บทที่สิบ
วันรุ่งขึ้นฉยงเหนียงตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากตักน้ำมาล้างหน้าหวีผมแล้ว นางก็เปลี่ยนสวมชุดกระโปรงที่เลือกออกมาเมื่อวาน ยังดีชุดกระโปรงที่ฉู่เสียมอบมาล้วนเป็นสีสันที่ไม่ฉูดฉาด ไม่มีลวดลายหลากสีละลานตาที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวง
เมื่อคืนหลังจากลองสวมชุดกระโปรงแพรระบายจีบสีเขียวถั่วลันเตาตัวหนึ่ง ฉยงเหนียงก็หยิบเข็มกับด้ายมาเย็บแก้แขนเสื้อกับช่วงเอว ทำให้ชุดกระโปรงตัวนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเข้ารูปงามสง่าขึ้นมาก
เดิมทีฉยงเหนียงก็เป็นคนที่รักสวยรักงามอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังจากเกิดใหม่ไม่มีโอกาสได้สวมชุดกระโปรงที่งดงามเลย กระทั่งมีโอกาสวันนี้นางจึงอดไม่ได้ที่อยากจะแต่งตัวสักหน่อย ทว่านึกถึงฐานะของตนในปัจจุบัน อย่างไรเสียก็ยังคงต้องเบามือสักนิด
เมื่อมุ่นมวยสูงทรงเมฆาให้ตนเองดูสวยอยู่สักพัก นางก็รื้อออกแล้วหวีเป็นมวยอันเรียบง่ายอยู่หลังศีรษะ เพียงใส่ความคิดกับลูกผมตรงหน้าผากและริมจอน โดยถักเป็นเปียที่เล็กละเอียดหลายเส้นก่อนรวบเกล้าไปกับมวยผม ทำให้หน้าผากแลดูหมดจดสะอาดตา ลายเส้นของรูปหน้าก็ยิ่งงามละมุนละไม
สำหรับเครื่องประดับ ฉยงเหนียงเลือกเพียงปิ่นดอกอิงหนึ่งอัน กระทั่งต่างหูก็ไม่ใส่ แป้งชาดก็ไม่ได้ใช้ พอสะพายหีบใบเล็กที่ใส่แท่งหมึกกับพู่กันแล้ว นางก็ออกจากประตูมาด้วยรูปโฉมที่ดูสดใสอ่อนวัย
เนื่องจากวันนี้คือเทศกาลซั่งซื่อ ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าหยวนแล้ว เชื้อพระวงศ์กับบุตรหลานของชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานล้วนเข้าวังร่วมฉลองเทศกาลได้
อย่างไรเสียสตรีชั้นสูงในวัยปักปิ่นเหล่านี้ต่างก็ต้องหาบุรุษที่เหมาะสมมาหมั้นหมาย หากสองฝ่ายฉวยโอกาสใช้เทศกาลซั่งซื่อมาทำความรู้จักกัน ได้เห็นรูปโฉมและความสามารถของสตรีชั้นสูงเหล่านี้ก่อนค่อยตัดสินใจ ก็จะลดการเกิดชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่นได้
ในเมื่อเป็นงานดูตัวทางอ้อม เดิมทีฉู่เสียจึงไม่อยากจะเข้าร่วม เพียงแต่ต่อมาพลันนึกสนุกถึงได้ตอบรับคำเชิญ
แม้จะต้องเข้าเฝ้า แต่อย่างไรเสียก็มิใช่การประชุมขุนนาง จึงไม่ต้องสวมชุดพิธีการ เขาเลือกเพียงชุดยาวตัวหลวมสีขาวแกมเทาอ่อนที่ทอจากใยปอเนื้อละเอียด คลุมทับด้วยเสื้อกั๊กแพรสีเทาโดยไม่รัดสายคาดเอว เข้าคู่กับเกี้ยวหยกครอบมวยสูง
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การแต่งกายเช่นนี้เกรงจะถูกมองว่ารุ่มร่ามมอซอเกินไป แต่โชคดีที่เขารูปกายสูงใหญ่ ทั้งคิ้วตาก็เจือความเฉยเมยที่ผลักไสผู้อื่นไปไกลนับพันหลี่ จึงกลับกลายเป็นดูผ่าเผยผ่อนคลาย ไร้พันธนาการดั่งปุยเมฆที่ลอยล่อง ดุจกระเรียนในพงไพร
รอจนฉู่เสียเดินมาถึงหน้ารถม้า เหลือบไปเห็นถั่วลันเตาน้อยสีเขียวสดใสที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเมล็ดนั้นแล้ว เขาก็มุ่นคิ้วนิดๆ ก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดแต่งตัวเรียบง่ายถึงเพียงนี้เล่า”
เห็นฉู่เสียไม่พอใจ ฉยงเหนียงก็คิดว่าเขาคงรู้สึกว่านางกำลังเปิดโปงค่าตัวห้าเฉียนของตนเองอยู่ “ถ้าอย่างไร…ข้าน้อยจะกลับไปประดับปิ่นเพิ่มอีกสักหน่อย”
ฉู่เสียชำเลืองมองนางขึ้นลงอีกปราดหนึ่ง เขามิอาจไม่ยอมรับ ต่อให้ไม่ประดับปิ่น ไม่ทาแป้งแต้มชาด แม่นางน้อยผู้นี้ก็งดงามจนทำให้ผู้อื่นไม่อาจละสายตาแล้ว ดังนั้นเขาจึงขึ้นรถม้าพลางตอบ “ไม่ต้องหรอก รีบขึ้นรถม้าเตรียมตัวเข้าวังเถอะ”
ฉยงเหนียงผงกศีรษะ รีบไปขึ้นรถม้าคันเล็กที่อยู่ด้านหลังรถม้าของฉู่เสีย แล้วมองผ่านม่านรถไปยังถนนอันคุ้นเคย
ชาติก่อนนางเคยผ่านถนนเส้นนี้นับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ทุกครั้งที่มุ่งหน้าไปล้วนไม่มีแก่ใจจะชมดูทัศนียภาพนอกหน้าต่าง หัวใจทั้งดวงคิดถึงแต่หัวข้อต้องห้ามและขอบเขตที่จะสนทนากับผู้อื่นตอนเข้าวัง
ทว่าตอนนี้นางกลับสามารถชื่นชมภาพอันครึกครื้นบนท้องถนนด้วยหัวใจที่ไร้ภาระแล้ว
เนื่องจากเป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ ทั่วถนนจึงเต็มไปด้วยหญิงสาววัยกำดัดละลานตา พวกนางต่างถือโคมสีสดปลิวไสว ศีรษะเสียบดอกไม้แซมผม เพียงแต่หญิงสาวเหล่านั้นล้วนมีบิดามารดาเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง ผิดกับนางที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะได้กลับไปอยู่ข้างกายบุพการีอีกครั้ง…
รอจนเข้าสู่ประตูวังหลวง ฉยงเหนียงก็ลงจากรถม้า เดินติดตามข้างกายฉู่เสียในฐานะสาวใช้ประจำตัวเขา โดยมีคนในวังเป็นผู้นำทางไปจนถึงตำหนักจื่อซวินที่อยู่ติดกับอุทยานไม้ดอก
พอเข้าไปในตำหนักจื่อซวิน สายตาก็เห็นแต่ผู้คนในอาภรณ์หรูหราประดับเกี้ยวทองคำบนศีรษะ นั่งแยกกันซ้ายขวา โดยชายหนุ่มรูปงามที่ยังไม่แต่งงานล้วนนั่งอยู่ในโถงตะวันออก
“ท่านอ๋อง ไฉนเพิ่งมาถึงเล่า ขาดท่านแค่คนเดียว ก็ไม่อาจเป็นงานเลี้ยงอันยอดเยี่ยมแล้ว!” คุณชายชุดม่วงร่างผอมสูงผู้หนึ่งยืนขึ้นกวักมือเรียกฉู่เสีย
ฉยงเหนียงมองตามเสียงไป คุณชายผู้เปล่งเสียงเรียกนั้นนางก็รู้จัก เขามีนามว่าหลูเจวี้ยน ตอนนี้เป็นเพียงคุณชายรองของจวนเว่ยเหวินโหว* ที่ตกต่ำอยู่บ้าง ทว่าอีกสิบปีให้หลังนั้นไม่ธรรมดาทีเดียว เขาจะเป็นถึงรองเสนาบดีกรมทหาร ในมือกุมอำนาจใหญ่ ได้คุมไพร่พลทั้งของเมืองหลวงและเมืองหลวงสำรอง ทั้งยังเป็นศัตรูของซั่งอวิ๋นเทียนในราชสำนัก
เพียงแต่ตอนนี้ในชาติก่อน นางมัวแต่คิดว่าจะแสดงฝีมือวาดภาพเช่นไร จึงไม่เคยสังเกตว่าหลูเจวี้ยนกับฉู่เสียสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
หลูเจวี้ยนกับชายหนุ่มหลายคนนั่งอยู่ตรงมุมไกลสุดของโถงตะวันออก คนที่นั่งร่วมโต๊ะนี้นอกจากหลูเจวี้ยนซึ่งเอ่ยนามได้ ก็ยังมีองค์ชายรองหลิวเหยี่ยนอยู่ในจำนวนนั้นด้วย
หลูเจวี้ยนเรียกฉู่เสียนั่งลงแล้วยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าหลายวันมานี้ท่านอ๋องเอาแต่ฆ่าเวลาอยู่ในคฤหาสน์ที่ชานเมืองหลวง ไม่ยอมเข้าเมืองมาเลย เป็นอะไรไป หรือว่ากลัวฉากวางอำนาจที่ ‘ท่านผู้นั้น’ แสดงให้ท่านดู?”
ฉู่เสียได้พบสหายในวัยเด็ก ท่าทีเฉยเมยต่อหน้าผู้อื่นจึงลดทอนลง หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเหยียดยกมุมปาก “มิสู้บอกว่าคนผู้นั้นกลัวข้าจะเข้าเมืองไปหาเรื่องเขามากกว่า”
หลูเจวี้ยนย่อมรู้จักพฤติกรรมบ้าบิ่นของสหายผู้นี้ จึงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างก่อนส่งสายตาให้ “ ‘ท่านผู้นั้น’ มองท่านอยู่ตลอดเลยเชียว!”
ฉยงเหนียงอาศัยว่ายืนในตำแหน่งอันสะดวกที่ด้านหลังฉู่เสีย จึงมองตามสายตาของหลูเจวี้ยนไป เห็นรัชทายาทหลิวซีฉาบยิ้มบนใบหน้านิดๆ สายตาราวเผอิญพลิ้วมาทางนี้พอดี
พอเห็นฉู่เสียหันหน้ามา รัชทายาทก็ชูจอกอมยิ้มแฝงนัย ก่อนจะดื่มสุราในจอกจนหมด
สองฝ่ายแค่เพียงมองตอบกันโดยบังเอิญเที่ยวเดียว ฉยงเหนียงที่เป็นผู้ชมก็ใจสั่นขวัญผวาแล้ว ฉู่เสียกระทำการอุกอาจเสมอมา ทั้งสนิทสนมกับองค์ชายรองมาก ไม่แปลกเลยหากเขาจะยิ่งกลายเป็นเสี้ยนหนามที่ตำตาตำใจรัชทายาท
ตอนนี้เมื่อหวนนึกถึงอุบัติเหตุรถม้าที่ตำบลฝูหรงหนนั้น ฉยงเหนียงก็รู้สึกว่าผู้วางยาพิษม้าอาจเป็นคนที่รัชทายาทซึ่ง ‘อมยิ้มชูจอก’ ผู้นั้นส่งมา…
ข้าจะต้องรีบหาเงินให้หลุดพ้นทะเลแห่งทุกข์ หลีกลี้ให้ไกลจากโจรกบฏผู้นี้โดยเร็ว! ฉยงเหนียงปลุกเร้าตนเองในใจอีกครั้ง
ตอนนี้เองเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของหญิงสาวก็แว่วมาจากโถงตะวันตก เหล่าตัวเอกของเทศกาลซั่งซื่อในวันนี้ต่างพากันเดินเฉิดฉายเข้ามาในชุดอาภรณ์แพรพรรณอันวิจิตร
หลูเจวี้ยนชะเง้อคอมองดูสตรีชั้นสูงวัยกำดัดเหล่านั้น สายตาสอดส่ายไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนเอ่ยอย่างผิดหวัง “ได้ยินคนแอบพูดกันว่าบุตรีภรรยาเอกสกุลหลิ่วเพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถอย่างไร้ผู้เปรียบ ไฉนข้าทอดตามองไปกลับไม่เห็นสักคนที่โดดเด่น”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ทำทีว่าเผอิญเหลือบเห็นเงาร่างสีเขียวถั่วลันเตาที่อยู่ด้านหลังของฉู่เสีย “ทว่า…ท่านอ๋องกลับไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว คนงามนี้เสาะหามาจากที่ใดกันนี่”
คิ้วตาของฉยงเหนียงไม่ได้ช้อนขึ้น เพียงรู้สึกว่าคนประเภทเดียวกันถึงมารวมกลุ่มกันได้ ที่แท้ว่าที่รองเสนาบดีกรมทหารผู้นี้ในวัยหนุ่มก็ไม่สำรวมวาจาเช่นกัน พึงรู้ว่าเขาในอีกสิบปีข้างหน้ายามพบปะนางในงานเลี้ยงทุกครั้งล้วนปฏิบัติตนเป็นสุภาพชนเสมอ
คนอื่นๆ ได้ยินหลูเจวี้ยนกล่าวเช่นนี้ก็พากันช้อนตาไปมองฉยงเหนียง ดวงตาแต่ละคู่ล้วนพลันสว่างวาบ ล้วนเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลางอ๋องรู้จักเสพสุขมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กินน้ำแกงข้นที่กลมกล่อม ลิ้มอิสตรีที่โฉมงาม ของดีหายากในใต้หล้าล้วนไปอยู่ในจวนของเขาทั้งสิ้น
ฉู่เสียหันหน้าไปเอ่ยกับฉยงเหนียงทันที “จงไปรอที่ด้านข้าง”
ด้านข้างที่เขาเอ่ยถึงก็คือระเบียงยาวข้างโถงตำหนัก สาวใช้ผู้ติดตามของเหล่าผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่ล้วนคอยอยู่ที่นั่น เนื่องจากเป็นเทศกาลซั่งซื่ออันรื่นเริง ให้ความสำคัญกับบรรยากาศอันคึกคักครึกครื้น บรรดาข้ารับใช้ซึ่งคอยอยู่ที่ทางระเบียงจึงได้รับน้ำชากับลูกอมด้วย
ฉยงเหนียงรับลูกอมที่นางกำนัลแจกจ่ายให้ แล้วไปนั่งกินแกล้มน้ำชาบนเก้าอี้ยาวของทางระเบียง พอมองผ่านแนวเสาระเบียงไป นางก็เห็นหลิ่วผิงชวนยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงยงหยางด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
การเสริมบรรยากาศด้วยภาพวาดและบทกวีในช่วงเปิดงานเทศกาลซั่งซื่อของวังหลวงนั้นเป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าหยวน หลังจากแสดงภาพวาดและโคลงกลอนแล้ว ผู้คนในโถงตะวันออกและตะวันตกก็มักจะรวมตัวกันดื่มสุราสรวลเส ถัดจากนั้นก็คือการจุดและลอยโคมดอกบัวริมแม่น้ำวั่งโยว
เพื่อให้เห็นว่าราชวงศ์มีความเที่ยงธรรม ลำดับที่จะออกมาแสดงฝีมือจึงใช้วิธีจับสลาก แม้แต่สตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์ก็เช่นกัน
หลิ่วผิงชวนจับสลากแล้วเห็นว่าลำดับของตนอยู่ท้ายๆ ก็พลันโล่งใจ ชาติก่อนฉยงเหนียงก็จับได้ลำดับท้ายสุด ข้อดีของการออกแสดงเป็นคนสุดท้ายก็คือทำให้ผู้คนตื่นตะลึง และกลายเป็นการแสดงปิดท้ายอันเยี่ยมยอด
พออารมณ์พลันผ่อนคลาย นางก็เงยหน้าสอดส่ายสายตาไปทั่ว จนกระทั่งเห็นเจ้าของชุดสีเขียวถั่วลันเตาที่อยู่ตรงทางระเบียง หางคิ้วจึงเชิดขึ้นนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ถึงกับตกอับเพียงนี้เชียวหรือนี่
หลังจากสตรีชั้นสูงสองนางแสดงฝีมือวาดภาพจบ หลิ่วผิงชวนก็อ้างว่าจะไปปลดเบาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง รอจนเดินมาถึงทางระเบียงก็ปรายตามองฉยงเหนียงปราดหนึ่งราวไม่ตั้งใจทว่าก็คล้ายเจตนา
ผ่านไปสักพัก ยามที่นางออกมาจากห้องปลดเบาก็เห็นฉยงเหนียงยืนอยู่ไม่ไกลดังคาด
“ไยพี่สาวจึงอยู่ที่นี่ได้” หลิ่วผิงชวนเบิกตากลม ทำทีเป็นถามอย่างฉงน
ฉยงเหนียงช้อนตามองประกายมุกเต็มศีรษะของ ‘น้องสาว’ ผู้นี้ก่อนยิ้มตอบ “ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก แค่เพียงอยากเตือนน้องสาวสักหน่อย ปิ่นปักผมหากเสียบมากเกินไป คงไม่แคล้วดูสามัญราวอยู่ตามตรอกถนน”
ในเมื่อชาติก่อนสองคนเคยอยู่ร่วมกันช่วงเวลาหนึ่ง ฉยงเหนียงย่อมรู้ว่าจุดอ่อนของหลิ่วผิงชวนคือสิ่งใด
พอคำว่า ‘สามัญ’ หลุดออกจากปากก็ทำให้หลิ่วผิงชวนหน้าเปลี่ยนสีดังคาด นางจ้องฉยงเหนียงตาเขม็ง แม้อีกฝ่ายไม่ได้เขียนคิ้วผัดแป้ง แต่กลับมีความงามเฉพาะตัวไปอีกแบบหนึ่ง สองฝ่ายเปรียบกันแล้ว ปิ่นมุกเต็มศีรษะของตนแลดูจงใจพยายาม เป็นรองกว่าจริงเสียด้วย
หลิ่วผิงชวนแค้นใจที่ฉยงเหนียงข่มเหนือศีรษะตนไปเสียทุกด้าน กระทั่งตกอับเป็นข้ารับใช้แล้วก็ยังทำตัวสูงส่งเชิดรูจมูกมองคนอยู่เช่นนี้
หลิ่วผิงชวนคร้านจะเสแสร้งต่อไป จึงยกยิ้มมุมปากก่อนกล่าว “เหล่านี้คือเครื่องประดับเก่าที่เป็นสินเจ้าสาวของท่านแม่ข้า ย่อมไม่มีราศีตลอดร่างเฉกเช่นของพี่สาว ได้ยินว่าหลางอ๋องมือเติบกับหญิงงามยิ่งกว่าเรื่องใด ยามนี้ดูแล้วมิใช่คำเท็จเลย เพียงไม่รู้ว่าพี่สาวไปเอาอกเอาใจหลางอ๋องเช่นไรกัน เขาถึงได้ยอมพาท่านเข้าวังมาเปิดหูเปิดตาเช่นนี้”
ฉยงเหนียงถูกประชดประชันแต่กลับคลี่ยิ้มโดยไม่มีโทสะแม้สักนิด จวบจนเสียงโห่ร้องชื่นชมเป็นระลอกแว่วจากโถงตำหนักมาเข้าหู นางถึงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ได้ยินว่าน้องสาวใช้ความสามารถสยบผู้คน ออกหนังสือรวมบทกวีไม่พอ วันนี้ยังจะตวัดพู่กันต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย หากข้าอยู่ที่ตำบลฝูหรงย่อมได้แต่นั่งเศร้าทอดถอนใจอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่คาดคิดเลยว่าหลางอ๋องจะเมตตา ยอมพาข้าเข้าวังมาเปิดหูเปิดตาด้วย ข้าย่อมต้องดูสักหน่อยว่าหากน้องสาวไม่มีผู้ตวัดพู่กันแทน ฝีมือวาดภาพจะเป็นเช่นไร”
ถึงจะรู้ว่าฉยงเหนียงพูดถากถางที่ตนขโมยบทกลอนของนาง หลิ่วผิงชวนก็ยังคลี่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ค่อยจริงใจก็ตามที “มีผู้โดดเด่นเช่นพี่สาวเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ก่อน น้องสาวไหนเลยจะกล้าเกียจคร้าน อีกประเดี๋ยวท่านคอยดูก็แล้วกัน รับรองว่าท่านจะต้องตื่นตะลึงแน่!”
ฉยงเหนียงมองดูสีหน้าอันคุ้นตานั้น ชาติก่อนตอนถูกจับได้คาเตียงว่าเล่นชู้กับสามีผู้อื่น อีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้จักยางอายเช่นเดียวกันนี้
ตอนนั้นนางเผชิญกับความหน้าด้านหน้าทนของหลิ่วผิงชวนอย่างอับจนปัญญา แต่ครานี้นางวางใจลงได้แล้ว
ประเสริฐแท้ กลัวก็แต่ว่าน้องสาวที่แสนดีผู้นี้จะไม่ยอมเลียนแบบตามอย่าง ‘ผู้โดดเด่น’ ตอนนี้ฉยงเหนียงแน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าคุณหนูหลิ่วผู้นี้จะใช้ลูกไม้เก่า แสดงฉากความสำเร็จของนางในชาติก่อนซ้ำอีกรอบ
หลิ่วผิงชวนพูดถ้อยคำนี้จบก็คร้านจะสนทนากับข้ารับใช้ในจวนอ๋องผู้หนึ่งให้มากความอีก จึงยกเท้าเดินกลับเข้าโถงตำหนักไป
พอเห็นหลิ่วผิงชวนกลับมา เหยาซื่อก็เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา ถึงกับไปนานเยี่ยงนี้ พลาดการแสดงความสามารถขององค์หญิงยงหยางไปแล้ว”
ปากหลิ่วผิงชวนเอ่ยขออภัยต่อเหยาซื่อ แต่ในใจหาได้แยแสไม่ อย่าเห็นว่าตอนนี้องค์หญิงยงหยางได้รับความเอ็นดูจากจยาคังตี้เชียว เพราะอีกไม่กี่ปีอีกฝ่ายก็จะถูกหมางเมินไม่ใช่คนโปรดแล้ว องค์หญิงที่ใกล้จะสูญเสียความโปรดปรานไปยังมีอันใดน่าประจบประแจงกันเล่า
ขณะชมดูดอกเหมยเหมันต์แต้มแล้วแต้มเล่าจากการตวัดพู่กันของเหล่าสตรีชั้นสูงที่ลงสนามประชันฝีมือ ในใจหลิ่วผิงชวนก็ยิ่งมีความมั่นใจ รอจนถึงยามที่นางลงสนาม นางก็เดินไปถึงกึ่งกลางโถงตำหนักพร้อมกระโปรงยาวที่พลิ้วไหวกับท่วงท่าอันอ่อนช้อย
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างนำกระดาษเซวียนจื่อแผ่นใหม่มาวางคลี่ให้เรียบแล้วคอยหลิ่วผิงชวนตวัดพู่กัน
เมื่อหลิ่วผิงชวนยื่นมือไปวาดกิ่งเหมยที่แข็งแรงมีพลังลงบนกระดาษหลายกิ่ง คุณชายตระกูลขุนนางผู้หนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกับหลิ่วเมิ่งถังก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม “เพียงจรดพู่กันไม่กี่หนก็มองออกว่ามีพื้นฐานฝีมือดี กิ่งเหมยให้ความรู้สึกถึงไอหนาวของฤดูเหมันต์ และความทระนงเฉกเช่นนักปราชญ์”
หลิ่วผิงชวนกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ หลังจากนางแต่งเติมดอกตูมหลายแต้มไว้บนกิ่งเหมยนั้น ก็รับถ้วยน้ำที่นางกำนัลด้านข้างยื่นส่งมาให้ นางอมน้ำสะอาดไว้หนึ่งคำก่อนจะพลันพ่นละอองน้ำลงบนกระดาษวาดภาพ พอหยดน้ำซึมลงไปก็กระจายตัวไปตามลายเส้นก่อนหน้านี้ ถึงกับทำให้ดอกตูมกลายเป็นเหมยเหมันต์ที่เบ่งบานดอกแล้วดอกเล่าอย่างสมจริงยิ่งนัก!
ชั่วขณะนั้นในโถงตำหนักเงียบกริบถึงขีดสุด
หลิ่วผิงชวนทางหนึ่งใช้ผ้าซับริมฝีปาก อีกทางหนึ่งใช้หางตากวาดมองโดยรอบ พบว่าเหล่าขุนนางใหญ่กับบุตรหลานชนชั้นสูงทั้งหลายล้วนเบิกตาโตจับจ้องนางอยู่ ท่าทางคล้ายกำลังตกตะลึงอย่างที่สุด
ในใจหลิ่วผิงชวนรู้ว่าต้องให้พวกเขาตั้งสติกันสักครู่หนึ่ง นางจึงถอนสายตาคืนมา ถวายพระพรอย่างเป็นธรรมชาติไปทางจยาคังตี้ที่เมื่อครู่มาชมการวาดภาพที่นี่ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินกลับที่นั่งของตน
ทว่าขณะนั่งลง นางกลับพบว่าสีหน้าของเหยาซื่อผู้เป็นมารดาดูเหมือนไม่ถูกต้องนัก ผิวหน้าทั้งดวงขึงตึงราวฉาบทาด้วยแป้งเปียกอย่างไรอย่างนั้น
หลิ่วผิงชวนชำเลืองดูด้านหลังปราดหนึ่ง เห็นมีคุณหนูตระกูลขุนนางหลายคนกำลังจับกลุ่มหัวเราะเสียงเบา
“หญิงเก่งแห่งสกุลหลิ่วอันใดกัน ความคิดแค่นี้ก็ยังไม่มี ผู้อื่นขำจะตายอยู่แล้ว!”
“ก็นั่นสิ ต่อให้วิธีที่เตรียมมาซ้ำกันจริงๆ ก็ควรเลี่ยงคำครหาถึงจะถูก นี่มิใช่ตงซือเลียนมุ่นคิ้วหรือไร”
“ได้ยินว่าสกุลหลิ่วเพิ่งจะเปลี่ยนตัวกลับมา เมื่อก่อนเลี้ยงอยู่ในครอบครัวอันต่ำต้อย อย่างไรเสียก็ย่อมขาดท่าทางของคนจากตระกูลใหญ่”
แรกเริ่มหลิ่วผิงชวนฟังด้วยความงุนงง จวบจนฟังต่อไปอย่างละเอียดถึงเริ่มหน้าเปลี่ยนสีทีละนิด นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่าทีตอบสนองของทุกคนไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ!
ชาติก่อนภาพที่วาดด้วยการพ่นละอองน้ำนี้ฉยงเหนียงเคยแสดงให้นางดู แม้แต่วิธีวาดกิ่งเหมยนั้นฉยงเหนียงก็เป็นผู้สอนด้วยตนเอง หรือว่าคำเล่าลือในอดีตที่บอกว่าเรียกเสียงโห่ร้องชื่นชมได้จากคนทั้งโถงตำหนักนั้นผิดพลาด?
ตอนนี้เองจยาคังตี้ผู้นั่งเป็นสง่าอยู่บนตำแหน่งสูงก็เอ่ยปากกล่าว “หาได้ยากที่คุณหนูสกุลหลิ่วคิดไปในทางเดียวกับธิดาของเรา แม้เป็นวิธีวาดเดียวกัน ทว่าต่างก็มีจุดเด่น ใต้เท้าหลิ่วชี้แนะมาดี สมควรตกรางวัล”
รอจนสิ่งของพระราชทานส่งมาถึงตรงหน้าหลิ่วผิงชวน นางก็พบว่ารางวัลคราวนี้มิใช่สิ่งล้ำค่าทั้งสี่แห่งห้องหนังสือ ของปรมาจารย์หานขู่ที่ฉยงเหนียงได้รับในชาติก่อน ทว่าเป็นทองหยวนเป่าที่หลอมขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตกรางวัลตามปกติในวังหลวง แม้นี่ก็เป็นสิ่งล้ำค่าเช่นกัน ทว่าห่างชั้นกับของปรมาจารย์หานขู่ชนิดไม่อาจเทียบได้
หัวใจของหลิ่วผิงชวนเต้นสะดุดวูบ รีบขบคิดว่าเกิดเหตุผิดพลาดตรงที่ใดกันแน่ ถึงทำให้ผลออกมาต่างจากชาติก่อน
ยามนี้ภาพวาดขององค์หญิงยงหยางที่ได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่งก็ถูกนำออกมาแสดง หลิ่วผิงชวนย่นคิ้วพินิจมอง ค่อยพบว่าภาพขององค์หญิงยงหยางถึงกับวาดด้วยวิธีพ่นละอองน้ำเช่นกัน ทว่าดอกเหมยขององค์หญิงมีสีแก่อ่อนถี่ห่างต่างกันไป แรกเริ่มดูคล้ายวาดส่งๆ ในอึดใจเดียว ซ้ำจุ่มน้ำหมึกมากเสียจนเข้มเกินไปด้วย
แต่เมื่อถูกน้ำพร่างพรมลงไป ดอกเหมยภายใต้หยดน้ำที่กลิ้งผ่านนั้นกลับเปลี่ยนจากถี่แน่นเป็นดูกระจายตัว ดอกที่ยิ่งอยู่ไกลจากลำต้นก็ยิ่งมีสีสันที่อ่อนลง ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องภาพวาดก็ยังมองออกว่าวิธีวาดและห้วงศิลป์ของภาพนี้เหนือกว่าของหลิ่วผิงชวนไม่รู้ตั้งกี่ขั้น
ชั่วขณะนี้หลิ่วผิงชวนเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง ดวงหน้าพริ้มเพราจึงพลันแดงซ่าน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว
องค์หญิงยงหยางแสดงฝีมือวาดภาพด้วยการพ่นละอองน้ำอยู่ก่อน ตนก็ยังอุตส่าห์ใช้ลูกเล่นซ้ำ ทำตัวเป็นตงซือเลียนมุ่นคิ้วอย่างที่ผู้อื่นว่าจริงๆ มิน่าเล่าแม้เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงคลี่ยิ้มชมเชยเพื่อช่วยแก้สถานการณ์ให้ ทว่าซีกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์หญิงยงหยางกลับยังคงมีสีหน้าหยามเหยียด…
ยามนี้ในสายตาของผู้คน หลิ่วผิงชวนผู้นี้ก็คือตัวโง่เง่าที่มีตาแต่ไร้แววโดยสิ้นเชิง! กระทั่งเหล่าคุณชายที่เพิ่งเอ่ยชมนางก็พากันเงียบเสียงไปแล้ว
ขณะอับอายระคนขุ่นแค้น หลิ่วผิงชวนอดไม่ได้ต้องขบคิดว่าที่แท้เกิดความผิดพลาดขึ้นตรงที่ใด ไฉนองค์หญิงยงหยางก็รู้จักวิธีวาดภาพด้วยการพ่นละอองน้ำที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้
ระหว่างที่ในโถงตำหนักเกิดเหตุพลิกผันดุจพายุซัดโหม ฉยงเหนียงยังคงนั่งกินลูกอมม่ายหยาถัง แกล้มกับชาพุทราแดงอยู่บนเก้าอี้ยาวของทางระเบียงมาโดยตลอด รอจนกินลูกอมหนึ่งห่อหมดเกลี้ยง ก็พอดีเห็นเหยาซื่อพาหลิ่วผิงชวนลุกขึ้นขอตัวกลับก่อนเวลา
ดูจากประสบการณ์ของฉยงเหนียงในชาติก่อน รอจนกลับถึงจวนสกุลหลิ่วแล้ว หลิ่วผิงชวนต้องถูกดุด่าจนปวดหัวเป็นแน่ ครั้งนี้เหยาซื่อที่รักหน้าตาเสมอมาต้องอับอายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ กลับไปแล้วมีหรือจะยอมเลิกราแต่โดยดี
เพียงแต่ผู้ที่อึดอัดขัดใจยังมีฉู่เสียอยู่อีกคน เขาดื่มสุราไปไม่กี่จอกก็หมดความอดทนกับเสียงอึกทึกในงานเลี้ยง หลังจากถวายบังคมจยาคังตี้แล้ว พอเห็นสหายสนิทหลายคนโอภาปราศรัยอยู่กับเหล่าคุณชายตระกูลขุนนาง เขาก็ฉวยจังหวะเดินออกมาจากโถงตำหนักทันที
“ไป!” ฉู่เสียโยนหนึ่งคำไปทางฉยงเหนียงแล้วออกเดินนำหน้า
ฉยงเหนียงรีบปัดๆ เศษลูกอมบนมือ ก่อนตามหลังฉู่เสียออกจากตำหนักจื่อซวิน
เดิมทีนึกว่าเขาจะพานางไปพบพ่อครัวหลวงที่กำลังจะเกษียณผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าเขากลับพานางเดินออกจากประตูเล็กแห่งหนึ่งของวังหลวง คนเก่าแก่ในวังที่เป็นผู้นำทางนั้นดูเหมือนรู้ว่าเขาต้องการจะไปที่ใด ยังมอบดอกท้อสีแดงอ่อนที่เด็ดใหม่หนึ่งตะกร้าให้เขาอย่างรู้ใจด้วย
นอกกำแพงทิศตะวันออกของวังหลวงแห่งราชวงศ์ต้าหยวนคือเรือนพักส่วนตัวหลังหนึ่ง ลานสวนเงียบสงบ ทางเดินสายเล็กลดเลี้ยว กลางลานมีหอแห่งหนึ่งปลูกสร้างอยู่บนฐานสูง
ฉู่เสียพานางมาถึงริมลำธารในลานสวนก่อนกล่าว “ตรงนี้เชื่อมต่อกับแม่น้ำสายใหญ่ในเมือง ในเมื่อเป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ ทั้งเจ้าเองก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว เจ้าก็ลอยโคมบุปผาขอพรตรงนี้เถอะ”
เขาพูดพลางให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังนำกล่องไม้มาใบหนึ่ง เมื่อเปิดดูด้านในถึงกับเป็นโคมดอกบัวที่วิจิตรประณีตหนึ่งดวง
ในเมื่อเป็นเจตนาดี ฉยงเหนียงย่อมไม่อาจปฏิเสธ นางยื่นมือรับโคมบุปผานั้นมา ก่อนหยิบพู่กันเขียนคำขอพรลงบนกลีบดอก นางคร้านจะเขียนบทกลอนที่พรรณนาอารมณ์อันเลื่อนลอยเหล่านั้นแล้ว จึงเขียนอักษรตัวใหญ่อย่างเรียบร้อยเพียงสี่ตัวว่า ‘ปลอดภัยทุกปี’ จากนั้นก็ปล่อยโคมไปตามกระแสธาร
รอจนฉู่เสียขึ้นไปบนหอสูงหลังนั้น ฉยงเหนียงที่ติดตามอยู่ด้านหลังของเขาถึงพบว่าตรงนี้สามารถมองเห็นหอชมจันทร์ในวังหลวงจากระยะไกลได้ ไม่รู้ว่าเป็นความจงใจใช่หรือไม่
ฉู่เสียยืนอยู่บนหอสูงครู่หนึ่ง ก่อนจะโปรยดอกท้อในตะกร้านั้นไปรอบๆ ตัวหอ
เขาไม่พูดจา ฉยงเหนียงจึงได้แต่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังเขา ทว่าจนใจที่เมื่อครู่ชมละครฉากนั้นอย่างถึงอกถึงใจยิ่งนัก จึงเผลอกินลูกอมม่ายหยาถังมากไป ทำให้ระคายคอจนอดไม่ได้ต้องไอเบาๆ สองสามที
ฉู่เสียหันหน้านิดๆ มาจ้องมองฉยงเหนียง ก่อนจะยื่นมือมาหมายแตะหน้าผากของนางดูว่าเป็นไข้หรือไม่ ฉยงเหนียงมีหรือจะยอมให้เขาแตะตัว นางย่อมจะรีบหลบหลีก ทว่าฉู่เสียเพียงเหยียดมือก็รั้งลำคออันเรียบเนียนของนางไว้ได้แล้ว
“ท่านปล่อยมือนะ!” ฉยงเหนียงเอ่ยเสียงเย็นพลางพยายามเบี่ยงตัวหนี ทว่าถูกเรือนกายอันสูงใหญ่ของเขาโน้มลงมาคุกคาม จนกระทั่งนางถอยไปพิงกับผนังหอ
ฉู่เสียเพียงก้มศีรษะลงก็สูดได้กลิ่นหอมของม่ายหยาถังบนริมฝีปากผลอิง พาให้จิตใจเขาฟุ้งซ่านอยู่บ้างอย่างห้ามไม่อยู่ ขนตาที่โค้งยาวของเขาจึงหลุบลง ริมฝีปากบางก็ประชิดใกล้นางเข้าไปทีละนิด
เมื่อครู่แม้เขาอยู่ในโถงตำหนัก ทว่าหางตากลับชำเลืองมองถั่วลันเตาน้อยอยู่หลายหน นางช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก นั่งรวมกับข้ารับใช้ทั้งกลุ่มโดยไม่เห็นถึงท่าทีอึดอัดใจแม้แต่น้อย
ทว่าพอมองนานเข้า ฉู่เสียกลับไม่สบายใจขึ้นมาเสียเอง แม่นางน้อยที่บอบบางเพียงนี้เดิมทีควรถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม แต่เขากลับใช้อารมณ์ชั่ววูบส่งนางไปอยู่ในหมู่ข้ารับใช้เสียได้
เช้านี้หลังจากได้ยินฉู่เซิ่งรายงานเรื่องที่นางวิวาทกับสาวใช้ การตอบสนองแรกของฉู่เสียคือ…เดิมทีนางก็เปื้อนกลิ่นอายของชาวบ้านร้านตลาดอยู่แล้ว ขืนให้อยู่ในเรือนบ่าวนานนัก นางจะไม่ติดนิสัยมาจนยิ่งเสียคนหรอกหรือ
พอฉยงเหนียงเห็นฉู่เสียพลันบังเกิดความคิดอันชั่วร้าย นางก็รีบเอ่ยเสียงเบา “ยากนักที่วันนี้ได้ร่วมงานฉลองเทศกาลซั่งซื่อ มีสาวงามอยู่เต็มโถงตำหนัก ท่านอ๋องไม่คิดจะเฟ้นหาศรีภรรยาบ้างหรือไร ไยต้องมาถึงที่นี่เพื่อหยอกล้อข้าน้อยด้วยเล่า”
ฉู่เสียพิศมองดวงหน้าที่ระบายด้วยสีเมฆแดงพลางเลิกคิ้วเข้ม “หากไม่มีเหตุพลิกผันที่อุ้มบุตรสาวผิดคน ตามหลักเจ้าก็ควรจะอยู่ในโถงนั้นให้สามีภรรยาสกุลหลิ่วเฟ้นหาคู่ครองที่ดีแก่เจ้าเช่นกัน ว่าอย่างไร เมื่อครู่มีคนที่ถูกใจบ้างหรือไม่”
ด้วยกลัวว่าเขาจะจุมพิตถูกนาง ฉยงเหนียงจึงได้แต่ยืนตัวลีบชิดผนัง “ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวพ่อค้า คาดว่าวันหน้าพ่อแม่คงจะเลือกชายหนุ่มที่ซื่อตรงอยู่ในกรอบสักคนให้ข้าน้อยออกเรือนไป ผู้เก่งกาจปราดเปรื่องเต็มโถงนั้นหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าน้อยไม่”
ฉู่เสียฟังจบก็หน้าบึ้งตึง เอ่ยประชดอย่างอดไม่ได้ “ตอนนี้ก็เริ่มวางแผนการแต่งงานในวันหน้าแล้ว? ช่างใจร้อนอยากจะออกเรือนเสียจริง…ถ้าอย่างไรข้ามอบฐานะชายารองให้เจ้า เจ้าก็แต่งเข้าจวนอ๋องของข้าดีหรือไม่”
ฉยงเหนียงไหนเลยจะคาดคิดว่าเขาอ้าปากก็กล่อมสตรีให้แต่งเป็นชายารองเช่นนี้ ช่างมักมากเหมือนจางวั่งในตลาดผู้นั้นไม่มีผิด!
นึกถึงผลลงเอยอันน่าสังเวชใจของหลิ่วผิงชวนหลังจากมาติดตามเขาในชาติก่อน ฉยงเหนียงก็โพล่งคำประชดออกมา “ดีอันใดกันเล่า มีลูกก็ไม่ได้เสียหน่อย มีแต่คนโง่เท่านั้นถึงจะเข้าห้องของท่านอ๋อง!”
ฉู่เสียคิดเพียงว่านางได้ยินกฎการรับนางบำเรอของจวนอ๋องมาจากเรือนบ่าว ใบหน้าที่เย็นชามาจนเคยชินจึงพลันอ่อนโยนอย่างห้ามไม่อยู่ ปากก็เอ่ยกระซิบแนบชิดติ่งหูนาง “ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะให้เจ้ามีลูกจนพอใจเลยดีหรือไม่”
ฉยงเหนียงถูกเขายั่วโมโหจนพูดไม่ออกอยู่บ้าง อะไรเรียกว่า ‘มีลูกจนพอใจ’ เห็นนางเป็นแม่ไก่ฟักไข่หรือไรกัน
แต่ใจนางก็รู้ว่าฝืนปะทะกับท่านอ๋องผู้นี้จะไม่ลงเอยด้วยดี จึงพยายามเอ่ยเสียงนุ่มนวลเท่าที่จะทำได้ “ท่านอ๋องช่างเอาใจใส่และใจกว้างยิ่งนัก ทว่าองครักษ์เหล่านั้นล้วนเฝ้ามองอยู่จากข้างล่างหอ ท่านอ๋องคิดจะทำอันใด”
เดิมทีฉู่เสียแค่พลันนึกสนุกอยากจะหยอกเย้านางสักหน่อย ทว่าพูดไปเรื่อยๆ ตนเองกลับเก็บมาใส่ใจมากขึ้นทุกที
ว่าไปแล้วเดิมทีก่อนเข้าเมืองหลวงเขาก็คิดจะแต่งนาง แต่เพราะถูกเหตุพลิกผันระหว่างสกุลชุยกับสกุลหลิ่วก่อกวนให้มีอันเลิกล้มไปก่อน ถึงแม้ตอนนี้ตระกูลของนางจะต่ำต้อยดุจธุลี ทว่าเป็นชายารองไม่จำเป็นต้องมีชาติตระกูลหนุนเสริมเสียหน่อย เพียงทำให้เขาเบิกบานใจก็พอแล้ว
แม่นางน้อยนางนี้เดิมทีก็ปากคอเราะราย บัดนี้ยิ่งติดนิสัยแย่ๆ มาทั่วร่าง วันหน้ารับนางเข้ามาร่วมห้องแล้วไม่แคล้วที่เขาจะต้องอบรมด้วยตนเองให้ดีๆ…
เพียงคิดว่าหากนางเป็นเด็กดื้อ เขาควรจะกำราบด้วย ‘วิธีอันเฉียบขาด’ เช่นไรบ้าง หัวใจของชายหนุ่มก็ถึงกับร้อนผะผ่าวขึ้นมานิดๆ ยิ่งก้มหน้าเพ่งพิศพวงแก้มเนียนอมชมพูดุจดอกท้อซึ่งอวลอยู่ท่ามกลางกลิ่นหวานหอมของม่ายหยาถัง ก็ยิ่งดูเย้ายวนใจเขาเหลือเกิน
เมื่ออารมณ์ความรู้สึกนี้พลันวาบไหว วงแขนอันกำยำสองข้างก็เพิ่มแรงขึ้นอีกนิด ห่อหุ้มสาวน้อยที่นิ่มนุ่มไว้จนเต็มอ้อมกอดพลางอาศัยเรือนกายอันสูงใหญ่ของตนป้องบังสายตาจากด้านล่างที่อาจทอดมองขึ้นมา
“เมื่อครู่ไปกินอะไรมาจึงมีกลิ่นหอมเพียงนี้ แบ่งให้ข้าลิ้มชิมดูบ้างสิ…” ไม่ทันขาดคำเขาก็โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตริมฝีปากอันนุ่มละมุนดุจขนมโก๋ซึ่งยั่วน้ำลายเขาอยู่นานแล้ว
ฉยงเหนียงแม้เคยออกเรือนเมื่อชาติก่อน ทว่ากิจในห้องนอนยึดถือระเบียบแบบแผนเสมอมา เรื่องแนบชิดริมฝีปากกันเช่นนี้สองฝ่ายล้วนไม่รู้วิธีอันเหมาะควร หลังลองทำไม่กี่คราก็เหนื่อยใจยุติไป ไหนเลยจะคาดคิดว่าชาตินี้นางกลับได้รับการชี้แนะจากท่านอ๋องเสเพลที่ชาติก่อนแทบหาความเกี่ยวพันกันไม่ได้!
ยามที่ถูกเรียวลิ้นอันเจ้าเล่ห์นั้นบุกรุกล่วงล้ำเข้ามา ฉยงเหนียงทั้งอับอายทั้งขุ่นเคืองหมายจะขบกัด ทว่ายังไม่ทันจะขบฟันลงไป นางก็ถูกเขายึดปลายคางไว้เสียก่อน
จวบจนผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ ฉู่เสียลิ้มรสอันหอมหวนของม่ายหยาถังจนเป็นที่จุใจแล้ว ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นอย่างพึงพอใจก่อนเอ่ยเสียงเบา “อร่อยอย่างยิ่งจริงเสียด้วย”
ฉยงเหนียงเม้มกลีบปากทั้งคู่สนิทแน่น ยังคงไม่กล้าเชื่อว่าตนถึงกับถูกลวนลามกลางวันแสกๆ
ฉู่เสียนึกว่านางขวยเขินจึงกุมมือเล็กมาบีบคลึง ในใจก็ใคร่ครวญว่าในเมื่อต้องการจะยกย่องนาง เขาก็ควรมอบหน้าตาให้นางอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า “เจ้าถึงวัยปักปิ่นแล้ว ในสองสามวันนี้ข้าจะไปพบบิดามารดาเจ้า ส่งของหมั้นและชี้แจงรายละเอียดงานพิธีดีหรือไม่”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มกราคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.