บทที่ 29 จัดระบบระเบียบ
ถึงแม้จะซ่อมเสร็จแล้ว เฮ่อหลันฉือก็ไม่อยากทรมานเตียงหลังนั้นอีก ทุกครั้งที่นอนลงไปยังรู้สึกกลัวว่ามันจะพังลงมาอยู่ตลอด
ลู่อู๋โยวอยากจะแนะนำสถานที่อื่นแก่นางแต่ยังไม่สำเร็จ และช่วงเวลาต่อจากนี้เขาก็มีงานยุ่งมากเช่นกัน
เรื่องการขุดคลองขยายแม่น้ำนั้นพูดง่าย แต่เพราะลู่อู๋โยวยังอยากจะสร้างทำนบในแม่น้ำอีกด้วย เพื่อป้องกันน้ำท่วมที่อาจจะเกิดจากการขยายแม่น้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ
เจ้าหน้าที่ที่ท่านตาใหญ่ของเขาส่งมาแซ่เฉิง มีฐานะเป็นซิ่วไฉ ดังนั้นตำแหน่งจึงไม่สูงนัก เป็นเพียงผู้ช่วยคนหนึ่งของกรมโยธา ตัวคนก็เชื่อฟังคำสั่ง ไม่มีความเห็นเป็นของตนเอง แต่พอพูดว่าจะขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบเช่นไร ดวงตาก็เปล่งประกายทันที พูดอย่างมีหลักการอย่างยิ่ง
แม่น้ำของเมืองสุยหยวนจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ยาวทั้งสิ้นสามสิบกว่าหลี่ การสร้างทำนบยังคงเป็นวิธี ‘ใช้แรงน้ำเซาะโคลนทราย ระบายน้ำส่วนเกินกันน้ำท่วม’ ของราชวงศ์ก่อน โดยที่นาที่มีดินตะกอนทับถมจะยิ่งอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำการเกษตรมากขึ้น ถึงแม้ปริมาณงานก่อสร้างจะมาก แต่เป็นเรื่องดีที่ได้ประโยชน์มากมายในคราวเดียวจริงๆ
ลู่อู๋โยวนำคนไปสำรวจพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำอยู่พักหนึ่ง ส่วนงานของเขาในศาลมีเฮ่อหลันฉือช่วยทำแทนชั่วคราว
ผู้ช่วยหลิ่วยังแปลกใจมาก ถึงแม้จะมีที่ปรึกษาช่วยงานชั่วคราวเช่นกัน แต่ฮูหยินของลู่อู๋โยวผู้นี้ดูแล้วไม่เหมือนเท่าไรนัก
นางงดงามราวกับองค์พระโพธิสัตว์ คนที่มาแจ้งความถกเถียงกันที่ศาลไม่ว่าจะเป็นชายหญิง คนชราคนอายุน้อย เห็นนางนั่งอย่างอ่อนโยนอยู่ตรงนั้น แม้แต่คำถามก็พูดอย่างแผ่วเบา ทุกคนจึงต่างใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว รู้สึกกระดากใจที่จะเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนการหายใจของเทพธิดา
ในตอนแรกเฮ่อหลันฉือรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง บังคับให้ตนเองสงบสติลง แต่ไม่นานนางก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ สามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างสงบนิ่ง ทนรับสายตาของทุกคน สอบถามรายละเอียดคดี หรือให้คำแนะนำการจัดการลงโทษ อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ในศาลก็ค่อยๆ ถูกเปลี่ยนเป็นคนของลู่อู๋โยวแล้ว
ขุนนางราชสำนักที่แท้จริงจะมีระดับขั้น มีชุดขุนนาง และมีเอกสารรับตำแหน่งจากราชสำนัก แต่เจ้าหน้าที่เล็กๆ อย่างเช่นทหารหรือเจ้าหน้าที่แรงงานในศาลนี้ไม่ต้องมี โดยทั่วไปขุนนางท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งเองได้
เดิมทีก็ไม่มีใครคอยดูแลเรื่องงานอยู่แล้ว ผู้ช่วยหลิ่วก็หลับตาข้างหนึ่ง เฮ่อหลันฉือถึงขั้นยังดูแลห้องเก็บเอกสารสำคัญในศาลอีกด้วย เอกสารติดต่อทางบัญชีต้องผ่านนางทั้งหมด
หลังจากเฮ่อหลันฉือทำงานเสร็จยังคิดจะกินอาหารมากสักนิด
เนื้อแพะย่างครั้งก่อนอร่อยมากจริงๆ นางไหว้วานชิงเยี่ยไปหาเครื่องเทศและลูกสมอที่คล้ายกันมา ทั้งยังให้ซื้อเนื้อแพะมาอีกด้วย ก่อนจะสอบถามแม่ครัวในที่ว่าการ จากนั้นก็พับแขนเสื้อ ใส่ผ้ากันเปื้อน แล้วหั่นๆ สับๆ อยู่ในครัวของที่ว่าการ
หลังจากจัดการเนื้อเสร็จแล้วก็ใช้แท่งเหล็กเสียบเนื้อ ตั้งแท่นย่าง แล้วนำเนื้อไปย่างบนกระถางไฟ
ไม่นานก็มีกลิ่นหอมโชยออกมาจากลานชั้นในของเรือนพักขุนนาง เฮ่อหลันฉือนั่งอยู่ข้างกองถ่าน ผิงมือที่แดงเล็กน้อย ซวงจือที่ช่วยเป็นลูกมือให้นางก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องเช็ดน้ำลาย พูดด้วยสีหน้าแฝงการรอคอย
“ท่านเขยเมื่อไรจะกลับมาเจ้าคะ”
เฮ่อหลันฉือคำนวณจากหลายวันก่อนหน้า “น่าจะเป็นยามโหย่วหรือยามซวีกระมัง”
นางยื่นเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วหนึ่งแท่งให้ซวงจือ นางคิดว่าน่าจะย่างได้อีกหลายชิ้น ลองดูว่าจะอร่อยหรือไม่
เวลานี้ลมสงบและไม่ถือว่าหนาวเกินไป นางสวมชุดกระโปรงนวมตัวหนา ร่างกายถูกไฟอังจนอบอุ่น ยามเงยหน้าขึ้นก็เห็นเมฆลอยเอื่อยบนท้องฟ้า ไม่มีความมืดครึ้ม ใจนางสงบมากเช่นกัน เกิดความรู้สึกเบิกบานของการมีเวลาว่างจากงานยุ่ง ถึงขั้นบิดขี้เกียจ อยากจะเอนพิงเสียตรงนั้น
โจวหนิงอันตามกลิ่นมา “อ๊ะ พี่สะใภ้ ข้าชิมได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มผู้นี้บางครั้งก็ตามลู่อู๋โยวไปดูที่ริมแม่น้ำ แต่ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้ไปเรียนหนังสือ พอได้ยินว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หกหยวนก็มีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยเสนอตัวมาบรรยายตำราให้เขาทันที แต่ตัวเขาเองน่าจะไม่ค่อยมีความสุขนัก
เฮ่อหลันฉือขยับที่ว่างให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วพูดตามจริงว่า “แต่ข้าเพิ่งย่างเป็นครั้งแรก ยังไม่มั่นใจว่ารสชาติดีหรือไม่”
โจวหนิงอันขยับไปนั่งลงแต่โดยดีแล้วยื่นมือไปหยิบแท่งเหล็กเสียบเนื้อ “โอ๊ย ร้อนมาก! ซี้ด…”
เขาลูบติ่งหูพลางมองไปโดยรอบแล้วหยิบผ้าเช็ดโต๊ะผืนหนึ่งขึ้นมากันมือ หยิบเหล็กเสียบแล้วเป่าเนื้อให้เย็น ไม่นานก็กินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมัน ทั้งยังพูดประจบเยินยอ
“อร่อย! พี่สะใภ้ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!”
“เจ้ามั่นใจว่าอร่อยจริงหรือ”
“แน่นอน!” โจวหนิงอันพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ชีวิตพี่ชายช่างมีความสุขจริงๆ ข้าว่าท่านไม่ต้องเก็บไว้ให้เขาดีหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
“ข้ากำลังโต มีเท่าไรก็กินเท่านั้น! อย่างไรเสียเขาตัวโตถึงเพียงนั้นแล้ว น่าจะไม่ต้องใช้…”
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เจ้าเป็นน้องชายเขาจริงๆ หรือ”
“ใช่แน่นอน แต่ข้าเสแสร้งไม่เก่งเหมือนพี่ชาย ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาในจวนของพวกเรา เขาเรียกได้ว่าเป็นคนที่งามสง่า สุภาพอ่อนโยน ทำให้ญาติฝ่ายหญิงทุกคนในจวนหลงใหลกันหมด ต่างคิดว่าเขามีชาติกำเนิดยากจน การที่จะได้เรียนหนังสือนั้นไม่ง่ายนัก ซ่อนหางไว้อย่างมิดชิดมาก ต่อมา…”
จังหวะนั้นลู่อู๋โยวก้าวเข้าประตูใหญ่มาพอดี เขาได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ตลบอบอวล จากนั้นก็ได้ยินคำพูดใส่ร้ายตนเอง เขาจึงยกตัวเด็กเลวที่กินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมันแล้วโยนออกไปทันทีโดยไม่คิดอะไร
หญิงงามด้านข้างกลับนั่งถือเหล็กเสียบอยู่ข้างกระถางไฟด้วยสีหน้าไร้เดียงสาแล้วถามเขาว่า “จะมาลองชิมหรือไม่”
ชายกระโปรงของนางติดพื้น สองขาเรียวยาวพับไปด้านข้าง แม้จะเป็นฤดูหนาว รูปร่างของนางก็ยังคงดึงดูดใจ
ลู่อู๋โยวรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ค่อยแน่ใจว่านางต้องการให้เขาชิมอะไรกันแน่
โชคดีที่เขาดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “รอข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าพลางตอบรับ “อืม”
ลู่อู๋โยวเพิ่งกลับมาจากริมทำนบ รองเท้าเต็มไปด้วยดินโคลน ชายเสื้อสีเข้มก็มีดินโคลนติดเล็กน้อยเช่นกัน ตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผง ระยะนี้เขามักจะมีสภาพเช่นนี้ เวลาที่ลำบากจริงๆ จะไม่พานางไปด้วย
หลังจากลู่อู๋โยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ล้างมือแล้วมานั่งลง เฮ่อหลันฉือยังคงดูสบายอารมณ์อย่างมาก เท้าคางข้างหนึ่ง รอเขามาลิ้มรส
ลู่อู๋โยวกลืนเนื้อลงไป จากนั้นก็เอ่ยว่า “เจ้าขโมยวิชาได้เร็วเกินไปแล้วกระมัง”
เฮ่อหลันฉือยิ้มจนตายกโค้งเล็กน้อย “เพราะข้า…” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “ฉลาดมากเหมือนกัน”
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงภูมิใจเช่นนี้”
เฮ่อหลันฉือลดมือลง จัดชายกระโปรงแล้วกล่าวว่า “แค่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ข้าทำได้มีมากมาย เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจะทำได้”
ดูเหมือนอยากทำอะไรก็สามารถทำได้จริงๆ
ลู่อู๋โยวเช็ดมือพลางเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนเจ้าไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง ไม่ใช่เจ้าทำไม่ได้ โลกนี้ไม่ถือว่ามีความยุติธรรม มีเรื่องมากมายที่ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเซียวหนานสวินไม่ได้เกิดในราชวงศ์ ข้าคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวยากจนทำได้เพียงเรียนหนังสือ พระประยูรญาติที่มีความดีความชอบแต่งตั้งตำแหน่งได้ นี่ไม่มีเหตุผลเลย แต่ยังดีที่มีการสอบเคอจวี่ ขอเพียงมุ่งมั่นและมีความสามารถมากพอ แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ แต่ว่า…” เขาวางมือลง “สตรีนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนั้นที่สำนักศึกษาเจียงหลิวมีคนจำนวนไม่น้อยที่ความรู้เทียบเจ้าไม่ได้ แต่ต่างก็ทยอยสอบผ่าน และมีคนที่ได้เป็นขุนนาง ต่อให้อำนาจจะเทียบเท่าองค์หญิงใหญ่สวินหยาง อยู่ข้างกายรัชทายาทได้ แต่เรื่องในราชสำนักยังคงไม่สะดวกจะยื่นมือเข้าแทรกได้โดยตรง ต้องยืมมือผู้อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีคนอื่นๆ เลย”
เฮ่อหลันฉือตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน
เรื่องที่ลู่อู๋โยวพูดนางรู้นานแล้ว นี่เป็นจุดที่นางเคยรู้สึกยอมไม่ได้ในอดีตเช่นกัน ดูเหมือนไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ชีวิตของนางก็ทำได้เพียงออกเรือน ช่วยสามีเลี้ยงดูบุตร เรียบง่ายชนิดที่มองปราดเดียวก็ถึงปลายทางแล้ว
ที่อาจจะแตกต่างกันก็มีเพียงนางแต่งงานกับคนที่ให้เกียรติและเคารพรักนางหรือแต่งงานกับคนที่เห็นนางเป็นของเล่นเท่านั้น
นางดิ้นรนหาเส้นทางที่สามไม่ได้เลย
ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “แต่ภายในขอบเขตความสามารถของข้า ขอเพียงเจ้ามีความสามารถเพียงพอ เจ้าจะทำอะไรก็ได้”
เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ถึงขั้นพูดจบยังหยิบเนื้อย่างอีกหนึ่งแท่ง ปล่อยให้เฮ่อหลันฉือสงสัยว่าที่เขาเช็ดนิ้วมือเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
กลิ่นหอมควันไขมันกระจายไปทั่ว เสียงมันแตกดังเปรี๊ยะปร๊ะ
เฮ่อหลันฉือเองก็ถือเนื้อไว้หนึ่งแท่ง กัดไปสองคำก็พูดพึมพำว่า “เจ้าดีต่อข้าเกินไปแล้วกระมัง…”
ลู่อู๋โยวกินเนื้ออีกหนึ่งชิ้นอย่างสบายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ก็ข้าแต่งด้วยแล้ว…”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้เฮ่อหลันฉือก็วางเหล็กเสียบเนื้อลง “ถ้าเจ้าแต่งงานกับคนอื่นเล่า ก็จะ…”
ที่ผ่านมาเฮ่อหลันฉือคิดถึงเรื่องนี้น้อยมาก คิดว่าในเมื่อมาแล้วก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว ไปคิดถึงการสมมติหรือตั้งแง่อะไรเหล่านั้นย่อมไม่มีความหมายอันใดเลย นางแต่งงานกับลู่อู๋โยวแล้ว ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้
ตอนนี้นางกับลู่อู๋โยวก็ค่อยๆ สนิทกันมากขึ้น ไม่มีการแต่งงานที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
แต่อย่างไรที่มาก็ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
หากเซียวหนานสวินวางยาคนอื่น หากคืนนั้นคนที่มาเจอกับลู่อู๋โยวเป็นหญิงอื่น เขาจะแต่งงานกับอีกฝ่าย และทุ่มเทแรงใจแรงกายปกป้องอีกฝ่ายทุกอย่างเช่นนี้หรือไม่
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งเฮ่อหลันฉือก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย นางเริ่มรับรู้ถึงการหาปัญหาใส่ตัวขึ้นมาแล้ว
ลู่อู๋โยววางแท่งเหล็กลง ทันใดนั้นก็หันหน้ามามองนางแล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็เริ่มใคร่ครวญถึงเรื่องนี้แล้วหรือ”
เฮ่อหลันฉืองุนงงเล็กน้อย “…?”
ลู่อู๋โยวเปลี่ยนเรื่อง หางตายังปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตอนนั้นเจ้าตอบว่าอย่างไรนะ ‘แต่ว่าเป็นเจ้าแล้วนี่ หาใช่คนอื่น’ ”
เฮ่อหลันฉือถอนใจ “เจ้าไม่ต้องความจำดีถึงเพียงนี้ก็ได้! ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามนะ!”
“เช่นนั้นไม่ได้ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะเป็นดั่งดาบหอกฟันแทงไม่เข้า มีทิฐิดื้อรั้นจริงๆ เสียอีก”
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่พูดถึงตัวเจ้าเองมิใช่หรือ”
ลู่อู๋โยวมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ “ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตอนนั้นข้าสับสนเรื่องอะไร เฮ่อหลันฉือ เจ้าไม่มีหัวใจ”
นี่เป็นคำกล่าวหาไร้สาระอะไร
นางเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่มีหัวใจข้าคงตายไปแล้ว”
ลู่อู๋โยวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดนิ้วมือทีละนิ้วอีกครั้ง หลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “แกล้งโง่”
เฮ่อหลันฉืออดรนทนไม่ไหว “เจ้ากินหนึ่งแท่งแล้วเช็ดนิ้วมือหนึ่งครั้งเช่นนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือ…”
“เจ้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาชัดเจนเกินไปหน่อยนะ” ลู่อู๋โยวเช็ดอย่างช้าๆ “ถ้าคิดว่าข้าดีจริง ลองใคร่ครวญอย่างอื่นนอกจากเตียง…”
ยังพูดไม่ทันจบโจวหนิงอันที่อยู่ตรงประตูก็ยื่นศีรษะออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดว่า “พี่ชาย ข้าไม่พูดจาเหลวไหลแล้ว ท่านแบ่งให้ข้าอีกสองแท่งเถอะ ข้ายังกินไม่อิ่มเลย…” เวลานี้เด็กหนุ่มดูแล้วน่ารักเป็นพิเศษ
จากนั้นไม่นานก็กลายเป็นสามคนนั่งอยู่ข้างกระถางไฟ ย่างเนื้อไปพลางกินไปพลาง
ภาพเหตุการณ์นี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกลมเกลียวกันอย่างน่าประหลาด
โจวหนิงอันกินของคนอื่นปากก็อ่อน พูดชมอีกยกใหญ่ สุดท้ายยังพูดอีกหลายประโยค “จริงสิ ได้ยินว่าที่ห่วงโจวนี่ยังมีอาหารที่เรียกว่า ‘น้ำแกงโบราณ’* รับวัฒนธรรมมาจากเป่ยตี๋ เอาเนื้อแพะหั่นเป็นชิ้นบางๆ ลวกในหม้อที่กำลังต้มอาหารป่ารสเลิศ กินไปลวกไป ยังมีน้ำจิ้มด้วย…” เขาพูดไปพูดมาน้ำลายก็ไหลลงมาอีกครั้ง
ลู่อู๋โยวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ามาช่วยหรือว่ามาขอข้าวกิน…”
เฮ่อหลันฉือกลับครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอาหารเช่นนี้ด้วยหรือ ครั้งหน้าข้าจะลองไปถามดู”
โจวหนิงอันเมินลู่อู๋โยวแล้วเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ดีจริง! คนงามจิตใจดี! ภายนอกภายในเป็นเช่นเดียวกัน!”
ความหมายนอกเหนือคำพูดนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ
ลู่อู๋โยวชำเลืองมองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยเตือน “ระวังคำพูดด้วย”
ถึงแม้เฮ่อหลันฉือจะรู้ว่าเป็นเพราะลู่อู๋โยวมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวจึงได้ทำเช่นนี้ แต่นางยังคงพยายามจะลองพูดให้นุ่มนวลลง
“แต่ ‘น้ำแกงโบราณ’ นี้ฟังดูแล้วท่าทางจะน่ากินมากนะ”
โจวหนิงอันรีบพูดสำทับ “ถูกต้อง! ได้ยินว่ารสชาติดีมาก…”
สองคนคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ
ลู่อู๋โยวดีดศีรษะเจ้าเด็กบ้าแล้วพูดกับเฮ่อหลันฉือ “เขาเป็นบุตรชายเจ้าหรือ เจ้าจึงรักเอาใจเขาถึงเพียงนี้”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
โจวหนิงอันกุมศีรษะ หลบไปข้างกายเฮ่อหลันฉือแล้วทำเป็นไม่รู้ยางอาย เข้าสู่บทบาทอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ ท่านพ่อเขารังแกข้า!”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างลำบากใจ “…เจ้าตัวโตเกินไปแล้ว”
ข้าให้กำเนิดไม่ได้จริงๆ
ลู่อู๋โยวลุกขึ้นคว้าตัวเขา “กินพอแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือ ‘ตำรามหาศาสตร์’* ท่องถึงบทที่เท่าไรแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือที่จะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือกำเนิดลูกกตัญญูภายใต้กระบองไม้เรียว”
โจวหนิงอันพูดขัดขืน “ข้าไม่ท่องหนังสือ! ท่านโหดร้ายมาก! เลือดเย็นไร้ปรานี! ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”
ช่างเถอะ
เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงถอนใจแล้วหยิบเนื้อย่างขึ้นมาอีกหนึ่งแท่ง
ลานหลังบ้านของพวกเขาไก่บินสุนัขกระโดดวุ่นวายขึ้นทุกทีแล้ว
ลู่อู๋โยวอยู่ทางนี้วุ่นกับเรื่องการขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบ ทางนั้นยังต้องทลายรังโจรต่อไป พรรคชังซานถูกเขากำราบไปกว่าครึ่ง ยังมีพรรคท้องถิ่นอีกสองพรรค
วันที่ไปพรรคอี้หย่ง เขานั่งรถม้า แทบจะเดินทางไปตามลำพัง
เฮ่อหลันฉือไม่วางใจ ยังคงตามเขาไปด้วยแล้วรออยู่หน้าประตูหมู่บ้าน
“สองแคว้นทำสงครามกัน ไม่ฆ่าทูตที่มาเยือน ข้ามีความจริงใจเต็มเปี่ยม ต่อให้เจรจาล้มเหลวก็ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ ถ้าจะลงไม้ลงมือจริง…” ลู่อู๋โยวน้ำเสียงเป็นปกติ “ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไม่ชนะ”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
“ท่านพ่อข้าในอดีตทำสงครามสามวันสามคืนยังไม่ล้มลงเลย ข้าทนสักวันสองวันคงไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไร” พูดจบเขาก็พลิกเปิดชายชุดขุนนางลงจากรถม้า
เทียบกับประตูหมู่บ้านที่น่าเกลียดของพรรคชังซาน พรรคอี้หย่งดูแล้วเข้าท่ากว่ามาก หน้าประตูมีคนเฝ้ายาม มีคนลาดตระเวน แทบจะเหมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
ลู่อู๋โยวไม่ได้นำผู้ติดตามไปด้วยแม้แต่คนเดียว รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผมเผ้าไม่ยุ่งเหยิงแม้แต่น้อย ชุดขุนนางสีเขียวเข้มที่เรียบร้อยขับให้เขาดูหล่อเหลา งามสง่าโดดเด่น แววตาสงบนิ่งมุ่งมั่น ราวกับมีพลังที่ทำให้คนเชื่อถือได้ แต่ยังดูสุขุมยิ่งกว่า
ฉับพลันนั้นเขาดูมีความแตกต่างเล็กน้อยกับจ้วงหยวนที่เพิ่งได้รับความภาคภูมิใจในความสำเร็จคนนั้น
เฮ่อหลันฉือเหม่อลอยไปเล็กน้อย
หลังจากลู่อู๋โยวแจ้งเรื่องแล้วก็ถูกรับตัวเข้าไป ประมุขพรรคอี้หย่งเป็นชายหนุ่มในชุดบัณฑิตที่งามสง่า ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างคือกุนซือของเขา แต่งกายเหมือนบัณฑิตเช่นกัน
ก่อนที่ลู่อู๋โยวจะแจ้งจุดประสงค์การมา คนทั้งสองก็คำนับเขาแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่คุณธรรมสูงส่ง วิงวอนเพื่อราษฎร ข้าอยู่ชายแดนได้ยินข่าวเช่นกัน”
ลู่อู๋โยวคำนับตอบแล้วเอ่ยว่า “มิกล้ารับ”
“ครั้งนี้มาจากเมืองหลวง ยังคิดว่าใต้เท้าลู่จะหมดอาลัยด้วยเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าลู่มาถึงห่วงโจวยังไม่ทิ้งปณิธานผดุงความยุติธรรม ทำให้พวกข้านับถือจริงๆ วันนี้ยังเสี่ยงอันตรายมาตามลำพัง ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องใด”
คำพูดเป็นมารยาทเช่นนี้ลู่อู๋โยวรับมือเก่งที่สุด แต่สามารถเจรจาได้นับว่าตัดความยุ่งยากได้มากมาย หลังจากทักทายกันแล้วเขาก็เริ่มพูดจาฉะฉานอย่างมีเหตุผล
เริ่มตั้งแต่แผนการขุดขยายแม่น้ำและสร้างทำนบ ไปจนถึงการทำการค้า พัฒนาพื้นที่เพาะปลูก ปรับปรุงประเพณีท้องถิ่น และเปิดปัญญาผู้คน วาดขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่กว่าที่ไปขอเงินก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากยังมีพรรคโจรอยู่จะไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาห่วงโจว ลู่อู๋โยวยังเกลี้ยกล่อมให้พวกเขากลับใจเป็นคนดีเช่นกัน
คนทั้งสองฟังจบก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าลู่อู๋โยวจะมีความทะเยอทะยานใหญ่โตถึงเพียงนี้ มองไม่เห็นความไม่พอใจจากการถูกลดตำแหน่งแม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนเพิ่งถูกเลื่อนตำแหน่ง ต้องการแสดงฝีมือครั้งใหญ่
ประมุขพรรคอี้หย่งครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ายังต้องปรึกษากับเหล่าพี่น้องในพรรค ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ขอใต้เท้าลู่อภัยด้วย แต่ครั้งหน้าข้าจะไปเยี่ยมเยือนยังที่ว่าการเมืองสุยหยวนด้วยตนเอง ไม่ต้องรบกวนให้ใต้เท้าลู่มาเองแล้ว”
เพราะเหตุนี้จึงกล่าวกันว่าคนเรียนหนังสือย่อมดีกว่า
ขณะที่ลู่อู๋โยวกำลังคิดก็ได้ยินกุนซือผู้นั้นเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่อยู่ในช่วงแผ่นดินวุ่นวาย น่าเสียดายใต้เท้าลู่”
ลู่อู๋โยวเลื่อนสายตาเล็กน้อย คล้ายสังเกตบางอย่างได้จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ในยามสงบชาวบ้านมักจะมีชีวิตที่ดีกว่ายามวุ่นวาย และจากที่ข้าเห็นเมื่อครู่ ในพรรคของทั้งสองท่านแม้จะดำเนินการได้ไม่เลว แต่คิดจะเอาตัวรอดในยามวุ่นวายยังคงดูไม่เพียงพอไปสักนิด”
กุนซือพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ดังนั้นข้าจึงกำลังรู้สึกเสียดาย ใต้เท้าลู่มีความกล้า มีแผนการ กลับต้องเจอกับฮ่องเต้ไม่เอาไหน ต้องมาอุดอู้อยู่ที่นี่ ถ้าแผ่นดินวุ่นวาย ไม่แน่ว่า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวหัวเราะออกมาจริงๆ “ความทะเยอทะยานของพวกท่านไม่น้อยเลย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินไปจริงๆ และคนเป็นฮ่องเต้มีภาระผูกพันกว่าคนเป็นขุนนางมาก แบกอะไรไว้บนบ่ามากเกินไป ยิ่งสูงยิ่งหนาว กลายเป็นคนที่โดดเดี่ยว มีชีวิตที่ลำบากยิ่งนัก”
เฮ่อหลันฉือรออยู่ข้างนอกอย่างอกสั่นขวัญแขวน กลัวจริงๆ ว่าลู่อู๋โยวจะบุกทะลวงออกมา เช่นนั้นนางต้องคิดหาทางรีบหนีไป จะเป็นตัวถ่วงเขาไม่ได้
ขณะที่กำลังคิดก็เห็นลู่อู๋โยวถูกคนส่งออกมาอย่างนอบน้อม ในมือยังถือปลาไว้สองตัวอีกด้วย
รอเขาเดินมาถึง เฮ่อหลันฉือจึงค่อยพลิกเปิดม่านรถม้า ยื่นศีรษะออกไปถามอย่างสงสัย “นี่คืออะไร”
ลู่อู๋โยวพูดอย่างรังเกียจ “ปลาดองตากแห้ง สินค้าเฉพาะถิ่นของห่วงโจว พวกเขาบอกว่าจะให้ข้าจากไปมือเปล่าไม่ได้ จึงมอบของให้ข้าเล็กน้อย”
เฮ่อหลันฉือหมดคำพูดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าเจรจากันเป็นอย่างไรบ้าง”
“นับว่าราบรื่น” ลู่อู๋โยวยื่นปลาที่มีกลิ่นคาวกระจายออกมาให้คนอื่น ก้าวขึ้นรถม้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “ก็แค่ก่อนจากมายังยุยงให้ข้าก่อกบฏอีกด้วย”
เฮ่อหลันฉือ “…???”
ลู่อู๋โยวจับจ้องนางแล้วเอ่ยถาม “เจ้าอยากเป็นฮองเฮาหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือส่ายหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัว จับไหล่ของลู่อู๋โยวแล้วกล่าวว่า “เจ้าสงบสติสักนิดเถอะ”
ลู่อู๋โยวแตะแขนของนาง เป็นสัญญาณให้นางสบายใจ “ข้าถามไปอย่างนั้นเอง เจ้าวางใจได้ ข้าปฏิเสธไปแล้ว แค่พวกเขาไม่กี่พันคน อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย ถ้ากองทหารหลักห่วงโจวคิดจะยกทัพมาทลายรังโจรจริง พวกเขาก็ต้านไม่ไหวเช่นกัน แต่เพราะกำลังวุ่นวายกับการเตรียมป้องกันเป่ยตี๋ ไม่ว่างจะจัดการพวกเขาเท่านั้นเอง”
เฮ่อหลันฉือชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าจึงดูเหมือนเคยใคร่ครวญเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ”
ถึงแม้การที่เขาอยู่ว่างๆ แล้วชอบหาเรื่องใส่ตัวนั้นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันสองวันนี้ก็ตาม
“เพียงใคร่ครวญเล็กน้อยเท่านั้น ถ้ามีวิธีการก่อกบฏอย่างสันติได้ ข้าก็ใช่ว่าจะไม่สามารถ…แน่นอนว่าตอนนี้แผ่นดินสงบผู้คนปลอดภัยก็ช่างเถอะ แม้เซียวไหวจั๋วจะแก้แค้นส่วนตัว ลดตำแหน่งและส่งข้ามาที่นี่ แต่อย่างเช่นบิดาเจ้าที่เป็นขุนนางมาได้นานหลายปีถึงเพียงนั้น เซียวไหวจั๋วก็ยังนับว่าอยู่ห่างจากฮ่องเต้โง่เขลาระยะหนึ่ง แต่ถ้าเซียวหนานสวินสืบทอดตำแหน่งก็พูดได้ยากแล้ว…ตระกูลของลี่ซื่อเป็นใหญ่จึงจะเป็นภัยร้าย ถึงเวลานั้นใต้หล้าก็จะกลายเป็นอี้โจวในอดีตไปหมด”
เฮ่อหลันฉือก้มหน้าครุ่นคิดสักครู่เช่นกัน
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริง…” เฮ่อหลันฉือพูดอย่างช้าๆ “ถ้าเขายังมีใจต่อข้า ข้าไปลอบฆ่าเขาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
“…???” ลู่อู๋โยวอึ้งงันไป ก่อนจะพูดอย่างมีสติว่า “ขอแนะนำให้เจ้าสงบสติสักนิดเช่นกัน”
เฮ่อหลันฉือใช้คำพูดเดิมของเขาตอบว่า “เพียงใคร่ครวญเล็กน้อยเท่านั้น! เรื่องข้านี้ไม่แน่ว่ายังง่ายกว่าเล็กน้อย”
ลู่อู๋โยวจนคำพูดอย่างหาได้ยากไปในพริบตา ยื่นมือไปขยี้ผมของนางก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราใช้ชีวิตของตนเองอย่างสงบดีกว่า บุตรชายยังอยู่ที่บ้านรอเจ้ากลับไปทำน้ำแกงโบราณอยู่นะ อ้อจริงสิ ปลาดองตัวนั้นเก็บไว้ให้เขาได้พอดี เสริมสร้างร่างกาย”
เฮ่อหลันฉือ “…”
อย่าทำตัวเป็นพ่อคนอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ได้หรือไม่
คนในครอบครัวของลู่อู๋โยวที่เฮ่อหลันฉือเคยพบมีจำกัด ที่เคยติดต่อใกล้ชิดค่อนข้างมากก็มีเพียงน้องสาวอย่างฮวาเว่ยหลิง แต่ในช่วงที่โจวหนิงอันก่อเรื่องวุ่นวาย นางยังรับรู้ได้จริงๆ ว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน
โจวหนิงอันเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ฝีปากเฉียบคม ถึงแม้ทุกครั้งจะถูกลู่อู๋โยวอบรมจนร้องโวยวาย แต่รบแพ้หลายครั้งก็ยังสู้ต่อ ถึงตายก็ไม่ยอมปรับเปลี่ยน มีกลิ่นอายของผู้ที่ยึดมั่นในความคิดของตนเอง แท้จริงแล้วน่านับถือมาก
เฮ่อหลันฉืออดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ตอนยังเด็กเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ”
ลู่อู๋โยวรู้สึกเหมือนถูกล่วงเกินเล็กน้อย “ถ้าข้าเป็นเหมือนเขา ตอนเด็กคงถูกตีตายไปนานแล้ว”
“หืม!?” เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นไรกันแน่
ลู่อู๋โยวพูดด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “เจ้าเด็กบ้านั่นแค่ดูก็รู้ว่าตอนเด็กไม่เคยถูกทุบตีเลย วันหน้า…”
“…?”
ลู่อู๋โยวกระแอมกลั้วคอแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร”
ห่วงโจวอยู่ทางเหนือ แต่ใกล้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมากกว่า เป็นที่ราบต่ำ สี่ด้านมีภูเขาล้อมรอบ อากาศจึงไม่หนาวเหน็บเท่าเมืองหลวง
สุดท้ายพรรคอี้หย่งยังคงรับปากเงื่อนไขของลู่อู๋โยว อาจเป็นเพราะยิ่งปล้นสะดมสถานที่แห่งนี้ก็ยิ่งยากจนข้นแค้น หากสามารถอยู่เย็นเป็นสุขมีชีวิตที่มั่นคงได้ แท้จริงแล้วคนจำนวนมากคงไม่อยากเป็นโจรเช่นกัน
วันที่ลงมือขุดดินนั้นเฮ่อหลันฉือยังไปดูอีกด้วย
นางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงนวมสีเข้ม ใต้เท้าเป็นดินโคลนแอ่งน้ำตื้น รองเท้าปักลายอาจจะสกปรกได้ แต่นางก็ไม่ใส่ใจ นางมองไปไกลเห็นคนกลุ่มใหญ่ลงมือทำงานอย่างขะมักเขม้นเต็มที่ ตะโกนเสียงดังสนั่นท่ามกลางฤดูหนาว ท่าทางทำงานที่ส่งเสียงดังใส่กันมองแล้วรู้สึกน่าตื่นตะลึงอยู่หลายส่วน
อยู่เมืองหลวงย่อมไม่เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
ลู่อู๋โยวเดินมาหานางแล้วเอ่ยว่า “ใช้เงินจ่ายค่าแรงงาน ข้าให้จำนวนมากอยู่ ย่อมมีแรงจูงใจมากกว่าการออกคำสั่งบังคับ และหลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิ ตอนทำนาฤดูใบไม้ผลิยังสามารถเปลี่ยนผลัดวันละรอบได้ พยายามไม่รบกวนการทำการเกษตรของพวกเขา ลงโคลนก็รอถึงเดือนสามเดือนสี่หลังจากอากาศอบอุ่นแล้ว”
โจวหนิงอันกำลังดึงตัวเจ้าหน้าที่แซ่เฉิงผู้นั้นมาตินั่นตินี่
เฮ่อหลันฉือมองดูอีกพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำมากมายเช่นนี้”
“ไหนๆ ก็มาแล้ว ที่ผ่านมาในเมื่อข้าทำแล้วก็จะพยายามทำให้ดีมิใช่หรือ”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “ในเรื่องนี้เจ้าน่ารักน่าชื่นชอบมาก”
ลู่อู๋โยวพูดอย่างช้าๆ “ใครรักใคร่ชื่นชอบ”
เขาถามอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เฮ่อหลันฉือตกตะลึง รู้สึกเขินอายเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป “ทุกคนต่างรักใคร่ชื่นชอบคนที่ตั้งใจจริงจัง”
ลู่อู๋โยวชำเลืองมองนางปราดหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
เพราะห่วงโจวอยู่ค่อนข้างไกล กว่าจะได้รับรายงานจากเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลานานมาก โชคดีที่ลู่อู๋โยวมีเส้นทางการรับข่าวสารของตนเอง
เฮ่อหลันฉือได้ข่าวว่าบิดาหายป่วยแล้ว เดินทางไปอี้โจวโดยราบรื่น นางก็รู้สึกโล่งใจได้ครึ่งหนึ่ง
ผ่านไปสองเดือนเซียวหนานสวินกลับจากการเซ่นไหว้บรรพชนที่อารามหลวงแล้ว เหล่าขุนนางที่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก็เริ่มกลับสู่สภาพเดิม ยื่นฎีกาขอร้องให้ฮ่องเต้รีบแต่งตั้งรัชทายาท และเมื่อได้ยินข่าวว่าพระชายาขององค์ชายใหญ่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์ ยิ่งทำให้เหล่าขุนนางต่างตื่นเต้น ในเรื่องการเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์นี้ ที่กลัวที่สุดก็คือฮ่องเต้ไร้ผู้สืบทอด
เดิมทีเพราะคดีอี้โจวพวกลี่เฟยกับองค์ชายรองได้รับผลกระทบอย่างแรง ในการประเมินผลงานขุนนางในเมืองหลวงหลังจากนั้นเสนาบดีกรมปกครองกับผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายคนใหม่ดูไม่ชอบใจองค์ชายรองอย่างเห็นได้ชัด และกำจัดปีกขนขององค์ชายรองไปส่วนหนึ่ง คนที่เหลืออยู่ต่างก็หนีบหางแน่น ไม่ยโสโอหังเช่นในตอนแรก
ดูเหมือนสถานการณ์โดยรวมจะถูกกำหนดไว้แล้ว
ทว่าฮ่องเต้ยังคงประวิงเวลาไม่ยอมร่างราชโองการเสียที หลังจากองค์ชายรองกลับมายังอาศัยเรื่องที่เขามีผลงานไปเซ่นไหว้บรรพชน พระราชทานของรางวัลให้มากมาย ทำให้เหล่าขุนนางคาดเดาไม่ถูกไปชั่วขณะว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ข่าวที่น่าตกใจที่สุดคงไม่พ้นลี่เฟยตั้งครรภ์อีกครั้งแล้ว นางอายุเกือบสี่สิบปี เห็นได้ว่าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ไม่คลายจริงๆ
สถานการณ์ดูเหมือนจะคลุมเครืออีกครั้ง
เฮ่อหลันฉืออ่านจบก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงคิดจะ…”
ลู่อู๋โยวพยักหน้า “เป็นฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะมีอิสระ อยากจะให้บุตรชายคนใดสืบทอดราชบัลลังก์ก็ให้บุตรชายคนนั้นสืบทอดได้ แน่นอนว่าที่เซียวไหวจั๋วลังเลไม่ใช่เพียงเพราะเขาโปรดปรานลี่ซื่อและเพราะเขาไม่อยากปล่อยให้เซียวหนานป๋อยิ่งใหญ่ ขณะที่ตนเองยังอยู่ในตำแหน่งจะว่าไปแล้วเป็นฮ่องเต้โง่เขลาไม่แน่ว่าอาจจะมีความสุขกว่า”
เฮ่อหลันฉือยังคงอธิษฐานอย่างเงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรจะให้เซียวหนานสวินสืบทอดราชบัลลังก์ไม่ได้
วันเวลาของพวกเขายังคงต้องดำเนินไปตามปกติ
เทียบกันแล้วสำนักชิงเหลียนเป็นกลุ่มที่จัดการค่อนข้างลำบากในโจรหลายกลุ่มในห่วงโจว เพราะไม่มีฐานที่ตั้งแน่นอน ประมุขสำนักชอบใช้วิธีเร้นลับตบตาคน จงใจหลอกลวงผู้อื่น เป็นกลุ่มโจรที่ซ่อนตัวใต้ดิน ทางการอยากจะจับ ชาวเมืองยังช่วยขัดขวางปิดบังอีก เงินทองถูกหลอกไปหมดแล้ว ไม่รู้จักกลับใจแก้ไข ยังคิดว่าหลังจากตายแล้วสามารถแลกเปลี่ยนความมั่งคั่งจากยมบาลได้ เหลวไหลสิ้นดีจริงๆ
มีผู้เฒ่าที่เป็นม่ายจำนวนหนึ่ง อายุมากแล้วกลับถูกคนหลอกเอาเงินที่หาได้จากการทำงานอย่างยากลำบากไปจนหมด สุดท้ายก็ตายอย่างน่าอนาถ
แต่เทียบกับกลุ่มอื่นแล้วสำนักชิงเหลียนร่ำรวยที่สุดเช่นกัน เล่ากันว่าในสำนักนอกจากประมุขสำนักแล้วยังมีแปดธรรมบาล สิบผู้คุมกฎ เศรษฐีจำนวนไม่น้อยก็ลอบติดต่อกับพวกเขาเช่นกัน
ลู่อู๋โยวส่งคนแทรกซึมเข้าไป เสียเวลาไปกว่าหนึ่งเดือนจึงพอเข้าใจโครงสร้างคร่าวๆ ได้ชัดเจน ที่ยากก็คือจะทำให้คนที่ถูกหลอกมีสติรู้ตัวได้อย่างไร
โชคดีที่บังเอิญสำนักชิงเหลียนจะเรียกรวมตัวผู้ศรัทธากลุ่มใหญ่ทุกเดือน จัดพิธีมอบของศักดิ์สิทธิ์หนึ่งครั้ง เนื้อหาส่วนใหญ่คือมีเทพแสดงอภินิหาร มอบพรแก่ผู้ศรัทธา และเก็บรวบรวมเงินบริจาคไปด้วย
ครั้งนี้เฮ่อหลันฉือแปลกใจมากเช่นกัน “ยังจะให้ข้าไปด้วยหรือ”
“ถูกต้อง แต่เจ้าจะเอาแต่ดูละครไม่ได้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือสงสัย ลู่อู๋โยวดึงตัวนางเข้าหา จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าของนางครู่หนึ่ง มองจนเฮ่อหลันฉือขนลุก กะพริบตาถามเขาอย่างงุนงง
“หน้าข้ามีอะไรหรือ”
ลู่อู๋โยวยื่นนิ้วไปลูบไล้ใบหน้าของนาง ผิวเรียบเนียนละเอียด ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย ประณีตราวกับเป็นของที่สวรรค์สร้าง มักจะให้ความรู้สึกห่างเหินสูงส่ง ไม่สามารถแตะต้องได้ ทว่าระยะนี้ยามเผชิญหน้ากับเขา นางไม่ค่อยสร้างกำแพงป้องกันแล้ว จึงดูอ่อนโยนน่ารังแกเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ไม่มีอะไร ดีมาก ดีเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงเตรียมเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้เจ้า อาจจะทำให้หนาวสักนิด แต่ข้าจะถ่ายกำลังภายในให้เจ้า”
หากจะพูดว่าเป็นเสื้อผ้า มิสู้พูดว่าเป็นสิ่งทอผืนหนึ่งที่ใช้ผ้าโปร่งบางเบาซ้อนกันหลายชั้นดีกว่า ถึงแม้จะปิดบังเรือนร่างไว้ทั้งหมด แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเช่นกัน
หลังจากเฮ่อหลันฉือสวมชุดนั้นเสร็จก็พบว่าลู่อู๋โยวยังเตรียมเครื่องประดับเงินอัญมณีอีกจำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลหรือสีเงินสว่าง ส่องประกายวิบวับ แค่สร้อยมุกที่ห้อยจากเหนือศีรษะลงมาก็มีสองสามเส้นแล้ว ที่ลำคอ ข้อมือ และติ่งหูก็มีเครื่องประดับที่เข้าคู่เช่นกัน เหมือนเป็นเครื่องประดับครบชุด แต่สีสันอ่อนเกินไป และไม่สุภาพเคร่งขรึมมากพอ
นางพึมพำพลางคิดว่านี่เป็นความชอบแปลกๆ ของลู่อู๋โยว จากนั้นก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เขาหาช่างไม้มาต่อเตียงหลังใหม่ แต่อย่างน้อยถึงตอนนี้ก็ยังไม่ส่งมาให้เลยนะ
หลังจากนางใส่เครื่องประดับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พอลู่อู๋โยวเข้ามาที่ห้องชั้นในก็ตะลึงงันไปอย่างที่คาด แววตาเปล่งประกาย
เฮ่อหลันฉือยืนตรงด้วยความระมัดระวังเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวเดินไปหานางทีละก้าว ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสร้อยมุกที่แกว่งไกวอยู่ข้างแก้มของนางขึ้นมา ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย
“เหมาะกับเจ้าจริงๆ”
“นี่มันก็…” นางรู้สึกว้าวุ่นใจ พวงแก้มแดงเรื่อ “แปลกเกินไป…”
นางยังพูดไม่จบเขาก็ลูบไล้ริมฝีปากของนางที่ยังไม่ได้ทาสีชาดแล้วเอ่ยว่า “เหมือนเทพธิดามาก”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
ลู่อู๋โยวพูดจาเหลวไหลด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พาให้คนอยากทำให้มีมลทิน”
เฮ่อหลันฉือรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องคิดเช่นนี้ “ถูก…” นางชะงักเล็กน้อยแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ถูกเจ้าทำให้มีมลทินนานแล้ว”
ลู่อู๋โยวช้อนตาขึ้นพลางยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะจุมพิตแก้มของนางทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดจาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ให้เจ้าแต่งชุดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะข้าอยากดู แต่เพราะมีเหตุจำเป็นพอดี”
เฮ่อหลันฉือเอ่ยถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากดูจริงหรือ”
“ก็ได้…ไม่ใช่เพียงเพราะข้าอยากดูเท่านั้น”
พิธีมอบของศักดิ์สิทธิ์ของสำนักชิงเหลียนครั้งนี้ตั้งแท่นบูชาที่สร้างขึ้นใหม่ตรงที่ราบภูเขาแห่งหนึ่ง ทำพิธีกลางดึก บรรยากาศลึกลับและเงียบสงัด
เหล่าผู้ศรัทธาถือคบไฟรออยู่เบื้องล่างแท่นบูชานานแล้ว ตั้งตารอคอยเทพอภินิหารและรับพรที่ประมุขสำนักจะมอบให้ในวันนี้ ที่ผ่านมาทุกครั้งเทพอภินิหารจะทำให้คนตื่นตะลึงอย่างมาก ยิ่งทำให้คนเชื่อว่าประมุขสำนักของพวกเขาเป็นเทพที่จุติลงมาจากสวรรค์!
รออยู่ราวหนึ่งเค่อประมุขสำนักในชุดนักพรตเต๋าสีดำก็ค่อยๆ ปรากฏตัวกลางอากาศ เขาสวมมงกุฎสีทอง มือถือไม้ขักขระ* อันหนึ่ง แต่งตัวผสมปนเปไม่เข้าพวก รอบแท่นจุดไฟส่องสว่าง สะท้อนจนเขาราวกับกำลังเปล่งแสง
ประมุขสำนักสวดมนต์เสียงเบาแล้วกางสองแขน ในมือพลันปรากฏลูกไฟสองดวงอย่างไร้สาเหตุ เมื่อลูกไฟเคลื่อนไหว เขาก็เหวี่ยงสองมือ ทุกคนโดยรอบคล้ายจะได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
ครู่ต่อมาเขาก็ใช้ผ้าคลุมลงบนหินก้อนหนึ่งตรงหน้าแล้วตวัดไม้ขักขระ ปากก็ท่องคำอะไรบางอย่างราวกับกำลังใช้พลังเวท จากนั้นไม่นานเขาก็เปิดผ้าผืนนั้นออก เห็นเพียงข้างในมีแสงทองส่องสว่าง เปลี่ยนหินให้เป็นทองไปแล้ว!
ผู้ศรัทธาเบื้องล่างแท่นต่างส่งเสียงร้องอย่างตื่นตกใจ ในตอนนี้เองก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นกลางอากาศ
เรื่องเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เสียงดังชัดเจน
มีคนตะคอกเสียงดังทันที “ใครกัน! ใครมาก่อกวน!”
ทันใดนั้นก็มีคนชุดดำปิดบังใบหน้าลอยตัวลงมากลางอากาศ ครั้นปลายเท้าแตะลงบนขอบแท่นบูชาก็ยื่นมือไปหยิบก้อนหินที่เมื่อครู่ถูกเปลี่ยนเป็นทองขึ้นมาแล้วโยนกะน้ำหนักดู ท่ามกลางแสงไฟมีคนเห็นใต้ฐานก้อนทองนั้นเหมือนมีสีผิดปกติ
ผู้มาเยือนพลิกมือ ชั้นกระดาษทองบนก้อนทองนั้นก็หลุดออก เผยให้เห็นก้อนหินที่อยู่ใต้นั้น เขายิ้มบางๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เก็บเงินจากผู้ศรัทธามากมาย เหตุใดแม้แต่ทองจริงสักก้อนก็ยังไม่คิดจะใช้เล่า”
ประมุขสำนักชิงเหลียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พูดตะคอกว่า “นี่คือมารที่ผีร้ายส่งมา! จงใจทำลายเทพอภินิหารของข้า รีบจับตัวเขาไว้!”
ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราวกับปลาว่ายน้ำ ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่ขึ้นมาจับตัวอีกฝ่ายกลับล้มลงไปบนพื้นทีละคน
องครักษ์ที่ประมุขสำนักใช้เงินก้อนใหญ่จ้างมาเหล่านั้นพยายามอย่างสุดกำลัง กลับไม่สามารถแตะแม้แต่ชายเสื้อคลุมของผู้มาเยือนได้เลย
ผู้มาเยือนยังคงพูดช้าๆ ต่อไป “ยังมีลูกไม้ของเจ้าเมื่อครู่”
เขาใช้เท้าเหยียบกระดานแผ่นหนึ่งของแท่นบูชาจนพังแล้วยกมือหิ้วคนคนหนึ่งขึ้นมา เห็นเพียงในมือคนคนนั้นถือแผ่นเหล็กบางมากที่ล้อมรอบตัวเขา ผู้มาเยือนจับแผ่นเหล็กมาเขย่าก็ได้ยินเสียงราวกับฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้นซึ่งก็คือเสียงที่ดังก่อนหน้านี้
ผู้ศรัทธาเบื้องล่างแท่นบูชาต่างก็ตกใจ
สุดท้ายผู้มาเยือนยังลอยตัวไปที่ข้างกายของประมุขสำนักชิงเหลียน กระชากปลอกหนังบนมือของอีกฝ่ายออก จากนั้นก็หยิบกลักจุดไฟออกมาจุดไฟบนมือ ลูกไฟลูกหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
“สวมปลอกหนังกันเอาไว้ก่อน แล้วทาน้ำมันชนิดพิเศษเอาไว้ สามารถสร้างลูกไฟได้ในระยะสั้นๆ ยังมีอะไรอีก ให้ข้าคิดสักนิด…สรุปก็คือเป็นฉากหลอกลวงคนทั้งหมด เทียบกับการเป็นประมุขสำนักแล้ว รู้สึกว่าเจ้าเหมาะจะไปเป็นคณะละครมากกว่า”
ประมุขสำนักชิงเหลียนตกใจจนถอยหลังหนึ่งก้าว รู้ว่าอีกฝ่ายมาอย่างไม่เป็นมิตร แต่รอบข้างมีผู้ศรัทธามากมายมองอยู่ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความหวาดกลัวออกมาได้
“เป็นมารกำลังพูดจาเหลวไหล! พยายามจะก่อกวนการมองเห็นการได้ยิน! พิธีวันนี้เกรงว่าคงยากจะทำให้เสร็จสิ้น! ทุกคนรีบถอยออกไปเถอะ!” พูดจบเขาก็คิดจะจากไป แต่กลับถูกคนคว้าคอเสื้อข้างหลังเอาไว้แล้วยกตัวขึ้น
“มารนอกรีตอย่างเจ้ายังคิดหนีอีกหรือ” ผู้มาเยือนพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อกำจัดคนที่เป็นมารนอกรีต ทำให้ชื่อเสียงสำนักของข้าเสียหาย แค่สำนักชิงเหลียนเล็กๆ มีฝีมือน้อยนิดเท่านี้ หลอกลวงมอมเมาชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นสำนักที่ดีงามอีกหรือ”
ทุกคน “…?”
“คำพูดชั่วร้ายทำให้สับสน…” ประมุขสำนักชิงเหลียนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกบีบคอเสียแล้ว
ผู้มาเยือนชี้นิ้วไปยังที่สูงแล้วเอ่ยว่า “ทางนั้นคือเทพธิดาในสำนักของข้า”
ทุกคนเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนหน้าผาสูงมีสตรีผู้หนึ่งสวมชุดขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ กระโปรงบางพลิ้วไหวราวกับม่านเมฆ ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นนางสวรรค์ บนตัวนางยังมีเครื่องประดับมากมายที่สะบัดปลิวราวกับไอเทพ ยังได้ยินเสียงดังกรุ๊งกริ๊งแว่วๆ อีกด้วย ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างเช่นนี้ทำให้นางดูคล้ายเป็นภาพลวงยิ่งขึ้น แต่ในความคิดดูเหมือนจะวาดภาพความงามเช่นนี้ออกมาไม่ได้
“เป็นเทพอภินิหาร!”
“นี่จึงจะเป็นเทพอภินิหาร!”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พยายามทรงตัวให้มั่นคง แม้แต่ดวงตาก็พยายามกะพริบให้น้อยที่สุด ยังกังวลเล็กน้อยว่าจะมีคนจำได้ แต่ปกตินางจะปรากฏตัวอยู่เพียงในที่ว่าการเมืองสุยหยวน ผู้ศรัทธาทางสำนักชิงเหลียนนี้มาจากทุกพื้นที่ในห่วงโจว อาจจะไม่เคยเห็นนางทั้งหมด
ต่อให้เคยเห็นก็อาจจะไม่มั่นใจว่าเป็นนาง อย่างไรเสียลู่อู๋โยวไม่เพียงให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งตัว ยังแต่งหน้าให้นางด้วยตนเองอีก แต่นางคิดไม่ถึงว่าใบหน้าของตนเองยังมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย
“แต่เหตุใดข้าจึงนึกถึงฮูหยินของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ขึ้นมา…”
“นั่นเป็นใคร เจ้าพูดเหลวไหลกระมัง นี่เป็นเทพธิดาชัดๆ!”
ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยต่อท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคน “มีเพียงมารนอกรีตจึงจะร้องขอให้คนอื่นมอบเงินทองของมีค่าจำนวนมากให้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำสัญญาที่เลื่อนลอยว่างเปล่า สำนักดีงามที่ชักนำคนไปในทางที่ดีอย่างแท้จริงจะบอกเจ้าว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ทำได้เพียงอาศัยความพยายามของสองมือตน พึ่งพาผู้อื่นไม่ได้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สวรรค์มีสังสารวัฏ นี่คือหนทางที่ถูกต้อง ถ้ามีคนที่ฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ เกียจคร้านไม่รับผิดชอบ จะเรียกว่าถูกต้องได้อย่างไร”
แต่เพียงพูดคำเหล่านี้คงยากมากที่จะทำให้คนเชื่อถือได้เช่นกัน ลู่อู๋โยวจึงออกแรงที่มือ ยกตัวประมุขสำนักที่หวาดกลัวคนนั้นขึ้นแล้วเอ่ย
“พวกเจ้ายังอยากจะดูเทพอภินิหารอย่างอื่นหรือไม่ ข้าเองก็แสดงได้เช่นกัน”
อย่างไรเสียตอนเขาห้าขวบก็สามารถใช้กลไกในสำนักมาทำให้น้องสาวเบิกบานใจแล้ว
เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่านางไม่ต่างอะไรกับการไปดูละคร ยังได้ดูการแสดงของลู่อู๋โยวอีกด้วย แต่สวมเครื่องประดับเพชรพลอยทั้งตัวยืนอยู่นานเช่นนี้ นางยังคงรู้สึกหนักอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หลังถูกลู่อู๋โยวรับตัวลงมาจากบนหน้าผาแล้วเข้าไปในรถม้าเพื่อกลับเรือน นางก็ทนไม่ไหวอยากจะดึงทิ้ง ผลปรากฏว่าถูกเขาขวางเอาไว้
“เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้”
“มันเกะกะมาก” นางยังง่วงมากอีกด้วย
สายตาของลู่อู๋โยวกวาดมองบนศีรษะที่หนักอึ้งของนาง สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเลยว่าตนเองแต่งกายเช่นนี้น่าดูเพียงใด ถึงขั้นยังกลอกตามองบน ท่าทางจนใจอย่างมาก แต่อาจเพราะเป็นเช่นนี้จึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ลู่อู๋โยวถอนใจเบาๆ “ช่างเถอะ ข้าจะช่วยถอดให้เจ้า”
“อ้อ” เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “เจ้าเบาสักนิด บางอันเกี่ยวผมข้าแล้ว”
ลู่อู๋โยวช่วยถอดมวยผมให้นางอย่างเบามือยิ่ง ดึงเครื่องประดับออกอย่างระวังทีละชิ้นราวกับกำลังทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดประณีตอะไรบางอย่าง นางเงยหน้ามองเขาแล้วกะพริบตา
“สำนักชิงเหลียนถือว่าจัดการได้แล้วหรือ”
“ไม่ถือว่าจัดการได้ สำนักเช่นนี้หยั่งรากลึกมาก ผู้คนล้วนถูกชักนำความคิด หากกำจัดเปลือกนอกไม่กำจัดราก ย่อมต้องมีชาวบ้านไปหลงเชื่ออีกอยู่ดี”
ลู่อู๋โยวช่วยเฮ่อหลันฉือถอดมวยผมด้วยความอ่อนโยน ผมยาวดำลื่นของนางค่อยๆ สยายลงมา ไหลผ่านซอกนิ้วของเขา
“ข้าจะหาคณะละครสักสองคณะไปแสดงตามท้องถนนแต่ละแห่งในห่วงโจว บอกชาวเมืองว่าเป็นเรื่องเท็จทั้งหมด นอกจากนี้…ในเมื่อมีบัณฑิตมามากมายอย่างนั้นก็อาจจะเปิดสำนักศึกษา ให้ลูกหลานชาวเมืองที่ออกแรงขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบไปเรียนโดยไม่เก็บเงิน ไม่จำเป็นต้องเรียนลึกถึงสี่ตำราห้าคัมภีร์ อย่างน้อยรู้หนังสือบ้าง อ่านได้ดูเป็น ดูเอกสารที่มาจากราชสำนักได้เข้าใจ รู้กฎหมายที่สำคัญหลายข้อ จะได้ไม่ถูกหลอกเสียเปล่า”
ในคดีที่พวกเขาเจอเป็นเช่นนี้ไม่น้อย ชาวเมืองที่ไม่รู้หนังสือถูกหลอกให้ประทับลายนิ้วมือ ไปเป็นวัวเป็นม้าให้บ้านเศรษฐี หรือถูกยุยงให้ขายที่นาบรรพชนในราคาต่ำ ยังไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้อีก
ถึงแม้ปากจะพูดว่าเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาสองคนสบายขึ้นบ้าง แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ลู่อู๋โยวทำก็เพื่อให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นสักนิด
ตอนเขาอยู่สำนักราชบัณฑิตอย่างมากก็คอยดูเอกสารที่ติดต่อไปมา ไม่มีโอกาสได้ลงมือจริงจังถึงเพียงนั้น
ปิ่นปักผมของเฮ่อหลันฉือค่อยๆ ถูกลู่อู๋โยวถอดออก
ตอนที่นางเงยหน้าขึ้น สายตามองเห็นดวงตาของเขาที่หลุบลงได้พอดี เฮ่อหลันฉือค่อยๆ ผ่อนคลายลงเช่นกัน และนึกถึงความคิดหาเรื่องใส่ตัวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้คำกล่าวหาของลู่อู๋โยวจะแปลกมาก แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายของเขาไปทั้งหมด
“ลู่จี้อัน…”
“เรียกชื่อไม่ต้องมีแซ่ นั่นจะแตกต่างอะไรกับการเรียกทั้งชื่อและแซ่”
ข้อเรียกร้องของเขาช่างมีมากเหลือเกิน
“จี้…อัน”
“อีกอย่าง…” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกชื่อของข้า”
ข้อเรียกร้องของเขามีมากจริงๆ
เฮ่อหลันฉือลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อู๋โยว…”
ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “ฉือฉือ เจ้าลองเรียกชื่อซ้ำคำ จะยิ่งดูสนิทกันมากขึ้น”
“…เจ้ายังจะให้ข้าพูดอยู่หรือไม่”
ลู่อู๋โยวยกมุมปากยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้ เจ้าว่ามา”
นางจ้องมองเขา ตอนที่เขาถอดปิ่นให้นางดูเบิกบานใจมาก ไม่พูดจาแต่หางตาก็ยังยกโค้ง มุมปากแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มจางๆ แต่ทำให้คนใจเต้นได้เป็นพิเศษ
แท้จริงแล้วนางอยากจะเอ่ยชมเขายิ่งนัก รู้สึกว่าลู่อู๋โยวในตอนนี้ดีเป็นพิเศษ ดีกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวงเสียอีก ถึงแม้เขาจะงานยุ่งเท้าแทบไม่ติดพื้นจนกลับมาที่ว่าการช้า นางก็ยังรู้สึกว่าเขาดีเป็นพิเศษ
แต่ยามเผชิญหน้ากับเขาจริงๆ ก็ยากมากที่จะพูดออกมาได้
เฮ่อหลันฉือลังเลใจ ลู่อู๋โยวปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”
ผมยาวของนางสยายลงมาทั้งหมด เข้าคู่กับกระโปรงที่ราวกับมีเมฆหมอกปกคลุมนั้นแล้ว ให้ความรู้สึกบอบบางและน่าสงสารมาก
รถม้ายังเคลื่อนโคลงเคลงไปในค่ำคืนอันมืดมิด
“เจ้าอยากจะพูดอะไร”
ลู่อู๋โยวช้อนตาขึ้นมองนาง ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้ม
เฮ่อหลันฉือคิดอีกว่าขีดจำกัดต่ำสุดของนางดูเหมือนจะต่ำลงได้อีกนิด ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย นางจึงค่อยๆ ขยับริมฝีปากเอ่ยขึ้น
“อันที่จริงนอกจากบนเตียงแล้ว ถ้าไม่ถูกใครเห็นเข้าก็ใช่ว่าจะ…”
นางยังพูดไม่จบก็พบว่าดวงตาดอกท้อของลู่อู๋โยวค่อยๆ มีสีเข้มขึ้น
เฮ่อหลันฉือเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้าช้าก่อน ช้าก่อน! ข้าไม่ได้หมายถึงในรถม้า! ลู่อู๋โยว!”
ถึงแม้นางจะคิดว่าตนเองทำได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงเพียงนี้
เส้นทางบนภูเขาสูงต่ำไม่เรียบ รถม้ากระแทกไปมาอยู่ตลอด นั่งก็ยังนั่งไม่ค่อยมั่นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำอย่างอื่น ต้องเอียงซ้ายเอนขวาแน่นอน ก่อนหน้านี้เคยมีครั้งหนึ่งที่ลู่อู๋โยวจุมพิตนางจนเกินขอบเขตไปสักนิดก็เกือบจะ…
แต่เห็นชัดว่าลู่อู๋โยวขยับใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อครู่อยู่ใกล้กัน เวลานี้ยิ่งแทบจะตัวแนบชิด นิ้วยาวของเขาก็อยู่ไม่สุข ลูบไล้เส้นผมของนางพลางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าก็ทำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง เอาแต่ยั่วยวน ไม่สนใจจัดการให้เสร็จสิ้น…”
นางได้ยินเสียงลมหายใจ ไอร้อนเป่ารดใบหน้า เป็นกลิ่นกายของเขา
“ตัวเจ้าเองก็รู้ว่าพูดเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าอยากทำอะไร” เขายังแฝงการกล่าวโทษไว้เล็กน้อยอีกด้วย
พอเฮ่อหลันฉือถูกกล่าวโทษก็รู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆ แต่นางดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยว่า “นี่ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ”
ทั้งสองคนแค่นั่งอยู่ในรถม้า ตัวยังโยกไปมาอยู่เลย
“เหตุใดจะไม่สะดวก” ลู่อู๋โยวขยับเข้าใกล้อีกนิด ริมฝีปากราวกับใกล้จะแตะใบหูของนาง ยามเอ่ยปากเหมือนจะกรอกใส่หูของนางโดยตรง น้ำเสียงไม่กระจ่างใส แฝงความแหบแห้งเล็กน้อย “อีกครู่เจ้าสามารถนั่งบนตักข้าได้ เอามือพาดบนไหล่ข้า รถม้าโคลงเคลง ไม่แน่ว่าอาจจะประหยัดแรงเล็กน้อย…”
เฮ่อหลันฉืออดทนต่อไปไม่ไหว “เจ้าพูดให้น้อยลงสักนิดเถอะ!”
แค่คิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น นางก็แทบจะเงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง นิ้วมือเกี่ยวพันเส้นผมของนาง ปลายนิ้วเขี่ยติ่งหูที่แดงก่ำ หัวเราะจนมีน้ำรื้นในดวงตา “เจ้าลนลานอะไร ข้าก็แค่คิดเท่านั้น…”
แม้ร่างกายจะมีท่าทีตอบสนองแล้วจริงๆ แต่อย่างไรก็ต้องคำนึงว่านางจะรับไหวหรือไม่
เหมือนมีไหน้ำตาลใบใหญ่วางอยู่ตรงหน้า สำหรับเขาแล้วสามารถหยิบจับได้ตามใจ กินได้อย่างเต็มที่ แต่กลับไม่กล้ากินรวดเดียวมากเกินไป จะได้ไม่เป็นการกินมื้อนี้ไม่มีมื้อหน้า
“เจ้า…เจ้า…” เฮ่อหลันฉือพูดว่า ‘เจ้า’ อยู่ครู่หนึ่งก็ผลักมือของเขาออก นวดหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อ “เจ้าให้ข้าปรับอารมณ์ ทำความเคยชินสักนิดเถอะ”
ลู่อู๋โยวตกใจเล็กน้อย “หืม? คือ…หมายความว่าครั้งหน้าทำได้จริงๆ หรือ”
เฮ่อหลันฉือยื่นมือไปทุบไหล่ของเขาทีหนึ่ง พูดเสียงอู้อี้ “พูดให้น้อยสักนิดเถอะ ขอร้องเจ้าล่ะ”
โชคดีที่เฮ่อหลันฉือใจกว้างไม่คิดอะไรมาก อย่างไรเสียก็เคยทำทุกอย่างกับบุรุษผู้นี้มาแล้ว แม้จะรู้สึกเขินอาย แต่จะเขินอายไปตลอดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนยังมีงานที่ต้องปรึกษากันอีก
เวลานี้นางสามารถสงบสติลงได้มาก
ในเมื่อลู่อู๋โยวบอกว่าอยากจะเปิดสำนักศึกษาที่ห่วงโจว นางก็จะอาสาช่วยเขาทำงานเอง
เปิดสำนักศึกษาที่ห่วงโจวย่อมไม่สามารถทำให้มีขนาดเท่ากับสำนักศึกษาเจียงหลิวได้ สำนักศึกษาเจียงหลิวอยู่ใกล้ภูเขาลำน้ำ มีศาลาหอสูงกระจายไปทั่ว อยู่ในดินแดนมั่งคั่งรุ่งเรืองอย่างชิงโจว สร้างขึ้นราวกับแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ ค่าเล่าเรียนก็เก็บแพงมาก หากไม่ใช่ท่านลุงของนางลอบส่งนางไป บิดาคงจ่ายไม่ไหวแน่นอน
แต่สำนักศึกษาของพวกเขานี้สร้างเพื่อลูกหลานของชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก ต้องทำทุกอย่างให้เรียบง่าย
ทว่าห่วงโจวก็มีข้อดีของห่วงโจว ราคาบ้านเรือนถูกมาก เฮ่อหลันฉือนำลูกคิดไปด้วยยังรู้สึกตกใจ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าบ้านหลังนี้ราคาไม่ถึงสิบตำลึง”
นายหน้าขายบ้านพูดด้วยรอยยิ้มเอาใจ “ถ้าฮูหยินไม่พอใจ บ้านขนาดประมาณนี้พวกเรามีมากมาย! ก็แค่มีหลายหลังไม่มีคนอยู่มานาน อาจจะต้องซ่อมแซมสักนิด”
เฮ่อหลันฉือคำนวณบัญชี เดินไปดูหลายหลัง ตกกลางคืนจึงปรึกษากับลู่อู๋โยว
คล้ายกับตอนที่ลู่อู๋โยวให้นางดูภาพวาดบ้านตอนที่จะแต่งงานอยู่หลายส่วน นางตั้งใจเปรียบเทียบราคาและตำแหน่งที่ตั้ง พิจารณาว่าเด็กเล็กเดินทางสะดวกหรือไม่ รอบข้างปลอดภัยหรือไม่ ยังต้องเหลือที่พักให้อาจารย์ผู้สอนด้วย นอกจากนี้ยังต้องเตรียมหอหนังสือและห้องครัวให้พร้อม สุดท้ายหลังจากนางใคร่ครวญแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“การทำความสะอาดสำนักศึกษามอบให้กับคนชราไร้บ้านจากสถานพักพิงคนไร้บ้าน ครั้งก่อนข้าเดินผ่านเห็นเข้าพอดี มีคนชราที่ลูกตายไปเร็วจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถออกแรงทำนาได้ ห่วงโจวเดิมทีก็ยากจนอยู่แล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งลำบาก การทำความสะอาดไม่นับว่าเหนื่อยมาก สามารถหาเงินเสริมได้ด้วย”
“พ่อม่ายแม่ม่าย คนไร้บ้าน และคนพิการต่างได้รับการเลี้ยงดูหรือ” ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามใจเจ้าเลย แต่เรื่องนี้ดูเหมือนเจ้าจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนะ”
กระตือรือร้นยิ่งกว่าการทลายรังโจรเสียอีก
เฮ่อหลันฉือยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย “อาจเป็นเพราะข้าคิดว่าได้เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเคยเรียนหนังสือ ตอนนี้ข้าอาจจะยังงุนงงสับสนอยู่ก็ได้”
และคงไม่คิดจะต่อสู้ขัดขืนชะตาชีวิตของตนเอง ดังนั้นนางจึงอยากให้คนจำนวนมากขึ้นได้มีโอกาสเรียนหนังสือรู้อักษร
ตอนที่อยู่เมืองหลวงความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกประหลาดห่างไกลจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
“ก็ไม่เลว ถือโอกาสจับเจ้าเด็กบ้าคนนั้นยัดเข้าไปได้พอดี” ลู่อู๋โยวเอ่ยรับคำก่อนจะถาม “อายุในการรับศิษย์มีจำกัดหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือส่ายหน้า “ข้าคิดว่าถ้าเป็นคนชราที่อายุมากอยากจะมานั่งเรียนด้วยก็ทำได้เช่นกัน”
“แล้วศิษย์หญิงเล่า”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าอย่างลังเลก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็วางแผนไว้เช่นกัน เจ้าคิดว่าทำได้หรือไม่”
ถึงจะเป็นสถานที่มั่งคั่งรุ่งเรืองอย่างชิงโจว คนที่ส่งบุตรสาวไปเรียนหนังสือก็ยังมีจำนวนน้อย นับประสาอะไรกับห่วงโจวสถานที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้ นางยังกังวลอย่างยิ่งว่าจะหาคนไม่ได้
“มีอะไรไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นคนลงมือ ทุกอย่างให้เจ้าเป็นคนตัดสิน วางใจได้ หากเป็นการทำเพื่อให้บุตรสาวแต่งงานได้ดีสักนิด ต้องมีคนยินยอมแน่นอน”
เฮ่อหลันฉือมุมปากยกยิ้มอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ดี”
ด้ามพู่กันตวัดเบาๆ กลางหว่างนิ้วขาวเนียนของเฮ่อหลันฉือ นางดูแล้วผ่อนคลายและมีความสุข สีหน้าเบิกบานเล็กน้อย หากเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง หางนั้นคงจะกำลังแกว่งไปมา
ลู่อู๋โยวเอ่ยถามขึ้นทันใด “เจ้าชอบห่วงโจวมากใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือตกใจ จากนั้นก็พยักหน้าตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกลมีอิสระมาก และข้าสามารถยุ่งกับการทำงานเช่นตอนนี้ได้”
ไม่ต้องกังวลเรื่องเซียวหนานสวินตลอดเวลา และไม่มีผู้มีอำนาจสูงหรือคุณชายตระกูลใหญ่ที่หมายปองนางมากมายถึงเพียงนั้น หมวกม่านอยากใส่ก็ใส่ ไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่ อยากออกจากบ้านก็ออก อยากอยู่ในเรือนพักก็อยู่ในเรือนพัก พูดจาทำเรื่องใดไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรเช่นกัน
แน่นอนว่าเรื่องที่มีอิสระที่สุดก็คือนางไม่เพียงไม่ต้องคอยระวังตัวป้องกันตลอดเวลา ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวบ้านในท้องถิ่นได้อีกด้วย ทำงานเพื่อชาวบ้านตามกำลังที่มี แม้จะมีงานยุ่งทุกวันก็รู้สึกว่ามีความหมายมากเช่นกัน
ตอนเด็กเห็นบิดาไปมารีบร้อน นางก็เคยปรารถนาว่าวันหน้าหลังจากตนเองเติบโตจะเป็นเหมือนบิดาที่ทำอะไรเพื่อราษฎรบ้าง ภายหลังตระหนักได้ว่าในฐานะสตรีนั้นมีเรื่องมากมายที่นางทำไม่ได้ จึงค่อยๆ ล้มเลิกความตั้งใจ
คิดไม่ถึงว่าชีวิตคนจะพบความพลิกผันที่ดีขึ้นได้
นางอยากจะพูดชมลู่อู๋โยวอีกครั้ง แต่ก็ยังคงปิดปากไว้ก่อนชั่วคราวดีกว่า
ลู่อู๋โยวยกมือเท้าแก้ม เอียงศีรษะมองนาง ยิ้มจนตายกโค้ง “ข้าก็ชอบเจ้าในตอนนี้มากเช่นกัน”
ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เฮ่อหลันฉือยังคงอยู่ในที่ว่าการช่วยจัดการเอกสารที่ระยะนี้น้อยลงเรื่อยๆ จู่ๆ หนังตาก็กระตุก หัวใจวูบไหว คิดว่าอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท กำลังจะยกมือขึ้นคลึงขมับก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกที่ว่าการและมีเสียงพูดดังขึ้นซ้อนกัน
“ใต้เท้ากลับมาแล้ว!”
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
“คารวะใต้เท้าเจ้าเมือง!”
นางรีบเรียกซวงจือไปดู ทว่าไม่รอถึงซวงจือกลับมาผู้มาเยือนก็นำผู้ติดตามก้าวยาวเข้ามาในที่ว่าการแล้ว
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยม อายุราวสี่สิบห้าสิบปี ตัวไม่สูง อาจจะสูงกว่าเฮ่อหลันฉือเล็กน้อย สวมชุดขุนนางขั้นสี่ระดับเอก กลางอกเสื้อปักลายห่านป่าดั้นเมฆ ไม่มีความสง่างามเท่าไรนัก แต่บารมีขุนนางกลับฉายชัดยิ่ง
เฮ่อหลันฉือไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นเหยียนเหลียงเจ้าเมืองสุยหยวนที่พักฟื้นอยู่นอกเมืองตลอดไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น
ลู่อู๋โยวได้ยินข่าวก็รุดมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เหยียนเหลียงดูมีมารยาทมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมองสำรวจลู่อู๋โยวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็เอ่ยว่า “ตัวข้าก่อนหน้านี้สุขภาพไม่ดี ไม่สามารถมาพบเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ รู้สึกละอายใจมาก วันนี้ได้พบ เจ้าช่างดูสง่างามจริงๆ”
ปากพูดว่า ‘ละอายใจ’ แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
…ผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร
เป็นจริงดังคาด พูดทักทายไม่กี่ประโยคเหยียนเหลียงก็พูดถึงจุดประสงค์ที่มาอย่างชัดเจน
“ถึงแม้งานในที่ว่าการก่อนหน้านี้จะมีผู้ช่วยหลิ่วกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ดูแลชั่วคราว แต่เรื่องงานขุดคลองขยายแม่น้ำเป็นเรื่องใหญ่มาก ยังต้องให้ข้ามาดูแลจัดการด้วยตนเอง” เขาลูบหนวดเคราแล้วเอ่ยต่อ “ในเมื่อข้าเป็นขุนนางถือตราทางการของเมืองสุยหยวนย่อมต้องรับผิดชอบ จะผลักภาระให้คนอื่นไม่ได้ หลังจากนี้งานเหล่านี้ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เหนื่อยใจแล้ว เจ้าเพียงแค่ดูแลชาวเมืองให้ดีก็พอ แน่นอนว่าเรื่องที่ให้ฮูหยินของเจ้ามาดูแลจัดการที่ว่าการนี้เป็นการไม่เหมาะสม แต่เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ข้าจะไม่ถือสาเอาความ แต่ครั้งหน้าไม่ละเว้น”
ราวกับยังมอบบุญคุณอะไรให้อีกด้วย
เฮ่อหลันฉือสบตากับลู่อู๋โยวอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง เข้าใจในทันทีถึงความหมายของอีกฝ่าย
เรื่องใหญ่เช่นการขุดขยายแม่น้ำกับการสร้างทำนบนี้ หากทำสำเร็จก็เป็นผลงานที่เพียงพอให้เลื่อนตำแหน่งได้ ดังนั้นอีกฝ่ายมาเพื่อแย่งผลงานแน่นอน ไม่เพียงแค่แย่งผลงาน ยังคิดจะตัดลู่อู๋โยวออกไปด้วย เป็นเรื่องที่ขาดคุณธรรมไปสักหน่อยจริงๆ
แต่สามารถทิ้งงานในเมืองไว้ที่นี่โดยไม่ถามไถ่นานเช่นนี้ คิดดูก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีคุณธรรมจริยธรรมเช่นไร
ผู้ช่วยหลิ่วได้ยินก็ตกใจเช่นกัน กลั่นกรองคำแล้วเอ่ยว่า “แต่เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่เป็นคนดำเนินการด้วยตนเอง นี่เกรงว่า…”
“ผู้ช่วยหลิ่วพูดเช่นนี้ไม่ถูก งานขุดคลองขยายแม่น้ำนี้เดิมทีเป็นงานในหน้าที่ของข้า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ถือว่าล้ำเส้นทำเกินหน้าที่แล้ว ข้าไม่ได้คิดจะเอาผิด ยังจะให้ข้ามอบรางวัลแก่เขาอย่างนั้นหรือ”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกทึ่งอย่างยิ่ง แต่เวลานี้นางกับลู่อู๋โยวยังนับว่าสงบนิ่งสบายอารมณ์
ลู่อู๋โยวถึงขั้นยังมีอารมณ์พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ใต้เท้าเจ้าเมืองพูดมีเหตุผล แต่ไม่รู้ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ท่านไปทำงานอยู่ที่ใด ตอนที่เอกสารในที่ว่าการกองเป็นภูเขา ท่านไปอยู่ที่ใด”
คำกล่าวนี้เอ่ยออกมาโดยไม่เกรงใจอย่างยิ่ง
เหยียนเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดทันที แววตาก็ดุดันขึ้นมา “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่หมายความว่าอย่างไร ต่อให้เจ้ามีชื่อเสียงในการสอบยอดเยี่ยม ตอนนี้ข้าก็เป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้า ที่ว่าการเมืองสุยหยวนก็ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะกำเริบเสิบสานได้!”
คนอื่นไม่รู้กระจ่าง แต่เขารู้ดีว่าชายที่เคยมีท่าทีหยิ่งผยองตรงหน้าคนนี้คือคนที่ล่วงเกินฮ่องเต้อย่างร้ายแรงจึงถูกลดตำแหน่งและส่งตัวมาที่นี่ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายมาที่นี่ยังต้องหาเรื่องเหนื่อยใจเหนื่อยกายอีก เพราะต่อให้พยายามเพียงใดอนาคตก็ไร้ความสดใสแล้ว
เฮ่อหลันฉือเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ว่าใต้เท้าเจ้าเมือง ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ”
เหยียนเหลียงกำลังจะเอ่ยปากตำหนิ แต่พอเห็นโฉมหน้าของเฮ่อหลันฉือก็นึกถึงฐานะของนางขึ้นมา จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน
“ที่ข้าทำก็เพราะมีเหตุผล ตอนนี้ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ย่อมต้องจัดการงานในที่ว่าการอย่างเต็มที่ พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ที่ปรึกษาจู ไปเก็บตราประทับของข้ากลับมา”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.