาดบนผนังไม่ใช่ภาพลายเมฆทั่วๆ ไป แต่เป็นภาพเทพเซียนเหาะเหินแบบต่างๆ หญิงสาวในภาพสวมอาภรณ์งามหรูสีสันฉูดฉาด เสื้อผ้าปลิวพลิ้ว ในมือถือเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท ทว่าดวงตาของทุกคนกลับอำมหิตดุดัน ยิ่งมีม่านแพรบดบัง ไอสังหารที่แผ่ออกมายิ่งดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
นางเห็นองค์หญิงแล้ว
ฝ่ายนั้นนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยผมยาวสยายระเอว ดวงหน้าสะท้อนอยู่ในบานกระจก
จือจือยืนมองอยู่ไกลๆ มังกรน้อยสีทองตัวหนึ่งนอนขดอยู่บนศีรษะองค์หญิง กำลังถลึงตาจ้องเขม็งมาที่นางอย่างดุดัน เจ้าของเสียงมังกรคำรามเมื่อครู่คงเป็นมันนี่เอง
แต่ขนาดของมันช่างเล็กกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน จือจือยกมือขึ้นมองฝ่ามือตนเอง จากนั้นก็มองมังกรทอง
คงเพราะรู้ทันว่านางคิดอะไรอยู่ เจ้ามังกรจึงหมุนตัวเหาะวนอยู่กับที่หลายรอบอย่างดุดัน ซ้ำยังกรีดร้องใส่นาง
“แกว้ก!”
“…” จือจือได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ก่อนจะหัวเราะออกมา หรือว่าเสียงคำรามทรงอำนาจเมื่อครู่จะใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวกันนะ แต่เหตุใดเจ้ามังกรนี่ถึงได้ร้องเช่นนั้น
อย่างกับเป็ด…
เพราะนางหัวเราะ มังกรทองเลยยิ่งโมโหจนเต้นพล่านอยู่ในอากาศ สองตาถลึงจนกลมดิก
“เก่งจริงก็ร้องสิ” จือจือท้าทายอีกฝ่ายอย่างลำพองใจ
ไอสีขาวพุ่งออกจากรูจมูกมังกรเป็นสาย แววตาเขียนคำว่า ‘รอก่อนเถิด’ เอาไว้อย่างชัดเจน
แต่จะว่าไป องค์หญิงนี่สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ ถึงกับมีมังกรทองคอยปกปักคุ้มครอง
เมื่อเห็นว่ามังกรทองทำอันตรายตนเองไม่ได้ จือจือก็ลอยเข้าไปอย่างใจกล้า ทว่าไม่ทันไรนางก็ต้องหวีดร้องแล้วหนีเปิดออกมาใหม่
ขนาดหนีมาจนไกลยังได้ยินเสียงมังกรทองร้อง ‘แกว้กๆๆ’ ไม่ขาดหู ท่าทางจะสาแก่ใจเป็นที่สุด
ที่แท้ไม่ใช่แค่เสียงมังกรคำราม แค่นางลอยเข้าไปใกล้หน่อยก็จะรู้สึกราวกับดวงวิญญาณถูกจับย่างบนตะแกรงตั้งไฟอย่างไรอย่างนั้น
จือจือรู้สึกปวดใจเล็กน้อย
เฮ้อ…เห็นทีคงหมดหวังจะแก้แค้นเสียแล้ว
เนื่องจากหาครอบครัวตนเองไม่เจอ ตอนแรกจือจือยังหวังจะได้รู้จากปากกงหมัวมัวว่าบิดาและน้องชายอยู่ที่ใด แต่หญิงสูงวัยผู้นี้ไม่เคยพูดถึงนางกับคนรอบข้างเลยแม้แต่คำเดียว ดังนั้นนางจึงต้องเปลี่ยนไปสืบทางองค์หญิงแทน แต่มังกรทองตัวน้อยบนศีรษะขององค์หญิงช่างน่าโมโหเสียจริง
ตอนกลางวัน จือจือนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมกำแพง มองมังกรทองด้วยสายตาขุ่นขวาง ขณะที่มันมองนางอย่างหยามเหยียด
หนึ่งผีหนึ่งมังกรจ้องตากันอยู่อย่างนั้น
ตกกลางคืน จือจือห้อยอยู่บนขื่อ ดึงหัวตนเองลงมาโยนเล่นไปมาระหว่างมือสองข้าง
มังกรทองตัวน้อยขดตัวนอนอยู่บนเตียงขององค์หญิง ทว่าลูกตาเหลือบไปเหลือบมาตามหัวของจือจือ
ในจังหวะหนึ่ง จือจือรับหัวตนเองพลาด หัวจึงร่วงหล่นแล้วกลิ้งไปทางมังกรทอง ไม่รู้ว่ามังกรทองอยากทำเช่นนี้มานานแล้วหรือว่าอย่างไร มันถึงได้พุ่งตัวทะยานออกมาใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างจับหัวจือจือ น่าเสียดายที่พยายามอยู่พักใหญ่ก็ยังยกหัวนางขึ้นมาไม่สำเร็จ มันจึงสะบัดหางอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน
จือจือสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แทบลมจับตายไปทั้งอย่างนี้ หากว่าผียังลมจับตายได้อีก
สุดท้ายมังกรทองก็ล้มเลิกความตั้งใจ แล้วเหาะกลับไปที่เตียงดังเดิม ร่างของนางจึงรีบลอยลงไปเก็บหัวอย่างไม่รอช้า จากนั้นหันหลังเผ่นแน่บไปทันที
ผ่านไปพักใหญ่ จือจือก็ลอยกลับมาอีกครั้ง นางลอบมองมังกรทองจากหลังเสา เจ้ามังกรยังคงจ้องมองนางอย่างดุดันเหมือนเดิม
ในตอนนั้นเอง เสียงเคลื่อนไหวก็ดังมาจากเตียง ดูเหมือนองค์หญิงจะตื่นบรรทมแล้ว
จือจือชะงักนิ่ง ก่อนจะเห็นองค์หญิงเอื้อมมือออกมาแหวกม่าน
นางคิดมานานแล้วว่าองค์หญิงหน้าตางดงามเหลือเกิน เคยมีกวีผู้หนึ่งโชคดีได้เข้าเฝ้าองค์หญิง ถึงกับอุทานออกมาดังๆ ว่า ‘องค์หญิงทรงครอบครองความงามทั้งโลกหล้าไปแล้วเจ็ดส่วน อีกสามส่วนที่เหลือล้วนกระจายไปเป็นของสตรีหน้าตาจืดชืดธรรมดาทั้งสิ้น’
พูดจบก็ฆ่าตัวตาย โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อเกิดมาแล้วไม่ได้แต่งงานกับผู้ที่งดงามถึงเพียงนี้ ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
แต่ก็มีเสียงเล่าลือกันว่าถ้อยคำของกวีสร้างความเดือดดาลให้องค์หญิงอย่างมาก จนถึงกับสั่งให้คนไปฆ่าทิ้ง
องค์หญิงลุกขึ้นมากลางดึกโดยไม่มีนางกำนัลคอยปรนนิบัติ จือจือเห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นสร้างความตกตะลึงให้นางยิ่งกว่า องค์หญิงเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ไข่มุกราตรีที่อยู่ในนั้นส่องให้เห็นโครงร่างได้รำไรว่าองค์หญิงยืนนิ่ง จากนั้นจือจือก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
องค์…องค์หญิงยืนปลดเบา ที่แท้เชื้อพระวงศ์หญิงทำเช่นนี้กันหรือนี่!
จือจือคิดอย่างสับสนงุนงง หรือว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา นางจะปลดเบาผิดวิธีมาโดยตลอด
ทว่าต่อมาภายหลัง จือจือก็ได้ตระหนักว่าเหตุใดองค์หญิงถึงได้ยืนปลดเบา
นั่นเพราะองค์หญิงเป็นบุรุษ
จือจือต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มเลยทีเดียวกว่าจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้
ลำดับต่อจากนั้นคือองค์หญิงขึ้นเป็นฮ่องเต้
นางแกร่วอยู่ในตำหนักองค์หญิงสามปี ประจันหน้ากับมังกรทองตัวน้อยทุกวัน
มังกรทองเติบโตขึ้นเรื่อยๆ องค์หญิงเก็บตัวอ่านและตอบฎีกาตลอดเวลา ราชบุตรเขยมาหาไม่บ่อยนัก แต่ไม่เคยนอนค้างด้วยสักครั้งเดียว
จากนั้นเมื่อมังกรทองเติบใหญ่พอจะพันรอบองค์หญิงได้สบายๆ องค์หญิงก็กลายเป็นฮ่องเต้อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
จือจือนั่งอยู่บนกำแพง มองเลือดที่ไหลนองราวกับสายน้ำเบื้องล่าง
ที่แท้องค์หญิงก็เป็นบุรุษ ทว่ามารดาแท้ๆ ที่ให้กำเนิดองค์หญิงกลัวว่าหวงฮองเฮาจะปองร้ายบุตรชาย จึงสมคบกับขันทีกุเรื่องโกหกอย่างยิ่งใหญ่นี้ การเสกสมรสขององค์หญิงก็มีจุดประสงค์แฝงอยู่เช่นกัน ราชบุตรเขยไม่ใช่ราชบุตรเขย หากแต่เป็นคนสนิทขององค์หญิงต่างหาก
ในเทศกาลไหว้พระจันทร์วันที่สิบห้าเดือนแปด องค์หญิงฆ่าพี่ชายทั้งสามคนของตนเอง แล้วถือกระบี่บุกไปยังที่ประทับของฮ่องเต้
โอรสสวรรค์มององค์หญิงถือกระบี่ชี้ใส่ตนเองโดยไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังปรบมือหัวเราะร่า “องอาจห้าวหาญเหมือนเราตอนหนุ่มๆ ไม่มีผิด เจ้าเอาบัลลังก์นี้ไปเลย”
ฮ่องเต้กลายเป็นไท่ซั่งหวงย้ายออกไปใช้ชีวิตที่เหลือในตำหนักแปรพระราชฐานอย่างมีความสุข เห็นว่ายังคัดเลือกสนมใหม่อีกด้วย
ในวันขึ้นครองราชย์ จือจือมององค์หญิงที่สวมฉลองพระองค์มังกร แล้วตระหนักแจ้งเสียทีว่าเหตุใดองค์หญิงถึงได้มีมังกรทองอยู่บนศีรษะ ส่วนองค์ชายพระองค์อื่นๆ ที่นางได้เห็นเพราะตามองค์หญิงออกไปไม่ยักมีบ้าง
นั่นเพราะองค์หญิงเป็นบุรุษ ซ้ำยังเกิดมาเพื่อเป็นฮ่องเต้
จือจือลอยไปลอยมาอยู่ในวังหลวง ได้เจอวิญญาณล่องลอยอื่นๆ ไม่น้อย แต่จือจือเห็นวิญญาณดวงอื่นทีไรเป็นต้องหวีดร้องพร้อมหนีเปิดทุกครั้ง
“ผีหลอก!”
วิญญาณที่ลอยนิ่งอยู่ที่เดิมย้อนนาง “ตัวเจ้าไม่ใช่ผีหรือไร ต้องหนีไปไยกัน”
จือจือหนีออกมาจนไกลลิบ ถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดูท่ายมทูตขาวดำจะบกพร่องในหน้าที่เสียแล้ว”
เสียงบุรุษผู้หนึ่งเพิ่งจะดังเข้าหู จือจือก็ถูกดูดไปยังที่แห่งหนึ่งอย่างไม่อาจต้านทาน จนกระทั่งได้เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลางดงามเจ้าของเสียง
ดูก็รู้แล้วว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเจ้าตัวเหยียบพู่กันด้ามใหญ่ยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ มองนางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววยั่วล้อเป็นประกายอยู่ในดวงตา “ไม่นึกเลยว่าแอบดอดลงมาดื่มสุราในโลกมนุษย์ครั้งนี้ จะได้เจอผีที่วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ถึงสามปี”
เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมมาทางนาง “อย่างนี้นี่เอง เป็นวิญญาณพยาบาทแท้ๆ แต่กลับอ่อนแอปวกเปียก แทบไม่มีไอผีติดตัวสักนิด มิน่าถึงเป็นปลาที่รอดร่างแหมาได้ แม่นางน้อย อยากไปเกิดใหม่หรือไม่”
“ข้า…” บุรุษตรงหน้าไม่ยักทำให้จือจือหวาดกลัว กลับรู้สึกว่าเขาดูเป็นกันเองน่าใกล้ชิดด้วยซ้ำ “ข้าอยากไปหาพ่อกับน้องชาย”
ฝ่ายตรงข้ามหลุบตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คืออย่างนี้ ข้ายังขาดของกินแกล้มสุราไปอย่าง หากเจ้าให้กับแกล้มนี้ได้ ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้เจอครอบครัว”
“จริงหรือ ข้ายินดีเจ้าค่ะ! กับแกล้มอันใด” จือจือถามอย่างลิงโลดใจ
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมออกมากลางอากาศ ยื่นทะลุเข้าไปในอกจือจือ แล้วขยุ้มหัวใจนางไว้ “หัวใจเจ้า เจ้าจะยอมหรือไม่”
จือจือก้มหน้ามองหัวใจตนเองที่อยู่ในมืออีกฝ่าย ใช้เวลาตัดสินใจเล็กน้อย นางก็พยักหน้าตอบด้วยแววตาจริงใจ “ข้ายอม”
รอยยิ้มของชายหนุ่มกว้างขึ้น “เช่นนั้นก็ประเสริฐ ข้าจะช่วยส่งเจ้าไปหาครอบครัวให้”
ก่อนที่สติจะขาดหาย จือจือเหมือนได้ยินเขาพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“แม่นางน้อย ข้ากับเจ้าชะตาต้องกัน เจ้ายกหัวใจให้ข้า เช่นนั้นข้าก็จะมอบสิ่งหนึ่งให้เจ้า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ก.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.