บทที่ 4
ขณะเสิ่นหยวนได้รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว นางก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกัน
ไฉ่เวย ชิงเหอ และชิงจู๋ดีใจอย่างมาก ยามเดินเข้าเดินออกล้วนมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า
เห็นเสิ่นหยวนยังนั่งอยู่บนตั่งไม้ริมหน้าต่าง ซ้ำหน้าต่างฉลุลายสองบานที่ด้านข้างล้วนเปิดอยู่ ที่ด้านนอกก็เริ่มมีลมพัดแรงแล้ว ไฉ่เวยจึงรีบเดินไปปิด ก่อนกล่าวว่า “ฮูหยิน ตอนนี้ท่านมีครรภ์แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องระมัดระวังให้มากนะเจ้าคะ”
ไฉ่เวยหันหน้าไปสั่งชิงเหอกับชิงจู๋ว่าต่อไปเห็นลมพัดเมื่อไรจะต้องปิดหน้าต่างเสีย ห้ามปล่อยให้ฮูหยินต้องลม จากนั้นก็กำชับกำชาเรื่องอื่นๆ ต่ออีก ฟังแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยที่จุกจิกหยุมหยิมอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนจึงหัวเราะขึ้นมา “ข้าไหนเลยจะเปราะบางปานนั้น ยิ่งพวกเจ้าระมัดระวังปานนี้ ก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล”
พูดพลางเสิ่นหยวนก็ก้มหน้าลง ยกมือลูบหน้าท้องเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เพิ่งจะสามเดือนกว่าจึงยังดูไม่ออกว่าตั้งครรภ์ หน้าท้องนางยังคงดูเรียบแบนดังเดิม เพียงแต่ช่างน่าอัศจรรย์ใจนักที่ยามนี้ข้างในถึงกับมีเด็กอยู่แล้ว เป็นลูกของนางกับหลี่ซิวเหยา
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนก็รู้สึกว่าใจอ่อนนุ่มดั่งปุยเมฆ รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งกดลึกลงกว่าเดิม ในดวงตาคล้ายเต็มไปด้วยประกายแวววาว
ทว่าที่สุดแล้วในใจเสิ่นหยวนก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เวลาเช่นนี้หลี่ซิวเหยากลับไม่อยู่ข้างกายนาง ไม่อาจแบ่งปันความสุขความปลื้มปีติอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ร่วมกับนางได้
เสิ่นหยวนเริ่มนึกเป็นห่วงหลี่ซิวเหยาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปถึงที่ใดแล้ว ออกจากชานเมืองหลวงแล้วหรือไม่
หลี่ซิวเหยากับพวกซ่งหงกวงควบม้าเร่งรุดไปซานซีตามเส้นทางถนนหลวง เพียงไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ครั้นพวกหลี่ซิวเหยาลงจากม้ามาดูก็มองเห็นแต่ซากกำแพง คิดว่าพวกหว่าล่าคงเพิ่งจะลงมือโจมตี ในเมืองจึงยังมีไฟสงครามคุกรุ่นให้เห็นอยู่
พอเจ้าเมืองเห็นหลี่ซิวเหยามาถึงก็ดีใจเป็นล้นพ้น ในชั่วพริบตาเดียวก็ราวกับมีที่พึ่งโผล่มา รีบเชิญหลี่ซิวเหยาเข้าไปในที่ว่าการ ก่อนบอกเล่าสถานการณ์ศึกในระยะนี้ให้เขาฟัง
หลี่ซิวเหยาฟังไปพลาง ในใจก็มีแผนการทำศึกอย่างละเอียดแล้ว
เขาจึงจัดกำลังคนไปซ่อมกำแพง พร้อมกับตรวจนับกำลังทหารในเมืองทันที
ไม่กี่วันถัดจากนั้นทัพเกราะทมิฬและพลทหารส่วนหนึ่งจากสามกองกำลังใหญ่ที่หลี่ซิวเหยานำมาด้วยในคราวนี้ รวมถึงผู้แทนพระองค์ที่ฝ่าบาทส่งมาปลอบขวัญราษฎรก็ล้วนมาถึง
เนื่องจากศึกคราวก่อนทัพหว่าล่าได้เสียหายอย่างหนักจนก่อคลื่นลมอะไรไม่ได้แล้ว ครานี้จึงแค่ฉวยโอกาสที่แผ่นดินไหวครานี้ทำให้กำแพงเมืองถล่ม คิดจะบุกเข้ามาปล้นสะดมเท่านั้นเอง
ครั้นเห็นกำลังเสริมจากราชสำนักมาถึง ทัพใหญ่หว่าล่าก็ไม่กล้ารุกรานแล้ว
ทว่าหลี่ซิวเหยายังคงนำทหารตามต่อ กระทั่งรุกไล่อีกฝ่ายกลับถิ่นเดิมแล้วถึงยอมรามือ
คราวนี้เรียกได้ว่าการรบสำคัญที่ความเร็ว…รีบสู้รีบจบโดยแท้
พอหลี่ซิวเหยานำทหารกลับเข้ามาในเมืองก็เห็นใต้เท้าจ้าวที่ฮ่องเต้ส่งมาผู้นั้นกำลังกำกับสั่งการให้พลทหารต้มโจ๊กให้ผู้ประสบภัยอยู่ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี
เพียงแต่หลี่ซิวเหยากลับมิได้นั่งบนหลังม้ากลับมา แต่เป็นนอนบนเปลหามโดยที่มีเลือดท่วมร่าง ถูกคนหามกลับมาตลอดทาง ซ่งหงกวงเปิดทางอยู่ข้างหน้า ตะโกนเร่งให้พลทหารส่งหลี่ซิวเหยาไปที่ว่าการโดยเร็ว ทั้งยังตะโกนสั่งให้เชิญหมอประจำกองทัพมารักษาหลี่ซิวเหยาเป็นการด่วน
ทำเอาเจ้าเมืองและใต้เท้าจ้าวผู้แทนพระองค์ผู้นั้นตกอกตกใจเดินมาเยี่ยมพร้อมกันทันที แต่กลับถูกซ่งหงกวงขวางประตูไว้ไม่ให้พวกเขาเข้าไป บอกเพียงว่าขณะแม่ทัพใหญ่ไล่ตามทัพศัตรูก็ถูกฝ่ายตรงข้ามลอบยิงธนูทำร้าย หมอประจำกองทัพกำลังทำการรักษาอยู่ข้างใน ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปรบกวน
เมื่อหมอออกจากห้องมา ซ่งหงกวงกับพวกใต้เท้าจ้าวและเจ้าเมืองจึงรีบก้าวมาสอบถาม
ก่อนจะเห็นหมอผู้นั้นโบกมือ “อกซ้ายของท่านแม่ทัพถูกลูกธนูยิงทะลุ เคราะห์ดีที่มิได้บาดเจ็บถึงชีพจรหัวใจ ฝ่ามือซ้ายก็ถูกอาวุธบาดเป็นแผลลึกยิ่ง แม้จะดวงแข็ง แต่ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวหลายเดือน ยามนี้ถึงใต้เท้าทั้งสองจะเข้าไปเยี่ยมได้ แต่มิอาจอยู่นานเกินไป ท่านแม่ทัพยังต้องพักผ่อนเงียบๆ ทางที่ดีอย่าไปรบกวนเขานัก”
ใต้เท้าจ้าวกับเจ้าเมืองได้ยินแล้วก็เข้าไปในห้องด้วยกัน ก่อนจะเห็นหลี่ซิวเหยายังนอนสลบอยู่ ตรงอกซ้ายได้รับการทำแผลเรียบร้อยแล้ว ถูกพันด้วยผ้าขาวเป็นชั้นหนา และยังมีผู้ช่วยหมอกำลังใส่ยาห้ามเลือดที่มือซ้ายให้เขาอยู่ ยังมิได้พันแผล
ใต้เท้าจ้าวเห็นเพียงฝ่ามือซ้ายของหลี่ซิวเหยามีเลือดไหลหยด เนื้อหนังปริออก มีบาดแผลที่ลึกยิ่งสายหนึ่งเหมือนที่หมอบอกจริงๆ คิดว่าแผลตรงอกซ้ายของเขาก็คงน่าสยดสยองไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุนี้หลังใต้เท้าจ้าวเยี่ยมหลี่ซิวเหยาเสร็จ จึงกลับไปเขียนรายงานกราบทูลฮ่องเต้และให้คนนำกลับไปส่งยังเมืองหลวงเป็นการด่วนทันที
ก่อนเดินทางมาฮ่องเต้เคยเรียกใต้เท้าจ้าวเข้าวังเป็นการลับ เพื่อสั่งให้เขาจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่ซิวเหยาหลังจากมาถึงซานซี
อันที่จริงใต้เท้าจ้าวเองก็เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ดี
การศึกที่ชายแดน กบฏเหมียวก่อความวุ่นวาย พวกวอโค่วที่ชายฝั่งทะเล โจรเร่ร่อนอาละวาดไม่ว่างเว้น เรื่องเหล่านี้ล้วนมิอาจพ้นมือหลี่ซิวเหยา ฮ่องเต้ยังต้องใช้งานเขา แต่อีกด้านหนึ่งในมือหลี่ซิวเหยาก็กุมอำนาจสามกองกำลังใหญ่อยู่ รวมไปถึงทัพเกราะทมิฬ อีกทั้งองค์ชายรองก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา อย่างไรฮ่องเต้ก็ยังคงกริ่งเกรงเขายิ่ง กังวลว่าเขาจะกระทำการอุกอาจ
คิดว่าฮ่องเต้คงจะมีวิธีหาความผิดของหลี่ซิวเหยาแล้ว รอเพียงถึงเวลาที่เขาหมดประโยชน์เท่านั้น
ตกกลางคืน บนท้องฟ้ามีจันทร์เสี้ยวหนึ่งดวงและดาวดวงน้อยมากมาย ซ่งหงกวงยังยืนเฝ้าหน้าประตูห้องของหลี่ซิวเหยาต่อ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดได้เข้าไป
ไม่นานก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในห้อง รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย ทว่าทั่วทั้งร่างถูกเสื้อคลุมสีดำห่อหุ้มไว้ เขาพยักหน้าให้ซ่งหงกวง
ภายใต้แสงจันทร์แสงดาวก็เห็นว่าคนผู้นี้คือหลี่ซิวเหยาแม่ทัพใหญ่ที่หมอประจำกองทัพบอกว่าได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส หากแต่เขาในยามนี้กลับเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว ไหนเลยคือได้รับบาดเจ็บ ไหนเลยคือต้องนอนพักรักษาตัวหลายวัน
ครั้นซ่งหงกวงเห็นหลี่ซิวเหยาออกมาก็รีบคารวะเขา ก่อนกระซิบว่า “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ เรื่องทุกอย่างผู้น้อยจัดการตามที่ท่านสั่งก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านแม่ทัพกลับเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ ผู้น้อยจะเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ปล่อยให้ผู้ใดพบเรื่องที่ท่านจากไปได้แน่นอนขอรับ”
หลี่ซิวเหยาพยักหน้า อาศัยความมืดยามราตรีเร่งฝีเท้ากระโดดข้ามกำแพงออกไป
นอกกำแพงย่อมจะมีคนสนิทอย่างพวกฉีหมิงจูงม้ามารออยู่ หลี่ซิวเหยาพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก่อนที่กลุ่มคนไม่กี่คนนี้จะควบม้ากลืนหายไปท่ามกลางความมืดอันเวิ้งว้างในพริบตาเดียว
ส่วนทางด้านซ่งหงกวง หลี่ซิวเหยาไปแล้ว เขาก็เรียกพลทหารคนสนิทนายหนึ่งมาบอกให้เข้าไปในห้อง นอนลงบนเตียง ก่อนปลดม่านเตียงลง ขณะที่ตนเองยังคงเฝ้าอยู่นอกห้อง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปข้างใน
ระหว่างทางที่หลี่ซิวเหยากลับเมืองหลวงก็มีคนสนิทที่เขาวางไว้ในเมืองหลวงนำข่าวมาส่ง บอกว่าองค์ชายใหญ่ถูกฝ่าบาทออกพระราชโองการย้ายไปหลบโรคที่นอกวังแล้ว
ได้ยินดังนี้หลี่ซิวเหยาก็พยักหน้า
หลังไตร่ตรองได้ครู่หนึ่งหลี่ซิวเหยาถึงค่อยสั่งว่า “ทุกอย่างดำเนินการตามแผนเดิม”
ซ่งฮองเฮาให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่มาก โดยให้การเลี้ยงดูอยู่ในตำหนักของนางด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้ห่างกายแม้แต่ก้าวเดียว อยากจะลงมือทำอะไรย่อมเป็นการยากอย่างที่สุด แต่ครั้นองค์ชายใหญ่ออกจากวังแล้ว เรื่องมากมายย่อมกระทำได้ง่ายขึ้นมาก
คนสนิทผู้นั้นพยักหน้า ก่อนหันหลังควบม้าห้อตะบึงกลับไป
ต่อจากนั้นหลี่ซิวเหยาก็เร่งเดินทางกลับเมืองหลวงให้เร็วขึ้นอีก ทว่าเขากลับมิได้เข้าไปในเมือง แต่ไปพักที่เรือนลับในเขาแถบชานเมือง รอคอยการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงอย่างเงียบๆ
ตกกลางคืน จวนหย่งชางโหวจุดโคมสว่างไสว
หย่งชางโหวซ่งป๋อเจี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงตำแหน่งใหญ่สุดในห้องหนังสือ นอกจากนี้ยังมีคนสนิทอยู่อีกสองสามคน รวมถึงซ่งอวิ๋นชิงด้วย ล้วนแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในตำแหน่งรองจากเขา
ได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “วันนี้สารจากใต้เท้าจ้าวส่งมาถึง ความว่าหลี่ซิวเหยาถูกธนูยิงที่อกซ้าย อาการสาหัสยิ่ง จำต้องนอนพักรักษาตัวระยะหนึ่ง นี่กลับเป็นโอกาสที่ดีอย่างที่สุดสำหรับพวกเรา”
แม่ทัพนายกองในราชสำนักยึดหลี่ซิวเหยาเป็นผู้นำไม่พอ แม้แต่ขุนนางบุ๋นบางส่วนในราชสำนักก็ยังพากันทรยศไปอยู่ฝ่ายเขา ระหว่างช่วงที่หลี่ซิวเหยาไม่อยู่เมืองหลวงนี้ก็ถือโอกาสกำจัดฝ่ายเขาได้อย่างไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด จะดีที่สุดถ้าสามารถชิงอำนาจคุมสามกองกำลังใหญ่กลับมาจากในมือเขาได้
ซ่งป๋อเจี่ยนพยักหน้า มิได้พูดอะไร หากแต่เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้
ซ่งอวิ๋นชิงกลับขมวดคิ้วน้อยๆ แต่เขาก็มิได้พูดอะไรเช่นกัน
จากนั้นก็ได้ยินอีกผู้หนึ่งพูดขึ้นด้วยความลังเล “ผู้น้อยกลับรู้สึกว่าถ้าไม่มีองค์ชายรอง ถึงหลี่ซิวเหยาจะกุมอำนาจสามกองกำลังใหญ่ไว้ในมือ แต่จะทำอะไรได้ ท่านโหว ช่วงที่ผ่านมาในวังมีคนเป็นไข้ทรพิษ ฝ่าบาทมีพระราชโองการย้ายองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองไปประทับนอกวังเพื่อหลบโรค ท่านเห็นว่าควรฉวยโอกาสนี้…กับองค์ชายรองหรือไม่ขอรับ หากองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ด้วยไข้ทรพิษ ผู้อื่นก็คงไม่สงสัยอะไร”
“เงียบปาก!” พูดยังไม่ทันจบกลับถูกซ่งป๋อเจี่ยนตัดบทอย่างเคร่งครัด “องค์ชายรองจะอย่างไรก็เป็นพระราชโอรส นั่นก็คือทรงเป็นเจ้านายของพวกเรา พวกเราเป็นขุนนางจะคิดเอาชีวิตของเจ้านายได้อย่างไร”
ขุนนางผู้นั้นได้ยินแล้วก็ใบหน้าแดงเถือก อับอายไม่พูดอะไรอีก
ซ่งอวิ๋นชิงฟังแล้วคิ้วยาวก็มุ่นลึกกว่าเดิม
ซ่งป๋อเจี่ยนคุยเรื่องในราชสำนักกับคนสนิทเหล่านี้ได้อีกครู่หนึ่งก็เรียกให้บ่าวชายส่งคนเหล่านี้ออกจากจวน ครั้นพวกเขาจากไปแล้ว ซ่งป๋อเจี่ยนก็มองมายังซ่งอวิ๋นชิง
“เมื่อครู่ขณะข้าคุยกับพวกเขา ข้าเห็นเจ้าขมวดคิ้วตลอด เป็นอะไรไป หรือเรื่องที่พวกข้าคุยกัน เจ้ายังคงไม่อยากฟัง? เจ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่พวกเขาพูด?”
ตั้งแต่ซ่งป๋อเจี่ยนจัดการให้ซ่งอวิ๋นชิงเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ทั้งยังจัดการหมั้นหมายบุตรสาวสายตรงของจวนเสนาบดีกรมทหารให้เขา ก็เจอกับการต่อต้านจากซ่งอวิ๋นชิงแล้ว
เดิมทีซ่งป๋อเจี่ยนยังมิได้เก็บมาใส่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่าซ่งอวิ๋นชิงจะทำเรื่องอย่างหนีออกจากบ้านได้จริงๆ แม้ว่าต่อมาจะส่งคนไปตามหาตัวเขากลับมา และโน้มน้าวให้เขาเข้าทำงานในกรมทหาร รวมทั้งตอบตกลงหมั้นหมายกับบุตรสาวสายตรงของเสนาบดีกรมทหารได้แล้ว แต่เขากลับไม่เคยกระตือรือร้นกับเรื่องเหล่านี้
มิหนำซ้ำเมื่อปลายปีก่อนเสนาบดีกรมทหารเกิดป่วยหนักกะทันหัน ถวายฎีกากราบทูลขอเกษียณกลับบ้านเกิด การหมั้นหมายนี้จึงผิดไปจากจุดมุ่งหมายเริ่มแรกของซ่งป๋อเจี่ยนที่ต้องการเกี่ยวดองเป็นญาติกับเสนาบดีกรมทหารแล้ว
ซ่งอวิ๋นชิงก้มหน้าไม่ตอบคำ ใบหน้าด้านข้างงามดั่งหยกภายใต้แสงเทียน
ซ่งป๋อเจี่ยนเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจยาว “ต้องโทษข้ากับมารดาเจ้าที่ตั้งแต่เล็กก็ตามใจเจ้าเกินไป ไม่ว่าเรื่องใดล้วนปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบ ยามเจ้าอยู่ในสำนักการศึกษาหลวง ชอบแต่พวกวิชาคำนวณวิชาดนตรีที่นอกลู่นอกทางเหล่านี้ แต่พวกข้าก็มิได้ห้ามปราม จนกลายเป็นบ่มเพาะนิสัยเบื่อหน่ายเส้นทางขุนนาง อยากแต่จะใช้ชีวิตสันโดษอย่างในยามนี้ให้เจ้า หากแต่ชิงเกอ บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่เจ้าทำตามใจตนเองไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเกิดในสกุลซ่ง และได้เสพสุขกับชีวิตดีเลิศที่สกุลซ่งมอบให้เจ้ามาหลายปี ในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าควรจะรับผิดชอบภาระที่เจ้าพึงกระทำแล้ว”
ซ่งอวิ๋นชิงยังคงก้มหน้าไม่ปริปาก ทว่ากรามกลับเกร็งขึ้นมา
ซ่งป๋อเจี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจยิ่ง “เจ้าเป็นคนฉลาด ตอนนี้ในราชสำนักเป็นเช่นไรคิดว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดมาก เจ้าก็น่าจะมองเห็นชัดเจน ระหว่างสกุลซ่งเรากับหลี่ซิวเหยาไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้กำลังเป็นช่วงตัดสินความเป็นความตาย”
เห็นซ่งอวิ๋นชิงยังคงก้มหน้า ท่าทางไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของตน ซ่งป๋อเจี่ยนก็อดไม่ไหว เริ่มถอนหายใจอีกครั้ง “ชิงเกอ พ่อแก่แล้ว สกุลซ่งของเราต่อไปอย่างไรก็ต้องพึ่งพาเจ้า”
ซ่งอวิ๋นชิงได้ยินแล้วก็ให้สะท้านใจ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ
เขาเห็นซ่งป๋อเจี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า ผมขาวบนศีรษะดูบาดตาเป็นพิเศษภายใต้แสงเทียน รูปร่างก็คล้ายว่าค่อมลงไปบ้างแล้ว
ซ่งอวิ๋นชิงเม้มปาก รู้สึกแสบจมูกอยู่บ้าง
เขายังจำได้ว่าตอนตนเองยังเล็กบิดามีรูปร่างสูงใหญ่ ดูตระหง่านราวกับขุนเขา เหมือนว่าไม่มีอะไรสามารถโค่นล้มบิดาได้ หากแต่ยามนี้โดยที่เขายังไม่ทันรู้ตัว บิดาก็ดูชราลงแล้ว
ทว่าบิดายังคงต้องกังวลกับอนาคตของวงศ์ตระกูล…
ซ่งป๋อเจี่ยนเห็นซ่งอวิ๋นชิงไม่พูดอะไรโดยตลอดก็คิดว่ายังคงมิอาจโน้มน้าวเขาได้ ในใจไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง จึงจับที่วางแขนของเก้าอี้ประคองตัวลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องหนังสือ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินซ่งอวิ๋นชิงเอ่ยปากเรียกเขา “ท่านพ่อ”
ซ่งป๋อเจี่ยนที่เพิ่งลุกขึ้นพลันชะงักไป ชั่วครู่ให้หลังเขาถึงเอ่ยถาม “มีอะไร”
ต่อจากนั้นเสียงสงบนิ่งของซ่งอวิ๋นชิงก็ดังขึ้นทันที “ลูกกลับรู้สึกว่าข้อเสนอแนะที่ใต้เท้าซุนพูดเมื่อครู่ไม่เลวเลย ผู้ที่หมายทำการใหญ่ อย่างไรก็ต้องทำใจให้เหี้ยมสักหน่อย”
ใต้เท้าซุนก็คือขุนนางที่เมื่อครู่บอกว่าจะใช้โอกาสนี้กำจัดองค์ชายรอง
ซ่งป๋อเจี่ยนตระหนกตกใจ มองซ่งอวิ๋นชิงด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
บุตรชายคนนี้ของเขามิใช่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายเป็นนิสัย ดูมีท่าทางไม่อินังขังขอบหรือไร แต่ไฉนพอเปิดปากก็พูดเรื่องเช่นนี้ออกมา
เขายังได้ยินซ่งอวิ๋นชิงพูดต่ออีกว่า “เมื่อครู่ใต้เท้าจางบอกว่ายามนี้หลี่ซิวเหยาไม่อยู่เมืองหลวง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา แต่ลูกกลับไม่คิดเช่นนั้น ลองคิดดูว่าบัดนี้หลี่ซิวเหยาไม่อยู่ในเมืองหลวง หากในเมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนั้นก็ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา ฝ่าบาทไม่อาจทรงเอาผิดเขาได้แน่”
ซ่งป๋อเจี่ยนแววตาเข้มขึ้น “เจ้าหมายความว่า…”
“หลังองค์ชายใหญ่ทรงย้ายออกนอกวัง ทรงถูกจัดให้ไปประทับที่ใด” ซ่งอวิ๋นชิงถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อใต้เท้าซุนยังคิดแผนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ หลี่ซิวเหยาที่เป็นเจ้าแผนการมีหรือจะคิดไม่ได้ ท่านพ่อรีบส่งคนไปอารักขาองค์ชายใหญ่โดยเร็วจะดีกว่า มิเช่นนั้นหากองค์ชายใหญ่ทรงมีอันเป็นไป ฝ่าบาทมีพระราชโอรสเพียงสองพระองค์ ตำแหน่งรัชทายาทจะต้องกลายเป็นขององค์ชายรองแน่นอน”
ซ่งป๋อเจี่ยนใจหายวาบ แต่ครั้นคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าซ่งอวิ๋นชิงพูดมิผิด
ซ่งป๋อเจี่ยนจึงรีบเรียกผู้ติดตามคนสนิทของตนเข้ามา สั่งการอย่างรวดเร็วให้อีกฝ่ายส่งคนไปเฝ้าที่พักในตอนนี้ขององค์ชายใหญ่เพิ่ม ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด
ผู้ติดตามรับคำ แล้วหันหลังจะเดินออกประตูไป
แต่เวลานี้เองก็เห็นบ่าวชายผู้หนึ่งพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรีบร้อน ยังไม่ทันคารวะซ่งป๋อเจี่ยนกับซ่งอวิ๋นชิงก็เอ่ยปากพูดด้วยความร้อนใจแล้ว “ท่านโหว แย่แล้วขอรับ เมื่อครู่มีคนมารายงานว่าองค์ชายใหญ่ทรงติดไข้ทรพิษ ยามนี้พระอาการไม่สู้ดี! หมอหลวงในวังต่างไปถวายการตรวจแล้วขอรับ!”
ซ่งป๋อเจี่ยนได้ยินก็ตกใจอย่างมาก จากนั้นก็กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรงทันที
สุดท้ายแล้วซ่งอวิ๋นชิงก็พูดถูก
เวลาเดียวกันนี้ก็มีคนนำเรื่องที่องค์ชายใหญ่ติดไข้ทรพิษมารายงานหลี่ซิวเหยาเช่นกัน
หลี่ซิวเหยาตอบรับในลำคอคำหนึ่งแสดงท่าทีว่ารับรู้ จากนั้นก็โบกมือบอกให้ผู้ที่มาถอยออกไป
ผู้มารายงานคารวะหลี่ซิวเหยาอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นก็ถอยออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ ร่างหายลับไปในความมืดยามราตรีอันเวิ้งว้างอย่างรวดเร็ว
หลี่ซิวเหยาหมุนตัวเอามือไพล่หลัง มองดูดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้านอกหน้าต่าง
นับว่าไม่เสียแรงที่เขาอุตส่าห์วางแผน ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา
ทว่าเขาออกจากบ้านมานานนับเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เสิ่นหยวนเป็นอย่างไรบ้าง เขาทิ้งองครักษ์ที่ไว้ใจได้ให้คอยคุ้มครองเสิ่นหยวนในจวนสกุลหลี่ คิดว่าคงไม่มีใครกล้ารังแกนางแน่นอน
แต่จะอย่างไรหลี่ซิวเหยาก็ยังไม่วางใจ เขาคิดแล้วก็หันหน้าไปสั่งฉีหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หาคนเหมาะสมมาสักคน ให้กลับไปดูว่าตอนนี้ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“นายท่าน เรื่องนี้…” ฉีหมิงลังเลอยู่บ้าง ที่สุดแล้วก็ยังคงเอ่ยปากเตือนอย่างอ้อมค้อม “ความเคลื่อนไหวในยามนี้ของท่านไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดล่วงรู้ได้นะขอรับ”
ผู้อื่นล้วนคิดว่ายามนี้หลี่ซิวเหยายังอยู่ที่ซานซี มีหรือจะรู้ว่าเขามาหลบอยู่ที่ชานเมืองหลวง ลอบก่อกวนแทรกแซงการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักอย่างลับๆ
หากส่งคนไปดูฮูหยินในยามนี้แล้วถูกคนไม่หวังดีจับได้ เช่นนั้นเรื่องที่ทำมาทั้งหมดไหนเลยจะไม่สูญเปล่า
ทว่าพอฉีหมิงพูดออกมาเขาก็เห็นว่าสายตาที่หลี่ซิวเหยามองตนเย็นเยียบคมปลาบขึ้นในพริบตา จึงรู้ในทันทีว่าหลี่ซิวเหยามีโทสะแล้ว
ฉีหมิงใจหายวาบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงก้มหน้ารับคำว่า “ขอรับ”
พูดพลางฉีหมิงก็หันหลังเดินออกไปหาคนลอบสืบข่าวฮูหยินในยามนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นคนที่ฉีหมิงส่งไปสืบข่าวก็กลับมาแล้ว หลี่ซิวเหยาให้ฉีหมิงพาเขาเข้ามารายงาน
ผู้มาคุกเข่าลงกับพื้น รายงานสถานการณ์ในจวนอย่างละเอียด “เมื่อคืนผู้น้อยอาศัยความมืดข้ามกำแพงเข้าไปในจวน ลอบไปหาองครักษ์จางอย่างเงียบๆ สอบถามข่าวคราวในระยะนี้ของฮูหยินจากเขา ก็ทราบว่าวันรุ่งขึ้นหลังท่านจากมา ขณะฮูหยินกินอาหารได้เกิดอาการคลื่นเหียน อาเจียนออกมา จึงเชิญหมอมาตรวจดู ท่านหมอบอกว่าฮูหยินตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว หลังจากวันนั้นฮูหยินก็อาการมิสู้ดีนัก มักจะคลื่นเหียนอาเจียนลมเป็นประจำ ทุกวันจึงอยู่แต่ในห้อง น้อยครั้งนักที่จะก้าวออกประตูเรือน”
ขณะหลี่ซิวเหยาได้ยินคนผู้นั้นบอกว่าเสิ่นหยวนตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่า เขาก็มึนงงไปทันใด เป็นครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ในใจฉีหมิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน คิดไม่ถึงว่านายของตนเพิ่งจะจากมา ฮูหยินก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์ทันที มิหนำซ้ำยังตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว เช่นนั้นตอนนี้คำนวณดูอายุครรภ์ฮูหยินก็น่าจะได้สี่เดือนกว่า
ฉีหมิงหันหน้าไปมองหลี่ซิวเหยา
เห็นว่าแม้ยามนี้สีหน้าเขาจะนับว่าดูสงบนิ่ง แต่มือขวาที่กุมถ้วยชาอยู่กลับกำแน่นขึ้นจนทำให้คนนึกเป็นห่วงว่าอีกประเดี๋ยวถ้วยชาใบนี้จะถูกเขาบีบแตกคามือ
ฉีหมิงคิดในใจว่า…ดูท่านายท่านคงจะตกตะลึงมากแน่นอน
ในใจหลี่ซิวเหยาตกตะลึงมากจริงๆ
เสิ่นหยวนถึงกับตั้งครรภ์แล้ว? ลูกของข้ากับนาง? มิหนำซ้ำตอนนี้นางก็ยังอาการไม่สู้ดี…
พอคิดถึงตรงนี้หลี่ซิวเหยาก็รู้สึกปวดใจ อยากจะพบหน้าเสิ่นหยวนเสียเดี๋ยวนี้ใจแทบขาด
เขาโบกมือให้คนผู้นั้นถอยออกไป ก่อนหันหน้าไปมองต้นอู๋ถงที่นอกหน้าต่าง
ต้นอู๋ถงใหญ่โตจนคนเดียวโอบไม่รอบ เป็นฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้จึงเขียวขจี แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงไปก็คล้ายว่ากึ่งโปร่งแสง
ยามนี้เสิ่นหยวนกำลังอุ้มท้องลูกของเขา ทั้งยังอาการไม่ดียิ่ง แต่เขากลับไม่ได้ไปอยู่ข้างๆ นาง ในใจนางจะตำหนิเขา จะรู้สึกน้อยใจ กระทั่งทำอะไรไม่ถูกหรือไม่
พอคิดถึงตรงนี้หลี่ซิวเหยาก็แทบอยากจะตรงกลับบ้านไปพบเสิ่นหยวนทันที ดึงนางมากอดไว้ในอ้อมแขนของตนเอง จุมพิตนางด้วยความรักและสงสาร
หลี่ซิวเหยาต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากถึงได้ฝืนหักห้ามความคิดนั้นในใจลงได้
แต่ครั้นตกดึกหลี่ซิวเหยาก็ยังคงคลุมเสื้อคลุมสีดำ แล้วสั่งฉีหมิง “ตอนนี้ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เจ้าเฝ้าในเรือนนี้ให้ดี”
ฉีหมิงรู้แก่ใจดีว่าหลี่ซิวเหยาต้องคิดอาศัยความมืดไปพบเสิ่นหยวนเป็นแน่แท้ จึงอยากจะเตือนเขาว่าตอนนี้กำลังเป็นช่วงเวลาสำคัญ รอผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เขาย่อมกลับจวนไปพบเสิ่นหยวนได้อย่างเปิดเผย ไยต้องลักลอบกลับไปเช่นนี้ด้วย อีกทั้งยังต้องเสี่ยงจะถูกคนพบเห็นจนทำให้งานที่ทำมาสูญเปล่าอีก
ทว่าพอฉีหมิงคิดถึงที่เมื่อวานตนเองเอ่ยปากเตือน แล้วหลี่ซิวเหยามีท่าทางโกรธ เขาก็กลืนคำพูดเหล่านี้กลับลงไป เปลี่ยนมากล่าวว่า “นายท่านระวังตัวด้วยขอรับ”
หลี่ซิวเหยาพยักหน้า ก่อนสั่งว่า “มีเรื่องสำคัญใดก็รอข้ากลับมาค่อยว่ากัน”
ต่อจากนั้นเขาก็หันหลังเร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องไป
ทางบนเขาขรุขระ ทว่าหลี่ซิวเหยายังคงลงเขาไปได้อย่างรวดเร็ว
ด้านล่างเขาย่อมจะมีคนที่หลี่ซิวเหยาวางไว้จูงม้ามารออยู่ เขารับสายบังเหียนและแส้มาแล้วก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า สองขาออกแรงกระทุ้งท้องม้า ม้าก็พุ่งทะยานออกไปราวกับบินในทันที
หลี่ซิวเหยาเลือกใช้ทางเล็กลับตาคนในการมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลี่
มิผิดจากที่คิด บริเวณจวนสกุลหลี่ยังมีหูตาของผู้อื่นอยู่จริงๆ หลี่ซิวเหยาหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง ข้ามกำแพงเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปทางเรือนจิ้งหยวน
ด้านนอกเรือนจิ้งหยวนมีองครักษ์ลับที่หลี่ซิวเหยาจัดวางไว้นานแล้ว ยามเห็นเขาบุกเข้ามาก็มีคนปรากฏตัวจากที่ลับออกมาขวางไว้ ตวาดถามเสียงต่ำทันที “ใคร!”
หลี่ซิวเหยาไม่ตอบ เพียงถอดหมวกคลุมศีรษะสีดำลง
ครั้นองครักษ์ลับเห็นว่าเป็นหลี่ซิวเหยาก็ตกใจยิ่งยวด กุลีกุจอคุกเข่าข้างหนึ่งลงทำความเคารพเขา “ผู้น้อยคารวะนายท่าน”
หลี่ซิวเหยาทำท่าบอกให้องครักษ์ลับลุกขึ้น ก่อนกระซิบสั่งเขา “เฝ้าข้างนอกให้ดี ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้”
องครักษ์ลับรีบรับคำสั่งเสียงเบา ครั้นแล้วก็เห็นหลี่ซิวเหยากระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในเรือน
กลางยามไฮ่แล้ว บ่าวหญิงในเรือนจิ้งหยวนต่างเข้านอนกันหมด ภายในเรือนมืดมิด มีเพียงโคมไฟตรงระเบียงที่ยังมีแสงไฟอยู่
หลี่ซิวเหยารู้ว่าเวลาเสิ่นหยวนเข้านอนไม่ชอบให้มีสาวใช้มาคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ แม้ประตูจะลงกลอนไว้จากด้านใน แต่เรื่องนี้ย่อมไม่เกินความสามารถเขา
หลี่ซิวเหยาปลดกระบี่อ่อนตรงเอว ยื่นเข้าไปตามช่องประตูเล็กๆ งัดกลอนประตูขึ้นเบาๆ จนหลุด แล้วแง้มประตูช้าๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ ก่อนพลิกมือปิดประตู
จากนั้นฝีเท้าเขาก็อดจะเร็วขึ้นไม่ได้ ก้าวปราดไปยังห้องนอน
แม้ในห้องจะไม่ได้จุดตะเกียง แต่ยังคงมีแสงจากดวงจันทร์ดวงดาวส่องลอดหน้าต่างที่กรุด้วยม่านบางสีเขียวเข้ามา ทำให้มองเห็นทุกอย่างในห้องได้ชัดเจน หลี่ซิวเหยาสามารถมองเห็นเสิ่นหยวนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงได้ในแวบเดียว
เขาเดินไปหยุดยืนข้างเตียง พินิจมองนาง
แยกจากกันแค่เดือนเดียวนางกลับดูซูบผอมลงมาก คางก็แหลมแล้ว
มิหนำซ้ำนางยังดูเหมือนนอนหลับไม่สนิท หัวคิ้วมุ่นเบาๆ ขนตายาวก็สั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรหรือไม่ หรือเป็นเพราะรู้สึกไม่สบายกาย
คิดถึงตรงนี้หลี่ซิวเหยาก็รู้สึกปวดใจเหลือกำลัง ทนไม่ไหวต้องคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างเตียง โน้มศีรษะจุมพิตหว่างคิ้วนางด้วยความรักและสงสาร เรียกนางเสียงเบาว่า “หยวนหยวน”
เขาร้อนใจอยากพบเสิ่นหยวน อีกทั้งเมื่อครู่ก็เร่งเดินทางต้านลมราตรีมาเป็นเวลานาน ยามเปิดปากพูดเสียงจึงฟังดูแหบแห้งเกินทน และด้วยความที่ปวดใจยิ่งยวดทำให้เสียงเขาเจือสะอื้นอยู่รำไร
เดิมทีเสิ่นหยวนกำลังฝัน…ประเดี๋ยวฝันเห็นอวี้หลางอยู่ท่ามกลางหมอกควัน มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ได้ยินเพียงเสียงเศร้าสร้อยของเขากำลังพูดว่า ‘เจ้ามีสามีกับลูกแล้ว เลยอยากจะลืมข้าให้หมดสิ้นใช่หรือไม่’
ประเดี๋ยวก็ฝันเห็นหลี่ซิวเหยาซักถามนางด้วยความเดือดดาล ‘เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ในท้องก็มีลูกของข้าอยู่ ไฉนในใจจึงยังไปคิดถึงบุรุษอื่น!’
เสิ่นหยวนไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรดี หากแต่ใจนางไม่อยากละทิ้งอวี้หลาง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากละทิ้งหลี่ซิวเหยาเช่นกัน นางเกลียดตนเองที่เป็นเช่นนี้ยิ่งนัก
ท่ามกลางอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนางคล้ายได้ยินอวี้หลางกำลังเรียกนางด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า ‘หยวนหยวน’
แม้ว่าชาติก่อนนางกับอวี้หลางจะอยู่ด้วยกันนานเป็นปี แต่อวี้หลางก็ให้เกียรตินาง ไม่เคยเรียกนางว่าหยวนหยวนมาก่อน มีเพียงเสี้ยวเวลาก่อนนางสิ้นลมที่เขากอดนางไว้ในอ้อมแขน สะกดกลั้นความเจ็บปวด สะอื้นพลางเรียกนางว่าหยวนหยวนด้วยเสียงอันแหบแห้ง
คำเรียกนี้…นางไม่เคยลืม
และในตอนนี้ริมโสตนางก็คล้ายว่ามีคนกำลังเรียกนางด้วยคำนี้
เสิ่นหยวนทนไม่ไหวเปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมา นางสะอึกสะอื้นร้องเรียกอวี้หลาง ก่อนจะพึมพำว่า “ขอโทษ อวี้หลาง ขอโทษ…”
ทว่านางไม่อาจปล่อยหลี่ซิวเหยาไปได้!
หลี่ซิวเหยาเป็นสามีของนางแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นพ่อของลูกในท้องนางด้วย ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางไปจากหลี่ซิวเหยาได้
ร้องไห้ได้สักพักเสิ่นหยวนก็ตื่นขึ้นมา
ท่ามกลางน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตานางคล้ายมองเห็นคนยืนอยู่หน้าเตียง กำลังก้มหน้ามองนางอยู่
นางมองไม่เห็นสายตาประหลาดใจของหลี่ซิวเหยา นึกเพียงว่าตนเองยังอยู่ในความฝัน ส่วนคนตรงหน้าก็คืออวี้หลาง…
ด้วยเหตุนี้นางจึงยื่นมือไปกำสาบเสื้อคลุมบนตัวหลี่ซิวเหยาไว้แน่น หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง พูดสะอึกสะอื้น “อวี้หลาง อวี้หลาง…ใช่ท่านหรือไม่ ขอโทษ ขอโทษ…แต่ข้าไม่อาจ…ข้า…ข้าไม่อาจทิ้งเขาได้!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 02 ธ.ค. 63
Comments
comments
No tags for this post.