บทที่ 31 เสี่ยงตายป้องกันเมือง
ภายในวังหลวง
ซุ่นฮ่องเต้ยังคงไม่เข้าประชุมราชสำนัก เพียงอ่านเอกสารที่ราชเลขาธิการนำถวายอยู่บนเตียง แม้แต่ฎีการ้องเรียนและทัดทานก็วางไว้ด้านข้างทั้งหมด
ผู้ที่ปรนนิบัติดูแลอาการป่วยข้างกายคือพระชายาที่อ่อนโยนเรียบร้อยคนหนึ่ง รูปโฉมงดงามและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ยังฉายความสูงสง่าออกมาอีกด้วย ทว่านางไม่ใช่ลี่เฟยผู้ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในหกตำหนัก เป็นพระมารดาขององค์ชายสามนามว่าจิ้งเฟย
นางมีชาติกำเนิดเหนือกว่าลี่เฟย ย่อมมีความนอบน้อมที่ไม่สะทกสะท้านต่อความโปรดปรานหรือเกลียดชัง
ซุ่นฮ่องเต้พอใจอย่างยิ่งในความโอนอ่อนเชื่อฟังของนาง เขายกมือคลึงหว่างคิ้ว ให้นางอ่านเอกสารให้ฟัง
เพราะการฟ้องร้องระยะนี้ทำให้เขารำคาญมากขึ้นทุกที ลงโทษก็ลงโทษแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่ขุนนางราชสำนักยังคงต้องการให้เขาแต่งตั้งรัชทายาทในเร็ววัน นอกจากนี้ยังพูดถึงความผิดในอดีตของผิงเจียงป๋อไม่จบสิ้น
ดูเหมือนว่าการปลดบรรดาศักดิ์และยึดเงินทองไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจได้
ซุ่นฮ่องเต้อ่านฎีกาสองฉบับอย่างอดทน อ่านจบก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เขาโปรดปรานลี่เฟยก็ส่วนโปรดปราน แต่ไม่ถึงขั้นโง่เขลารักทุกอย่างของนางโดยสิ้นเชิง รู้ว่าพี่ชายนางคนนี้ไร้ความสามารถ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องเลวร้ายที่อีกฝ่ายเคยทำจะมีมากมายเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาอาจจะตัดสินโทษถูกค้นบ้านยึดทรัพย์ไปแล้ว แต่ติดที่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยามาหลายปี เขาเองก็รู้สึกใจอ่อนต่อลี่เฟยมาตลอด
พอนางร้องไห้ เขาก็มักจะนึกถึงเรื่องที่วัดชิงเฉวียนหลายปีนั้น สายตาดูถูกและความทรมานที่นางทนรับแทนเขา ต่อให้ใครถามก็ไม่ยอมบอกว่าบิดาของเด็กเป็นใคร และยามดึกสงัดคนเงียบสงบก็จะขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา กอดเอวเขาอย่างพึงพอใจ พูดเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม ‘ขอเพียงพระองค์ทรงจดจำหม่อมฉันใส่พระทัยไว้ก็พอ’
เขาไม่อยากให้องค์ชายใหญ่ยึดอำนาจ แต่จะแต่งตั้งองค์ชายรองท่ามกลางแรงกดดันของเหล่าขุนนางหรือไม่ยังเป็นปัญหา
เดิมทีอาจจะพอมีความเป็นไปได้ อย่างไรเสียทั้งสองคนล้วนเป็นโอรสของพระชายา แต่ยามนี้เกิดคดีอี้โจว ทุกคนต่างชื่นชมความประพฤติอันดีงามขององค์ชายใหญ่ องค์ชายรองกลับค่อยๆ ตกต่ำลง ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เขาจะคิดพระราชทานรางวัลใช้ความโปรดปรานของฮ่องเต้มาสร้างความสมดุล แต่ผลนั้นน้อยนิดอย่างยิ่ง
เขารู้สึกผิดหวังในเรื่องนี้อยู่บ้างจริงๆ ไม่เพียงทำให้เขาเสียหน้า หอบรรลุเซียนที่เดิมทีก่อสร้างได้อย่างราบรื่นก็จำต้องปล่อยทิ้งไป ทำให้แม้แต่ลี่เฟยตั้งครรภ์อีกครั้งเขาก็ยังไม่มีความสุขมากนัก จำได้เพียงแววตาที่นางมองเขาซึ่งเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ แฝงการวิงวอนเล็กน้อย ดวงตายังคงแดงก่ำอีกด้วย
ซุ่นฮ่องเต้ยังจำได้ถึงตอนแรกที่รู้ว่าลี่เฟยตั้งครรภ์ในวัดชิงเฉวียน เขาดีใจแทบบ้า ปลอบโยนนางให้ดูแลครรภ์อย่างสบายใจ ให้สัญญาว่าวันหน้าต้องรับนางเข้าวังอย่างยิ่งใหญ่ โปรดปรานไม่เสื่อมคลายอย่างแน่นอน
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว
ครั้งนี้เขากลับใช้เหตุผลที่นางตั้งครรภ์ ต้องตั้งใจดูแลครรภ์ ให้นางไม่ต้องมาดูแลอาการป่วยของเขา จะได้ไม่ต้องพอเห็นหน้านางแล้วทำให้นึกถึงผิงเจียงป๋อ คิดถึงองค์ชายรอง คิดถึงฎีกาฟ้องร้องไม่จบไม่สิ้นนี้ รวมทั้งสภาพการณ์ที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนควบคุมไม่ได้
จิ้งเฟยอ่านเอกสารด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางมีชาติกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง รู้หนังสือ เข้าใจหลักเหตุผล ทุกการกระทำเหมาะสมตามประเพณี ซุ่นฮ่องเต้เดิมทีรู้สึกไม่สนใจ เวลานี้จิตใจว้าวุ่นกลับตระหนักถึงข้อดีของการโอนอ่อนเชื่อฟัง
ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของจิ้งเฟยเป็นผู้ตรวจการฉีโจว พี่ชายเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการเมืองหลวงแห่งสำนักตรวจการ ชื่อเสียงการเป็นขุนนางล้วนไม่เลว การที่เขาโปรดปรานนางย่อมไม่มีทางถูกวิพากษ์วิจารณ์
เขาถึงขั้นยังมีแก่ใจถามออกมาหนึ่งประโยคว่า “ระยะนี้ชิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
ที่ถามถึงคือองค์ชายสามเซียวหนานชิง
จิ้งเฟยวางเอกสารลงแล้วพูดเสียงเบา “ทูลฝ่าบาท ระยะนี้ชิงเอ๋อร์กำลังศึกษาประวัติศาสตร์ มีจุดที่ไม่เข้าใจก็ไปถามผู้บรรยายตำรา เขาบอกว่าได้รับความรู้เล็กน้อยเพคะ”
ซุ่นฮ่องเต้ถามอีกหลายประโยค แต่พอพูดถึงผู้บรรยายตำราเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบุรุษรนหาที่ตายคนนั้น จึงเรียกเผิงกงกงที่ดูแลองครักษ์เสื้อแพรเข้ามาสอบถามอีกครั้ง
เผิงกงกงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ไปประจำตำแหน่งทันที ไม่ชักช้าเสียเวลา อยู่ที่เมืองสุยหยวนได้ยินว่าทำงานยุ่งเหมือนไฟร้อนสูงเทียมฟ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซุ่นฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถาม “ไฟร้อนสูงเทียมฟ้าหรือ”
เผิงกงกงก็ไม่กล้าปิดบัง เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการดูแลเส้นทางน้ำที่แนะนำไปก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้จึงไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง ตอนนี้จึงรายงานการกระทำทุกอย่างของลู่อู๋โยวออกมาตามจริง แม้จะเป็นเพราะไม่ได้รับเงินจากลู่อู๋โยวจึงพูดอย่างเรียบง่ายมาก แต่ฟังแล้วก็น่าตกใจมากเช่นกัน
ซุ่นฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นอีก “เจ้าเมืองสุยหยวนเล่า”
เผิงกงกงตกใจ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข่าวล่าสุดที่เพิ่งมาถึงเหมือนจะเป็นว่าเจ้าเมืองเพิ่งกลับมาก็ตำหนิเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่อย่างรุนแรงยกใหญ่ แล้วรับงานในที่ว่าการมาทั้งหมด”
ซุ่นฮ่องเต้หัวเราะเยาะทีหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไร
เผิงกงกงเอ่ยต่อเสียงเบา “ฝ่าบาท ดูเหมือนโจรกบฏคนนั้นระยะนี้ก็อยู่ห่วงโจวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ…”
นอกประตูเมืองสุยหยวนมีชาวบ้านที่ลี้ภัยมาเคาะแผ่นเหล็กเสียงดังพลางตะโกนว่า “รีบปล่อยให้พวกเราเข้าไป! ปล่อยพวกเราเข้าไป! ชาวเป่ยตี๋บุกมาแล้ว!”
พอมองลงมาจากบนกำแพงเมืองก็เห็นชาวบ้านที่ล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนกนำครอบครัวมาร้องเรียก ส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็กเล็ก ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่บาดเจ็บตามร่างกาย
“เกิดอะไรขึ้น”
ชาวบ้านใต้กำแพงเมืองพูดเสียงสั่นเครือ “เป็นทหารม้าเกราะ! ทหารม้าเกราะของชาวเป่ยตี๋! ปกติพวกเขามาปล้นสะดมก็ช่างเถอะ แต่ครั้งนี้พวกเขาเผาฆ่าปล้นชิง ทำทุกอย่างตลอดทางที่พวกเขาผ่าน!”
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริมว่า “ข้าได้ยินว่าเป็นองค์ชายสามของเป่ยตี๋! เขานำผู้ใต้บังคับบัญชาบุกมาแล้ว!”
“ได้ยินว่าองค์ชายสามของเป่ยตี๋โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด! ไม่เพียงฆ่าคน ยังกินคนอีกด้วย!”
“รีบเปิดประตูสิ!”
เฮ่อหลันฉือกับลู่อู๋โยวได้ยินข่าวก็รุดมาที่ประตูเมืองเช่นกัน เสียงข้างนอกดังลอยมาอย่างชัดเจน ทว่าเหยียนเหลียงเจ้าเมืองสุยหยวนกลับพูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวทันที
“ใครก็ห้ามเปิดประตูเมือง!” ราวกับกลัวคนจะสงสัย เขาจึงพูดอีกว่า “ใครจะรู้ว่าในนี้มีไส้ศึกของเป่ยตี๋อยู่หรือไม่!”
เฮ่อหลันฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามลู่อู๋โยวเสียงเบาว่า “รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลู่อู๋โยวเอ่ยตอบเสียงเบาเช่นกัน “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าองค์ชายทั้งหลายของเป่ยตี๋กำลังก่อเรื่องเช่นกัน องค์ชายสามฉากานก่อเรื่องร้ายแรงที่สุด ข้าเดาว่าแปดส่วนคงจะล้มเหลวจากการแย่งชิงอำนาจและกำลังนำทหารหนีมาทางนี้ เผาฆ่าปล้นชิงมาตลอดทางคงเพราะไม่มีอะไรต้องห่วง ที่ผ่านมาเป่ยตี๋ปล้นสะดมจะทำเพื่อทรัพย์สินของมีค่า ไม่ถึงขั้นทำสุดโต่งเช่นนี้”
เห็นประตูเมืองไม่เปิด นอกประตูก็มีเสียงร้องตะโกนระงม ถึงขั้นมีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกอีกด้วย
“ท่านเจ้าเมือง ขอร้องท่านเปิดประตูเถอะ!”
“ชาวเป่ยตี๋ใกล้จะบุกมาถึงแล้วจริงๆ นะ! เมืองโส่วเหยียนถูกตีแตกแล้ว พวกเราหนีไม่ไหวแล้ว…”
“นายท่านทั้งหลาย ให้ลูกของพวกเราเข้าไปได้หรือไม่!”
เมืองโส่วเหยียนเป็นเมืองที่อยู่ใกล้แคว้นเป่ยตี๋มากกว่าเมืองสุยหยวน ที่ผ่านมาใช้เพื่อป้องกันชายแดน ระยะทางห่างจากเมืองสุยหยวนเพียงร้อยกว่าหลี่ ตอนนี้อีกฝ่ายคงจะกำลังทำเรื่องเลวร้ายอยู่ในเมืองนั้น
ฟังจบเหยียนเหลียงก็มีสีหน้าไม่น่าดูมากขึ้น
ลู่อู๋โยวถอนใจเฮือกหนึ่ง เดินไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่งแล้วเอ่ยว่า “ด้วยความเร็วในการส่งกองทหารออกมาของเป่ยตี๋ คงไม่ทันได้เตรียมวางไส้ศึก ถ้าใต้เท้าเหยียนไม่วางใจ สามารถแยกคุมตัวพวกเขาไว้ในที่แห่งหนึ่งเพื่อป้องกันการมีคนคิดวางแผนชั่วร้าย”
เหยียนเหลียงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใครจะเฝ้า! เจ้าจะมาเฝ้าหรือ ถ้าเปิดประตูเมืองแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าจะรับผิดชอบหรือไม่”
ลู่อู๋โยวแทบจะถูกทำให้หัวเราะออกมา
เฮ่อหลันฉือเห็นเหยียนเหลียงโกรธจนตัวสั่น เนื้อบนใบหน้าดูเหมือนจะสั่นตามไปด้วย ก็เข้าใจท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าเมืองที่แต่เดิมไม่เคยขยันทำงานมาเจอเรื่องเช่นนี้ จะไม่คิดบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาขี่หลังเสือยากจะลงได้แล้ว
ลู่อู๋โยวพูดว่า “ได้ ข้ารับผิดชอบเอง เปิดประตูเมืองได้หรือยัง”
เหยียนเหลียงรู้สึกดีใจแต่กลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้ถ้าเกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย จะโทษว่าเจ้าทำงานโดยพลการ!”
คนในเมืองได้ยินข่าวนี้ต่างก็วุ่นวายไปทั่ว
ลู่อู๋โยวรับชาวบ้านที่ลี้ภัยเข้ามา บ้านหลายหลังที่เฮ่อหลันฉือซื้อไว้ทำสำนักศึกษายังว่างอยู่พอดี จึงจัดให้คนไปพักที่นั่นก่อน นอกจากเฮ่อหลันฉือจะสั่งพ่อครัวให้ต้มโจ๊กแล้ว ยังหายาสมานแผลจำนวนหนึ่งให้อีกด้วย ฮวาเว่ยหลิงก็มาช่วยเหลือเช่นกัน
“ขอบคุณใต้เท้ากับฮูหยิน!”
“เป็นเทพบนโลกมนุษย์จริงๆ!”
หลังจากปรับอารมณ์ได้เล็กน้อยแล้วพวกเขาก็เริ่มพูดกันคนละคำสองคำถึงความน่ากลัวของชาวเป่ยตี๋
“ตอนที่ข้าหนีออกมายังได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาข้างหลังอยู่เลย…”
“พวกเขาไม่ใช่คนจริงๆ!”
มีคนพูดอย่างกังวลว่า “เมืองสุยหยวนคงไม่ถูกตีแตกกระมัง”
“นี่เป็นเมืองหลัก คงจะไม่…”
สภาพการณ์ในเมืองตึงเครียดมากขึ้น แต่ประตูเมืองปิดอยู่ ทุกหนแห่งมีทหารเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดไม่ให้เกิดเรื่อง นอกประตูไม่มีเสียงทุบประตูที่ดังสนั่นอีกแล้ว ราวกับว่าเป็นเพียงการตีตนไปก่อนไข้ ยามนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรเสียทุกอย่างตรงหน้าก็ยังคงเหมือนที่ผ่านมาไม่มีความผิดปกติใด
พอตกกลางคืน เสียงเปิดประตูเมืองทิศใต้ก็ดังขึ้นเบาๆ
ผ่านไปไม่นานมีคนไปรายงานเจ้าเมือง กลับพบว่าที่ว่าการว่างเปล่าไร้คน ภายในเรือนพักเจ้าเมืองก็เงียบเชียบเช่นกัน
“เจ้าเมืองหนีไปแล้ว!”
“เจ้าเมืองเหยียนทิ้งเมืองหนีไปแล้ว!”
“บอกว่าไปตามคนมาช่วย แต่เมืองสุยหยวนรักษาไว้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่…”
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนพูดอีกว่า “พวกเราหนีกันเถอะ!”
“แต่ประตูเมืองปิดแล้ว!”
ชาวบ้านที่ลี้ภัยมาเพิ่งสงบใจลงได้เวลานี้กลับร้อนรนแล้วเช่นกัน
“พวกเราหนีไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
“แล้วนี่จะทำเช่นไร”
เฮ่อหลันฉือเงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ปราดหนึ่งเช่นกัน รู้สึกกังวลใจขึ้นมา ถึงแม้ที่เหยียนเหลียงหนีไปจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่หลังจากนี้เล่า เมืองหยวนเซียงควรจะทำเช่นไร
ตอนนี้ไม่มีแก่ใจจะสนใจความขัดเขินแล้ว เฮ่อหลันฉือเดินออกไปแล้วบังเอิญเจอกับลู่อู๋โยวพอดี
เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ข้าจะไปพบทหารพิทักษ์เมืองสุยหยวน ตอนเจ้าคนเลวเหยียนเหลียงจากไปยังนำทหารไปด้วยร้อยกว่านาย ตอนข้าทลายรังโจรก่อนหน้านี้ข้าสั่งการค่ายทหารในเมืองไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองไปถามดู”
เฮ่อหลันฉือพูดอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ข้าจะไปปลอบขวัญชาวบ้านในเมือง…” เอ่ยจบนางก็ใคร่ครวญสักครู่ “เหยียนเหลียงไปแล้ว พวกเราจะตัดสินใจเองได้หรือ”
“ตัดสินใจเองไม่ได้ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะทำเช่นไร”
เฮ่อหลันฉือพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นข้าจะไปรวบรวมคนในเมืองไปเฝ้าระวังเมือง ยังมีคนแก่ คนป่วย สตรี และเด็กเล็กอีกจำนวนหนึ่งด้วย…”
“ให้ส่วนหนึ่งออกจากเมืองไปก่อนได้ รายละเอียดเจ้าทำตามที่เห็นควร อาศัยเพียงทหารในเมืองไม่พอแน่นอน ถ้ามีคนยินดีเฝ้าเมืองเองจะดีที่สุด แต่บุรุษส่วนใหญ่ต้องอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็ยอมจำนนให้หมด ให้พวกเว่ยหลิงกับจื่อจู๋ติดตามเจ้า จะได้ไม่มีคนก่อเรื่อง”
พวกเขาปรึกษากันเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก ราวกับเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดแล้ว
ทั้งที่เป็นกลางดึกแต่ทุกบ้านกลับจุดตะเกียงยากจะนอนหลับได้ ข่าวลืออันน่าตื่นตระหนกทุกประเภทกระจายไปทั่ว เฮ่อหลันฉือวิ่งไปทีละบ้าน เลือกคนเสร็จแล้วก็ตรงไปปรึกษากับขุนนางเฝ้าประตูเมืองทิศใต้
ขุนนางเฝ้าประตูในเวลานี้ทั้งโกรธแค้นและสับสน โกรธแค้นที่เจ้าเมืองเหยียนหนีไปเลยเช่นนี้ และสับสนว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรดี ขณะกำลังว้าวุ่นใจก็มองเห็นสตรีงดงามล้ำเลิศเดินมาหา
เฮ่อหลันฉือนั่งประจำอยู่ในที่ว่าการหลายวันย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก
ขุนนางเฝ้าประตูคิดทันทีว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่จะส่งครอบครัวจากไป ในเมื่อเจ้าเมืองเหยียนหนีไปแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่จะส่งฮูหยินกับน้องสาวจากไปมีอะไรทำไม่ได้อีกเล่า!
เขากำลังจะรับปาก กลับได้ยินเฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบาว่า “เปิดประตูเมืองให้คนแก่ คนป่วย สตรี และเด็กเล็กเหล่านี้ออกจากเมือง ไปขอความช่วยเหลือจากเมืองข้างเคียงก่อนได้หรือไม่”
ขุนนางเฝ้าประตูตกใจก่อนจะเอ่ยรับปากว่า “ดะ…ได้…”
เมื่อคนเหล่านั้นถูกองครักษ์กลุ่มหนึ่งทยอยส่งออกไปยังเมืองข้างเคียงแล้ว ขุนนางเฝ้าประตูตกตะลึง พบว่าเฮ่อหลันฉือยังยืนอยู่กับที่จึงเอ่ยขึ้น
“ฮูหยิน ท่าน…”
เฮ่อหลันฉือผ่อนลมหายใจ พูดอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่”
ฮวาเว่ยหลิงกำลังเช็ดกระบี่อย่างมีสมาธิแน่วแน่
อีกฟากหนึ่ง
มู่หลิงกำลังยืนอยู่ตรงทางที่ลู่อู๋โยวต้องเดินผ่าน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ท่าทางสง่างาม ดูแล้วเหมือนคุณชายสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิม
“ใต้เท้าลู่”
ลู่อู๋โยวหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ามาหาข้าเพื่อบอกการตัดสินใจของเจ้าหรือ ข้ามีงานยุ่งเล็กน้อย อาจจะไม่มีเวลาปรึกษากับเจ้าชั่วคราว”
มู่หลิงส่ายหน้า “ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่าทหารม้าที่ฉากานองค์ชายสามเป่ยตี๋นำมามีราวสองสามหมื่นนาย เขาเสียสติเหมือนคนบ้ามาก เมืองสุยหยวนมีทั้งหมดกี่คนเจ้ารู้กระจ่างกว่าข้า คงจะรักษาไว้ไม่ได้ ตอนนี้เจ้านำคนหนีไป ทิ้งเมืองว่างเปล่าให้เขาก็ยังทัน”
ลู่อู๋โยวพูดเสียงเรียบ “เมืองว่างเปล่าแล้วหลังจากนั้นเล่า เขาจะไม่ไล่โจมตีต่อหรือ ในเมืองมีม้าไม่พอเช่นกัน ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้จะวิ่งได้เร็วเท่าไร ถอยไป…” เขาเดินตรงไปข้างหน้าแล้วชนไหล่ของมู่หลิงให้ถอยไปโดยไม่ลังเล “กลัวตายเจ้าก็ออกจากเมืองไปพร้อมกับสตรีเด็กเล็กเหล่านั้นก่อนเลย ข้าเข้าใจได้”
มู่หลิงถูกเขาชนจนถอยไปด้านข้าง “แต่เจ้าไม่ไป ยังจะให้แม่นางฮวาอยู่ที่นี่ทำศึกเลือดกับเจ้าอีกหรือ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง มีประโยชน์ยิ่งกว่าเป็นองครักษ์ให้เจ้าเสียอีก”
“ข้าติดตามนาง ไม่ได้คิดจะให้นางมาเป็นองครักษ์ของข้า” มู่หลิงหลุบตาลงพลางเอ่ยถาม “เจ้าจะเสี่ยงตายเฝ้าเมืองจริงหรือ”
“เจ้าจะไปก็ไป อย่ามาเสียเวลาของข้า”
มู่หลิงพูดขึ้นทันใด “ก็ได้ ข้ามีองครักษ์ส่วนตัวหนึ่งพันคนพักอยู่ละแวกนี้”
ดูเหมือนตอนนี้เขาไม่ได้แสร้งสูญเสียความทรงจำแล้ว
ลู่อู๋โยวชะงักฝีเท้าแล้วหันหน้าไปเอ่ยถาม “เจ้าสูญเสียความทรงจำมิใช่หรือ จำได้อีกแล้วหรืออย่างไร”
“ข้าเองก็ไม่อยากจำได้เท่าไรนัก ตอนแรกข้าสูญเสียความทรงจำจริงๆ บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น เจ้าตรวจดูแล้วมิใช่หรือ”
“แล้วเจ้าไปเอาองครักษ์ส่วนตัวมาจากที่ใด”
“ท่านพ่อข้าทิ้งไว้”
“เจ้ายังให้น้องสาวข้าคุ้มครองเจ้าอีกหรือ เจ้าบอกว่าเจ้าเกือบตายแล้วมิใช่หรือไร”
“ข้าพาคนหนึ่งพันคนออกจากบ้านไปทุกที่ตลอดเวลาไม่ได้เสียหน่อย สำหรับที่นี่ เพราะเป็นชายแดน จึงซุ่มซ่อนคนได้ค่อนข้างง่ายเท่านั้นเอง”
“แล้วอย่างไร” ลู่อู๋โยวจ้องหน้าเขา “บอกเรื่องนี้แก่ข้ามีประโยชน์หรือ เจ้ายอมเอาคนออกมาเฝ้าระวังเมืองสู้กับเป่ยตี๋หรือไร นี่คงเป็นคนที่บิดาเจ้าทิ้งไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้ากระมัง จะว่าไปมีเพียงหนึ่งพันคนหรือ”
มู่หลิงยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ มีสองพัน แต่ข้าไม่เคยใช้งานมาก่อน อันที่จริงอยากจะทดสอบมาโดยตลอด”
อย่างไรเสียก็ไม่พอจะก่อกบฏ
ลู่อู๋โยวพูดอย่างเย็นชา “เจ้าพูดความจริงสักสองประโยคได้หรือไม่”
มู่หลิงหัวเราะเล็กน้อย “พูดความจริงทั้งหมดข้าคงตายไปนานแล้ว”
ตอนฟ้าเริ่มสางบนพื้นราบก็เริ่มเห็นทหารม้าเป่ยตี๋เข้ามาใกล้ ควันแจ้งสงครามพวยพุ่ง คนที่เป็นผู้นำมีรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว
จำนวนคนในเมืองไม่พอจริงๆ
ผู้บัญชาการอวี๋ที่เฝ้าระวังในเมืองสุยหยวนเวลานี้คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน ทว่าพอเห็นลู่อู๋โยวเดินมาด้วยสีหน้าสงบนิ่งก็เหมือนกับได้เจอขุมพลังหลัก เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย แต่เวลานี้เขาไม่มีแก่ใจสนใจเรื่องอื่นแล้ว
เจ้าเมืองหนีไปแล้ว! มีคนยอมออกมาควบคุมสถานการณ์หลักได้นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ว่า…
ผู้บัญชาการอวี๋ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังความจริง ทหารเฝ้ารักษาเมืองมีไม่ถึงพันนาย”
“แล้วอาวุธโดยเฉพาะธนูเล่า ยังมีเครื่องมือป้องกันเมือง ในห้องคลังมีอยู่หรือไม่”
“ของพวกนั้นมีอยู่ แต่จำนวนคน…” ผู้บัญชาการอวี๋พูดอย่างอึกอัก
ที่นี่เป็นเหมือนที่อื่นในต้ายง ในกองทหารมีความอดอยากรุนแรง
“โชคดีที่ฝ่าบาททรงเสริมค่าใช้จ่ายแก่ค่ายทหารเก้าแห่งที่ชายแดน ไม่เช่นนั้นตอนนี้เหล่านักรบเกรงว่าคงไม่มีแก่ใจออกรบ เรื่องนี้ยังต้องขอบคุณใต้เท้าลู่มาก”
พรรคชังซานที่ลู่อู๋โยวไปทลายรังมาก่อนหน้านี้ยังมีคนกว่าพันคนอยู่ในเมือง ให้พวกเขาไปทำงานขุดแม่น้ำยังพอว่า จะเกลี้ยกล่อมให้เสี่ยงตายรักษาเมืองได้หรือไม่ยังพูดได้ยาก อย่างไรเสียเดิมทีก็เป็นพรรคที่มีคนหลายกลุ่มมารวมตัวกัน
ทางด้านเฮ่อหลันฉือก็รวบรวมชายฉกรรจ์อายุน้อยมาได้เกือบพันคนเช่นกัน
“ใต้เท้าลู่บอกว่าจะลุย! พวกเราก็จะทำตามใต้เท้าลู่!”
“เป่ยตี๋จะบุกมาจริงหรือ”
“ถ้าเป็นเจ้าคนแซ่เหยียนนั่น ถุย ข้าไม่ทำหรอก!”
พวกเขายังคงไม่ค่อยมีความรู้สึกถึงอันตราย ที่ผ่านมาเป่ยตี๋มารุกรานก็ไม่ได้เล่าลือกันจนน่าตื่นตระหนกมากนัก
ลู่อู๋โยวขอให้ผู้ช่วยหลิ่วกับผู้บัญชาการอวี๋ช่วยกันนับจำนวนคน ส่วนตนเองเริ่มส่งสัญญาณควันเรียกคน แต่ชาวยุทธ์ที่สามารถระดมมาได้ในเวลานี้คงไม่มากนัก เรื่องนี้ทำให้รู้สึกร้อนใจมากจริงๆ
แน่นอนว่าเดิมทีถูกลดตำแหน่งย้ายมาสถานที่เช่นนี้ต้องคาดเดาได้บ้างไม่มากก็น้อย
ในสายตาของพวกเขา ลู่จ้วงหยวนที่มือไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ตอนนี้เกรงว่าคงกำลังเร่งรีบเอาชีวิตรอด
องครักษ์ส่วนตัวที่มู่หลิงเรียกเข้าเมืองมาก่อนที่ฟ้าจะสว่าง แต่เพราะความมืดดำไปทั่วจึงทำให้เกือบจะถูกเข้าใจว่าเป็นชาวเป่ยตี๋มาโจมตี
หลังจากลู่อู๋โยวให้คนนับจำนวนแล้วก็พบว่า…
มู่หลิงยักไหล่ “เกิดเรื่องกะทันหัน เรียกตัวมาได้มากถึงเพียงนี้ก็ไม่เลวแล้ว และเพื่อสะดวกในการเคลื่อนพล สัมภาระอะไรก็ไม่ได้เอามาด้วย ในเมืองมีเสบียงพอหรือไม่ เจ้าคิดจะต้านไว้กี่วัน”
ลู่อู๋โยวคร้านจะสนใจเขา แต่ยังคงว่าไปตามเรื่อง พูดขอบคุณไปหนึ่งประโยค “เรื่องนี้ถือว่าข้าขอบคุณเจ้า”
“อย่างไรเสียเก็บไว้ให้ข้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำเช่นนี้ท่านพ่อข้าคงจะพอใจมากกว่า หากเมืองนี้รักษาไว้ไม่ได้จริงๆ ขอแนะนำให้เจ้ารีบ…”
ลู่อู๋โยวพลันพูดขึ้น “เหตุใดยังมีคนตาสีฟ้าด้วย”
“เพราะท่านพ่อข้าชอบคนต่างแคว้นมาก ช่วยชีวิตไว้ไม่น้อย คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่เคยได้รับเมตตาจากท่านพ่อข้า น่าจะเชื่อใจได้”
“เชื่อใจได้เหมือนเจ้าหรือ”
มู่หลิงยิ้มบางๆ
ลู่อู๋โยวก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน “เอาเป็นว่าถ้ามีปัญหา ทุกคนก็ตายไปพร้อมกัน”
อย่างไรเสียสุยหยวนก็เป็นเมืองชายแดน การสร้างเมืองจึงทำไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ รอบนอกมีคูน้ำป้องกันเมือง ประตูเมืองสี่ทิศมีกำแพงล้อมด้านนอกอีกชั้น
แม้จะไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ แต่ปกติเมื่อมีโจรอันธพาลมารุกราน ขอเพียงเฝ้าระวังรักษาเมืองให้ดีก็ไม่สามารถบุกโจมตีในเมืองได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่ครั้งนี้กลับคาดเดาได้ยากมาก
หลังจากนับจำนวนคนเสร็จ คนหลายพันคนนี้ถูกแบ่งไปเฝ้าระวังทั้งสี่ประตู คนที่ประจำประตูทิศเหนือที่รับศัตรูโดยตรงมีมากที่สุด มือธนูพร้อมสรรพ ยังให้คนเตรียมหม้อใบใหญ่ตั้งน้ำมันร้อนระอุไว้บนกำแพงเมือง ยังมีหินก้อนใหญ่อีกด้วย
ลู่อู๋โยววุ่นวายมาทั้งคืน เห็นเฮ่อหลันฉือกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ว่าการนับจำนวนธัญญาหารและสมุนไพรที่เก็บไว้ในคลัง บนใบหน้าเล็กแฝงความเหนื่อยล้าเล็กน้อยเช่นกัน ยามปกติตามตารางการใช้ชีวิตของเฮ่อหลันฉือ เวลานี้นางต้องเข้านอนไปแล้ว
ตั้งแต่แต่งงานกับเขานางถูกบังคับให้ไม่ได้นอนกลางคืนเป็นบางครั้ง ตอนนี้รอนแรมมาถึงที่นี่ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก
ตอนเขาเดินไปหา นางเพิ่งตัวโงนเงนแล้วฝืนตัวให้อยู่นิ่ง เขาแตะไหล่ของนางแล้วเอ่ยว่า “ไปพักผ่อนสักครู่เถอะ”
เฮ่อหลันฉือได้ยินเสียงก็ตกใจก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ “รอข้านับเสร็จก่อน” นิ้วมือของนางยังวางอยู่บนลูกคิด
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้านับ จะฝืนไปไย”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเครียดว่า “เจ้าเองก็ยังไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน”
เดิมทีนางไม่ต้องเอาตัวมาเสี่ยงเช่นนี้ก็ได้
ลู่อู๋โยวรู้ว่าตนเองต้องอยู่ต่อแน่นอน ให้เขาทิ้งเมืองหนีไปก็ไม่ค่อยต่างอะไรกับการฆ่าเขา ถึงขั้นต่อให้ไม่พูดถึงคุณธรรมแผ่นดินอะไร แต่หลักการเป็นมนุษย์ของเขาก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
ชีวิตมนุษย์จะยาวหรือสั้นไม่สำคัญ ขอเพียงไร้ซึ่งความละอายใจก็พอ
แต่ต่อให้รู้ว่าเฮ่อหลันฉือไม่ใส่ใจ เขายังคงคิดว่าเป็นตัวเขาเองที่พานางมาอยู่ในพื้นที่อันตรายแถบนี้ หากเป็นไปได้เขาย่อมหวังว่าชีวิตของนางจะสงบสุขและมั่นคง ไม่ใช่เต็มไปด้วยอันตรายตลอดเวลา
เฮ่อหลันฉือเงยหน้าขึ้น เห็นแววตาเหมือนใช้ความคิดในดวงตาของลู่อู๋โยวก็รู้แล้วว่าเขาคงจะคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องบางอย่างอีกแล้ว
ความคิดของคนคนนี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดขึ้น
นางได้แต่พูดเสียงดังขึ้น “ไม่ต้องคิดว่าข้าน่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ได้แล้ว ตอนนี้ข้ามีความสุขดีมาก ถ้าเจ้าส่งข้าจากไปข้าจึงจะรู้สึกโกรธ”
“ข้าไม่ได้คิดจะส่งเจ้าจากไป”
ส่งตัวนางจากไปก็มีอันตรายเช่นกัน อยู่ในสายตาทำให้สบายใจได้มากกว่าเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ข้าถึงขั้นคิดว่าข้าสามารถสวมชุดเกราะไปเป็นมือธนูบนกำแพงเมืองได้หรือไม่”
ลู่อู๋โยวบีบแก้มของนาง พูดทีเล่นทีจริงว่า “เช่นนั้นออกจะเสียดายของเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเจ้าไปยืนอยู่บนกำแพงเมือง บอกให้พวกเขาวางอาวุธลงอาจจะมีคนรับคำก็ได้”
เฮ่อหลันฉือจับมือของเขาลงมาแล้วพูดเร่งอย่างจนคำพูด “ถ้าไม่ไปพักผ่อนก็ไปทำงานเถอะ เร็วเข้า”
ลู่อู๋โยวพูดอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเย็นชานัก”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 19 มิ.ย. 2568)
Comments
comments
No tags for this post.