บทที่ 21 แยกจากยากยิ่งเช่นกัน
ระยะนี้ในคณะละครโรงน้ำชาของเมืองหลวงเริ่มมีละครยอดนิยมเรื่องใหม่ชื่อ ‘ทำลายบุพเพสันนิวาส’
เนื้อเรื่องพูดถึงคุณชายตระกูลขุนนางใหญ่ที่ทำให้คู่รักแยกจากกัน แล้วบังคับให้ฝ่ายหญิงแต่งเข้ามาเป็นอนุคนงามของเขา สุดท้ายยังทรมานคนจนตายอีกด้วย สร้างเรื่องโกหกต่อภายนอกว่านางป่วยตาย วิญญาณของหญิงที่น่าเวทนาผู้นี้ล่องลอยออกไปพบกับคนรักเก่าของนางอีกครั้ง ในเรื่องมีท่อนเพลง ‘วิญญาณคำนึง’ มีเนื้อเพลงเศร้าวังเวง ท่วงทำนองราวกับหญิงสาวกำลังร่ำไห้ ทำให้คนหลั่งน้ำตา เมื่อชายคนรักรู้เรื่องนี้ก็ต้องการล้างแค้นให้คนรักของตนเอง แต่เรียกร้องจากขุนนางไม่ได้ผล สุดท้ายจึงยื่นฟ้องต่อฮ่องเต้แต่กลับถูกโบยตีจนบาดเจ็บทั่วตัว วิญญาณหญิงที่น่าเวทนาก็ติดตามเขาไปตลอดทาง ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
หลังจากผ่านความทุกข์ทรมานอย่างเต็มที่ ตอนท้ายก็ย่อมเป็นสวรรค์มีตา ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ทวงความยุติธรรมให้แก่คู่รักและลงโทษขุนนางที่อยุติธรรม สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือตอนจบ ตอนที่คุณชายตระกูลใหญ่เตรียมจะหนีไปในคืนนั้นก็มีอสนีบาตฟาดลงมาใส่เขาจนตายอยู่บนหลังม้า
เพราะเรื่องราวที่มีจุดจบแบบคาดไม่ถึงและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งนี้ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้คนในเมืองหลวงทันที
เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไร แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวเรื่องหนึ่งออกมา บอกว่าละครเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่มีมูล หญิงที่ถูกสร้างเรื่องว่าป่วยตายแต่แท้จริงแล้วถูกทรมานจนตายผู้นั้นก็คือบุตรสาวของผู้ว่าการศาลหลวง ขุนนางขั้นแปดระดับเอกแห่งราชสำนัก
สองปีก่อนนางถูกคัดเลือกเป็นนางสนมและติดตามไปอยู่ที่จวนองค์ชายรอง เดิมทีมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเกียรติยกระดับขึ้นตำแหน่งสูง น่าเสียดายที่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ถูกใส่โลงศพหามออกมา และนำไปฝังอย่างเร่งรีบ บอกว่าตายด้วยอาการป่วยกะทันหัน แต่ครอบครัวและญาติสนิทของนางต่างไม่ยอมเชื่อ บิดาของนางลอบขุดหลุมขโมยโลงศพมาในคืนนั้น อยากจะชันสูตรศพบุตรสาว คิดไม่ถึงว่าหลังจากองค์ชายรองรู้เรื่อง บิดาของนางก็สูญเสียตำแหน่งขุนนางไปด้วย
เรื่องนี้เดิมทีถูกปิดเงียบเป็นความลับ แต่ไม่รู้ว่าแพร่กระจายออกมาจากที่ใด เล่ากันอย่างสมจริง แม้แต่ร่องรอยการถูกทารุณบนศพของหญิงสาวผู้นั้นก็ราวกับได้เห็นด้วยตาตนเอง นอกจากนั้นก็เริ่มลือกันว่าเดิมทีนางมีคนรักที่มีใจต่อกัน น่าเสียดายที่ถูกองค์ชายรองทำให้แยกจาก ตรงกับเรื่องราวในละคร ‘ทำลายบุพเพสันนิวาส’ ไม่ช้าทั่วเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยข่าวลือเช่นนี้
คณะละครย่อมไม่กล้าแสดงอีก ต่างพากันเอาละครฉากนี้ออก ราวกับยิ่งสอดรับความจริงของเรื่องนี้
มีข่าวลือมาอีกว่าบิดาของหญิงสาวคนนั้นถูกอำนาจแข็งกล้าบีบบังคับ ด้วยจนปัญญาจึงแขวนคอตาย ทำให้เกิดข่าวลือสะพัดทั่วเมืองหลวงมากขึ้น
ข่าวลือสะพัดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มมีผู้ตรวจการยื่นหนังสือร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อรับรองว่าความจริงในเรื่องนี้จะถูกเข้าใจอย่างถูกต้อง จากนั้นก็มีผู้ตรวจการคนอื่นทยอยยื่นหนังสือร้องเรียนฟ้องว่าองค์ชายรองมีความประพฤติไม่เหมาะสมต่างๆ นานา ยังมีคนฉวยโอกาสนี้เสนอความเห็นอีกครั้งให้องค์ชายรองอภิเษกสมรสแล้วไปปกครองที่ดินศักดินาโดยเร็ว ไปให้ไกลจากเมืองหลวง ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างดุเดือดไปชั่วขณะหนึ่ง
บรรยากาศในจวนองค์ชายรองก็ร้อนระอุเหมือนทอดน้ำมันเช่นกัน
เซียวหนานสวินแววตาเย็นเยียบราวกับสายลมหนาวเหน็บในเดือนหนึ่ง พูดด้วยเสียงยานคางว่า “เหตุใดเรื่องง่ายดายถึงเพียงนี้กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาได้”
องครักษ์กับขันทีคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นแถว ต่างหวาดหวั่นไม่กล้าเอ่ยวาจา
เซียวหนานสวินจึงถามอีกว่า “ศพนั่นใครเป็นคนจัดการ”
เวลานี้ทุกคนสามารถผลักคนรับเคราะห์ออกมาได้แล้ว
ขันทีผู้นั้นฟุบลงกับพื้นทันทีแล้วร้องไห้โฮ “กระหม่อมจัดการเรียบร้อยแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ฝังคนลงไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขายังขุดศพได้อีก นี่…นี่ต้องเป็นคนขององค์ชายใหญ่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ต้องเป็นพวกเขาส่งคนมาจับตาดูจวนของพวกเราทั้งเช้าค่ำแน่นอน! กระ…กระหม่อมจึงไม่ทันระวังตกหลุมพรางของพวกเขา องค์ชายรอง กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว! กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหนานสวินรู้นานแล้วว่าพี่ใหญ่ที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้นั้นไม่ได้ประเสริฐเลิศเลออะไร พี่ใหญ่เหมือนเสด็จพ่อที่สุด ไม่เพียงรูปร่างหน้าตา นิสัยก็เหมือนเช่นกัน แต่อาจเพราะเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อจึงไม่ชอบพี่ใหญ่ของเขาเป็นพิเศษ
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าหางจิ้งจอกของพี่ใหญ่จะโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้
แค่สตรีนางเดียวเท่านั้นเอง
เขาใช่ว่าจะไม่ได้เชิญหมอมาให้นางเสียหน่อย นางร่างกายอ่อนแอ แท้งบุตรแล้วทนไม่ไหวเอง จะโทษเขาไม่ได้ และเดิมทีก็เป็นนางเองที่คิดเพ้อฝัน เขาไม่อยากเป็นเหมือนเสด็จพ่อ มีบุตรชายคนโตจากอนุที่ต่ำต้อยออกมาก่อนแล้วเพิ่มความลำบากให้ตนเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นคนของราชวงศ์ ความจริงยากจะพูดอธิบายได้
เซียวหนานสวินเปิดอ่านฎีกาฟ้องร้องเขาอีกครั้ง ขุนนางที่กล้ายื่นหนังสือฟ้องร้องเขาเหล่านั้นความสัมพันธ์ซับซ้อนเบื้องหลังส่วนใหญ่เป็นคนของพี่ใหญ่ มีส่วนน้อยที่เลือกฝ่ายล่วงหน้า บางส่วนรอจับปลาในน้ำขุ่น
เขารู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย นิ้วมือสูงศักดิ์ล้ำค่าที่สวมแหวนหยกชี้ไปยังขันทีที่ยังคุกเข่าขอความเมตตาแล้วเอ่ยว่า “ลากตัวเขาออกไป โบยสองร้อยไม้ โบยให้หนัก ทนไม่ไหวก็เอาเสื่อม้วนออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รอบข้างเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนขอความเมตตาของขันทีที่ถูกลากตัวออกไป
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เซียวหนานสวินพอจะรู้สึกสงบใจได้เล็กน้อย เริ่มปรึกษากับที่ปรึกษาใต้บัญชาว่าจะรับมือเช่นไร
ตอนเสร็จเรื่องเขานั่งพิงบนเก้าอี้ยาวอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มคิดถึงคนที่ตนเองไม่ได้มาครอง สาวน้อยที่งดงามยิ่งคนนั้น ครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ สองครั้งไม่สำเร็จ สามครั้งก็ยังไม่สำเร็จ เหมือนกลายเป็นความยึดติดไปเสียแล้ว
“ไปเรียกหลิ่วซู่ฉินมาที่นี่”
หลิ่วซู่ฉินรู้จักนางสนมที่ตายแล้วผู้นั้น เมื่อได้ยินว่าพระชายาองค์ชายรองอาจจะแต่งเข้ามาไม่ได้แล้ว หลังจากนางสนมผู้นั้นดื่มยาต้มกันตั้งครรภ์หมดก็ลอบอาเจียนออกมา อยากฉวยโอกาสนี้ตั้งครรภ์ อาศัยลูกในท้องขอความโปรดปราน แต่คาดไม่ถึงว่าเซียวหนานสวินจะขยะแขยงเรื่องเช่นนี้อย่างยิ่ง ยาทำแท้งมีฤทธิ์แรงเกินไป คืนนั้นนางตกเลือดมาก ไม่นานก็เสียชีวิตลง
คำนินทาใดไม่มีใครกล้าพูด ในลานเรือนมีเพียงสาวใช้ที่ปรนนิบัตินางสนมผู้นั้นคอยเผากระดาษขาว ถือเป็นการส่งดวงวิญญาณเดียวดาย
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้ความคิดในการแข่งขันประชันความงามเพื่อได้รับความโปรดปรานก่อนหน้านี้ลดน้อยลง เรือนชั้นในของเซียวหนานสวินจึงเงียบเหงามากขึ้น อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะแตะเกล็ดมังกร เมื่อไร
หลิ่วซู่ฉินเข้ามาตามเสียงเรียก ไม่มีความรู้สึกกังวลว้าวุ่นใดอีก
เซียวหนานสวินอารมณ์ย่ำแย่มาก แม้แต่คำกล่าวทักทายก็คร้านจะพูดกับนาง ทำเพียงยกนิ้วขึ้นชี้พิณบนโต๊ะ
หลิ่วซู่ฉินเข้าใจความหมาย นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มดีดพิณ เสียงพิณราวกับสายน้ำไหล สงบ สบายใจ จิตไม่ต้องมลทิน ปัดเป่าความร้อนรุ่ม นางตั้งใจกับการดีดพิณถึงขั้นไม่ได้เงยหน้ามองเซียวหนานสวินเลยแม้แต่น้อย
นางบรรเลงจบไปหนึ่งเพลงแล้ว
เซียวหนานสวินเงยหน้าขึ้นมองหญิงตรงหน้า สายตาเลยผ่านนางมองไปยังอีกคนหนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยว่า “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงไม่กลัวข้าแล้ว”
หลิ่วซู่ฉินวางมือบนสายพิณแล้วตอบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันไม่กล้าพูดเพคะ”
“เจ้าพูดมา ข้าไม่เอาผิดเจ้าก็ได้”
เซียวหนานสวินตอนนี้เรียกได้ว่ามีความสุข แต่ต่อจากนี้อาจจะโมโหโกรธาได้
หลิ่วซู่ฉินเตรียมพร้อมเต็มที่จึงเอ่ยว่า “องค์ชาย…เห็นหม่อมฉันเป็นหญิงอีกคนกระมังเพคะ”
เซียวหนานสวินขยับคางขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อไป เขาถึงขั้นไม่มีแม้แต่ความคิดจะตอบโต้ นิ่งเงียบยอมรับตามตรง
หลิ่วซู่ฉินปิดบังความขมขื่นที่มุมปาก กล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันรู้ตัวว่ารูปโฉมธรรมดา ถูกองค์ชายเห็นเป็น…ถือเป็นโชคของหม่อมฉันแล้ว แต่ว่า…ถ้าองค์ชายโปรดปรานแม่นางผู้นั้นอย่างจริงใจ ก็ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาเปล่าอีกแล้วเพคะ”
สีหน้าของเซียวหนานสวินเปลี่ยนไปดังคาด “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร”
“หม่อมฉันอ่านตำราบทกวีตั้งแต่เด็กจนโตเช่นกัน องค์ชายไม่เข้าพระทัยจริงๆ หรือเพคะ ถ้าความโปรดปรานอันทรงเกียรติกับการพระราชทานรางวัลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดบนโลกนี้จริง เช่นนั้นประโยคที่ว่า ‘ขอเพียงหัวใจใครสักคน อยู่จนแก่เฒ่าไม่แยกจาก’ คงเป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยไร้สาระแล้ว”
สีหน้าของเซียวหนานสวินไม่น่าดูยิ่งขึ้น “เจ้าหมายความว่านางจะไม่ยอมเชื่อฟังข้าไปชั่วชีวิตหรือ ความกล้าของเจ้ามีมากเสียจริง ไม่กลัวครั้งนี้ข้าจะพลั้งมือบีบคอเจ้าจนตายหรือไร”
หลิ่วซู่ฉินใบหน้าซีดเผือด แต่ไม่ช้านางก็สงบสติได้อีกครั้ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเพียงแค่พูดสิ่งที่อยากพูด ยินดีให้องค์ชายทรงลงโทษเพคะ”
“ไสหัวกลับไปเถอะ!”
เฮ่อหลันฉือเป็นห่วงลู่อู๋โยวจริงๆ “ข่าวลือนี้เจ้าคงไม่ได้เป็นคนปล่อยออกไปจริงๆ ใช่หรือไม่ ถ้าสาวมาถึงตัวเจ้าจะทำอย่างไร”
ลู่อู๋โยวแตะไหล่นางเป็นการปลอบขวัญแล้วเอ่ยว่า “สาวมาไม่ถึงหรอก ละครถูกยกเลิกแล้ว ไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ดูน่าเสียดายอยู่บ้าง คนที่เขียนคำร้องนั่นระดับฝีมือไม่เลวจริงๆ แน่นอนว่าหนังสือร้องเรียนไม่ใช่ผลงานของข้าคนเดียว ในหมู่ราษฎรมีทั้งสนับสนุนและต่อต้าน เซียวหนานสวินเดิมทีก็ไม่ได้ใจคนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีมูล” ด้วยกลัวว่าเฮ่อหลันฉือจะกังวลใจ เขายังอธิบายเพิ่มอีกหลายประโยค “เจ้ารู้จักตึกลมบูรพารุจีหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “ร้านค้านั่นหรือ”
“ใช่ ร้านที่ทำกิจการใหญ่มากร้านนั้น ชุดแต่งงานของเจ้าก็สั่งจากร้านตัดเสื้อของพวกเขา แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงร้านตัดเสื้อ รวมไปถึงโรงเตี๊ยม หอสุรา และโรงละครต่างๆ พวกเขายังมีกิจการที่ไม่มีใครรู้อีกอย่างก็คือการซื้อขายและส่งข่าว ฝีมือถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่าองครักษ์เสื้อแพรเลย” ลู่อู๋โยวหยิบของหวานชิ้นหนึ่งเข้าปาก “บอกเจ้าแล้วว่าบ้านข้าเป็นพรรคในยุทธภพ แต่มีกิจการมากมายที่ติดต่อกับตึกลมบูรพารุจี เจ้าของตึกกับท่านลุงข้าเป็นคนรู้จักกันมานาน ให้เกียรติฝ่ายข้าอย่างยิ่ง เบิกเงินทองจากทางนั้นหรือขอความช่วยเหลือก็สะดวกมาก…เจ้ายังจำแผ่นป้ายคำสั่งเหล็กสีนิลแผ่นนั้นที่ข้าเคยให้เจ้าก่อนแต่งงานได้หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “ข้าเก็บไว้ในหีบเสื้อผ้า ถ้าเจ้าต้องการข้าจะไปหยิบมาให้”
“ไม่ต้องแล้ว แค่อยากบอกเจ้าเท่านั้น แผ่นป้ายนั้นเห็นป้ายเหมือนเห็นตัวข้า ถ้าเจ้ามีความจำเป็นเมื่อไร เอาแผ่นป้ายไปยื่นที่ร้านใดของตึกลมบูรพารุจีก็ได้เพื่อขอความช่วยเหลือ”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าลู่อู๋โยวแทบจะชี้แจงทุกอย่างในบ้านจนหมดแล้ว
ขณะที่นางกำลังคิด ลู่อู๋โยวก็พูดกับนางว่า “อ้าปาก”
เฮ่อหลันฉือตกตะลึง เห็นของหวานชิ้นหนึ่งถูกยื่นมาที่ข้างปากของตนเองแล้ว นางนิ่งงัน รู้สึกว่าถูกคนป้อนเช่นนี้น่าอายเล็กน้อย ขณะกำลังคิดจะยื่นมือไปรับมา ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยทวนซ้ำอีกรอบ
“อ้าปาก”
เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงอ้าปาก
ลู่อู๋โยวป้อนของหวานเข้าปากนางอย่างพอใจเต็มเปี่ยม “รสชาติเป็นอย่างไร”
เฮ่อหลันฉือกัดไปหลายคำ หลังจากกลืนลงคอแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่เลวนัก”
“แค่ไม่เลวเท่านั้นหรือ”
ความจริงแล้วในบรรดาของหวานที่ลู่อู๋โยวชอบ นี่เป็นประเภทที่ไม่ค่อยหวานแล้ว แต่สำหรับเฮ่อหลันฉือยังคงหวานมาก แน่นอนว่าอร่อยก็อร่อยอยู่ แต่เลี่ยนเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เป็นเจ้าเองที่หวานเกินไปกระมัง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกถึงความหวาน”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างตกใจ “นี่เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร”
ลู่อู๋โยวส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เอานิ้วมือที่เพิ่งเช็ดริมฝีปากนางมาแตะริมฝีปากของตน ใช้ดวงตาดอกท้อมองนางพลางพูดด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“เจ้าใช่จะไม่รู้ว่าข้าชอบกินหวาน ดังนั้นไม่ว่าที่ใดก็อยากชิมมาก…”
เฮ่อหลันฉือตัดสินใจไปจากตรงนี้ทันที
ระหว่างทางเฮ่อหลันฉือเห็นคุณชายมู่หลิงผู้นั้นยังนอนป่วยอยู่อีก หมอบอกว่าเขาแค่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงนอนนานเช่นนี้ นางจำได้ว่าลู่อู๋โยวเคยบอกว่าพลังชีวิตของคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก บาดแผลก็สมานเร็วอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้คุณชายที่ผมยาวดำขลับสยายลงข้างกายผู้นี้ราวกับอ่อนแอจนต้านลมไม่ไหว ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไอสองทีอยู่บ่อยครั้ง
ฮวาเว่ยหลิงระยะนี้ก็ไม่ค่อยออกไปนอกบ้านแล้ว อยู่ในจวนคอยดูแลเขา
“อาการป่วยของเจ้าเมื่อไรจึงจะหาย”
มู่หลิงไอออกมาอีกทีหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนแรง “ข้าก็ไม่รู้ อาจจะทำให้โรคเก่ากำเริบก็ได้…”
ฮวาเว่ยหลิงน้ำเสียงงุนงงมากเช่นกัน “เหตุใดถูกป้ายร้านกระแทกจึงทำให้โรคเก่ากำเริบได้”
มู่หลิงพูดด้วยรอยยิ้มเจือจางอ่อนแอว่า “อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกป้ายร้านกระแทกใส่เช่นกัน”
“…เช่นนั้นเจ้าก็โชคร้ายเกินไปแล้วกระมัง”
“ไม่เป็นไร ได้เจอกับแม่นางฮวาถือว่าข้ามีโชคในสามชาตินี้แล้ว”
ฮวาเว่ยหลิงเท้าแก้มพลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ ข้าคิดว่าเจ้าดูเหมือนจะเริ่มโชคร้ายตั้งแต่ได้เจอข้า หรือไม่พวกเราสองคนก็ห่างกันสักหน่อยเถิด”
มู่หลิงเริ่มไอเสียงดังสะเทือนฟ้าดินขึ้นมาทันที ราวกับจะไอเอาปอดออกมาเลยทีเดียว หากว่ามีถุงเลือด เฮ่อหลันฉือคงสงสัยว่าเขาอาจจะแสดงบทกระอักเลือดใส่บุปผาในตอนนี้เลยก็ได้
ฮวาเว่ยหลิงจำต้องประคองตัวเขา ตบแผ่นหลังเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ได้ๆๆ ข้าไม่ไปแล้ว ข้าไม่ไปแล้ว…” นางพึมพำ “นี่เจ้าเป็นอะไรกันแน่…”
เฮ่อหลันฉือจู่ๆ ก็นึกถึงการแสดงอันยอดเยี่ยมของใครบางคนก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วขึ้นมา
ลู่อู๋โยวก็เห็นแล้วเช่นกัน สีหน้ายากจะอธิบายได้อยู่หลายส่วน เขาเดินเข้าไปพูดกับฮวาเว่ยหลิงว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเขา อีกครู่เขาก็หายแล้ว”
มู่หลิงไอจนหน้าแดงแล้ว
ฮวาเว่ยหลิงตบแผ่นหลังของเขาต่อไปแล้วกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านไร้ความเห็นอกเห็นใจเกินไปแล้วกระมัง”
ลู่อู๋โยวพับแขนเสื้อเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าถอยไป ข้าจะตบหลังให้เขาเอง รับรองว่าคนถึงโรคหาย และข้าก็เคยเรียนการแพทย์ เจ้าเรียนเพียงเรื่องพิษมิใช่หรือ”
“แต่ครั้งก่อนท่านตบจนเขาแทบกระอักเลือดแล้วนะ”
ลู่อู๋โยวพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “กระอักเลือดเสียออกมาบ้างจึงจะดี”
ฮวาเว่ยหลิงยังสองจิตสองใจอยู่ คุณชายมู่หลิงผู้นั้นกลับปิดปากไอก่อนแล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “ไม่ ไม่ต้องรบกวนใต้เท้าลู่แล้ว ข้า…ข้าไม่เป็นไรแล้ว…”
เฮ่อหลันฉือไม่รู้เช่นกันว่าควรจะเป็นห่วงใครก่อนดี
เมื่อกลับถึงห้องลู่อู๋โยวก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ครั้งก่อนเป็นการอวยพรวันคล้ายวันประสูติของลี่กุ้ยเฟย ครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากเป่ยตี๋อย่างเป็นทางการ เจ้ายังจะไปหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือยังมีความกลัวอยู่ในใจ “เช่นนั้นเจ้าไม่ไปได้หรือไม่”
“สำนักราชบัณฑิตกับกรมพิธีการร่วมกันรับผิดชอบต้อนรับ คิดจะไม่ไปคงยากมาก” ลู่อู๋โยวกลอกตาแล้วเอ่ยว่า “หรือเจ้ายังคิดจะไปพบองค์ชายน้อยแห่งเป่ยตี๋ผู้นั้นตามลำพังอีก อ้อ คนเขามีความรักความเมตตามากล้นต่อเจ้านี่นา” เขาเลียนแบบคำพูดของลั่วเฉิน พูดเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำว่า “ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้าชอบเจ้า อยากจะเด็ดดวงดาวบนฟากฟ้าทุกดวงมาให้เจ้า…”
เฮ่อหลันฉือเขินอายอย่างยิ่ง พูดตัดบทเขาอย่างทนไม่ไหว “ข้าไม่คิดจะไป! เจ้าอย่ามาพูดจาแปลกๆ ได้หรือไม่!”
ลู่อู๋โยวพูดช้าๆ ต่อไป “เหตุใดเขาพูดได้ แต่ข้าพูดไม่ได้”
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามีระยะห่างอีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทิฐิหรือการวางตนดั่งดาบหอกที่แทงไม่เข้า คอยปฏิเสธอยู่ห่างผู้อื่นไกลเป็นพันหลี่อีกต่อไป เมื่อคนได้ปลดปล่อยตัวตนออกมาแล้วยอมไม่มีทางหวนกลับ
เฮ่อหลันฉือโต้กลับทันที “คนเขาไม่ได้ทำเพื่อหยอกเย้าข้าเสียหน่อย!”
“ข้าก็ไม่ได้หยอกเย้าเจ้าเช่นกัน” ลู่อู๋โยววางฝ่ามือแนบเอวของนาง เหมือนจะชอบตรงนั้นมากจนไม่อยากปล่อยมือ “เอาเถอะ ถ้าเจ้าไม่พอใจ ไม่พูดถึงก็ได้”
แม้ต้ายงจะมีอำนาจรุ่งเรือง แต่ในความเป็นจริงเทียบกับเป่ยตี๋แล้วด้านการสู้รบไม่ค่อยเก่งกาจนัก ส่วนใหญ่จะฝืนทนรับมืออย่างยากลำบาก ดังนั้นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป่ยตี๋นำกำลังทหารสามสิบนายและบัณฑิตที่อ้างว่าเรียนรู้ตำราบทกวีมาสิบกว่าคนมาถกปัญหาในตำรากับต้ายง
แน่นอนว่าการถกปัญหาในตำราของเป่ยตี๋ไม่แตกต่างอะไรมากนักกับการโต้แย้งอย่างไร้เหตุผลและใช้วิธีการกลับผิดเป็นถูก
สำนักราชบัณฑิตมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการในส่วนนี้ ลู่อู๋โยวจิบชาหนึ่งอึกกลั้วคอ ก่อนจะเดินขึ้นหน้ามาคนแรกแล้วเริ่มแสดงการปะทะคารมของเขากับเหล่าบัณฑิต เรื่องนี้แท้จริงแล้วไม่หนักหนาอะไร เป็นเพราะอดกลั้นมานาน ลู่อู๋โยวจึงใช้วาจาเฉียบคมเชือดเฉือนไม่หยุด ทำให้ใต้เท้าเสิ่นหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกระแอมหลายที เขาจึงได้ยั้งเสียงพูดไว้บ้าง ประสานสองมือพูดด้วยมารยาทเต็มเปี่ยม
“ในคำพูดนี้ถ้ามีสิ่งใดบกพร่อง ขอทุกท่านช่วยชี้แนะด้วย”
ทุกคนรอบข้างใจคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย พูดเหลวไหลเหมือนผายลม เจ้าพูดเช่นนั้นแล้ว ยังหวังว่าคนอื่นจะแก้ไขอะไรให้เจ้าอีกหรือ!
บัณฑิตเป่ยตี๋ตรงหน้าผู้นั้นหายใจหอบ ยันโต๊ะเพื่อประคองตัว ยากจะโต้แย้งได้และถูกทำให้โกรธหนักมากเช่นกัน
ลู่อู๋โยวดูเหมือนจะมีพรสวรรค์พิเศษในการด่าคนโดยไม่ใช้คำหยาบแม้เพียงหนึ่งคำ ตอนโต้คารมกับผู้อื่นก็ยอดเยี่ยมเหมือนตอนที่เขายกพู่กันถือฎีกาด่าคน ฮ่องเต้เห็นแล้วสีหน้าเบิกบานและพระราชทานของมาให้อีกจำนวนหนึ่ง
ทุกคนต่างกล่าวแสดงความยินดีไม่หยุดเช่นกัน
“จี้อัน เจ้าพูดเก่งเหลือเกิน…”
“จะว่าไปเมื่อครู่เจ้าพูดรวดเดียวโดยไม่หยุดพูดราว…เจ็ดร้อยตัวอักษรใช่หรือไม่ หรือว่าหนึ่งพัน?”
มีเพียงองค์ชายน้อยลั่วเฉินแห่งเป่ยตี๋ซึ่งอยู่ตรงหน้าที่ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดมองเขา
ลู่อู๋โยวไม่สนใจ รอการแสดงของสหายร่วมงานคนอื่นอีกหลายคนอย่างเงียบๆ
สำหรับเรื่องของกำลังคนก็ให้กรมทหาร สำนักกิจการห้าเหล่าทัพ และกองปราบปรามเหนือคอยกังวลใจไปแล้วกัน
ลู่อู๋โยวกำลังจะถอยออกไป ทันใดนั้นก็เห็นนักพรตกลุ่มหนึ่งเดินมาตรงหน้า การแต่งกายงดงามมีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญตน เสื้อคลุมของนักพรตเต๋าหรูหราอย่างยิ่ง เผิงกงกงขันทีผู้ตรวจฎีกาที่อยู่ด้านข้างกำลังเดินนำคนเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
เผิงกงกงเป็นขันทีที่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ โดยปกติขุนนางใหญ่ขั้นสามทั่วไปอาจจะไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มของเขา
สหายร่วมงานเห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาอยู่หลายส่วน “ได้ยินว่าเป็นนักพรตจากเขาหลงหู่ บอกว่ามีวิชาบรรลุเป็นเซียน ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญมาก ดูเหมือนทรงวางแผนจะสร้างอารามเต๋าขนาดใหญ่หนึ่งหลังให้พวกเขาด้วย”
“ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการบูรณะซ่อมแซมตำหนักฉงกวงที่ถูกไฟไหม้ขึ้นใหม่ เหมือนฝ่าบาทยังทรงคิดจะสร้างหอบรรลุเซียนที่สูงเทียมเมฆหนึ่งหลังด้านข้างอีกด้วย”
“ฝ่าบาททรงอยากมีพระชนม์ชีพยืนยาวเช่นกันนี่…”
เห็นสีหน้าของซุ่นฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน คงเพราะชีวิตคนดำเนินมาถึงช่วงเวลานี้ก็จะเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความตาย จึงคิดหาวิธีประวิงเวลาต่อไป
ลู่อู๋โยวไม่ได้พูดอะไร
ลู่อู๋โยวเพิ่งกลับมาพักผ่อนที่สำนักราชบัณฑิตได้ครู่หนึ่ง ขณะกำลังชงชาให้ตนเองก็มองเห็นหลินจางที่ดูไม่สดชื่น
ลู่อู๋โยวตื่นตัวขึ้นมาทันที เอ่ยถามว่า “เซ่าเยี่ยน เป็นอะไรไปอีกเล่า”
หลินจางเห็นว่าเป็นลู่อู๋โยวก็เผยรอยยิ้มเศร้า “ยังคงเป็นเรื่องนั้น”
การแต่งงานที่ไม่ลงรอยกันสร้างปัญหาให้ผู้คนได้จริงๆ
ลู่อู๋โยวพูดอย่างหวังดีว่า “ก่อนหน้านี้ข้าแนะนำให้เจ้าพูดเอาใจฮูหยินของเจ้า เจ้าเคยลองหรือยัง”
หลินจางพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เอาใจน่ะเอาใจแล้ว แต่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อะไร”
เขาพยายามจะเข้ากับเว่ยอวิ้นอย่างดีแล้ว ด้วยเรื่องนี้เขายังถามสหายร่วมงานอีกหลายคน สหายร่วมงานกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
‘อยากเรียนวิธีพูดจาหวานหูกับสตรีเช่นไร เรื่องนี้มิง่ายหรือ หลังเลิกงานเจ้าตามพวกเราไปได้เลย’
หลินจางตามพวกเขาไป ใครจะรู้ว่าที่พวกเขาพาไปกลับเป็นสถานที่หาความสำราญ
หญิงคณิกามากมายเกาะแขนเสื้อของหลินจางจะดึงตัวเขาเข้าไป หลินจางสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ดึงรั้งตรงประตูอยู่นาน ปฏิเสธซ้ำหลายคราจึงหลุดมาได้
ตอนกลับไปหลินจางยังรู้สึกในใจเหนื่อยล้า ใครจะคาดคิดว่าเรื่องนี้กลับถูกบ่าวที่เว่ยอวิ้นส่งมาติดตามเขาเห็นเข้า กลับไปพูดเสริมเติมรสยกใหญ่ เว่ยอวิ้นโมโหโกรธาทันที
หลินจางยังไม่ทันเหยียบเข้าไปในจวนก็เกือบถูกแท่นฝนหมึกขว้างใส่
‘หลินเซ่าเยี่ยน เจ้าเก่งมากนะ! แม้แต่หอคณิกายังกล้าไป!’
หลินจางหลบสิ่งของนานาชนิดที่ถูกขว้างปามาพลางพูดอธิบายอย่างร้อนรนว่า ‘สหายร่วมงานบังคับลากตัวข้าไป ข้าไม่รู้เรื่องเลย และข้าก็ไม่ได้เข้าไปด้วย’
‘เจ้าหลอกผีหรือ!?’ เว่ยอวิ้นเท้าเอว เห็นชัดว่าไม่เชื่อ ‘ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนบริสุทธิ์แข็งกล้า ที่แท้ก็มีความเจ้าชู้อยู่เต็มท้อง…’
หลินจางเดิมทีเหนื่อยล้ามากแล้ว ยังถูกใส่ความเช่นนี้อีก ความอดทนของเขามาถึงขีดสุดแล้วจริงๆ เขาตัดสินใจไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป
แท่นวางพู่กันที่เว่ยอวิ้นขว้างมากระแทกเข้าขมับของหลินจาง เลือดสายหนึ่งไหลลงมาตามขมับของเขา เว่ยอวิ้นเองก็ตกตะลึงในทันที
‘เหตุใดเจ้าจึงไม่หลบเล่า!’
หลินจางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ‘ในเมื่อเจ้าโกรธ เช่นนั้นเจ้าก็ระบายอารมณ์เถอะ’
‘นั่นข้าไม่ได้…’ เว่ยอวิ้นพูดไม่ออกเช่นกัน
‘เจ้ายังโกรธหรือไม่’ เลือดไหลมาถึงหางตาของหลินจางแล้ว
เว่ยอวิ้นขยับริมฝีปาก ‘เช่นนั้นเจ้าห้ามไปหอคณิกาอีกนะ’
‘เดิมทีข้าก็ไม่ได้ไปสถานที่เช่นนั้น บอกเจ้าแล้วว่าสหายร่วมงาน…’ หลินจางถอนใจเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงคำที่ลู่อู๋โยวพูดกับเขาขึ้นมาได้ น้ำเสียงจึงอ่อนลงในทันที ‘ได้ ข้าจะไม่ไปอีกแล้ว เจ้า…อย่าโกรธเลย’
เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องโกรธถึงเพียงนี้ นางไม่มีใจต่อเขา เดิมทีควรจะไม่สนใจอะไรเลยมิใช่หรือ…หรือนางอาจจะทำเพื่อศักดิ์ศรี?
‘อ้อ’ หลังจากเว่ยอวิ้นรับคำแล้วก็เดินเข้ามาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยเลือดบนใบหน้าของเขา
ตอนที่หลินจางคิดว่าจะจบเรื่อง ปลอดภัยไร้ปัญหาใดแล้ว เว่ยอวิ้นกลับเริ่มหาเรื่องเขาอีกทั้งยังบ่อยครั้งขึ้น แม้แต่ตอนที่เขาเลิกงานกลับจวนมาเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ…ไม่ว่าเขาจะยอมอ่อนข้อหรือพูดจาอ่อนโยนด้วยอย่างไร เว่ยอวิ้นก็จะดึงดันหาเรื่องเขาให้ได้ทุกที
สุดท้ายเขาถึงขั้นได้ยินนางสบประมาทเขาให้คนอื่นฟัง บอกว่าเขาไร้สมรรถภาพ
ลู่อู๋โยวยังรู้สึกตกใจหลายส่วน “ฮูหยินของเจ้าไม่ชอบวิธีนี้หรือ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน…” หลินจางกดขมับ จุดที่ถูกขว้างของใส่แม้แผลจะสมานเร็วมาก แต่ยังคงรู้สึกเจ็บเล็กน้อย “อาจเป็นเพราะนางไม่ชอบข้าคนนี้กระมัง”
“เช่นนั้นคงทำได้เพียง…ดูว่าจะทำให้นางชอบเจ้าได้อย่างไร” ลู่อู๋โยวพูดอย่างไร้มโนธรรมว่า “ฮูหยินให้ข้ากลับไปอยู่กับนางเร็วหน่อย ข้าไม่อาจอยู่นานแล้ว ขอตัวก่อน”
หลังจากนั้นไม่นานลู่อู๋โยวกลับถึงบ้านก็เห็นเฮ่อหลันฉือนอนซมอยู่บนเตียง…นางกำลังมีระดู
ระดูของเฮ่อหลันฉือมักจะมาไม่ตรงเวลาอย่างยิ่ง สิ่งเดียวที่โชคดีคือหลังกลับจากไปพักฟื้นที่ชิงโจวก็ไม่ได้ปวดท้องเป็นพิเศษ ยามปกตินางจะไม่พูดเรื่องนี้กับลู่อู๋โยว จะทำความสะอาดตนเองจนสะอาด ลู่อู๋โยวก็ไม่เคยมาสอบถามนางเช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขากลับมาถามนั่นถามนี่ และยังมีท่าทางศึกษาอย่างจริงจังมากอีกด้วย
เฮ่อหลันฉือเขินอายจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ “หุบปากเถอะ ขอร้องล่ะใต้เท้าลู่”
“นี่ข้าก็ช่วยเจ้าแบ่งเบาความกังวล แก้ปัญหาให้เจ้ามิใช่หรือ ข้าไม่มีปัญหาเช่นนี้ เห็นเจ้ามีก็รู้สึกสงสารมาก จะให้ข้าเขียนใบสั่งยาบำรุงจัดยาให้เจ้าสักนิดหรือไม่ จะว่าไปทำให้เวลาสั้นลงได้หรือไม่ เจ้าจะไม่สบายตัวนานเช่นนี้จริงหรือ”
เฮ่อหลันฉือกุมท้องแล้วพูดว่า “เจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ได้หรือ”
“เหตุใดจึงไม่ให้คนเป็นห่วงอีก หรือว่าข้าถ่ายกำลังภายในให้เจ้าอีกสักนิดดีหรือไม่ เมื่อก่อนเจ้า…” ลู่อู๋โยวหยุดเล็กน้อย “หลบข้าตลอดอย่างนั้นหรือ”
เมื่อก่อนมีอยู่หลายวันที่เฮ่อหลันฉือจะไม่นอนในห้อง ลู่อู๋โยวคิดไปว่าทุกคนล้วนมีเวลาที่อยากอยู่ลำพังจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก
นางส่ายหน้า ไม่ค่อยอยากสนใจเขา
ลู่อู๋โยวจึงถามเสียงเบาอีกว่า “ปวดมากหรือ”
เฮ่อหลันฉือส่ายหน้า “พอทนได้”
“มีวิธีผ่อนคลายหรือไม่”
“อดทนสักพักก็พอ”
“หรือให้ข้ากอดเจ้า จะดีขึ้นบ้างหรือไม่” ลู่อู๋โยวกางแขนพูดอย่างใจกว้างมาก “ข้าไม่ถือสาถ้าเจ้าจะมานั่งในอ้อมกอดข้า ข้าช่วยนวดให้เจ้าได้…เจ้าปวดตรงท้องน้อยหรือตรงสะดือ ข้าไม่เคยอ่านตำราการแพทย์ทางด้านนี้ เอาไว้จะลองอ่านดู”
“อย่าเสนอความคิดไร้สาระเลยใต้เท้าลู่!”
ลู่อู๋โยวถอนใจอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ก็ได้”
เขาเดินมองวนรอบตัวนางอยู่ครู่ใหญ่ วนไปมาอยู่ข้างกายนาง เฮ่อหลันฉือถูกเขาเดินวนจนรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย แต่ดูเหมือนไม่ปวดท้องมากนักแล้ว
“เช่นนั้นข้าพูดคุยกับเจ้าเรื่องอื่นก็แล้วกัน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสนใจ เบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง” ลู่อู๋โยวพลิกเอาเอกสารจำนวนหนึ่งออกมา “เรื่องของอี้โจวข้าตรวจสอบบ้างแล้ว รวมถึงพวกคดีฆาตกรรมในอดีตด้วย พูดตามตรงมองผิวเผินตรวจสอบได้ยากมาก เอกสารที่ข้าเข้าถึงได้ไม่นับว่ามากนัก แต่ข้าคิดว่ามีคดีหนึ่งที่ผิดปกติเล็กน้อย ไม่นานก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการท้องถิ่นอี้โจวออกตรวจการในพื้นที่อี้โจว ปรากฏว่าเจอโจรพเนจรทำร้ายจึงตายในหน้าที่ ปิดคดีได้อย่างค่อนข้างหยาบและเร่งรีบ”
เฮ่อหลันฉือจับประเด็นสำคัญได้เช่นกัน “โจรพเนจร ผู้ดูแลครั้งก่อนนั้น…”
“ถูกต้อง ใครให้โจรพเนจรไร้หลักฐานยืนยันการตรวจสอบเล่า ข้าเคยถามสหายที่กรมอาญา คดีนี้ไม่ถือเป็นความลับสุดยอด แต่ข้อมูลน้อยเกินไปไม่อาจวิเคราะห์ต่อได้ ได้ยินว่าผู้ตรวจการท้องถิ่นผู้นั้นเคยมาแจ้งที่สำนักตรวจการ แต่ข้าไม่รู้เรื่องเลย สืบข่าวนั้นไม่ยาก แต่ถ้าคิดจะตรวจสอบร่องรอยบางอย่าง เกรงว่าข้าคงต้องไปอี้โจวด้วยตนเองสักครั้ง โชคดีที่ตอนนี้สำนักราชบัณฑิตต้องอัญเชิญราชโองการไปที่อี้โจว นี่เป็นงานที่ลำบากชิ้นหนึ่ง ไม่มีคนยินดีจะไป ข้ากำลังคิดว่า…”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ในสำนักราชบัณฑิตแทบจะไม่มีการโยกย้าย แต่ก็พอมีออกไปทำงานข้างนอกบ้าง งานที่นิยมที่สุดก็คือไปเป็นผู้คุมการสอบระดับภูมิภาคซึ่งเป็นงานที่ได้ผลตอบแทนสูง ทั้งยังชุบเลี้ยงเส้นสายได้อีกด้วย งานที่ไม่มีใครอยากไปทำที่สุดก็คือการอัญเชิญราชโองการไปให้ฟานอ๋อง ที่ทั้งลำบากและเหน็ดเหนื่อย ซ้ำยังไม่สร้างผลงานเท่าไร
เฮ่อหลันฉือเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา “เจ้าคิดจะไปหรือ”
“พูดตามจริงก็ไม่ได้อยากไปนัก”
เฮ่อหลันฉือเข้าใจได้เช่นกัน
“เหตุผลหลักคืออี้โจวเป็นดั่งน้ำลึก ข้าไปครั้งนี้มีอันตรายอยู่บ้าง ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย แต่…” เขาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยต่อ “สืบมานานเพียงนี้แล้ว ไม่อยากจะไปเท่าไร ประกอบกับเหมือนที่เจ้าคิดในฝัน ได้ยินข่าวมาว่าใต้เท้าเฮ่อหลันดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง แต่ถ้าข้าไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
เฮ่อหลันฉือตั้งใจฟังจนจบก็กุมท้องแน่นแล้วเอ่ยว่า “วางใจได้ เจ้าไปเถอะ ข้าทนไหว”
ลู่อู๋โยวพูดเสียงเบา “คุณหนูเฮ่อหลัน ข้าจะไปก็ยังอีกสักระยะ มีกำลังใจอย่างอื่นอีกบ้างหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจ้า…เจ้ารอข้าหมดระดูก่อน”
คิดไม่ถึงว่าระดูมาวันที่สองแล้วยังรู้สึกปวดท้องอยู่เลย
เฮ่อหลันฉือหันหน้าเข้าด้านในเตียง ขดตัวกัดริมฝีปากทนอยู่สักครู่ แทบจะไม่ส่งเสียงใด บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ นางคิดว่าจะทนต่อไป รอให้ง่วงแล้วหลับไปก็น่าจะดีขึ้นเอง คงเป็นเพราะการป่วยไข้ในวัยเด็กจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ปกติแล้วนางจะอดทนเก่งมาก
แต่ครั้งนี้บังเอิญถูกลู่อู๋โยวพบเข้า
เดิมทีเขาเพียงอยากดูว่าเฮ่อหลันฉือหลับหรือยัง กลับเห็นเหงื่อบนหน้าผากของนาง ยังคิดว่านางฝันร้ายเสียอีก พอมองดูอีกทีเห็นนางกัดริมฝีปาก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าคงมิใช่ยังปวดท้องอยู่หรอกนะ”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบา “นิดหน่อย ไม่ได้ปวดมากเป็นพิเศษ”
ลู่อู๋โยวจุดเทียนแล้วเช็ดเหงื่อให้นาง จึงพบว่าริมฝีปากของนางถูกกัดจนแตกเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวที่พูดไม่หยุดนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะหายปวดตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ถ้ายังปวดอยู่เหตุใดจึงไม่บอกข้า”
“ไม่ได้ปวดมากจริงๆ”
ฝ่ามือของลู่อู๋โยวแตะหลังเอวของนางเบาๆ ไอร้อนกลุ่มหนึ่งแทรกซึมเข้ามาทำให้ท้องและเอวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
เขาพูดอย่างทอดถอนใจ “ถึงแม้การดูแลตนเองเป็นเรื่องดี แต่เจ้าพึ่งพาข้าสักนิดก็ได้ ไม่เช่นนั้นข้าที่เป็นสามีคนนี้จะรู้สึกว่าเป็นเสียเปล่าแล้ว”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบา “ข้าได้…พึ่งพาเจ้ามากแล้ว”
ลู่อู๋โยวเห็นนางฝืนทนจึงพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าอย่าพูดอีกเลย ข้าก็จะไม่พูดแล้ว”
มือของเขายังแตะอยู่ที่หลังเอวของนางเหมือนนวดไล่เลือดคั่ง เฮ่อหลันฉือนอนนิ่งอยู่ในท่านี้ ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยๆ รู้สึกว่าความเจ็บปวดคลายลง ร่างกายที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลาย ความง่วงค่อยๆ เพิ่มขึ้น เสียงพูดแผ่วเบาของลู่อู๋โยวดังมาจากด้านหลัง
“เจ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
วันต่อมาลู่อู๋โยวเรียกหมอมาตรวจอาการให้นางที่จวน เฮ่อหลันฉือสามารถกระโดดโลดเต้นได้แล้ว คิดว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หมอก็บอกว่านางร่างกายไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
ลู่อู๋โยวเอ่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดยังปวดอีก”
หมอผู้เฒ่ากระแอมทีหนึ่ง ลูบหนวดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้…จะรู้สึกปวดบ้างไม่มากก็น้อย ฮูหยินระวังอย่าให้กระทบถูกความเย็นก็พอแล้ว”
เฮ่อหลันฉือกระตุกแขนเสื้อของลู่อู๋โยวด้วยความเขินอาย แสดงท่าทีว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ต่อ ลู่อู๋โยวตอนนี้จึงยอมหยุด แต่ยังคงมองนางแล้วเอ่ยขึ้น
“เป็นสตรีลำบากกว่าที่คิดไว้จริงๆ”
เฮ่อหลันฉือนวดท้องของตนเอง “เกิดมาเป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สุขไปกับมันเถอะ”
ลู่อู๋โยวเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้น…วันหน้าคลอดลูกจะเจ็บปวดกว่านี้ใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือ “…!”
เจ้าคิดไกลเกินไปแล้วกระมัง…
ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยต่อ “ถ้าลำบากเกินไปก็ช่างเถอะ สภาพร่างกายของเจ้ารู้สึกว่าทรมานสักนิดก็แตกสลายแล้ว”
เฮ่อหลันฉือคิดว่าเขาตีตนไปก่อนไข้เร็วเกินไป นางตั้งครรภ์ได้หรือไม่ยังบอกไม่ได้จึงพูดว่า “วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”
เมื่อร่างกายสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือก็วิ่งไปฝึกยิงธนูด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ลู่อู๋โยวเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าใจเย็นสักนิดเถอะ”
เฮ่อหลันฉือยกคันธนูขึ้นเล็งแล้วพูดว่า “ข้าก็ค่อยเป็นค่อยไปทีละอย่างนะ” นางคิดสักครู่จึงพูดว่า “…เจ้ามาประลองกับข้าเถอะ”
ลู่อู๋โยวแทบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ไหล่ของเขาสั่นเบาๆ “คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้ายังสติแจ่มชัดอยู่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างไม่ค่อยเก้อเขินเท่าไร “เจ้าให้ข้าพึ่งพาเจ้ามากสักนิดมิใช่หรือ และเจ้าดูแล้วก็…”
ว่างมาก
ตั้งแต่ลู่อู๋โยวตัดสินใจรับภารกิจอัญเชิญราชโองการไปที่อี้โจวก็ไม่จำเป็นต้องไปที่สำนักราชบัณฑิต หลายวันนี้จึงมีเวลาว่าง เขากำลังรอหนังสือนำทางและราชโองการมาถึง ตอนนี้มีเพียงเก็บสัมภาระเดินทาง
แต่คิดไม่ถึงว่าลู่อู๋โยวยังไม่ทันเดินทางฮวาเว่ยหลิงก็มากล่าวลาเสียก่อน
“ข้าอยู่ที่นี่นานมากแล้ว ท่องเที่ยวไปทั่วเมืองหลวงพอสมควรแล้วด้วย” นางกลับไปสวมชุดดำเหมือนตอนที่มาถึง รวบผมยาวเรียบร้อย ข้างแก้มเห็นลักยิ้ม ดูแล้วน่ารักสดใส “รบกวนพี่ชายกับพี่สะใภ้มานานเพียงนี้ ทางด้านผู้อาวุโสก็เขียนจดหมายมาเร่งพอดี ข้าจะกลับไปก่อนแล้วกันนะ ครั้งหน้าค่อยมาใหม่”
พูดมาถึงเพียงนี้แล้วพวกเขาย่อมไม่สะดวกจะรั้งตัวอีกฝ่ายไว้อีก
เฮ่อหลันฉือชอบน้องสาวของสามีคนนี้มาก ถึงแม้จะ…ทำให้คนอื่นเป็นห่วงได้ง่ายมากก็ตาม
นางกำลังคิดจะพูดกำชับสักสองประโยคก็เห็นฮวาเว่ยหลิงดึงตัวนางไปด้านข้างแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ตอนที่ข้าเพิ่งมาท่านดูเหมือนยังไม่ค่อยชอบพี่ชายข้านัก ตอนนี้เล่า ชอบเขามากขึ้นสักนิดหรือไม่ พี่ชายข้าเป็นคนไม่เลวจริงๆ นะ และพวกท่านก็อย่างนี้อย่างนั้นกันแล้ว…”
เฮ่อหลันฉือแก้มแดงเรื่อ รู้สึกจนปัญญา ก่อนหน้านี้ลู่อู๋โยวทำอะไรตามใจทุกที่ทุกเวลาจริงๆ ไม่รู้ว่าถูกฮวาเว่ยหลิงเห็นเข้ากี่ครั้งแล้ว
“ข้า…” นางไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร เบนสายตาไปก็เห็นร่างสูงสง่าของลู่อู๋โยวยืนอยู่ไม่ไกล กำลังกระซิบพูดอะไรบางอย่างกับชิงเยี่ยด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ดวงตายกโค้ง ริมฝีปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย ใบหน้ากระจ่างใสราวกับน้ำที่ไร้ฝุ่นผง
ฮวาเว่ยหลิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มหวานแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว!”
เฮ่อหลันฉือนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันใด “เจ้าไปแล้ว คุณชายมู่ผู้นั้นจะทำอย่างไร”
“อ้อ เขาไม่มีที่ไป ดูเหมือนวางแผนจะไปกับข้า”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
เจ้าก็วางใจเกินไป!
คุณชายมู่ผู้นั้นขาดแต่เพียงเขียนคำว่า ‘ลอบวางแผนชั่วร้าย’ ไว้บนใบหน้าเท่านั้นแล้ว!
เห็นพวกนางพูดคุยกันพอสมควรแล้วลู่อู๋โยวก็เดินมาหา “เว่ยหลิง เจ้าจะกลับไป พาคนไปด้วยไม่สะดวกหรอก ข้าจะจัดเตรียมที่ไปให้คุณชายมู่เอง เขาอยากเป็นจอมยุทธ์มิใช่หรือ ส่งเขาไปที่บ้านภูเขาถิงเจี้ยนเสียเลย ทุกวันตื่นยามอิ๋น* นอนยามซวี** หนึ่งวันฝึกกระบี่หกเจ็ดชั่วยาม รับรองว่าไม่ช้าเขาก็สามารถ…” ลู่อู๋โยวอมยิ้มพูดว่า “บรรลุดังใจปรารถนา”
เฮ่อหลันฉือรู้ได้ทันทีว่าเหตุใดเมื่อครู่ตอนที่เขาปรึกษากับชิงเยี่ยจึงยิ้มเช่นนั้น
ฮวาเว่ยหลิงยังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นี่ลำบากเกินไปหรือไม่…”
“บรรลุตามใจปรารถนาล้วนเป็นเรื่องลำบาก ตอนที่ข้าเรียนหนังสือก็ลำบากมากเช่นกัน ข้าส่งคนไปบอกเขาแล้วด้วย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของลู่อู๋โยวก็เห็นคุณชายมู่ผู้นั้นฝีก้าวโซเซ มือทาบอกเดินออกมาจากในห้อง ผมเผ้าของเขาดูยุ่งเหยิง ดวงตาฉายแววเจ็บปวด กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยปากเหมือนได้รับบาดเจ็บอย่างยิ่ง
“ถ้าแม่นางฮวาคิดว่าข้าขัดตา ข้าไปเองก็ได้ ไม่ต้องรบกวนแม่นางแล้ว แต่บุญคุณช่วยชีวิตของแม่นาง ข้าน้อยชาตินี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะมีโอกาสได้ตอบแทนอีก…”
ฮวาเว่ยหลิงเกาศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าขัดตา ก็แค่…”
มู่หลิงยิ้มเศร้า “เป็นเพราะบทละครเขียนเสร็จแล้ว ข้าก็ไร้ประโยชน์แล้วหรือ”
ครั้งล่าสุดที่เฮ่อหลันฉือเห็นสภาพบุรุษที่น่าเวทนาเช่นนี้คือตอนที่ลู่อู๋โยวแสดงบทกระอักเลือดให้องค์หญิงเสาอันดูบนรถม้า
ลู่อู๋โยวมีท่าทีต่อต้านเต็มเปี่ยมดังคาด “คุณชายมู่พูดอะไรกัน น้องสาวข้าท่องยุทธภพ พาเจ้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย พวกเราคำนึงถึงตัวเจ้านะ”
บนแก้มละมุนละไมของมู่หลิงปรากฏรอยยิ้มเศร้า “ช่างเถอะ ขอบคุณใต้เท้าลู่ที่หวังดี แต่ว่าข้าหาที่สักแห่งใช้ชีวิตที่เหลือของข้าดีกว่า”
เขาหมุนกายกำลังคิดจะเดินจากไป เท้าของฮวาเว่ยหลิงก้าวไปหนึ่งก้าวก็ได้ยินลู่อู๋โยวเอ่ยขึ้นอีก
“ถ้าเจ้าพูดคำจากใจจริงสักประโยค ข้าอาจจะไม่คิดไล่เจ้าไปจากข้างกายน้องสาวข้า”
มู่หลิงชะงักฝีเท้า
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหันหน้ามายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใจข้ากระจ่างใส ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ มีเพียงเว่ยหลิงไม่รู้ อย่างน้อยความรู้สึกนี้ไม่เคยเสแสร้ง ใต้เท้าลู่ก็ทุกข์ใจเพราะรักมาระยะหนึ่งเช่นกันมิใช่หรือ ย่อมรู้จิตใจของข้าดี”
ลู่อู๋โยวยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ชอบเสแสร้งเช่นเจ้า”
“อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดมากเช่นกัน” มู่หลิงหยิบกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ยื่นให้ลู่อู๋โยวแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่ ลองดูสิ”
ลู่อู๋โยวรับมาดู แล้วมู่หลิงก็จากไป ผ่านไปครู่หนึ่งเฮ่อหลันฉือก็ถามอย่างสงสัยว่า “เขาเขียนอะไรหรือ”
ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ความคิดเหลวไหลไร้ประโยชน์”
หลังจากส่งฮวาเว่ยหลิงไปแล้ว วันเวลาที่ลู่อู๋โยวต้องออกเดินทางก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบอาศัยโอกาสนี้ชี้แนะการฝึกฝนร่างกายของเฮ่อหลันฉือ รวมถึงกระบวนท่าแบบประชิดตัวเหล่านั้นด้วย
เฮ่อหลันฉือฝึกเสร็จก็มีเหงื่อท่วมตัว ถูกลู่อู๋โยวคว้าข้อมือดึงเข้ามาก็ล้มลงบนตัวเขาอีกครั้ง
ร่างอ่อนนุ่มทาบทับบนแผ่นอกของลู่อู๋โยว เฮ่อหลันฉือกำลังคิดจะยันแขนลุกขึ้นก็ถูกเขาพลิกตัวทับเอาไว้ นิ้วมือของเขากดเบาๆ บนตัวนาง เหมือนเป็นการยืนยันผลการฝึกฝนของนาง
“เอ็นกระดูกดูเหมือนจะอ่อนกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยแล้ว…”
เฮ่อหลันฉือถูกเขาลูบจนรู้สึกจักจี้เล็กน้อย บิดตัวอยากจะหลบ
ลู่อู๋โยวสบถอุบขึ้นมาทันใดแล้วเอ่ยว่า “ขาของเจ้าเมื่อครู่ชนเข้าผิดจุดใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือนิ่งไปเช่นกัน
ลู่อู๋โยวถอนหายใจ ริมฝีปากเลื่อนไล้อยู่ตรงริมฝีปากของนาง เสียงพูดเหมือนสะท้อนออกมาจากในอก “เจ้าหายหรือยัง ข้าจะไปแล้ว กำลังใจของเจ้าเล่า”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยทันที ตอนนี้พวกเขาสองคนยังแนบชิดกันมากอีกด้วย นางย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าอายบนร่างกายของลู่อู๋โยว ริมฝีปากทั้งคู่ยังเดี๋ยวชิดเดี๋ยวห่างกันเช่นนี้
ราวกับถูกกระแสไฟจากฟ้าผ่าทำให้รู้สึกชาไปทีละนิด
ขนตายาวของเฮ่อหลันฉือขยับไหวเล็กน้อย นางพึมพำอะไรบางอย่างหนึ่งประโยค จากนั้นก็ถูกลู่อู๋โยวช้อนตัวอุ้มขึ้นมา ใครจะรู้ว่าเขาจะเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้
เฮ่อหลันฉือคล้องคอของเขาไว้ทันที ก่อนจะพบว่าเขาช่วยถอดรองเท้าปักลายของนางออกแล้ว ชั่วขณะที่นางตกตะลึงก็ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“พอดีมีที่เรียนมาใหม่หลายอย่าง อยากทดลองดูสักนิด”
“…เจ้าเรียนอะไรมาบ้าง”
“อีกครู่เจ้าก็ได้รู้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือยังคิดว่าเขาจะตรงไปที่เตียงเลย ผลปรากฏว่าเขาเดินไปที่ห้องอาบน้ำก่อน
ก็ได้ คนผู้นี้รักสะอาดจริงๆ
แต่ว่า…
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างขัดเขินเคืองขุ่น “ข้าใช่ว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ต้องให้เจ้าช่วยอาบให้หรอก!”
“ข้าอยากทำความเข้าใจสักนิด”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ให้ข้าทำความเข้าใจสักนิดเล่า!”
ลู่อู๋โยวค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของตนเองออก ดวงตาดอกท้อจ้องมองนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ทำความเข้าใจตามสบาย”
เฮ่อหลันฉือคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตอนที่เขาถอดเสื้อผ้ายังสามารถถอดเสน่ห์เย้ายวนคนได้ด้วย ช่างน่าชื่นชมเสียจริง ลู่อู๋โยวยังยกมือขึ้นคลายผมของตนเองที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกขุนนาง ผมยาวสยายพลิ้วลงมา ความซื่อตรงดีงามที่แผ่ออกมาจากชุดขุนนางลดลงหลายส่วน แต่ความเย้ายวนที่ปกปิดไม่มิดกลับเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ทั่วทั้งร่างของลู่อู๋โยวแผ่กลิ่นอายยั่วยวนจนถึงขีดสุด จากนั้นจึงถลาเข้ามาทำความเข้าใจร่วมกันกับนาง
ถังอาบน้ำไม่ใหญ่พอให้ลู่อู๋โยวแสดงฝีมือจริงๆ
เฮ่อหลันฉือพิงตัวเขาหายใจหอบใหญ่ นิ้วมือขาวเนียนเรียวยาวเกาะขอบถังอาบน้ำ แข้งขาอ่อนแรง
ลู่อู๋โยวพูดเสียงหอบเล็กน้อย “แค่ถูหลังให้เจ้าเท่านั้น ไม่ต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้”
ตัวนางสมดังชื่อ ผิวขาวเนียนราวกระเบื้องเคลือบขาว เหมือนผ่านการเคลือบผิวอย่างละเอียดชั้นหนึ่ง เส้นร่างจากเนินไหล่มาถึงกระดูกปีกผีเสื้อ งดงามเย้ายวนใจอย่างยิ่ง ราวกับข้างหลังจะมีปีกผีเสื้องอกออกมาได้จริงๆ เกิดเป็นความงามอันเปราะบางบางอย่างที่ทำให้คนไม่กล้าสัมผัสแต่ก็อยากสัมผัส
ลู่อู๋โยวโน้มตัวไปจุมพิตเบาๆ ทีหนึ่งบนหัวไหล่ของนาง
เฮ่อหลันฉือตัวกระตุก
“เจ้ากินให้มากอีกสักนิดดีกว่า”
เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวพูดเสียงสั่นเครือ “เจ้าถูไปที่ใด…”
ลู่อู๋โยวพูดเสียงเบาแฝงความหมายคลุมเครือ “ถูไปตรงจุดที่ข้าชอบ อีกครู่เจ้า…ถูให้ข้าได้เช่นกัน”
เฮ่อหลันฉือกัดริมฝีปาก ความเขินอายค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นสูง
ไม่ช้าก็เห็นลู่อู๋โยวยกนิ้วมือขึ้นมาแล้วมีเส้นสีเงินยืดติดมาด้วย เขาหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่งเหมือนอยากลองชิมดู เฮ่อหลันฉือราวกับมีเสียงระเบิดดังขึ้นในหัว กดนิ้วมือของเขาลงในทันทีแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าพอได้แล้วกระมัง!”
“อยากรู้ว่าหวานหรือไม่”
“…ย่อมไม่หวานอยู่แล้ว!”
“นั่นก็ไม่แน่” เขาพูดพลางขยับเข้าใกล้อีกนิด จุมพิตนางอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่ง
เฮ่อหลันฉือเงยหน้ารับจุมพิต ร่างกายแช่อยู่ในน้ำแยกความรู้สึกได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่พอรับรู้ได้ว่ามีมือกำลังสัมผัสผิวเนื้อของนางอย่างแผ่วเบา หน้าอกและหน้าท้องก็ไม่รอดพ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ลู่อู๋โยวจึงค่อยๆ คลายริมฝีปากออกแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า…เรือนร่างของเจ้าดูเหมือนจะงดงามกว่าใบหน้าเล็กน้อย”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกได้ทันทีว่าเขาจะลงมืออีกแล้ว “เจ้าชมข้าให้น้อยลงสักนิดไม่ได้หรือ!”
“เหตุใดเอ่ยชมเจ้ายังไม่ยินดีอีก” ลู่อู๋โยวพูดเสียงแผ่วเบา “ข้าเพียงอยากแสดงคำชื่นชมความงามตามตรงเท่านั้น อย่างไรเสียภาพความงามนี้ข้าก็ได้ชื่นชมเพียงคนเดียว”
เฮ่อหลันฉือสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เชิดหน้าขึ้นไปอุดปากของเขา
ลู่อู๋โยวสงบปากลงได้ครู่หนึ่ง
ทว่าสิ่งที่เฮ่อหลันฉือต้องเผชิญแท้จริงแล้วเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ลู่อู๋โยวใช้ผ้าแห้งเช็ดตัวนางจนสะอาดแล้วอุ้มนางขึ้นไปวางบนเตียง เฮ่อหลันฉือถึงขั้นยังไม่ทันสวมใส่อะไรก็ถูกยัดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้ว
“ข้าศึกษามาแล้ว เจ้าอาจจะไม่ต้องเจ็บมาก ขอเพียงเวลาช่วงแรกนานมากพอ…” ลู่อู๋โยวกดตัวนางพลางจุมพิตหนักบ้างเบาบ้าง “ดังนั้นเจ้าสามารถมีความสุขก่อนได้”
เฮ่อหลันฉือไม่รู้เลยว่าเขาไปศึกษาอะไรมาบ้าง
แท้จริงแล้วนางไม่ค่อยได้ดูอะไรนัก ชั่วขณะหนึ่งกลับรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา ข้าน่าจะพอเข้าใจอะไรบ้างใช่หรือไม่…
จากนั้นเฮ่อหลันฉือก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมา ลู่อู๋โยวก้มศีรษะลงเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือมีการตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ นางขดตัวหลบทันที พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าจูบลงไปด้านล่างอีก!”
ลู่อู๋โยวกลับมองนางอย่างแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ปลายนิ้วหัวแม่มือปาดริมฝีปากเบาๆ หางคิ้วหางตาฉายความไม่ปกติ มุมปากคล้ายยังมีคราบน้ำเล็กน้อย
เขาพูดอย่างไม่รีบไม่ช้า “เจ้าจะตื่นตระหนกอะไร”
สายตาของเฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะเลื่อนไปยังริมฝีปากของเขาที่เปียกชื้นเล็กน้อย ความอับอายระเบิดออกมาในพริบตา
“พวกเราทำแบบปกติสักนิด เรียบง่ายสักหน่อยไม่ได้หรือ…”
“มีอะไรไม่ปกติหรือ” ลู่อู๋โยวถึงขั้นยังแลบปลายลิ้นเลียมุมปาก ดวงตาดอกท้อที่หางตาขึ้นสีแดงระเรื่อยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ส่งมามีเสน่ห์ดึงดูดจิตวิญญาณคน “เป็นรสหวาน”
“…!” เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือกุมศีรษะพลางเอ่ยว่า “เจ้าหุบปาก!”
“ได้ๆๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว ค่อยๆ ทำก็แล้วกัน…” ลู่อู๋โยวอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ถึงยามไฮ่ คืนนี้ยังอีกยาวไกล…”
นอกห้องฝนที่เคยตกอย่างต่อเนื่องเมื่อหลายวันก่อนเริ่มกลับมาตกอีกแล้ว ระยะนี้อากาศดูเหมือนจะไม่ค่อยดี
กว่าเฮ่อหลันฉือจะช่วยดอกเบญจมาศกลับมาได้ไม่ง่ายเลย กิ่งดอกที่เพิ่งบานฟื้นตัวได้ไม่กี่วันก็ถูกน้ำฝนชะล้างอีกครั้ง แต่ฝนครั้งนี้หาได้น่ากลัวลมแรงโหมกระหน่ำเช่นครั้งก่อน ไม่ได้ทำลายดอกเล็กที่เป็นดอกตูมรอบานเหล่านั้นจนน่าเวทนามากเกินไป
ฝนตกต่อเนื่องทั้งคืน ดูเหมือนไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย สุดท้ายดอกเบญจมาศหลายดอกก็ยังคงร่วงเฉาอยู่ตรงนั้น
เฮ่อหลันฉือฟังเสียงฝน รู้สึกว่าลู่อู๋โยวเหมือนจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางอยากเอ่ยถามอย่างยิ่งว่าเขาฝึกฝนจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร สิบกว่าปีให้หลังนางจะมีหวังจริงๆ หรือ
ตอนแรกที่ถูกลู่อู๋โยวยกเข่าขึ้น นางยังคิดจะนับว่าทำไปกี่ครั้ง อย่างไรเสียครั้งก่อนก็นับได้ไม่ชัดเจน ผลลัพธ์ตามจริงคือในไม่ช้านางก็ไม่มีแรงทำเช่นนั้นแล้ว
ตอนตัวของนางถอยหลังจนเกือบจะชนเสาเตียง ลู่อู๋โยวก็ตัดสินใจช้อนอุ้มนางขึ้นมา เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหว กัดไหล่ของเขาไปทีหนึ่งจริงๆ
ลู่อู๋โยวยังหัวเราะ พูดอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ “เจ้ากัดแรงอีกนิด ข้าก็จะเพิ่มแรงอีกนิด”
ท่ามกลางเสียงร้องครางอย่างสติแทบแตกของนาง ลู่อู๋โยวก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ผิดคำพูดแม้แต่น้อย
ในไม่ช้าสองคนที่เพิ่งอาบน้ำมาก็มีเหงื่อท่วมกายทั้งคู่ เฮ่อหลันฉือแทบจะยืดเอวไม่ได้แล้ว ลู่อู๋โยวยังหายใจหอบพูดข้างหูนาง
“เจ้าจะเรียก ‘ใต้เท้าลู่’ อีกสักสองครั้งได้หรือไม่…คุณหนูเฮ่อหลัน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสรรพนามนี้ไม่เลวนัก”
เฮ่อหลันฉือไม่รู้สึกเช่นนั้น นางตัวโงนเงน เกิดความคิดหุนหันอยากจะข่วนเขา นางเค้นเสียงออกมาตามไรฟันอย่างยากลำบาก
“ลู่จี้อัน เจ้าเอาแค่พอสมควรเถิด!”
ลู่อู๋โยวส่งเสียงหัวเราะอีกครั้งท่ามกลางเสียงดังหยาบโลนรอบข้าง แสดงถึงความสำราญที่ยากจะอธิบายด้วยคำพูดออกมาหลายส่วน
“…ก็ได้ ข้าจะรีบ”
สุดท้ายตอนที่เส้นผมของคนทั้งสองเกี่ยวพันกันนิ่งอยู่บนเตียง เฮ่อหลันฉือไม่อยากแม้แต่จะพูดแล้ว นางได้แต่หายใจหอบ เสียงที่แผ่วเบาแหบแห้งขึ้นมาอีกหลายส่วน
ลู่อู๋โยวเหมือนยังอยากแนบชิดกันอีกครั้ง
ตอนนี้เฮ่อหลันฉือรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย พูดอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ลู่อู๋โยวจับผมปอยหนึ่งของนางขึ้นมาพันบนนิ้วมือแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ เจ้านอนเถอะ ข้าไม่แตะต้องเจ้าแล้ว…อย่างไรเสียข้าก็จะจากไปแล้ว เจ้าอภัยข้าสักนิด วันหน้าไม่ถึงขั้น…ไร้ขีดจำกัดเช่นนี้แน่นอน”
เฮ่อหลันฉือจำไม่ได้เช่นกันว่าข้างนอกเป็นยามใด จำได้เพียงเสียงเคาะบอกเวลาดูเหมือนจะผ่านไปหลายรอบแล้ว
นางหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ปล่อยให้ลู่อู๋โยวจุมพิตอย่างแผ่วเบาตรงแก้มของนางและเนินไหล่ซอกคอที่ไร้อาภรณ์อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากร่างกายฟื้นขึ้นมาเล็กน้อยก็เริ่มรู้สึกเขินอายอีกครั้ง นางจึงขยับมือไปผลักศีรษะของเขา หันหน้าแนบลงบนหมอนแล้วพูดด้วยเสียงงัวเงียอย่างยิ่ง
“…นอนเถอะ”
“เจ้านอนเถอะ ข้ายังไม่ง่วง”
เฮ่อหลันฉือขยับริมฝีปากพูดอย่างยากลำบาก “เจ้าออกจากบ้านได้สายที่สุดก็ยามเฉิน ข้ายังต้องไปส่งเจ้าอีก นอนเถอะ”
“ข้าจะนอนระหว่างทาง”
เฮ่อหลันฉือไม่มีกำลังจะสนใจเขาจริงๆ พอปิดเปลือกตาก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมีเรื่องในใจ นอนหลับได้เพียงไม่นานก็ตื่น ก่อนจะพบว่าลู่อู๋โยวยังคงหลุบตาเขี่ยผมของนางเล่นอยู่
เห็นท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว เฮ่อหลันฉือจึงรีบพูดเสียงเบาว่า “รีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมออกจากบ้านได้แล้ว!”
ลู่อู๋โยวช้อนตามองนาง พูดอย่างทอดถอนใจเสียงเบา “ไม่ค่อยอยากไปแล้ว”
“ใต้เท้าลู่ นี่เป็นงานราชสำนัก เจ้ายังอยากเป็นขุนนางทรงอำนาจอยู่มิใช่หรือ จะเริ่มเกียจคร้านตอนนี้ไม่ได้กระมัง”
ลู่อู๋โยวมองนางอีกปราดหนึ่ง “เมื่อคืนคำพูดของเจ้าไม่มากเท่าตอนนี้เลย”
แน่นอนว่าเขาเพียงพูดไปอย่างนั้น ก่อนจะปล่อยผมของนางอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
เขายังพูดอีกว่า “ได้ ข้าไปล่ะ เจ้านอนต่อเถอะ”
เฮ่อหลันฉือคลำหาเสื้อผ้าทำท่าอยากจะลงจากเตียง “ข้าจะไปส่งเจ้า”
ลู่อู๋โยวเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว มองไม่ออกเลยว่าเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“ไม่ต้องแล้ว เตรียมพร้อมสรรพแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้เจ้ายังลงจากเตียงได้อีกหรือไร”
เฮ่อหลันฉือลองขยับขาลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นเล็กน้อยก็รู้สึกว่าขาสั่น คิดโยงไปว่าเมื่อคืนลู่อู๋โยวจัดการนางอย่างรุนแรงเพียงใด นางก็รู้สึกขัดเขินทันที พยายามอยู่หลายครั้งที่จะขยับขาอีกข้างลงมาเช่นกัน
ลู่อู๋โยวสวมชุดที่สวมตามปกติเสร็จแล้วก็มาช้อนอุ้มนางกลับขึ้นไป
“…” เฮ่อหลันฉือถลึงตาจ้องเขา
“ส่งหรือไม่เป็นเพียงพิธีเท่านั้น เจ้าได้ให้กำลังใจข้าแล้ว…” ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าลู่ได้กำลังใจอย่างมากเลยทีเดียว”
หลังจากเกล้าผมเสร็จแล้วลู่อู๋โยวจึงเดินไปดูเฮ่อหลันฉืออีกครั้ง
นางมุ่งมั่นมาก
เฮ่อหลันฉือจับเสาเตียงเดินลงมา นิ้วมือสั่นขณะสวมเสื้อผ้าให้ตนเอง เห็นเขามองมาจึงเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าข้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ!” นางไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนหนีหน้าที่
ลู่อู๋โยวรู้สึกจนปัญญา จึงเดินเข้าไปหาแล้วช่วยสวมชุดกระโปรงให้นาง “ยกแขนขึ้น”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกเขาปรนนิบัติ กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาที่ขาไร้เรี่ยวแรงก็ได้ยินเสียงของลู่อู๋โยวที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตรงเหนือศีรษะ
“รู้สึกว่าข้าจากไปแล้ว เจ้าดูเหมือนไม่ค่อยคิดถึงข้าเท่าไร อย่างไรเสียเจ้าตัวคนเดียวก็มีชีวิตที่ดีมากได้”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้” เฮ่อหลันฉือตกใจเล็กน้อย “ข้าย่อม…”
“ตอนถูกจับขังที่สำนักตรวจการ เจ้าดูแล้วไม่คิดถึงข้ามากนัก”
นี่เป็นเรื่องก่อนหน้านานมากแล้ว
“ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะยังมีความเข้าใจผิดในตัวข้าอยู่บ้าง”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสา” ลู่อู๋โยวช่วยนางผูกสายรัดเอวเสร็จแล้วก็ถอยหลังกลับไป สีหน้าดูสดชื่นมาก ไม่ได้โกรธเกรี้ยวหรือกล่าวโทษอะไร ท่าทางคล้ายกับการประนีประนอมกับนางในวันนั้น “วันหน้าเจ้าต้องคิดถึงข้าแน่นอน”
ลู่อู๋โยวเดินอย่างคล่องแคล่วมาก ระหว่างนั้นก็ได้พูดกำชับนางมากมาย ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าแล้วจากไปท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ในสมองของเฮ่อหลันฉือยังมีคำพูดของเขาวนเวียนอยู่
‘ข้าไปครั้งนี้ไม่รู้นานเท่าไร อย่างสั้นหนึ่งถึงสองเดือน อย่างนานคงหลายเดือน เพราะอาจมีอันตราย ไม่แน่ว่าจะได้ส่งจดหมายถึงเจ้า ถ้าเจ้ามีข่าวคราวอะไรอยากส่งหาข้า เอาป้ายคำสั่งไปตึกลมบูรพารุจีวานคนนำมาส่งให้ข้าได้’
‘ในจวนมีทางลับเส้นหนึ่ง ก่อนเจ้าจะมาได้สร้างเสร็จแล้ว ทะลุไปถึงสถานที่ปลอดภัยในเมือง ยังเตรียมอาหารและน้ำไว้อย่างเพียงพอ ภัยธรรมชาติหรือภัยจากคนก็ไม่มีปัญหา’
‘ผู้คุ้มกันก็ทิ้งไว้ให้เจ้ามากพอแล้ว ไม่ต้องกลัวเกินไป เงินทองถ้าไม่พอไปเบิกที่ตึกลมบูรพารุจีได้เช่นกัน ทั้งหมดจะจดลงในบัญชีของข้า’
เรื่องราวมากมาย สิ่งที่กำชับได้ก็กำชับพอสมควรแล้ว
เพราะส่วนใหญ่ลู่อู๋โยวเป็นคนพูด เฮ่อหลันฉือมีเวลาทันพอจะตอบเขาหนึ่งประโยคว่า ‘เดินทางปลอดภัยตลอดทาง เจ้าไปสืบคดีได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าเกินไป’
ก่อนหน้านี้นางมักจะส่งบิดาเดินทางออกจากบ้านบ่อยครั้งเช่นกัน
ช่วงเวลาแห่งการแยกจากนั้นเป็นเรื่องปกติมาก แต่หลังจากนั้นนางจึงตระหนักได้ถึงความแตกต่าง
ลู่อู๋โยวกับฮวาเว่ยหลิงทยอยกันจากไป ในจวนว่างลง ข้างกายก็ไม่มีสาวใช้ให้พูดคุยด้วยจึงเงียบสงบเป็นพิเศษ เฮ่อหลันฉือฝึกฝนร่างกาย ฝึกยิงธนู อ่านหนังสือ เขียนอักษร ฝึกเย็บปัก…
ไม่มีอะไรแตกต่างจากปกติ
แต่ไม่มีใครจะยกของว่างเดินมาพูดอย่างสบายอารมณ์กับนางในเวลานี้ว่า ‘คุณหนูเฮ่อหลัน ท่าทางของเจ้าเมื่อครู่ยังไม่ถูกต้องเล็กน้อย ยกแขนขึ้นอีกนิด’
หรือว่า ‘ถ้าเจ้ารู้จักข้าเร็วสักนิด ไม่แน่ว่าข้ายังสามารถสอน…อ้อ พวกเรารู้จักกันเร็วมากจริงๆ’
และไม่มีใครที่ปากพูดหยอกเย้านางไม่หยุด จับผมนางเล่น ลูบแก้มของนาง จุมพิตนางพลางพูดจาเหลวไหลบางอย่างข้างหูนางในสถานที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร
ตอนกินอาหารไม่มีคนคีบกับข้าวให้นางแล้วพูดว่า ‘วันนี้จานนี้ทำได้ไม่เลว เจ้าชิมให้มากหน่อยเถิด’
ข้างหูดูเหมือนจะเงียบสงบลงทันใด
แต่เป็นเพราะเงียบสงบเกินไป จึงทำให้รู้สึกไม่คุ้นชิน
ตอนเฮ่อหลันฉือตกใจตื่นกลางดึกก็มองไม่เห็นเงาร่างข้างกายที่ลมหายใจสม่ำเสมอทั้งยังนอนเป็นระเบียบเช่นเดิมแล้ว
ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันทั้งกลางวันกลางคืน ได้เห็นหน้ากันทุกวัน ลู่อู๋โยวใช้วิธีที่ไม่อาจมองข้ามได้บางอย่างเข้ามายึดทุกส่วนในชีวิตประจำวันของนางโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนหน้านี้ต่อให้แยกกันหนึ่งวันสองวันก็ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้นานเข้าจึงตระหนักถึงมัน
นางดูเหมือนเคยชินกับวันเวลาที่มีลู่อู๋โยวแล้ว
รอบข้างถึงขั้นเงียบสงบจนน่ากลัวเล็กน้อย
ซวงจือเหมือนจะสังเกตเห็นว่าหลายวันมานี้เฮ่อหลันฉือไม่ค่อยสดชื่นนัก จึงพูดเสนอความเห็นว่า “ไปหาคุณหนูสกุลเหยา แล้วไปจุดธูปไหว้พระกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ช่างเถอะ” นางไม่อยากไปนัก และตอนที่ไปครั้งก่อนเป็นลู่อู๋โยวที่รับนางกลับมา
เฮ่อหลันฉือสงบจิตใจก้มหน้าฝึกเขียนอักษร ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพบว่าตนเองไม่ได้เขียนตามแผ่นเขียนอักษร แต่พู่กันตวัดเขียนอักษร ‘อู๋โยว’ ออกมาโดยไม่รู้ตัว นางชะงักพู่กันเล็กน้อยแล้วดึงกระดาษออกมา
หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็คิดคำนวณขึ้นมาทันใดว่าเขาจากไปนานเพียงใดแล้ว
เฮ่อหลันฉือจำได้ไม่ค่อยชัดเจน เวลาคล้ายยาวนานขึ้นอย่างไร้เหตุผล
แท้จริงแล้ววันเวลาตอนนี้กับก่อนที่นางและลู่อู๋โยวจะแต่งงานกันไม่แตกต่างกันมากนัก ถึงขั้นเพราะไม่ต้องกังวลว่าในจวนจะมีรายรับไม่พอรายจ่าย และไม่ต้องกังวลเรื่องชื่อเสียงการแต่งงานของตนเอง นางจึงผ่อนคลายมากขึ้น สามารถทำเรื่องที่นางอยากทำอย่างเป็นอิสระมากขึ้น
แต่พอถึงตอนบ่ายนางก็มักอดไม่ได้ที่จะมองไปทางประตูปราดหนึ่ง เหมือนว่าลู่อู๋โยวจะเดินเข้ามาจากตรงนั้นได้ทุกเมื่อ
ปกติเขาจะเดินเร็ว หลังเลิกงานแล้วจะคลายสาบเสื้อตรงไปเปลี่ยนชุดลำลองที่ห้องนอน พอเจอเฮ่อหลันฉือก็จะเลิกคิ้วยิ้ม พูดทักทายนาง จากนั้นก็ถามว่าคืนนี้พ่อครัวทำอะไร บางครั้งอารมณ์ดีก็จะเดินอ้อมมาจุมพิตนางครู่หนึ่งโดยไม่เลือกสถานที่
หากเฮ่อหลันฉือกำลังทำงานสำคัญบางครั้งก็จะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
ตอนนี้ไม่มีความรำคาญแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกอ้างว้างอยู่หลายส่วน
ลู่อู๋โยวจากไปแล้ว คนที่มาเยี่ยมเยือนที่จวนจึงน้อยลงไปมาก เฮ่อหลันฉือเอาบทความที่อ่านจบก่อนหน้านี้ไปไว้ที่ห้องหนังสือของเขาทั้งหมด ทว่าต่อให้มีข้อสงสัยก็ไม่มีใครให้ถามแล้ว
นางนั่งอยู่ในห้องหนังสือของลู่อู๋โยวครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนเองดูเหมือนจะเสียเวลาอยู่บ้างและทำอะไรที่ไร้ความหมาย ทั้งที่นางยังมีเรื่องมากมายที่สามารถทำได้
ซวงจือพูดเสนอความคิดอีกว่า “หรือว่าพวกเราจะไปเที่ยวชมธรรมชาติดีเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็น ออกไปข้างนอกตอนนี้จะเพิ่มความยุ่งยากได้ง่าย”
พอลู่อู๋โยวจากไป คนที่มาด้อมๆ มองๆ หน้าประตูจวนก็มากขึ้น ไม่เพียงมีคนเจตนาไม่ดี ยังมีคนมารอดูเรื่องสนุกด้วย พวกเขาต่างรู้ว่าเฮ่อหลันฉือเป็นหญิงงามในเมืองหลวง ตอนนี้สามีเดินทางไกลหลายเดือน ไม่แปลกที่จะทำให้คนเกิดความคิดพูดจานินทาเหลวไหลเหล่านั้นออกมา
ซวงจือก้มหน้าลง “เช่นนั้นท่านอย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างแปลกใจ “ข้าเศร้าใจเสียที่ใด” นางหยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อย่างมากก็เพียงเงียบเกินไปบ้างเท่านั้น”
“แต่…แต่ท่านไม่ได้ยิ้มนานแล้ว”
เฮ่อหลันฉือเข้าใจขึ้นหลายส่วนในทันที
ไม่เพียงแค่เงียบสงบ แต่ดูเหมือนวันเวลาจะทำให้รู้สึกอึดอัดน่าเบื่อขึ้นทุกทีตั้งแต่ใครบางคนจากไป
เหยาเชียนเสวี่ยรู้ว่าเฮ่อหลันฉือตัวคนเดียวยังตั้งใจมาเยี่ยม ลูบผมยาวของนางแล้วพูดปลอบว่า “คนเป็นขุนนาง ออกไปทำงานนอกบ้านเป็นเรื่องปกติมาก”
เฮ่อหลันฉือกลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้”
นางกระจ่างดีว่าบิดานางที่ผ่านมาวิ่งงานไปทั่วไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างไรบ้าง
เหยาเชียนเสวี่ยเอ่ยเสริมอีกว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อ ข้าจะพาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงดีหรือไม่ ถึงแม้ระยะนี้ฝนจะตกบ่อย แต่ชมดอกไม้มองฝนในศาลาก็น่าสนุกไปอีกแบบนะ พวกนางยังจัดงานชุมนุมกวี งานชุมนุมพิณอะไรเหล่านี้ด้วย ถ้าเจ้าสนใจข้าจะช่วยไปขอเทียบเชิญมาให้”
เฮ่อหลันฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปฏิเสธไปทั้งหมด นางไม่อยากได้ความครึกครื้นจริงๆ
เหยาเชียนเสวี่ยจนปัญญา ทำได้เพียงเล่าข่าวซุบซิบนินทาบางอย่างให้เฮ่อหลันฉือฟัง ตอนพูดถึงเรื่องของคุณหนูรองสกุลเว่ยกับหลินจางยังพูดอย่างเบิกบาน
“ข้าหัวเราะแทบตายจริงๆ ถึงแม้คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวผู้นั้นที่ผ่านมาจะปากไม่มีหูรูด แต่เจ้ารู้หรือไม่ นางกลับไปโอดครวญกับสหายสนิท บอกว่าคิดว่าคุณชายหลินอาจจะสมรรถภาพไม่ค่อยดี! บังเอิญคุณชายหลินได้ยินเข้า เขาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อและยังแก้ตัวอย่างร้อนรนว่าพวกเขาสองคนไม่ได้เข้าหอกันเลย คุณหนูรองจวนคังหนิงโหวกลับพูดอย่างมีเหตุผลเต็มเปี่ยมว่านี่ก็หมายความว่าเจ้าไม่มีสมรรถภาพมิใช่หรือ! แล้วทั้งสองคนก็ทะเลาะกันใหญ่โตขึ้นมาอีก…ถึงข่าวลือที่ออกมาอาจจะบิดเบือนไปบ้าง แต่ก็น่าขันเหลือเกินจริงๆ ทว่าพวกเขาแต่งงานมานานถึงเพียงนั้นยังไม่ได้เข้าหอ ไม่แน่ว่าคุณชายหลินอาจจะมีโรคอะไรก็ได้นะ!”
เฮ่อหลันฉือกลับแก้มแดงอย่างไร้สาเหตุ
โชคดีที่ข้ากับลู่อู๋โยวเข้าหอกันแล้ว แต่ว่า…
เฮ่อหลันฉือดึงสติกลับมาคิดดู เหตุใดไม่ว่าเรื่องอะไรนางจะต้องคิดไปถึงลู่อู๋โยวได้ แต่นางยังคงอดไม่ได้ที่จะถามไปหนึ่งประโยค
“หลังจากแต่งงานแล้วจะเข้าหอกันเร็วมากทุกคนหรือ”
เหยาเชียนเสวี่ยที่ยังไม่ได้แต่งงานพูดเหมือนคนที่เคยผ่านประสบการณ์ “นั่นแน่นอนอยู่แล้วสิ! ก็ต้องเข้าหอในคืนนั้นกันหมดมิใช่หรือ เจ้าคงไม่รู้ ครั้งก่อนคุณหนูบ้านบัณฑิตเล่าเรียนตำรามารยาท อาจเป็นเพราะไม่มีใครสอน คิดว่าเรื่องนั้นน่าอายเกินไป พอแต่งงานแล้วเป็นตายก็ไม่ยอมเข้าหอ ดึงเวลาไว้หนึ่งถึงสองเดือน สุดท้ายวุ่นวายจนเกือบจะถูกขอหย่าเลยทีเดียว”
เฮ่อหลันฉือ “…”
เหยาเชียนเสวี่ยยังพูดยกตัวอย่างต่อไป “คนบ้านเจ้าผู้นั้นคงเป็นเช่นเดียวกันกระมัง ก่อนแต่งงานเขารีบร้อนจะแต่งเจ้าเข้าบ้านถึงเพียงนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเขาต้อง…แค่กๆๆ แต่ว่าเห็นแก่ที่เขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว ข้าก็จะไม่ถือสา”
เฮ่อหลันฉือตอนนี้ยังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ดูจากการแสดงออกของเขา นางคงจะทำให้เขาต้องอดกลั้นมานานมากจริงๆ
“แต่ครั้งนี้เขาออกจากบ้านนานถึงเพียงนี้ เจ้าต้องระวังสักนิดนะ เขียนจดหมายส่งของไปให้มากสักหน่อย อย่าให้เขาลืมเลือนเด็ดขาด คิดว่าอยู่ข้างนอกมีโอกาส…” เหยาเชียนเสวี่ยพูดกำชับตักเตือน
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่อู๋โยวบอกนางว่าหากมีจดหมายก็สามารถไหว้วานตึกลมบูรพารุจีส่งไปได้ แต่ข้างกายนางไม่มีเรื่องน่าสนใจอะไร เขียนก็เขียนอะไรไม่ออก จะเขียนข่าวลือที่เหยาเชียนเสวี่ยเล่าให้นางฟังลงบนจดหมายคงไม่ได้กระมัง
ในชั่วขณะหนึ่งนางถึงขั้นไม่รู้จะทำเช่นไร และไม่รู้ว่าควรจะจรดปลายพู่กันหรือไม่
สุดท้ายเหยาเชียนเสวี่ยก็เล่าข่าวสนุกเรื่องอื่นให้เฮ่อหลันฉือฟังอีก ก่อนจะกอดนางแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวฉือ เช่นนั้นคราวหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่แล้วกันนะ”
เฮ่อหลันฉือทำอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคราวหน้ากลับไม่ใช่เหยาเชียนเสวี่ยมาเยี่ยมนาง แต่เป็นนางที่รีบร้อนวิ่งไปหาอีกฝ่ายเสียเอง
ตอนได้รับข่าวเฮ่อหลันฉือว้าวุ่นอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกคนให้เตรียมรถม้าไปที่จวนสกุลเหยาทันที
ลุงเขยของนาง ใต้เท้าเหยารองเสนาบดีกรมอากรในเวลานี้วันก่อนถูกถอดตำแหน่งและถูกเนรเทศไปแล้ว ดูเหมือนจะด้วยเรื่องบัญชีของกรมอากร
ก่อนหน้านี้เฮ่อหลันฉือได้ยินขุนนางกรมอากรที่ไปรังวัดที่ดินด้วยกันพูดกันหลายประโยค เดาว่าอาจเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องใช้เงิน แต่บัญชีของกรมอากรมีปัญหา ดังนั้นต้องมีคนแบกความรับผิดชอบ
สำหรับเรื่องที่เหตุใดต้องใช้เงิน เฮ่อหลันฉือนึกถึงเรื่องที่ลู่อู๋โยวเคยพูดกับนางขึ้นมาทันใด ดูเหมือนระยะนี้ฮ่องเต้คิดจะสร้างหอบรรลุเซียนที่ไม่ด้อยไปกว่าตำหนักทั้งสาม ต้องใช้เงินมหาศาล ทางกรมอากรเกรงว่าคงไร้เงินในถุงหนัง*
ต่อให้รวมกับเงินภาษีรังวัดที่ดินของผู้สูงศักดิ์มีอำนาจในเมืองหลวงอันน้อยนิดครั้งก่อน ก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งถ้วยดับรถขนฟืนที่ไหม้ไฟไม่ได้
ตอนนางมาถึงบ่าวรับใช้จวนสกุลเหยากำลังวุ่นอยู่กับการขนของ หากฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าไสหัวไป นั่นย่อมชักช้าไม่ได้ แต่บรรยากาศในจวนไม่ได้มีสภาพน่าเวทนาอย่างที่เฮ่อหลันฉือคิดเอาไว้เลยสักนิด กลับดูมีระบบระเบียบอย่างยิ่ง
เฮ่อหลันฉือโล่งอกได้ในที่สุด ตอนยังเด็กนางเคยเห็นการยึดบ้านเป็นดั่งโศกนาฏกรรม สามารถบีบให้มีคนตายได้
อาจเป็นเพราะขุนนางต้ายงเคยชินกับการขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้แล้ว เช่นนี้แตกต่างกับการถูกตัดสินความผิด ถอดตำแหน่งถูกเนรเทศถือเป็นการขอลาพักผ่อนสองปี ขอเพียงยังมีคนในราชสำนัก วันหน้าค่อยยื่นฎีกาเสนอแนะให้กลับคืนตำแหน่งอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
แต่แน่นอนว่าไม่มีทางรู้สึกยินดีเช่นกัน
อย่างน้อยเหยาเชียนเสวี่ยก็ยังสะอื้นไห้ เฮ่อหลันฉือรีบเดินไปพูดปลอบเสียงเบา เหยาเชียนเสวี่ยสูดจมูกแล้วเอ่ยว่า “หลังปีใหม่ข้ายังต้องออกเรือนนะ ต้องถูกคนมองเป็นเรื่องน่าขันแน่นอน”
ไม่รอให้เฮ่อหลันฉือพูดปลอบ ซ่งฉีชวนก็นำคนมาแล้ว
เหยาเชียนเสวี่ยไม่สนใจว่าตนเองกำลังอยู่นอกเรือนโผเข้าไปในอ้อมอกของซ่งฉีชวน ซับน้ำตาลงบนตัวเขา “ชวนชวน จะทำเช่นไรดี ท่านพ่อท่านแม่ข้ากำลังจะจากไปแล้ว ข้าเหลือท่านเพียงคนเดียวแล้ว…”
ซ่งฉีชวนที่เป็นขุนศึกสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึมออกอาการทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง เพียงแค่กอดหญิงสาวในอ้อมอกเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่” เขาปลอบนาง จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าเหยาต้องปลอดภัยระหว่างการเดินทางแน่นอน”
นี่คงเป็นคำพูดประโยคยาวที่สุดที่เฮ่อหลันฉือเคยได้ยินเขาพูด
เหยาเชียนเสวี่ยกลับเหมือนไม่ได้รับการปลอบขวัญ สะอื้นเบาๆ พลางจับแขนเสื้อของเขาไว้แน่น พยายามแทรกตนเองเข้าไปในอ้อมอกของชายหนุ่ม
“ท่านพ่อข้าถูกถอดตำแหน่งแล้ว ท่านจะรังเกียจข้า ไม่อยากแต่งงานกับข้าหรือไม่”
ซ่งฉีชวนตัวแข็งเกร็ง แต่กอดนางแน่นขึ้น รีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่รังเกียจ…ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”
“หากพวกเขาหัวเราะเยาะ ข้าจะทำเช่นไร”
ซ่งฉีชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้า”
เหยาเชียนเสวี่ยส่ายหน้า น้ำตายังคงไหลพราก “แต่ข้ายังคงกลัวอยู่…ฮือๆๆ ข้าอยากแต่งงานกับท่านตอนนี้เลย ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ถ้าจู่ๆ ท่านพ่อท่านแม่ท่านให้ท่านแต่งกับหญิงอื่นจะทำเช่นไร ถ้าพวกเราไม่สามารถแต่งงานตามกำหนดได้จะทำเช่นไร ชวนชวน ข้าไม่อยากแยกจากท่าน!”
ซ่งฉีชวนกังวลยิ่งกว่านางเสียอีก เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้นางอย่างระมัดระวังราวกับเช็ดของล้ำค่า พูดปลอบนางเสียงเบา ขาดแค่เพียงให้คำสาบานเท่านั้น
จู่ๆ เฮ่อหลันฉือก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นของลู่อู๋โยวที่ว่า ‘เจ้าพึ่งพาข้าสักนิดก็ได้’ พลันรู้สึกเข้าใจความหมายของเขาได้บ้างแล้ว
นางเคยชินกับการเป็นเช่นนี้ จะกรีดเปิดหัวใจทั้งหมดเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของนางไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น นางยังกังวลเล็กน้อยว่าจะรบกวนลู่อู๋โยว ทำให้เขารู้สึกว่านางยุ่งยาก
เป็นความกังวลและความยับยั้งชั่งใจตามจิตใต้สำนึก
แต่ว่า…ในเวลานี้นางมองดูลูกพี่ลูกน้องอยู่ในอ้อมกอดของคู่หมั้นบอกความรู้สึกไม่สบายใจของตนเองออกมาตามใจก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อยทันที
เฮ่อหลันฉือนับวันแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้สึกว่าลู่อู๋โยวจากไปนานมากแล้วจริงๆ
นานจน…นางคิดถึงเขาบ้างแล้ว
เหมือนดังที่ลู่อู๋โยวพูดไว้ อาจเป็นเพราะอยู่ที่อี้โจวเขาถูกคนจับตามองหรือมีอันตราย จากไปสองเดือนไม่เคยส่งจดหมายหรือคำพูดใดกลับมาเลยสักนิด ไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่รู้กำหนดวันกลับ
ฝนตกฟ้าครึ้มติดต่อกันหลายวัน เหมือนจะทำให้น้ำล้นทำนบแม่น้ำชิงหลันอีกแล้ว ท้องฟ้าของเมืองหลวงก็มักจะมีหมอกหนาทึบ
เฮ่อหลันฉือถือพู่กัน อยากจะเขียนจดหมายถึงลู่อู๋โยวสักฉบับ กลั่นกรองอยู่นานเขียนตัวอักษรได้หลายบรรทัดก็ขีดฆ่าทิ้งแก้ไข อยากให้เขารู้สึกวางใจ แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ตอนนี้ของเขา ยังอยากจะบอกความรู้สึกของตนเองบ้างอีกด้วย แต่การเขียนอธิบายกลับยากลำบากเหลือเกิน
เฮ่อหลันฉือเขียนๆ หยุดๆ เช่นนี้อยู่หลายวัน นางหยิบกระดาษมาอีกหนึ่งแผ่น คิดจะลงมือเขียนใหม่
นางเขียนคำขึ้นต้นยังไม่ทันเสร็จก็เห็นซวงจือวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจลนลาน “แย่…แย่แล้วเจ้าค่ะ! เมื่อครู่บ่าวได้ยินว่า…”
เฮ่อหลันฉือไม่เคยเห็นซวงจือลนลานเช่นนี้มาก่อน
“มีเรื่องอะไร เจ้าค่อยๆ พูด”
แต่ซวงจือพูดไม่ออกไปทันใด “ได้ยินว่าท่านเขย…”
เฮ่อหลันฉือถามขึ้นทันที “เขาเป็นอะไร”
ซวงจือดูเหมือนยากจะเอ่ยปาก อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เป็นข่าวลือจากภายนอก บ่าวคิดว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ พวกเขา…พวกเขาบอกว่าท่านเขยอยู่ที่อี้โจว…เสียชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”
นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องจริง
ลู่อู๋โยวกล้าฝ่าอันตรายเพียงลำพัง เป็นเพราะเขามีวรยุทธ์สูงและมีความกล้ามาก ทั้งยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มีทางตายอยู่ที่อี้โจวง่ายดายเช่นนี้เด็ดขาด
แต่เฮ่อหลันฉือในชั่วขณะนั้นรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบทันใด หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ
พู่กันที่ถืออยู่ในมือถูกนางบีบจนแทบหัก วาดเส้นหนักหนึ่งเส้นบนแผ่นกระดาษกลายเป็นรอยหมึกที่สะดุดตาเป็นพิเศษ ซึมกระจายไปทั้งแผ่นกระดาษ
นางขยับริมฝีปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหาเสียงของตนเองกลับมาได้ พูดด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ได้…ได้ยินว่าเป็นอุบัติเหตุเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะเป็นคลังไม้แห่งหนึ่งในอี้โจวเกิดไฟไหม้ใหญ่ ท่านเขยเขา…เขาเหมือนจะหนีออกมาไม่ได้…” ซวงจือพูดติดๆ ขัดๆ ไม่กล้ามองสำรวจสีหน้าของเฮ่อหลันฉือ “จากนั้นก็เหลือเพียง…ศพไหม้เกรียมจำนวนหนึ่ง แต่บ่าวคิดว่าท่านเขยเป็นคนดีสวรรค์ย่อมช่วยเหลือ ต้องไม่เป็นไรแน่นอนเจ้าค่ะ ล้วนเป็นเรื่องที่ยิ่งลือยิ่งผิดเพี้ยน…”
เฮ่อหลันฉือพยายามจะตั้งสติ “เจ้าไปสืบข่าวมาอีก”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ คุณหนูอย่ากังวลเกินไปนะเจ้าคะ! ท่านเขยต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน!”
เฮ่อหลันฉือยกมือกุมหน้าผาก ค่อยๆ สูดลมหายใจลึก อยากจะสงบสติลง สภาพการตายไม่เห็นศพเช่นนี้นางมั่นใจมากว่าลู่อู๋โยวไม่เป็นไรแน่นอน แปดส่วนคือจงใจแกล้งตาย แต่อยู่ห่างกันแสนไกล ความกังวลและความไม่สบายใจนี้อย่างไรก็ไม่อาจขจัดออกไปได้
…ต่อให้ไม่ตาย ชีวิตของลู่อู๋โยวเกรงว่าคงไม่ค่อยราบรื่นนัก
เขาตกอยู่ในอันตรายที่นั่น นางกลับทำได้เพียงรออยู่ที่นี่
ความรู้สึกเช่นนี้แย่มากจริงๆ
การคาดเดาของเฮ่อหลันฉือไม่ผิดเลย ไม่ถึงพลบค่ำก็มีคนผ่านทางคนหนึ่งใช้ข้ออ้างว่าต้องการขอน้ำมาขอถึงหน้าจวนพวกเขา ตอนที่คนเฝ้าประตูยื่นน้ำให้ คนผู้นั้นก็ยื่นกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งออกมา
กระดาษจดหมายไปถึงมือของเฮ่อหลันฉือ นางเปิดออกก็เห็นลายมือที่ตวัดตามอิสระและซ่อนความเฉียบคมที่คุ้นตาของลู่อู๋โยว ดูเหมือนจะเขียนตามใจกว่าก่อนหน้านี้
‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่สะดวกเล่าละเอียด
สามีเจ้า โยว’
เขียนง่ายๆ เพียงสองบรรทัด
เฮ่อหลันฉือตั้งสติได้เล็กน้อย แต่จากนั้นก็นึกได้ว่าเขาไม่ได้เขียนกำหนดวันกลับ คงยังอยู่สืบคดีที่อี้โจวต่อ ไม่แน่ว่าอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะกลับมาได้จริงๆ
การรอคอยกลายเป็นยากลำบากมากขึ้นแล้ว
ซวงจือสืบข่าวเสร็จก็ร้องไห้หน้าเศร้ากลับมา เฮ่อหลันฉือกลับต้องพูดปลอบว่า “ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
นางพูดอย่างใจเย็น แต่กลางคืนแทบจะนอนไม่หลับทั้งคืน พลิกไปพลิกมาจนหลับฝัน
ในความฝันลู่อู๋โยวสวมชุดลำลองตอนที่ออกจากบ้าน ด้านหลังเป็นทะเลเพลิง เขามองมาที่นาง ดวงตาดอกท้อที่ปกติจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์คู่นั้นเวลานี้กลับหลุบลงนิ่งเงียบ ถึงขั้นแฝงความเศร้าเสียใจเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือรีบพูดว่า “เป็นอะไรหรือ ที่นี่คือที่ใด เจ้ากลับมาเมื่อไร”
ลู่อู๋โยวกลับเดินถอยหลังทีละก้าว แววตาเศร้าเสียใจมากขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาล่องลอย “คุณหนูเฮ่อหลัน ข้าคงกลับมาไม่ได้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือรีบวิ่งตามไป “เพราะเหตุใด เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เป็นไรมิใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาไม่ได้แล้ว! เจ้าพูดให้ชัดเจนสิ!”
ควันหนาทึบพุ่งออกมาจากด้านหลังลู่อู๋โยว หมอกควันลอยวน ทะเลเพลิงสูงเสียดฟ้าเบื้องหลังเขานั้นน่ากลัวขึ้นทุกที แสงไฟพุ่งขึ้นฟ้า ท้องนภาดูเหมือนลุกไหม้ขึ้นมา ขับให้ใบหน้าของเขาดูซีดขาวมากขึ้น
ลู่อู๋โยวถอยหลังอีกหนึ่งก้าว แทบจะก้าวเข้าไปในทะเลเพลิง “ข้าโกหกเจ้า แค่ไม่อยากให้เจ้าเป็นห่วง”
เฮ่อหลันฉือหัวใจบีบรัด พูดเสียงดังว่า “ลู่อู๋โยวเจ้าหยุดนะ! ห้ามถอยหลังไปอีก!”
ทว่ากลับเห็นเขายิ้มให้นาง ดวงตาดอกท้อเป็นประกายระยิบ ยังยิ้มเย้ายวนใจหลายส่วน เหมือนภูตผียามค่ำคืนจริงๆ เขายื่นมือมาหานาง ปลายนิ้วคล้ายกำลังวาดโครงหน้าของนางกลางอากาศ
ด้วยความรักลึกซึ้งยากจะบรรยายได้
เสียงที่ไพเราะเสนาะหูล่องลอยบางเบาราวกับเพียงเป่าก็สลาย
“แต่ข้าตายไปแล้ว จะกลับมาได้อย่างไรเล่า”
เปลวไฟกลืนกินเขาไปทั้งตัวในทันใด
เฮ่อหลันฉือตกใจตื่น คอเสื้อของชุดนอนเปียกชุ่มไปหมด บนหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเช่นกัน
นิ้วมือของนางที่กำผ้าห่มบีบแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว มีชั่วขณะหนึ่งที่นางรู้สึกว่าหายใจไม่ออก
รอบข้างยังคงไร้เสียง
แม้แต่ตะเกียงก็ดับหมดแล้ว มีเพียงลมกลางคืนเย็นเยือกที่พัดมาเป็นระยะ เหมือนมีภูตผีมาเข้าฝันนางจริงๆ
เดิมทีเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มีลมพัดเย็นสบาย
เฮ่อหลันฉือตัวสั่นสะท้าน
นางเอาแต่บอกตนเองว่าลู่อู๋โยวไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน นางคิดด้วยสติที่กระจ่างชัดมากว่าลู่อู๋โยวไม่มีทางสะเพร่าเช่นนี้ ตัวอักษรเป็นตัวอักษรของเขา คำพูดก็เป็นคำพูดของเขา เขายังมีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในใจนางกลับเหมือนมีบางอย่างที่ข้ามผ่านไปไม่ได้
หลังจากได้รู้ข่าวของลู่อู๋โยว เหยาเชียนเสวี่ยก็มาเยี่ยมนางทันที
แม้แต่เฮ่อหลันเจี่ยนพี่ชายผู้ที่มีความคิดตื้นเขินของนางยังนำจดหมายของบิดามาให้ถึงที่จวนด้วย
“เสี่ยวฉือ เจ้ายังไหวอยู่หรือไม่” เฮ่อหลันเจี่ยนยื่นจดหมายให้น้องสาว มองนางอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้าช่วยเจ้าถามแล้ว อันที่จริงก็ไม่แน่ อี้โจวห่างไกลถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังไม่ตาย อีกทั้ง…หรือไม่ ถ้าไม่ได้จริงๆ พวกเราหาคนที่ดีกว่าอีกสักคน! เขาก็แค่หน้าตาดีเล็กน้อย เขียนบทความเป็นนิดหน่อยเท่านั้น ข้ารู้จักคนที่สำนักศึกษาหลวงมากมาย!”
เฮ่อหลันฉือเปิดจดหมาย บิดานางเพียงแค่เขียนถ้อยคำปลอบใจไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่เป็นถ้อยคำที่เงอะงะเหมือนกับความห่วงหน้าพะวงหลังยามนางเขียนจดหมายส่วนตัว
เฮ่อหลันเจี่ยนยังคงพูดพล่ามไม่หยุด “เสี่ยวฉือ เจ้าคงไม่ได้คิดจะเป็นม่ายเพื่อเขาจริงๆ กระมัง เช่นนี้ไม่ได้ เจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจสักนิดนะ…”
“ข้าไม่เป็นไร ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
เฮ่อหลันฉือเดิมทียังอยากพูดอีกสักสองสามประโยค ครั้นได้ยินคำว่า ‘เบิกบานใจสักนิด’ ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่คนเดียวในจวนจะเป็นเรื่องที่ทรมานคนได้ถึงเพียงนี้ เหมือนถูกมัดเอาไว้ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ความคิดบ้าคลั่งบางอย่างค่อยๆ ผุดขึ้นมา
เฮ่อหลันฉือถือคันธนู ยิงไปที่เป้าดอกแล้วดอกเล่า นางฝึกยิงธนูได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ถึงแม้การยิงให้ถูกกลางเป้าจะยากมาก แต่ก็แทบจะไม่หลุดไปนอกเป้าเลย
ลูกธนูยาวสิบดอกปักลงบนเป้าติดต่อกันเสียงดังสวบๆ แต่ละดอกเพิ่มแรงมากขึ้น
ความสะใจเล็กน้อยบรรเทาความหงุดหงิดที่มีอย่างต่อเนื่องหลายวันไปได้บ้าง แต่ในไม่ช้าก็เพิ่มมากขึ้นอีก
ข้างหูมีเสียงของลู่อู๋โยวดังขึ้น
‘หากมีอิสระกว่านี้ ไม่ต้องติดอยู่ที่นี่…’
‘อยากทำสิ่งใดก็ทำ…’
มันดูเหมือนจริงและน่าหลงใหลกว่าในฝันเสียอีก
เสียงสกัดกั้นของคนเฝ้าประตูดังมาจากนอกประตูจวนอีกครั้ง
“ฮูหยินไม่พบแขก ขอท่านโปรดอภัยด้วยขอรับ”
ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่สะพัด ใครก็คาดไม่ถึงว่าลู่หกหยวนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้มาก และเพิ่งแต่งงานกับคุณหนูเฮ่อหลันที่ทุกคนชื่นชมอิจฉา ดูแล้วมีอนาคตไร้ขีดจำกัด ครั้นอัญเชิญราชโองการไปที่อี้โจวกลับเอาชีวิตไปทิ้งได้
ในขณะที่มีคนกำลังทอดถอนใจว่าสวรรค์อิจฉาคนหนุ่มที่มีความสามารถก็มีคนอีกกลุ่มคิดไปไกลแล้ว
ลู่หกหยวนไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นคุณหนูเฮ่อหลันก็เป็นม่ายแล้วสิ!
ตอนนี้คุณหนูเฮ่อหลันอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ยังคงอ่อนเยาว์รูปโฉมงดงามดังเดิม
ในเมืองหลวงก็ไม่ได้ห้ามแม่ม่ายแต่งงานใหม่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความหวังกว่าก่อนหน้านี้ก็ได้ นี่ต้องรีบไปถามไถ่ทุกข์สุขแล้ว!
ด้วยเหตุนี้หน้าประตูจวนสกุลลู่ระยะนี้จู่ๆ ก็คึกคักขึ้นมา
“ข้าคือสหายสนิทของใต้เท้าลู่ กังวลเรื่องงานศพของใต้เท้าลู่มาก ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สบายดีหรือไม่”
“ข้าก็สนิทกับใต้เท้าลู่เช่นกันนะ ตอนนี้เขาไม่อยู่ ไม่รู้ว่าในจวนต้องการความช่วยเหลือหรือไม่…”
“บังเอิญจริง ข้าก็เช่นกัน!”
ประตูใหญ่จวนสกุลลู่ปิดสนิท กั้นทุกคนให้กลับไปจนหมด
อย่างไรเสียใต้เท้าเฮ่อหลันยังอยู่ในตำแหน่ง กอปรกับศพของลู่อู๋โยวตอนนี้ยังไม่ถูกนำกลับมา และยังไม่ได้จัดงานศพ ตามหลักเหตุผลแล้วยังนับว่ามีชีวิตอยู่ คนเหล่านี้ไม่กล้าบุ่มบ่ามเกินไป จึงกลับไปอย่างเศร้าสลด
ความคิดบ้าคลั่งในใจเฮ่อหลันฉือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ลู่อู๋โยวพาตัวชิงเยี่ยไปด้วย คนอื่นที่เหลือไว้ในจวนนางไม่ค่อยสนิทนัก จึงทำได้เพียงเรียกจื่อจู๋ออกมาเอ่ยถามว่า “ถ้าข้าอยากไปจากเมืองหลวง เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่”
จื่อจู๋ตกใจไม่น้อย จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเพียงรับผิดชอบคุ้มกันความปลอดภัยของฮูหยินเท่านั้น เรื่องอื่นฮูหยินตัดสินใจเองได้เลยขอรับ”
“เช่นนั้นถ้าข้าไปอี้โจวก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่”
จื่อจู๋ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้ข้าไม่รู้”
เฮ่อหลันฉือนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าอยากไปอี้โจว”
แม้นางจะรู้ว่าลู่อู๋โยวไม่เป็นไร แต่ยังคงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
ทั้งที่อยู่ในจวนน่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ความคิดที่อยากจะไปอี้โจวนั้นบ้าคลั่งจนแทบไม่อาจขัดขวางได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตของเฮ่อหลันฉือที่อยากจะทำสิ่งที่ขัดกับหลักการ
อีกทั้ง…
เฮ่อหลันฉือไปที่จวนเฮ่อหลันอีกครั้ง
บิดาของนางนั้นไม่แปลกใจ เพียงมองนางพลางถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าอยากกลับมาอยู่ที่จวน ทางที่ดีรออีกสักนิด จะได้ไม่…”
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ ลูกมีเรื่องอื่นอยากถามท่าน คดีของเสิ่นอี้กวงอดีตผู้ตรวจการท้องถิ่นอี้โจวท่านยังพอจำได้หรือไม่”
เฮ่อหลันจิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้”
เฮ่อหลันฉือไม่เสียเวลา พูดตามตรงว่า “ท่านพ่อ ลู่อู๋โยวไปอี้โจวไม่เพียงเพื่ออัญเชิญราชโองการเท่านั้น แต่ไปสืบคดีด้วย ที่สืบก็คือคดีนี้ ลูกได้ยินมาว่าก่อนที่เขาจะตายเคยมีฎีการายงานมาที่สำนักตรวจการ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับรูปคดีหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่…”
น้ำเสียงของเฮ่อหลันจิ่นดุดันขึ้นมาทันที “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะถาม เจ้ากลับบ้านไปรอก็พอ!”
เรื่องนี้ไม่ทำให้เฮ่อหลันฉือตกใจกลัวแม้แต่น้อย
นางพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน “ท่านพ่อ คดีนี้มีลับลมคมใน แม้แต่เขายังมองออก ลูกไม่คิดว่าท่านจะไม่รู้ แต่ที่ไม่ได้สืบความต่อไปท่านต้องมีเหตุผลที่ลำบากใจบางอย่างแน่นอน แต่ลู่อู๋โยวเพื่อสืบคดีนี้เป็นตายไม่รู้อยู่ที่อี้โจวแล้ว ลูกไม่อาจทำเป็นไม่เห็นได้ ลูกวางแผนว่าไม่กี่วันนี้จะเดินทางไปอี้โจว ท่านไม่สนใจลูกก็ไม่เป็นไร ลูกแค่มาเพื่อสอบถามดูเท่านั้น”
เฮ่อหลันจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที “เจ้าคิดจะไปอี้โจวหรือ!”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันจิ่นรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว “ห้ามไป!”
เฮ่อหลันฉือเอ่ยอย่างสงบนิ่งมาก “ลูกออกเรือนแล้ว ท่านพ่อ ไม่ได้เป็นเพียงบุตรสาวของท่านแล้ว ออกเรือนติดตามสามี เขาไปอี้โจว ลูกก็ไปอี้โจว เป็นเรื่องธรรมดามาก ท่านขวางไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันจิ่นมองบุตรสาวของตนที่ในอดีตแม้จะชอบต่อต้านอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วยังอยู่ในกรอบ ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เขาคิดว่านางแต่งเป็นภรรยาคนอื่นแล้วจะทำหน้าที่ช่วยสามีเลี้ยงดูบุตรอย่างเต็มที่ แต่คิดไม่ถึงว่ากลับมาครั้งนี้นางจะต่อต้านยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด
เฮ่อหลันจิ่นจ้องหน้าบุตรสาวครู่หนึ่ง
เฮ่อหลันฉือแววตามุ่งมั่น ในดวงตาอ่อนโยนกระจ่างใสไม่แฝงความลังเลหวั่นไหวแม้แต่น้อย เหมือนทั้งที่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นหลุมบ่อก็ยังเต็มใจจะก้าวไปข้างหน้า
นี่ทำให้เฮ่อหลันจิ่นคิดถึงสภาพตอนที่ตนเองเพิ่งเข้าสู่วงขุนนางขึ้นมาทันใด
คดีนี้เขาใช่ว่าจะไม่อยากสืบสวน แต่ไม่สามารถแยกร่างไปทำได้ ตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งเปราะบาง เขามักอยากจะทำงานเพื่อราษฎรใต้หล้าให้มากสักนิด แต่ความสามารถของคนคนเดียวอย่างไรเสียก็มีจำกัด
เขาไม่อยากให้บุตรสาวรู้มากเกินไปก็เพื่อปกป้องนางเช่นกัน แต่บุตรสาวของเขาอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของเขา ดื้อรั้นยิ่งนัก
ผ่านไปครู่ใหญ่เฮ่อหลันจิ่นจึงหลับตาลง พูดอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าความคิดบ้าคลั่งของตนเองจะค่อยๆ กลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
ที่ผ่านมาสตรีในเรือนไปพึ่งพาสามีที่เป็นขุนนางเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้นางกลับทำในสถานการณ์ที่ลู่อู๋โยวเป็นตายไม่รู้ และลู่อู๋โยวก็ไม่ได้เป็นขุนนางนอกเมืองหลวงอีกด้วย แต่หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้วนางกลับรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
ถึงขั้นรู้สึกเป็นอิสระมากในทันใด
ตอนที่นางอ่านบทความอยู่ที่จวน อวี้เหลียนหนึ่งในหญิงสาวสองคนที่องค์ชายรองส่งมาก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าฮูหยินจะไปอี้โจวหรือเจ้าคะ”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ทันใดว่าหญิงสาวสองคนนี้ก็มาจากอี้โจวเช่นกัน
อวี้เหลียนลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินคงไม่รู้ พี่สาวข้ายังอยู่ที่อี้โจว เป็น…” นางดูเหมือนรู้สึกยากจะเอ่ยปากได้เล็กน้อย “เป็นอนุของใต้เท้าเจ้าเมือง ข้ามีจดหมายฉบับหนึ่ง ฮูหยิน…”
เฮ่อหลันฉือพูดตามจริงว่า “ข้าอาจจะช่วยส่งให้เจ้าไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่คิดว่าไม่รู้ว่าจะช่วยฮูหยินได้หรือไม่ ถ้าฮูหยินไม่วางใจจะเปิดจดหมายออกดูก็ได้เจ้าค่ะ เป็นเพียงจดหมายทั่วไปเท่านั้น”
เฮ่อหลันฉือตกใจเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปรารถนาดี
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนที่องค์ชายรองส่งมา นางจึงมักจะมีความระวังตัวอยู่บ้าง แต่เวลานี้กลับรู้สึกได้รับการปลอบขวัญที่อยากได้มานานอยู่บ้างจริงๆ
“ขอบใจ” ไม่ว่าอย่างไรนางยังคงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
เสื้อผ้าสัมภาระของเฮ่อหลันฉือเรียบง่ายกว่าลู่อู๋โยว นางถึงขั้นวางแผนดีแล้วว่าหากไปอี้โจวไม่เจออะไรก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปชิงโจว ถึงตอนนั้นค่อยส่งจดหมายถึงลู่อู๋โยว ให้เขาไปเจอนางที่ชิงโจว ชิงโจวกับอี้โจวอยู่ใกล้กัน ทั้งยังสบายใจกว่าอยู่ในเมืองหลวง
ก่อนออกจากบ้านซวงจือยังกังวลใจมาก “จะไปอี้โจวจริงหรือเจ้าคะ พวกเขาต่างพูดว่า…”
นางเหมือนกับจะไปงานศพ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนางก็สวมชุดขาวทุกวันอยู่แล้ว
เฮ่อหลันฉือพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
การรอคอยโดยทำอะไรไม่ได้นั้นทรมานกันเกินไป
วันนี้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาหลายวันกลับแจ่มใสขึ้น เฮ่อหลันฉือมองประตูใหญ่จวนสกุลลู่ปราดหนึ่งแล้วก้าวขึ้นรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองอีก
ล้อรถม้าหมุนกลุกๆ เคลื่อนออกนอกเมืองไป
เฮ่อหลันฉือเป็นที่รู้จักจึงออกจากเมืองอย่างราบรื่นเป็นพิเศษ แทบจะไม่ถูกขัดขวางอะไรเลย แต่ตอนที่นางเดินทางจากไป ริมถนนมีคนมองรถม้าแล้วเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“…คิดไม่ถึงว่าฮูหยินเฮ่อหลันจะซื่อตรงเช่นนี้ นางไปที่อี้โจวจริงๆ!”
“ข้ายังคิดว่านางมีเพียงรูปโฉมงดงาม ที่แท้…”
“นางมีความรักลึกซึ้งต่อลู่หกหยวนจริงๆ”
“ถึงแม้ว่า…แต่ข้ายังรู้สึกอิจฉาลู่จ้วงหยวนคนนั้นอยู่หลายส่วน เกิดอะไรขึ้น…”
อยู่ในเมืองหลวงไม่ถูกขัดขวาง แต่นอกเมืองนั้นพูดได้ยากจริงๆ เพื่อเร่งเดินทาง พวกนางจึงออกจากจวนแต่เช้าตรู่ รถม้าเคลื่อนไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็มีคนขวางทางไว้
เสียงข้างนอกฟังดูคุ้นหูเล็กน้อย
“…เป็นรถม้าคันนี้! ข้าจำไม่ผิดแน่!”
“ฮูหยินเฮ่อหลัน ช้าก่อน!”
รถม้าถูกขวางเอาไว้
เฮ่อหลันฉือพลิกม่านเปิดดูก็จำได้ทันใด คนที่ไล่ตามนางมาตรงหน้าเหล่านี้ตรงกับภาพเหตุการณ์ในฝันอันห่างไกลของนาง เป็นเจ้าหน้าที่ตงฉ่าง ผู้นำเป็นขันทีเสียงแหลมเล็กคนหนึ่ง
เดิมทีนางเคยคิดจะลอบเดินทางไปตอนกลางดึก แท้จริงแล้วในฝันนางก็ทำเช่นนี้ ไม่แตกต่างอะไรกัน เจ้าหน้าที่ตงฉ่างกับองครักษ์เสื้อแพรสืบข่าวได้เร็วเช่นกัน และหากนางสามารถหลบหนีหูตาของราชสำนักทั้งหมดได้ คงจะทำให้คนเกิดความสงสัย
ไม่สู้ทำอย่างเปิดเผยไปเลยดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางยังอยู่ในตำแหน่ง ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีคงจะเกรงกลัวอยู่เช่นกัน
ทว่าตัวนางในความฝันทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่เวลานี้นางกลับสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด
เฮ่อหลันฉือถึงขั้นยังเตรียมสัญญาณมือไว้ล่วงหน้า ให้พวกจื่อจู๋ไม่ต้องร้อนใจ อย่าลงมือ เพราะนางรู้ดีว่าใครเป็นผู้ส่งคนตรงหน้าเหล่านี้มา
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดละเอียด นางค่อนข้างประหลาดใจที่เซียวหนานสวินสามารถสั่งหน่วยตงฉ่างทำงานได้
ขันทีผู้นั้นเดินหน้ามาหา พูดด้วยท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่ง “ฮูหยินเฮ่อหลัน นายท่านอยากเชิญท่านไปพูดคุยสักนิด ไม่รู้ว่าฮูหยินจะให้เกียรติได้หรือไม่”
เขาดูแล้วมือไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ คงคิดว่านางมือไม้ไม่มีแรงเช่นกัน อย่างมากก็แค่ยิงธนูเป็น
เฮ่อหลันฉือตัดสินใจจะทดสอบผลของการฝึกฝนเป็นเวลานานของตนเอง จึงพูดกับเขาเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นรบกวนกงกงเดินมาบอกข้าใกล้สักนิดได้หรือไม่ว่าเป็นนายท่านคนใด”
ขันทีผู้นั้นได้ยินนางกล่าวอย่างอ่อนโยน ถึงขั้นมีสีหน้ายินดีเล็กน้อย จึงวางใจลงได้ทันที คิดว่าฮูหยินเฮ่อหลันผู้นี้ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนที่รู้กาลเทศะ อย่างไรเสียสามีของนางก็ตายแล้ว ท่านผู้นั้นของพวกเขาก็…
เขาจึงเดินเข้าไปหานางทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจ “ฮูหยินวางใจได้…”
หากท่านผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจริง วันหน้าไม่แน่ว่ายังต้องพึ่งพาอีก
ใครจะคิดว่าเขาเพิ่งเดินเข้าใกล้เฮ่อหลันฉือ ยังไม่ทันได้รู้ตัวก็พบว่าตนเองถูกคนดึงไว้ คอถูกตวัดรัด มีดสั้นส่องประกายวาววับเล่มหนึ่งจ่ออยู่ตรงคอหอยของเขา
เฮ่อหลันฉือรัดคอเขาไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า “กงกง ไม่รู้ว่าจะปล่อยข้าไปชั่วคราวได้หรือไม่”
ขันทีผู้นั้นมีสีหน้าตกใจ เป็นตายก็คาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เขาพูดอย่างตื่นกลัวเล็กน้อย “ฮูหยินอย่าล้อเล่นเลย รีบปล่อยข้าดีกว่า…”
ไม่คิดว่ามีดสั้นที่จ่อตรงคอของเขากลับกดหนักขึ้นอีกเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือสงบนิ่งเป็นพิเศษ พูดเจรจากับเขาว่า “กงกงให้ทางรอดแก่ข้า ข้าก็จะให้ทางรอดแก่ท่าน เช่นนี้ไม่ดีหรือ”
เมื่อเห็นว่ามีดสั้นจะเฉือนเข้าเนื้อแล้วขันทีผู้นั้นจึงลนลานในที่สุด รีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าเองก็ทำตามคำบัญชา ท่านระวัง…ระวังอย่าสร้างความลำบากใจ…”
เฮ่อหลันฉือกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงเย็นเยือกรำคาญใจราวกับอสรพิษขู่ฟ่อ
“เฮ่อหลันฉือ ต่อให้ฆ่าเขา เจ้าก็หนีไม่รอดอยู่ดี”
เฮ่อหลันฉือหันมองไปตามเสียง เห็นในที่ไม่ไกลออกไปองค์ชายรองเซียวหนานสวินสวมชุดขี่ม้า พลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว มีเพียงสายตาที่ยังคงจ้องนางไม่วางตา
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 24 เม.ย. 2568)
Comments
comments
No tags for this post.