บทที่ 3
หากหลี่ซิวหยวนต้องการถุงหอม ไม่ว่าเป็นของคุณภาพดีเพียงใดก็สามารถหาได้ทั้งนั้น ไยต้องเป็นถุงหอมใบนี้ด้วย
ซู่ชิงจึงเอ่ยขึ้นทันที “นายท่าน หากท่านต้องการถุงหอม วันพรุ่งนี้บ่าวจะทำให้ท่านเอง ถุงหอมใบนี้ไม่…ไม่เหมาะกับท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”
หากถุงหอมที่งานปักเป็นเช่นนี้ประดับอยู่บนตัวหลี่ซิวหยวน คนนอกเห็นเข้าจะต้องหัวเราะเยาะแน่นอน
แต่หลี่ซิวหยวนประหนึ่งไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่มองซู่ชิงแม้แต่แวบเดียว สายตาเอาแต่จับจ้องที่ถุงหอมใบนั้นโดยตลอด ซ้ำน้ำเสียงก็เริ่มจะเย็นเยียบขึ้นมา “เอาถุงหอมให้ข้า”
เสี่ยวเฟิงมีหรือจะกล้าไม่ให้ นางรีบปลดถุงหอมออกจากเอว จากนั้นก็ประคองยื่นไปเบื้องหน้าหลี่ซิวหยวนด้วยมืออันสั่นเทา
หลี่ซิวหยวนยื่นมือมาหยิบไป แม้ใบหน้าจะยังดูเย็นชาเหมือนที่แล้วมา แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นว่ามือเขากำลังสั่นเช่นกัน
หลังได้ถุงหอมไปหลี่ซิวหยวนก็กำไว้ในมือแน่น ราวกับกลัวว่าจะถูกใครแย่งไปก็มิปาน
เสี่ยวเฟิงลอบมองหลี่ซิวหยวน เห็นคนตรงหน้ามีท่าทางเช่นนี้ก็แทบจะทำให้คนนึกว่าเขาได้สมบัติสุดแสนล้ำค่าที่หายไปกลับคืนมา
ทว่าก็แค่ถุงหอมใบหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งงานปักยังแย่อย่างมาก
เสี่ยวเฟิงไม่กล้าอยู่ในห้องต่อแล้ว หลังลุกขึ้นจากพื้นได้ก็หยิบกล่องอาหารหันหลังวิ่งออกไปทันที
เวลานี้ซู่ชิงเองก็ลอบมองหลี่ซิวหยวนอยู่ตลอดเช่นกัน
เห็นเขามีท่าทางรักและทะนุถนอมถุงหอมใบนั้นอย่างที่สุด กำไว้ในมือแน่นไม่ปล่อย ทั้งยังมองดูมันอย่างใจลอยภายใต้แสงเทียนโดยไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ซู่ชิงย่อมข้องใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
มิใช่ของดีอะไรเสียหน่อย เป็นแค่ถุงหอมที่งานปักแย่ใบหนึ่ง…
มิหนำซ้ำจากที่เสี่ยวเฟิงบอกมาเมื่อครู่ นี่ยังเป็นของที่เจิ่นหลิวมอบให้นางด้วย เห็นทีวันอื่นจะต้องหาตัวเจิ่นหลิวมาถามเสียหน่อยแล้วว่าถุงหอมนี้มีความเป็นมาอย่างไร
ขณะกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ซู่ชิงก็พลันได้ยินสาวใช้มารายงานอยู่ด้านนอก บอกว่า “แม่นางชิงอู๋มาเจ้าค่ะ”
ซู่ชิงรีบหันหน้าไปมองก็เห็นชิงอู๋เปิดม่านเดินเข้ามาแล้ว
ชิงอู๋เป็นหัวหน้าสาวใช้ของเซี่ยเจินเจินที่ติดตามมาจากบ้านเดิม ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากเซี่ยเจินเจินเป็นอันมาก แม้ซู่ชิงจะเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของหลี่ซิวหยวนอย่างเปิดเผย แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่ง มิหนำซ้ำยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของเซี่ยเจินเจิน ยามนางเห็นชิงอู๋ย่อมจะต้องเกรงใจ
ด้วยเหตุนี้ซู่ชิงจึงรีบยิ้มพลางก้าวไปเอ่ยถาม “มืดเพียงนี้แล้ว ไฉนแม่นางชิงอู๋จึงมาเยือนได้เล่า”
ชิงอู๋ไม่ได้เหลือบแลซู่ชิงโดยสิ้นเชิง เพียงยอบตัวคารวะหลี่ซิวหยวน จากนั้นก็กล่าวอย่างเคารพนบนอบ “นายท่าน ค่ำแล้ว ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญท่านกลับไปเจ้าค่ะ”
นี่คือเซี่ยเจินเจินเป็นฝ่ายมางอนง้อแล้ว
ซู่ชิงได้ยินแล้วในใจก็พลันเต้นกระตุก หากยังคงมิได้ส่งเสียง เพียงเงยหน้ามองหลี่ซิวหยวน ทว่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อนั้นกำแน่น
ในมือหลี่ซิวหยวนยังกำถุงหอมใบนั้นไว้แน่น เขามิได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “คืนนี้ข้าไม่กลับไป”
สีหน้าชิงอู๋แข็งค้าง คิดแล้วนางก็ยังคงเอ่ยว่า “นายท่าน ฮูหยินกำลังรอท่านกลับไปนะเจ้าคะ…”
ยังพูดไม่ทันจบดีก็ได้ยินเสียงของหลี่ซิวหยวนดังขึ้น “ออกไป”
ชิงอู๋มองดูสีหน้าเย็นชาของเขาแล้วก็ได้แต่ยอบตัวคารวะ ก่อนหันหลังเดินจากไป
ครั้นชิงอู๋จากไป ภายในห้องก็เริ่มเงียบลงอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินซู่ชิงถามขึ้นเสียงนุ่ม “นายท่าน คืนนี้ท่านจะนอนในห้องหนังสือนี้หรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะปูที่นอนให้ท่านเดี๋ยวนี้”
หลี่ซิวหยวนไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแค่พยักหน้า
ซู่ชิงเห็นเขาพยักหน้าก็เผยสีหน้าดีใจ รีบหันไปหยิบผ้านวมที่มีเตรียมพร้อมไว้ในตู้เสื้อผ้าออกมาปูลงบนเตียงลงรักหลังเล็กๆ ในห้องข้างฝั่งตะวันตก
กลางวันวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งและแดดดียิ่ง ซู่ชิงจึงขนผ้าห่มในตู้เสื้อผ้าออกมาตากแดด ยามนั้นนางยังคิดในใจว่าไม่แน่วันใดหลี่ซิวหยวนจะมาที่ห้องหนังสือในเรือนส่วนหน้านี้ แล้วอาจนอนค้างที่นี่ก็เป็นได้
ทว่าต่อมาซู่ชิงกลับยิ้มเยาะตนเอง รู้สึกว่านางช่างคิดเข้าข้างตนเองโดยแท้ แต่ไรมาหลี่ซิวหยวนมาที่ห้องหนังสือในเรือนส่วนหน้าน้อยครั้งนัก และยิ่งไม่เคยนอนค้างที่นี่ แม้แต่ผ้าห่มที่เตรียมไว้เหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าวางอยู่ในตู้มานานเท่าไรแล้ว
กระนั้นขณะที่ซู่ชิงก้มตัวปูที่นอน มุมปากนางก็ยังยกขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว ใจเริ่มเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำ
จะว่าไปแล้ว แม้ซู่ชิงจะเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของหลี่ซิวหยวน แต่ก็มีแค่ตัวนางที่รู้ว่าระหว่างห้าปีมานี้หลี่ซิวหยวนเคยแตะต้องนางเพียงครั้งเดียว
อีกทั้งไม่กี่วันก่อนนางยังถูกเซี่ยเจินเจินหาเหตุไล่ให้มาอยู่ที่ห้องหนังสือในเรือนส่วนหน้านี้ ซู่ชิงยังนึกว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้อยู่ใกล้หลี่ซิวหยวนแล้วเสียอีก
ทว่าสวรรค์เมตตา วันนี้อีกฝ่ายถึงกับมาที่ห้องหนังสือในเรือนส่วนหน้านี้แล้ว มิหนำซ้ำยังบอกว่าจะค้างคืนที่นี่ด้วย
ครั้นปูเตียงเสร็จเรียบร้อยซู่ชิงก็ไปที่ห้องข้างฝั่งตะวันออกเพื่อเชิญหลี่ซิวหยวนมานอน
หลี่ซิวหยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนเดินเข้ามาในห้องข้างฝั่งตะวันตก มือยังคงกำถุงหอมใบนั้นไว้อยู่ เขาหยุดยืนที่หน้าเตียง ปล่อยให้ซู่ชิงถอดชุดตัวนอกออกให้ตนเอง
แม้หลี่ซิวหยวนจะผอมแต่ก็ตัวสูง ซู่ชิงยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็สูงเพียงระดับอกเขาเท่านั้น
ขณะยกมือแก้สายผูกเสื้อให้หลี่ซิวหยวน หัวใจของซู่ชิงก็เต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าว
หลังจากนำเสื้อตัวนอกของหลี่ซิวหยวนไปพาดไว้บนราวแขวนเสื้อสีแดงชาดที่ด้านข้างเสร็จ ซู่ชิงกลับมาอีกครั้งก็เห็นเขาสวมเพียงชุดนอนสีเขียวคราม เลิกผ้าห่มขึ้นเตียงไปแล้ว และกำลังนั่งพิงราวเตียงอยู่
บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กที่ด้านข้างมีเชิงเทียนแปดเหลี่ยมลายครามเขียนลายดอกเสาวรสวางอยู่อันหนึ่ง ด้านบนมีแสงเทียนสีส้มอุ่นจุดอยู่ มันส่องกระทบบนร่างหลี่ซิวหยวน ทำให้เขาดูหล่อเหลาบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิม ถึงยามนี้เขาจะกำลังขมวดคิ้วก็ไม่อาจทำลายความสง่าภูมิฐานของเขา
ซู่ชิงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ยังคงมองหลี่ซิวหยวนด้วยสายตาเปี่ยมรักละมุน
หลี่ซิวหยวนไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ซู่ชิงอยู่ต่อ นางย่อมไม่สะดวกจะเอ่ยปากพูดตรงๆ หากแต่นางก็ไม่เต็มใจจะหันหลังเดินออกไปทั้งอย่างนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเห็นหลี่ซิวหยวนเงยหน้าขึ้นมา ครั้นมองเห็นซู่ชิงยังยืนอยู่ข้างเตียงไม่จากไปที่ใด เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจ คล้ายแปลกใจว่าเหตุใดนางถึงยังอยู่
ทว่ามองเห็นซู่ชิงมีสีหน้าเอียงอาย ทั้งยังก้มหน้าดึงสายรัดเสื้อของตนเองเล่น หลี่ซิวหยวนมีหรือจะไม่เข้าใจเจตนาของนาง
เพียงแต่หลี่ซิวหยวนไม่ได้ฝักใฝ่ในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
ในห้าปีที่ซู่ชิงปรนนิบัติรับใช้เขามานี้ มีหนหนึ่งที่สหายชวนเขาไปกินอาหารที่หอสุรา เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เขาถึงได้ดื่มสุราไปหลายจอก คิดไม่ถึงว่าจะเมามาย
ขณะกลับมาก็ได้ซู่ชิงรับใช้ เขาเองก็ไม่รู้ไฉนถึงได้ทำเรื่องเช่นนั้นกับนางอย่างเลอะเลือน ทว่าต่อจากนั้นเมื่อเขามีสติเต็มที่ก็ไม่เคยแตะต้องซู่ชิงอีกแม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งกับเซี่ยเจินเจินที่เป็นภรรยาถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเขาเอง จำนวนครั้งที่ทำเรื่องเช่นนั้นก็มีจำกัดยิ่ง คล้ายว่ากระตุ้นอารมณ์ใดๆ ไม่ขึ้นก็มิปาน
ด้วยเหตุนี้หลี่ซิวหยวนจึงกล่าวกับซู่ชิง “ตอนกลางคืนข้าไม่ต้องให้ใครมารับใช้ เจ้าออกไปพักผ่อนเถอะ!”
ซู่ชิงได้ยินแล้ว ในดวงตาก็อดปรากฏแววผิดหวังออกมาไม่ได้
ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเม้มปากยอบตัวคารวะหลี่ซิวหยวน เป่าเทียนในห้องให้ดับ ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องไป
หลี่ซิวหยวนจึงหลับตานอนเช่นกัน
ระหว่างกำลังเคลิ้มหลับเขาคล้ายว่ามองเห็นเสิ่นหยวน นางยื่นแขนขวางทางไปของเขาไว้ แล้วแหงนหน้าแย้มยิ้มงามหยาดเยิ้มให้กับเขา
เขายังคงทำสีหน้าเย็นชา ถามนางว่า ‘ทำอะไร’
เสิ่นหยวนยิ้มกว้างยิ่ง ก่อนจะตอบอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ‘หลี่ซิวหยวน ข้าชอบท่าน! ท่านก็ชอบข้าด้วยได้หรือไม่’
เขามองรอยยิ้มงามเพริศพริ้งและฟังวาจาที่ไม่สำรวมเลยสักนิดของนาง ไม่รู้เหตุใดในใจไม่เพียงไม่รำคาญและไม่สะอิดสะเอียน กลับยังรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นด้วย
จากนั้นเขาก็กุมมือนางไว้ จูงนางเดินไปในตรอกเล็กลับตาคนที่ด้านข้าง สองมือประคองใบหน้านาง ก้มศีรษะลงจุมพิตริมฝีปากนางอย่างแนบสนิท…
หลี่ซิวหยวนสะท้านเฮือก เขาพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา หัวใจในอกกำลังเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะ จากนั้นเขาก็รู้สึกอดสูและตระหนกตกใจยิ่งยวด
เมื่อครู่เขาถึงกับฝันถึงเสิ่นหยวน มิหนำซ้ำในฝันเขายังทำเรื่องเช่นนั้นกับนาง ท่าทางไม่ได้เย็นชาเหมือนที่เขาเป็นในยามปกติสักนิด กลับดุดันและดุเดือดยิ่ง
หลี่ซิวหยวนเงียบไป จากนั้นเขาก็ดึงมือขวาที่วางอยู่ในผ้าห่มออกมาตรงหน้า แบฝ่ามือออก ในนั้นมีถุงหอมสีน้ำเงินไพลินใบก่อนหน้านี้อยู่
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…
หลี่ซิวหยวนพลันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ ทว่าในฝันเมื่อครู่นี้ขณะเขากระทำเรื่องสนิทแนบแน่นกับเสิ่นหยวน ในใจเขากลับเปรมปรีดิ์และอิ่มเอมอย่างที่สุด ซึ่งที่แล้วมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เขาคลับคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องอะไร หากแต่เขาไม่เข้าใจว่าตนเองปล่อยให้เรื่องราวกลายมาเป็นเช่นในยามนี้ได้อย่างไร
ที่ผ่านมาตอนที่เสิ่นหยวนชอบข้า ในใจข้าก็รู้สึกระอานาง แต่บัดนี้นางเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้ว มิหนำซ้ำนางก็ดูไม่แยแสข้าแม้แต่น้อย ข้ากลับเริ่ม…
คิดถึงตรงนี้หลี่ซิวหยวนก็กำถุงหอมในมือแน่น รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่อกปานถูกศรนับหมื่นแทงหัวใจ
ทว่าข้ายังจะทำอันใดได้อีกเล่า เขาหลับตาลงด้วยความทุกข์ทรมาน
ดอกเหมยบานไปแล้ว ถัดมาก็เป็นดอกอิ๋งชุน ดอกอวี้หลัน และดอกซิ่ง
ครั้นถึงยามที่ดอกท้อและดอกไห่ถังเริ่มผลิบานเต็มที่ ซานซีที่อยู่ไกลออกไปเป็นพันลี้ ก็เกิดแผ่นดินไหว กำแพงเมืองพังถล่ม หว่าล่าฉวยโอกาสยกพลโจมตี สถานการณ์คับขันยิ่งยวด
ฮ่องเต้ด้านหนึ่งต้องพิจารณาเรื่องช่วยเหลือผู้ประสบภัย อีกด้านก็ต้องพิจารณาเรื่องยกทัพไปสู้กับหว่าล่า ซ้ำยังมีเรื่องวอโค่วออกอาละวาดที่เมืองชายฝั่งส่งหนังสือมากราบทูลอีก
เมื่อรวมกับที่ในวังมีคนเป็นไข้ทรพิษ ต้องส่งองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองออกไปหลบโรคที่นอกวัง แม้แต่พระองค์ก็ต้องหลบไปอาศัยที่พระราชนิเวศน์นอกเมืองระยะหนึ่ง ทำให้ต้องเจอกับความลำบากยุ่งยากมากทีเดียว
เวลานี้เองก็เห็นหลี่ซิวเหยาเป็นฝ่ายขันอาสานำทัพไปซานซีเอง ฝ่าบาทได้ยินแล้วก็ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้หลี่ซิวเหยาก็เคยนำทัพไปยั้งทัพหว่าล่าที่ซานซี ซ้ำยังได้ชัยชนะครั้งใหญ่ในต้าถง เขาจึงคุ้นเคยกับพื้นที่ของซานซีและเข้าใจพวกหว่าล่าดี คราวนี้ให้เขาไปถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงอนุญาตทันที
ฮ่องเต้คิดอีกว่ายังต้องส่งผู้แทนพระองค์สักคนไปปลอบขวัญราษฎรในซานซีด้วย เกิดเรื่องใหญ่อย่างแผ่นดินไหวทั้งที พวกเรื่องเสบียงอาหารและที่อยู่อาศัยล้วนต้องได้รับการแก้ปัญหา
วันนี้หลังเลิกงานหลี่ซิวเหยาไปพบหลี่ซูเฟยที่ตำหนักอวี้ซิ่วก่อน จากนั้นถึงควบม้ากลับมา
ครั้นกลับมาถึงเรือนจิ้งหยวนหลี่ซิวเหยาเดินเข้าห้องมาก็เห็นเสิ่นหยวนกำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้ริมหน้าต่างทิศใต้ ในมือถือหนังสืออ่านอยู่
นางคงเพิ่งจะสระผมมา เรือนผมงามสลวยปล่อยสยายอยู่ข้างหลัง แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามาตกกระทบบนร่างนาง งดงามราวกับความฝัน
หลี่ซิวเหยาเดินไปก้มหน้ามองนาง “กำลังอ่านหนังสืออะไร”
เสิ่นหยวนกำลังอ่านหนังสือจนเพลิน อีกทั้งเสียงฝีเท้าของหลี่ซิวเหยาก็เบาทำให้ไม่ได้ยิน ยามนี้ได้ยินเสียงกะทันหันก็ตกใจจนสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองมา
เห็นว่าเป็นหลี่ซิวเหยา เสิ่นหยวนก็ถลึงตาใส่เขา “เข้ามาก็ไม่รู้จักส่งเสียงบอก ทำข้าตกอกตกใจหมด!” พูดพลางวางหนังสือในมือลงบนโต๊ะเล็กด้านข้าง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำเครื่องหอม
เสิ่นหยวนกล่าวอธิบาย “ข้าเห็นวันนี้อากาศดีจึงให้ชิงเหอกับชิงจู๋นำข้าวของจำนวนหนึ่งในห้องเก็บของออกมาตากแดด ก็เลยเห็นกล่องใส่พวกพิมเสน เจียนเซียง โกฐสอเข้า ข้าคิดว่าของเหล่านี้วางไว้เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ มิสู้ทำเครื่องหอมชนิดต่างๆ ออกมาดีกว่า จึงได้หาหนังสือการทำเครื่องหอมมาอ่านดู”
หลี่ซิวเหยาส่งเสียงรับรู้ในลำคอ ก่อนนั่งลงข้างนาง “หากเจ้ายังต้องการส่วนผสมอะไรเพิ่มก็ให้คนไปซื้อมาได้เลย”
ขอเพียงเป็นสิ่งที่เสิ่นหยวนต้องการ เขาล้วนไม่เคยปฏิเสธ
หลี่ซิวเหยายกมือเกี่ยวปอยผมยาวของนางมาจับเล่นพลางก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกซุกไซ้ลำคอขาวผ่องของนางเบาๆ พร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “ตัวเจ้าหอมยิ่งนัก”
ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดบนคอนาง ไม่เพียงแค่ตรงคอ เสิ่นหยวนรู้สึกว่าในใจก็คันเช่นกัน
นางหน้าแดงเรื่อ อยากจะหลบเลี่ยง แต่กลับถูกหลี่ซิวเหยายกแขนโอบเอวบางไว้ ก่อนรั้งตัวนางเข้าสู่อ้อมกอด
เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ขอเพียงหลี่ซิวเหยาไม่ยินยอมปล่อยมือ เสิ่นหยวนก็หลบไม่พ้น
จุมพิตร้อนแรงค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากลำคอ สุดท้ายก็มาหยุดที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มแดงสดของนาง มือของหลี่ซิวเหยาก็วางอยู่บนสายผูกเสื้อฤดูใบไม้ผลิสีหยกของนางแล้วเช่นกัน
ผิวนางขาวใสราวกับดอกมะลิอันสะอาดบริสุทธิ์ กำลังผลิบานอยู่ใต้ร่างเขา…
จวบจนถึงเวลาจุดโคมหลี่ซิวเหยาถึงได้ปล่อยตัวเสิ่นหยวน ก่อนจะให้พวกไฉ่เวยยกน้ำเข้ามาอาบน้ำให้เสิ่นหยวน
เสิ่นหยวนเพิ่งจะถูกหลี่ซิวเหยาเคี่ยวกรำเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างจึงไม่เหลือเรี่ยวแรงอีก ถูกหลี่ซิวเหยาอุ้มมานั่งในน้ำอุ่นเช่นนี้ก็รู้สึกง่วงงุนอยากนอนหลับ
ขณะกำลังเคลิ้มหลับก็ได้ยินหลี่ซิวเหยาพูดขึ้นว่า “วันพรุ่งนี้ข้าต้องไปซานซี”
เสิ่นหยวนตกใจพลันลืมตามองเขา ก็เห็นเขากำลังก้มหน้ามองนางอยู่
“ท่านจะไปซานซี?” เสิ่นหยวนรีบถาม “ไปนานเท่าไร”
หลี่ซิวเหยาพึมพำลังเลเล็กน้อย “ไม่แน่ใจ แต่ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด”
เสิ่นหยวนหลุบตาลง ไม่ได้พูดอะไร
นางเองก็ได้ยินข่าวที่ซานซีเกิดแผ่นดินไหวและพวกหว่าล่าฉวยโอกาสมาโจมตีแล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้หลี่ซิวเหยาต้องไปซานซีเพื่อจัดการเรื่องเหล่านี้ ไหนเลยจะกลับมาในเวลาเพียงไม่นานได้ ขณะเขาไปซานซีเมื่อคราวก่อนก็ต้องอยู่ที่นั่นถึงครึ่งปี
ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอาลัยอาวรณ์ อยากจะได้เห็นหน้าเขาทุกวัน
หลี่ซิวเหยามองเห็นท่าทางหมองเศร้าของนางก็รู้สึกเจ็บปวดใจราวกับถูกเข็มแทง ทว่าก็จนปัญญา ช่วงเวลานี้เขาไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงได้
เขายกมือรวบตัวเสิ่นหยวนเข้ามาในอ้อมแขน บรรจงจุมพิตลงบนศีรษะนาง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เสิ่นหยวนพยักหน้า แอบอิงในอ้อมอกอบอุ่นของเขาโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ตกกลางคืน หลี่ซิวเหยาก็กำชับกำชาเรื่องต่างๆ กับเสิ่นหยวนอีกมากมาย แม้ว่าในเรือนจะมีสาวใช้ และที่ด้านนอกเขาก็จัดวางองครักษ์คนสนิทที่ไว้ใจได้เอาไว้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่วางใจ อย่างไรก็อยากจะเห็นเสิ่นหยวนอยู่ในสายตาทุกเวลา
ใกล้ถึงเวลาต้องจากกัน ในใจคนทั้งสองล้วนอาลัยอาวรณ์ หลี่ซิวเหยาจึงมิแคล้วเกี่ยวกระหวัดรัดพันกับเสิ่นหยวนอีกเป็นนาน จนสุดท้ายเสิ่นหยวนก็เหนื่อยจนหลับสนิทไป
ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นเสิ่นหยวนตื่นขึ้นมา ที่ข้างกายไหนเลยจะยังมีคนอยู่ นางจึงรีบเรียกไฉ่เวยเข้ามาถาม
ก่อนจะได้ยินไฉ่เวยตอบว่า “นายท่านจากไปตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสางแล้วเจ้าค่ะ ก่อนไปเขายังสั่งบ่าวเป็นพิเศษว่าอย่าเพิ่งปลุกฮูหยิน ปล่อยให้ท่านนอนต่อไป”
เสิ่นหยวนได้ยินแล้วก็มีสีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนั้นนางก็ปลอบตนเองว่าหลี่ซิวเหยาบอกจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด เช่นนั้นเขาก็จะต้องกลับมาโดยเร็วที่สุดแน่นอน
เสิ่นหยวนจึงบอกให้ไฉ่เวยมาปรนนิบัตินางตื่นนอน
ดวงอาทิตย์ที่ด้านนอกขึ้นสูงมากแล้ว ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันอยู่รอมร่อ
เสิ่นหยวนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็มานั่งลงบนม้านั่งกลมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไฉ่เวยกำลังเกล้าผมให้นาง ขณะที่นางกำลังคิดว่าไฉนหมู่นี้ถึงรู้สึกว่าตนเองขี้เซายิ่งนัก
หากบอกว่าเป็นเพราะเมื่อคืนทำเรื่องสนิทแนบแน่นกับหลี่ซิวเหยา แต่ก่อนหน้านี้ยามกลางคืนหลี่ซิวเหยาก็ทำเรื่องสนิทแนบแน่นกับนางเช่นกัน กระนั้นนางก็มิเคยขี้เซาเท่าระยะนี้
ทว่าจู่ๆ ในใจเสิ่นหยวนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงตระหนกตกใจจนแทบนั่งไม่ติดทันที
นางลืมไปได้อย่างไรว่าชาติก่อนองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ด้วยไข้ทรพิษราวๆ ช่วงเวลานี้ ต่อจากนั้นไม่ถึงเดือนฮ่องเต้ก็สวรรคตตามไป เรื่องใหญ่เพียงนี้ไฉนเมื่อคืนนางถึงไม่เตือนหลี่ซิวเหยา
ทว่าเวลานั้นในใจนางมีแต่ความเสียใจที่ต้องแยกจากกัน ทั้งยังถูกหลี่ซิวเหยาแนบชิดกายอยู่ตลอด จึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งต่อให้นึกขึ้นมาได้ แต่จะบอกกับหลี่ซิวเหยาอย่างไรเล่า
อีกประการหนึ่งเรื่องราวมากมายในชาตินี้ก็ต่างไปจากชาติที่แล้วด้วย
เป็นต้นว่าเรื่องแผ่นดินไหวที่ซานซีคราวนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในชาติก่อน ดังนั้นผู้ใดจะไปรู้ว่าภายหลังจะเกิดเรื่องกับองค์ชายใหญ่และฮ่องเต้หรือไม่
เสิ่นหยวนกำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ก็เห็นชิงเหอถือกล่องอาหารเข้ามา
เป็นกล่องอาหารสามชั้นขนาดใหญ่ทำจากไม้ไผ่สลักลงรักเขียนลายทอง พอเปิดฝาออกด้านในก็มีเนื้อปลากะพงแล่หนึ่งจาน ยำขาหมูรมควันหั่นเป็นเส้นหนึ่งจาน ถั่วงอกผัดน้ำส้มสายชูหนึ่งจาน แกงข้นเต้าหู้หนึ่งชาม พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ อีกชาม
ชิงเหอนำอาหารวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็เดินมาเชิญเสิ่นหยวนไปนั่งกิน
วันนี้เสิ่นหยวนตื่นสายเพียงนี้จึงไม่ต้องกินอาหารเช้าแล้ว ข้ามมากินอาหารกลางวันได้เลย
ทว่าเสิ่นหยวนกลับรู้สึกเหมือนไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรนัก อีกทั้งนางเพิ่งจะคีบเนื้อปลากะพงมาถึงปาก ยังไม่ทันกินก็ได้กลิ่นคาวก่อนแล้ว รู้สึกเพียงภายในกระเพาะปั่นป่วนอย่างรุนแรง ถึงกับอาเจียนลมออกมา
ไฉ่เวยกับชิงเหอต่างตกใจจนสะดุ้งโหยง
ไฉ่เวยรีบก้าวมาตบหลังเสิ่นหยวนเบาๆ ส่วนชิงเหอก็รีบไปรินน้ำ
ครั้นชิงเหอรินน้ำอุ่นมาแล้ว ไฉ่เวยก็รับมาป้อนให้เสิ่นหยวนดื่มไปสองอึก เห็นนางหยุดอาเจียนแล้วถึงได้ถามด้วยความเป็นห่วง “ฮูหยิน ตอนนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนโบกมือให้ไฉ่เวย พักหายใจครู่หนึ่งถึงตอบว่า “ปลานั่นมีกลิ่นคาวแรงนัก ข้าได้กลิ่นก็อยากอาเจียน รีบเอาออกไป!”
ไฉ่เวยได้ยินก็รีบสั่งให้ชิงเหอเก็บเนื้อปลากะพงแล่จานนั้นลงกล่องอาหารแล้วปิดฝาไว้ จากนั้นก็เชิญให้เสิ่นหยวนกินต่อ
ต่อมาเสิ่นหยวนชิมยำขาหมูรมควันหั่นเป็นเส้นไปคำหนึ่งก็บอกว่าจานนี้กลิ่นแรงยิ่งนัก ได้กลิ่นแล้วรู้สึกไม่ดี เรียกให้ไฉ่เวยรีบเก็บลงจากโต๊ะอีก
สุดท้ายเสิ่นหยวนกินถั่วงอกผัดน้ำส้มสายชูไปแค่ไม่กี่คำ และดื่มแกงข้นเต้าหู้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชามก็หยุดกิน
ไฉ่เวยรีบประคองเสิ่นหยวนลุกจากโต๊ะ พานางมานั่งลงบนตั่งไม้ แล้วถึงเดินไปสั่งชิงเหอเสียงเบา “เจ้าส่งอาหารที่เหลือกลับไปที่ครัวเล็ก แล้วถามพี่จางมาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ที่ผ่านมาเวลาฮูหยินกินข้าวไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ในใจไฉ่เวยจึงคิดว่าต้องเป็นเพราะวันนี้พี่จางปรุงอาหารเหล่านี้ได้ไม่ดีเป็นแน่แท้
ชิงเหอรีบรับคำ เก็บอาหารที่เหลืออย่างคล่องแคล่วว่องไวเสร็จก็ถือกล่องอาหารออกจากห้องไป
ครั้นชิงเหอมาถึงห้องครัวเล็กก็ได้ยินพี่จางกำลังตำหนิเสี่ยวหลวน “ข้าขอเตือนให้เจ้าอยู่กับความเป็นจริงหน่อยจะดีกว่า อย่าใฝ่สูงเกินตัว เป็นแค่สาวใช้นางหนึ่งแท้ๆ คิดว่าตนเองเป็นคุณหนูจริงๆ หรือไร งานในครัวนี้ทั้งเหนื่อยทั้งสกปรก แต่ไฉนพวกเสี่ยวเฟิ่งกับเสี่ยวหมิงถึงทำได้ มีแต่เจ้าที่ทำไม่ได้? ทุกครั้งที่ถึงเวรเจ้า เจ้าไม่หาเรื่องนี้ก็หาเรื่องนั้นมาอ้างเพื่อจะไม่ต้องมา หรือข้ามีสี่แขนงอกออกมา สามารถทำงานตั้งมากมายในครัวนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
พูดยังไม่ทันจบก็เห็นชิงเหอถือกล่องอาหารรีบร้อนเดินเข้ามา
ด้วยเหตุนี้พี่จางจึงรีบฉีกยิ้มเอ่ย “แม่นางชิงเหอมาแล้วหรือ ข้าเพิ่งจะนึ่งขนมโป่งรากสนเสร็จ ยังร้อนๆ อยู่ เจ้ารีบมาลองชิมดู!”
พูดพลางนางก็หยิบขนมโป่งรากสนสีขาวหิมะจานหนึ่งออกมาจากในตู้กับข้าวที่ด้านข้าง
พี่จางเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา ฝีมืองานครัวก็ดี ปกติมักจะทำขนมให้สาวใช้ในเรือนนี้กินเป็นประจำ สาวใช้ในเรือนจิ้งหยวนจึงล้วนชอบนาง
แต่ยามนี้ชิงเหอย่อมไม่มีแก่ใจจะกินขนมอะไร นางเร่งฝีเท้าเดินมาวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะข้างเตา ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม “พี่จาง เนื้อปลากะพงแล่กับยำขาหมูรมควันหั่นเป็นเส้นที่ทำวันนี้ ท่านล้างไม่สะอาดใช่หรือไม่ ไฉนเมื่อครู่ฮูหยินถึงบอกว่าอาหารสองจานนั้นมีกลิ่นคาวแรงยิ่ง นางไม่ได้กินเลยสักคำ แค่ได้กลิ่นก็อาเจียนแล้ว”
พี่จางได้ยินแล้วก็ตกใจยกใหญ่ รีบพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้ว่าฮูหยินเป็นคนรักความสะอาด เวลาที่ข้าล้างวัตถุดิบมีครั้งใดที่ข้าไม่ล้างจนสะอาดบ้าง ปลากะพงวันนี้ตอนที่ข้าทำยังใส่ขิงสดกับสุราหวงจิ่ว* ลงไปดับกลิ่นด้วย แม้แต่ขาหมูรมควันนั้น ไม่กี่วันก่อนฮูหยินก็เพิ่งจะกินไป เวลานั้นก็มิใช่ยังกินได้ปกติ มิได้อาเจียนหรือไร”
พูดพลางพี่จางก็ยื่นมือไปเปิดฝากล่องอาหาร หยิบเนื้อปลากะพงแล่และยำขาหมูรมควันหั่นเป็นเส้นออกมาดมดู ก่อนจะพูดด้วยความแปลกใจ “ข้าดมแล้วไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย” ทั้งยังยื่นให้ชิงเหอดมดูด้วย
ชิงเหอดมแล้วก็ไม่ได้กลิ่นคาวแม้แต่น้อยนิดจริงๆ
“ไฉนฮูหยินถึงบอกว่าอาหารสองจานนี้มีกลิ่นแรงมาก มิหนำซ้ำนางยังอาเจียนด้วยเล่า” ชิงเหอไม่เข้าใจ
พี่จางคิดแล้วก็พลันตบมือ ก่อนพูดว่า “ข้ารู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร!”
ชิงเหอรีบถามนาง แล้วก็ได้ยินพี่จางตอบยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นหญิงสาวพรหมจารี อีกทั้งนี่ก็เป็นครั้งแรกของฮูหยิน นางจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า เด็กโง่ นี่เป็นเรื่องน่ายินดี! ข้าขอถามเจ้าหน่อย เดือนนี้ฮูหยินระดูมาแล้วหรือไม่”
ชิงเหองงงวย “น่าจะยังไม่มากระมัง แต่ปกติระดูฮูหยินก็มาไม่ตรงเวลาอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว” พี่จางกล่าวยิ้มๆ “เจ้ายังไม่รีบไปบอกให้บ่าวชายไปเชิญหมอมาตรวจฮูหยินอีก? ข้าคิดว่าฮูหยินน่าจะมีครรภ์แล้ว”
ชิงเหอมองพี่จาง ปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายพอถูกพี่จางเร่งนางถึงได้หันหลังวิ่งออกประตูไป
ส่วนเสี่ยวหลวนก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
ฮูหยินถึงกับมีครรภ์แล้ว?
ในเมื่อฮูหยินมีครรภ์แล้ว ย่อมไม่สามารถปรนนิบัตินายท่านได้ ทว่ายามราตรีบุรุษจะไม่มีสตรีปรนนิบัติได้อย่างไร
หากนายท่านยังอยู่ เช่นนั้นนางก็มีโอกาสแน่นอน แต่ยามนี้นายท่านกลับออกเดินทางไกลไปแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรถึงจะกลับมา นางกลายเป็นพลาดโอกาสอันดีไปเสียแล้ว!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.