บทที่ 6
ครั้นออกจากเรือนจิ้งหยวนมา หลี่ซิวเหยากำลังจะก้าวเท้าเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นหางตาก็พลันเหลือบเห็นบริเวณข้างสระบัวเล็กในลานเรือนมีเงาคนอยู่เงาหนึ่ง ดูคล้ายกำลังชะเง้อมองมาทางเรือนจิ้งหยวน
หลี่ซิวเหยาใจหายวาบ รีบขยับตัวหลบเข้าไปในเงาต้นไม้ที่ด้านข้าง ก่อนจะเคลื่อนตัวไปทางนั้นด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาและรวดเร็วยิ่ง อยากจะดูว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ อีกทั้งสายตายังคอยมองมาทางเรือนจิ้งหยวนเป็นระยะด้วย
ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว หลี่ซิวเหยาก็อาศัยจังหวะที่เมฆบดบังแสงจันทร์กระโดดขึ้นต้นไม้อย่างฉับไว จากนั้นก็แหวกใบไม้ที่แน่นขนัดออกมองไปทางนั้น
เมฆเคลื่อนตัวออกไปพอดี จึงปรากฏแสงจันทร์ที่ไม่นับว่าสว่างนักออกมา แต่ก็พอจะทำให้หลี่ซิวเหยามองเห็นหน้าตาท่าทางของคนผู้นั้นได้ชัดเจน
รูปร่างผอมสูง รูปโฉมสง่าภูมิฐาน…ถึงกับเป็นหลี่ซิวหยวน!
หลี่ซิวหยวนจะเดินเล่นในจวนตนเองก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติมิมีใดเกิน แต่ตอนนี้เลยยามจื่อมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ ใบบัวและดอกบัวในสระเล็กตรงที่เขาอยู่ยังไม่งอกออกมา หาได้มีความงดงามจนต้องมาชมในยามดึกดื่นไม่
ที่สำคัญที่สุดคือหลี่ซิวหยวนยืนอยู่ข้างสระบัวเล็ก แต่ไฉนสายตากลับมองไปทางเรือนจิ้งหยวน
ดึกดื่นเพียงนี้หลี่ซิวหยวนที่ยืนอยู่ตรงนี้กำลังมองสิ่งใดกันแน่
หลี่ซิวเหยานึกถึงเรื่องที่หลี่ซิวหยวนกับเสิ่นหยวนต่างมีท่าทีเย็นชาต่อกันจนดูผิดปกติขึ้นมาได้ ความระแวงที่มีอยู่แต่เดิมจึงถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้เสิ่นหยวนจะเคยอธิบายให้หลี่ซิวเหยาฟังแล้ว แต่เขาก็ยังคงสังหรณ์ใจอยู่ดีว่าระหว่างนางกับหลี่ซิวหยวนต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน
หลังจากรอจนหลี่ซิวหยวนไปจากข้างสระบัวเล็กด้วยท่าทางผิดหวังและเงาร่างหายลับสายตาไปแล้ว หลี่ซิวเหยาก็กระโดดลงจากต้นไม้ วกกลับไปเรียกองครักษ์ลับที่เฝ้าเรือนจิ้งหยวนออกมา กระซิบถามอีกฝ่ายว่า “ระยะนี้คุณชายรองมาปรากฏตัวบริเวณเรือนจิ้งหยวนเป็นประจำใช่หรือไม่”
สามารถกลายเป็นองครักษ์ลับที่หลี่ซิวเหยาไว้ใจได้ ย่อมต้องเป็นคนที่มีฝีไม้ลายมือและสายตาเป็นเลิศ หากมีคนมาวนเวียนอยู่ข้างสระบัวเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนจิ้งหยวนอย่างหลี่ซิวหยวนเมื่อครู่นี้ แล้วเขาไม่ทันสังเกตเห็น เช่นนั้นองครักษ์ลับผู้นี้ก็ควรต้องถูกเปลี่ยนคนแล้ว
เขาได้ยินองครักษ์ลับกระซิบตอบอย่างไม่ผิดจากที่คิดไว้ “ขอรับ ตั้งแต่นายท่านไปซานซี ตอนกลางคืนคุณชายรองจะมาปรากฏตัวบริเวณเรือนจิ้งหยวนเป็นประจำ ทว่าผู้น้อยเห็นว่าทุกครั้งเขาล้วนอยู่ห่างไประยะหนึ่ง เอาแต่มองดูเฉยๆ มิได้มีท่าทีจะเดินมา ดังนั้นจึงมิได้ขัดขวางขอรับ”
พูดพลางในใจองครักษ์ลับก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา ไม่รู้ว่าที่ผู้เป็นนายถามเรื่องนี้กะทันหันหมายความว่าอย่างไร สรุปต้องการให้ขัดขวางหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นคุณชายรองของจวนสกุลหลี่แห่งนี้ ตามหลักแล้วนี่ก็คือบ้านของหลี่ซิวหยวน เขาอยู่ในบ้านของตนเอง อยากไปไหนมาไหนย่อมได้ทั้งนั้น
หลี่ซิวเหยาคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “หากคุณชายรองยังรักษาระยะห่างกับเรือนจิ้งหยวนเหมือนคืนนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจเขา แต่ถ้า…”
พูดถึงตรงนี้สายตาของหลี่ซิวเหยาก็อึมครึมขึ้นมา น้ำเสียงฟังดูเย็นชาขึ้นมาก “ถ้าเขากล้าเข้าเรือนจิ้งหยวน เจ้าจะต้องลงมือขัดขวาง ไม่ต้องยั้งมือ และก็ไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา”
องครักษ์ลับได้ยินแล้วก็ใจหายวาบ
ความหมายของนายท่านชัดเจนว่าถึงข้าพลั้งมือทำให้คุณชายรองตายเนื่องจากการขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายเหยียบเข้าเรือนจิ้งหยวน นายท่านก็อนุญาต? แต่นี่คือน้องชายแท้ๆ ของนายท่านเชียวนะ…
“ผู้น้อยจะปฏิบัติตามคำสั่งของนายท่านขอรับ” องครักษ์ลับรีบรับคำ
หลี่ซิวเหยาพยักหน้า มองประตูทั้งสองบานของเรือนจิ้งหยวนที่ปิดสนิทอยู่ปราดหนึ่ง แล้วถึงก้าวจากไป
หลี่ซิวเหยาย้อนกลับไปตามทางเดิมโดยหลบเลี่ยงหูตาของคนที่ผู้อื่นส่งมาสอดส่องอยู่รอบจวนสกุลหลี่ด้วยความระมัดระวัง พอออกจากเมืองมาที่ด้านนอกย่อมจะมีคนสนิทของเขารอรับอยู่
ครั้นขึ้นม้าห้อตะบึงตลอดทางจนกลับมาถึงเรือนบนเขา ทางทิศตะวันออกก็ปรากฏสีขาวพุงปลาแล้ว เป็นการบอกว่าพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นเต็มที
ฉีหมิงกำลังเดินไปเดินมาในห้องด้วยความเป็นห่วง เกรงจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับหลี่ซิวเหยาระหว่างทาง
ยามนี้เห็นหลี่ซิวเหยาผลักประตูเข้ามาพร้อมน้ำค้างยามเช้าตรู่ทั่วร่าง หัวใจของฉีหมิงที่ค้างเติ่งมาตลอดถึงวางกลับลงได้อย่างมั่นคงในที่สุด เขารีบเร่งฝีเท้าเดินมาต้อนรับ เอ่ยเรียกว่า “นายท่าน”
เดิมทีนึกว่าหลี่ซิวเหยาได้พบเสิ่นหยวนแล้วจะต้องอารมณ์ดีเป็นแน่ คิดไม่ถึงว่าพอฉีหมิงช้อนตาขึ้นมอง กลับพบว่าสีหน้าของหลี่ซิวเหยาในยามนี้อึมครึมราวกับท้องฟ้าก่อนมีพายุฝน เห็นแล้วชวนให้คนตัวสั่นสะท้านยิ่ง
ฝีเท้าของฉีหมิงหยุดชะงักลงกลางห้อง ไม่รู้ว่าควรเดินไปหาดีหรือไม่ ภายในใจก็ลอบคิดว่า…นี่มันเกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้นกันแน่ ถึงกับทำให้นายท่านมีสีหน้าอึมครึมได้ปานนี้
ฉีหมิงย่อมจะไม่กล้าเอ่ยปากถาม อีกทั้งเกรงว่าจะไปกระตุ้นโทสะของหลี่ซิวเหยาเข้า เขาจึงกลั้นหายใจ ยืนมือแนบลำตัวอย่างสำรวมยิ่ง
ในโสตพลันได้ยินเสียงที่เย็นยะเยือกอย่างที่สุดของหลี่ซิวเหยา “ส่งคนที่เหมาะสมไปบ้านเดิมของฮูหยิน สืบเรื่องในอดีตของนางมาให้ดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางและหลี่ซิวหยวน”
หลี่ซิวหยวน? คุณชายรอง? เมื่อก่อนฮูหยินจะมีเรื่องอะไรกับเขาได้เล่า
ฉีหมิงเงยหน้ามองหลี่ซิวเหยาด้วยความตระหนกตกใจ ทว่าขณะมองเห็นดวงตาที่มืดหม่นจนคล้ายมีไอหนาวแผ่ออกมาของอีกฝ่ายเขาก็พลันใจหายวาบ รีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองอีก
“ขอรับ” ฉีหมิงรับคำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้อง หาคนไปสืบเรื่องที่หลี่ซิวเหยาสั่งมา
เช้าวันถัดมาขณะเสิ่นหยวนตื่นนอนก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งบวมทั้งแสบ
ศีรษะนางวางตะแคงอยู่บนหมอน มองไปที่นอกหน้าต่างอย่างใจลอย
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ส่องลงบนต้นกล้วยสองต้นที่นอกหน้าต่าง ทำให้ใบกล้วยสีเขียวสดฉาบด้วยสีทองบางๆ
นี่เป็นต้นกล้วยที่หลี่ซิวเหยาให้คนมาปลูกไว้เป็นพิเศษ
นางอดจะนึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาไม่ได้ ความฝันครึ่งแรกคล้ายจะเลือนรางไปบ้างแล้ว จำได้เพียงอวี้หลางกับหลี่ซิวเหยาล้วนกำลังตำหนินาง หากแต่ครึ่งหลังนั้น…
มือที่วางอยู่บนผ้าห่มของเสิ่นหยวนพลันกำแน่น ใจเต้นแรงขึ้นมา
ความฝันครึ่งหลังนั้นนางกลับจำได้ชัดเจน
อ้อมกอดอันอบอุ่นและจุมพิตด้วยความรักและสงสารของหลี่ซิวเหยา แววปีติยินดีในดวงตาเขาขณะมองดูหน้าท้องที่นูนขึ้นมาน้อยๆ ของนาง ยังมีผ้าพันแผลที่พันอยู่บนฝ่ามือซ้ายของเขา ตลอดจนบาดแผลน่ากลัวบนฝ่ามือเขาขณะแก้ผ้าพันแผลออก…
เสิ่นหยวนตกใจ พลิกตัวลุกขึ้นนั่งทันที ทว่านางลุกขึ้นเร็วเกินไป ทารกในท้องคล้ายถูกทำให้ตกใจจึงเตะนางทีหนึ่งอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะลูกกำลังนอนหลับอยู่หรือไม่ ถึงได้พลิกตัวเปลี่ยนท่า จากนั้นก็หลับต่อไป
เสิ่นหยวนยกมือลูบท้องตนเองเบาๆ ครู่หนึ่งเป็นการปลอบลูกในท้อง
ครั้นในท้องไม่มีความเคลื่อนไหว คิดว่าลูกหลับไปอีกครั้งแล้ว เสิ่นหยวนถึงได้เอนร่างพิงราวเตียง ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน
หากบอกว่านั่นเป็นเพียงความฝัน นางก็รู้สึกว่ามันดูเหมือนจริงเกินไป ประหนึ่งว่าได้ประสบเหตุการณ์เองกับตัว
แต่หากบอกว่านั่นมิใช่ความฝัน เมื่อคืนหลี่ซิวเหยาจะเดินทางจากซานซีกลับมาเยี่ยมนางได้เชียวหรือ มิหนำซ้ำหลี่ซิวเหยายังออกปากยอมรับเองว่าเขาคืออวี้หลาง และนางเองก็มั่นใจว่าหลี่ซิวเหยาก็คืออวี้หลางเช่นกัน
เสิ่นหยวนคิดแล้วก็อดจะหัวเราะเยาะตนเองขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้
จะต้องเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมานางรู้สึกว่าตนเองมีใจให้หลี่ซิวเหยาแล้ว ในใจจึงรู้สึกละอายต่ออวี้หลาง ขณะเดียวกันนางก็ไม่อยากทิ้งหลี่ซิวเหยาไป ดังนั้นถึงได้หลอกตนเองในความฝันว่าอวี้หลางก็คือหลี่ซิวเหยา หลี่ซิวเหยาก็คืออวี้หลาง เช่นนี้นางจึงจะสามารถมีใจให้หลี่ซิวเหยาต่อไปได้โดยไม่ต้องรู้สึกละอายใจต่ออวี้หลาง นางถึงได้ฝันอย่างเมื่อคืน
ทว่าความฝันนั้นก็เหมือนจริงเกินไปหน่อยแล้ว คล้ายว่ายามนี้อารมณ์ตื่นเต้นและตกตะลึงที่นางมีเมื่อคืนยังคงไม่หายไป ในใจจึงสงบลงไม่ได้เสียที
เสิ่นหยวนนั่งเงียบๆ ได้ครู่หนึ่งก็คิดจะเอ่ยปากเรียกไฉ่เวยเข้ามาปรนนิบัตินางตื่นนอน
แต่เวลานี้เองนางพลันสังเกตเห็นว่าฝ่ามือขวาของตนเองดูคล้ายจะเปื้อนอะไรบางอย่าง
นางยกมือขวาขึ้นมาดูก็เห็นว่าที่ฝ่ามือคล้ายจะมีผงสีขาวติดอยู่ เมื่อดมดูก็ได้กลิ่นแสบร้อนอยู่บ้าง เหมือนจะเป็นกลิ่นยาอะไรสักอย่าง
ในสมองเสิ่นหยวนพลันนึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง
ภายหลังนางจับมือซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บของหลี่ซิวเหยาไว้แน่น ในฝันเนื้อหนังตรงบาดแผลที่ฝ่ามือเขาปริออก ดูน่ากลัวอย่างที่สุด ด้านบนนั้นใส่ยาผงห้ามเลือดและระงับความเจ็บเอาไว้
และตอนนี้บนมือของนางก็มีผงสีขาวเหล่านี้
เสิ่นหยวนใจเต้นรัว พลันผุดลุกนั่งตัวตรง หากบอกว่าเรื่องเมื่อคืนเหล่านั้นเป็นเพียงความฝันของนาง เช่นนั้นยามนี้ที่ฝ่ามือนางมีผงเหล่านี้ได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนก็เลิกผ้าห่มลงจากเตียง ยังไม่ทันสวมชุดตัวนอกก็เปิดม่านบนประตูฉลุลายเดินออกไปแล้ว สายตามองตรงไปที่ประตูสองบานของโถงกลาง
แม้ประตูฉลุลายสองบานนั้นจะปิดสนิท แต่กลอนที่ด้านบนกลับไม่ได้ลงไว้
เนื่องจากตอนกลางคืนนางหลับไม่สนิทจึงไม่ชอบให้คนมารบกวน ถ้าลงกลอนเอาไว้นางก็จะยิ่งรู้สึกวางใจ ดังนั้นเวลานางนอนจึงต้องลงกลอนประตูไว้ทุกครั้ง
โดยเฉพาะหลังจากหลี่ซิวเหยาไปซานซี ก่อนเข้านอนทุกคืนนางไม่เคยลืมว่าต้องลงกลอนประตูก่อน หากแต่ยามนี้กลอนกลับถูกเปิดออก…
เสิ่นหยวนรู้สึกว่าตนเองใจเต้นราวกับรัวกลอง ฝ่ามือมีเหงื่อซึมชื้น
นางสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ เดินไปที่ประตู ย่อตัวลงเก็บกลอนไม้ขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียดทั้งบนล่างซ้ายขวา ก็เห็นว่าตรงกลางข้างใต้กลอนไม้มีรอยบากเล็กๆ อยู่รอยหนึ่ง น่าจะเกิดจากการถูกของแหลมคมงัดเปิด
ตรงหน้านางคล้ายปรากฏภาพเมื่อคืนขณะที่นอกประตูมีดาบหรือกระบี่ที่บางราวกับกระดาษสอดผ่านช่องประตูเข้ามางัดกลอนนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มีคนเปิดประตู ผลุบตัวเข้ามาในห้อง…
คืนก่อนที่หลี่ซิวเหยาจะไปซานซีได้บอกนางว่าเขาได้วางองครักษ์ลับไว้เฝ้าอยู่นอกเรือนจิ้งหยวนราวยี่สิบคน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของนางในช่วงที่เขาไม่อยู่
ใครกันที่สามารถหลบพ้นองครักษ์ลับที่สายตาเฉียบคมและเคลื่อนไหวว่องไวจำนวนมากปานนั้นเข้ามาในเรือนจิ้งหยวน ซ้ำยังเข้ามาถึงเรือนหลักได้โดยไร้สุ้มเสียงบ้าง
นอกจากหลี่ซิวเหยา เสิ่นหยวนก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีคนที่สองบนโลกนี้
เพราะฉะนั้นยามนี้หลี่ซิวเหยาไม่ได้อยู่ที่ซานซี แต่กลับมาแล้ว?
ในเมื่อเขากลับมาแล้ว เหตุใดจึงไม่กลับมาพบนางอย่างเปิดเผยเล่า กลับแอบย่องมาเสียกลางดึก กระทั่งเมื่อคืนเขายังหลอกนางว่านี่เป็นเพียงความฝัน
เพราะอะไรเขาต้องทำเช่นนี้ มีความจำเป็นใดถึงกับต้องปิดบังแม้แต่นางกระนั้นหรือ
คิดแล้วเสิ่นหยวนก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อคืนนางได้เห็นบาดแผลที่ฝ่ามือซ้ายของหลี่ซิวเหยาจริงๆ และนางก็ได้ยินเขาบอกเองกับปากว่าตนเองคืออวี้หลาง
หลี่ซิวเหยาก็คืออวี้หลาง…อวี้หลางก็คือหลี่ซิวเหยา บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
เสิ่นหยวนลุกขึ้นดึงประตูเปิด ก่อนร้องเรียกเสียงดังทันที “ไฉ่เวย! ไฉ่เวย!”
เวลานี้ไฉ่เวยกำลังสอบถามพี่จางอยู่ในครัวเล็กว่าวันนี้จะทำอาหารและขนมใดให้ฮูหยิน จู่ๆ ได้ยินเสิ่นหยวนเรียกตนเอง อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูเร่งร้อนแตกต่างจากเสียงเรียบเฉยที่แล้วมาของนางโดยสิ้นเชิง ไฉ่เวยจึงนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบหันหลังวิ่งออกจากครัวเล็กไปทันที
จากนั้นไฉ่เวยก็มองเห็นเสิ่นหยวนยืนอยู่ตรงประตู แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าตรู่ส่องลงบนร่างนาง ทั้งตัวนางถึงกับมีท่าทางลนลานเร่งร้อนยิ่ง
ไฉ่เวยตกใจ รีบเร่งฝีเท้าวิ่งมาถามด้วยความร้อนรน “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ!”
ช่วงที่ผ่านมาเสิ่นหยวนไม่ค่อยสดชื่นมาตลอด รวมถึงไม่อยากอาหารด้วย ไฉ่เวย ชิงเหอ และชิงจู๋เห็นแล้วให้เป็นห่วงเหลือประมาณ จู่ๆ ยามนี้เห็นเสิ่นหยวนมายืนเรียกตนเองเสียงดังอยู่ตรงนี้ ไฉ่เวยจึงตกใจจนแทบเสียขวัญ
แต่ครั้นไฉ่เวยวิ่งมาใกล้ๆ กลับเห็นเสิ่นหยวนมีสีหน้าที่พอจะสงบนิ่งอยู่
เมื่อครู่ในใจเสิ่นหยวนทั้งตื่นเต้นทั้งตกตะลึงจริงๆ อยากแต่จะเรียกให้ไฉ่เวยออกไปสืบข่าวหลี่ซิวเหยาเป็นเพื่อนตนเองเสียเดี๋ยวนี้
เสิ่นหยวนคิดในใจว่าในเมื่อหลี่ซิวเหยามาพบตนเองได้ คิดว่าเขาก็น่าจะอยู่บริเวณเมืองหลวง หลังรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่หลี่ซิวเหยาจะเป็นอวี้หลาง เสิ่นหยวนก็อยากจะพบเขาเดี๋ยวนี้ใจแทบขาด
ทว่าต่อมาเสิ่นหยวนก็ใคร่ครวญดูอีกที หลี่ซิวเหยารักนางลึกซึ้งปานนี้ ทั้งยังรู้ว่านางกำลังตั้งครรภ์ หากทำได้เขามีหรือจะไม่กลับมาพบนางในทันที สาเหตุที่เขาแค่กลับมาเยี่ยมนางอย่างเงียบเชียบเหมือนเมื่อคืน ถึงขั้นว่าไม่กล้ารั้งอยู่นานเกินไป จะต้องเป็นเพราะเขามีเรื่องสำคัญบางอย่าง ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ว่ายามนี้เขามิได้อยู่ที่ซานซี แต่กลับมาเมืองหลวงแล้ว
เสิ่นหยวนนึกขึ้นได้อีกว่าชาติก่อนในช่วงเวลาก่อนหน้านี้องค์ชายใหญ่จะสิ้นพระชนม์กะทันหันด้วยไข้ทรพิษและฮ่องเต้สวรรคตตาม แม้ยามนี้ทั้งสองเหตุการณ์จะยังไม่เกิดขึ้น แต่นางคิดว่าหลี่ซิวเหยาจะต้องกำลังวางแผนทำเรื่องบางอย่างอยู่ลับหลังเป็นแน่ หากนางไปตามหาเขาอย่างเอิกเกริกในเวลานี้ ไหนเลยจะไม่ทำให้ผู้อื่นระแคะระคายจนทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนก็ค่อยๆ ใจเย็นลง
นางไม่อาจไปรบกวนแผนการของหลี่ซิวเหยา ยิ่งไม่อาจทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย อย่างไรเขาก็ต้องกลับมาแน่ นางสามารถรอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยถามว่าเขาใช่อวี้หลางหรือไม่
ถ้าคำตอบคือใช่ก็จะดีที่สุด เสิ่นหยวนย่อมจะดีใจเจียนคลั่ง แต่ถึงจะไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาเป็นพ่อของลูกในท้องนาง ชาตินี้นางย่อมจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอย่างดีไปชั่วชีวิต
คิดเรื่องเหล่านี้ตกแล้ว เสิ่นหยวนก็ไม่พูดเรื่องจะออกไปตามหาหลี่ซิวเหยาอีก เพียงยิ้มให้ไฉ่เวย “ข้าไม่เป็นอะไร แค่ข้าตื่นแล้ว จึงเรียกเจ้ามาปรนนิบัติข้าล้างหน้าบ้วนปาก”
ไฉ่เวยมองเสิ่นหยวนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เห็นนางมีสีหน้าอ่อนโยนราบเรียบ ไม่ได้มีท่าทางไม่สบายแต่อย่างใดถึงได้เชื่อ
จากนั้นไฉ่เวยก็เรียกให้ชิงเหอกับชิงจู๋ยกน้ำเข้ามา ขณะที่ตนเองก็ปรนนิบัติเสิ่นหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนหยิบหวีไม้จันทน์มาหวีผมและเกล้าผมให้นาง
ไฉ่เวยเกล้ามวยเอียงที่ดูอ่อนหวานให้เสิ่นหยวน บนมวยผมปักด้วยปิ่นหยกขาวหนึ่งอัน ยอดปิ่นสลักเป็นลายดอกอวี้หลันที่กำลังจะผลิบาน ดูวิจิตรบรรจงยิ่งนัก
เวลานี้ชิงเหอนำน้ำไปเททิ้งและกลับมาแล้ว ในมือถือดอกไม้กิ่งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่บ่าวออกไปเทน้ำ เห็นบนซุ้มกุหลาบป่ามีดอกหนึ่งบานแล้ว บ่าวดีใจจึงเดินไปเด็ดมาเจ้าค่ะ”
ชิงเหอเดินไปยื่นดอกไม้ในมือให้เสิ่นหยวนดูอย่างคล้ายจะอวด
ดอกกุหลาบป่าสีชมพู บนกลีบยังมีน้ำค้างติดอยู่
ดอกไม้ที่เดิมทีควรบานในฤดูร้อนกลับบานในฤดูใบไม้ผลิเสียได้
เสิ่นหยวนเห็นดอกไม้ที่งดงามอ่อนช้อยนี้แล้วในใจก็นึกชอบเช่นกัน จึงสั่งไฉ่เวย “นำกุหลาบป่าดอกนี้มาแซมผมข้าแล้วกัน!”
เพราะว่าตั้งครรภ์ ช่วงที่ผ่านมานี้เสิ่นหยวนจึงมักรู้สึกง่วงงุนมึนงง น้อยนักที่จะดูแลความเรียบร้อยของตนเอง ยามนี้พอเห็นกุหลาบป่าสีชมพูดอกนี้กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เบิกบานใจขึ้นไม่น้อย
ไฉ่เวยเห็นเสิ่นหยวนเบิกบานใจก็รีบรับคำ ก่อนรับกุหลาบป่าในมือชิงเหอมาแซมผมให้เสิ่นหยวนอย่างระมัดระวัง แล้วพินิจดูผ่านคันฉ่อง
นี่คือคนงามกว่าบุปผาโดยแท้! ถึงแม้ยามนี้ฮูหยินจะมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ยังทำให้กุหลาบป่าอันงดงามอ่อนช้อยนี้หมองลงได้อยู่
ไฉ่เวยชมเปาะในใจ ก่อนสั่งให้ชิงเหอกับชิงจู๋ไปยกอาหารเช้ามาจากครัวเล็ก
พักก่อนเสิ่นหยวนกินอะไรไม่ลง ได้กลิ่นอะไรก็รู้สึกเหม็นไปหมด ถึงบังคับตนเองให้กินลงไปสองคำ แต่ก็จะอาเจียนออกมาทันที ได้รับความทุกข์ทรมานจนบรรยายไม่ถูก
สองวันมานี้ถึงเพิ่งจะดีขึ้น ในที่สุดนางก็สามารถฝืนกินลงไปได้บ้างโดยที่ไม่อาเจียนแล้ว ทว่าความอยากอาหารยังคงไม่ดีขึ้นเท่าไร อาหารเช้าวันนี้กินไปเพียงโจ๊กไก่เส้นครึ่งชามและขนมแป้งนุ่มกลิ่นสะระแหน่อีกครึ่งชิ้นก็วางตะเกียบลงแล้ว
ไฉ่เวยที่ด้านข้างเห็นแล้วก็แอบร้อนใจ
ฮูหยินตั้งครรภ์ได้เกือบห้าเดือนแล้ว ถ้ายังไม่อยากอาหารอยู่เช่นนี้จะไปดีได้อย่างไร นางเห็นแล้วในใจก็ให้วิตก
หากนายท่านอยู่ด้วยก็คงดี เขาต้องคิดหาทางได้แน่นอน
ทว่าบัดนี้นายท่านกลับอยู่ไกลถึงซานซี ทางฮูหยินก็ไม่ยอมส่งจดหมายไปบอกเขาถึงอาการของนางเพราะกลัวเขาจะเป็นห่วง คิดว่ายามนี้นายท่านอาจยังไม่รู้เรื่องที่ฮูหยินตั้งครรภ์เสียด้วยซ้ำ
ไฉ่เวยคิดเงียบๆ ในใจว่า…ขออย่าให้ถึงขั้นฮูหยินคลอดลูกแล้ว นายท่านก็ยังไม่กลับมาแล้วกัน
ไฉ่เวยเห็นเสิ่นหยวนนั่งขมวดคิ้วเรียวอยู่บนตั่งไม้ ดูมีท่าทางอ่อนเพลียไม่มีชีวิตชีวา นางจึงหันหน้าไปมองแสงแดดสดใสที่นอกประตู แล้วยิ้มกล่าวกับเสิ่นหยวน “เมื่อวานขณะบ่าวเดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหลัง ก็มองเห็นดอกไม้ในสวนบานเป็นจำนวนมากแล้ว สีสันละลานตา งดงามเป็นที่สุด วันนี้ก็ดูแดดออกดี บ่าวไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ ถือว่าได้ย่ำขจีด้วย”
เอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องไม่เป็นการดี อีกทั้งหมอก็บอกแล้วว่ายามปกติต้องเดินเหินให้มากหน่อย ภายหลังถึงจะคลอดง่าย เสิ่นหยวนคิดแล้วก็จับโต๊ะเล็กประคองตัวยืนขึ้น “ดี เช่นนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ในสวนสักหน่อยเถอะ”
ไฉ่เวยรีบก้าวมาประคองแขนเสิ่นหยวนไว้ หลังสั่งให้ชิงเหอกับชิงจู๋อยู่เฝ้าเรือนแล้ว ไฉ่เวยก็ประคองเสิ่นหยวนเดินออกนอกประตูไป
ยามนี้กำลังเป็นช่วงที่ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิงามสะพรั่งพอดี ดอกไม้นานาพรรณในสวนดอกไม้ด้านหลังล้วนแข่งกันผลิบาน ต้นหลิวก็เขียวแล้ว มองไปทางใดก็เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
เสิ่นหยวนเห็นทัศนียภาพเหล่านี้แล้วอารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง หัวคิ้วที่มุ่นอยู่เริ่มคลายออก
เมื่อครู่เสิ่นหยวนคิดถึงหลี่ซิวเหยาอยู่ตลอด
ในเมื่อเขากลับเมืองหลวงมาโดยปิดบังทุกคน คิดว่าต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากแน่นอน อีกทั้งไม่อาจปล่อยให้คนนอกค้นพบร่องรอยในยามนี้ของเขาด้วย แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนเขาก็ยังคงเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงปานนั้นมาพบนาง
ไม่รู้ว่าขณะเขามาเมื่อคืนได้ถูกใครพบเห็นเข้าหรือไม่ อีกทั้งบัดนี้เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด บาดแผลบนฝ่ามือเขาดูน่ากลัวออกปานนั้น มิรู้ว่าตอนนี้จะดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่
เสิ่นหยวนกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ จู่ๆ ก็ได้ยินไฉ่เวยเรียกนางเบาๆ “ฮูหยิน คุณหนูสามเดินมาจากทางด้านหน้า พวกเราจะกลับกันหรือไม่เจ้าคะ”
คุณหนูสามที่ไฉ่เวยพูดถึงก็คือหลี่เป่าผิง
นับตั้งแต่เกิดเรื่องในร้านผ้าไหมเมื่อปีที่แล้ว ในใจหลี่เป่าผิงก็ไม่ชอบเสิ่นหยวนอย่างที่สุด ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเสิ่นหยวนเป็นใครก็ช่างเถอะ แต่คิดไม่ถึงว่าต่อมาเสิ่นหยวนจะถึงขั้นแต่งงานกับหลี่ซิวเหยา กลายมาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง
ในใจหลี่เป่าผิงย่อมรู้สึกขุ่นเคือง หลายครั้งอยากจะชักสีหน้าใส่เสิ่นหยวน
แต่ก็จนใจที่หนึ่งคือหลี่ซิวเหยามีอำนาจมากเกินไป เขารักใคร่โปรดปรานเสิ่นหยวน คนทั้งจวนสกุลหลี่ล้วนรับรู้กันทั่ว หลี่เป่าผิงที่กลัวหลี่ซิวเหยามีหรือจะกล้าชักสีหน้าใส่เสิ่นหยวนอีก
สองคือปกติเสิ่นหยวนจะอยู่ในเรือนเป็นส่วนใหญ่ ออกจากเรือนจิ้งหยวนน้อยครั้ง และก็ไปคารวะเจี่ยงซื่อน้อยครั้งมากเช่นกัน หลี่เป่าผิงแทบจะไม่ได้พบหน้าเสิ่นหยวน ต่อให้อยากชักสีหน้าใส่เพียงใดก็ไม่มีโอกาส อย่างไรก็ไม่อาจพุ่งตรงไปหาเรื่องเสิ่นหยวนถึงที่เรือนจิ้งหยวนได้กระมัง
หากหลี่ซิวเหยาอยู่ นั่นก็เท่ากับหลี่เป่าผิงรนหาที่ตายแล้วจริงๆ
ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาหลี่เป่าผิงกับเสิ่นหยวนจึงไม่เคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
แต่เมื่อหลี่เป่าผิงมองเห็นเสิ่นหยวนอยู่ทางด้านหน้าไม่ไกล ข้างกายมีสาวใช้ติดตามเพียงคนเดียว อีกทั้งคิดว่าหลี่ซิวเหยาไปซานซีได้พักหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับมา หลี่เป่าผิงจึงกลอกตา ก่อนก้าวเท้าเดินไปหาเสิ่นหยวน
ทางด้านนี้เสิ่นหยวนได้ยินคำของไฉ่เวยจึงช้อนตามองไป ก็มองเห็นหลี่เป่าผิงกำลังพาสาวใช้นางหนึ่งเดินช้าๆ มาทางนี้
เสิ่นหยวนขมวดคิ้ว
ไม่ว่าเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้เสิ่นหยวนล้วนไม่ชอบหลี่เป่าผิง และก็ไม่อยากพบปะพูดคุยกับนางแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ยามมองเห็นหลี่เป่าผิงเดินมา เสิ่นหยวนจึงจับมือไฉ่เวย คิดจะหันหลังเดินกลับเรือนจิ้งหยวนไป
คิดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงกลับพุ่งปราดมาขวางทางเสิ่นหยวนไว้ ซ้ำยังเอ่ยปากพูดอย่างกำเริบเสิบสานว่า “คราวนี้ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหลบไปที่ใดได้อีก!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ธ.ค. 63
Comments
comments
No tags for this post.