X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักอุบายรักลิขิตเสน่หา

ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 3 เห็นใจในชะตาเดียวกัน

 

สุดท้ายแล้วหลังคาของจวนเฮ่อหลันก็ต้องจ้างช่างก่อสร้างมาซ่อมแซมอยู่ดี เฮ่อหลันฉือมองดูบัญชีรายจ่ายด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม ตัดสินใจว่าคราวหน้าจะลองทำใหม่อีกครั้ง

หลังคาเพิ่งจะซ่อมเสร็จก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนที่หน้าประตู

ขบวนรถม้าของผู้สูงศักดิ์จอดที่หน้าประตูจวนอย่างเอิกเกริก แต่ถูกคนเฝ้าประตูขวางไว้ด้านนอก

“พวกท่านยังมาทำอะไรอีก!”

จวนขนาดสามลานบ้านของสกุลเฮ่อหลันมีขนาดเล็กจนน่าแปลกใจ จากประตูใหญ่ถึงประตูชั้นในห่างกันเพียงสองก้าว ดังนั้นเฮ่อหลันฉือแค่หันไปก็เห็นเงาคนที่ค่อนข้างคุ้นตานำอยู่หน้าสุด…ซึ่งก็คือที่ปรึกษาของจวนเฉากั๋วกงซึ่งเคยมาที่จวนนี้แล้วนางคิดว่าเขามาบอกให้นางอย่าคิดฝันเฟื่องนั่นเอง

ยามนี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะเอ่ยว่า “วันนี้พวกข้ามาขอขมาใต้เท้าเฮ่อหลันกับคุณหนูเฮ่อหลัน วันก่อนทางจวนเราล่วงเกินไปมาก ยามนี้กั๋วกงผู้เฒ่าสั่งสอนซื่อจื่ออย่างเข้มงวดแล้ว จะไม่มาเสียมารยาทต่อคุณหนูของจวนท่านอีกเป็นอันขาด วันนี้กั๋วกงผู้เฒ่าสั่งให้ซื่อจื่อเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาชดใช้ความผิดโดยเฉพาะ”

คนเฝ้าประตูพูดอย่างไม่เกรงใจ “ตอนนี้นายท่านไม่อยู่ พวกท่านกลับไปก่อนเถิด!”

“ไม่เป็นไรๆ คุณหนูเฮ่อหลันอยู่ก็เหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้พวกข้าได้มอบของขวัญก่อนเถิด”

เฮ่อหลันฉือคิดในใจ ดูท่าทางเรื่องราวคงจะใหญ่โตจริงๆ จนเดือดร้อนไปถึงเฉากั๋วกง จวนกั๋วกงถึงได้ยอมเสียหน้าเข้ามาขอโทษขอโพยเช่นนี้

ถึงอย่างไรพวกขุนนางที่สืบยศศักดิ์มาจากบรรพบุรุษเหล่านี้ก็ให้ความสำคัญต่อหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง แม้ตกระกำลำบากก็ไม่ยอมก้มศีรษะ

หากเป็นขุนนางธรรมดาทั่วไปย่อมไม่ผูกพยาบาทกับพวกชนชั้นสูงแน่ แต่พวกเขาทำให้เรื่องใหญ่โตถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับการหักหน้ากันโดยสิ้นเชิง

เฮ่อหลันฉือสั่งซวงจือสาวใช้ทันที “ปิดประตูจวน เชิญพวกเขากลับไป”

นางเพิ่งหันตัวไป เสียงของหลี่ถิงก็ดังขึ้นด้านหลัง

“คุณหนูเฮ่อหลัน วันนี้ข้ามากล่าวขออภัยจากใจจริง วันนั้นข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินเจ้าแม้แต่น้อย”

หากว่ากันอย่างเป็นธรรม เสียงนี้นับว่าสำรวมและจริงใจอยู่เหมือนกัน แต่เสียดายที่ยามนี้เฮ่อหลันฉือได้ยินเสียงเขาแล้วกลับรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ

“คุณหนูเฮ่อหลัน ใจคอเจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ อดีตเหล่านั้นของเราคืออะไร…”

เฮ่อหลันฉือชะงักฝีเท้า ความโกรธพวยพุ่ง

นี่เห็นว่าไม่มีหวังจะเจรจา เลยตั้งใจจะมาทำลายชื่อเสียงของข้าให้สิ้นซากไปอย่างนั้นหรือ

นางรู้ว่าชื่อเสียงของนางไม่ดีงามก็จริง แต่หากมีคนจงใจป้ายสีนางย่อมเป็นอีกเรื่อง

ซวงจือพูดอย่างอดโมโหไม่ได้ “เขาพ่นวาจาเหลวไหลอันใด! คุณหนูเคยไปเกี่ยวพันกับเขาสักนิดที่ใดกัน”

เฮ่อหลันเจี่ยนวิ่งออกมาหลังทราบข่าว พอได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ถิงก็เดือดดาล

เขาโยนพัดทิ้งแล้วออกไปตวาดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “เจ้าสารเลวพล่ามอะไรออกมา! น้องสาวข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับลูกเศรษฐีเช่นเจ้าได้อย่างไร ล้างปากให้สะอาดหน่อยเถอะ! ระวังข้าจะสั่งสอน!”

ที่ปรึกษาของจวนเฉากั๋วกงเข้ามาขวางเบื้องหน้าเขาแล้วยิ้มเป็นเชิงขออภัย “คุณชายเฮ่อหลันอย่าเพิ่งโกรธ ซื่อจื่อของเราแค่อารมณ์ร้อนไปชั่วขณะถึงได้เผลอพูดไป…ซื่อจื่อไม่มีเจตนาร้าย…”

ด้านนอกจวนเฮ่อหลันมีคนกระจายข่าวคอยปักหลักอยู่เสมอ

ตั้งแต่ขบวนรถม้าของจวนเฉากั๋วกงมาถึงก็มีคนสอดรู้มามุงดูจำนวนไม่น้อย พอได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดก็เริ่มกระดิกลิ้นพ่นถ้อยคำนินทาทันที คนลือกันว่าซื่อจื่อของเฉากั๋วกงกับคุณหนูเฮ่อหลันลักลอบพบกันมานานแล้ว แต่ตลอดมาไม่มีหลักฐาน ยามนี้ยังมีสิ่งใดน่าเชื่อถือไปกว่าคนในยอมรับกับปากตนเองอีกเล่า

“…คุณหนูเฮ่อหลันเป็นหญิงใจดำจริงๆ”

“มิน่าเล่าก่อนนี้ซื่อจื่อถึงได้ยอมทำลายงานแต่งโดยไม่สนใจผู้ใด เพื่อให้ได้…”

“ให้ความจริงใจไปเสียเปล่าแล้ว!”

“นึกไม่ถึงเลย…”

หลี่ถิงยังคงเพิ่มน้ำมันเติมน้ำส้มอย่างไม่กลัวตาย “แต่ละถ้อยคำของข้าล้วนพูดมาจากใจ ในเมื่อคุณหนูเฮ่อหลันไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”

นี่หรือมาขออภัยซึ่งหน้า มาหาเรื่องถึงที่ชัดๆ

งานแต่งของหลี่ถิงพังไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดจะลากนางให้ลงหลุมไปด้วยกัน บิดานางยังเพิ่งถูกเรียกไปเข้าเฝ้าด้วย

เฮ่อหลันฉือใคร่ครวญเพียงชั่วอึดใจก็พูดอย่างเฉียบขาด “ซวงจือ เจ้าให้คนไปหยิบป้ายของท่านพ่อ ไม่สิ ของพี่หญิงเหยา ไปเชิญคนของกองปราบปรามเหนือมาที” พูดจบนางก็ก้าวยาวๆ ไปทางหน้าประตูด้วยแววตาเย็นชาราวน้ำค้างแข็ง ไม่แม้แต่จะสวมหมวกม่าน

เมื่อบานประตูของจวนเฮ่อหลันเปิดออกกว้าง ดวงหน้าของเด็กสาวก็เปิดเผยสู่ครรลองสายตาของทุกผู้คนโดยไร้สิ่งปิดบังอำพราง

คนที่ยังพูดคุยอยู่ต่างปิดปากเงียบไปตามๆ กัน

ไม่มีผู้ใดสั่งให้พวกเขาหุบปาก เพียงแต่เมื่อเห็นโฉมหน้านั้นชัดเต็มตา ผู้คนจำนวนมากต่างก็ลืมโดยพร้อมเพรียงกันว่าเมื่อครู่กำลังพูดอะไร กลัวว่าหากส่งเสียงกะทันหันจะไปรบกวนความงดงามราวภาพมายาเช่นนี้เข้า

…ทว่าคนแรกที่ทำลายความเงียบนี้กลับเป็นตัวเฮ่อหลันฉือเอง

“ซื่อจื่อ ข้ากับท่านไม่เคยพบกันเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่เสี้ยวเวลา ท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าพวกเรามีความหลังต่อกัน มีหลักฐานหรือไม่”

น้ำเสียงนางนุ่มนวลเยือกเย็นดุจไข่มุกหล่นลงจานหยก ไพเราะเสนาะหูยิ่ง กล่อมให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม แต่ระหว่างเอ่ยวาจากลับฉายความเย็นชาที่ทำให้คนยากมองข้าม

ถ้าบิดานางอยู่ย่อมไม่ยอมให้นางเผยตัวออกมาเผชิญหน้าเองเช่นนี้แน่ แต่นางทนมามากพอแล้ว

หลี่ถิงเหม่อมองเฮ่อหลันฉืออยู่พักใหญ่

ผ่านไปหลายวันใบหน้าเขาไม่ค่อยบวมช้ำเท่าไรแล้ว ยังพอมองเห็นความสง่างามเช่นเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่เบื้องนอกหุ้มด้วยหยกทอง ภายในมีแต่ไส้สำลี

ไม่สิ…เฮ่อหลันฉือนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ในใจคิดว่าหลี่ถิงผู้นี้ถือว่าภายนอกหุ้มด้วยหยกทองหรือไม่ยังต้องรอพิจารณาอีกที

เวลานี้หลี่ถิงได้สติแล้ว เขาล้วงจดหมายที่วันนั้นให้เฮ่อหลันฉือดูที่วัดเจวี๋ยเยวี่ยออกมาจากอกเสื้อโดยไม่แม้แต่จะคิด โบกไปมาพลางพูด

“คุณหนูเขียนจดหมายด้วยตนเอง ยังจะแก้ตัวอีกหรือ”

เฮ่อหลันฉือพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “มีแค่นี้หรือ”

หลี่ถิงย้อนถาม “แค่นี้ไม่พอหรือไร”

เฮ่อหลันฉือสีหน้าราบเรียบ สั่งบ่าวรับใช้ “เอาโต๊ะกับเครื่องเขียนมา”

เฮ่อหลันเจี่ยนที่อยู่ด้านข้างทำสีหน้ากระวนกระวายฉับพลัน ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ “เจ้าจะเขียนจริงๆ หรือ…”

“ไม่อย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร”

“ถ้าอย่างไรก็…”

เฮ่อหลันฉือชำเลืองมองเขานิ่งๆ ด้วยหางตา

เฮ่อหลันเจี่ยนได้แต่หุบปาก

ไม่นานโต๊ะก็ถูกยกออกมา ทั้งพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกล้วนเตรียมพร้อม

คนที่มามุงดูหน้าประตูมีมากขึ้นเรื่อยๆ

เฮ่อหลันฉือให้หลี่ถิงวางจดหมายรักลงบนโต๊ะ

นางหยิบพู่กัน เลือกพู่กันขนตัดอย่างพิถีพิถัน จุ่มน้ำหมึกดำ ปาดปลายพู่กันข้างที่ฝนหมึกเบาๆ ก่อนจะตั้งสมาธิลงมือเขียน

เด็กสาวเกล้าผมเป็นมวยหัวใจดอกท้อ เส้นผมยาวดำขลับเคลียผ่านลำคอขาวเนียนปานหยกและทิ้งตัวลงที่หน้าสาบเสื้อประหนึ่งน้ำไหล เรียวนิ้วบางราวต้นหอมรวบแขนเสื้อไว้ มืออีกข้างยกพู่กันตั้งขยับข้อมือ ขนแพะชุ่มหมึกวาดเส้นเป็นตัวอักษร รอยหมึกปรากฏโฉมโดยไม่สงวนท่าทีตามหลังปลายพู่กันอันทรงพลัง ทุกหนแห่งที่ลากถึงประหนึ่งมังกรเขียวลงสมุทร ดุจมังกรบินร่อนนภา แต่ละเส้นแต่ละขีดกรีดกระดาษหนักแน่น แฝงจิตวิญญาณพิฆาตคน ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นต่างก็ต้องชื่นชมว่าเป็นตัวอักษรที่ดี

ผ่านไปอึดใจหนึ่งเฮ่อหลันฉือก็วางพู่กัน นางหยิบจดหมายรักแผ่นนั้นและกระดาษที่ตนเองเพิ่งเขียนขึ้นมาชูพร้อมกันเบื้องหน้าแล้วพูดอย่างสงบนิ่ง

“ซื่อจื่อ นี่ต่างหากลายมือของข้า ท่านดู มีจุดใดคล้ายคลึงกันสักครึ่งส่วนหรือไม่”

บนจดหมายรักเป็นอักษรตัวบรรจงขนาดเล็กที่สุดแสนธรรมดา ฝีพู่กันออกจะดูเหมือนเด็กด้วยซ้ำ แต่บนกระดาษของเฮ่อหลันฉือเป็นลายมือแบบเหยียนถี่* ที่อยู่ในขั้นต้น ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจว่าเป็นลายมือคนเดียวกันโดยเด็ดขาด

หลี่ถิงโซเซไปเล็กน้อย

เฮ่อหลันฉือสั่งให้คนนำกระดาษกับจดหมายรักไปให้ผู้คนดูโดยทั่วกัน

ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็สามารถมองออกถึงความแตกต่าง

หลี่ถิงทำสีหน้าลนลาน ยังพยายามดิ้นรน “อาจจะ…อาจจะ…เจ้าอาจจะให้สาวใช้เขียนก็ได้…”

เฮ่อหลันฉือพูด “ท่านจะให้สาวใช้ของข้าเขียนให้ดูด้วยหรือไม่ หรือจะให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดในจวนข้ามาเขียนเทียบลายมือกับจดหมายรักของท่าน? ซวงจือ ไปหยิบพู่กันมา”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้น้ำเสียงของเด็กสาวนุ่มนวลอ่อนช้อย ไม่แฝงความขุ่นมัว แต่หลี่ถิงกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ยากอธิบายซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ของนางโดยสิ้นเชิง ชั่วขณะนั้นเขาพลันรู้สึกว่านางเหมือนคนแปลกหน้า

หลี่ถิงพยายามเค้นสมองหาจุดน่าสงสัยให้ได้ “แต่…ลายมือของเจ้ากับของคุณชายเฮ่อหลัน…”

“ข้ากับพี่ชายเรียนหนังสือมาด้วยกัน ลายมือเหมือนกันมีอะไรแปลก”

เฮ่อหลันเจี่ยนที่อยู่ด้านข้างอดปาดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้

แต่เหงื่อของหลี่ถิงยังแตกพลั่กยิ่งกว่า เขาพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าหลอกข้า…”

เฮ่อหลันฉือโยนจดหมายรักกลับไปใส่ตัวหลี่ถิงทั้งหมด รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยอารมณ์เสียที น้ำเสียงจึงยิ่งสงบนิ่งกว่าเดิม

“ซื่อจื่อมีสัญญาแต่งงานอยู่แล้ว แต่กลับลักลอบคบหากับหญิงอื่น ส่งจดหมายรักถึงกัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย แต่ซื่อจื่อกลับดึงดันจะผลักเรื่องนี้มาให้ข้า ช่างเหลวไหลสิ้นดี ส่วนของขวัญขอขมานั้นเชิญซื่อจื่อนำกลับไปเสียเถิด หวังว่าวันหน้าซื่อจื่อจะไม่มารบกวนความสงบของจวนเราอีก”

ซวงจือยื่นหน้ามาจากข้างหลัง ชูลายมือที่เพิ่งเขียนเสร็จขึ้นมาแล้วพูดเสียงเยาะว่า “เห็นชัดแล้วหรือไม่ อย่าคิดเข้าข้างตนเองเจ้าค่ะ!”

คราวนี้ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างก็เข้าใจแล้ว

“ที่แท้ซื่อจื่อเข้าใจผิดไปเองหรือ! ทั้งยังมากล่าวโทษคุณหนูเฮ่อหลัน…”

“อาจถูกคนกลั่นแกล้งก็เป็นได้ ทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตโดยใช่เหตุ”

“ว่าไปแล้วจดหมายนั่นก็ไม่ได้เขียนชื่อสักหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดเขียน!”

“จริงด้วย! คุณหนูเฮ่อหลันต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ช่างโชคร้ายจริงๆ…”

หลี่ถิงร่างกายซวนเซ ใบหน้าซีดเผือด ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก

องครักษ์เสื้อแพรจากกองปราบปรามเหนือมาถึงแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดมามุงอยู่หน้าจวนใต้เท้าเฮ่อหลันเช่นนี้! ผู้ใดมาสร้างความวุ่นวาย!”

คนของจวนเฉากั๋วกงต่อให้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินอย่างไร เมื่อเจอกับดาวพิฆาตกลุ่มนี้แล้วก็ยังขยาด ไม่กล้าโต้เถียงต่อ ยกขบวนกลับไปแต่โดยดี

 

ไม่ผิดจากที่เฮ่อหลันฉือคาดไว้ หลังจากบิดานางกลับมาและทราบเรื่องก็เดือดดาลปานสายฟ้าฟาด พูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยถ้อยคำแบบเดิมๆ

“เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ ออกไปโผล่หน้าส่งเดชอย่างนั้นไม่เหมาะสม ทั้งยังไปต่อปากต่อคำกับผู้อื่นเหมือนหญิงปากร้ายได้อย่างไร! เจ้าน่าจะรอให้ข้ากลับมาก่อน ข้าต้องช่วยเจ้าเอาคืนด้วยวิถีทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแน่นอน เหตุใดเจ้าต้องออกหน้าด้วยตนเอง นี่ใช่ลักษณะที่กุลสตรีควรเป็นเสียที่ใด! นิสัยเปิดเผยมากเกินไปจะถูกคนนินทาว่าร้ายเอาง่ายๆ วันหน้าอาจทำให้บ้านแม่สามีไม่พอใจ เกิดความไม่ลงรอยในชีวิตสมรส…” พูดถึงตรงนี้เฮ่อหลันจิ่นก็ถอนหายใจยาว “อย่างไรเสียก็ควรจัดการเรื่องแต่งงานให้เจ้าโดยเร็ว เจ้ารู้หรือไม่ว่า…” คำพูดของเขาขาดช่วงไปกะทันหัน

เฮ่อหลันฉือสังเกตเห็นความผิดปกติอย่างว่องไว “ท่านพ่อ เข้าวังไปแล้วเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”

“แค่เรื่องเกี่ยวกับงานหลวงเท่านั้น” น้ำเสียงของเฮ่อหลันจิ่นเปลี่ยนไป “อีกไม่นานคำสั่งลงโทษซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก็คงจะลงมา โทษคราวนี้น่าจะไม่เล็ก เพื่อป้องกันข่าวลือ เจ้าควรออกเรือนไปโดยเร็วที่สุดน่าจะเป็นการดี”

เฮ่อหลันฉือกัดริมฝีปาก นิ่งเงียบไป

เฮ่อหลันจิ่นมองดูบุตรสาวที่ทำตัวแข็งข้อขึ้นทุกวันนับตั้งแต่กลับมาจากบ้านเกิดในชิงโจวแล้วทอดถอนใจในอกอย่างอ่อนใจ

เขาเล่าออกไปครึ่งหนึ่ง และเก็บซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง

ข้อที่ทำให้เขาไม่สบายใจจริงๆ ก็คือเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเกินไป คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปโฉมของเฮ่อหลันฉือที่เคยเล่าลือกันแค่ภายในกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด ครั้งนี้กลับแตกตื่นไปถึงวังหลวง

ถ้อยคำกึ่งสัพยอกขององค์ชายรองที่หน้าประตูวังยังคงทำให้เขาหวาดหวั่นจนถึงบัดนี้

‘ใต้เท้าเฮ่อหลัน ได้ยินว่าบุตรสาวท่านรูปโฉมงามล้ำเหนือผู้ใด แทบจะงามล่มเมืองก็ว่าได้ ไม่ทราบว่าจริงเท็จประการใดหรือ’

หลังจากวันนั้นเฮ่อหลันฉือก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก

หลังคาซ่อมแซมแล้ว แต่ฝนตกติดต่อกันหลายวันทำให้ภายในเรือนค่อนข้างชื้น ตำราโบราณจำนวนหนึ่งในชั้นหนังสือก็ได้รับความชื้นไปด้วย

เฮ่อหลันฉืออาศัยวันที่ฟ้าใสถกแขนเสื้อหยิบหนังสือออกมากางผึ่งแดดทีละเล่มๆ บนเสื่อป่านที่ลานบ้านพร้อมกับซวงจือ หนังสือจำนวนหนึ่งที่ขึ้นราหรือไม่ก็หน้ากระดาษเปราะบางเกินไปนางจำต้องนำมาคัดลอกใหม่อีกเล่มหนึ่ง

หลังจากออกกำลังทั้งแขนขาและต้นคอ เฮ่อหลันฉือก็กลับมาถึงห้อง เพิ่งจะยกพู่กันคัดอักษร พี่ชายนางก็ถลาเข้ามาอย่างว่องไวปานลม ใบหน้าเบ่งบานยิ้มแย้ม

“เสี่ยวฉือ เขียนเสร็จแล้วหรือยัง…ให้ข้าดูหน่อย แผ่นใดให้ข้า”

เฮ่อหลันฉือมิใช่แค่เขียนบทความแทนเฮ่อหลันเจี่ยนอย่างเดียว แต่ยังคัดอักษรแทนด้วย วันนั้นเฮ่อหลันเจี่ยนถึงได้ลนลานเพียงนั้น

เฮ่อหลันฉือเขียนแผ่นที่อยู่ในมือจนเสร็จแล้วจึงค่อยชี้ไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งแบบส่งๆ

เฮ่อหลันเจี่ยนประคองกระดาษขึ้นมาในอกราวกับได้รับของล้ำค่า “เสี่ยวฉือ เจ้าเขียนอักษรนี้งามมากจริงๆ”

เฮ่อหลันฉือตอบรับ “อืมๆ” อย่างขอไปที

ถ้าคราวก่อนเขาไม่ได้จำลายมือของหมี่ฝู กับจ้าวเมิ่งฝู่ ปะปนกัน นางคงจะเชื่อแล้วว่าเขาพูดจากใจจริง

แน่นอนว่าเรื่องที่เฮ่อหลันฉือไม่รู้ก็คือเนื่องจากสถานการณ์ในวันนั้นวุ่นวายโกลาหลมาก แผ่นอักษรที่นางเขียนต่อหน้าธารกำนัลแผ่นนั้นจึงถูกคนขโมยไป และขายต่อกันในราคาสูงอยู่ในตลาดมืดเวลานี้ แม้กระทั่ง ‘ลายมือของเฮ่อหลันเจี่ยน’ ก็ยังราคาพุ่งสูงตามไปด้วย

“ยังมีอะไรอีก”

“อ้อ!” เฮ่อหลันเจี่ยนเก็บแผ่นอักษรอย่างหน้าชื่นตาบานแล้วล้วงภาพเหมือนปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ วางลงตรงหน้าเฮ่อหลันฉือ “ท่านพ่อสั่งให้ข้าไปสำรวจดู นี่เป็นพวกคุณชายวัยเยาว์ที่อายุเหมาะสมแต่ยังไม่แต่งงาน ลองดูว่ามีที่เจ้าถูกใจหรือไม่”

เฮ่อหลันฉือเหลือบตาขึ้นมองเขา

“เหตุใดมองข้าเช่นนั้น! พี่ชายเจ้าต้องเสียเวลาตั้งนานนะ!”

คาดเดาว่าเดิมทีบิดานางเป็นคนต้องการดู แต่เฮ่อหลันเจี่ยนมีเรื่องให้นางช่วยเหลือจึงนำมาให้นางดูก่อน

เฮ่อหลันฉือไม่พูดอะไรอยู่นาน ก่อนจะหยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมาในที่สุด ใต้ภาพวาดนั้นยังเขียนชื่อแซ่ ฐานะครอบครัว ประวัติการศึกษา รวมถึงเรื่องซุบซิบนินทาที่ได้ยินได้ฟังมาจำนวนหนึ่ง จริงจังยิ่งกว่าตอนที่เขาร่ำเรียนหนังสือเสียอีก

“เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร”

ปกติแล้วบรรดาคุณหนูในห้องหอดูของพวกนี้แล้วมักจะเขินอายอย่างยิ่ง แต่กับเฮ่อหลันฉือมิใช่ นางเยือกเย็นราวกับเลือกผักกาดขาว คัดเลือกที่ไม่เหมาะสมทิ้งไปก่อน ส่วนที่ไม่มีปัญหาใหญ่ก็เก็บไว้

จนกระทั่ง…นามที่คุ้นเคยชื่อหนึ่งกระทบครรลองสายตา

เฮ่อหลันฉือชะงัก จากนั้นก็นำภาพวาดไปวางในกองคัดทิ้งโดยไม่ลังเล

เฮ่อหลันเจี่ยนหยิบภาพวาดที่ถูกนางทิ้งไปขึ้นมา “ไม่พิจารณาหน่อยเลยหรือ ข้าเห็นพวกเจ้าสองคนท่าทางมีลับลมคมใน ยังนึกว่าเจ้ามีอะไรบางอย่างกับ…เท่าที่ข้ารู้มา เขาได้รับความนิยมในหมู่สตรีเมืองหลวงไม่น้อยเลย ครั้งก่อนที่งานเลี้ยงอะไรสักงาน เจ้าไม่เห็นภาพตอนที่เขาเขียนบทกวีเสร็จ คุณหนูหลายคนแทบจะโผเข้าไปในอ้อมอกเขาเลยทีเดียว…” ความคิดอ่านของเฮ่อหลันเจี่ยนเรียบง่ายและหยาบกระด้างอย่างยิ่ง “ในเมื่อมีคนแย่งชิง แสดงว่าเป็นของดี เจ้าลองคิดดูอีกหน่อยเถิด”

“ไม่จำเป็น” เฮ่อหลันฉือตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า จากนั้นก็หันไปคัดคนออกอีกรอบหนึ่งแล้วจึงส่งคืนไปให้พี่ชาย

 

ตอนแรกที่เฮ่อหลันฉือกลับมาจากชิงโจว ยังไม่ทันถึงวัยปักปิ่นก็มีแม่สื่อแม่ชักมาทาบทามถึงที่อย่างท่วมท้นจนธรณีประตูจวนเฮ่อหลันแทบจะพัง แต่เมื่อบิดานางเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น รวมถึงชื่อเสียงด้านความงามของนางเป็นที่เลื่องลือมากขึ้นทุกที คนที่หาญกล้ามาสู่ขอถึงที่กลับลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ

แม้เฮ่อหลันฉือไม่อยากแต่งงาน แต่นางก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่านางจำเป็นต้องมีสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายสักคน เพื่อป้องกันข่าวลือเสียหายและเลี่ยงชะตากรรมเป็นดอกท้อเน่า

เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยสามีของนางควรเป็นคนที่นิสัยใจคอใช้ได้ เฉลียวฉลาดพอ ไม่อ่อนแอปวกเปียก และจะดีกว่านี้ถ้ามีความทะเยอทะยานบ้าง แน่นอนว่ายังมีความเห็นแก่ตัวของเฮ่อหลันฉือเองแทรกอยู่เล็กน้อย โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเมียบ่าวหรือสาวใช้ห้องข้างก่อนแต่งงาน อีกทั้งไม่ทำตัวเหลวไหลจนเกินไป

หลังจากส่งเฮ่อหลันเจี่ยนกลับไปแล้ว เฮ่อหลันฉือก็ฝึกคัดอักษรต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนจะหยิบตำราโบราณที่หน้ากระดาษงอและเหลืองมาเริ่มต้นคัดลอก

อย่างที่บอกกันว่าใจนิ่งพู่กันจึงตรง การคัดอักษรช่วยฝึกฝนจิตใจได้เสมอ

อันที่จริงตอนเด็กๆ เฮ่อหลันฉือไม่ค่อยมีความอดทนเท่าไรนัก แต่หลังจากที่นางล้มป่วยสามวันดีสี่วันไข้ครานั้น อยากจะขึ้นไปรื้อกระเบื้องบนหลังคา บ้างก็ไม่มีโอกาส เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการกินยาอยู่บนเตียง ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำนอกจากอ่านหนังสือเขียนอักษร นานวันเข้าจึงกลายเป็นความเคยชิน

ใจยิ่งปั่นป่วน ยิ่งต้องสงบใจ

เฮ่อหลันฉือตั้งอกตั้งใจคัดลอกไปได้ไม่ถึงครึ่งเล่มก็เผลอทำถุงผ้าใบเล็กหล่นลงพื้น นางนวดต้นคอและข้อมือเบาๆ ตั้งใจว่าจะเข้าไปงีบบนตั่งกุ้ยเฟย ในห้องเล็กด้านในสักครู่หนึ่ง

“…บิดาไปคราวนี้ไม่รู้เมื่อไรจึงได้กลับ พวกเจ้าพี่น้องอยู่ในเมืองหลวงดีๆ อย่าก่อเรื่องเป็นอันขาด หากมีปัญหาอันใดให้ไปหาลุงเขยของพวกเจ้า”

เป็นภาพเบื้องหลังของบิดานางที่ก้าวขึ้นรถม้าพร้อมกับสัมภาระติดตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อย้ายไปประจำการที่อี้โจว

 

คุณหนู! แย่แล้ว! เกิดเรื่องแล้ว! ทางอี้โจวเกิดคดีใหญ่! นายท่าน…นายท่านถูกยึดตำแหน่งและถูกจับเข้าคุกแล้ว!”

เสี่ยวฉือ จะทำอย่างไรดีเสี่ยวฉือ! ข้าไม่ได้ติดหนี้พวกนั้นจริงๆ นะ…”

น้ำเสียงเร่งร้อนและสับสน

 

“…ใช่ว่าตาแก่เช่นข้าไม่อยากช่วยหรอก แต่เจ้าไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ตนเองยังเอาไม่รอดแท้ๆ จะยื่นมือไปช่วยผู้อื่นได้อย่างไร”

หลานสาวคนดี เจ้ายังเยาว์วัยนัก ชีวิตขุนนางมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ผู้อาวุโสขอแนะนำเจ้าสักอย่าง จงหาทางออกทางอื่นเถิด”

ประตูแต่ละบานปิดลงตามๆ กัน

 

คุณหนูเฮ่อหลัน อย่าหาว่าข้าจะลดเกียรติเจ้า ใต้เท้าท่านนั้นถึงแม้อายุจะมากสักหน่อย แต่ก็หวังจะหาภรรยาคนที่สองต่อจากภรรยาที่ตายไปด้วยใจจริง เจ้าค่อยๆ คิดดูอีกทีเถิด”

คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าไม่อยากล้างมลทินให้บิดาเจ้าหรอกหรือ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ขอเพียงเจ้าติดตามใต้เท้าคนนั้น เขารับรองว่าวันหน้าจะฟื้นคดีให้บิดาเจ้าแน่…”

บัดนี้ใต้เท้าเฮ่อหลันก็เป็นเช่นนั้นไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่คิดถึงเขา จะไม่คิดถึงตนเองสักหน่อยหรือ หากถูกลากเข้าไปพัวพันจนตกไปอยู่ที่สำนักการสังคีต แล้วล่ะก็…”

ใบหน้าแต่ละดวงที่แฝงเจตนาไม่บริสุทธิ์ยื่นเข้ามา

 

เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เห็นแก่หน้าผู้มีพระคุณ ข้าก็ช่วยได้เท่านี้ เจ้ารีบไปเถิด”

หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเอาได้”

ยามค่ำคืนที่ดวงดาวและจันทราประดับฟ้า ล้อรถม้าหมุนกลิ้งไปตามทางไม่เห็นฝุ่น

 

“…รถม้าคันนั้นนั่นล่ะ! รีบตามไปเร็วเข้า!”

คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าไม่มีทางให้หนีแล้ว ยังคิดจะไปที่ใดอีก!”

ตามพวกข้าไปแต่โดยดีเสียเถิด จะดึงดันหลังพิงกำแพงไปเพื่ออันใด”

ราตรีนั้นช่างอ้างว้าง นางนั่งก้นกระแทกเตียง กำปิ่นปักผมโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าซีดขาว เหงื่อแตกพลั่ก ลมหายใจสับสน

เสียงรองเท้าของอีกฝ่ายดังขึ้น ก้าวเข้ามาใกล้ม่านเตียงทีละก้าว ยื่นนิ้วเลิกม่านอย่างเชื่องช้า แววตาวาววามราวกับกำลังชื่นชมเหยื่อของตนเอง แค่นหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

เฮ่อหลันฉือ ถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าจะมีทางให้ต่อต้านอีกหรือ”

 

เฮ่อหลันฉือสะดุ้งตื่นฉับพลัน นางผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ขยุ้มผ้าห่มพลางหอบหายใจไม่หยุด เหงื่อเย็นไหลเข้าไปในคอเสื้อ ข้อนิ้วที่เกาะขอบเตียงจิกเกร็งจนเป็นสีขาว

“คุณหนู ตื่นเสียที!” ซวงจือที่เฝ้านางอยู่พูดอย่างร้อนใจ

ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างลายฉลุแบบโบราณมืดลงแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ที่ยังทอรัศมีเรืองๆ ฉาบเป็นชั้นบางภายในห้องที่เย็นเฉียบราวกับน้ำ นางมองอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยตระหนักได้ว่านั่นเป็นแค่ฝัน

เฮ่อหลันฉือถามเสียงสั่นเครือ “…ข้าหลับไปนานเท่าไร”

“สองชั่วยามเจ้าค่ะ” คราวนี้ซวงจือก็รับรู้ถึงความผิดปกตินั้น “คุณหนูฝันร้ายหรือ ดื่มน้ำระงับอารมณ์หน่อยดีหรือไม่เจ้าค่ะ”

ระหว่างที่พูดนางก็รีบเดินไปยังห้องด้านนอกแล้วรินน้ำชาอุ่นมาให้

เฮ่อหลันฉือรับมา ยังไม่ทันดื่มได้สักเท่าไรก็สำลัก ไอค่อกแค่กออกมาติดๆ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะดีขึ้น

ซวงจือช่วยลูบหลังให้นาง “คุณหนู คุณหนูช้าๆ เจ้าค่ะ…”

โชคร้ายจริงๆ ขนาดดื่มน้ำก็ยังสำลัก

เฮ่อหลันฉือนวดหัวคิ้ว รู้สึกเวียนศีรษะเหมือนศีรษะจะแตก นางอยากจะทุบกระหม่อมแรงๆ สักสองที

ภายในสองชั่วยามเมื่อครู่นี้นางฝันอย่างยาวนาน

ในฝันบิดานางถูกส่งไปเป็นข้าหลวงใหญ่ที่อี้โจว ระหว่างดำรงตำแหน่งถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยไม่ทราบที่มาที่ไป บิดานางประวัติขาวสะอาด ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หากเป็นยามปกติย่อมไม่มีปัญหา ทว่าในฝันสถานการณ์กลับพลิกผัน บิดานางถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุก ก่อนถูกคุมตัวส่งกลับเมืองหลวง

ทิศทางลมภายในราชสำนักก็เปลี่ยนไป ฝ่ายองค์ชายใหญ่กับฝ่ายองค์ชายรองกลายเป็นน้ำกับไฟ ทั้งยังถูกตรวจสอบครั้งใหญ่จากกรมปกครองที่จะมีขึ้นหกปีครั้ง แต่ละคนในเมืองหลวงต่างต้องหาทางปกป้องตนเอง

ส่วนพี่ชายนางเฮ่อหลันเจี่ยนก็ไปติดหนี้ก้อนใหญ่เข้าเพราะเหตุอันใดไม่ทราบได้

สถานการณ์ในจวนเฮ่อหลันปั่นป่วนในชั่วข้ามคืน

แล้วตัวนางในฝันนั้นก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้ จึงไปขอไหว้วานลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ ของบิดาให้ช่วยหาทางหนี จากนั้นก็เก็บข้าวของเดินทางออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิดในช่วงกลางคืน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตงฉ่าง ขวางไว้ระหว่างทางและขังนางอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในชานเมือง

ตกกลางคืนมีใครคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน

หลังจากนั้นก็เป็นฉากสุดท้ายที่เห็น แต่น่าเจ็บใจนักที่นางดันตื่นขึ้นมาจังหวะนี้พอดี! ยังไม่ทันเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจนด้วยซ้ำ จำได้แต่เสียงเหมือนกับอสรพิษขู่ฟ่อที่พูดประโยคสุดท้ายนั้น

ความฝันนี้สมจริงอย่างยิ่ง ทุกรายละเอียดยังคงแจ่มชัดอยู่ในสมอง รวมไปถึงความรู้สึกตอนที่นางส่งบิดาออกจากเมือง ตอนที่นางได้รับข่าวว่าบิดาถูกปลดจากตำแหน่งและติดคุก และตอนที่ได้เผชิญกับความเปลี่ยนผันของผู้คนและสังคมแวดล้อมภายในบ้านที่เปล่าเปลี่ยว ยังมีตอนที่แม่สื่อใช้เรื่องของบิดานางมาบีบคั้นข่มขู่อย่างเปิดเผย ให้นางไปเป็นภรรยาคนที่สองหรืออนุภรรยาของชนชั้นสูงเพื่อช่วยบิดา ในฝันแม้แต่สีหน้าไม่ประสงค์ดีบนใบหน้าของหญิงมีอายุคนนั้นนางยังมองเห็นชัดเต็มตา แต่ละสิ่งแต่ละอย่างเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ

และตอนสุดท้ายที่นางเร่งเดินทางยามค่ำคืนแต่ถูกจับและกักตัวไว้ ความรู้สึกอันรุนแรงที่ได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นกระทำตามใจชอบ ประหนึ่ง ‘คนอื่นคือมีด เราคือปลาบนเขียง’ เช่นนั้นทำให้นางหนาวสะท้านไปถึงกระดูก

เมื่อสติสัมปชัญญะชัดเจนขึ้น ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงฝันก็เริ่มเลือนรางไป

เฮ่อหลันฉือไม่สนใจอาการปวดศีรษะ ลงจากเตียงแล้วไปคว้าพู่กันจดบันทึกรายละเอียดที่ยังพอจำได้

“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่…”

เฮ่อหลันฉือวางพู่กันเมื่อเขียนเสร็จ นางระบายลมหายใจแล้วกล่าวกับซวงจือว่า “ไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง” นางนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสั่ง “ซวงจือ เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่คนเดียวสักครู่”

นางใคร่ครวญถึงความฝันนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนท้าย

แม้ว่าความฝันโดยมากจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่หากมันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริงสักหนึ่งในหมื่นส่วนเล่า ยิ่งไปกว่านั้นความฝันของนางยังละเอียดถึงเพียงนี้

หลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมานางก็ตัดสินใจว่าวันรุ่งขึ้นจะออกไปดูที่นอกเมืองเสียหน่อย

เฮ่อหลันฉือจำได้ว่าบ้านที่ขังนางหลังนั้นมีป่าท้ออยู่ด้านนอก บนป้ายหน้าประตูเขียนไว้ว่า ‘สวนจั้ง’ ทั้งยังแปะบทกลอนเหนือประตูแผ่นหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเลียนแบบอักษรของหวังไคว่จี แต่ในฝันนั้นนางเพียงแค่ชำเลืองมอง นึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว

 

ทว่าเช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่เฮ่อหลันฉือจะออกจากจวนซวงจือก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

“คุณหนู! คุณหนู! ข้างนอก…ข้างนอกมีคนจากในวังมา แจ้งว่าให้คุณหนูเข้าวังเจ้าค่ะ”

เฮ่อหลันฉือนั่งบนเกี้ยวที่เดินทางเข้าวังด้วยความรู้สึกฉงน

แม้บิดานางจะเป็นขุนนางขั้นสองระดับเอก มีสิทธิ์พาสตรีในครอบครัวไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ แต่เฮ่อหลันฉือไม่เคยไปเลยสักครั้งเดียว อีกอย่างนางก็มิใช่สตรีมีบรรดาศักดิ์ ไม่มีญาติอยู่ในตำหนักใน จู่ๆ ถูกเรียกเข้าเฝ้าก็ออกจะน่าแปลกอย่างยิ่ง

ขันทีด้านนอกเกี้ยวพูดเสียงเล็ก “คุณหนูเฮ่อหลันไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องมงคล”

เฮ่อหลันฉือฝืนหัวเราะ ไม่ตอบอะไร

เป็นเพราะความฝันเมื่อคืนนี้ นางจึงรู้สึกสังหรณ์ใจราวกับพายุใหญ่กำลังจะมาเยือน

 

เมื่อเกี้ยวเคลื่อนมาถึงหน้าวังหลวงก็จำต้องเปลี่ยนเป็นลงเดิน

ดวงตะวันโผล่ขึ้นทางบูรพาทิศ แสงอรุโณทัยส่องสว่าง ฟ้ายังไม่เปิดเต็มที่ ทางเข้าวังก็จุดโคมไฟสว่างไสวอยู่แล้ว

โคมสีแดงแขวนอยู่บนหอประตูเมือง มองเห็นโคมไฟที่ส่ายไหวได้ทุกหนแห่งตามเส้นทาง เสียงขึ้นลงรถม้าและเกี้ยวดังไม่หยุดหย่อน ความชื้นจากน้ำค้างยามเช้าในอากาศดูเหมือนว่าจะยังไม่สลายไป

เฮ่อหลันฉือลงจากเกี้ยว แลเห็นบัณฑิตกลุ่มใหญ่สวมชุดสำหรับจิ้นซื่อยืนออกันอยู่หน้าประตูวัง พวกเขาสวมหมวกแพรโปร่ง* ประดับด้วยดอกผ้าสักหลาดและใบเขียว มีปีกหมวกยื่นออกไปสองข้างผูกแถบผ้าปลิวไสว แขนยาวของเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มพลิ้วไปตามลม แต่ละคนสวมชุดสำหรับจิ้นซื่อก่อนเข้ารับตำแหน่ง ดุจต้นหยกสง่างามกลางสายลม

นางเพิ่งนึกได้ว่าการสอบหน้าพระที่นั่งจบลงไปแล้ว วันนี้เหมือนจะเป็นพิธีประกาศรายชื่อหน้าพระที่นั่ง ดังนั้นบิดานางจึงเข้าวังมาตั้งแต่เช้ามืด

เฮ่อหลันฉือเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดนั้นก็คล้ายจะสังเกตเห็นได้ เขาเงยหน้าขึ้นมา สบประสานสายตากันพอดิบพอดี

เมื่อก่อนยามเฮ่อหลันฉือเจอเขามักจะรู้สึกรำคาญใจเสมอ แต่คราวนี้ได้เห็นหน้าคนคุ้นเคยกัน นางกลับบังเกิดความรู้สึกสนิทชิดเชื้อขึ้นมาหลายส่วน เหมือนฝ่าเท้าที่เหยียบบนความว่างเปล่าไปครึ่งเท้าได้กลับมายืนบนพื้นมั่นคงในที่สุด…อีกอย่างในฝันนั้นลู่อู๋โยวก็ไม่ได้มาซ้ำเติมนางด้วย

คิดๆ ไปเฮ่อหลันฉือก็แย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

รอยยิ้มนี้ช่างเหมือนดั่งสายลมยามวสันต์ที่อุ่นขึ้น น้ำแข็งหิมะละลาย ม่านหมอกสลัวราง แสงโคมที่ส่องสว่างในยามอรุณรุ่งสะท้อนอยู่ในดวงตากระจ่างใสของนาง ช่างงดงามพร่างพราวดั่งหมอกเมฆ เป็นเอกเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง

หมู่บัณฑิตต่างตะลึงงัน จนกระทั่งเฮ่อหลันฉือเดินจากไป

แทบจะในเวลาเดียวกับที่พวกเขาได้สติ สายตาร้อนแรงหลายสิบคู่ที่เพิ่งจับบนตัวเฮ่อหลันฉือเมื่อครู่ก็หันกลับมาที่ลู่อู๋โยวโดยพลัน

ลู่อู๋โยว “…”

“เมื่อครู่นี้คุณหนูเฮ่อหลันยิ้มให้พี่จี้อันใช่หรือไม่”

“ทั้งยังยิ้มเช่นนั้นด้วย…”

ใครบางคนพูดอย่างอิจฉาทันที “ไม่นึกเลยว่าลู่ฮุ่ยหยวนจะโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงเช่นนี้ ขนาดคุณหนูเฮ่อหลันก็ยังหวั่นไหวกับเจ้า…”

“จี้อัน เจ้าคงไม่ได้มีบางอย่างกับคุณหนูเฮ่อหลันจริงๆ กระมัง…”

“ตั้งแต่เมื่อไร! หรือว่าเจ้าปิดบังพวกข้า?”

แม้แต่หลินจางก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสัยและเต็มไปด้วยคำถาม

ลู่อู๋โยวมองดูแผ่นหลังเย็นชาไร้เยื่อใยของดรุณีที่ส่งยิ้มแล้วจากไป รู้สึกโมโหจนเกือบจะหัวเราะ

เขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีบางอย่าง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันใด แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็คลายออก ใบหน้าเผยความสงสัยอย่างเหมาะสม พูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อและเคร่งขรึม

“ทุกท่านล้อเล่นแล้ว ข้ากับคุณหนูเฮ่อหลันเคยพูดจากันแค่ไม่กี่ประโยค เรื่องนี้เหลวไหลไม่มีมูลความจริง นางอาจจะ…” เขาพูดขึงขังขึ้น “แค่อยากแสดงมิตรไมตรีก็เป็นได้”

ทุกคน “…”

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเฮ่อหลันฉือเดินตามนางกำนัลเข้าไปถึงเขตพระราชฐานชั้นใน ท้องฟ้าสว่างขึ้นทีละน้อย แสงอรุณแผ่รัศมีปกคลุมทั่วบริเวณ นางมองดูตำหนักอันหรูหราโอ่อ่า รวมถึงสวนดอกไม้นานาพรรณที่สวยสดงดงามตรงหน้า ในที่สุดก็พอคาดการณ์ได้

ลี่กุ้ยเฟยโปรดปรานดอกโบตั๋น ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้สร้างสวนโบตั๋นให้นางเป็นพิเศษ ปลูกไว้หลายพันต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพันธุ์ดีมีราคาสูง

เฮ่อหลันฉือกวาดตามองไป จดจำได้หลายพันธุ์ทั้งเหยาหวง เว่ยจื่อ เอ้อร์เฉียว โม่ขุย ขึ้นเรียงรายอยู่เป็นหมู่ เมื่อมองดูทั่วทั้งสวนแล้ว ดอกไม้กลับไม่เหมือนดอกไม้ แต่เหมือนภูเขาเงินภูเขาทองที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ นางรู้สึกปวดใจที่ไม่มีวาสนาได้ครอบครอง

นางกำลังชมดอกไม้

คนรอบข้างก็กำลังชมนาง

เมื่อเข้าวังย่อมไม่สามารถใส่หมวกม่าน หญิงงามเดินผ่านดงผกาพรรณ ชุดขาวปานหิมะ ตัวคนผุดผาดยิ่งกว่าบุปผา ดอกโบตั๋นสีสันสดใสนับพันกลายเป็นฉากเบื้องหลังหนุนให้นางโดดเด่น

นางกำนัลที่เดินผ่านมาแม้ไม่กล้ามองนางอย่างเปิดเผย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองพิจารณาขณะเฉียดใกล้

“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย! มัวแต่มองไปที่ใด!”

“ขออภัยเจ้าค่ะ! ขออภัยเจ้าค่ะ…”

“โอ๊ย! ชนอีกแล้ว!”

“ถ้ามองอีกจะไปฟ้องเบื้องบน ให้ควักลูกตาพวกเจ้าให้หมดเลย!”

เฮ่อหลันฉือ “…”

นางรออยู่ใต้ชายคาของตำหนักอวี้เต๋ออยู่สักพักก็ถูกพาเข้าไปข้างใน โดยไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาสีเทาเข้มคู่หนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เลย

ภายในตำหนักเป็นห้องโถงใหญ่โอ่อ่างดงาม ข้าวของเครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนล้ำค่าไม่ธรรมดา สะท้อนประกายสีทองระยับ ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักด้านบนคือสตรีโฉมสะคราญซึ่งกำลังกินน้ำแกงหวาน ผมงามวิไลเสริมใบหน้างามวิลาส ปิ่นมุกประดับโดยรอบ ไข่มุกตะวันออกขาวกระจ่างไร้ตำหนิเม็ดใหญ่ห้อยอยู่กลางหน้าผาก แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างวิจิตรงดงามยิ่ง ดูอายุแล้วไม่น่าเกินสามสิบปี ลักษณะท่าทางกำลังอยู่ในช่วงพราวเสน่ห์ เป็นไปได้มากว่านางคือลี่กุ้ยเฟยผู้ซึ่งได้รับความโปรดปรานสูงสุดเหนือทั้งหกตำหนัก*

เฮ่อหลันฉือแสดงคารวะอย่างสุภาพนุ่มนวล

ลี่กุ้ยเฟยวางชามในมือไว้ข้างๆ แล้วหันไปดูนาง

ครั้นเห็นดวงหน้าของเฮ่อหลันฉือนางก็ตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงยิ้มแย้มกล่าวว่า “เป็นเด็กสาวที่งามจริงๆ ก่อนนี้ข้าได้ยินพวกนางพูดกันว่าบุตรีสกุลเฮ่อหลันรูปโฉมงามล่มเมืองได้ ยังนึกว่าเหลวไหล วันนี้ได้เห็นแล้วไม่เกินจริงแม้แต่น้อย”

เฮ่อหลันฉือไม่ทราบเจตนาของอีกฝ่าย จึงได้แต่ตอบรับไปอย่างจำใจ “พระชายาตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ”

“เจ้าเข้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้าขอดูให้ชัด”

กลิ่นหอมเข้มข้นภายในตำหนักทำให้เฮ่อหลันฉือรู้สึกอยากยกเท้าวิ่งหนีอย่างยิ่ง แต่นางต้องอดกลั้นไว้ อีกฝ่ายเบิกตากว้าง มองนางราวกับกำลังพิจารณาสิ่งของอันใดสักชิ้น

ลี่กุ้ยเฟยแม้อายุไม่เยาว์แล้ว แต่กิริยาท่าทางยังคงแฝงความนุ่มนวลไร้เดียงสา นางถึงกับยื่นนิ้วเรียวที่เคลือบด้วยน้ำมันทาเล็บมาไล้ข้างแก้มของเฮ่อหลันฉือแผ่วเบา คล้ายต้องการพิสูจน์ว่าใบหน้านี้เป็นของจริงหรือไม่

สัมผัสเย็นเยียบซึมซ่านจากพวงแก้มลงไปในชั้นผิว เฮ่อหลันฉือตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

จังหวะนั้นเองมีเสียงบุรุษดังขึ้นหน้าตำหนัก ในน้ำเสียงคล้ายกำลังแย้มยิ้ม น่าเสียดายที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นแม้แต่เศษเสี้ยว

“คารวะท่านแม่”

เมื่อเสียงนั้นกระทบโสตประสาทของเฮ่อหลันฉือ สมองนางพลันอื้ออึง ตัวแข็งทื่อขึ้นทันใด หนังศีรษะชาวาบ เริ่มรู้สึกฝาดที่โคนลิ้น

“ลูกมาไม่ถูกเวลากระมัง”

หลังจากเสียงรองเท้าย่างสองก้าวที่ดังฟังชัด เจ้าของเสียงก็คล้ายจะเข้ามาในตำหนักแล้ว เสียงฝีเท้าคืบเข้ามาใกล้ทีละน้อย น้ำเสียงผู้มาเยือนยังคงราบเรียบ แต่แฝงการเย้าแหย่เยียบเย็นที่อธิบายไม่ถูก

เสียงนี้เหมือนกับเสียงที่ข่มขวัญนางในฝันไม่ผิดเพี้ยน!

เฮ่อหลันฉือหดปลายนิ้วเข้ามาในฝ่ามืออย่างรวดเร็ว เม้มริมฝีปากแน่น อาศัยความเจ็บปวดบังคับให้ตนเองใจเย็นไว้ แต่ในหัวยังคงมีเสียงเตือนภัยดังสนั่น ราวกับชั่วพริบตานั้นนางย้อนกลับไปในความฝัน สถานที่ตรงหน้ามิใช่ตำหนักในวังหลวงอันโอ่อ่าอีกต่อไป แต่เป็นบนเตียงนอนที่ไร้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยและอาจถูกจับตัวได้ทุกเมื่อ

ลี่กุ้ยเฟยไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด นางโบกมือไปยังผู้มาเยือน เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ไม่ถูกเวลาที่ใดกัน เจ้ามาได้จังหวะเลยต่างหาก มานี่เร็วเข้า นี่คือบุตรสาวของใต้เท้าเฮ่อหลันข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย”

“…ที่แท้ก็เป็นคุณหนูเฮ่อหลันนี่เอง”

คราวนี้เสียงนั้นดังใกล้จนเหมือนกระซิบข้างหู

อาการสั่นสะท้านจนขนลุกขนพองโจมตีขึ้นมาวูบหนึ่ง เสื้อด้านหลังของเฮ่อหลันฉือชื้นไปด้วยเหงื่อเย็นในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ

นางก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันคารวะองค์ชายรองเพคะ”

เฮ่อหลันฉือไม่จำเป็นต้องยืนยันให้แน่ใจด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง จังหวะจะโคน ลมหายใจ หรือเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนขนลุกขนชันนั้นล้วนเหมือนกับคนในความฝันทุกประการ…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่ต้องการจับตัวนางผู้นั้นก็คือองค์ชายรองนี่เอง

นางไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับองค์ชายรองมาก่อน ย่อมไม่มีทางที่จู่ๆ จะฝันเห็นเขาขึ้นมาได้

ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า…สิ่งที่นางฝันเห็นอาจมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ

เฮ่อหลันฉือคิดต่อไปอีกขั้นหนึ่งว่าที่บิดานางถูกปลดจากตำแหน่งและติดคุกในความฝันนั้น ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับองค์ชายรองด้วยก็เป็นได้

เพราะบิดานางก็ไม่เคยชมชอบองค์ชายผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร ซ้ำยังเคยถวายฎีกาโน้มน้าวฮ่องเต้ให้ส่งองค์ชายรองไปครองที่ดินศักดินาของตน อยู่ให้ไกลจากเมืองหลวง แต่ถูกฮ่องเต้ระงับไว้ทุกครั้ง

องค์ชายรองเดินผ่านข้างกายนางไปอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ดังสลับไปมา แขนเสื้อกว้างสะบัดตามจังหวะเดิน อำพรางนิ้วมือที่ยื่นลงมาด้านล่าง

ฉับพลันนั้นเฮ่อหลันฉือรู้สึกได้ว่ามีนิ้วอันเย็นเฉียบลากผ่านใจกลางข้อมือนาง

นางสะดุ้งเฮือก แทบจะชักมือกลับมาทันทีทันใด

เขาทำอะไร

หากไม่มีความฝันเมื่อคืนนี้ เฮ่อหลันฉือคงจะคิดว่าเขาแค่บังเอิญมาโดนนางโดยไม่เจตนา แต่ครั้นเกิดความระแวงขึ้นมาแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะจงใจเข้ามาหยอกเย้านางจริงๆ

เฮ่อหลันฉือไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอนาง

แม้แต่การเรียกเข้าเฝ้าที่แสนประหลาดคราวนี้ก็…

องค์ชายรองเดินไปถึงเบื้องหน้าลี่กุ้ยเฟยแล้วเบี่ยงตัวกลับมามองเฮ่อหลันฉือ

เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราเช่นเดียวกัน ห่อตัวด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีดำสนิทในเดือนสามที่อากาศเย็นเล็กน้อย บริเวณคอเสื้อเผยให้เห็นสร้อยลูกปัดสีทองอ่อนรำไร มีโซ่เงินคล้องจี้หยกห้อยยาวลงมา บนเกี้ยวผมปิดทองฝังอัญมณีล้ำค่ากระจัดกระจายมากกว่าสิบเม็ด ข่มให้ใบหน้าซึ่งคล้ายคลึงกับมารดาของเขาดูซีดเซียว

หากว่ากันตามตรงแล้ว รูปลักษณ์ขององค์ชายรองผู้นี้จัดว่าไม่เลวเลย เรียกได้ว่ารูปหงส์ทรงมังกร หล่อเหลาไม่มีผู้ใดเทียบเทียม

น่าเสียดายที่ยามนี้เฮ่อหลันฉือเห็นเขาแล้วกลับรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง

เมื่อถูกดวงตาสีเทาเข้มคู่นั้นจับจ้อง เสมือนเหยื่อที่ถูกสิ่งมีชีวิตอำมหิตและอันตรายจ้องมอง นางเสียวสันหลังเป็นระยะ รวบกระโปรงของตนเองเข้าหากันอย่างไม่กระโตกกระตาก

เหยาเชียนเสวี่ยเคยวิจารณ์องค์ชายรองผู้นี้ว่าเป็นคนนิสัยก้าวร้าวดื้อรั้น อารมณ์แปรปรวน เอาใจยากเย็น เคยทำให้สตรีสูงศักดิ์หลายคนที่หวังจะประจบเขาต้องผวาหนีหายไปตามๆ กัน ซึ่งนั่นอาจเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดที่น่ากระอักกระอ่วนใจของเขาก็เป็นได้

ลี่กุ้ยเฟยไม่ได้เป็นนางในที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างถูกต้อง แรกเริ่มเดิมทีนางเป็นบุตรีของขุนนางที่ทำความผิด ตอนที่ถูกลงโทษไปเป็นแรงงานหญิงที่วัดชิงเฉวียน บังเอิญฮ่องเต้ไปต้องใจนางเข้า แต่ยามนั้นพระองค์ยังไม่สืบทอดราชบัลลังก์ จะทำการใดต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว ด้วยเกรงว่าอาจเกิดเรื่องผิดพลาดไป ดังนั้นพวกเขาแม่ลูกจึงต้องอาศัยอยู่ที่วัดชิงเฉวียนต่อไปจนกว่าราชบัลลังก์จะมั่นคง เมื่อองค์ชายรองอายุได้ห้าหกปีแล้วถึงค่อยถูกรับตัวเข้าวัง และได้รับราชทินนามอย่างเป็นทางการ

ราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อยู่ไม่ขาด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ สุดท้ายจึงจำต้องยอมให้องค์ชายรองกลับเข้ามาสู่ราชสกุลโดยไม่เต็มใจนัก

ฮ่องเต้รู้สึกผิดในใจจึงพยายามชดเชยสองแม่ลูกเท่าที่ทำได้ แต่ถึงกระนั้นเฮ่อหลันฉือยังเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างในช่วงที่พวกเขาอยู่ที่วัดชิงเฉวียนมาบ้าง สตรีมีบุตรโดยที่ยังไม่แต่งงาน ทั้งยังอาศัยอยู่ในวัด ลี่กุ้ยเฟยรูปโฉมงดงามปานบุปผาจันทราเช่นนั้นจะถูกกล่าวถึงอย่างไม่น่าฟังเช่นไรก็พอจะนึกออก ส่วนองค์ชายรองเองก็ถูกนินทาว่าร้ายและข่มเหงรังแกมาไม่น้อยเช่นกัน

เวลานั้นเฮ่อหลันฉือยังเคยเกิดความเห็นใจพวกเขาอยู่บ้าง แต่ยามนี้นางกลับสงสารตนเองมากกว่า เพราะภายหลังองค์ชายรองที่เจ้าคิดเจ้าแค้นก็จัดการวัดชิงเฉวียนทั้งวัดจนอยู่ไม่ได้

ระหว่างที่ความคิดของนางกำลังแล่น ลี่กุ้ยเฟยก็ดึงแขนเสื้อขององค์ชายรอง ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “สวินเอ๋อร์ พวกเขาไม่ได้หลอกข้า เจ้าลองมาดูเองเถิด คุณหนูเฮ่อหลันรูปโฉมงดงามเหมือนกับที่เล่าลือกันใช่หรือไม่”

เฮ่อหลันฉือแม้จะก้มหน้าอยู่ แต่นางกำนัลด้านข้างที่รู้ความเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนกับว่าหากนางไม่เงยหน้าก็จะลงมือบีบคางนางขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

นางไม่มีทางเลือกอื่น จำต้องเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เฮ่อหลันฉือจะวาดหวังสุดใจให้ตนเองไม่มีหน้าตาที่ล่อปัญหายุ่งยากมาให้เหมือนเช่นในตอนนี้

บริเวณโดยรอบเงียบกริบไปครู่หนึ่ง

องค์ชายรองก้มมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าและเรียบเย็น “งดงาม…มากจริงๆ”

ดวงตาสีเทาเข้มค่อยๆ เลื่อนจากดวงหน้านางลงไปยังช่วงลำตัว ทุกหนแห่งที่จับจ้องแฝงด้วยเจตนาคุกคามที่แผ่รัศมีเย็นเยียบ มือของเฮ่อหลันฉือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นอย่างอดไม่อยู่ พยายามสะกดความรู้สึกอึดอัดเอาไว้

องค์ชายรองยังก้าวมาหานางด้วย รอบด้านมีแต่คนของลี่กุ้ยเฟย เขาจึงไม่ปิดบังแววโหดเหี้ยมในดวงตาตนเองแม้แต่น้อย

“นึกไม่ถึงว่าคนคร่ำครึอย่างใต้เท้าเฮ่อหลันจะมีบุตรสาวหน้าตาเช่นนี้”

ลี่กุ้ยเฟยมองนางเฉกเช่นสิ่งของ องค์ชายรองก็มองนางเฉกเช่นสิ่งของ แต่จุดที่ต่างกันคือลี่กุ้ยเฟยมองอย่างชื่นชมโดยไม่มีอื่นใดเจือปน แต่องค์ชายรองคล้ายกำลังมองของเล่นที่สามารถแกล้งเย้าแหย่ได้

เฮ่อหลันฉือรู้สึกพะอืดพะอมเล็กน้อย จึงก้มหน้าต่ำลงอย่างคุมไม่อยู่

ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาเชยคางของนางอย่างคะนอง นิ้วหัวแม่มือเย็นๆ ลากผ่านสันกรามของนางแผ่วเบาด้วยกิริยายั่วเย้าเกินบรรยาย

เฮ่อหลันฉือผงะถอยหลังหลบมือข้างนั้นทันที

องค์ชายรองมองมือของตนที่ค้างอยู่กลางอากาศ หัวเราะเบาๆ “ข้าล่วงเกินแล้ว” ทว่าน้ำเสียงกลับไม่มีแววรู้สึกผิด ทั้งยังบี้นิ้วมือที่แตะต้องนางเมื่อครู่นี้เบาๆ ราวกับจะรำลึกถึงสัมผัสที่ผ่านมา

เฮ่อหลันฉือขนลุกซู่อีกครั้ง

ลี่กุ้ยเฟยยังไม่สังเกตเห็นว่ามีที่ใดผิดแปลกไปตามเคย นางหัวเราะอย่างไร้เดียงสา “เมื่อครู่ข้าก็ยื่นมือไปลูบไล้ดูว่าใบหน้านี้เป็นของจริงหรือไม่ สวินเอ๋อร์ สมแล้วที่เจ้าเป็นลูกของข้า คิดเหมือนกับข้าไม่มีผิด” นางเท้าคาง ขนตาพลิ้วไหว “น่าเสียดายนัก สวินเอ๋อร์เจ้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ไม่อย่างนั้นก็อยากให้คุณหนูเฮ่อหลันมาเป็นสะใภ้ข้าจริงเชียว จริงสิ คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าหมั้นหมายผู้ใดไว้หรือยัง”

น่าเสียดายอะไร โชคดีสิไม่ว่า

เฮ่อหลันฉือทำใจแข็งตอบไปว่า “ยังไม่ได้หมั้นหมายเพคะ แต่ว่า…บิดาหม่อมฉันน่าจะปรึกษาหารือไว้แล้ว เพียงแต่เป็นขุนนางบ้านใด หม่อมฉันไม่ทราบ”

ลี่กุ้ยเฟยพูดไปไกล “ถ้ายังไม่ตกลงปลงใจล่ะก็ ข้ามีหลานชายที่รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหลายคน…”

พออีกฝ่ายพูดขึ้นมา เฮ่อหลันฉือก็รู้ทันทีว่าหมายถึงบรรดาบุตรชายเสเพลของผิงเจียงป๋อพี่ชายของลี่กุ้ยเฟยซึ่งเป็นพวกนอกลู่นอกทางไม่ต่างกัน ตั้งแต่ลี่กุ้ยเฟยกลายเป็นที่โปรดปราน ทั้งไก่ทั้งสุนัขในบ้านต่างก็ได้เชิดหน้าชูคอไปด้วย พี่ชายแท้ๆ ของนางที่เดิมไม่ต่างอะไรกับอันธพาลท้องถิ่นได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ วางท่าเหิมเกริมไปทั่วเมืองหลวง ส่วนบุตรชายสองสามคนของเขานั้นก็ล้วนเชื้อไม่ทิ้งแถว

“ขอบพระทัยพระชายาที่หวังดี แต่ว่า…”

เฮ่อหลันฉือเงียบนิ่งไป ไม่รู้ว่าตนเองไปล่วงเกินกุ้ยเฟยที่ใดเข้ากันแน่ อีกฝ่ายถึงได้พยายามจะผลักนางลงสู่ขุมนรกเช่นนี้

โชคดีที่มีเสียงสตรีใสกระจ่างเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์อย่างประจวบเหมาะ

“ท่านแม่ อีกประเดี๋ยวจะมีขบวนแซ่ซ้องขุนนางใหม่แล้ว ท่านพาข้าไปชมได้หรือไม่เจ้าคะ”

ดรุณีวัยสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยเครื่องแต่งกายครบชุด สวมเสื้อนอกตัวสั้นและกระโปรงสีเขียวขี้ม้าปักดิ้นทองลายผีเสื้อ ศีรษะปักปิ่นทองเสริมลวดดัดทรงหางหงส์ห้าเส้นอันหนึ่ง และปิ่นระย้าซึ่งมีทองคำเป็นฐานประดับด้วยมรกตและหยกอันหนึ่ง พู่ทองและเงินห้อยอยู่บนเรือนผม พวงพู่แกว่งไกวไปมาทั่วศีรษะ กำไลหยกน้ำงามสีเขียวมรกตคู่หนึ่งบนข้อมือส่งเสียงกระทบตามจังหวะ นางเยื้องกรายเข้ามาจากหน้าห้องโถง ตามมาด้วยนางกำนัลราวยี่สิบคน ดวงหน้าเล็กที่จิ้มลิ้มพริ้มเพราของนางฉายความปรารถนาอย่างควบคุมไม่ได้ คล้ายดั่งผีเสื้อตัวน้อย

ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน แค่ดูการแต่งองค์ทรงเครื่องอันหรูหราเช่นนี้ก็ทราบได้ว่าดรุณีผู้นี้คือบุตรีคนเดียวของลี่กุ้ยเฟย…องค์หญิงเสาอัน

องค์หญิงเสาอันแทบจะถลาเข้าไปในอ้อมกอดของลี่กุ้ยเฟย

เฮ่อหลันฉือระบายลมหายใจ รีบหลบไปด้านข้าง

ไม่ผิดจากที่คาด ครั้นลี่กุ้ยเฟยเห็นบุตรสาวสุดที่รักก็ลืมเฮ่อหลันฉือไปในพริบตา

สองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างสนิทสนม

เฮ่อหลันฉือขยับไปด้านข้างอย่างไร้สุ้มเสียง หวังจะลอบหลบออกไปเงียบๆ

“…คุณหนูเฮ่อหลันจะไปที่ใดหรือ”

อยู่ดีๆ เสียงขององค์ชายรองก็ดังขึ้นข้างหูนาง เฮ่อหลันฉือตัวเกร็งทันใด

องค์หญิงเสาอันคล้ายเพิ่งจะสังเกตเห็นเฮ่อหลันฉือตอนนี้ นางหันมาชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วก็ตกตะลึงไป จากนั้นวี่แววของความไม่พอใจก็ฉายบนใบหน้า ทว่าเพียงไม่นานก็เลือนหาย จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน

“ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ…”

แม้ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่น้ำเสียงกลับเหมือนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

นางเป็นบุตรที่ถือกำเนิดหลังจากลี่กุ้ยเฟยเข้าวังแล้ว เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมกับการเอาอกเอาใจและการทะนุถนอมเต็มเปี่ยม นางภาคภูมิใจกับรูปโฉมอันงดงามของตนมาตั้งแต่เด็ก เลือกสวมใส่แต่ของชั้นดีที่สุดเสมอ จะขัดใจเป็นอย่างยิ่งหากมีคนอื่นโดดเด่นหรืองดงามกว่านาง

สาวน้อยตรงหน้านี้แต่งกายมอซอเหลือเกิน แม้แต่นางกำนัลสักคนตรงนี้ก็ยังเลิศหรูกว่านางนัก

แต่ใบหน้านั้น…ใบหน้านั้น…

ชั่วพริบตานั้นองค์หญิงเสาอันถึงกับเกิดความรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาว่าอยากแลกเปลี่ยนใบหน้ากับอีกฝ่าย

ตอนนี้เองเซียวหนานสวินพี่ชายของนางก็ส่งเสียงเรียบเย็นมาว่า “คุณหนูเฮ่อหลัน บุตรีของข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย”

เซียวเสาอันชะงัก หันไปมองพี่ชายของตน

แม้จะเป็นพี่น้องร่วมอุทร แต่พูดตามตรงว่านางค่อนข้างกลัวเขา ทั้งสองคนไม่มีความสนิทชิดเชื้ออย่างพี่ชายน้องสาวตามปกติแม้แต่น้อย อีกทั้งเมื่อถูกดวงตาสีเทาเข้มคู่นั้นจ้องมอง ต่อให้เป็นนางก็ยังรู้สึกหวาดหวั่น

“อ้อ…ท่านเป็นคนเชิญมาหรือ” เซียวเสาอันกล่าว

“ท่านแม่เรียกมา” เซียวหนานสวินตอบ

“อ้อ” เซียวเสาอันผงกศีรษะ

นางไตร่ตรองสักพักหลังจากได้ยินน้ำเสียงของพี่ชาย สายตาวนเวียนไปมาระหว่างคนสองคน จากนั้นไฟร้อนในใจก็เริ่มเย็นลง ระบายยิ้มออกมา

“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้น…” นางกล่าวแล้วหันหน้าไปออดอ้อนลี่กุ้ยเฟยต่อ “ท่านแม่ ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไม่ทันแล้ว พาข้าไปดูหน่อยสิเจ้าคะ!”

ขบวนแซ่ซ้องขุนนางใหม่นั้นคือพิธีที่จะมีขึ้นสามปีครั้ง หลังจากประกาศผลสอบหน้าพระที่นั่ง ขุนนางกรมพิธีการจะตีฆ้องเบิกทางและให้ผู้เป็นจ้วงหยวนขี่อาชาตัวใหญ่นำหน้าหมู่บัณฑิตจิ้นซื่อรุ่นใหม่ เดินอวดโฉมท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิเป็นระยะทางไกลสิบหลี่

เวลานี้ชาวบ้านแทบทั้งเมืองก็จะแห่กันมาดูที่ท้องถนน เรียกได้ว่าผู้คนออกมาจากทุกตรอกซอกซอย

องค์หญิงเสาอันต้องการไปดู ลี่กุ้ยเฟยย่อมไม่ขัดขวาง

นางกำนัลขันทีทั้งตำหนักจัดแจงเพียงไม่นานก็พร้อมจะเชิญสตรีทั้งสองนางลากชายกระโปรงออกไป ลี่กุ้ยเฟยยังอุตส่าห์มีแก่ใจนึกถึงเฮ่อหลันฉือ

“คุณหนูเฮ่อหลัน จะตามพวกเราไปด้วยกันหรือว่า…”

“หม่อมฉัน…” เฮ่อหลันฉือเพิ่งคิดจะขอตัว หางตาก็เหลือบไปเห็นสายตาขององค์ชายรองที่ปรายมองมาจึงแก้คำทันใด “ขอน้อมรับตามบัญชาเพคะ”

องค์ชายรองไม่สนใจขบวนแซ่ซ้องขุนนางใหม่จึงขอตัวแยกไปก่อน

ก่อนไปขณะที่เฮ่อหลันฉือยกมือคารวะส่งเขา นางยังรู้สึกได้ถึงสายตาเย็นเยียบคู่นั้นที่จับนิ่งบนเรือนร่างนางชั่วอึดใจ

เขาเดินเชื่องช้าเฉียดผ่านข้างกายนางอีกครั้ง

น้ำเสียงขององค์ชายรองเย็นชาลึกลับราวกับอสรพิษ เขาลากเสียงเนิบยานแฝงแรงกดดันที่น่าหวาดหวั่น กระซิบแผ่วเบาด้วยระดับเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยิน

“…คุณหนูเฮ่อหลัน พวกเราค่อยพบกันใหม่”

ขณะเดินตามลี่กุ้ยเฟยกับองค์หญิงเสาอันออกมาจากตำหนักอวี้เต๋อ เฮ่อหลันฉือรู้สึกเหมือนรอดตายจากภัยพิบัติ ทั้งร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้าจนแทบไม่อยากเอ่ยวาจา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคืนนี้นางนอนหลับไม่สู้ดี เรื่องราวในฝันก็ยังไม่ทันเรียบเรียงให้กระจ่าง อารมณ์ในตอนนี้จึงสับสนปั่นป่วน

ระหว่างที่นางใช้ความคิดเงียบๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูวังแต่ไกล

เฮ่อหลันฉือเงยหน้ามองไป เริ่มจากประตูหวงจี๋ที่อยู่ไกลๆ ตามมาด้วยประตูอู่เหมิน ประตูตวนเหมิน และประตูเฉิงเทียน พวกมันเปิดกว้างออกไล่เรียงไปเป็นลำดับ ภาพนั้นช่างดูโอฬารตระการตายิ่งนัก

ประตูใหญ่สี่ห้าบานที่อยู่ตรงกลางนี้ นอกจากงานพิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว ผู้ที่สามารถเดินผ่านก็มีแค่จ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวาเท่านั้น ซึ่งบัดนี้บัณฑิตผู้สอบได้เป็นสามอันดับแรกมาหมาดๆ กำลังเคลื่อนขบวนออกไปผ่านเส้นทางที่ปกติจะมีเพียงฮ่องเต้เสด็จพระราชดำเนิน

คนที่โดดเด่นมากที่สุดในขบวนนั้นไม่มีผู้ใดเกินบัณฑิตจ้วงหยวนที่เดินอยู่ตรงกลาง

ชุดของคนอื่นล้วนเป็นสีน้ำเงิน มีเขาผู้เดียวที่สวมเสื้อคลุมสีแดงสง่างาม คาดเข็มขัดเงินรอบเอว ห้อยจี้หยกใสกระจ่าง ศีรษะสวมหมวกประดับดอกไม้และใบเงิน ชุดสำหรับจ้วงหยวนซึ่งเป็นสีแดงเพลิงเจิดจ้าสะดุดตาประหนึ่งหงส์ในฝูงนกกา นอกจากนั้นบัณฑิตจ้วงหยวนในครั้งนี้เมื่อมองจากด้านหลังแล้วดูอายุยังไม่มาก รูปร่างสูงโปร่งดุจต้นสน ลำคอยาวระหง ผิวขาวเนียนปานเนื้อหยก ผมหลายช่อแซมออกมาจากขอบหมวก แค่เพียงลักษณะเหล่านี้ก็นับว่าไม่อัปลักษณ์แล้ว กอปรกับมีฐานะจ้วงหยวนเสริมรัศมี ย่อมทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่าบุคคลผู้นี้งดงามน่ามอง เป็นที่หมายปองของผู้คน

เฮ่อหลันฉือไม่มีแก่ใจจะพิจารณามากนัก เพียงแค่มองแวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับไป

แต่เห็นชัดว่าองค์หญิงเสาอันไม่คิดเช่นนั้น ขันทีที่อยู่ข้างๆ นางเข้าใจเจตนา จึงกระแอมให้ลำคอโล่งก่อนเปล่งเสียงดัง

“บัณฑิตจ้วงหยวน โปรดช้าก่อน”

บุรุษสามคนที่นำอยู่ด้านหน้าได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา

บุรุษที่อยู่ตรงกลางนั้นมีดวงตาดอกท้อที่เก็บซ่อนอารมณ์ แม้ไม่ยิ้มยังฉกฉวยวิญญาณคนได้ ยามนี้สายลมวสันต์พัดโชย ดวงตาคู่นั้นอดไม่ได้ที่จะหยีลงเล็กน้อย ขนตาเป็นแพหนา รูม่านตาสุกสกาวราวกับน้ำ รอยยิ้มละมุนละไมแฝงนัยที่ยากเข้าใจ ลมเบาๆ พัดปอยผมข้างขมับพลิ้วไหว รูปลักษณ์ที่หล่อเหลางามสง่าของเขาช่างดึงดูดใจ ทำให้สตรีใดที่แลเห็นต่างก็หน้าแดงใจเต้นโครมครามอย่างยั้งไม่อยู่

เฮ่อหลันฉือเองก็ชะงักไปชั่วขณะ ปกติเห็นแต่เขาใส่ชุดสีขาวตามแบบที่คุณชายผู้เรียบร้อยนิยมใส่ จู่ๆ มาเห็นเขาใส่ชุดสีแดงสดใสเช่นนี้ออกจะไม่ค่อยชินเท่าไรนัก ทั้งยังเผยลักษณะชั่วร้ายออกมานิดหน่อยด้วย

เขาควรกลับไปใส่ชุดสีขาวตามเดิมจะดีกว่า

เดี๋ยวก่อน…ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ เขาสอบสำเร็จได้เป็นจ้วงหยวนจริงๆ หรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาได้สามหยวนติดกันเลยน่ะสิ

นับตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้ายงขึ้นมา ผู้สอบได้จ้วงหยวนที่เป็นซานหยวนจี๋ตี้* นั้นนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว

เฮ่อหลันฉือเพียงแค่เผลอไผลไปชั่วขณะ แต่นางกำนัลรอบด้านที่ติดตามมาด้วยแทบจะมองอย่างเหม่อลอย

ผู้ใดก็คาดคิดไม่ถึงว่าบัณฑิตจ้วงหยวนคนใหม่จะหน้าตาดีถึงเพียงนี้ ทำเอาปั่งเหยี่ยนกับทั่นฮวาด้านข้างไม่มีคนสนใจมอง

แน่นอนว่าคนที่ออกอาการตื่นเต้นมากที่สุดคือองค์หญิงเสาอัน เฮ่อหลันฉือหันไปก็เห็นนางเกี่ยวแขนลี่กุ้ยเฟยแน่น ดวงตากลมโตฉายแววตกหลุมรักลู่อู๋โยวแบบที่เคยเห็นมาจนชิน ถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้ประมาณว่า…‘ท่านแม่ ข้าอยากแต่งงานกับเขา!’

ลู่อู๋โยวแสดงท่าทีว่าเห็นเฮ่อหลันฉือแล้วเช่นกัน

ชั่วขณะที่สองสายตาสบประสาน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วเหยียดยิ้มอย่างยียวนยิ่งกว่าเก่า

เฮ่อหลันฉือได้ยินเสียงหวีดร้องในลำคอขององค์หญิงเสาอันชัดเจน

“…” นางมองลู่อู๋โยวด้วยสายตาซับซ้อน

ตามเหตุผลแล้วเฮ่อหลันฉือสมควรบังเกิดความเห็นใจอย่างคนมีชะตาเดียวกันขึ้นมาบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนต่างมีโอกาสที่จะโชคร้ายไปด้วยกัน แต่ว่า…ในสถานการณ์ที่ตนเองยังเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ นางกลับมีความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือความสะใจในความเดือดร้อนของผู้อื่น

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: