X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักอุบายรักลิขิตเสน่หา

ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 20

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 20 ความรักลึกซึ้งแนบแน่น

เฮ่อหลันฉือไม่มีท่าทางประหนึ่งไม่ยี่หระต่อความตายแต่บนใบหน้ายังคงดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด หรือพูดได้ว่าโล่งใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อถูกดวงตาที่เปล่งประกายร้อนแรงคู่นั้นจ้องมองเช่นนี้ เป็นใครก็ไม่อาจสงบนิ่งได้เลยจริงๆ

นางรู้สึกได้ว่าเสียงของลู่อู๋โยวแหบพร่า จึงค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบลงบนหลังมือของเขา เพราะความตื่นเต้นฝ่ามือของนางจึงชื้นเล็กน้อย ในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ทำให้เกิดความเหนียวเหนอะที่ชะล้างไม่ออกอยู่บ้าง

“…ไม่มีใครให้เจ้าเป็นอริยชน” น้ำเสียงของนางคล้ายเริ่มจะเรื่อยเฉื่อยมากขึ้นและแผ่วเบาอย่างยิ่ง ฟังแล้วเหมือนดังอยู่ในความฝัน

ลู่อู๋โยวรับรู้ได้ถึงฝ่ามือของเด็กสาวที่แนบชิดอย่างอ่อนนุ่ม ขนตายาวขยับขึ้นลงอยู่ใต้มือที่ทาบปิด พลิ้วผ่านอย่างหยอกเย้า ฝ่ามือที่มักจะเย็นเฉียบราวกับหยกเกิดไออุ่นน่าหลงใหลเล็กน้อยเช่นกัน

ท่าทางของเฮ่อหลันฉือถึงแม้จะตื่นเต้น แต่ไม่ได้สั่นเทาและดูไม่มีความหวาดกลัว

“ข้าอยากเป็นไม่ได้หรือ” เสียงของลู่อู๋โยวยังคงแหบพร่า เอ่ยอย่างอดกลั้นว่า “แต่…ข้าใช่ว่าจะหยุดเมื่อไรก็ได้จริงๆ”

นี่เป็นความรำคาญใจที่ไม่อาจสื่อสารได้

ลู่อู๋โยวย่อมอยากจะใกล้ชิดกับนาง

หากความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนก่อนแต่งงานยังพอว่า เฮ่อหลันฉือไม่กังวลอะไรในตัวเขา ท่าทีก็เป็นธรรมชาติมาก การตอบสนองทุกอย่างเป็นความจริงที่สุด เขาสามารถปรับให้ดีขึ้นได้ บางครั้งก็อาจจะต้องใช้วิธีตลบตะแลง

ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาถูกพันธนาการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกบังคับให้ผูกติดกันนี้ สำหรับคนแบบเฮ่อหลันฉือ เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขา รวมถึงการทำหน้าที่สามีอย่างเต็มที่ของลู่อู๋โยว ทำให้สิ่งที่เขาพูดหรือความต้องการที่เขาร้องขอกับนางแท้จริงแล้วแฝงการข่มขู่และบีบบังคับโดยไม่รู้ตัว การทำดีหวังผลตอบแทน นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก่อนหน้านี้

ต่อให้นางจะยอมรับการนอกรีตของเขาได้ แต่ในช่วงนี้ยังเป็นแนวคิดดั้งเดิมอยู่

เฮ่อหลันฉือกดหลังมือของลู่อู๋โยว รับรู้ถึงความหวั่นไหวของเขา นอกจากเกิดไฟโทสะแล้วยังมีความสงสารที่ไม่อาจบรรยายได้อีกหลายส่วน

นี่แย่แล้วจริงๆ

นางคิดว่าบางทีการท้าทายอาจจะดีกว่า

“ใต้เท้าลู่ ตอนแรกเหตุใดไม่เห็นเจ้าหวั่นเกรงมากเช่นนี้เลย ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป…” เฮ่อหลันฉือลากเสียงพูด “เกรงว่าข้าคงต้องสงสัยแล้วว่าเจ้ามีโรคซ่อนเร้นอะไรใช่หรือไม่”

ลู่อู๋โยว “…?”

เขาเลื่อนมือออก ประสานสายตากับนางแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าไปเรียนกลยุทธ์ยั่วยุมาจากที่ใด”

“ใช้ประโยชน์ได้ก็พอ สรุปแล้วมีหรือไม่…”

ริมฝีปากของลู่อู๋โยวประกบลงมาบนริมฝีปากของนางอย่างห้ามใจไม่อยู่ แต่การจุมพิตยังคงแฝงความยับยั้งชั่งใจไว้เล็กน้อย เป็นวิธีการจุมพิตที่ยืดเยื้อมาก ไม่ค่อยร้อนแรง แต่มีความทะนุถนอมอยู่หลายส่วน

เฮ่อหลันฉือยืดตัวตรง งอสองขา ปล่อยให้เขาจุมพิตอย่างเชื่องช้าสักพักหนึ่ง

ผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจทราบลู่อู๋โยวถึงได้คลายริมฝีปาก กดไหล่ของนางแล้วเบือนหน้าออกเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแหบพร่ายิ่งขึ้น

“เช่นนั้นเจ้าสามารถทำความรู้จักข้าใหม่อีกครั้ง ข้ามีความกังวลค่อนข้างมาก”

เฮ่อหลันฉือถูกเขาจุมพิตจนแก้มแดงเรื่อ หลุบตาลงแล้วเอ่ยว่า “แล้วเจ้ายังมาพูดอีกว่าอยากให้ข้าเป็นอิสระ ทั้งที่เจ้าเองยังไม่เป็นอิสระเลย”

ลู่อู๋โยวหันมาพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า “นี่เกี่ยวอะไรกับการเป็นอิสระ อิสรภาพของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าเสียหน่อย…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้ากำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร”

เฮ่อหลันฉือไม่คิดจะพูดเหตุผลอะไรกับเขาอีก เพียงเอ่ยออกมาทีละคำว่า “เจ้า คิด มาก ไป แล้ว”

ลู่อู๋โยวจ้องมองนาง

เฮ่อหลันฉือเวลานี้ช้อนตาขึ้นประสานสายตากับเขา ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อยเช่นกัน

แสงจันทร์สว่างนอกหน้าต่างส่องกระทบบนใบหน้าขาวสะอาดงดงามของนาง

นี่เป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่งจริงๆ ความงามของนางมีเสน่ห์ในตัวเองภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน อย่างเช่นเวลานี้มองไป เพราะแววตาสุกใสที่กระจ่างและหนักแน่นดูน่าตื่นตะลึงอยู่หลายส่วน ราวกับหญิงงามบนภาพวาดที่หลังจากถูกเติมดวงตาก็เกิดจิตวิญญาณ มีชีวิตขึ้นมา

มีชีวิตชีวาหอมจรุงใจ

ลู่อู๋โยวกับเฮ่อหลันฉือเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ เช่นนี้อยู่ครู่ใหญ่

จู่ๆ ก็คิดถึงตอนที่อยู่ในเมืองชิงโจว ตอนที่ไม่มีใครเห็นพวกเขาสองคนก็มองอีกฝ่ายอย่างท้าทายเยี่ยงนี้เช่นกัน แต่เวลานั้นเขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเลย ไม่เหมือนเช่นตอนนี้ จิตใจไม่สามารถฟุ้งซ่านไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

เช่นเดียวกับหยาดฝนนอกหน้าต่างที่ตกกระทบหลังคา ขอบหน้าต่าง และบนพื้นไม่หยุด เกิดเป็นเสียงดังจนหูแทบหนวก ราวกับมันรวมตัวกันจนกลายเป็นเสียงที่น่าตกใจ

ความมุ่งมั่นในการหาปัญหาใส่ตัวเหล่านั้นของเขาเริ่มสั่นคลอน

ถึงขั้นมีช่วงเวลาหนึ่งลู่อู๋โยวฉุกคิดว่าอะไรกันแน่จึงจะเป็นการเคารพปณิธานของนาง พวกเขาเกิดมาต่างกัน พบเจอสถานการณ์ต่างกัน เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง อิสรภาพกับการเลือกสรรสำหรับนางแล้วอาจจะเป็นความกลัดกลุ้มอย่างหนึ่งเช่นกัน

ความพยายามและความสับสนของเฮ่อหลันฉือเขาก็มองเห็นเช่นกัน ใช่ว่าจะรับรู้ไม่ได้…ก่อนหน้านี้คิดว่านางจงใจ แต่ที่จงใจอาจจะไม่ใช่นาง แต่เป็นใจของเขาเอง

สิ่งที่เขาคิดว่าเหมาะสมอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้ ในด้านนี้เขาไม่มีประสบการณ์ใดจริงๆ บางทีการปล่อยไปตามธรรมชาติอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ลู่อู๋โยวผ่อนหายใจเบาๆ มือที่กดไหล่ของนางค่อยๆ เพิ่มแรงเล็กน้อย

เขาอดทนจนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยแล้วเช่นกัน แต่สุดท้ายยังคงถามนางอีกครั้ง “เจ้าไม่ทำเรื่องเหล่านี้กับข้า ข้าก็จะไม่โกรธ ไม่มีคำโอดครวญ และไม่มีความไม่พอใจใดต่อเจ้า ไม่จำเป็นต้องถือมันเป็นภาระหน้าที่ เจ้ามั่นใจหรือว่า…”

เฮ่อหลันฉือจิกเล็บแน่นบนปลายแขนเสื้อ หน้าแดงขณะชิงพูดก่อนที่เขาจะถามออกมา “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยถามข้าว่าเจ็บหรือไม่”

ลู่อู๋โยวนิ่งเงียบ เขาจำได้เช่นกัน

เฮ่อหลันฉือพยายามใช้น้ำเสียงเรียบเฉยสะกดความอับอาย เลียนแบบน้ำเสียงของลู่อู๋โยวพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ก็…ไม่เจ็บมากนัก เจ้า…เจ้าเบาสักนิดก็พอ”

คำพูดนี้กลับทำให้คนฟังไม่อาจสงบนิ่งได้ ลู่อู๋โยวขยับลูกกระเดือกโดยไม่รู้ตัว

“คุณหนูเฮ่อหลัน” เขาเรียกนาง เอ่ยอย่างแทบจะห้ามใจไม่อยู่ “ข้าคิดว่าวันหน้าเจ้าอย่าพูดเช่นนี้เลย” เขากดไหล่ของนางลงบนเตียง “อย่าว่าแต่เป็นอริยชนเลย…” เสียงถอนหายใจยาวเค้นออกมาจากในปอดของลู่อู๋โยว “ข้าไม่อยากเป็นแม้แต่มนุษย์ด้วยซ้ำ”

“เจ้าพูดถูก สมองที่คิดอะไรมากมายนั่น ตอนนี้ไม่ต้องคิดแล้ว”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงเฮ่อหลันฉือก็ถูกลู่อู๋โยวจุมพิตจนมือเท้าทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เบิกตาโต

เมื่อครู่นางยังคิดว่าตนเองเคยชินกับการจุมพิตบ้างแล้ว แต่อันที่จริงไม่ใช่เลย

เมื่อครู่ลู่อู๋โยวเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น ตอนนี้เขากำลังปล้นชิง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นในเวลาอันสั้น หยดน้ำราวกับม่านหมอกเอ่อขึ้นในดวงตา ทำได้เพียงส่งเสียงเบาๆ ที่ทำให้คนฟังหน้าแดงได้ออกมาจากปาก

ตอนที่พลิกตัวชุดนอนก็คลายเลื่อนลงมาเล็กน้อยเช่นกัน

ลู่อู๋โยวยังคงจุมพิตนางต่อไป จนกระทั่งร่างกายของนางร้อนขึ้นจึงพูดเหมือนนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เจ้าบอกว่าข้าพูดน้อยจะน่าเอ็นดู เจ้าพูดจริงหรือไม่”

เฮ่อหลันฉือมองลู่อู๋โยวอย่างเหม่อลอย ในช่องปากยังมีลมหายใจของเขาค้างอยู่ คาดไม่ถึงเลยว่าหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้อย่างฉับพลัน

“ข้าพูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง”

ลู่อู๋โยวสีหน้าเบิกบาน จุมพิตนางอีกสองทีแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นเจ้าไม่คิดว่าข้าพูดมากหรือ”

เฮ่อหลันฉือหายใจหอบพลางพูด “ก็ใช่ว่าจะไม่คิด แต่ว่า…พูดน้อยแล้วเหมือนไม่ใช่เจ้า…” นางยังพูดไม่จบก็ร้องออกมาด้วยความตกใจทันใด เมื่อรู้สึกว่านิ้วยาวที่เย็นเล็กน้อยสอดเข้ามาทางชายเสื้อ ลูบผิวเนื้อช่วงท้องและเอวของนาง

ลู่อู๋โยวจุมพิตมุมปากของนาง แล้วพูดด้วยเสียงแหบพร่าช้าๆ “ผิวเจ้าลูบแล้วเนียนลื่นมาก ข้าสามารถ…”

ใบหน้าของเฮ่อหลันฉือร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

ความอดทนและการสะกดอารมณ์ของลู่อู๋โยวหลายวันมานี้ทำให้นางลืมปากที่พูดจาไม่มีหูรูดของเขาไปชั่วขณะ ไม่แยกแยะสถานการณ์และไม่แยกแยะเวลาสถานที่โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะตอนที่ใกล้ชิดกับนาง เขามักจะถามคำถามบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง

เฮ่อหลันฉือพูดจาไม่เป็นมิตรทันที “ทางที่ดีเจ้ารู้กาลเทศะสักนิดเถิด อย่าถามข้าด้วยคำถามประหลาดเหล่านั้นหรือเรื่องที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอีกเลย”

ไม่เช่นนั้นนางอาจจะตายไปพร้อมกับความอับอายของตนเองก็ได้ และดึงลู่อู๋โยวให้ตายไปพร้อมกันด้วย

ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ เลิกหางคิ้วขึ้นถามว่า “ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต หมายความว่า…ข้าทำอะไรก็ได้ใช่หรือไม่”

เฮ่อหลันฉือไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปเช่นไร โชคดีที่ลู่อู๋โยวเหมือนจะได้คำตอบแล้ว จากนั้นนางก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจอีกครั้งแล้วรีบยกมือปิดปาก ใช้หลังมืออุดเสียงครางเอาไว้

หยาดน้ำใสเอ่อล้นขึ้นมาในดวงตาของเฮ่อหลันฉืออีกครั้ง นางงอขาเรียวยาวข้างหนึ่งอย่างทนไม่ไหว แต่กลับถูกมืออีกข้างหนึ่งของลู่อู๋โยวกุมหัวเข่าเอาไว้

น้ำเสียงของลู่อู๋โยวยังคงแหบพร่า เขาพยายามสะกดอารมณ์อีกครั้ง พูดเสียงเบาว่า “เจ้าไม่ให้ข้าถาม แต่ถ้าไม่สบายตัว…ต้องบอกมาตามตรงนะ”

เฮ่อหลันฉืออยากจะพูดว่าตอนนี้ก็ไม่สบายตัวนัก…แต่นางเพียงแค่กัดหลังมือขาวเนียนที่เกร็งแน่นของตนเอง

ลู่อู๋โยวเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงเริ่มกัดตนเองแล้วเล่า ข้ายังไม่ได้ทำอะไร…”

เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวจึงพูดว่า “นี่ไม่ได้เรียกว่าไม่ได้ทำอะไรกระมัง!”

มีเสียงน้ำดังขึ้นเบาๆ ในอากาศ เพราะถูกกลบด้วยเสียงฝนจึงฟังไม่ชัดเจนนัก

ค่ำคืนนี้เหมือนดึกมากแล้ว มีเพียงหยาดฝนที่ตกลงมาไม่หยุดส่งเสียงไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืนรบกวนความฝันของคนและหอบเอาความเย็นสดชื่นมาให้ แต่ภายในห้องกลับอุ่นร้อนอย่างยิ่ง ถึงขั้นรู้สึกเหนียวเหนอะเล็กน้อย

ลู่อู๋โยวหลุบตาลง จุมพิตข้างแก้มของเด็กสาวที่หันหน้าไปเล็กน้อย “ข้าก็แค่…ให้มาตอบกลับตามมารยาท เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำกับข้า”

เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงคลายหลังมือ เปลี่ยนมากัดริมฝีปากแน่นแล้วเอ่ยว่า “นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร…”

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว นางดวงหน้าใบหูแดงก่ำ เขินอายอย่างยิ่ง

ลู่อู๋โยวกลับแนบลงมาข้างใบหูของนางแล้วเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหลอีกสองประโยค

เฮ่อหลันฉือยกมือปิดตาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าพูดอีกเลย!”

นางตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกเพียงว่าขาของตนสั่นอย่างรุนแรง ในสมองเต็มไปด้วยเสียงน้ำแปลกๆ ที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ลู่อู๋โยวยังคงเคลื่อนไหวช้ามาก ดูเหมือนตอนนี้จู่ๆ เขาก็ไม่รีบร้อนแล้ว

“เจ้าตื่นเต้นเกินไปแล้ว…” ลู่อู๋โยวพูดเสียงเบาอีกว่า “เช่นนั้นอีกครู่…”

เฮ่อหลันฉือเดิมทีไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเขาพูดเช่นนี้ในสมองของนางก็นึกถึงสิ่งที่ได้เห็นในสมุดภาพวาดเล่มเล็กตอนนั้นขึ้นมาทันที และนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสตอนที่นางช่วยเขา

ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นเช่นนี้…”

ลู่อู๋โยวพูดด้วยลมหายใจไม่สม่ำเสมอ “ไม่อย่างนั้นจะเป็นเช่นไรเล่า”

เฮ่อหลันฉือกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าไม่น่าจะทำได้กระมัง…”

ลู่อู๋โยวจุมพิตเนินไหล่ของนางเหมือนปลอบขวัญ “ก็เคยเกิดขึ้นแล้วมิใช่หรือ”

“แต่ตอนนั้นข้าจำไม่ได้แล้ว!”

ลู่อู๋โยวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่น่าจะไม่มีปัญหา…คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าต้องเชื่อใจตนเอง”

คำพูดของเขาไม่ได้ปลุกใจนางเลยแม้แต่น้อย นางอยากพูดเพียงว่า ‘ข้าคิดว่าเรื่องนี้ข้าพยายามไปก็ไม่มีประโยชน์…’

มีเสียงสวบสาบอีกพักหนึ่ง

ลู่อู๋โยวแนบริมฝีปากพูดข้างหูนางอีกหนึ่งประโยค

เฮ่อหลันฉือติ่งหูร้อนผ่าวขึ้นมา นางเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คล้ายถูกกระตุ้นจนหนังศีรษะชาวาบ นางกดไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนแรง ร่างกายเหมือนถูกเผาจนแดงก่ำ

ดวงตาดอกท้อของลู่อู๋โยวที่อยู่ตรงหน้าหลุบลงครึ่งหนึ่ง ขนตายาวปกคลุมปิดบังแววตาที่เปลี่ยนเป็นลึกล้ำ ใบหน้าหล่อเหลากระจ่างใสราวกับน้ำพุขึ้นสีแดงเรื่ออย่างประหลาด แม้แต่หางตายังถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วย หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เพราะอดกลั้นจนร่างกายแข็งตึงราวกับลูกธนูบนสาย

“เจ้าก็รุกมากเหมือนกันนะ…”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

ไม่รอให้นางคืนสติก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงร้องยาวนานเป็นพิเศษ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวกัดหลังมือของตนเองอีกครั้ง แต่จากนั้นก็ถูกลู่อู๋โยวรั้งเอาไว้

เขาเอ่ยว่า “เจ้ากัดอย่างอื่นเถอะ กัดข้าก็ได้…”

ดูเหมือนใจกว้างอย่างยิ่ง ทั้งที่…เฮ่อหลันฉือคิดว่าตอนนี้คนที่ใจกว้างยิ่งกว่าคือตัวนาง

ครั้งก่อนนางจำได้ไม่ชัดเจนนักจริงๆ เดิมทีก็อยู่ในสภาวะสติมึนงง เหลือเศษเสี้ยวเหตุการณ์เพียงน้อยนิดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ทุกช่วงเวลากระจ่างชัดเป็นพิเศษ

นางค่อยๆ เริ่มจำได้ว่าตอนนั้นเหตุใดตนเองถึงร้องไห้

เมื่อถึงจุดวิกฤตของความอดทน น้ำตาจะหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกของร่างกาย

เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวจับแขนของลู่อู๋โยวไว้ ในดวงตาพร่าเลือนเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะทรมานเช่นนี้ ทำได้เพียงพูดตะกุกตะกัก อยากให้เขาผ่อนแรงลงบ้าง แต่พอขยับปากจึงพบว่าเสียงของตนเองย่ำแย่จนถึงขีดสุดแล้ว

ปกติเสียงของนางแผ่วเบาก็ช่างเถอะ นางไม่รู้สึกอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่างเสียงของนางที่ถูกบีบให้เปล่งออกมากลับทำให้คนไม่อาจมองเป็นเรื่องปกติได้เลย

มันไม่เกิดผลอย่างที่คาดไว้แม้แต่น้อย บางที…ยังทำให้เกิดผลตรงกันข้าม

ใต้เปลือกตาของเฮ่อหลันฉือรู้สึกถึงไอร้อนเอ่อล้น ราวกับไข่มุกที่เอ็นร้อยขาด

ลู่อู๋โยวดึงตัวนางขึ้นมา ขยับใบหน้าเข้าใกล้ทั้งยังเช็ดน้ำตาให้นางอีกด้วย แต่ไม่ได้หยุดการกระทำด้านล่างเลยแม้แต่ครู่เดียว

เฮ่อหลันฉือสติเปิดเปิงเล็กน้อย ใช้แขนยันตัวอีกฝ่ายไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง อยากถามว่าเขาไม่เหนื่อยบ้างหรือ จากนั้นก็นึกได้ว่าเขามีพละกำลังที่น่าตกใจอย่างมากจริงๆ แต่นางก็พยายามออกกำลังอย่างดีแล้วแท้ๆ

 

ในขณะที่สติของเฮ่อหลันฉือกำลังกระเจิดกระเจิง สายฝนนอกห้องกลับตกหนักขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน ตกกระทบหลังคาอย่างรุนแรง ไม่ยอมหยุดพักแม้เพียงชั่วครู่ น้ำหยดใหญ่กระเด็นขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า

แม้แต่แผ่นกระเบื้องบนหลังคาก็ดูเหมือนจะต้านทานไม่ไหว สั่นสะเทือนเบาๆ เกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างน่าสงสาร ทั้งยังดูเป็นอันตราย

ที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งโตได้ไม่เท่าไรและดอกเบญจมาศที่เพิ่งผลิบาน ต้นกล้าเล็กถูกลมเร็วแรงพัดจนโอนเอน กิ่งก้านส่ายไหว ลำต้นสั่นคลอน

ส่วนดอกไม้ในลานบ้านที่ปลูกได้ไม่นานเวลานี้เพิ่งผลิบานเพียงเล็กน้อย ยังไม่บานทั้งผืน บางส่วนยังเป็นดอกตูม บางส่วนเกสรบานเพียงครึ่ง กลับถูกน้ำฝนจนเปียกเฉาไปหมดแล้ว

ซวงจือถูกพายุฝนนี้ทำให้ตกใจตื่นเช่นกัน นางมีภาพจำเลวร้ายในใจต่อฝนที่ตกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับเฮ่อหลันฉือ นางมองดูต้นไม้ดอกไม้ในลานบ้านผ่านช่องหน้าต่าง ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปกำบังช่วยเหลือพวกมันสักนิดดีหรือไม่ ทว่าสุดท้ายนางก็เลือกที่จะล้มเลิกความคิดแล้วนอนอยู่ภายในห้องอบอุ่นและไม่มีฝนรั่วต่อไปดีกว่า

แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอนนางก็พึมพำออกมาหนึ่งประโยค หวังว่าดอกไม้นี้อย่าได้ถูกฝนตกกระทบจนเสียหายเลย

 

เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าแย่แล้ว

ลู่อู๋โยวใช้นิ้วมือเกี่ยวผมที่ชุ่มเหงื่อออกจากหน้าผากของนางเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าหางเสียงกลับยกสูงอย่างเสแสร้ง ลมหายใจหอบเล็กน้อย

“ข้ารับรอง ครั้งสุดท้ายแล้ว”

เฮ่อหลันฉือยกมือขึ้นอย่างยากลำบากไร้เรี่ยวแรงมากดนิ้วของเขาเอาไว้ หลุบตาลงพลางพูดด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง

“เจ้า…ให้ข้าพักสักครู่ได้หรือไม่”

นางคิดออกในทันใด นี่เดิมทีควรเป็นเวลาที่ข้าหลับสนิทไปแล้ว! ไม่ใช่ปัญหาจากการฝึกฝนร่างกายของข้า!

ลู่อู๋โยวเห็นดังนั้น ถึงแม้จะยังกินไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ไม่บังคับฝืนใจ เพียงแค่ผ่อนลมหายใจแล้วขยับตัวออกเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือไร้เรี่ยวแรงและอ่อนนุ่มของนางข้างนั้นขึ้นมา จุมพิตปลายนิ้วสีชมพูจางๆ นั้นทีหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น

“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักสักนิด แต่เจ้าต้องทำความเข้าใจเสียใหม่…” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็อธิบายว่า “ข้าไม่มีโรคซ่อนเร้นจริงๆ”

เฮ่อหลันฉือเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม ถึงขั้นที่ไม่สามารถเต็มเปี่ยมไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

นางคว้าผ้าห่มบางมาคลุมตัวแล้วใช้มืออีกข้างปิดตาของตนเอง ยังคงมีความเขินอายอยู่หลายส่วน…ไม่ใช่สิ มีอย่างมากทีเดียว ร่างกายเริ่มขดเข้าไปข้างใน สีเลือดกระจายไปถึงติ่งหู ทั่วร่างราวกับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีแรงแม้แต่น้อย

นี่กี่รอบกันแน่…

เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหว หยิบหมอนนุ่มด้านข้างขึ้นมาแล้วซุกหน้าลงไป แต่ครู่ต่อมาก็นึกขึ้นได้อีกว่าของสิ่งนี้ดูเหมือนเคยหนุนอยู่ใต้เอวของนาง ทันใดนั้นก็ไม่อาจมองตรงไปที่มันได้อีก เมื่อครู่นางแยกแยะได้ไม่ชัดเจนว่าข้างหูมีเสียงฝนหรือเสียงหายใจหอบของลู่อู๋โยวมากกว่ากัน

ในเวลาเช่นนี้เสียงของเขาไม่ได้ชัดเจนและงามสง่าเหมือนยามปกติ

ในความน่าหลงใหลที่ประกอบอยู่ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นดูเหมือนยังแฝงรอยยิ้มบางๆ เอาไว้ด้วย รอยยิ้มเหล่านั้นอึมครึม เก็บซ่อน และไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับเค้นออกมาจากในปอดพร้อมด้วยลมหายใจแผ่วเบา ดึงดูดจิตวิญญาณ

และเขาพูดคำอะไรดีๆ ไม่เป็นจริงๆ ใครบ้างอยากถูกชื่นชมร่างกายในเวลาเช่นนี้

เฮ่อหลันฉือซุกหน้าลึกลงไปอีก

นางปิดหน้าได้เพียงครู่หนึ่งก็เห็นนิ้วยาวสองนิ้วยื่นเข้ามาดึงหมอนนุ่มของนางออก แล้วก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

“อย่าปิดจนหายใจไม่ออก…เมื่อครู่ข้าไม่ค่อยมีสติ ขออภัยด้วย ตอนนี้ข้าสงบสติลงแล้ว เจ้า…เจ็บหรือไม่ หรือให้ข้าดูสักนิด?”

เฮ่อหลันฉือเห็นนิ้วมือของเขา แต่ไม่อาจมองเขาตรงๆ ได้ นางเพียงแค่พูดเสียงอู้อี้ว่า “…ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ”

เสียงของลู่อู๋โยวดังลอยมาอีก “เมื่อครู่เจ้าร้องไห้จนแทบเสียสติเลย ข้าเป็นห่วงนิดหน่อย”

เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่หยุด!”

ลู่อู๋โยวกระแอมทีหนึ่ง “บอกเจ้าแล้วว่าข้าใช่ว่าจะหยุดเมื่อไรก็ได้ คุณหนูเฮ่อหลัน…ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งของ เรื่องเช่นนี้ไม่อาจควบคุมได้”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เฮ่อหลันฉือรู้สึกเพียงว่าตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมา ภายในห้องจึงมีแสงสว่างเล็กน้อย

เมื่อครู่อยู่ในความมืดยังดี แต่ภายใต้แสงไฟส่องสว่างสภาพยุ่งเหยิงเละเทะเต็มเตียงจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ลู่อู๋โยวถึงขั้นกำลังดึงผ้าห่มบางของนาง

เฮ่อหลันฉือคว้าเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว! เจ้าดับไฟเถอะ!”

ลู่อู๋โยวพูดโพล่งออกมา “อย่างไรเสียอีกครู่ฟ้าก็สว่างแล้ว”

“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องดูแล้ว!”

ทั้งที่เสียงแหบแห้งแต่ฟังแล้วเหมือนนางกำลังส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ลู่อู๋โยวหัวเราะอย่างทนไม่ไหวแล้วเอ่ยว่า “แต่เจ้าเองมองไม่เห็น ถ้าบาดเจ็บแล้ว เจ้า…”

“ถ้า…ข้าจะทายาเอง!” นางลดเสียงลง “ยาที่เจ้าให้ครั้งก่อนยังอยู่”

“ทั้งที่ตอนแรกใจกล้ามากมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้กลับเขินอายขึ้นมาแล้วเล่า”

เฮ่อหลันฉือพูดเสียงอู้อี้ “ข้ายังอยากถามเจ้าอยู่เลย เจ้าอยากเป็นอริยชนมิใช่หรือ ความยับยั้งชั่งใจและความกังวลของเจ้าเล่า…ดับไฟเสีย!”

เพราะกลัวว่าจะบีบคั้นนางมากเกินไป ลู่อู๋โยวจึงดับไฟจริงๆ

รอบข้างจมอยู่ในความมืดมิด

พายุฝนที่โหมกระหน่ำตลอดคืนในที่สุดเวลานี้ก็ค่อยๆ สงบลงกลายเป็นสายฝนโปรยปรายบางเบา อากาศเปียกชื้นนอกห้องค่อยๆ จางลงไปบ้าง แต่ภายในห้องกลับเหนียวเหนอะยิ่งขึ้น

ยังมีกลิ่นที่อธิบายไม่ถูกตลบอวลอยู่อีกด้วย

บอกไม่ถูกว่ากลิ่นหอมหรือไม่ แต่ทำให้คนเกิดอารมณ์ตื่นเต้นได้มากเหลือเกิน

ลู่อู๋โยวมองออกไปนอกหน้าต่าง ขนตายาวกะพริบเบาๆ เอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “อริยชนอะไรนั่น ไม่เป็นก็ได้ ข้ามีความปรารถนาของมนุษย์รุนแรงเช่นนี้ จะเป็นอริยชนได้อย่างไร ขอเพียงเจ้าไม่เสียใจภายหลังก็…”

เฮ่อหลันฉือเดิมทีหันหลังให้ ครั้นได้ยินเสียงของเขาก็หันหน้ามา

ใบหน้าด้านข้างของลู่อู๋โยวถูกล้อมกรอบด้วยแสงสลัว ไล้ไปตามปลายจมูกที่โด่งสูงเกิดเป็นเส้นโครงหน้าที่น่ามอง ทว่าแววตากลับสลัวลงหลายส่วน…

เฮ่อหลันฉือพูดตัดบทคำพูดของเขา “ข้าไม่ได้เสียใจภายหลัง ก็แค่…” นางพูดอย่างลังเลใจ “เหนื่อยเกินไป”

หลังจากพูดประโยคนี้จบนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าลู่อู๋โยวจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร

เห็นเพียงเขากลอกตามาอย่างรวดเร็วแล้วเลื่อนสายตาหนีโดยพลัน มุมปากที่เรียบตรงกระตุกเป็นมุมโค้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็โน้มตัวมาหาอีกครั้ง

เฮ่อหลันฉือตกใจจนรีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยมากจริงๆ!”

ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ จุมพิตขมับของนางอย่างแผ่วเบาทีหนึ่ง “หรือว่าข้าจะขอน้ำแล้วอุ้มเจ้าไปอาบน้ำดี? ตัวเจ้าชุ่มเหงื่อหมดแล้วกระมัง ทั้งยังรู้สึกเหนียวเหนอะอีก”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกหมดพลังจริงๆ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่อยากขยับเลยแม้แต่น้อย หนังตากำลังฝืนเปิดปรือ นางจึงพูดตามจริงว่า “ข้าอยากนอน”

ลู่อู๋โยวชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้านอนเถอะ”

สายตาของเฮ่อหลันฉือมองไปทางเด็กหนุ่มอย่างอ่อนล้า “ข้าเหนื่อย…”

นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่อู๋โยวปิดตา เวลานี้เขาดูแล้วพูดง่ายเป็นพิเศษ เฮ่อหลันฉือพูดอะไรเขาก็จะตอบตกลง น้ำเสียงก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง

“นอนเถอะ”

เป็นครั้งแรกที่เฮ่อหลันฉือไม่สามารถตื่นได้ตรงเวลา ร่างกายนางเหนื่อยล้าเกินไปมาก ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้นเป็นเพราะถูกแสงแดดแรงกล้าส่องตา เสียงฝนเบาลงไปกว่าครึ่งแล้ว มีเพียงเสียงตกพรำๆ เล็กน้อย

นางส่งเสียง “ซี้ด” เบาๆ อยากจะลุกขึ้นก็รู้สึกว่าข้างกายมีคนพูดเสียงเบาว่า “ตื่นแล้วหรือ”

เฮ่อหลันฉือตกใจเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปสำนักราชบัณฑิต”

วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของลู่อู๋โยว ถึงแม้การบรรยายตำราภายหลังค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นสองคนผลัดเปลี่ยนสอนห้องเดียว ไม่ต้องไปตำหนักเหวินหวาทุกวัน แต่วันอื่นๆ ลู่อู๋โยวยังคงต้องไปเข้างานประจำวันที่สำนักราชบัณฑิต

ลู่อู๋โยวตอบอย่างหน้าไม่อายว่า “ร่างกายไม่ค่อยสบายจึงขอลางาน ข้าจะทิ้งเจ้าไว้คนเดียวแล้วจากไปในตอนนี้ไม่ได้” จากนั้นเขาก็วางตำราอ่านฆ่าเวลาในมือลง “เอาล่ะ ตอนนี้ไปอาบน้ำได้หรือยัง”

เฮ่อหลันฉือหน้าแดงขึ้นมาทันใดอีกครั้ง

นึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงฝนโหมกระหน่ำเมื่อคืนนี้แล้วนางก็รู้สึกอึดอัดไปทุกหนทุกแห่งทันที โดยเฉพาะความรู้สึกที่ทิ้งค้างบนร่างกายยังคงชัดเจนเป็นพิเศษ เอวสะโพกปวดเมื่อย ร่างกายยังคงรู้สึกเหมือนถูกคนฉีกออกเป็นชิ้นๆ

นางตอบอย่างอึกอัก “ไม่ต้องแล้ว ข้าไปเอง…”

ลู่อู๋โยวเลิกคิ้ว “ข้ารอเจ้านานแล้ว เจ้าให้ข้าทำเรื่องนี้ให้เสร็จไม่ได้หรือ”

เฮ่อหลันฉือลองลุกขึ้น ผลปรากฏว่าไม่ค่อยแตกต่างจากครั้งก่อน และเพราะการกระทำที่ไม่ยับยั้งกว่าเดิมของเขา บางจุดบนร่างกายนางดูเหมือนจะบวมเจ็บมากยิ่งขึ้น นางพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก็ยังขยับตัวไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกลู่อู๋โยวอุ้มไป

ร่างกายเหนียวเหนอะไม่ค่อยสบายตัวจริงๆ

ลู่อู๋โยวอุ้มนางเข้าไปในถังอาบน้ำ จากนั้นก็แขวนชุดนอนของตนเองไว้บนราวเช่นกัน

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างตกใจ “เจ้าทำอะไร!”

“จะทำอะไรได้อีก จะอาบน้ำมิใช่หรือ” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “กลัวว่าเจ้าจะหมดสติอยู่ข้างในนี้ อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนทำ ข้าต้องรับผิดชอบสักนิดสิ คุณหนูเฮ่อหลันวางใจได้ ข้าไม่ทำอย่างอื่นหรอก”

เดิมทีรู้สึกอึดอัดเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ได้ยินสรรพนามนี้แล้วนางรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษจริงๆ

การสวมใส่เสื้อผ้าตามปกติของลู่อู๋โยวจะดูงดงามเรียบร้อย เพราะอายุน้อยจึงดูผอมบางอยู่บ้าง ทว่าหลังจากถอดเสื้อผ้าออกกลับเผยให้เห็นรูปร่างอันยอดเยี่ยมของคนที่ฝึกวรยุทธ์ เขามีกล้ามเนื้อชัดเจน โครงแขนราวกับแกะสลัก เอวและหน้าท้องเพียงเห็นก็รู้ว่าเต็มไปด้วยพลัง ไม่บอบบางแน่นอน

เฮ่อหลันฉือรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

ทว่าไม่รอให้นางคิดอะไรมากเกินไป ลู่อู๋โยวก็ตักน้ำขึ้นมาเริ่มอาบน้ำให้นางแล้วจริงๆ

เริ่มแรกเฮ่อหลันฉือยังยอมรับการดูแลปรนนิบัติของลู่อู๋โยวอย่างค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ไม่ช้านางกลับเริ่มหายใจหอบอยู่ในถังอาบน้ำ หน้าแดงราวหยดเลือด ความทรมานจากการถูกทำให้อับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในที่สุดก็จบสิ้นลง

นางพูดอย่างอดทนไม่ไหว “ข้าอาบเองดีกว่า!”

“แต่ว่า…”

“ข้าอาบเอง!” นางเริ่มส่งเสียงร้องอย่างตกใจอีกครั้ง

ลู่อู๋โยวหัวเราะออกมา “ก็ได้”

เฮ่อหลันฉือหน้าแดงก้มหน้าลง อย่างไรเสียเมื่อคืนนี้เดิมทีนางก็คิดว่าไม่มีทางทำสำเร็จได้ และคิดไม่ถึงว่าจะทำได้ดังคำที่ลู่อู๋โยวพูดไว้จริงๆ ถึงแม้เขาจะเตรียมการไว้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ยังคงฝืนอยู่บ้าง…

นางคิดอะไรไปส่งเดช จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลู่อู๋โยวพูดอย่างช้าๆ

“…แล้วเจ้ารู้สึกสบายตัวหรือไม่”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกหนาวสะท้าน ขนบนตัวแทบจะลุกเกรียว พูดด้วยจิตใต้สำนึก “เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก!”

เห็นได้ว่าลู่อู๋โยวอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเช็ดตัวให้แห้งก่อนจะสวมชุดนอนอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าไม่อยู่ที่นี่แล้วข้าจะไปที่ใดได้ ข้ารอเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่เป็นไร ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รบกวนเจ้าอาบน้ำหรอก”

รบกวนอย่างมากเลย!

เฮ่อหลันฉือพึมพำแล้วขดตัวลงไปในน้ำเล็กน้อย

เสียงของลู่อู๋โยวยังคงดังต่อไป “มีปัญหาอะไรก็ให้พูดคุยกันทันที ครั้งหน้าข้าสามารถปรับแก้ได้…” เขายังพูดอย่างเข้าอกเข้าใจมากอีกหนึ่งประโยค “ไม่ต้องเขินอาย”

เฮ่อหลันฉือแทบจะมุดตัวลงไปในน้ำอยู่แล้ว

“ไม่ต้องพูดคุยเรื่องนี้กับข้าด้วยท่าทีจริงจังก็ได้กระมัง!”

ลู่อู๋โยวกลับพูดอย่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พวกเราก่อนหน้านี้ก็พูดคุยกันเช่นนี้มิใช่หรือ”

นั่นเป็นเพียงแค่การจุมพิต จะเหมือนกันได้อย่างไร

ที่ผ่านมาลู่อู๋โยวมีความยับยั้งชั่งใจ จะไม่สัมผัสตัวนางส่งเดช อย่างมากก็เพียงแค่ลูบเบาๆ ผ่านเสื้อผ้ากั้น แต่เมื่อคืนไม่เหมือนกัน นิ้วมือของเขาแทบจะเลื่อนผ่านทุกอณูผิวเนื้อของนาง ทั้งในและนอก ซ้ำไปซ้ำมา

เห็นนางไม่ตอบลู่อู๋โยวจึงถามต่ออย่างใช้ความคิด “เจ้าไม่สบายตัวใช่หรือไม่ ถ้ามีเพียงข้าคนเดียวที่รู้สึกมีความสุข เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร” ตอนที่เอ่ยประโยคนี้เขายังคงพูดเหมือนถามนางว่าอาหารเมื่อคืนอร่อยหรือไม่ จะมีเพียงเขาที่รู้สึกว่าอร่อยถูกปากไม่ได้

เฮ่อหลันฉือใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอีกครั้ง

ลู่อู๋โยวมักจะจริงจังในเรื่องที่แปลกประหลาดจริงๆ

เฮ่อหลันฉืออึกอักอยู่ครู่หนึ่ง จึงวักน้ำในถังอาบน้ำเล่นแล้วตอบเสียงเบาว่า “…ก็รู้สึกสบายอยู่บ้าง”

ไม่เช่นนั้นข้าจะร้องจนเป็นเช่นนั้นหรือ แต่อย่างไรก็ยังคงไม่ค่อยคุ้นชินอยู่บ้าง

อาจจะค่อยๆ ปรับตัวให้ชินก็ได้

เสียงของลู่อู๋โยวในตอนนี้จึงสงบลงอีกครั้ง

“เช่นนั้นก็ดี ไม่มีอะไรน่าเขินอายหรอก หากไม่มีการประสานอินหยาง วิถียิ่งใหญ่มาบรรจบกัน จะมีลูกหลานให้เลี้ยงดูสั่งสอนได้อย่างไร บิดามารดาของเจ้ากับข้าก็เพราะเคยทำเรื่องเช่นนี้จึงมีพวกเรา” เขาเริ่มพูดปลอบแบบปากไม่มีหูรูดอีกครั้ง “สามารถเปิดอกพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ เป็นคุณธรรมอันดีอย่างหนึ่ง”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างทนไม่ไหว “แต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่พูดเปิดอกเช่นนี้นี่!”

ลู่อู๋โยวเวลานี้กลับเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ข้าคิดตกแล้ว ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ การเป็นคนฉลาดช่างเหนื่อยยิ่งนัก แม้คุณหนูเฮ่อหลันจะหัวช้าไปสักนิด แต่มีความพยายามมากพอและมีความกล้าหาญมากพอเช่นกัน ทำให้ข้าน้อยรู้สึกนับถือ”

เฮ่อหลันฉือจ้องมองเขา

บนใบหน้าของลู่อู๋โยวมีเพียงรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี แสดงการยอมรับชะตาด้วยจิตใจอันสงบนิ่ง เหมือนได้ประนีประนอมกับนางแล้ว

เฮ่อหลันฉือไม่รู้ว่าลู่อู๋โยวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่รู้สึกว่าเขาไม่มีทางรักษาความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนและสุภาพกับนางเช่นนั้นต่อไป รู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ได้เช่นกัน แต่เหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด

“ถุงเครื่องหอมใบนั้นข้าเป็นคนปักเองจริงๆ นะ!”

ลู่อู๋โยวหัวเราะจนไหล่สั่นทันทีแล้วเอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าจะภูมิใจมาก”

เฮ่อหลันฉือกระแอมเพื่อกลั้วคอ

“อันที่จริงถุงเครื่องหอมใบก่อนหน้านั้นก็ไม่เลว ข้าพกออกไป สหายร่วมงานต่างถามข้าว่าไปเอาถุงเครื่องหอมฝีมือประณีตเช่นนี้มาจากที่ใด และมีสีหน้าตกใจระคนแปลกใจตอนที่ข้าบอกว่าฮูหยินเป็นคนปักเอง พวกเขาวิจารณ์ชื่นชมอีกพักหนึ่ง บอกว่าคุณหนูเฮ่อหลันมีจิตใจดีงาม ปักถุงเครื่องหอมเช่นนี้ต้องมีมโนภาพอื่นแน่นอน เป็นความหมายล้ำลึกที่พวกเขายากจะเข้าใจได้”

เฮ่อหลันฉือ “…”

เช่นนี้ก็ได้หรือ

ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “แต่ถุงเครื่องหอมที่ปักใหม่นี้ก้าวหน้าไปมากจริงๆ ข้าเกือบดูไม่ออกว่าเจ้าเป็นคนปัก ยังคิดว่าเป็นของสำเร็จที่ซื้อมาจากที่ใดเสียอีก คุณหนูเฮ่อหลันเรียนรู้อะไรได้เร็วมากจริงดังคาด”

เฮ่อหลันฉือสบายใจแล้ว

ลู่อู๋โยวกระแอมทีหนึ่ง เบือนหน้าหนีไปอย่างไม่สนใจแล้วเอ่ยว่า “หวังว่าเรื่องอื่นเจ้าจะเรียนรู้ได้เร็วสักนิดเช่นกัน”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

 

ถึงแม้ฝนจะเบาลงแล้ว แต่ยังไม่หยุดตกโดยสิ้นเชิง ราวกับมีม่านฝนปกคลุมทั่วทั้งเมืองหลวง

ลู่อู๋โยวห้อยถุงเครื่องหอมใบใหม่ไปที่สำนักราชบัณฑิตตามปกติ เพราะห้อยไว้อย่างสะดุดตามาก เพียงไม่นานก็มีคนสังเกตเห็น

“จี้อัน เหตุใดวันนี้เจ้าจึงเปลี่ยนถุงเครื่องหอมเล่า ไม่ห้อยใบของฮูหยินเจ้าแล้วหรือ”

เขายิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ใช่ ใบนี้ฮูหยินข้าเป็นคนปักเช่นกัน”

ทุกคนต่างจุปากชื่นชม รู้สึกเพียงว่าหางของคนตรงหน้าแทบจะยกสูงขึ้นฟ้าแล้ว

ครั้งก่อนในงานแต่งงานของคุณหนูรองจวนคังหนิงโหวกับหลินจาง ทุกคนต่างได้เห็นว่าคุณหนูเฮ่อหลันที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้นเพื่อรักษาเกียรติของสามี แม้แต่คำพูดที่ว่าจะประลองแทนเขาก็ยังพูดออกมาได้ เห็นได้ว่ารักเหลือคณาจริงๆ

ก็ไม่แปลกที่เขาจะภูมิใจเช่นนี้

ตอนถึงเวลาอาหารกลางวันลู่อู๋โยวเดินไปเดินมาก็เจอกับหลินจาง สหายร่วมงานด้านข้างพูดอย่างทอดถอนใจกับลู่อู๋โยวว่า “เซ่าเยี่ยนน่าสงสารอยู่บ้างจริงๆ ได้ยินว่าหลังจากพวกเขาแต่งงาน สองวันทะเลาะเล็กน้อย สามวันทะเลาะใหญ่โต ใช้ชีวิตลำบากมาก…จริงสิ ตอนเย็นนัดดื่มสุรากัน จี้อันท่านไปหรือไม่”

การเข้าสังคมตามปกติเช่นนี้ลู่อู๋โยวย่อมไม่มีทางปฏิเสธ

หลินจางได้กล่าวขออภัยลู่อู๋โยวเป็นการส่วนตัวในเรื่องของเว่ยอวิ้นครั้งก่อนแล้ว ลู่อู๋โยวก็รู้ว่าเรื่องนี้จะโทษเขาไม่ได้ สองคนพบหน้ากันจึงไม่ค่อยอึดอัดนัก แต่เห็นเขาดื่มสุราท่าทางกลัดกลุ้มจึงเดินไปแตะไหล่

“ดื่มน้อยสักนิดเถิด การเมาคลายความกลัดกลุ้มทุกอย่างไม่ได้”

หลินจางเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าแดงเล็กน้อยและมีอาการเมาอยู่หลายส่วน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ดวงของข้ากับนางอาจจะไม่เข้ากันกระมัง”

“ตอนสามหนังสือหกพิธีพวกเจ้าไม่ได้ตรวจดูดวงสมพงศ์หรือ”

หลินจางยิ้มเศร้า “เป็นมงคล แต่ข้าเองก็จนปัญญา” เขาดื่มสุราอีกหนึ่งอึกอย่างกลัดกลุ้ม “เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าที่แท้การแต่งงานซับซ้อนยากเย็นเช่นนี้”

ถึงแม้จะรู้นานแล้วว่านี่ไม่ใช่วาสนาอันดี แต่จนใจที่…

หลังจากเว่ยอวิ้นมาที่จวนสกุลหลินก็คล้ายว่าอยู่แล้วไม่พอใจ นางเริ่มจัดการตกแต่งไปทั่ว จู้จี้พูดติเขาตั้งแต่ต้นจนจบ หลินจางทำอารมณ์ดีไม่ถือสานาง นางกลับหนักข้อขึ้นหาเรื่องเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาไปที่ห้องหนังสือ เดิมทีเพราะอยากได้ความสงบ กลับพบว่าบนชั้นหนังสือของเขามีบทละครสมุดภาพที่เว่ยอวิ้นนำมาด้วยกองเต็มไปหมด ตำราสำคัญของเขาเหล่านั้นกลับถูกผลักเบียดไปอยู่มุมหนึ่ง

เขากำลังอ่านเอกสาร เว่ยอวิ้นอาจจะว่างจนรู้สึกเบื่อจึงหยิบบทละครมานั่งอ่านตรงข้ามกับเขา อ่านไปพลางกินของว่างไปพลาง ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะชอบใจอยู่บ่อยครั้ง

เรื่องนี้หลินจางก็อดทนไว้เช่นกัน

เว่ยอวิ้นอ่านบทละครอยู่ครู่หนึ่ง อาจเพราะเบื่อแล้วจึงวางบทละครลง ก่อนจะหยิบเอกสารที่เขาอ่านจบขึ้นมาแล้วเริ่มอ่านเพื่อเรียกความสนใจจากเขา

หลินจางพยายามอดทนแต่ก็ทนไม่ไหว ยื่นมือไปแย่งมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ‘เจ้าอ่านบทละครของเจ้าไป จะมาอ่านสิ่งเหล่านี้เพื่ออะไร!’

‘มีอะไร อ่านก็ไม่ได้หรือ’ บนนิ้วของเว่ยอวิ้นยังมีคราบมันจากของว่างที่นางกินติดอยู่ พอกดลงบนกระดาษก็เกิดเป็นรอยนิ้วมือ ‘ข้าจะอ่าน…เจ้าว่าเจ้าอ่านสิ่งนี้ทุกวันมีประโยชน์อะไร เจ้าอยู่ที่สำนักราชบัณฑิตเพื่อทำสิ่งนี้หรือ’

ยังมีอีก ตอนกลางคืนขณะเขานอนหลับสบายอยู่บนตั่งในห้องหนังสือกลับถูกคนผลักจนตื่น ช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นเขาเห็นเว่ยอวิ้นคลุมเสื้อนอก พูดกับเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

‘เตียงแข็งเกินไปแล้ว ข้านอนไม่หลับ’

หลินจางพูดอย่างสะลึมสะลือ ‘เจ้าก็นอนมาหลายวันแล้วมิใช่หรือ…’

‘นั่นเพราะข้าอดทนไว้!’ เว่ยอวิ้นเท้าเอวพูดด้วยความโกรธเคืองยิ่งขึ้น ‘ตอนนี้ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! ไม่เช่นนั้นเจ้ามาดูสิ!’

หลินจางจำเป็นต้องลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมกลางดึกแล้วเดินไปที่ห้องนอนกับนาง

เตียงปูด้วยฟูก ดูแล้วน่าจะนุ่ม อย่างน้อยก็นุ่มกว่าตั่งในห้องหนังสือที่เขานอน แต่เว่ยอวิ้นกลับนวดไหล่แล้วพูดว่า ‘ข้านอนจนไหล่แข็งหมดแล้ว!’

ด้วยกิริยาที่ไม่สำรวมของนาง เสื้อชั้นนอกที่คลุมไว้จึงเลื่อนไหลลงจากหัวไหล่ เผยให้เห็นบังทรงสีสดใต้ชุดสตรี หลินจางรีบเลื่อนสายตาหนีแล้วยื่นมือไปช่วยนางดึงเสื้อชั้นนอกกลับที่เดิม ในใจลอบบ่นหลายประโยค จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น

‘ข้าจะไปช่วยเจ้าหาฟูกเตียงมาอีกสองสามหลัง’

‘รองสูงเกินไปข้านอนแล้วไม่สบายตัวเช่นกัน’

หลินจางถอนใจอยู่ภายในใจ แต่ปากยังคงพูดว่า ‘พรุ่งนี้ข้าจะไปเอาฝ้ายมาให้เจ้าจำนวนหนึ่ง’

‘แล้วคืนนี้ข้าจะทำอย่างไร’

…ดึกดื่นค่อนคืนแล้วเขาจะมีปัญญาทำอะไรได้

นอกจากนี้ยังมีเรื่องยิบย่อยอีกหลายอย่าง เว่ยอวิ้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรพอใจในตัวเขาเลย

ตระกูลของเขาเป็นบัณฑิต สนใจเพียงศึกษาความรู้มารยาท ไม่สนใจเครื่องแต่งกายอาหาร เสื้อผ้านอกจากชุดขุนนางแล้วก็ล้วนเป็นเสื้อคลุมยาวสีเรียบ เว่ยอวิ้นกลับรังเกียจว่าเขาสวมเสื้อผ้าเรียบเกินไป ไม่สดใสพอ ไม่เหมือนเสื้อแพรหรูหรา

นางยืนกรานจะซื้อให้เขา ทั้งยังบังคับให้เขาสวมใส่อีกด้วย

ไม่เช่นนั้นก็รู้สึกว่าเขาออกไปนอกบ้านกับนางทำให้นางขายหน้า

ปกติแล้วหลินจางไม่ชอบพูดนินทาคนให้ใครฟัง แต่เว่ยอวิ้นกลับปากไม่อยู่นิ่ง ได้ยินอะไรจากพี่น้องสหายสนิทจะต้องมาเล่าให้ฟัง แค่เล่าก็ช่างเถอะ ยังจะให้เขามีความเห็นร่วม นินทาคนอื่นไปด้วย

หากหลินจางเพียงแค่พูด ‘อ้อ’ หรือ ‘อืม’ เว่ยอวิ้นก็จะยิ่งโกรธ ปั้นหน้าขึงขัง ดึงพู่กันหรือเอกสารออกจากมือของเขาแล้วพูดเสียงดังว่า ‘หลินเซ่าเยี่ยน เจ้าไม่จริงจังกับข้าอีกแล้ว! เจ้าได้ฟังข้าพูดหรือไม่!’

เขาเอ่ยอย่างจนใจ ‘ข้าฟังแล้ว’

‘เช่นนั้นเมื่อครู่ข้าพูดอะไรกับเจ้า เจ้ารีบทวนซ้ำให้ข้าฟังหนึ่งรอบ’

โชคดีที่เขามีความจำไม่เลว

เว่ยอวิ้นจึงยิ้มสดใสยอมปล่อยเขาสักครั้ง ‘นี่ถือว่าใช้ได้ ข้าจะบอกเจ้านะ…’

แค่ย้อนคิดขึ้นมาหลินจางก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่ง

ลู่อู๋โยวยกจอกสุราแตะริมฝีปาก หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “พอรับได้กระมัง ค่อยๆ ปรับตัวให้ชินได้ก็ดีเอง”

“ข้าคิดว่าข้าอาจจะปรับตัวให้ชินไม่ได้”

หลินจางไม่สะดวกจะพูดออกมา เรื่องที่หนักข้อที่สุดก็คืออีกฝ่ายถึงขั้นใส่ยากระตุ้นกำหนัดลงในน้ำชาของเขาอีกด้วย

ตอนที่เขาอ่านตำราอยู่ที่ห้องหนังสือ บางครั้งจะดื่มน้ำชาสักสองถ้วยเพื่อให้สดชื่น ทว่าวันนั้นเขาเพิ่งดื่มไปไม่นานก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนรุ่ม สมองเริ่มมึนงง ตอนแรกคิดว่าตนเองเป็นหวัดมีไข้ จึงสั่งคนไปเคี่ยวยารักษาอาการหวัดมาหนึ่งถ้วย ส่วนตัวเขานอนอยู่บนตั่ง

ตอนที่เขาฝืนทนอย่างเจ็บปวด กลับมองเห็นเว่ยอวิ้นยืนอยู่ตรงหน้า

นางโบกมือแล้วเอ่ยถามว่า ‘เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง’

หลินจางหน้าแดงหูแดง พูดเสียงทุ้มต่ำว่า ‘เจ้าออกไปก่อน’

‘ฤทธิ์ยานี่รุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ…’

หลินจางรู้สึกตกใจในทันใด ‘ยาอะไร’

เว่ยอวิ้นพูดพึมพำ ‘ยาที่ท่านยายให้ข้า บอกว่า…’ นางพูดอึกอัก ‘…ไม่ว่าอย่างไรก็จะเชื่อฟัง’

หลินจางจึงเดาได้ถึงจุดประสงค์การใช้งานของยานี้

แต่เป็นเพราะเว่ยอวิ้นมีความคิดด้านลบต่อเขามากเกินไป ทั้งยังไม่พอใจเขาอยู่มาก ก่อนหน้านี้ก็มีคนในใจอยู่แล้ว หลินจางถึงอย่างไรก็ไม่คิดว่ายานี้จะถูกนำมาใช้กับตัวเขา…พอมองไปทางสาวใช้ติดตามออกเรือนที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้านหลังเว่ยอวิ้น ในใจของหลินจางก็มีการคาดเดาขึ้นมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว

อาจเพราะยังไม่ค่อยไว้ใจเขา เพราะกลัวว่าวันใดเขาทนไม่ไหวล่วงเกินนางเข้า จึงเตรียมการไว้ให้เขาก่อน ให้เขาสร้างความแปดเปื้อนแก่สาวใช้ติดตามออกเรือนข้างกายของนาง

หลินจางหัวเราะเศร้าในใจ พยุงตัวขึ้นแล้วพูดว่า ‘เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางแตะต้องเจ้า’

เว่ยอวิ้น ‘…’

หลินจางพูดอย่างยากลำบากอีกครั้ง ‘ยาถอนพิษเล่า หรือไม่ก็เตรียมน้ำเย็นให้ข้าหนึ่งถัง’

เว่ยอวิ้นดูเหมือนเป็นเพราะตนเองไม่ได้สมความปรารถนาหรือเพราะเขาไม่เชื่อฟังจึงพูดอย่างโกรธเกรี้ยวในทันใด

‘เจ้านี่อย่างไรกัน…เจ้าคงไม่ได้…’ นางไม่อยากจะเชื่อเลย ‘ในใจเจ้ายังคิดถึงเฮ่อหลันฉือคนนั้นอยู่สินะ’

หลินจางรีบร้อนส่ายหน้า ในหัววิงเวียนหนักอึ้ง ‘ไม่มีเรื่องนี้แน่นอน ข้าจะกล้าได้อย่างไร’

‘ข้าว่าเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึง…เหตุใดจึง…’ เว่ยอวิ้นโมโหยิ่งขึ้น ‘ดี! เจ้าบริสุทธิ์ เจ้าแข็งแกร่ง! เก่งจริงเจ้าก็เป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิตเลย! ไปเอาน้ำเย็นมาหนึ่งถัง! ราดใส่ตัวเขาไปเลย!’

เมื่อน้ำเย็นถังนั้นราดลงมา หลินจางก็แทบจะเป็นหวัดไปเลยจริงๆ

การปฏิบัติของเว่ยอวิ้นต่อเขาหลังจากนั้นกลับเอาแต่ใจอย่างหนักข้อมากขึ้น

ลู่อู๋โยวย่อมไม่รู้ เริ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฮูหยินของเจ้าอย่างไรก็เป็นสตรี ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เซ่าเยี่ยน เจ้าลองพูดเอาใจดีหรือไม่ ในเมื่อเมื่อก่อนนางชอบ…เจ้าไม่ต้องเงียบขรึมมากก็ได้ พูดจาอ่อนหวานเอาใจนาง พูดคำน่าฟังสักนิด นางอาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ชีวิตของเจ้าก็จะสบายขึ้นเล็กน้อย”

หลินจางชะงักงัน “แต่ข้าทำไม่เป็น…”

“เจ้าเรียนรู้ได้ สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระหว่างศึกษาเรียนรู้กัน จริงสิ…” ลู่อู๋โยววางจอกสุราลง หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ถุงเครื่องหอมของข้างามหรือไม่”

พอเฮ่อหลันฉือพักผ่อนจนเต็มอิ่มก็ให้คนกางร่มตามนางออกไปช่วยเหลือต้นไม้ดอกไม้ในจวนที่ถูกพายุฝนทำร้ายมาทั้งคืน

ต้นไม้ยังพอฝืนยืนต้นได้ มีใบไม้กิ่งก้านหักไปจำนวนหนึ่ง แต่ดอกไม้สภาพย่ำแย่มาก เดิมทีก็เพิ่งปลูกได้ไม่ถึงสองเดือนอยู่แล้ว ดอกเบญจมาศที่เพิ่งบานยังไม่เคยผ่านลมฝน ถูกฝนสาดตีจนร่วงโรยไปหมด เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงใช้กิ่งไม้ที่หักมาค้ำยันมันไว้ หวังว่ามันจะฝืนทนต่อไปได้อีกหน่อย

เฮ้อ เดิมทีข้ายังอยากลองเอามันมาต้มชาดอกไม้ใช้แก้ร้อนในด้วย

ขณะที่กำลังคิดก็ได้รับเทียบขอเข้าพบที่ส่งมา

คนเฝ้าประตูเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะส่งมาให้ฮูหยินขอรับ”

เทียบขอเข้าพบถึงลู่อู๋โยวที่ส่งมาที่จวนมีมากราวปลาไนข้ามน้ำ* ไม่เพียงแต่ขุนนางทั่วสารทิศ ที่มากไปกว่านั้นคือบัณฑิต อย่างไรเสียเขาก็ให้บัณฑิตที่ยากจนตกอับแต่มีความรู้ความสามารถมากหลายคนเบียดกันพักอยู่ที่เรือนบริวาร นอกจากจะรับเป็นลูกศิษย์ บางครั้งก็จะชี้แนะการเขียนอักษรด้วย

แต่เทียบขอเข้าพบที่ส่งถึงเฮ่อหลันฉือนั้นมีน้อยมาก

นางตกใจเล็กน้อย พอรับมาดูก็เห็นเพียงบนนั้นเขียนไว้ว่า ‘นำส่งโดยจวนอันติ้งป๋อ’

เฮ่อหลันฉือไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนอันติ้งป๋อเลยจริงๆ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคงจะเป็นครั้งก่อนตอนอยู่ในวัดฝ่าหยวนจับพลัดจับผลูได้ช่วยคุณหนูของพวกเขาไว้ครั้งหนึ่ง

พอเปิดเทียบขอเข้าพบออกอ่านก็เป็นจริงดังคาด อีกฝ่ายหวังว่านางจะไปที่จวนพูดคุยกับคุณหนูของพวกเขาได้

ใบหน้าสาวน้อยขลาดกลัวอ่อนแอในวันนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า เฮ่อหลันฉือพลันนึกถึงคำพูดของลู่อู๋โยว คุณหนูผู้นี้ดูเหมือนยังไม่เดินออกมาจากเงามืดในวันนั้น ชั่วขณะหนึ่งเฮ่อหลันฉือยังยากจะตัดสินใจได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายนางก็ถอนใจเอ่ยขึ้น

“เตรียมรถม้า พวกเราไปจวนอันติ้งป๋อ”

 

ฮูหยินอันติ้งป๋อออกมาต้อนรับเฮ่อหลันฉือด้วยตนเอง หญิงสูงศักดิ์ผู้นี้แม้จะตั้งใจประทินโฉมอย่างดี แต่ยังคงมองเห็นความซีดเซียวที่ปิดไม่มิดอยู่บ้าง

“รบกวนฮูหยินเฮ่อหลันมาที่นี่แล้ว อิงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้บอกว่าจะขอบคุณเจ้า…” นางสะอื้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “นางไม่ค่อยยอมพบใคร พูดก็ไม่ค่อยยอมพูด ข้าจึง…”

เฮ่อหลันฉือได้มาเห็นแล้วจึงรู้ว่าที่ฮูหยินอันติ้งป๋อพูดนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จเลย

ภายในห้องที่มืดครึ้มสตรีผู้นั้นขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง กอดหมอนนิ่มหนึ่งใบไม่ขยับเขยื้อน

เฮ่อหลันฉือพลิกเปิดม่านประตูเดินเข้าไป อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองมา ครั้นเห็นใบหน้าของนางแล้วน้ำตาก็เอ่อคลอ ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาหลายส่วน

เฮ่อหลันฉือเดินเข้าไปช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูตู้ ยังจำข้าได้หรือไม่ พวกเราเคยมีวาสนาพบหน้ากันครั้งหนึ่ง”

ตู้อิงพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็อ่อนแรงเช่นกัน “จำได้” นางชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบา ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย “ขอบคุณเจ้า แต่ปิ่นอันนั้นข้า…” นางกุมศีรษะราวกับจะร้องไห้ “…ทำหายไปแล้ว”

เฮ่อหลันฉือเดินเข้าไปช้าๆ นั่งลงข้างกายตู้อิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร หายก็หายไปเถอะ” ผ่านไปครู่หนึ่งรออีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลงแล้วเฮ่อหลันฉือจึงพูดอีกว่า “เรื่องที่เจ้าประสบพบเจอ ข้าเองก็เคยเจอ”

ตู้อิงมองนางอย่างงุนงงเล็กน้อย

เฮ่อหลันฉือยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งและจนใจมากเช่นกัน แต่เสียงพูดกลับเย็นเหมือนสายน้ำ “ตอนนั้นข้าพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่ก็ยังเกือบถูกคนกดลงบนเตียง กระโปรงถูกดึงลงไปกว่าครึ่ง แทบจะสิ้นหวังแล้ว โชคดีที่ในแขนเสื้อซ่อนปิ่นอันนั้นไว้ เหมือนอันที่ข้าให้เจ้า สุดท้ายก็ทำให้คนผู้นั้นตกใจถอยออกไป หลังจากเกิดเรื่องข้าฝันร้ายติดต่อกันหลายคืน ใจคิดว่าเหตุใดข้าต้องเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย ยังกลัวว่าถ้าคนรู้เข้าจะคิดว่าข้าสูญเสียพรหมจรรย์หรืออะไรอื่น คิดว่าข้าทำอะไรผิดไปใช่หรือไม่ มีจุดใดที่ข้าทำได้ไม่ดีหรือ เหตุใดจึงทำให้คนคิดปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้…แต่ภายหลังข้าจึงค่อยๆ คิดตก ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ เขาคิดจะทำเลวต่อข้า เหตุใดสุดท้ายคนที่เจ็บปวดยังต้องเป็นข้าอีก ไม่ควรเป็นเช่นนี้ และก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ฐานะของท่านพ่อข้า เขายังภูมิใจอย่างยิ่ง ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความผิดเลย เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ”

นางพูดอย่างผ่อนคลายมาก แม้ไม่คิดว่าทำเช่นนี้จะปลอบอีกฝ่ายได้ เพียงแค่รู้สึกเศร้าใจต่อคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันเท่านั้น

เดิมทีตู้อิงยังนั่งฟังนิ่งๆ ขอบตากลับค่อยๆ แดงก่ำ หยาดน้ำใสไหลลงมาจากขอบตาขณะพูดเสียงเบาว่า “แต่…แต่ข้าอยากแต่งงานกับเขาด้วยใจจริงนี่ เหตุใดเขา…เหตุใดต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย”

เหมือนรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากพูดออกไป นางจึงรีบยกมือปิดปากไว้

เฮ่อหลันฉือลูบศีรษะของนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เพราะเขาไม่ควรค่าให้เจ้าแต่งงานด้วย…เหตุใดเจ้าจึงอยากแต่งงานกับเขาเช่นนี้”

ตู้อิงค่อยๆ คลายมือของตนเองออก “ข้าเคยพบเขาที่วัดชิงเฉวียน ข้าเคยพบเขาจริงๆ เขาถูกคนรังแก ดูแล้วน่าสงสารมาก ข้าบอกเขาว่าข้าสามารถให้ท่านพ่อปรึกษาเจ้าอาวาสให้รับเขาไว้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาปฏิเสธ ข้าทำได้เพียงไปหาเขาที่วัดชิงเฉวียนหลายครั้ง…ภายหลังข้าจึงรู้ว่าเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้ เขาดูไม่เหมือนเดิม และดูเหมือนไม่รู้จักข้าแล้ว แต่ข้ายังคิดว่าเขาดูไปแล้วน่าสงสารมาก เหมือนว่าไม่มีวันใดเบิกบานใจเลยสักนิด ข้าอยากให้เขาเบิกบานใจ…”

เฮ่อหลันฉือตื่นตกใจเล็กน้อย

ยังมีคนที่พบหน้าเซียวหนานสวินตอนนี้แล้วเกิดความรู้สึกเช่นนี้ต่อเขาอีกหรือ

ตู้อิงยกมือปิดหน้า น้ำตาไหลลงมาตามซอกนิ้วไม่หยุด “เหตุใดเขาต้องทำกับข้าเช่นนี้ เหตุใดทำเช่นนี้กับข้า…ข้า…ข้าชอบเขายิ่งนัก”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นตกใจมากกว่าเดิม นางจำต้องลูบศีรษะของตู้อิงอีกครั้งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รอกระทั่งอีกฝ่ายร้องไห้จนพอแล้วจึงค่อยเอ่ยถามเสียงเบา

“เจ้าชอบอะไรในตัวเขา”

ตู้อิงส่ายหน้าอย่างสับสนก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าเพียงแค่อยากพบเขามาก อยากทำให้เขามีความสุขมาก อยากมาก…” นางปิดหน้าร้องไห้อีกครั้ง

เฮ่อหลันฉือเอาความอดทนในการปลอบญาติผู้น้องในอดีตมาปลอบหญิงตรงหน้าต่ออีกพักใหญ่จนอีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมาหมดสิ้น

หลังจากนั้นพักใหญ่นางจึงเอ่ยว่า “เจ้ากับเขาไม่ได้คบหากันลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ย่อมต้องรู้สึกผิดหวังเช่นนี้ คุณหนูตู้ ในเมื่อเขาไม่อยากแต่งงานกับเจ้า เช่นนั้นเจ้ายังมีโอกาสได้เจอกับตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ทั้งหมดนี้ว่ากันตามจริงแล้วไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย”

หลังออกมาจากจวนอันติ้งป๋อแล้วเฮ่อหลันฉือยังรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ประเด็นหลักคือนางคิดว่าคุณหนูจวนอันติ้งป๋อผู้นี้ทำเพื่อเซียวหนานสวินเช่นนี้ไม่คุ้มค่าเลย

ครั้นกลับมาถึงจวน รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นลู่อู๋โยว เฮ่อหลันฉือจึงรู้ว่าแปดส่วนคือเขาไปร่วมดื่มสังสรรค์กับสหายร่วมงาน ปกตินางก็ไม่รีบร้อน แต่เวลานี้จู่ๆ กลับอยากพูดคุยกับเขามากเหลือเกิน

เฮ่อหลันฉือเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอนครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ห้องหนังสือของลู่อู๋โยว สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ห้องนอนแล้วคิดถึงเรื่องที่นางกับเขามีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ใบหน้าจึงแดงขึ้นมาโดยพลัน โคนขายังรู้สึกปวดเมื่อยอยู่เล็กน้อย

นางนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วคำนวณเวลา รู้สึกเพียงว่าเวลาดูเหมือนจะผ่านไปช้ามากเป็นพิเศษ นางจึงหยิบสะดึงที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา แต่จู่ๆ ก็ไม่อยากปักมันเสียแล้ว จากนั้นไม่นานก็รู้สึกสะลึมสะลือเล็กน้อยจึงฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง

ครั้นตื่นขึ้นมาข้างหูก็มีเสียงของลู่อู๋โยวดังขึ้น “เหตุใดจึงมานอนหลับที่นี่”

เขาแตะไหล่ของนางทีหนึ่ง เฮ่อหลันฉือจึงยืดตัวหันหน้าไปเอ่ยถามอย่างงัวเงียเล็กน้อย “ยามใดแล้ว”

ลู่อู๋โยวยังคงมีสภาพดังเดิม สวมชุดกิเลน ท่าทางสุภาพงามสง่า ดวงตาดอกท้อคู่นั้นแฝงความรักใคร่ไว้หลายส่วน หล่อเหลาจนเหมือนเพิ่งกลับจากการเดินแสดงตัวตามถนนตอนรับตำแหน่ง

เฮ่อหลันฉือเห็นหน้าเขาก็รู้สึกสบายใจในทันใด

หลังจากประมาณเวลาคร่าวๆ แล้วลู่อู๋โยวจึงเอ่ยว่า “เพิ่งผ่านยามไฮ่กระมัง มีอะไรหรือ”

“ดึกมากแล้ว” เฮ่อหลันฉือพูดตามความจริง “ข้าอยากคุยเรื่องหนึ่งกับเจ้า แต่เจ้าไม่กลับมาเสียที ข้ารออยู่นานแล้ว”

ลู่อู๋โยวถามอย่างตกใจว่า “เรื่องใดกัน สำคัญถึงเพียงนี้เลยหรือ”

“ไม่สำคัญมากนัก ก็แค่…”

ครั้นได้ฟังเฮ่อหลันฉือพูดจบ ลู่อู๋โยวคิดว่านางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าสงสารคุณหนูจวนอันติ้งป๋อคนนั้นด้วยใจจริง ข้ามีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้นางหลุดพ้นเร็วขึ้นและยังสร้างความยุ่งยากแก่เซียวหนานสวินได้บ้าง”

เฮ่อหลันฉือถามอย่างตกใจ “วิธีใด”

“เจ้าแค่พูดว่าเจ้าอยากทำหรือไม่”

เฮ่อหลันฉือดึงสติกลับมา “เจ้าสร้างความยุ่งยากให้เซียวหนานสวินได้ เหตุใดจึงไม่รีบสร้าง!”

ลู่อู๋โยวพูดอย่างมีเหตุผล “ซ่อนความสามารถเอาไว้ ระยะนี้เขายังพออยู่อย่างสงบ ไม่มีเรื่องใดจะไปหาเรื่องเขา แต่ถ้าเจ้าอยากก็ใช่ว่าจะไม่ได้”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “อาจจะนำอันตรายมาให้เจ้ากระมัง…เช่นนั้นก็ช่างเถอะ!”

“ไม่เป็นไร” ลู่อู๋โยวพูดทันที รู้สึกว่าท่าทางตื่นเต้นของนางน่ารักเป็นพิเศษ จึงก้มหน้าลงอยากจะจุมพิตนางทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้อีกจึงพูดเสียงเบาว่า “เจ้ายังเจ็บหรือไม่ ยังไม่สบายตัวอยู่หรือ”

เฮ่อหลันฉือส่งเสียง “หืม?” ยังคงคิดตามไม่ทัน

ลู่อู๋โยวขยับเข้าใกล้ใบหูนาง พูดด้วยเสียงแผ่วเบาระคนเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ข้ารู้สึกว่าเจ้ายังติดค้างข้าอีกหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ พักผ่อนพอหรือยัง”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

อารมณ์ของนางคงจะเขียนไว้บนใบหน้า ลู่อู๋โยวตัวเกร็งไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับออกห่างนางแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“ถ้ายังเจ็บก็ช่างเถอะ”

เฮ่อหลันฉือยั้งคำที่อยากจะพูดเอาไว้ ไม่เพียงเป็นปัญหาว่านางรับไหวหรือไม่ หากทรมานกันทั้งคืน เขาจะไปบรรยายตำราช่วงเช้าที่สำนักราชบัณฑิตได้หรือ จะขอลาบ่อยครั้งก็ไม่ได้ แต่หากทำแค่เพียงหนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่า…

ขณะที่นางกำลังคิด ลู่อู๋โยวก็ใช้นิ้วยาวจับปอยผมข้างจอนหูของนางเล่นแล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด “เจ้าฝึกฝนร่างกายเป็นเช่นไรบ้าง”

เฮ่อหลันฉือตกใจ “พอใช้ได้กระมัง”

ท่าทางพื้นฐานและการปรับลมหายใจเข้าออกลู่อู๋โยวเคยสอนนานแล้ว และสอนวิชากระบี่แบบง่ายอีกสองชุด หลังจากเฮ่อหลันฉือจดจำได้ก็ลองฝึกเองกลางลาน พี่ชายน้องสาวเห็นเข้าก็มาชี้แนะนางบ้าง แต่โดยมากนางจะยืนหยัดฝึกฝนเอง

เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าพอผ่านไประยะหนึ่งหูตานางเฉียบคมขึ้นมาก ร่างกายก็เบาลงไม่น้อย ไม่เดินเพียงระยะสั้นๆ ก็รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไป พละกำลังก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

…แม้ผลลัพธ์ยังคงถูกลู่อู๋โยวทรมานจนแทบตายก็ตาม

“เช่นนั้นข้าสอนอย่างอื่นให้เจ้าอีกสักนิดดีกว่า วิชากระบี่แม้จะดี แต่ไม่ค่อยใช้ได้จริง อย่างไรเสียเจ้าก็พกกระบี่ออกจากบ้านตลอดไม่ได้”

เฮ่อหลันฉืออดรนทนไม่ได้ “เจ้าก็รู้ด้วยหรือ!”

ลู่อู๋โยวอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แต่ว่าน่ามองนะ”

“…”

มีช่วงเวลาหนึ่งเฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าลู่อู๋โยวดูไปแล้วเหมือนนกยูงตัวหนึ่งจริงๆ

“เรียนวิชาหมัดตอนนี้เจ้าน่าจะลำบากพอดู เรียนกระบวนท่าป้องกันตัวที่ง่ายสักนิดก็ไม่เลว” ระหว่างที่ลู่อู๋โยวพูดก็สั่งคนให้ปูผ้านวมสองผืนบนพื้น เขายังใช้มือทดสอบอีกด้วย หลังจากมั่นใจว่าอ่อนนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นเรียกชิงเยี่ยมา “เจ้ามานี่ที”

ชิงเยี่ยพอจะเดาได้ถึงจุดจบของตนเองแต่ไม่กล้าปฏิเสธ

ลู่อู๋โยวจับแขนและข้อมือของชิงเยี่ยไว้อย่างไม่ลังเลใจ ออกแรงที่ไหล่เล็กน้อยก็ทำให้ชิงเยี่ยถูกทุ่มล้มหลังกระทบผ้านวมได้อย่างง่ายดาย จากนั้นลู่อู๋โยวก็ดึงแขนของอีกฝ่ายขึ้นมา ดันข้อศอกกดข้อมือ เอี้ยวตัวดัดแขนของอีกฝ่ายกดลงบนผ้านวม การเคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นจนจบล้วนคล่องแคล่ว

ชิงเยี่ยร้องอย่างเจ็บปวด “เจ็บๆๆ นายน้อยท่านเบาสักนิดขอรับ!”

ลู่อู๋โยวมองเฮ่อหลันฉือที่มองมาตาไม่กะพริบแล้วถามว่า “ดูเข้าใจหรือไม่ ถ้าดูไม่ชัดเจนข้าจะทำอีกครั้ง”

ชิงเยี่ยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายน้อย นี่คงไม่ต้องแล้ว…”

ลู่อู๋โยวเหล่ตาดุเขา ชิงเยี่ยจึงปิดปากทันที

เฮ่อหลันฉือรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “เจ้าเคลื่อนไหวเบาสักนิดและช้าสักหน่อยได้หรือไม่”

“ก็ได้”

ด้วยเหตุนี้ชิงเยี่ยจึงถูกทุ่มไปทุ่มมาสามสี่รอบ ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหว “นายน้อย เรื่องนี้ท่านควรจะเรียกจื่อจู๋มานะขอรับ! รับรองได้ว่าเขาไม่มีทางโอดครวญแม้แต่ประโยคเดียว!”

ลู่อู๋โยวพูดอย่างมีเหตุมีผล “เพราะร่างกายเจ้าจะต่อต้านตามจิตใต้สำนึก ไม่ค่อยอยากถูกข้าทุ่ม เหมาะจะใช้แสดงเป็นตัวอย่างมากกว่า ทุ่มเขาจะแตกต่างอะไรกับการทุ่มท่อนไม้เล่า”

เฮ่อหลันฉือดูการเคลื่อนไหวโดยรวมเข้าใจแล้วก็มองไปทางชิงเยี่ยอย่างลังเลใจและรู้สึกไม่สบายใจนัก “ข้าต้องฝึกกับเขาหรือ…”

การเคลื่อนไหวของลู่อู๋โยวเมื่อครู่อันที่จริงร่างกายสัมผัสกันไม่มากนักและเป็นเพียงแค่ชั่วครู่ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวจำพวกดันข้อศอกกดข้อมือยังมีเสื้อผ้ากั้นอีก หากนางตามสตรีอย่างซวงจือมาฝึกน่าจะไม่ได้ผล

ลู่อู๋โยวพูดเสียงสูงเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าต้องฝึกกับเขา ฝึกกับข้าสิ”

“หืม?”

ลู่อู๋โยวโบกมือ ชิงเยี่ยนวดแขนพลางวิ่งล้มลุกคลุกคลานจากไป ลู่อู๋โยวชี้ตนเองแล้วเอ่ยว่า “เจ้าย่อมต้องฝึกกับข้า เจ้าลงมือได้ตามใจ ข้าไม่มีทางต่อต้าน”

เฮ่อหลันฉือถามด้วยเสียงแฝงความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “จริงหรือ”

ลู่อู๋โยวเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างเย้ายวนเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “อย่างไรเสียพวกเราก็เคยสัมผัสกันทุกส่วนแล้วมิใช่หรือ เจ้ายังจะเขินอะไรข้าอีก”

เฮ่อหลันฉือรู้สึกขัดเขิน พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นข้าลงมือล่ะ!”

นางลองเลียนแบบท่าทางของลู่อู๋โยว เขาไม่ขยับสักนิดเลยจริงๆ ปล่อยให้นางจัดท่าไปมา กดตัวคนลงนั้นไม่ยาก แต่ตอนที่นางลองออกแรงที่แขนทุ่มอีกฝ่ายกลับติดขัด

ปกติเห็นตอนที่ลู่อู๋โยวเหาะเหินเดินกำแพง ร่างกายเบาหวิวราวกับไม่มีน้ำหนัก ตอนนี้เพิ่งรู้สึกว่าเขาสูงกว่านางมาก ตัวก็ไม่ได้โตเปล่า ทาบมิดบนไหล่ของนาง นางดึงตัวเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ออกแรงอยู่นานจึงพอจะทุ่มเขาไปได้

ทุ่มเสร็จเฮ่อหลันฉือเองก็หมดแรงแล้ว ยืนไม่มั่นคงอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มลงบนตัวเขาไปเช่นนั้น

ลู่อู๋โยวนอนอยู่บนผ้านวมอย่างสบายอารมณ์ ไม่รู้สึกเหมือนตนเองถูกทุ่มเลยสักนิด เห็นนางล้มลงมายังยื่นมือออกไปรับไว้อีก

เฮ่อหลันฉือเดิมทีคิดจะยันพื้นสองข้างลุกขึ้น คิดไม่ถึงว่าลู่อู๋โยวจะยื่นมือมาโอบเอวของนางไว้ทันใด นางยั้งแรงในทันที ล้มลงพาดอย่างอ่อนนุ่มบนตัวเขาแทบจะแนบสนิท

ลู่อู๋โยวลมหายใจว้าวุ่นเล็กน้อย กดเอวของนางเอาไว้แล้วพูดเสียงลากยาว “คุณหนูเฮ่อหลัน เหตุใดยัง…โผเข้าอ้อมกอดคนเขาอีกด้วยเล่า”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย “ข้ายืนไม่มั่นคงเท่านั้นเอง”

ลู่อู๋โยวสูดกลิ่นหอมเฉพาะตัวของนางตรงเส้นผมนุ่มลื่นที่สยายลงมาบริเวณเนินไหล่เบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความลุ่มหลงเล็กน้อย

“คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าตัวนุ่มมากจริงๆ”

ใบหน้าเฮ่อหลันฉือขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย “ร่างกายของคนก็นุ่มเช่นนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ หรือว่าเจ้า…”

คำว่า ‘แข็ง’ ติดอยู่ในลำคอ นางกลับรู้สึกเหมือนไม่ค่อยถูกต้องนัก

นางยันแขนพลางดิ้นรนอยากจะลุกขึ้น แต่กลับถูกลู่อู๋โยวกดเอวเอาไว้ เหมือนเขากดถูกจุดที่เอว เพราะนางรู้สึกทั้งปวดและชา ไร้เรี่ยวแรงไปทันที จุดนี้ของนางเดิมทีมีอาการขัดเล็กน้อยยังไม่หายดี จึงยิ่งไม่มีเรี่ยวแรงมากขึ้นไปอีก

“นอนสักครู่เถอะ…เจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตรงช่วงเอวใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยนวดให้”

เฮ่อหลันฉือพาดอยู่บนตัวของลู่อู๋โยว จะรุกหรือรับก็ยากทั้งสองด้าน นางขยับศีรษะไปเล็กน้อย วางปลายคางแตะบนไหล่ของเขาแล้วกัดริมฝีปากล่าง สัมผัสได้ว่าปลายนิ้วของเขากำลังนวดเอวของนางเบาๆ

“…นวดเอวก็ไม่ต้องอยู่ในท่านี้กระมัง”

ลู่อู๋โยวกลับตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้าตัวเบาเกินไปแล้ว ทั้งที่ตัวไม่เตี้ย หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่เจ้าไม่กินข้าวเลย?”

“มิใช่! ข้ากินข้าวอย่างดี”

หลังจากเริ่มฝึกฝนร่างกายเฮ่อหลันฉือยังกินอาหารเพิ่มขึ้นอีกด้วย นางเป็นคนไม่เลือกกิน แต่ดูเหมือนจะอ้วนขึ้นไม่เท่าไรจริงๆ

ลู่อู๋โยวนวดเอวของนางครู่หนึ่งผ่อนคลายความตึงและไม่สบายตัวในจุดนี้ของนาง พอก้มหน้าลงก็เห็นขนตาของนางสั่นไหวแผ่วเบา ใบหน้างดงามขึ้นสีแดงเรื่อ ดูงดงามไม่มีใครเทียบได้ จึงทนไม่ไหวจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของนางทีหนึ่ง เรือนร่างอ่อนนุ่มอบอุ่นในอ้อมกอด กลิ่นหอมจางๆ นั้นอบอวลตรงปลายจมูก ในค่ำคืนพายุฝน กลิ่นหอมนี้ดูเหมือนเคยถูกขับให้แรงขึ้นเป็นพิเศษ

เขาเอ่ยกระซิบว่า “ถ้าไม่ได้เห็นเจ้ากินอาหารด้วยตาตนเอง ยังคิดว่าเจ้ากินหยดน้ำค้างกลีบดอกไม้เสียอีก จะว่าไปแล้วคืนนั้นคุณหนูเฮ่อหลันช่าง…” ลู่อู๋โยวควบคุมปากของตนเองไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่คิดจะควบคุมอะไรมากกว่า “…มีชีวิตชีวาหอมจรุงใจ”

ใบหน้าเฮ่อหลันฉือร้อนฉ่าอีกครั้งในทันใด

คนผู้นี้กำลังทำอะไรกันแน่!

นางพูดอย่างทนไม่ไหว “ข้าจะลุกขึ้นแล้ว เจ้าอยากนอนก็นอนคนเดียวสักครู่เถอะ!”

นี่ไม่เหมาะสมมากเช่นกัน หากมีคนเข้ามา แม้น่าจะไม่มีก็ตาม ถูกผู้อื่นเห็นสภาพที่พวกเขาสองคนนอนทับกันอยู่บนพื้นคงประหลาดมากจริงๆ และระยะนี้อากาศชื้นมาก บนพื้นไม่แน่ว่าอาจจะมีพวกหนอนแมลงอะไรคืบคลานอยู่ก็ได้

ลู่อู๋โยวจ้องมองนางครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ทั้งที่โผเข้าใส่อ้อมกอดเอง คุณหนูเฮ่อหลันช่างไร้น้ำใจจริงๆ ข้า…”

เฮ่อหลันฉือยันตัวลุกขึ้นแล้ว

ลู่อู๋โยวลุกขึ้นนั่งเช่นกัน วางแขนพาดบนหัวเข่าที่งอขึ้น ดวงตาดอกท้อหลุบลงเล็กน้อย พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ช่างไม่เข้าใจความรักหวานซึ้งเสียจริง”

 

หลังออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วเฮ่อหลันฉือที่กำลังเช็ดผมก็เห็นลู่อู๋โยวถือเอกสารฉบับหนึ่งยื่นมาให้

นางถามอย่างสงสัยว่า “นี่คือ…?”

“เจ้าลองดูก็รู้เอง”

ที่บันทึกอยู่บนเอกสารดูเหมือนจะเป็นบทสนทนาท่อนหนึ่งในหอสุรา เนื้อหาคือคนหนึ่งในนั้นพูดว่าเห็นหลี่ถิงตอนนี้กลายเป็นคนเสียสติแล้วรู้สึกมีความสุขจริงๆ ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เขาตาสูงเหนือศีรษะ คิดว่าตนเองมีชะตาไม่ธรรมดา สมน้ำหน้าที่เสียตำแหน่งซื่อจื่อไปและกลายเป็นคนพิการ อีกคนหนึ่งพูดว่าจดหมายที่ข้าให้สาวใช้ปลอมลายมือเขียนตอนนั้นไม่เสียเปล่าเลย เขายังคิดจริงว่าหญิงงามล้ำเลิศในเมืองหลวงผู้นั้นหมายตาตัวเขา เห็นเขายังคิดเข้าข้างตนเอง หาเรื่องทำลายเกียรติของตน ช่างน่าขันจริง คนอื่นๆ ต่างก็พากันพูดเสริมไปทางเดียวเช่นกัน

เฮ่อหลันฉือรู้ตัว เมื่อคิดเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมานานจนเหมือนอยู่กันคนละโลก

นางยังจำได้ว่าตนเองถูกอดีตซื่อจื่อของเฉากั๋วกงผู้นั้นบีบคั้นหลายครั้ง ตอนนี้เห็นแล้วกลับไม่รู้สึกโกรธแค้นหวาดกลัวหรือไม่ได้รับความยุติธรรมถึงเพียงนั้นแล้ว คงเพราะตอนนี้นางมีชีวิตที่ดีมาก

“ข้าอยากรู้ว่าใครปลอมแปลงจดหมายที่เจ้าเขียนถึงหลี่ถิง ดังนั้นจึงไปสืบดู เดิมทีเวลาผ่านไปนานมากจึงสืบได้ยาก คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญไปเจอในหอสุรา ล้วนเป็นพวกลูกคหบดีในเมืองหลวงที่อาศัยร่มเงาบรรพชน ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายอะไร” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ข้าให้คนเอากระบองไปทุบตีพวกเขาแล้ว ต่อให้ตีจนตายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งการ รายชื่อแนบไว้ด้านหลังแล้ว ถ้าเจ้ายังรู้สึกไม่หายโกรธ ข้าจะคิดหาวิธีอีกที”

เฮ่อหลันฉือมองดูรายชื่อไม่คุ้นเคยที่แม้แต่หน้ายังนึกไม่ออกนั้นแล้วจึงเอ่ยว่า “ขอบคุณ แต่เหตุใดจู่ๆ เจ้า…”

“ก่อนหน้าไม่รู้สึกไม่พอใจเช่นนี้ กระบวนท่าที่สอนเจ้าป้องกันตัวก็เพียงแค่ป้องกันเรื่องไม่คาดคิด อย่างไรเสียข้าก็ขังเจ้าไว้ข้างกายไม่ได้ ข้าหวังว่าเจ้าอยากไปที่ใดก็ไป ไม่ต้องออกจากบ้านแล้วอกสั่นขวัญแขวนตลอด” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดอีกว่า “ข้าคิดหาวิธีรีบเลื่อนตำแหน่งดีกว่า”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

เหตุใดเขาจึงมุ่งไปเรื่องนั้นอย่างกะทันหัน

“จริงสิ…” นางนึกบางอย่างขึ้นมาได้ทันใด “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้าจะสร้างปัญหาให้เซียวหนานสวินอย่างไร และจะช่วยคุณหนูจวนอันติ้งป๋ออย่างไร”

ลู่อู๋โยวเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “นี่ต้องโทษตัวเขาที่ทำความชั่วมามาก ยามนี้จึงนำหายนะมาสู่ตัวเองแล้ว”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 เม.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: