บทที่ 15
ตอนที่ไปถึงหน้าตำหนักบรรทมขององค์หญิง นางได้เจออนุอีกสามคนที่มาพร้อมกัน
ชาติตระกูลอันสูงส่งทำให้อนุทั้งสามหมิ่นแคลนจือจือ รู้สึกอับอายที่ต้องมาอยู่ในฐานะอนุด้วยกันกับนาง ดังนั้นจึงหาทางกลั่นแกล้งนางอยู่เนืองๆ
ชาติก่อนจือจือโง่เง่า ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ชาตินี้จือจือไม่เพียงไม่ฉลาดขึ้น ยังรักตัวกลัวตายอย่างยิ่งยวด พอเห็นอนุทั้งสามก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ดีที่ไฉ่หลิงคอยช่วยประคองไว้
“อี๋เหนียงห้า” ไฉ่หลิงบอก “คนที่สูงที่สุดคืออี๋เหนียงรอง คนที่วาดดอกไม้ไว้ตรงหว่างคิ้วคืออี๋เหนียงสาม ส่วนอีกคนก็คืออี๋เหนียงสี่เจ้าค่ะ”
“นี่คือน้องห้าหรือ” อี๋เหนียงสามเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก เจ้าตัวหน้าตาสวยสะคราญ ขนาดเชิดหน้ามองคนยังงามเฉิดฉาย “ชุดที่สวมอยู่เป็นชุดในตำหนักสินะ น้องห้าคงไม่เคยสวมชุดที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีเช่นนี้หรอกกระมัง”
“น้องสาม ไยต้องกระเซ้าน้องห้าด้วยเล่า น้องห้า นางคือพี่สามของเจ้า เจ้าเรียกข้าว่าพี่รองแล้วกัน”
“พี่รองช่างสมกับที่ชอบไปตักโจ๊กแจกเป็นทานมาก่อน เป็นกันเองกับคนยากจนเหลือเกินนะเจ้าคะ ข้าน่ะรู้สึกว่าอากาศแถวนี้เหม็นสาบคนจนด้วยซ้ำ” อี๋เหนียงสามยกแพรพกขึ้นปิดจมูกด้วยสายตารังเกียจ
อี๋เหนียงสี่เอาแต่ยืนเงียบ แต่แววตาบ่งบอกความสนุกที่ได้ดูเหตุการณ์ตรงหน้า
ชาติก่อนจือจือโมโหจนหน้าแดงที่ถูกพูดจาเช่นนี้ใส่ ทว่าก็หาคำพูดมาโต้กลับไปไม่ได้
ชาตินี้ในหัวนางมีแต่ความคิดที่ว่าอีกเดี๋ยวนางก็ต้องไปเจอฆาตกรที่ฆ่าตนเองแล้ว สำหรับคำปรามาสเดิมๆ ที่ต้องพบเจอซ้ำสอง นางแค่ร้องอ้อเท่านั้น
อี๋เหนียงสามทำหน้าประหลาดใจ
อี๋เหนียงรองรีบไกล่เกลี่ย “นี่ก็สายแล้ว พวกเรารีบเข้าไปถวายบังคมองค์หญิงกันดีกว่า”
จือจือเดินรั้งท้าย อี๋เหนียงสามหันมาปรายตามองนาง แล้วแค่นเสียงหึเบาๆ
หากไม่ผัดหน้าแต้มชาด คนอื่นคงเห็นริมฝีปากซีดเผือดของจือจือไปแล้ว มือที่อยู่ในแขนเสื้อของนางก็สั่นน้อยๆ ตลอด
“กงหมัวมัว”
จือจือพลันเบิกตากว้าง ไม่กล้าเงยหน้า รับรู้เพียงว่าร่างกายเย็นเฉียบไปทั้งตัว
“อี๋เหนียงทุกท่านมากันแล้ว องค์หญิงยังไม่ทรงตื่นบรรทม ทุกท่านรอตรงหน้าลานสักครู่ก็แล้วกัน”
หลังกลายเป็นวิญญาณล่องลอย จือจือวนเวียนอยู่รอบตัวท่านผู้นั้นหลายปีจนรู้กิจวัตรของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ‘นาง’ ไม่เคยนอนตื่นสาย หากแต่ความจริงลุกขึ้นมาฝึกดาบแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เวลานี้น่ากลัวว่า ‘นาง’ คงกำลังฝึกดาบอยู่กระมัง
จือจือก้มหน้าตลอดเวลา พยายามทำให้ตนเองจืดจางไร้ตัวตนมากที่สุด
อี๋เหนียงคนอื่นหน้าม้านไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าพวกตนจะต้องแกร่วรออยู่ด้านนอก แต่ติดที่สถานะอีกฝ่าย จึงไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น
เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ อี๋เหนียงสามถอนหายใจเป็นคนแรก นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า จากนั้นก็มองจือจือที่ยืนอยู่ใกล้กัน แล้วตาเป็นประกาย “น้องห้า ถ้าอย่างไรเจ้าไปถามกงหมัวมัวดูหน่อยปะไร”
จือจือส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “เจ้า!”
จือจือหลุบตาลง
อี๋เหนียงสามแค่นเสียงหึขึ้นจมูกอย่างเยาะหยัน “สมกับเป็นสตรีจากครอบครัวยากจนจริงๆ ให้ออกหน้าแค่นี้ก็ทำไม่เป็น”
ในจังหวะนั้น นางกำนัลแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามก็เดินเข้ามาแจ้ง
“อี๋เหนียงทุกท่าน องค์หญิงทรงตื่นบรรทมแล้ว เชิญตามข้ามา”
จือจือเดินอยู่ท้ายแถว ไม่ว่าจะในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาว ตำหนักบรรทมขององค์หญิงก็ยังคงเย็นเยือกอย่างยิ่ง
นางเองก็อยู่ในนี้มานานเหมือนกันนี่นา ตอนที่เป็นวิญญาณล่องลอย นางรู้จักภาพวาดบนผนังดีทุกภาพ รู้จักเทพธิดาเหาะเหินเหล่านั้นดีทุกนาง แต่ละนางแต่งกายด้วยอาภรณ์งามหรูสีสันฉูดฉาด ทว่าไอสังหารเป็นประกายวาววับอยู่ในแววตาไม่อ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว เหมือนปีศาจร้ายที่จะกัดกินคนมากกว่าเป็นเทพธิดาถือเครื่องดนตรี
แม้แต่แผ่นอิฐปูพื้น จือจือก็รู้จักดีเช่นกัน ตอนที่ไม่อาจไปเกิดใหม่ นางเคยนับแผ่นอิฐในตำหนักบรรทมแห่งนี้มาแล้วด้วยซ้ำ
ด้านในตำหนักหอมกรุ่น กลิ่นหอมนี้เหมือนลอยออกมาจากผนังห้อง บนผนังมีราวทองแดงทำเป็นรูปพญางูมากมายเลื้อยพันคดเคี้ยว แต่ละตัวคาบไข่มุกราตรีอยู่ในปาก
‘นาง’ ไม่ชอบจุดเทียนไข ด้านในตำหนักจะใช้ไข่มุกราตรีให้แสงสว่างทั้งสิ้น
อี๋เหนียงสามที่เดินอยู่ข้างหน้าเผลอเหยียบเท้าอี๋เหนียงรองเข้า คนถูกเหยียบหวีดเสียงอุทานด้วยความตกใจ
นางกำนัลที่เดินนำหน้าสุดหยุดเท้าทันที ก่อนจะหันมาอมยิ้มน้อยๆ “องค์หญิงไม่ทรงโปรดเสียงเอะอะโวยวายเจ้าค่ะ”
ตอนที่พูดอย่างนั้น ใบหน้าของนางดูกลมกลืนไปกับภาพวาดเทพเซียนเหาะเหินบนผนัง…งดงามทว่าน่ากลัว
ไม่รู้อี๋เหนียงคนใดสูดหายใจดังเฮือก นางกำนัลคนนั้นหุบยิ้ม แล้วหันกลับไปนำทางต่อ
จือจือเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจ ทว่านางกลัว ความกลัวนี้ฝังลึกอยู่ในกระดูก ตอนกลายเป็นวิญญาณล่องลอย นางอยากแก้แค้น แต่ไม่อาจทำอันตรายท่านผู้นั้นได้แม้แต่ปลายก้อย เวลานี้นางกลายเป็นคน ไม่อยากแก้แค้นแล้ว อยากแค่อยู่อย่างสงบสุขไปชั่วชีวิต
ขอเพียงชาตินี้ท่านผู้นั้นยอมปล่อยนางไป
ทุกอย่างเหมือนอย่างชาติก่อน องค์หญิงประทับนั่งหลังม่านแพรชั้นแล้วชั้นเล่า ขณะที่กงหมัวมัวยืนอยู่หน้าม่าน
อี๋เหนียงทุกคนคุกเข่าลงพร้อมกัน “ถวายบังคมองค์หญิง ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปีพันพันปี”
กงหมัวมัวเอ่ยขึ้นมาก่อน “องค์หญิงไม่ทรงโปรดพันปี ต่อไปอย่าได้พูดอีก”
“เจ้าค่ะ” อี๋เหนียงทั้งสามคนตกใจกลัวไปตามๆ กัน กระทั่งอี๋เหนียงสามผู้เย่อหยิ่งกว่าใครเพื่อนยังไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“องค์หญิงทรงโปรดปรานความสงบ ดังนั้นหากอี๋เหนียงทุกท่านไม่มีธุระอันใดก็อย่าได้มาที่นี่ หากราชบุตรเขยอยากไปเรือนใครก็จะไปเอง พวกเจ้าไม่ต้องร้อนอกร้อนใจไป องค์หญิงไม่ทรงโปรดคนขี้หึงแก่งแย่งชิงดีกัน ดังนั้นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเข้าไว้ดีกว่า” กงหมัวมัวเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นน้ำเสียงก็เฉียบขาดขึ้นมาก “เข้ามาอยู่ในตำหนักองค์หญิงก็เหมือนเข้าวังหลวง กฎเกณฑ์ในตำหนักนี้จะเอาไปเทียบกับข้างนอกไม่ได้ แม้มีใครตายสักคนสองคนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง”
จือจือรับฟังถ้อยคำที่เคยฟังในชาติก่อน แล้วนึกถึงคืนที่ตนเองถูกโบยตาย ก่อนจะสิ้นใจ นางไม่ทันได้เห็นแสงอรุณของวันใหม่ด้วยซ้ำ
“อี๋เหนียงห้าจะกินอะไรหน่อยหรือไม่เจ้าคะ” ไฉ่หลิงเอ่ยถามทันทีที่จือจือกลับมา
นางฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย “ตอนนี้ข้ายังไม่รู้สึกอยากอาหาร ยังไม่กินก็แล้วกัน”
ไฉ่หลิงพูดต่อ “เช่นนั้นบ่าวช่วยเก็บของที่อี๋เหนียงห้าเอามาด้วยนะเจ้าคะ”
จือจือเข้าตำหนักองค์หญิงพร้อมข้าวของส่วนตัวที่บรรจุมาในหีบใบหนึ่ง
ตอนนี้นางเหนื่อยล้าเหลือเกิน อยากแต่จะกลับขึ้นเตียงนอนอย่างเดียวเท่านั้น จึงตอบรับสาวใช้อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินตรงเข้าห้อง
ตกกลางคืน
สภาพจิตใจของจือจือค่อยฟื้นคืนทีละน้อย ยังดีที่นางไม่ต้องพบท่านผู้นั้นบ่อยๆ
นางใคร่ครวญดีแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสองปี ระหว่างสองปีนี้ นาง…จะหาทางหนีออกไปให้ได้
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิต เมื่อถึงเวลานั้นนางจะพาบิดาและน้องชายหนีไปด้วยกัน
เมื่อกำหนดเป้าหมายได้ จิตใจก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก นางพลิกตัว พอหันไปอีกฝั่งเท่านั้นก็ต้องกรีดร้องด้วยเสียงโหยหวนที่สุดในชีวิต
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่”
“ได้ยินอะไร”
“อี๋เหนียงห้าที่เพิ่งมาอยู่ใหม่เจอผีหลอกเข้าน่ะสิ”
“ว่าอย่างไรนะ อัปมงคลอะไรอย่างนี้”
“เรือนชุ่ยไชนั่นอยู่ไกลกว่าเรือนอื่นอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่แปลกหรอก แต่นี่นางเพิ่งเข้าไปอยู่ก็เจอผีหลอก องค์หญิงทรงเกลียดเรื่องผีสางอย่างกับอะไรดี”
สาวใช้สองคนหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป
อี๋เหนียงรองก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็หันไปถามสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นสาวใช้ประจำตัวที่ตามนางออกเรือนมาด้วย
“เจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”
สาวใช้มองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบตอบ “เป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียวเจ้าค่ะ ทุกคนบอกว่าตอนนี้อี๋เหนียงห้าถูกผีร้ายตามรังควานแล้ว ไม่เคยได้นอนเป็นสุขเลยสักคืน”
“จริงหรือ”
สาวใช้ลังเลเล็กน้อย “คุณหนู เรื่องนี้บ่าวไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จหรอกเจ้าค่ะ สาวใช้ระดับล่างของเรือนชุ่ยไชเป็นคนพูดว่านางได้ยินเสียงอี๋เหนียงห้ากรีดร้องดังออกมาจากในเรือน ทั้งยังโวยวายเสียงดังว่าอย่าเข้ามานะ พอพวกนางวิ่งเข้าไปดูกลับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่อี๋เหนียงห้าหันหน้าตะโกนไปทางหนึ่งไม่หยุด อีกทั้งยังเป็นเช่นนี้ซ้ำซากทุกคืน”
อี๋เหนียงรองหัวเราะแกนๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ที่นี่มันเมืองกินคนจริงๆ เพิ่งจะเข้ามาอยู่ก็เสียสติไปคนหนึ่งแล้ว”
จือจือยังไม่รู้ตัวว่าถูกเอาไปเล่าลือว่ากลายเป็นบ้า
นางนั่งตัวตรงแหน็วอย่างเคร่งเครียด แล้วคว้าแขนสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “ไฉ่หลิง ถ้าอย่างไรคืนนี้เจ้าฟาดข้าให้สลบไปทีเถิด”
ไฉ่หลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “อี๋เหนียงห้า จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ”
จือจืออยากร้องไห้ ไม่นึกเลยจริงๆ ว่านางจะได้มาเจอผีที่สิงสถิตอยู่ในเรือนชุ่ยไช
ผีตนนั้นไม่ได้มีเรื่องมาไหว้วาน ทั้งยังไม่ได้พูดกับนาง มันจะปรากฏตัวตรงเวลาทุกวันเมื่อจือจือเข้านอน ซ้ำหน้าตายังน่าสยอนแสยงอย่างยิ่ง ราวกับประสงค์จะหลอกให้นางกลัวอย่างนั้น ถึงได้โผล่มาให้นางเห็นด้วยสภาพที่น่ากลัวที่สุด
จือจือไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว เพราะหลับตาลงทีไร ผีตนนั้นจะต้องมาพ่นลมใส่หู
“ฮ่าๆ”
“แบร่…”
“ฟืด…”
…
เด็กสาวรู้สึกว่าตนเองใกล้บ้าเต็มที
ผ่านไปแค่ไม่กี่วันนางก็ซูบลงถนัดตา นับเป็นครั้งแรกที่นางเจอผีที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ นางพยายามสื่อสารด้วยแล้ว แต่อีกฝ่ายแสยะยิ้มทะมึนให้นาง จากนั้นก็แกล้งทำหัวหล่น กลิ้งหลุนๆ ตกเตียงไปอยู่บนพื้น
แน่นอนว่าเจอแบบนี้จือจือเลยต้องหวีดร้องเสียงหลงอีกคำรบ
คนในตำหนักเล่าลือเรื่องผีกันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายไปเข้าหูกงหมัวมัว
นางขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง “เป็นสตรีที่ช่างหาเรื่องมาให้ปวดหัวเสียจริงๆ”
“หมัวมัว เรื่องนี้ต้องทูลองค์หญิงหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าองค์หญิงทรงเกลียดเรื่องพรรค์นี้ที่สุด” แววตาของกงหมัวมัวเย็นชาขึ้นทุกที “คืนนี้ข้าจะไปดูซิว่าผีตนนั้นที่อยู่ใด หากนางเด็กนั่นแกล้งกุเรื่องผีขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะจับนางถลกหนังเสีย”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็สะท้านเฮือก แล้วรีบก้มหน้างุด
กงหมัวมัวร้องหึ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าตำหนักบรรทมขององค์หญิง
ตำหนักบรรทมเงียบสงัดผิดปกติ ได้ยินแค่เสียงฝีเท้านางเท่านั้น
“องค์หญิง ท่านหมอหลิวมาแล้วเพคะ”
นางหยุดยืนหลังกระจกสำริด
“กงหมัวมัว ได้ยินว่ามีคนเจอผีรึ”
หญิงสูงวัยขมวดคิ้ว รีบตอบกลับไปว่า “องค์หญิงโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจะจัดการเรื่องนี้ทันทีเพคะ”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ดวงหน้างดงามที่สะท้อนอยู่บนบานกระจกคลี่ยิ้ม “ข้าเองก็อยากเจอผีบ้างเหมือนกัน”
บทที่ 16
“อะไรนะ!” จือจือตกใจจนทำถ้วยชาหลุดมือ ฝาถ้วยหมุนควงไปมาหลายรอบก่อนจะร่วงตกพื้นแตก
ไฉ่หลิงร้องบอก “อี๋เหนียงห้าระวังมือเจ้าค่ะ!”
จากนั้นนางก็กระวีกระวาดเก็บเศษฝาถ้วยชา แล้วใช้แพรพกเช็ดน้ำชาบนโต๊ะ เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองนายหญิงของตนเอง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
นี่อี๋เหนียงห้าร้องไห้หรือ
ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีด ราวกับคนใกล้ตายอย่างนั้น
“ไฉ่หลิง ข้าไม่ไปได้หรือไม่” จือจือถามเสียงหวิว
สาวใช้ทำหน้าเหยเก “กงหมัวมัวสั่งให้คนมาบอกนะเจ้าคะ”
คงเพราะเรื่องผีถูกเล่าลือหนักขึ้นเรื่อยๆ เช้าวันนี้กงหมัวมัวจึงส่งคนมาบอกว่าองค์หญิงไม่ใคร่สบาย สั่งให้อี๋เหนียงห้าจือจือไปเฝ้าไข้ในคืนนี้
พอจือจือได้ยินเข้าก็ทำท่าอมทุกข์ราวกับญาติเสีย ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม เหมือนหมดอาลัยจะมีชีวิตต่อไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่จะให้ตายจริงก็ไม่กล้า ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันย่ำค่ำ ข้ารับใช้ประจำพระองค์ขององค์หญิงก็มาหานางแล้ว
นางกำนัลที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคลี่ยิ้มหวานล้ำ “บ่าวเพ่ยหลัน คารวะอี๋เหนียงห้า คืนนี้อี๋เหนียงห้าต้องไปถวายงานเฝ้าไข้ บ่าวจึงมาช่วยท่านเตรียมตัวเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็ผินหน้าไปอีกทางเล็กน้อย “ยกของเข้ามา”
จือจือมองข้าวของที่ถูกยกเข้ามาวางเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็วแล้วชะงักไป
“องค์หญิงทรงอยู่ในฐานะสูงส่งเหนือคนทั่วไป หากคนที่อี๋เหนียงห้าปรนนิบัติคือราชบุตรเขย ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้ แต่นี่ท่านต้องไปถวายงานข้างพระวรกาย ดังนั้นของบางอย่างจึงต้องทำตามกฎระเบียบเจ้าค่ะ”
จือจือไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะถูกลากเข้าไปในห้องอาบน้ำ แล้วขัดตัวอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ ใช่ ต้องใช้คำว่า ‘ขัด’ สาวใช้สองคนถือแปรงขัดถูทั่วร่างนาง ไม่ยอมปล่อยให้เล็ดลอดสายตาแม้แต่กระเบียดนิ้ว จือจือหน้าแดงซ่านด้วยความอาย เพราะเพิ่งเคยถูกผู้อื่นทำเช่นนี้ให้เป็นครั้งแรก
เพ่ยหลันยืนจับตามองอยู่ข้างๆ พลางส่งเสียงกำกับ “พวกเจ้าจำไว้ให้ดี องค์หญิงไม่ทรงโปรดปรานเครื่องหอมใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจะให้มีกลิ่นหอมไม่ได้ เสื้อผ้าที่อยู่ตรงนั้นต้องให้อี๋เหนียงห้าลองใส่ก่อน ดูว่าชุดใดพอดีตัวและไม่ระคายมือที่สุด จะได้ไม่บาดพระฉวีอันเนียนนุ่มขององค์หญิง”
จือจือถูกพวกนางจับทำโน่นทำนี่ราวกับหุ่นกระบอก
“อย่าแต่งหน้าเป็นอันขาด หากองค์หญิงทรงแพ้แป้งเหล่านี้ขึ้นมาจะแย่เอา”
“ลองดูซิว่าถุงเท้าคู่นั้นเนื้อเนียนละเอียดพอหรือไม่”
“ผมของอี๋เหนียงห้าแห้งสนิทหรือยัง อย่าทิ้งไอชื้นเอาไว้ให้กระทบพระวรกายได้เป็นอันขาดเชียว”
สุดท้ายยังมีหมอโผล่มาสมทบคนหนึ่ง
“อี๋เหนียงห้า ท่านนี้คือท่านหมอเจิงประจำตำหนัก บิดาและพี่ชายของท่านหมอล้วนเป็นแพทย์อยู่ในวังหลวงทั้งสิ้น ปกติคนในตำหนักเจ็บไข้ได้ป่วยอันใดท่านหมอเจิงก็จะเป็นคนรักษาให้ตลอด คืนนี้อี๋เหนียงห้าต้องไปถวายงานเฝ้าไข้องค์หญิง จึงจำต้องตรวจดูก่อนว่าร่างกายท่านแข็งแรงดีหรือไม่” เพ่ยหลันกล่าว
จือจือไม่มีความคิดเห็นใดๆ แล้ว เพราะถูกปู้ยี่ปู้ยำจนเหนื่อยแล้ว
หลังหมอเจิงตรวจเสร็จเรียบร้อย เพ่ยหลันก็ห่มเสื้อคลุมกันลมให้นาง เสื้อคลุมตัวนี้ก็ตัดเย็บจากผ้าชั้นเลิศเช่นกัน
“เดี๋ยวตอนขึ้นเกี้ยวอี๋เหนียงห้าโปรดก้าวระวังด้วยนะเจ้าคะ จะได้ไม่สะดุดล้ม” เพ่ยหลันบอกอย่างอ่อนหวาน
จือจือฝืนยิ้ม “ขอบคุณแม่นางเพ่ยหลันที่เตือน”
เพ่ยหลันช่วยประคองนาง ภายใต้น้ำเสียงหวานหยดคือความเยียบเย็นหม่นทะมึน “อี๋เหนียงห้าอย่าได้เกรงใจไปเจ้าค่ะ ในสายตาของบ่าวอย่างพวกเรา เรื่องขององค์หญิงสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น คืนนี้อี๋เหนียงห้าโปรดใส่ใจระมัดระวังให้มากด้วยนะเจ้าคะ” นางนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม “อ้อ อี๋เหนียงห้าไม่ต้องเกร็งเกินไปก็ได้ องค์หญิงทรงเรียบง่ายเป็นกันเองเจ้าค่ะ เพียงแต่ทรงไม่โปรดให้ใครมาทำหลอกผีหลอกสางเท่านั้น”
จือจือถูกส่งขึ้นเกี้ยว ระหว่างทางนางบิดแพรพกจนแทบขาด ทำเช่นไรดี ชาติที่แล้วนางไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้เลย
ชาติก่อนท่านผู้นั้นไม่เคยเรียกนางไปพบตามลำพัง เรื่องจะมอบหมายงานสำคัญอย่างเฝ้าไข้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วสภาพเช่นนี้ดูไม่เหมือนไปเฝ้าไข้เลยสักนิด เหมือนจับนางไปสังเวยให้จอมปีศาจสักตนกินมากกว่า
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงประโยคที่เพ่ยหลันพูดกับตนก่อนขึ้นเกี้ยว
‘…ทรงไม่โปรดให้ใครมาทำหลอกผีหลอกสาง’
หมายความว่าอย่างไรกันนะ
จือจือกะพริบตา อย่าบอกนะว่ามีคนจับได้ว่านางมองเห็นผี ทะ…ท่านผู้นั้นคิดจะฆ่านางตอนนี้เลยใช่หรือไม่
ยามนี้เกี้ยวหยุดลงแล้ว
“อี๋เหนียงห้า ลงจากเกี้ยวได้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงของเพ่ยหลันดังขึ้นข้างนอก
จือจือทำตัวหดอยู่ในเกี้ยว รู้สึกว่าตนเองช่างเล็กกระจ้อยร่อย น่าสงสาร และไร้ทางสู้เสียนี่กระไร
“อี๋เหนียงห้า?” เพ่ยหลันเรียกซ้ำ
จือจือสูดหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆ เอื้อมมือออกไปแหวกม่าน เพ่ยหลันกำลังยืนอมยิ้มน้อยๆ มองนางอยู่ข้างนอก
“เร็วหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อี๋เหนียงห้า อย่าให้องค์หญิงทรงรอนาน”
จือจือก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้า “มะ…แม่นางเพ่ยหลัน คืนนี้ข้ายังจะได้กลับไปหรือไม่”
ที่นางอยากถามคือยังสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่
“ข้อนี้…ต้องดูว่าองค์หญิงจะทรงว่าอย่างไรเจ้าค่ะ” เพ่ยหลันเอ่ยเร่งอีกครั้ง “อี๋เหนียงห้าโปรดรีบตามข้ามาเถิด”
ต้องตายแน่แล้ว…
จือจือหน้าซีดเผือด นางเดินตามเพ่ยหลันไปเรื่อยๆ จวบจนเห็นกงหมัวมัว นางกำนัลถึงค่อยหยุดเท้า
“กงหมัวมัว อี๋เหนียงห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสูงวัยตวัดตามองนางด้วยสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวอยู่นาน ถึงค่อยถามผ่านน้ำเสียงเย็นชา “ทุกอย่างตามทำตามระเบียบขั้นตอนหรือไม่”
“เรียนหมัวมัว ทำเจ้าค่ะ”
กงหมัวมัวหรี่ตา “เช่นนั้นอี๋เหนียงห้าก็ตามข้าเข้าไปได้”
จือจือไม่มีทางเลือก นอกจากตามกงหมัวมัวเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิง
ข้างในเงียบวังเวงราวกับไม่มีใครอยู่ คนที่เดินนำหน้าก็ไม่ส่งเสียงให้ได้ยินสักนิด ราวกับเป็นแมวดำฝีเท้าเบาอย่างไรอย่างนั้น
ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในห้องนี้ จือจือก็ตัวสั่นน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่ นางได้ยินเสียงฟันตนเองกระทบกันด้วยซ้ำ ฟันบนกระทบฟันล่างดังกึกๆ เป็นเสียงที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
กงหมัวมัวหยุดเท้า หันหน้าพูดไปทางหนึ่งอย่างนอบน้อม “องค์หญิง พามาแล้วเพคะ”
จือจือก้มหน้างุด ไม่กล้ามองอะไรทั้งสิ้น
“มาแล้วหรือ”
นางคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี เพราะถึงอย่างไรก็จับตามองท่านผู้นั้นมาถึงสามปีเต็ม
เสียงสตรีของท่านผู้นั้นทุ้มต่ำกว่าเสียงสตรีทั่วไปเล็กน้อย หางเสียงเจือความกังวานเย็นชาเอาไว้เป็นเนืองนิตย์ ราวกับก้อนอิฐในวังหลวงก็ไม่ปาน แต่นางต้องยอมรับว่าเป็นน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟังอย่างยิ่ง
แต่ก่อนเวลาอีกฝ่ายท่องโคลงยามอารมณ์ดี จากที่กำลังตาจ้องตากับมังกรทองตัวน้อยอยู่ นางยังถึงกับผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
กงหมัวมัวหันมาจ้องเด็กสาวด้วยแววตาที่ไม่สะท้อนความรู้สึกใดทั้งนั้น “อี๋เหนียงห้าเข้าไปได้แล้ว”
จือจือกัดฟัน แล้วขยับเข้าไปทีละก้าว
ม่านแพรอยู่ใกล้เข้ามาทุกที ใกล้จนนางเห็นร่างของคนที่อยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
ฝ่ายตรงข้ามอยู่ในท่านั่ง เหมือนจะมองนางอยู่เช่นกัน
“เจ้าชื่ออะไร” อยู่ๆ ท่านผู้นั้นก็ถามขึ้น
จือจือแทบเข่าทรุด ไม่สิ นางทรุดลงไปคุกเข่าแล้วต่างหาก
“มะ…หม่อมฉัน…หม่อมฉันจือ…จือ…ถวาย…ถวายบังคมองค์หญิง” ประโยคสั้นนิดเดียว นางพูดเสียขาดเป็นห้วงๆ
เสียงหัวเราะน้อยๆ ดังแว่วขึ้นในอากาศอันเงียบสงัด ทั้งแผ่วเบาและแฝงความสนอกสนใจของเจ้าของเอาไว้ “เจ้าติดอ่างหรือว่าตื่นเต้นกันแน่”
จือจือหน้าเหยจนใบหน้าแทบยู่ย่นเป็นก้อน เหงื่อเย็นชื้นไหลซึมออกมาจากกลางฝ่ามือ
“มานี่” ท่านผู้นั้นส่งเสียงอีกครั้ง
จือจือตั้งใจจะลุกขึ้น ทว่าแข้งขาอ่อนแรงเสียจนลุกไม่ไหว นางใช้มือยันพื้นพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จนแทบร้องไห้ออกมาด้วยความร้อนใจ
ทำอย่างไรดีนะ ‘นาง’ จะต้องฆ่านางแน่ๆ
ตายแน่แล้ว!
ต้องตายแน่แล้ว!!!
“ตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เสียงฝีเท้าดังมากระทบหู
“ทำไม ข้าน่ากลัวกว่าผีอีกหรือไร”
มือเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งข้างหนึ่งพลันเอื้อมมาจับคางนาง จือจือเงยหน้าขึ้น จากนั้นใบหน้างดงามก็สะท้อนลงมาในดวงตา
ใครก็ตามที่เพิ่งเคยเห็นใบหน้านี้เป็นครั้งแรกจะต้องถูกสะกดจนตะลึงงัน เพราะทุกอณูเหมือนถูกสวรรค์บรรจงสลักเสลาขึ้นมาอย่างประณีต ไม่ว่าจะเป็นนัยน์ตาที่ราวกับซุกซ่อนอะไรต่อมิอะไรมากมายเอาไว้ หรือกลีบปากแดงสดประหนึ่งดื่มโลหิต
ดวงตาคู่นั้นช่างงามแท้ เห็นว่ามารดาขององค์หญิงมีสายเลือดชาวหูนัยน์ตาขององค์หญิงจึงไม่ได้เป็นสีดำสนิท แต่เป็นสีชาสุกใสราวกับลูกแก้ว เนื่องจากต้องปลอมเป็นหญิง เจ้าตัวจึงจำต้องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างสตรี เป็นต้นว่าคิ้วที่เรียวยาวเย้ายวน ใต้คิ้วซ้ายยังมีไฝแดงเม็ดหนึ่ง เหมือนช่างวาดเผลอทำสีหยดใส่ ทว่าก็เหมาะเจาะกลมกลืนและช่วยเสริมความงามให้ใบหน้านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อ ‘นาง’ กลับคืนสู่ตัวตนที่เป็นชายก็ถูกโจมตีจากคนไม่น้อยว่าเป็นครึ่งชายครึ่งหญิง
‘นาง’ ได้แต่ใช้เลือดคนพวกนั้นมาล้างถ้อยคำสบประมาท
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด คนที่อยู่ตรงหน้าก็ทั้งงดงามและอำมหิตเสมอ ‘นาง’ มีรูปกายที่สวรรค์ประทานความรักให้อย่างล้นเหลือ แต่หัวใจกลับเป็นสีดำสนิท
ความจริงจือจือเห็นใบหน้านี้มาจนชิน แม้ในยามที่เจ้าของแต่งกายเยี่ยงบุรุษก็เช่นกัน
ยามแต่งกายเป็นชาย ‘นาง’ ดูแตกต่างกว่าตอนสวมชุดสตรีเป็นคนละคน แม้จะยังงามล้ำเหมือนเก่า แต่ไม่ใช่ความงามที่มองแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีแต่อย่างใด เพราะแววตาอิตถีเพศไม่มีทางเหี้ยมโหดดุดันเยี่ยง ‘นาง’ ได้
ฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจร้ายที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และน่ากลัว ขณะที่จือจือเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น
ในสายตานาง ใบหน้างดงามดวงนี้น่ากลัวยิ่งกว่าใบหน้าผีร้ายที่จ้องจะเอาชีวิตคนด้วยซ้ำ
“หน้าตาไม่เลวนี่” องค์หญิงใช้ปลายนิ้วลูบไล้คางนาง “โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้”
เมื่อปลายนิ้วลากขึ้นมาถึงหางตา จือจือก็กลั้นหายใจอย่างห้ามไม่อยู่
‘นาง’ อมยิ้มตรงมุมปาก แสงประหลาดเป็นประกายวาบในดวงตา ราวกับว่าจือจือเป็นของเล่นแสนสนุกที่ดึงความสนใจของ ‘นาง’ ได้อยู่หมัด
“ดวงตาคู่นี้น่ะหรือที่เห็นผี” เสียงของ ‘นาง’ แผ่วเบายิ่งนักเมื่อเอ่ยคำว่า ‘ผี’ หากไม่เพราะจือจืออยู่ใกล้แค่นิดเดียวคงได้ยินไม่ถนัด
จือจือกลัวจนทนไม่ไหว น้ำตาเริ่มเอ่อออกมาคลอเบ้าแล้ว นางไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น เหมือนหากขยับปากพูดจะต้องตายทันที อันที่จริงตอนเป็นผี นางกลัวแค่มังกรทองตัวน้อยบนศีรษะอีกฝ่ายเท่านั้น ส่วนเจ้าของมังกรมองไม่เห็นนางและไม่มีทางทำร้ายนางได้อีก เพราะนางตายไปแล้ว แต่เวลานี้นางได้กลับมาเป็นคนอีกครั้ง มองมังกรทองตัวน้อยไม่เห็นอีกต่อไป ต้นเหตุความหวาดกลัวของนางคือฝ่ายตรงข้ามต่างหาก
ทันใดนั้นองค์หญิงก็ชักมือกลับไปแล้วผินหลังให้ “น่าเบื่อ”
“องค์หญิง จะทรงให้ส่งตัวนางกลับไปหรือไม่เพคะ” เสียงกงหมัวมัวพลันดังขึ้น
ที่แท้กงหมัวมัวยังไม่ออกไป
องค์หญิงยืนหันหลังให้จือจือ สักพักถึงค่อยตอบว่า “ไม่ต้อง ให้นางอยู่เฝ้าไข้ต่อ เจ้าออกไปก่อนไป”
“เพคะ”
ประตูตำหนักถูกเปิดออกแล้วปิดลงดังเดิม
“เจ้าชื่อจือจือหรือ ใช้จือตัวใด”
เด็กสาวพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ แล้วตอบเสียงแหย “จือในคำว่าจือหมาที่แปลว่าเมล็ดงาเพคะ”
“…” องค์หญิงหมดคำพูดไปในทันใด
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.