X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักอุบายรักลิขิตเสน่หา

ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 1 โฉมงามล่มเมือง

 

เดือนสาม ดอกซิ่ง บานสะพรั่ง

เรื่องขบขันใหญ่โตเรื่องหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็ว ภายในหอสุราร้านน้ำชาทุกตรอกซอกซอยหัวถนนล้วนมีข่าวลือนี้แว่วมาให้ได้ยิน

แม้กระทั่งเหล่าบัณฑิตที่กำลังรอประกาศผลสอบจากทางวังหลวงก็ยังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่มากก็น้อยถึงเรื่องของ…คุณหนูเฮ่อหลันผู้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ที่ยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติเข้มงวดซึ่งสมควรจะรักษาจรรยาสงบเสงี่ยม แต่นับวันนางยิ่งชื่อเสียงฉาวโฉ่เพราะรูปโฉม

“…คุณหนูเฮ่อหลันรูปโฉมงดงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ พวกเราที่นี่มีผู้ใดเคยเห็นบ้าง”

“ข้าเพิ่งมาเมืองหลวงแค่เดือนกว่า มีโอกาสได้เห็นเสียที่ใด”

“เอ๊ะ พี่หลินคงจะเคยเห็นกระมัง ท่านสนิทสนมกับคุณชายจวนเฮ่อหลันไม่ใช่หรือ ตอนเข้าไปเยี่ยมเยียนที่บ้านเขา ไม่เคยเห็นคุณหนูบ้านนั้นสักครั้งเลยหรือไร”

เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อหน้าแดงขึ้นฉับพลัน เขาจับแขนเสื้อแน่นเป็นการกลบเกลื่อนพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “วิจารณ์รูปโฉมสตรี มิใช่วิสัยของวิญญูชน”

“พี่หลินก็คร่ำครึเกินไป! ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเฮ่อหลันงดงามยิ่งนัก”

“พอเลย! พอเลย! เซ่าเยี่ยน พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้าเคยเห็นอย่างนั้นรึ”

“ไหนบอกมาเร็วเข้า คุณหนูเฮ่อหลันงามหยาดเยิ้มปานใดกันแน่ ถึงทำให้ซื่อจื่อ ของเฉากั๋วกง ถึงขั้นเลอะเลือนรนหาที่ตาย งานวิวาห์ดีๆ ล่มไปยังไม่ต้องพูดถึง แต่ถึงขั้นทำให้เฉากั๋วกงโมโหโทโสจนเกือบยื่นฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งซื่อจื่อของเขาทีเดียว”

 

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายมาเป็นเรื่องเล่าสนุกปากในช่วงนี้

เมื่อไม่กี่วันก่อนจวนเฉากั๋วกงจัดพิธีมงคลให้ซื่อจื่อแต่งงานกับจวิ้นจู่ ผู้หนึ่งที่มีฐานะเหมาะสมกัน

เดิมทีงานมงคลอันยิ่งใหญ่นี้สมควรต้องจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง แต่จนใจที่เมื่อถึงวันรับตัวเจ้าสาว ย่างเข้าใกล้ฤกษ์มงคลเต็มที ตัวเจ้าบ่าวกลับไม่ยอมออกจากจวน สุดท้ายจึงถูกบ่าวในจวนพากันลากออกมา สีหน้าท่าทางของเขาไม่เหมือนคนกำลังจะแต่งงาน แต่เหมือนจะไปร่วมขบวนแห่ศพเสียมากกว่า

ในที่สุดก็รับเจ้าสาวมาจนได้ แต่เมื่อถึงช่วงคำนับฟ้าดินหน้าโถงพิธีเจ้าบ่าวผู้นี้ก็มีท่าทีอิดออดไม่ยอมคุกเข่าอีก

หลังจากถูกกดดันหลายครั้งเข้าเขาก็คล้ายตัดสินใจบางอย่างได้ โยนผ้าไหมแดงในมือทิ้งไปแล้วคุกเข่ากล่าวท่ามกลางสายตาผู้คน

‘ท่านพ่อท่านแม่ ลูกอกตัญญู ลูกไม่อยากแต่งกับนาง คนที่ลูกอยากแต่ง…เป็นคนอื่น!’

ครั้นคำพูดนี้หลุดออกไปก็ราวกับเทน้ำใส่น้ำมันเดือดในหม้อ แตกปะทุไปทั่วบริเวณ

ได้ข่าวว่านายท่านผู้เฒ่าฝั่งบ้านเจ้าสาวเดือดดาลจนลมจับไปตรงนั้น ส่วนเจ้าสาวก็ร้องห่มร้องไห้พร้อมกับถูกแม่นมพยุงออกไป

กั๋วกงผู้เฒ่าซึ่งเคยดำรงตำแหน่งทางทหารมานานหลายปียกไม้เท้าหมายจะฟาดลูกอกตัญญูคนนี้ให้ตายคามือ โถงพิธีมงคลวุ่นวายโกลาหล หากฮูหยินกั๋วกงไม่มาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตายอาจมีคนเสียชีวิตจริงๆ ก็คราวนี้

แต่ถึงกระนั้นซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก็ยังคงแสดงอาการคลั่งไคล้ไม่เลิกรา ต่อให้ถูกทุบตีจนหน้าบวมปูดก็ยังไม่ยอมสำนึก

ข่าวนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นานผู้คนต่างก็รู้กันทั่ว

สตรีผู้นั้นที่ทำให้ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงถึงกับพร่ำเพ้อคะนึงหาก็คือเฮ่อหลันฉือ บุตรีของเฮ่อหลันจิ่นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย

หากพูดถึงคนอื่นเกรงว่าใครๆ อาจยังคงตั้งข้อกังขา แต่พอพูดถึงเฮ่อหลันฉือขึ้นมา ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งทันที

ไม่น่าแปลกใจเลยจริงๆ

แน่นอนว่าในเมืองหลวงไม่ขาดแคลนหญิงงาม บุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นโฉมสะคราญโดดเด่นมีมากมายจนนับไม่ไหว แต่คนที่งดงามสะท้านใจสะเทือนวิญญาณเฉกเช่นเฮ่อหลันฉือนั้นกลับมีเพียงผู้เดียว

ตอนที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ก็มีคุณชายบ้านอื่นถึงกับลงไม้ลงมือตีกันด้วยความอิจฉาตาร้อนเพียงเพราะนางชำเลืองมองมา ต่อมาทุกครั้งที่นางออกจากจวนก็จะสร้างความโกลาหลเสมอ คุณชายบางคนพลัดตกน้ำตกท่าเพื่อจะชะเง้อมองคุณหนูเฮ่อหลัน หรือพอได้ยินว่านางจะออกไปไหว้พระนอกเมือง เกี้ยวของคุณชายตระกูลต่างๆ ราวสิบกว่าหลังก็พากันเบียดแย่งออกจากเมืองด้วย ทำให้การสัญจรบริเวณประตูเมืองติดขัดไปชั่วขณะ ที่หนักกว่านั้นถึงขั้นมีคนคิดจะปีนกำแพงเข้าไปในจวนเฮ่อหลัน ในปีๆ หนึ่งจับตัวคนมักมากที่คิดจะบุกเข้าจวนได้ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดรอบ

ด้วยเหตุนี้รูปโฉมของคุณหนูเฮ่อหลันจึงถูกเล่าลือต่อกันไปอย่างอัศจรรย์พันลึกขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ชื่นชมหวังยลโฉมนงคราญเป็นบุญตาสักครั้งก็เพิ่มจำนวนจนเกินคณานับเช่นกัน

แต่ถึงอย่างไรเฮ่อหลันฉือก็เป็นดรุณีสูงศักดิ์ที่ยังไม่ออกเรือน ชาวบ้านร้านตลาดหยิบยกรูปโฉมของนางไปพูดสนุกปากย่อมมิใช่เรื่องเหมาะสม อีกทั้งยังมีบางถ้อยคำที่แสดงความสนิทสนมเกินงาม ยิ่งไม่เหมาะไม่ควรไปกันใหญ่

ตั้งแต่เฮ่อหลันฉือเติบใหญ่มา ใต้เท้าเฮ่อหลันก็ต้องฉุนเฉียวกับข่าวลือของบุตรสาวเป็นประจำ ในสำนักตรวจการมักจะเห็นสีหน้าของข้าหลวงตรวจการผู้นี้บึ้งตึงอยู่บ่อยครั้ง เหล่าผู้ตรวจการที่ยามปกติกล้าด่าทอทุกผู้ทุกคนต่างเงียบกริบด้วยความหวาดกลัว พากันก้มหน้างุดเขียนหนังสือกราบทูลข้อราชการ ด้วยกลัวว่าจะไปจี้จุดเดือดของเขาเข้า

ใต้เท้าเฮ่อหลันใช่ว่าไม่เคยคิดจะยับยั้งข่าวลือเหล่านี้ แต่จนใจที่บัณฑิตผู้มีปัญญาเหล่านั้นดอดหนีกันว่องไวเสียเหลือเกิน อีกทั้งจะจับคนด้วยเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เหมาะ ยากจะปิดปากคนที่เล่าลือไปมากกว่าเดิม จึงได้แต่กลับจวนไปอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้สำรวมกิริยาวาจาใจอย่างเข้มงวดแทน

ทว่าสำรวมกิริยาวาจาใจก็แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้

เรื่องซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก่อเรื่องวุ่นในงานแต่งแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน กลายเป็นที่ขบขันของผู้คนจำนวนมาก พาให้ชื่อเสียงดีงามของเฮ่อหลันฉือพลอยมัวหมองไปด้วย

หากบอกว่ายังไม่เคยพบปะใกล้ชิด แต่ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้เพราะนางถึงเพียงนั้นก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ แต่หากบอกว่าเคยพบปะกันอย่างลับๆ มาแล้ว เช่นนั้นก็…

ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีคนพูดอย่างริษยา “มิน่าจวนเฮ่อหลันถึงได้บอกปัดพวกคนที่มาสู่ขอไปหมด อ้างว่ารอให้อายุถึงสิบแปดปีค่อยเจรจาเรื่องแต่งงาน ที่แท้ก็อยากไต่ขึ้นกิ่งสูงนี่เอง”

“น่าเสียดายดันพลาดท่าเพราะความฉลาดของตนเอง คราวนี้จวนเฉากั๋วกงต่อให้ตายก็ไม่มีทางรับนางเข้าจวนเด็ดขาด”

“นารีดึงดูดภัยจริงๆ เชียว”

“อย่างที่เขาว่า เลือกภรรยาต้องเลือกที่ความดี อย่างไรข้าก็ไม่มีวันแต่งกับหญิงพรรค์นี้แน่นอน”

ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงเห็นพ้องเป็นวงกว้างจากเหล่าบัณฑิตที่อยู่รายรอบ

คุณชายหลินคนเมื่อครู่อดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “คุณหนูเฮ่อหลันนางไม่ใช่…”

แต่เสียดายที่เสียงของเขาเบาไป จึงถูกกลบในชั่วพริบตา

“ใช่แล้ว จี้อัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”

“ความนิยมของพี่จี้อันในหมู่สตรีก็เทียบได้กับคุณหนูเฮ่อหลันในหมู่บุรุษนั่นล่ะ”

“พรุ่งนี้ก็มีงานเลี้ยงอีกแล้วใช่หรือไม่ พวกข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ”

เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวปลอดที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างได้ยินคนเรียกก็ผินหน้ามาเล็กน้อย เผยยิ้มอย่างสุขุมและถ่อมตน ดวงตาดอกท้อ* หลุบลง แม้จะเป็นบุรุษเหมือนกันก็ยากที่จะไม่ถูกลักษณะท่าทางของเขาดึงดูดสายตา

ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ก็หาใช่คนไม่เอาไหน แต่เป็นเจี้ยหยวน ของชิงโจวเมื่อปีกลาย นับว่าเป็นผู้ที่น่าจับตามองในกลุ่มบัณฑิต มีนามว่าลู่อู๋โยว

“ข้าก็คิดเหมือนอย่างทุกท่าน แต่งภรรยาสมควรเลือกที่ความดีงาม”

แววตาเขาใสกระจ่าง น้ำเสียงนุ่มนวลเหลือแสน ฟังไม่ออกสักนิดว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด

“พี่จี้อันก็เจ้าเล่ห์นัก พวกข้าถามว่าท่านคิดอย่างไรกับคุณหนูเฮ่อหลันต่างหาก!”

สิ้นเสียงทางนี้ก็เห็นบ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมา

“คะ…คุณหนูเฮ่อหลันเหมือนจะออกจากจวนแล้วขอรับ…”

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฮ่อหลันฉือจะออกจากจวนเวลานี้ ทั้งยังออกทางประตูหน้าอย่างเปิดเผยเสียด้วย

ทีแรกทุกคนต่างคาดเดากันว่าเวลานี้นางน่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวนเพื่อเลี่ยงคำติฉินนินทา เพราะยามนี้ไม่ว่านางไปที่ใดก็จะพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์

ยังไม่ทันที่บ่าวผู้นั้นจะกลับมาหายใจเป็นปกติ เหล่าบัณฑิตที่เพิ่งสนทนากันด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อยเมื่อครู่ก็พากันกรูออกไปจากชั้นสองของหอสุรา

อึดใจต่อมาก็เหลือเพียงคุณชายหลินและลู่อู๋โยวสองคนมองหน้ากัน

 

จวนเฮ่อหลันอยู่ทางทิศเหนือของเมือง ซ้ายติดกับคฤหาสน์ของใต้เท้าจางรองเสนาบดีกรมอากร ด้านขวาคือบ้านประจำตระกูลของใต้เท้าจั่นเสนาบดีศาลต้าหลี่ พื้นที่ของจวนเฮ่อหลันถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ดูเล็กจ้อยจนน่าหัวเราะ

บริเวณรอบๆ มีผู้คนมามุงดูแน่นขนัดมากกว่าที่คาดคิดไว้ ในกลุ่มนั้นยังมีคุณชายบ้านคหบดีที่พาบ่าวรับใช้มาจำนวนหนึ่งด้วย

“ผู้ใดเหยียบเท้าข้า!”

“อย่าเบียด! อย่าเบียด! คุณหนูเฮ่อหลันจะออกมาเมื่อไร”

ระหว่างที่พูดก็แลเห็นเด็กสาวคนหนึ่งสวมเสื้อทอสั้นสีแดงอมชมพูปักดิ้นทองคู่กับกระโปรงจีบพลิ้วบานลายผีเสื้อกำลังนำสาวใช้สี่ห้าคนออกจากจวนพอดี

บนศีรษะเด็กสาวปักปิ่นหยกรูปดอกโบตั๋นประดับด้วยทองถัก ต่างหูหยกม่วงระย้าทองส่ายไหวตามแรงลมข้างใบหู ยังมีสายสร้อยทองห้อยอยู่หน้าสาบเสื้อเส้นหนึ่ง ทั้งตัวประดับด้วยเพชรนิลจินดา ทอประกายระยิบระยับ

ฉับพลันนั้นผู้คนข้างนอกต่างพากันชะเง้อคอเบิกตามอง เห็นเส้นคิ้วเรียวบาง ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่ง ริมฝีปากดุจอิงเถา* และจมูกจิ้มลิ้มพริ้มเพราของเด็กสาวคนนั้น ทว่า…แม้จะงดงามแต่ก็ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกว่าไม่สมกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่าไร ไม่เห็นจะงามล่มเมืองอย่างที่อวดโอ่เลยสักนิด

มีคนพูดอย่างผิดหวังทันที “เท่านี้เองหรือ เมื่อครู่ข้าอุตส่าห์วิ่งมาแทบแย่…”

คุณชายที่อยู่ข้างๆ โบกพัดพลางกล่าวเยาะเย้ย “นั่นคือคุณหนูสกุลเหยา ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของคุณหนูเฮ่อหลันต่างหาก”

จริงอย่างว่า หลังจากเด็กสาวที่สวมเครื่องประดับระยิบระยับก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูไปก็มีคนเดินตามออกมา

คราวนี้คนที่ออกมาเป็นเด็กสาวชุดขาวที่สวมหมวกห้อยม่าน ด้านหลังมีสาวใช้ติดตามเพียงคนเดียว ชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ช่างเรียบง่าย ตามตัวไม่มีเครื่องประดับตกแต่งเลยสักชิ้น เห็นรำไรผ่านทางม่านหมวกว่ามีเพียงปิ่นไม้ท้อธรรมดาๆ อันหนึ่งปักบนเรือนผม ต่างหูก็ดูเรียบอย่างยิ่ง

คนที่เพิ่งมาครั้งแรกยังนึกว่านางเป็นสาวใช้ใหญ่ของจวนเฮ่อหลัน จึงไม่ได้สนใจมองมากนัก แต่คนที่เคยมาหลายครั้งต่างระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ เบียดไปข้างหน้าทันที

“คุณหนูเฮ่อหลัน!”

“เจ้าล้อเล่นรึ นั่นน่ะหรือคุณหนูเฮ่อหลัน ใต้เท้าเฮ่อหลันเป็นถึงข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายขั้นสอง ต่อให้เป็นสาวใช้ในบ้านก็ยังไม่…” มอซอเช่นนี้เลย!

คุณชายที่โบกพัดยังเยาะเย้ยต่อไป “ความซื่อตรงของใต้เท้าเฮ่อหลันเป็นที่รู้กันทั่วเมืองหลวง เจ้าจะเห่าอะไร”

“เกรงว่าสหายคงจะมาครั้งแรกกระมัง ใต้เท้าเฮ่อหลันน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนางสัตย์ซื่อมือสะอาด”

“ต่อให้มือสะอาดเพียงใดก็ไม่น่าถึงกับ…” ผู้พูดยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

คนเขาพูดกันว่าคนงามเพราะแต่งตัว พระพุทธรูปงามเพราะหล่อทอง…

ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็ได้พัดเอาผ้าโปร่งสีขาวพลิกตลบขึ้นจากขอบหมวกของเด็กสาว ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแต่ชำเลืองมองไปยังบริเวณที่ลมพัดมา

ใบหน้าที่ถูกปกปิดมาตลอดพลันกระทบเข้ากับสายตาของทุกผู้คน

แสงตะวันที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงสีจางคลี่คลุมบนดวงหน้าเนียนขาวผ่องกว่าหิมะของนางอย่างพอเหมาะ ปรากฏเป็นรัศมีหมอกคล้ายความฝันขึ้นชั้นหนึ่ง ขนตายาวหนาดุจขนกากะพริบไหวแผ่วเบา ปกคลุมดวงตาพราวระยับคู่นั้นเหมือนดั่งผีเสื้อขยับปีกโบยบิน งดงามเปราะบางราวกับแตกร้าวได้เพียงแค่สัมผัส ทั้งร่างนั้นประหนึ่งไม่ใช่มนุษย์เดินดิน

นางยืนอยู่หน้าประตูจวน รัศมีบนตัวเปล่งประกายดั่งไข่มุกที่ยากจะเอื้อมถึง ส่องสว่างไปทั่วบริเวณนั้น

เครื่องประดับธรรมดาสามัญแต่ละชิ้นที่สวมใส่อยู่ก็ดูคล้ายจะมีราคาเทียบเทียมของชั้นดีที่รังสรรค์อย่างประณีต

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นความงดงามที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงบนโลกมนุษย์

กลุ่มคนที่ยังส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่เมื่อครู่พลันเงียบกริบชนิดเสียงเข็มหล่นยังได้ยิน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้า ราวกับว่าทุกคนต่างหยุดนิ่ง

เวลาก็คล้ายจะหยุดเดินเช่นกัน

สายตาของเฮ่อหลันฉือเลื่อนกลับมาจากฟากฟ้าแล้วปรายลงตรงจุดใดจุดหนึ่งซึ่งบังเอิญประสานเข้ากับดวงตาที่ยิ้มแก้เก้อของใครบางคน เพียงแวบเดียวก็ผละออกไป รวดเร็วจนเหมือนกำลังแข่งขันว่าใครจิตใจนิ่งกว่า มุมปากนางกระตุกเพียงชั่วครู่ ก่อนจะถอนสายตาแล้วเดินขึ้นรถม้าไป

รอจนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวไปไกลแล้ว กลุ่มคนบางส่วนถึงค่อยเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน

“นั่น…นั่นคือคุณหนูเฮ่อหลันหรือ”

“นะ…ในใต้หล้ามีคนรูปร่างหน้าตาเช่นนั้นได้อย่างไร!”

“จวนเฮ่อหลันยังรับคนงานอยู่หรือไม่ คนที่เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ มาแล้วน่ะ…”

“ข้าเริ่มเข้าใจซื่อจื่อของเฉากั๋วกงขึ้นมาแล้ว…”

บัณฑิตที่เพิ่งพูดว่า ‘เลือกภรรยาต้องเลือกที่ความดี อย่างไรข้าก็ไม่มีวันแต่งกับหญิงพรรค์นี้แน่นอน’ อยู่ข้างๆ ลู่อู๋โยวเมื่อครู่ เวลานี้กำลังเกาะแขนเขามองเหม่อไปตามทางที่เฮ่อหลันฉือจากไปพลางพึมพำเสียงสั่นเครือ

“พี่จี้อัน เมื่อครู่คุณหนูเฮ่อหลันนาง…นางเหมือนจะยิ้มให้ข้าด้วย ทะ…ท่านว่า…ข้าพอจะมีความหวังบ้างหรือไม่”

ลู่อู๋โยวเบี่ยงไหล่ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิดในใจว่าตื่นเถอะ ได้แค่ฝันเท่านั้นล่ะ

หลังจากขึ้นรถม้าแล้วเหยาเชียนเสวี่ยไม่ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบแต่พูดเข้าเรื่องทันทีอย่างอดใจไม่ไหว นางเองก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์เช่นเดียวกับผู้คนทั่วเมืองหลวงที่มามุงดู ในน้ำเสียงนุ่มนวลแฝงด้วยความเป็นห่วง ในความเป็นห่วงเจือด้วยความตื่นเต้น

“เสี่ยวฉือ เจ้า…กับเฉาซื่อจื่อผู้นั้น…เป็นมาอย่างไรกันแน่”

บิดาของเหยาเชียนเสวี่ยเป็นลุงเขยของเฮ่อหลันฉือ ทำงานเป็นรองเสนาบดีกรมอากร นางจึงเคยมีโอกาสเจอหลี่ถิงผู้เป็นซื่อจื่อของเฉากั๋วกงมาหลายครั้ง

หลี่ถิงเป็นบุตรชายคนเดียวของเฉากั๋วกงและเฉาฮูหยิน ถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงมาตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ยามปกติพูดจาด้วยเสียงขึ้นจมูก มองคนด้วยปลายคาง ญาติพี่น้องของขุนนางต่ำกว่าขั้นสี่ไม่เคยได้เห็นใบหน้าเขาตรงๆ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อแม่นางทั้งหลายที่ปรารถนาจะแต่งงานเข้าไปเป็นฮูหยินซื่อจื่อ

แต่ในเมื่อคานล่างยังไม่ตรง คานบนจะเป็นเช่นไรก็คงคิดออก

เท่าที่เหยาเชียนเสวี่ยรู้มา ฮูหยินเฉากั๋วกงไม่เคยพิจารณาบุตรีของขุนนางธรรมดาๆ เลยสักคน สตรีที่ทาบทามมาให้บุตรชายล้วนเป็นธิดากงโหว หรือเชื้อพระวงศ์ที่มีสินเดิมมั่งคั่ง อย่างเช่นอวิ๋นหยางจวิ้นจู่เจ้าสาวผู้โชคร้ายที่ต้องแต่งงานกับเขาคราวนี้ ลำพังแค่เครื่องแต่งกายก็มีถึงสิบคันรถ สินเดิมเจ้าสาวเรียกได้ว่าแดงสะพรั่งไกลสิบหลี่ อวิ๋นหยางจวิ้นจู่แม้จะมิใช่คนหน้าตางดงามมากนัก แต่ก็นับว่าจิ้มลิ้มนวลตาน่าเอ็นดู เฉาซื่อจื่อคงไม่มีสิ่งใดไม่พอใจ

ไหนเลยจะรู้ว่าหลี่ถิงผู้หยิ่งทะนงมาตลอด วันนี้กลับบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้

มีข่าวลือมาว่าเขาถึงกับเอาชีวิตมาขู่เพื่อต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้อยู่หลายครั้ง เฉากั๋วกงต้องใช้กฎบ้านจัดการอยู่หลายหน ถึงค่อยทำให้เขายอมตอบตกลงแต่งงาน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขายังมาทำลายสัญญาในวันแต่งงานจนได้

ดรุณีที่อยู่ด้านข้างหันกลับมาถามเสียงเบา “หืม?” สุ้มเสียงของนางแผ่วเบาและนุ่มนวลคล้ายกระดิ่งหยก แฝงด้วยความบอบบางน่าทะนุถนอม

เหยาเชียนเสวี่ยอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “เสี่ยวฉือ ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” เสียงของนางอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับกลัวว่าหากพูดดังกว่านี้คนตรงหน้าอาจผวาจนแตกร้าวไป

“อ้อ หามิได้…” เฮ่อหลันฉือได้สติกลับมา ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร “ท่านอยากถามสิ่งใดเล่า”

“ก็เรื่องของเจ้ากับเฉาซื่อจื่อผู้นั้น…”

เฮ่อหลันฉือตอบเสียงราบเรียบ “ไม่คุ้นเลย”

เหยาเชียนเสวี่ยตกใจ “เอ๊ะ เช่นนั้นเขา…”

เฮ่อหลันฉือถอนอารมณ์ออกมาจากจังหวะปรายตาเมื่อครู่นั้น ใคร่ครวญเพียงชั่วอึดใจก็กล่าวรวบรัด “ข้าเคยเจอเขาทั้งหมดสามครั้ง ล้วนอยู่ในงานเลี้ยงทั้งสิ้น เคยสบตากันหนึ่งครั้ง ไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว”

“พบกันส่วนตัว…สักครั้งก็ไม่มีเลยหรือ”

เฮ่อหลันฉือตอบอย่างเฉียบขาด “ไม่มี”

“…เช่นนั้นเขาเกิดบ้ามาจากที่ใดกัน”

เฮ่อหลันฉือเหลือบตามองหลังคารถม้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าพี่หญิงได้ข่าว อย่าลืมนำมาบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ”

เหยาเชียนเสวี่ยนิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “แล้วบิดาของเจ้า…”

เฮ่อหลันฉือตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “หัวฟัดหัวเหวี่ยงทีเดียว คนอย่างท่านพ่อข้า พี่หญิงก็รู้ เขาชอบคิดว่าข้าไม่มีมารดาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก อบรมเข้มงวดไม่พอ จึงรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงไม่เป็น ถึงเปิดโอกาสให้คนอื่นฉวยประโยชน์ได้ ฉะนั้นทีแรกเขาจึงสั่งให้ข้าอยู่แต่ในจวนนานหนึ่งเดือน”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้า…”

ยามนี้นางนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังออกจากเมืองแล้ว เห็นชัดว่าคำสั่งกักบริเวณนี้ไม่เป็นผล

เฮ่อหลันฉือพูดด้วยใบหน้าผ่องแผ้วไร้มลทิน “ข้าทะเลาะกับเขายกใหญ่ ใต้เท้าจั่นแห่งศาลต้าหลี่ที่อยู่ข้างจวนยังนึกว่าจวนข้ามีผู้ใดตาย เกือบส่งบ่าวรับใช้มาที่จวนข้ากลางดึกแล้ว”

เหยาเชียนเสวี่ยกลืนน้ำลายด้วยความไม่อยากเชื่อ “…หลังจากนั้นเล่า”

“ท่านพ่อกระฟัดกระเฟียดออกไปสำนักตรวจการตั้งแต่เช้าแล้ว ดูเหมือนตั้งใจจะยื่นฎีกากล่าวโทษจวนเฉากั๋วกงอย่างน้อยสิบห้าสิบหกฉบับในช่วงสองสามวันนี้”

อากาศในรถม้าอบอ้าวเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือหยิบหมวกที่ถอดลงมาโบกพัดพลางพูดต่อ “นอกจากข้อหาสั่งสอนบุตรหลานไม่เหมาะสม อะไรอย่างขูดรีดชาวบ้าน ละโมบเงินทอง ใช้เงินฟุ่มเฟือยตามลักษณะของจวนผู้สูงศักดิ์ก็คงไม่ปล่อยให้รอดเช่นกัน”

อันที่จริงการเคลื่อนไหวของนางไม่ได้งดงามแช่มช้อยเท่าไรนัก แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าต่อให้อากัปกิริยาท่วงท่าเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญยังเป็นใบหน้าอยู่ดี

ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาซ่อนรำไรอยู่ใต้ผ้าโปร่งบางสีขาวที่พลิ้วไหวปานหมอกควัน เอิบอาบรัศมีดั่งนางสวรรค์ สุกสกาวเปล่งปลั่งราวปทุมมาลย์แห่งยุค นางงดงามจนเหมือนมิใช่ภาพจริง ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกว่าหากมองมากเกินไปอาจเป็นการไม่บังควร แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะมองแล้วมองอีก

ครั้นเฮ่อหลันฉือเล่ามาเช่นนั้น เหยาเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเห็นด้วย

อย่าว่าแต่จวนเฉากั๋วกง เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวรับใช้ในจวนของผิงเจียงป๋อผู้เป็นพี่ชายของลี่กุ้ยเฟยไปตีคนตายเข้า เพียงแค่จ่ายเงินชดเชยเล็กน้อยแล้วจบเรื่องไปก็เท่านั้น ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ลี่กุ้ยเฟยเป็นชายาคนโปรดของฮ่องเต้ อีกทั้งองค์ชายรองซึ่งกำเนิดจากนางยังเป็นที่โปรดปรานด้วย

เฮ่อหลันฉือวางหมวกลงบนหน้าตักแล้วเล่าว่า “เมื่อเย็นวานจวนเฉากั๋วกงยังส่งคนมาด้วยเจ้าค่ะ”

เหยาเชียนเสวี่ยตื่นตกใจ “มาทำอันใด!”

เฮ่อหลันฉือยกยิ้มราวกับรู้สึกขบขัน “คงจะมาบอกข้าว่าอย่าได้คิดฝันเฟื่องไปไกล ต่อให้ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงกับอวิ๋นหยางจวิ้นจู่แต่งงานกันไม่สำเร็จก็ไม่มีทางตกมาถึงข้า”

เหยาเชียนเสวี่ยเบิกตาด้วยความตกตะลึง “นี่มันช่าง…” หน้าไม่อายเสียจริง! “คิดว่าใครก็อยากแต่งงานกับเจ้าหลี่ถิงนั่นหรือ!”

เฮ่อหลันฉือผงกศีรษะ “ข้าก็สงสัยเหลือเกิน เหตุใดถึงคิดว่าข้าอยากแต่งกับเจ้ากระสอบฟางนั่นนะ”

“กระสอบฟางหรือ”

“ท่านเห็นบทกวีที่เขาเขียนในงานชมดอกเหมยครั้งก่อนหรือไม่ ใช้ถ้อยคำงามหรูแต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ความหมายกำกวม เห็นชัดว่าเป็นพวกสมองพื้นๆ อีกอย่าง…” เฮ่อหลันฉือเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะพูดเสียงหนัก “ตัวอักษรยังอัปลักษณ์มากด้วย”

หากเส้นแบ่งแยกในตระกูลขุนนางขั้นบรรดาศักดิ์คือภูมิหลังและอำนาจ เช่นนั้นเส้นแบ่งของตระกูลขุนนางสามัญก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรอบรู้ ต่อให้เป็นบุตรอัครเสนาบดี แต่หากไม่ผ่านการสอบเคอจวี่ แม้เบื้องหน้าไม่มีผู้ใดพูดอะไร ลับหลังย่อมต้องมีคนมองว่าลูกหลานบ้านนี้ไร้ความก้าวหน้า และย่อมถูกดูหมิ่นดูแคลนด้วยเหตุนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่แบ่งแยกกระทั่งเป็นบุตรจากภรรยาเอกหรือภรรยารอง

เหยาเชียนเสวี่ยคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าคำวิจารณ์ของเฮ่อหลันฉือไม่ผิดเลย

แม้บุตรของกงโหวก็สามารถเป็นขุนนางด้วยวิธีรับราชโองการแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์รับความชอบต่อจากบิดา แต่ในราชสำนักต้ายงซึ่งผู้กุมอำนาจแท้จริงล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มาจากบัณฑิตเคอจวี่ทั้งสิ้น ส่วนปกครองราชเลขาธิการก็ไม่รับคนอื่นนอกเหนือจากคนของสำนักราชบัณฑิตอยู่ดี

“แต่…” เหยาเชียนเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จวนเฉากั๋วกงมั่งคั่งมากทีเดียวนะ”

สตรีทั่วไปยามออกเรือนไหนเลยจะมาคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ สามีจะก้าวหน้าหรือไม่ไม่สำคัญ หากแต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์ของกงโหวแล้ว อำนาจบารมีไม่ต้องพูดถึง ทรัพย์สมบัติมหาศาลยังมีให้ใช้ไม่รู้หมด สามีพอเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ เขียนบทกวีได้แค่สองประโยคก็พอแล้วมิใช่หรือ!

เฮ่อหลันฉือเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “กองเงินกองทองก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ไม่คุ้มค่าพอให้ข้าเอาตัวเข้าแลกเลย”

ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากัน รถม้าก็เคลื่อนมาจอดลงหน้าประตูวัดเจวี๋ยเยวี่ย

วัดเจวี๋ยเยวี่ยในวันนี้มีผู้คนเนืองแน่น แลดูคึกคักยิ่ง

ภิกษุที่มาปฏิสันถารเป็นคนที่รู้จักคุ้นหน้ากันดี ภิกษุรูปนั้นก้มหน้าไม่มองเฮ่อหลันฉือ กล่าวอธิบายขณะนำทางคุณหนูทั้งสองไป

“ข้างนอกล้วนเป็นบัณฑิตที่มาสอบเข้าเป็นขุนนางในปีนี้ เมื่อสามปีก่อนทางวัดเคยมีประสกที่แวะมาเยือนผู้หนึ่งสอบสำเร็จได้เป็นทั่นฮวา ในช่วงนี้จึงมีบัณฑิตมากราบไหว้ขอพรมากเป็นพิเศษ”

แน่นอนว่ายังมีบัณฑิตบางส่วนที่ติดตามมาชมโฉมของเฮ่อหลันฉือด้วย แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง

หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เหยาเชียนเสวี่ยก็ควบคุมสีหน้าตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ประเดี๋ยวเราไปเดินเล่นในวัดกันดีหรือไม่”

เรื่องนี้จะตำหนินางไม่ได้ ในปีนี้หากเป็นบุตรสาวในครอบครัวที่ร่ำเรียนหนังสือมาบ้างเล็กน้อย ผู้ใดจะไม่ซึมซับกับคำสอนในหนังสือบทละครที่แพร่หลายในตลาด แม้เหยาเชียนเสวี่ยจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อครู่ยังพูดถึงความมั่งคั่งของจวนเฉากั๋วกง แต่ครั้นพบปะกับคนหนุ่มคงแก่เรียนที่สง่างามทั้งกิริยาวาจา ก็อดไม่ได้ที่จะชายตามอง

เฮ่อหลันฉือไม่คิดจะออกไปเป็นเป้าสายตาผู้คน จึงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ “พี่หญิงอยากไปก็ไปเถิด ข้ารออยู่ที่นี่แล้วกัน”

สามเณรน้อยนำทางเฮ่อหลันฉือไปพักผ่อนที่เรือนปีกซึ่งเป็นเรือนแยกจากส่วนอื่น

เมื่อคืนนี้นางนอนหลับไม่ค่อยดีนักเพราะคนของจวนเฉากั๋วกงมาวุ่นวาย นางสั่งให้ซวงจือสาวใช้รออยู่ด้านนอก ตั้งใจว่าจะงีบหลับเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันนั่งลงก็พลันได้ยินเสียงแว่วจากใต้โต๊ะบูชา

คนผู้หนึ่งโผล่พรวดออกมาจากใต้โต๊ะ

เฮ่อหลันฉือ “!?”

นางตอบสนองฉับไว ผงะถอยหลังทันที

คนผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดชั้นดีมีราคา ใบหน้าที่เคยหล่อเหลายามนี้กลับบวมปูดเขียวช้ำ ดูไปคล้ายหัวหมู แววตาของหัวหมูเศร้าสร้อย ปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงละห้อยขณะเดินก้าวมาข้างหน้า

“คุณหนูเฮ่อหลัน ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า”

เขาก็คือหลี่ถิงซึ่งได้ข่าวว่าน่าจะถูกขังรับการลงโทษตามกฎบ้านอยู่ที่จวนเฉากั๋วกง

ในเรือนปีกมีเพียงพวกเขาสองคน สถานการณ์น่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีกลางวันแสกๆ เสียอีก

เฮ่อหลันฉือหันตัวกลับออกไปทันที แต่แล้วมือข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นผ่านข้างหูนางมากดทับบานประตูอย่างแรง ทำให้นางดึงประตูไม่ได้ เสียงชายหนุ่มดังอยู่ใกล้หู เต็มไปด้วยการเว้าวอน

“เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ พิธีไม่ลุล่วง ข้าไม่ได้แต่งงานกับนาง…” สุ้มเสียงต่ำเจือด้วยความสนิทสนม

ลมหายใจของหลี่ถิงเฉียดผ่านใบหู เฮ่อหลันฉือหวาดผวาจึงขยับหนีไปด้านข้าง พยายามพูดอย่างใจเย็น “ซื่อจื่อ พวกเราไม่เคยสนทนากันมาก่อน เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น ได้โปรดยกมือปล่อยข้าออกไป”

ผู้ใดจะไปคิดว่าอีกฝ่ายกลับเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่เพียงไม่ขยับไปที่ใด ยังมองหน้านางพลางพูดเสียงอ่อน

“คนที่จวนข้าทำให้เจ้าลำบากใจเช่นนั้นหรือ ข้าจะไม่แต่งกับนาง ข้าจะแต่งกับเจ้าเท่านั้น…” แววตาวาวโรจน์เจือด้วยความคลุ้มคลั่งและหลงใหล “ข้าจะไม่ยอมประนีประนอมใดๆ ข้า…จะไม่รังแกเจ้าเด็ดขาด!”

ประโยคสุดท้ายเขาพูดเสียงหนัก

เฮ่อหลันฉือ “…?”

มีผู้ใดช่วยอธิบายให้นางฟังได้บ้าง

อาจเป็นเพราะสีหน้างงงันของเฮ่อหลันฉือแสดงออกชัดเจน หัวหมูหลี่ถิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางจึงหยิบจดหมายรักสีดอกท้อหลายฉบับออกมาจากอกเสื้อแล้วคลี่ออกอย่างทะนุถนอม

“จดหมายพวกนี้เจ้าเขียนให้ข้า ข้าเก็บไว้ติดตัวตลอด…”

เฮ่อหลันฉือเหลือบมองกระดาษแช่ดอกท้อชั้นดีที่นางเสียดายเงินเกินกว่าจะซื้อเหล่านั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะจำคนผิด

น้ำเสียงของนางผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ได้เป็นคนเขียน”

หัวหมูหลี่ถิงพูดเอื่อยๆ “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าคงไม่ยอมรับ…”

เฮ่อหลันฉือกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายอับอายจนพานโกรธ จึงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เขียนจดหมายพวกนี้จริงๆ ซื่อจื่อคงจะเข้าใจผิดคนแล้ว”

ลายมือข้าก็ไม่แย่เช่นนั้นด้วย

ว่าแล้วนางก็ดึงประตูอีกครั้ง ทว่าแม้นางจะแสดงความอ่อนโยนเพียงพอแล้วก็ยังกระตุ้นให้อีกฝ่ายเดือดดาลอยู่ดี

หัวหมูหลี่ถิงคว้าข้อมือของนางหมับ พูดอย่างอดทนอดกลั้น “เจ้าคิดจะไปโดยไม่รีรอเช่นนี้น่ะหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าข้าจะมาเจอเจ้าคราวนี้ได้ต้องเสียแรงไปมากเพียงใด! ข้าทิ้งการแต่งงานกับจวิ้นจู่ ถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ แล้วยังเกือบถูกยึดตำแหน่งซื่อจื่อไปอีก ทั้งหมดก็เพื่อเจ้า! ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ามันเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”

เฮ่อหลันฉือ “…”

บนข้อมือขาวราวหิมะปรากฏรอยนิ้วแดงชัดเจน นางพูดหน้านิ่ง “ปล่อยมือ”

“ข้าไม่ปล่อย ไม่ใช่แค่ไม่ปล่อย ข้ายังจะ…” เขาทำท่าจะก้มหน้าลงมา แต่ยังไม่ทันพูดจบเฮ่อหลันฉือก็ยกเข่ากระทุ้งขึ้นไปเต็มแรง

การโจมตีนี้ใช้แรงไปเต็มที่ หัวหมูหลี่ถิงครางโหยหวนทันทีทันใด มือกำต่อไปไม่อยู่ ให้ตายเขาก็คาดไม่ถึงว่าดรุณีผู้บอบบางอ้อนแอ้นดุจนางเซียนตรงหน้าจะใช้วิธีการหยาบกระด้างเพียงนี้ได้

เฮ่อหลันฉือเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าวิชาป้องกันตัวนอกตำราเช่นนี้จะใช้การได้ผล

นางไม่กล้ารีรอแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว รีบดันประตูออกไป

ด้านนอกไม่มีคนอยู่ สามเณรรูปนั้นก็น่าจะถูกหลี่ถิงซื้อตัวมา ถึงได้ส่งนางมายังเรือนปีกที่ไกลหูไกลตาคนเช่นนี้ นางยกชายกระโปรงออกวิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ตระหนักว่าเรี่ยวแรงชายหญิงนั้นต่างกัน นางคงวิ่งหนีได้ไม่ไกล อีกทั้งยังไม่รู้ทาง อยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้ไม่ปลอดภัยเสียเลย

เสียงของหลี่ถิงดังขึ้นด้านหลัง

เฮ่อหลันฉือตัดสินใจในชั่วพริบตา ผลักประตูห้องถัดไปของเรือนปีกแล้วเข้าไปหลบในนั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน หลี่ถิงที่อดทนกับความเจ็บปวดวิ่งตามออกมาจากในห้อง ไม่นานก็วิ่งออกไปจากลานเรือน

เฮ่อหลันฉือเพิ่งจะระบายลมหายใจ พอหันหลังมาก็ปะทะกับดวงตาดอกท้อที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

เด็กหนุ่มสง่างามในชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ประสานมือคำนับอย่างเคารพราวกับตระหนักถึงการเสียมารยาทของตน เนื้อผ้าเบาดุจปุยเมฆพลิ้วขึ้นเบาๆ ในอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยแผ่นหลังตั้งตรงและรูปร่างสูงโปร่ง เขาแสดงอากัปกิริยาเหล่านี้อย่างงดงามและลื่นไหลชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นมารยาทตามแบบฉบับ แต่ล้วนไร้ซึ่งท่าทีอวดดีหรือคร่ำครึ กลับมีลักษณะท่าทางเหมือนบุตรชายขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สง่าผ่าเผยราวกับสายลมและจันทร์กระจ่าง

“คุณหนูเฮ่อหลัน ไม่ได้พบกันเสียนาน บังเอิญมารบกวนพวกท่านแล้ว”

เสียงนั้นทุ้มกังวาน อีกทั้งน้ำเสียงยังอ่อนโยนและมีมารยาทเต็มเปี่ยม แต่เฮ่อหลันฉือฟังออกถึงแววหยอกล้อที่แฝงความนัยไม่ถูกไม่ควรชัดเจน

อย่างที่คนเขาพูดกันว่ายิ่งเกลียดยิ่งเจอ

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ไปมากน้อยเท่าไร เฮ่อหลันฉือตัวแข็งทื่อ กดประตูไว้ สายตาลอบมองไปยังคนเคยรู้จักที่ไม่ได้พบพานกันนานแล้วจริงๆ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ช่วงสอบเข้าเป็นขุนนาง อีกฝ่ายจะปรากฏตัวที่เมืองหลวงก็หาใช่เรื่องแปลก แต่มาโผล่อยู่ในห้องนี้ออกจะประหลาดไปสักหน่อย

ยิ่งไปกว่านั้นเฮ่อหลันฉือยังสงสัยว่านางเพิ่งเห็นเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้านนางก่อนหน้านี้ด้วย

ลู่อู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็ช้อนตาขึ้นทันใด ยามกะพริบตาเผยดวงตาสีอ่อน หางตาชี้ขึ้นกว่าปกติ ฉาบรัศมีวับวาวที่ดูคล้ายเมามาย แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด แต่กลับเหมือนล่อลวงโดยไม่เจตนา

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังแย้มยิ้มก่อนจะพูดเสียงสั่นในลำคอ แทรกลมหายใจบางเบา “คุณหนูเฮ่อหลันบุกพรวดพราดเข้ามาเอง คำพูดนี้ข้าสมควรเป็นฝ่ายถามมากกว่ากระมัง”

เฮ่อหลันฉือกังวลว่าหลี่ถิงหานางไม่เจอแล้วจะวกกลับมา จึงยังไม่กล้าออกไปข้างนอกตอนนี้ ได้แต่กดกลอนประตูไว้แล้วมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง

“เจ้าถือเสียว่าไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน”

นางกล่าวเสียงแผ่วเบานุ่มนวล แม้จะเอ่ยวลีข่มขู่ แต่ยังอ่อนโยนกระชดกระช้อยดุจธารน้ำไหลผ่านช่องเขา ไพเราะรื่นหูยิ่ง

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลุบตาลง นิ้วยาวเกี่ยวกาน้ำชาดินเผาบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำชาสองถ้วยอย่างสบายใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป คุณหนูเฮ่อหลันดื่มชาสงบสติอารมณ์ก่อนดีหรือไม่”

เฮ่อหลันฉือไหนเลยจะกล้าดื่มชาถ้วยนี้ “ไม่จำเป็น”

ลู่อู๋โยวก็ไม่ฝืน ข้อนิ้วที่ดูราวกับหยกวางรอบขอบถ้วยขณะยกขึ้นจิบ กระดูกบนหลังมือเรียงตัวยาวเด่นชัด อากัปกิริยายังคงสง่างามและเปี่ยมด้วยมารยาท ประหนึ่งสิ่งที่ดื่มมิใช่ชาเก่าค้างปีของวัด แต่เป็นสุราชั้นดีที่หายากยิ่ง

เวลานี้เฮ่อหลันฉือเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะในห้องนี้นอกจากกาและถ้วยน้ำชาแล้ว ยังมีผ้าเช็ดหน้าและปิ่นปักผมของสตรีวางอยู่หลายชิ้น ข้างกันนั้นเป็นกระดาษจดหมายแบบเดียวกับที่หลี่ถิงถืออยู่

นางระลึกได้ทันใดว่าชายผู้นี้ได้รับความนิยมในหมู่สตรีอย่างยิ่งตอนอยู่ที่ชิงโจว

เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง ผู้คนเปิดกว้างยิ่งกว่าที่ชิงโจว คาดว่าเขาก็คงมาอยู่ที่นี่เพื่อหลบแม่นางเหล่านั้นที่คอยชม้อยชายตามาให้เช่นเดียวกัน

ครั้นปะติดปะต่อเรื่องราวได้เฮ่อหลันฉือกลับบังเกิดความรู้สึกเห็นใจหญิงสาวที่ดวงตาพร่ามัวเหล่านั้นขึ้นมาอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะกับสถานการณ์ยามนี้เท่าไรนัก นั่นก็เพราะว่าชายผู้นี้มิใช่บุรุษแสนดีอ่อนโยนดังเช่นรูปโฉมภายนอกเลยสักนิด

ยังจำได้ว่าตอนนั้นที่นางอยู่บนภูเขาด้านหลังสำนักศึกษาเจียงหลิวในชิงโจว นางเห็นกับตาว่ามีแม่นางคนหนึ่งมอบผ้าเช็ดหน้าปักลายไผ่เขียวให้เขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย

‘ทำให้ผ้าเช็ดหน้าท่านสกปรกแล้ว ข้า…ข้าเลยหาผืนใหม่มาให้…’

เขารับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทั้งยังกล่าวขอบคุณเบาๆ ด้วยกิริยาสุภาพเหลือแสนจนเกือบทำให้เฮ่อหลันฉือคิดว่าตนเผลอเข้ามาขัดจังหวะส่วนตัวของคู่รักเสียแล้ว

คาดไม่ถึงว่าขณะที่นางกำลังจะเดินตามออกไปหลังจากแม่นางผู้นั้นเดินไปไกล นางเห็นลู่อู๋โยวล้วงเอากลักจุดไฟมาเผาผ้าเช็ดหน้าปักลายผืนนั้นทิ้งจนไม่เหลือซากด้วยสีหน้าเฉยเมย ราวกับต้องการทำลายหลักฐานความผิดอะไรสักอย่าง แสงไฟส่องกระทบบนใบหน้าเขาเป็นเงาตะคุ่ม ดูโหดเหี้ยมไร้ซึ่งเยื่อใย ทำเอาเฮ่อหลันฉือที่ตอนนั้นต้องเลี่ยงไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เจอกันรู้สึกตื่นตะลึงยิ่ง

ยามนี้ลู่อู๋โยวมองตามสายตาของเฮ่อหลันฉือ สายตาจับค้างอยู่บนข้าวของเหล่านั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองหญิงสาว

เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ของเหล่านี้ข้าจะกำจัดทิ้ง ไม่ให้ผู้ใดเข้าใจผิด ว่าแต่คุณหนูเฮ่อหลันตอนนี้ใช่หรือไม่ว่า…กำลังหัวเราะเยาะผู้อื่นทั้งที่ตนทำอย่างเดียวกัน”

เฮ่อหลันฉือคิดได้ทันที ประโยคแรกที่เขาพูดตอนเจอหน้ากันแทบจะยืนยันได้เลยว่าเขาไม่เพียงได้ยินบทสนทนาของนางกับหลี่ถิงเมื่อครู่ แต่เกรงว่ายังได้ยินมาไม่น้อยด้วย

“คุณชายลู่” นางพยายามคุมน้ำเสียงให้นุ่มนวล “เกรงว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิด ข้าไม่ได้นัดพบคนที่นี่ วันนี้ล้วนเป็นเรื่องไม่คาดคิด…ตอนนี้ข้ากำลังหนีภัย”

ลู่อู๋โยวจ้องมองนางแวบหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ “คุณหนูเฮ่อหลันวางใจได้ ข้าไม่เอาไปพูดที่ใดหรอก…เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์อันใดกับข้า”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง

“ต่อให้ข้าโง่งมเพียงใดก็ไม่นัดเขามาเจอกันที่นี่เวลานี้แน่นอน” เฮ่อหลันฉือกล่าว

หากมีผู้ใดบังเอิญมาพบ นางต้องเดือดร้อนเป็นแน่

ลู่อู๋โยวถอนสายตากลับ ยกมือไปรินน้ำชาให้ตนเองอีกถ้วยอย่างไม่รีบไม่ร้อน รอยยิ้มที่ริมฝีปากลึกขึ้นกว่าเดิม “เรื่องนี้ข้าจะไปทราบได้อย่างไร”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

หญิงสาวอดถามไม่ได้ “หลังประกาศผลสอบเจ้ายังจะหน้าระรื่นเช่นนี้อยู่หรือไม่”

“อา…ยังมิทราบ” ลู่อู๋โยวแกว่งถ้วยชาเบาๆ น้ำชาถูกแกว่งจนขุ่นขึ้นมา เขาทำสีหน้าสำรวม เอ่ยเสียงต่ำคล้ายรู้สึกกระดากใจ “แต่ก็คงภายในวันสองวันนี้”

แสงเงาที่กระจัดกระจายในห้องตกกระทบบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม ดูสะอาดใสราวกับสระน้ำ

ใบหน้าของเขาอ่อนละมุนยิ่ง แววในดวงตากระจ่างชัด วาววับเป็นประกาย ยามแพขนตาหนาปกคลุมลงมายังให้ความรู้สึกอ่อนน้อม ทั่วทั้งร่างดุจชำระล้างด้วยน้ำพุใสสะอาด เมื่อสวมชุดคลุมสีขาวปลอดแบบบัณฑิต ผู้ใดก็ตามที่แลเห็นล้วนคิดว่าเขาเป็นคุณชายที่แสนอ่อนโยนไร้พิษภัยในโลกแห่งโลกียวิสัย มีโอกาสที่จะถูกผู้อื่นหลอกลวงอย่างยิ่ง

หากมิใช่เพราะรู้จักถึงก้นบึ้ง นางคงคิดว่าเขากำลังถ่อมตัวจริงๆ

เฮ่อหลันฉือแววตาไม่เป็นมิตร “ข้าขอแนะนำคุณชายลู่ว่าก่อนประกาศผลสอบควรทำความดีสั่งสมบุญให้มาก สงบปากสงบคำไว้จะดีกว่า”

ลู่อู๋โยวเหลือบเปลือกตาขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ตอนนี้คนที่โชคร้ายหาใช่ข้า”

เฮ่อหลันฉือ “…?”

ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก ต่อมาคลับคล้ายว่าจะได้ยินเสียงหลี่ถิงแว่วๆ

เฮ่อหลันฉือใจหายวาบ

กลอนประตูลงสลักได้ แต่หากลงสลักตอนนี้กลับยิ่งน่าสงสัยมากกว่า นางมองไปทางลู่อู๋โยวระหว่างที่ยังลังเล แล้วกดเสียงต่ำที่สุดเอ่ยขึ้น

“ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ทำความดีสั่งสมบุญแล้ว”

ดวงตาดอกท้อของลู่อู๋โยวหยีโค้งเล็กน้อยก่อนจะขยิบทีหนึ่ง “ขออภัยที่ข้าโง่เขลา”

เฮ่อหลันฉือพูดอย่างระอา “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ถ้าเจ้าไม่อยากโชคร้ายไปพร้อมข้า ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร” นางพูดจบก็ผลุบหายเข้าไปยังส่วนในของห้องอย่างรวดเร็ว

เดิมทีนี่เป็นห้องที่ทางวัดเจวี๋ยเยวี่ยจัดไว้ให้คนพักผ่อน เครื่องเรือนเรียบง่ายธรรมดา กวาดตามองไปแทบไม่มีที่ให้หลบซ่อนได้ นางได้ยินเสียงจากข้างนอกเหมือนหลี่ถิงมาถึงหน้าประตูแล้ว จึงพลิกตัวเข้าไปซ่อนในม่านเตียงโดยไม่คิดอะไรอีก

นางไม่ได้เชื่อใจคนอย่างลู่อู๋โยวมากนัก แต่นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่อยากเดือดร้อนไปกับนางเพราะเรื่องพรรค์นี้อีกแน่นอน

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

หลี่ถิงเคาะอยู่สองทีก็ผลักประตูเปิดอย่างไร้ความอดทน เขาพูดปนหอบ น้ำเสียงสะกดความโกรธเกรี้ยว “เมื่อครู่เจ้าเห็นแม่นางคนหนึ่งหรือไม่ แม่นางชุดขาว…หน้าตางดงามมาก”

นางได้ยินเสียงของลู่อู๋โยวตอบว่า “อืม…ย่อมเห็นอยู่แล้ว”

หลี่ถิงถามทันที “นางอยู่ที่ใด”

เฮ่อหลันฉือสมองอื้ออึง ใจเต้นรัวขึ้นฉับพลัน นางกำผ้าปูเตียงแน่น คิดในใจว่าหากถูกเจอตัว นางจะบอกหลี่ถิงไปว่าวันนี้นางลักลอบมาพบกับลู่อู๋โยว!

แล้วนางก็ได้ยินลู่อู๋โยวพูดต่อ “จู่ๆ นางถลันเข้ามา ข้าเห็นนางตื่นตระหนก เลยถามนางว่าจะดื่มชาให้ใจสงบก่อนหรือไม่ ไม่คิดว่านางจะวิ่งออกไปอีกเหมือนนกตื่นธนู ข้าจะเรียกก็เรียกไม่ทันแล้ว” น้ำเสียงเขากระจ่างรื่นหู พูดเป็นจังหวะจะโคน “ถ้าท่านไม่เชื่อ จะค้นดูในห้องก็ตามสบาย”

หลี่ถิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ”

มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

น้ำเสียงลู่อู๋โยวถามอย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ทราบว่าใต้เท้ากับแม่นางผู้นั้นมีความสัมพันธ์อันใดกันหรือ”

หลี่ถิงกระแอมเล็กน้อย ตอบอย่างคลุมเครือ “นางเป็น…น้องสาวข้า”

เสียงฝีเท้าของหลี่ถิงเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้น เฮ่อหลันฉือกลั้นหายใจ เกร็งมือจนข้อนิ้วขาว หัวใจแทบจะโดดขึ้นมาถึงคอหอย

ลู่อู๋โยวหัวเราะ “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง ดีทีเดียว ข้ายังคิดจะถามอยู่เลยว่าแม่นางผู้นั้นชื่อเสียงเรียงนามอันใด เมื่อครู่เห็นเพียงแวบเดียวยังไม่ทันถาม ไม่ทราบว่าใต้เท้าพอจะบอกได้หรือไม่” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความกังวล กลับดูเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายอยู่นานขึ้นด้วยซ้ำ

ฝีเท้าของหลี่ถิงหยุดชะงัก

เฮ่อหลันฉือไม่รู้เลยว่าเขาหยุดอยู่ตรงนั้นเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่! เหงื่อเย็นแทบจะไหลลงมาจากขมับนาง

และในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลี่ถิงก็หันตัวกลับไป “ข้ารีบตามหาคน ขอตัวก่อน”

 

เฮ่อหลันฉืออดทนจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของหลี่ถิงเงียบหายไปโดยสิ้นเชิงแล้วถึงค่อยผ่อนลมหายใจ

นางอยู่ในท่ากึ่งคุกเข่าอยู่หลังม่านเตียง รู้สึกได้ว่าแข้งขาชาไปหมด เพิ่งจะโน้มตัวไปด้านข้างก็ได้ยินเสียงคนเคาะเสาเตียงเบาๆ สองครั้ง นางก็ผุดลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันใด

“เขาไปแล้ว ออกมาได้”

สุ้มเสียงนุ่มนวลมีมารยาทของลู่อู๋โยวดังขึ้นเรียบๆ

เฮ่อหลันฉือค่อยๆ แง้มม่านออก ลู่อู๋โยวกำลังยืนตัวตรงหันข้างให้นาง ดวงตาใสกระจ่างดุจธาราหลุบลงเล็กน้อย ดูเหมือนวิญญูชนผู้มีมารยาทอย่างแท้จริง

“เอ่อ…” เฮ่อหลันฉือลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด

ลู่อู๋โยวได้ยินเสียงนาง แววตาพลันวูบไหว หางตายกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อที่มีระลอกคลื่นชำเลืองมองมา

เฮ่อหลันฉือทำสีหน้าระแวดระวังโดยสัญชาตญาณ

ลู่อู๋โยวเห็นสีหน้านางก็คล้ายตระหนักบางอย่างได้ จึงหันไปและโน้มตัวลงต่ำเพื่อรักษาระยะห่าง

เฮ่อหลันฉือขยับถอยหลังครึ่งก้าวอย่างว่องไว สายตาสาดประกาย

ลู่อู๋โยวยันเสาเตียงด้วยมือข้างหนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งขณะยืนในท่านั้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกระซิบข้างหู

“คุณหนูเฮ่อหลัน ไม่ต้องห่วง…ข้าไม่ได้สนใจเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว”

เฮ่อหลันฉือชะงักไป และเพียงชั่วอึดใจใบหน้านางก็บานสะพรั่งปานบุปผา แย้มยิ้มอย่างน่าเอ็นดู “บังเอิญนัก ข้าก็เช่นกัน…ต่อให้บุรุษทั้งเมืองหลวงตายหมด ข้าก็ไม่มีทางสนใจเจ้าเป็นอันขาด”

ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ ปล่อยมือลงแล้วเดินกลับออกไป

“เขาเพิ่งออกไปจากเรือน ถ้าเจ้าจะไปก็ไปตอนนี้” ระหว่างที่พูดลู่อู๋โยวก็เปิดประตูออกแล้ว “พ้นประตูเรือนแล้วเดินตรงไปราวยี่สิบก้าว จากนั้นเลี้ยวขวา เดินตรงต่อไปสามสิบก้าวจะเห็นป่าท้อแห่งหนึ่ง เดินเลี้ยวซ้ายไปสี่สิบกว่าก้าวก็จะถึงบริเวณพักผ่อนของสตรี” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ขออภัยที่ข้าไปส่งได้ไม่ไกล คุณหนูเฮ่อหลันอย่าลืมใส่หมวกของเจ้าให้เรียบร้อย”

เฮ่อหลันฉือถามอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นทางนี้”

เขามาเมืองหลวงนานเท่าไรกันเชียว

“ไม่แน่ใจ” ลู่อู๋โยวตอบ

เฮ่อหลันฉือ “…?”

ลู่อู๋โยวหัวเราะอย่างสบายใจ “หากไม่ไปทางนี้ คุณหนูเฮ่อหลันก็สามารถเลือกทางที่ชอบ ส่วนจะเดินไปถึงที่ใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว”

เฮ่อหลันฉือนวดน่อง รอจนกระทั่งอาการเหน็บชาหายไปแล้วจึงปีนลงมาจากเตียง “เจ้าไปกับข้าด้วย”

ลู่อู๋โยว “…?”

“ข้าสวมหมวก เจ้าเดินนำหน้าข้า ข้าจะทำเป็นว่าไม่รู้จักเจ้า”

ลู่อู๋โยวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว”

“ถ้าเจอซื่อจื่อของเฉากั๋วกง ช่วยขวางเขาไว้ให้สักหน่อย” เฮ่อหลันฉือร้องขอ

ลู่อู๋โยวเงียบไปอีก ก่อนจะพูดด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น ล่วงเกินซื่อจื่อของเฉากั๋วกงไม่คุ้มค่าเลยสำหรับข้า”

เฮ่อหลันฉือค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ในดวงตาพราวระยับไร้มลทินของนางดูราวกับมีระลอกแสงที่แปรเปลี่ยนเป็นดวงดารานับพัน ยามมองเข้าไปในดวงตาคู่นี้ แทบไม่มีบุรุษคนใดพูดถ้อยคำปฏิเสธได้

“ข้าขอปฏิเสธ” ลู่อู๋โยวเอ่ย

“…” เฮ่อหลันฉือสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยว่า “ถ้าข้าถูกเขาจับได้ ข้าจะบอกเขาไปตามจริงว่าเมื่อครู่ถูกคนซ่อนไว้อยู่หลังม่านเตียงในห้อง” นางย้ำคำว่า ‘ม่านเตียง’ “ในเมื่ออย่างไรก็ต้องล่วงเกินเขาอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ เจ้าไม่ทำให้ข้าขุ่นเคืองได้”

“ข้ามิใช่ทำให้เจ้าขุ่นเคืองไปแล้วหรอกหรือ” ลู่อู๋โยวพูดตรงไปตรงมา

“เจ้ายังพอแก้ตัวได้อยู่” เฮ่อหลันฉือค่อยๆ กล่าวโน้มน้าว

คราวนี้ลู่อู๋โยวหัวเราะจริงๆ หัวเราะจนใบหน้าสดใสปานบุปผาวสันตฤดู หัวไหล่ไหวน้อยๆ “เอาเถิด ขืนชักช้ากว่านี้จะไปไม่ได้เอาจริงๆ…คุณหนูเฮ่อหลัน ข้าขอบังอาจถามอะไรหน่อยได้หรือไม่”

เฮ่อหลันฉือจัดเสื้อกับกระโปรงเสร็จแล้วก็สวมหมวกเดินออกไป “ถามอะไร”

ลู่อู๋โยวเดินออกไประนาบเดียวกับนางพลางพูดเหมือนไม่ตั้งใจ “ถ้าเจ้าพยายามอีกสักหน่อย อาจไม่ต้องแต่งงานเข้าจวนเฉากั๋วกงก็ได้ อุตส่าห์วุ่นวายถึงเพียงนี้ ข้านึกอยากรู้ขึ้นมาบ้างแล้วว่าคุณหนูเฮ่อหลันต้องการแต่งเข้าจวนใดกันแน่”

เฮ่อหลันฉือตอบโดยไม่ต้องคิด “ถึงอย่างไรก็ไม่แต่งกับเจ้าแน่ ถามมากไปเพื่ออันใด”

ลู่อู๋โยวหัวเราะอย่างไม่รักษามารยาท “ก็แค่คิดจะแสดงความเห็นใจต่อสหายผู้โชคร้ายล่วงหน้าเท่านั้น”

เป็นอย่างที่ลู่อู๋โยวบอกไว้ ทั้งคู่เดินตามกันไปไม่นานก็ถึงป่าท้อ ดอกท้อในเดือนสามบานสะพรั่ง สีสันเจิดจ้าทั่วบริเวณ

เฮ่อหลันฉือสวมหมวกม่าน อีกทั้งเครื่องแต่งกายยังธรรมดา ตลอดทางจึงไม่เรียกความสนใจมากนัก เรื่องนี้ต้องขอบคุณลู่อู๋โยวที่เดินนำหน้าจึงช่วยนางดึงดูดสายตาส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว

เขายิ้มน้อยๆ อย่างสุภาพอ่อนโยน ดึงดูดเหล่าสตรี

ไม่เพียงสายตาชมดชม้อยของบรรดาแม่นาง เฮ่อหลันฉือยังเห็นหญิงวัยกลางคนวิ่งมาถามชื่อแซ่ของเขา บ้านอยู่ที่ใด มีลาภยศชื่อเสียงหรือไม่ แต่งงานแล้วหรือยัง หากเขาสอบติดขุนนาง เกรงว่าคงถูกจับทำบุตรเขยทันทีแล้ว

ชั่วขณะที่กำลังใจลอย เฮ่อหลันฉือยังนึกว่านางย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อนตอนอยู่ที่ชิงโจว

 

ตอนยังเด็กเฮ่อหลันฉือร่างกายไม่แข็งแรง มารดาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร บิดายุ่งกับงานราชสำนักจนดูแลไม่ทั่วถึง นางเคยป่วยหนักครั้งหนึ่ง ต่อมาบิดาต้องส่งนางกลับไปยังบ้านเกิดที่ชิงโจว ฝากพักรักษาตัวที่จวนของท่านลุง

มีนักพรตเคยบอกว่าแปดอักษร ของนางอ่อนแอ ไออิน หนักดึงดูดภัยพิบัติได้ง่าย มีชะตาสาวงามอาภัพ จำต้องไปอยู่ในที่ที่ไอหยางหนาแน่น หรือไม่ก็หาชายที่มีแปดอักษรแข็งแรงมาอยู่ข้างกายถึงจะสะกดดวงไว้ได้ บังเอิญว่าสำนักศึกษาเจียงหลิวประกาศรับลูกศิษย์หญิงพอดี ท่านลุงกลัวว่าเลี้ยงดูนางไปเรื่อยๆ แล้วจะอายุสั้นเหมือนมารดานาง จึงปลอมชื่อแซ่ให้นางแล้วส่งไปเรียนหนังสืออยู่หลายปีโดยปิดไม่ให้บิดานางรู้

จะว่าไปก็บังเอิญนัก ตลอดสามปีที่นางร่ำเรียนตำราอยู่ที่สำนักศึกษาเจียงหลิว อาการเจ็บป่วยของนางค่อยๆ ทุเลาลงจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้จะกล่าวถึงภายหลัง

สำนักศึกษาเจียงหลิวเปิดสอนโดยบัณฑิตลัทธิข่งจื่อท่านหนึ่งที่เกษียณอายุกลับมาบ้านเกิด อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากทางการ มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในชิงโจว ลูกศิษย์ที่เข้ามาเรียนหากมิใช่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด ก็เป็นลูกหลานของตระกูลบัณฑิตหลายชั่วอายุคน

น้องสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาที่ไปเรียนด้วยกันพร่ำพูดถึงชื่อของลู่อู๋โยวข้างหูเฮ่อหลันฉือหลายครั้ง ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเขาเป็นคนที่สอบได้อันดับหนึ่งของสำนัก อีกทั้งยังรูปงามมาก

ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาล้วนอายุยังน้อย ไม่ได้สนใจเรื่องชาติตระกูลเท่าไรนัก เรียนดีมาเป็นอันดับหนึ่ง หน้าตาดีมาเป็นอันดับสอง

‘คุณชายลู่ผู้นั้นเป็นวิญญูชนที่สง่างาม อ่อนโยนราวกับหยกจริงๆ’ ญาติผู้น้องหน้าแดงขณะพูด ‘ข้าเคยเห็นเขาที่หน้าห้องเรียนครั้งหนึ่ง เขาใจดีมาก ยามพูดจาก็เสียงแผ่วเบานุ่มนวล ไม่มีท่าทีอวดดีเหมือนพวกคนที่คิดว่าตนเองฉลาดเฉลียวเหล่านั้นเลย…เขา…เขายังส่งยิ้มให้ข้าด้วย!’

ตอนที่เฮ่อหลันฉือยังไม่รู้ นางเข้าใจว่าลู่อู๋โยวมีใจให้ญาติผู้น้องที่จิ้มลิ้มพริ้มเพราของนางจริงๆ ภายหลังถึงได้รู้ว่าเขาส่งยิ้มละมุนละไมให้ใครต่อใครไปทั่ว

ใครต่อใครที่ว่านี้ยังรวมไปถึงคนครัวที่ตักอาหารในสำนักศึกษา…จนทำให้คนครัวตักกับข้าวให้เขาเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องขอ

ตลอดสามปีที่นางเจอกับฝูงภมรภู่ผึ้งเข้ามาว่อนเวียนในสำนักศึกษาเจียงหลิว ก็เป็นสามปีที่นางได้เห็นบรรดาดรุณีไร้เดียงสาบินไปหาดอกบัวเกสรดำอย่างลู่อู๋โยวเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

หากลู่อู๋โยวชาติกำเนิดสูงส่งกว่านี้ พวกนางอาจยังไม่กล้าเฝ้าฝัน แต่เขากลับเป็นแค่คุณชายของญาติฝั่งมารดาที่มาฝากฝังให้ผู้อื่นดูแล

ลูกศิษย์หญิงที่เข้ามาในสำนักศึกษาแต่ละปีต่างก็คิดว่าตนเองสามารถพิชิตใจลู่อู๋โยว เฮ่อหลันฉือเพิ่งมารู้หลังจากนั้นว่าหลายครอบครัวส่งบุตรสาวมาที่สำนักศึกษาเจียงหลิวมิใช่เพื่อร่ำเรียนเขียนอักษรแต่เพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญกว่าคือการหาบุตรเขยดีๆ แม้สำนักศึกษาจะจัดให้ชายหญิงเรียนแยกห้องกัน แต่ไม่เป็นอุปสรรคให้ต่างฝ่ายต่างศึกษาชอบพอกัน บิดามารดาจะได้เจรจาการเกี่ยวดองตั้งแต่เนิ่นๆ แต่น่าเสียดายว่าลูกศิษย์หญิงเหล่านั้นล้วนต้องผิดหวังกลับไป

ไม่ว่าจะเป็นดรุณีที่อ่อนโยน เคร่งขรึม สดใส ซุกซน หรือแม้กระทั่งคนหนึ่งที่เฮ่อหลันฉือจำได้ว่าเป็นหญิงเก่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่างแสดงท่าทีสนใจลู่อู๋โยวทั้งในทางลับและทางแจ้ง ให้สัญญาณว่าขอเพียงเขาให้คนที่บ้านไปสู่ขอทาบทามก็จะสำเร็จลุล่วงทันที

น่าเสียดายที่เหมือนส่งสายตาให้คนตาบอดดู ทางด้านลู่อู๋โยวไม่มีการสนองตอบใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายแล้วเด็กสาวแต่ละคนก็ได้แต่ช้ำใจไปเลือกชายอื่นแทน

 

บัดนี้เหมือนสถานการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง

ลู่อู๋โยวรับมือได้อย่างเชี่ยวชาญมาก รอยยิ้มสุภาพถ่อมตนราวกับตอกแน่นอยู่บนใบหน้าเขา วาจาอ่อนน้อมมีอัธยาศัยดี ทำให้คนฟังแม้ถูกปฏิเสธทางอ้อมก็ยังยากจะผูกใจเจ็บ

ไม่นานเฮ่อหลันฉือก็คร้านจะสนใจเขา

เลี้ยวซ้ายที่ป่าท้อไปก็เหมือนจะเห็นเรือนปีกที่คุ้นตาจริงๆ อีกทั้งยังไม่เจอหลี่ถิงอีก เฮ่อหลันฉือจึงผ่อนลมหายใจในที่สุด คิดว่าโชคร้ายของวันนี้คงสิ้นสุดลงเท่านี้แล้ว

ขณะกำลังคิดเช่นนั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นทางด้านหนึ่ง

“จี้อัน ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่ เมื่อครู่พวกข้า…”

เฮ่อหลันฉือเหลือบตาขึ้นมองตามเสียงก็เห็นเด็กหนุ่มรูปงามสง่ากำลังเดินมาทางนี้

เขาคือบุตรชายของใต้เท้าหลินผู้เป็นรองเสนาบดีในกองพิธีบวงสรวงนามว่าหลินจาง มีชื่อรองว่าเซ่าเยี่ยน เนื่องจากเขาสนิทสนมชิดเชื้อกับเฮ่อหลันเจี่ยนพี่ชายของนาง…ซึ่งแน่นอนว่าโดยหลักแล้วเป็นเพราะบิดาของนางชมชอบ เขาจึงได้มาเป็นแขกของจวนในบางครั้ง และเขายังเป็นบัณฑิตที่เข้าสอบขุนนางในปีนี้ด้วย

เฮ่อหลันฉือเพิ่งจะหยุดฝีเท้า สายตาของหลินจางก็กวาดมองมาที่นางพอดี

เขาชะงักเล็กน้อย ใบหน้าขาวเจือสีแดงเรื่อ ผงกศีรษะและประสานมือคำนับนางตั้งแต่อยู่ห่างไปหลายก้าวพลางกล่าวอย่างแข็งทื่อ

“คุณหนูเฮ่อหลัน”

เขาไม่ได้จงใจเบาเสียง เสียงจึงดังไปรอบด้านโดยพลัน

‘เฮ่อหลัน’ มิใช่สกุลที่พบเห็นบ่อยนัก ไม่นานก็มีคนมองมา บัณฑิตหลายคนที่เดินตามหลังเขาเห็นดังนั้นก็ก้าวเข้ามาด้วยแววตาตื่นเต้น แต่ละคนต่างรีบยกมือคำนับทักทาย

“ข้าขอคารวะคุณหนูเฮ่อหลัน”

“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูเฮ่อหลันนี่เอง”

“คารวะคุณหนูเฮ่อหลัน ข้าคือ…”

เหล่าบัณฑิตพูดเจื้อยแจ้ว ในขณะที่ลู่อู๋โยวยืนห่างอยู่ด้านหลัง ริมฝีปากแต้มรอยยิ้ม สายตาเฉยเมย วางตัวเป็นคนนอกชมดูเรื่องสนุก

ความเคลื่อนไหวทางด้านนี้เรียกความสนใจของคนที่ผ่านไปมาทันใด

เฮ่อหลันฉือเห็นท่าไม่ดี จึงเบี่ยงตัวจะผละออกไป แต่ผู้คนกลุ้มรุมเข้ามาจนขวางทางนาง

และนี่ยังไม่นับว่าเลวร้ายที่สุด

ชั่วอึดใจต่อจากนั้นนางก็ต้องหนังศีรษะชาวาบเมื่อเห็นว่าซื่อจื่อของเฉากั๋วกงที่สมควรถอดใจเมื่อหานางไม่เจอกลับปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลในสภาพกระหืดกระหอบ ครั้นแลเห็นนางเขาก็ย่างสามขุมเบียดผู้คนเข้ามาทันที

ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เขาคงไม่ถึงขั้น…ขณะที่คิดเฮ่อหลันฉือก็เห็นหางตาแดงเรื่อบนใบหน้าแดงก่ำของหลี่ถิงฉายแววโหดเหี้ยมบ้าคลั่ง

ด้านข้างป่าท้อมีสระน้ำเล็กๆ ที่ไม่ตื้นนักอยู่สระหนึ่ง ในชั่วพริบตาที่หลี่ถิงปราดเข้ามาตรงหน้า เขายื่นมือออกมาอย่างรวดเร็วคล้ายจะจับตัวเฮ่อหลันฉือ แต่ก็เหมือนจะผลักนางเช่นกัน

คนรอบข้างไม่รู้จักหลี่ถิง จึงยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในทีแรก กว่าจะรู้ตัวและยื่นมือไปขวางก็สายไปเสียแล้ว

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!”

“…คุณหนูเฮ่อหลันระวัง!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เฮ่อหลันฉือเกิดความคิดในชั่วแล่น เข้าใจแล้วว่าหลี่ถิงน่าจะคิดลากนางลงสระน้ำไปพร้อมกับตนเอง เสื้อผ้าในฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างบาง สองคนตกน้ำไปด้วยกันเช่นนี้ ทำอย่างไรก็ล้างมลทินไม่สะอาดแล้ว

แม้สมองของนางฉับไว แต่ร่างกายกลับตอบสนองไม่เร็วพอ

อากาศในฤดูใบไม้ผลิยังค่อนข้างเย็น น้ำในสระก็เย็นยะเยือก หากนางจมลงไปจริงๆ เกรงว่ากว่าจะนำขึ้นมาได้ก็ไม่เหลือชีวิตแม้แต่เศษเสี้ยวแล้ว

แย่จริง!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วชั่วประกายไฟแลบ

กลีบดอกท้อที่ร่วงหล่นลงมาถูกใครคนหนึ่งหนีบไว้ระหว่างนิ้วแล้วร่อนออกไป พุ่งฉิวดุจพายุไปกระทบร่างของหลี่ถิงอย่างแรงด้วยน้ำหนักราวพันจวิน* ทันทีที่แรงส่งหมด มันก็ร่วงพลิ้วลงมาโดยไม่ทิ้งร่องรอย

จากนั้นทุกคนต่างก็มองเห็นชายในชุดหรูหราที่หน้าบวมปูดคนนั้นคล้ายไถลลื่นกะทันหัน หัวทิ่มปักลงไปบนพื้น

ผู้คนต่างงงงัน เฮ่อหลันฉือก็อึ้งไปชั่วอึดใจ

หลินจางที่อยู่ใกล้สุดรีบมาบังเบื้องหน้าเฮ่อหลันฉือโดยไม่สนใจจรรยามารยาท คนอื่นๆ เมื่อได้สติก็พากันลากหลี่ถิงที่หัวกระแทกจนตาลายออกไปห่างๆ ระหว่างนั้นยังมีคนลอบฉวยโอกาสเตะใส่เขาไปสองสามที

“คุณหนูเฮ่อหลันคงตกใจแย่”

“คุณหนูเฮ่อหลัน ไม่เป็นไรใช่หรือไม่…”

“ไม่รู้ว่าคนชั่วช้าจากที่ใดกล้าบังอาจถึงเพียงนี้ ข้าจะไปตามคนจากห้ากองกำลังรักษาเมืองมา”

“ต้องลงโทษโจรชั่วคนนี้ให้เด็ดขาด! คุณหนูเฮ่อหลันไม่ต้องกลัว”

ฝ่ามือของเฮ่อหลันฉือที่เย็นเฉียบชื้นเหงื่อเมื่อครู่ ยามนี้ค่อยพออุ่นขึ้นมาบ้าง นางสงบจิตใจแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายทุกท่านมาก”

นางอยู่ใกล้ที่สุด ในเสี้ยวเวลาอันสั้นสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งมากระแทกร่างของหลี่ถิงหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขา แต่พอก้มไปดูนอกจากกลีบดอกไม้เกลื่อนพื้นแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่ก้อนหินสักก้อน

เฮ่อหลันฉือมองไปทางลู่อู๋โยวเงียบๆ ด้วยความสงสัยอันคลุมเครือ

แม้นางจะพอรู้อยู่บ้างว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์เล็กน้อยเหมือนแมวสามขา แต่ก็คิดว่าไม่น่า…

จากนั้นนางก็เห็นลู่อู๋โยวกำลังเดินห่างออกไป ก้มหน้าพูดคุยยิ้มแย้มกับแม่นางคนหนึ่งที่มัดผมจุกบนยอดกระหม่อม

เฮ่อหลันฉือ “…”

ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

ตอนนี้เองก็มีคนจำหลี่ถิงได้ในที่สุด

“อ๊ะ พวกเจ้าหยุดก่อน คนนี้…เหตุใดหน้าตาถึงเหมือนซื่อจื่อของเฉากั๋วกงเล่า”

“…จริงหรือ”

“เขาถูกตีจนสภาพเป็นเช่นนี้ ข้าเกือบจำไม่ได้”

“อา…แล้ว เอ่อ…”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กสาวที่สวมหมวกม่าน สีหน้าแปลกพิกล ราวกับมีคำถามนับพันที่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด

หลินจางเห็นนางเหม่อลอยไปก็ถามอย่างเป็นห่วง “…คุณหนูเฮ่อหลัน ยังสบายดีหรือไม่ ถ้าอย่างไร…ข้าส่งเจ้าไปพักยังที่ปลอดภัยก่อนดีกว่า”

 

หลังจากผ่านความวุ่นวายทั้งหลายนี้ กว่าเฮ่อหลันฉือจะได้เจอหน้าเหยาเชียนเสวี่ยญาติผู้พี่อีกครั้งก็รู้สึกเหมือนกับเป็นคนละโลก

ห้ากองกำลังรักษาเมืองส่งคนมา แต่พอเห็นว่าเป็นซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก็ลังเลไม่กล้าจับตัวคนไป สุดท้ายคนของจวนเฉากั๋วกงก็มารับเขากลับไปท่ามกลางสายตาของผู้คน คนจำนวนมากต่างเป็นประจักษ์พยานเห็นท่าทางที่เหมือนพร้อมจะพินาศไปด้วยกันของหลี่ถิง ข่าวลือยิ่งแพร่กระจายไปทั่ว

แม้แต่เหยาเชียนเสวี่ยก็ยังอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

เฮ่อหลันฉือตอบอย่างรวบรัด “คงเป็นเพราะชื่อเสียงเขาเสียหายไปแล้ว อยากลากข้าตกต่ำไปด้วย เลยตั้งใจจะผลักข้าลงสระน้ำน่ะสิ”

เหยาเชียนเสวี่ยตื่นตะลึงก่อนจะพูดอย่างโมโห “ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้…เสียแรงที่ตอนแรกข้านึกว่า…เสี่ยวฉือ แล้วเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ไม่ได้บาดเจ็บตรงที่ใดนะ”

เฮ่อหลันฉือท่าทีนิ่งเฉยกว่าเหยาเชียนเสวี่ย เป็นเพราะนางเคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้มามากแล้วจริงๆ

ยามหมางใจหลังจากเกี้ยวพานไม่สำเร็จ บุรุษมักใช้วิธีก้าวร้าวกว่าสตรีมาก ตอนนี้นางยังนับว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวของขุนนางใหญ่ขั้นสองในราชสำนัก ตอนอยู่ที่ชิงโจวคนมักคิดว่านางเป็นแค่คุณหนูญาติห่างๆ ของบ้านชนชั้นสูง มีพวกคุณชายเสเพลบางคนมองว่านางไม่คู่ควรแก่การถูกยกย่อง หวังจะขืนใจด้วยกำลัง ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องชดใช้กับการกระทำนั้นด้วยความเจ็บปวด

เหยาเชียนเสวี่ยสำรวจตัวนางทั้งบนล่าง เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นไรแล้วก็ลูบผมดำเงาราวแพรไหมของเด็กสาวอย่างสงสาร

“เรื่องนี้กลับไปข้าต้องช่วยเจ้าล้างมลทิน…”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเรียบ “เรื่องไม่จบเช่นนี้หรอก”

ต่อให้เป็นซื่อจื่อของเฉากั๋วกง แต่มาลงไม้ลงมือกับบุตรีของขุนนางขั้นสองต่อหน้าธารกำนัลก็มิใช่เรื่องที่จะปล่อยปละละเลยโดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางฝ่ายบุ๋นส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยชอบใจพวกประยูรญาติเหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามปกติแต่ละคนแค่ทำเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง* แต่หากจับจุดอ่อนได้เมื่อไร ไม่สืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุดก็คงแปลกแล้ว

“ว่าแต่…” เหยาเชียนเสวี่ยทำท่าเหมือนคิดอะไรได้

เฮ่อหลันฉือถาม “หืม?”

เหยาเชียนเสวี่ยกลอกตาเล็กน้อย “คุณชายหลินที่มาส่งเจ้าเมื่อครู่ท่าทางไม่เลวเลย”

เฮ่อหลันฉือ “…”

“ข้าเห็นสีหน้าเขาเป็นห่วงเป็นใยเต็มที่ อย่างกับใจทั้งดวงทุ่มไปที่ตัวเจ้า ไม่เหมือนกับเป็น…”

เฮ่อหลันฉือเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เขาเป็นคนดี ข้าไม่อยากทำให้เขาเดือดร้อน”

หากมีข่าวลืออะไรสักอย่างร่วมกับนางแพร่กระจายออกไป ก็มีแต่จะนำภัยมาสู่ตัวเท่านั้น ตอนนี้นางชื่อเสียงเป็นอย่างไรนางก็รู้ตัวดีอยู่

เหยาเชียนเสวี่ยบ่นพึมพำ “ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยินดี สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกเรือนอยู่ดี”

ไม่นานมานี้ลู่อู๋โยวยังเคยพูดถึงเรื่องน่ารำคาญนี้กับนาง

เฮ่อหลันฉือก้มหน้ามองฝ่ามือตนเอง นางเคยเห็นหน้าตาน่ารังเกียจของบุรุษยามผิดหวังที่นางไม่รับรักมามาก พูดพล่ามวกไปวนมาก็มีแต่ความหลงใหลหมายปองรูปโฉมของนาง นางไม่อยากเข้าหาคนด้วยรูปกายภายนอกเลยจริงๆ ฉะนั้นจึงเฉยชาต่อเรื่องแต่งงานเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่สุดแล้วโชคชะตาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตนเป็นผู้กำหนด ตอนนี้นางจึงได้แต่ดูสถานการณ์ไปทีละขั้น

ระหว่างที่คิดหัวคิ้วของเฮ่อหลันฉือก็ขมวดมุ่น

ครั้นเห็นดวงหน้าที่ขาวผ่องกว่าหิมะราวสามส่วนปรากฏสีหน้าเช่นนี้ เหยาเชียนเสวี่ยก็ปวดใจตามอย่างอดไม่อยู่ ประหนึ่งไม่ใช่คิ้วของเฮ่อหลันฉือที่ยู่ย่น แต่เป็นหัวใจของนาง

เหยาเชียนเสวี่ยพูดขึ้นทันที “ช่างเถอะ พวกเราไม่คุยเรื่องนี้แล้ว! ข้าเล่าเรื่องสนุกๆ ให้เจ้าฟังดีกว่า” นางยื่นหน้าเข้าไปด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “ได้ข่าวว่าคุณหนูรองจวนคังหนิงโหว คนที่เอาแต่ใจนิสัยร้ายกาจสุดๆ คนนั้นน่ะ นางถูกใจผู้เข้าสอบจากชิงโจวคนหนึ่งในปีนี้ ชื่ออู๋โยวอะไรสักอย่าง นางป่าวประกาศไว้แล้วว่าจะเตรียมตัวรอวันประกาศผลสอบ หากผู้เข้าสอบคนนั้นสอบติดก็จะได้เข้าทาบทาม จับตัวคนไปแต่งงานทันที”

เฮ่อหลันฉือชะงักเล็กน้อย “คุณหนูรองคนนั้นที่เคยควบม้าเหยียบแผงขายของข้างทางพังเสียหายน่ะหรือ”

“นอกจากนางแล้วยังจะมีใคร! อาศัยว่ามีองค์หญิงใหญ่สวินหยางผู้เป็นยายคอยตามใจ ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น” เหยาเชียนเสวี่ยยักคิ้วหลิ่วตาพูด “ตอนนี้คนรอดูเรื่องสนุกกันใหญ่ น่าสงสารก็แต่ผู้เข้าสอบจากชิงโจวที่โชคร้ายคนนั้น ป่านนี้เขาน่าจะยังไม่รู้ตัว”

จู่ๆ เฮ่อหลันฉือก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นก็คงโชคร้ายจริงๆ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: