X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่เพื่อคืนฐานะเดิม บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ห้า

ดังเช่นที่หลิ่วผิงชวนว่าไว้ หลางอ๋องฉู่เสียพำนักอยู่ที่เชิงเขาสยาซานริมลำธารชิวถานที่นอกตำบลฝูหรง ขั้นบันไดหินเบื้องหน้าคฤหาสน์ซึ่งใช้เป็นจวนอ๋องชั่วคราวแห่งนี้ล้วนขัดจนเป็นมุมมน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลักษณะการจัดวางหินภูเขาภายในคฤหาสน์ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของช่างผู้มีชื่อเสียง

ตลอดทางที่ฉยงเหนียงถูกคุมตัวมาถึงที่นี่ นางนึกถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับฉู่เสียในชาติก่อน ใจกลางฝ่ามือจึงผุดเหงื่อซึมนิดๆ นางไม่มีแก่ใจจะชมทัศนียภาพ รอจนลงจากเกี้ยวแล้ว นางก็ถูกเชิญเข้าห้องครัวเล็กที่อยู่ข้างศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง

พอฉยงเหนียงมองเห็นเขียงกับบรรดาเครื่องครัวในใจก็พลันสงบขึ้น ดูแล้วอีกฝ่ายเพียงต้องการให้นางมาทำขนมจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำสักอย่างสองอย่างแล้วกัน เพียงแต่จะทำลวกๆ มิได้เด็ดขาด ชาติก่อนนางเคยได้ยินมาว่าเพียงเพราะฉู่เสียไม่ชอบใจรสชาติอาหารในวัดเนี่ยนฝ่า ก็ถึงกับสั่งให้ลากตัวพ่อครัวที่ทำอาหารนั้นออกไปโบยด้วยไม้พลองจนตาย

อาจเพราะเห็นแก่หน้าฉู่กุยหนงหรือหลางอ๋องผู้เฒ่าที่ล่วงลับไป จยาคังตี้จึงดีต่อฉู่เสียเป็นพิเศษ พ่อครัวที่ทำอาหารในวัดเนี่ยนฝ่าล้วนเป็นพ่อครัวหลวงที่มีตำแหน่ง ทว่าฉู่เสียกลับนึกจะฆ่าก็ฆ่า สุดท้ายเมื่อถูกคนถวายฎีกาฟ้องร้อง จยาคังตี้กลับโบกมือให้แล้วกันไป ด้วยข้ออ้างอันเหลวไหลที่ว่า ‘พ่อครัวหลวงคิดการไม่ซื่อ หมายจะวางยาพิษปองร้ายหลางอ๋อง ปรักปรำให้ฮ่องเต้กลายเป็นผู้ไร้คุณธรรม’

นั่นก็หมายความว่า…หากนางทำขนมรสชาติไม่ถูกปากฉู่เสีย เขาก็สั่งให้คนฆ่านางได้ไม่ต่างกับบี้มดปลวกตัวหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ฉยงเหนียงก็ไม่แคล้วต้องตั้งสติจดจ่ออย่างเต็มที่

ทว่าความชอบของฉู่เสียเป็นเช่นไร นางไม่รู้เลยสักนิด จึงได้แต่ใคร่ครวญจากคำพูดเก่าที่ไม่ปะติดปะต่อของฉังจิ้น ดูเหมือนฉู่เสียจะกลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจ ผิดน้ำผิดอากาศ เป็นเหตุให้ไม่เจริญอาหาร ในเมื่อขนมหยกขาวก่อนหน้านี้เข้าตาเขา ก็น่าจะบอกได้ว่าเขาชอบกินอาหารที่สดชื่นลื่นคอและแก้ร้อนใน

ดังนั้นนางจึงนวดแป้งทำขนมหยกขาวก่อน จากนั้นก็ใช้ถั่วงอกที่ขาวดุจหยกมาจับคู่กับเนื้อกุ้งที่สดใหม่ทำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็น น้ำมันต้นหอม* ที่ใช้ปรุงถั่วงอกนั้นเป็นตำรับลับเฉพาะของฉยงเหนียง ถั่วงอกแต่ละต้นที่เด็ดหัวและหางออกแล้วดูราวแท่งหยกที่เคลือบด้วยน้ำมันแวววาวและมีกลิ่นต้นหอมเข้าเนื้อ ให้ความสดชื่นตัดกับรสหวานของขนมหยกขาวได้พอดี

อย่างน้อยฉยงเหนียงก็ชอบวิธีกินเช่นนี้ รู้สึกว่าช่วยให้เจริญอาหารยิ่งกว่ากินแกล้มกับน้ำชา

รอจนขนมออกจากลังถึงและใช้มีดหั่นเป็นทรงข้าวหลามตัดจัดลงจานเสร็จ อาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็นที่รสชาติเข้าเนื้อแล้วก็เสร็จเรียบร้อยเช่นกัน จากนั้นก็ได้ข้ารับใช้เป็นผู้ยกออกไปถึงศาลาริมน้ำที่อยู่ด้านข้าง

ทว่าไม่ทันไรก็มีคนมาเรียกฉยงเหนียง บอกเพียงว่าหลางอ๋องไม่พอใจที่บนขนมไร้ภาพวาด สั่งให้นางไปเติมภาพเพิ่ม

เช่นนี้เองฉยงเหนียงจึงถูกพาตัวไปยังศาลาริมน้ำ

ศาลาหลังนี้สร้างตามแบบโบราณของราชวงศ์เก่า นอกราวกั้นมีสระน้ำที่ก่อขึ้นด้วยก้อนหิน บนระเบียงที่อยู่ด้านข้างมีกระเรียนสองตัวเดินทอดน่องเลียบน้ำอยู่

กางกั้นด้วยม่านแพรบางเบาที่พลิกพลิ้วล้อลม ฉยงเหนียงมองเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่หล่อเหลาเหนือสามัญผู้หนึ่งกำลังอิงตั่งนุ่มที่สลักลวดลายพลางอ่านตำราอยู่ในศาลาริมน้ำแห่งนั้น กระทั่งนางเข้ามาในศาลาแล้ว เขาก็ไม่ได้ช้อนตาขึ้น

ในใจฉยงเหนียงพะวงถึงอาการบาดเจ็บของชุยฉวนเป่า เพียงอยากรับใช้ท่านผู้นี้ให้กินขนมอิ่มหนำเร็วๆ นางจะได้กลับบ้านพร้อมพี่ชายเสียที ดังนั้นนางจึงรีบนั่งคุกเข่าข้างโต๊ะตัวเล็กที่อยู่อีกด้าน มือหยิบพู่กันก้ามปูที่จัดเตรียมไว้ด้ามนั้น จุ่มน้ำละลายผงหงฉวี่แล้ววาดภาพวิหคบุปผาเช่นเคย

การวาดภาพบนขนมจะต้องประณีตบรรจงเป็นพิเศษ นางจึงมิอาจไม่เพิ่มความระวังอย่างยิ่งยวด รอจนพู่กันขีดสุดท้ายวาดเสร็จ ริมฝีปากแดงสดใสของนางถึงได้เผยอขึ้นนิดๆ พรูลมหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ทว่าเงยหน้าขึ้นหนนี้ นางกลับสบกับดวงตาเรียวยาวลุ่มลึกคู่หนึ่งเข้าอย่างจัง

อาจเพราะถูกสายลมหอบจึงทำให้ม่านแพรม้วนตลบไปอยู่บนตะขอทองแล้ว ไม่รู้หลางอ๋องฉู่เสียวางตำราแล้วเปลี่ยนเป็นกึ่งนั่งกึ่งเอนบนตั่งนุ่มตั้งแต่เมื่อใด ชุดยาวตัวหลวมของเขาหย่อนคลาย เท้าก็สวมเพียงถุงเท้าผ้า มือข้างหนึ่งหนุนรองศีรษะอยู่ เรือนผมยาวที่ปลดเกี้ยวครอบมวยผมออกแล้วแผ่ปรกบ่ากว้าง สายตากำลังเพ่งพิศฉยงเหนียงไม่กะพริบ

แววตานี้ถึงกับแฝงความร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก พลันปลุกอดีตที่นางเคยพยายามลืมเลือนไปแล้วขึ้นมา…

ชาติก่อนระหว่างร่วมงานเลี้ยงหนหนึ่ง ชั่วครู่ที่นางอยู่ตามลำพังเคยถูกฉู่เสียขวางตรงหัวเลี้ยวของทางระเบียงที่ทอดยาว ขณะนั้นเขาเป็นคนว่างงานอยู่ในวัดเนี่ยนฝ่าแล้ว

อีกฟากของทางระเบียงคือเสียงครื้นเครงของผู้คนที่ร่ำสุราจนเต็มอารมณ์ ผิดกับตรงมุมนี้ที่อับแสง นางพลันถูกฉู่เสียกอดรวบเอวไว้ ทั้งถูกดวงตาที่เปี่ยมด้วยความร้ายกาจก็จับจ้องอย่างดุดัน นิ้วมือที่เรียวยาวของเขายิ่งเชยบีบปลายคางนางอย่างไม่เกรงใจสักนิด ‘ได้ยินว่าเมื่อแรกเจ้าเป็นคนขอร้องให้หลิ่วเมิ่งถังปฏิเสธการสู่ขอของข้า? สักวันข้าหลางอ๋องจะทำให้เจ้าเสียใจภายหลัง!’

ฉยงเหนียงมีรูปโฉมและความสามารถลือเลื่องเมืองหลวง ตอนนั้นผู้มาสู่ขอมีมากเพียงใด หากมิใช่ฉู่เสียเอ่ยถึง นางก็ลืมเรื่องที่อ๋องเจ้าศักดินาชายแดนผู้นี้เคยสู่ขอนางไปตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นสำหรับคำกล่าวโทษของเขาที่ตำหนิว่าเมื่อแรกนางใจบอดตามัว นางจึงตอบสนองไม่ทันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากเขากระซิบวาจาเหล่านั้นข้างหูนางจบก็คลายมือเดินจากไป ฝากไว้เพียงรอยนิ้วมือบนปลายคางที่คอยเตือนว่านางเคยถูกผู้อื่นแตะเนื้อต้องตัว

ทว่าต่อให้ฉู่เสียไร้มารยาท ฉยงเหนียงก็มิอาจป่าวร้องให้ชื่อเสียงอันดีงามของตนต้องมัวหมอง ทำได้เพียงกล้ำกลืนทุกสิ่งลงไปเท่านั้น

นับแต่นั้นมานางพบเห็นฉู่เสียที่ใดก็จะเดินอ้อมไปไกล ฉู่เสียเองก็ไม่ได้กระทำไร้มารยาทต่อนางอีก เพียงแต่ทุกครั้งยามที่ ‘พบกันโดยบังเอิญ’ แววตาของเขามักชวนให้ระอาใจอย่างบอกไม่ถูก…

บัดนี้เมื่อนางเกิดใหม่อีกหนึ่งชาติภพก็ยังได้สบดวงตาคู่นี้ ชั่วขณะหนึ่งนางถึงกับรู้สึกคล้ายยังอยู่ในห้วงอดีต ทว่านางเผลอเหม่อลอยไปเช่นนี้ จึงไม่แคล้วทำให้ช่วงเวลาที่พิศมองฉู่เสียดูนานเกินงาม

ด้วยฉู่เสียมีรูปเป็นทรัพย์จึงคุ้นชินแล้วกับการถูกเพ่งมอง นึกเพียงว่าแม่นางน้อยผู้นี้คิดการเลยเถิด เจตนาจะทอดไมตรีให้เขา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วก่อนเอ่ยปากกล่าว “ยกมานี่สิ”

ยามนี้ฉยงเหนียงเองก็รู้ตัวแล้วว่าเสียกิริยา นางพลันหลุบคิ้วก้มหน้า รีบยกขนมเข้าไปใกล้ๆ เขา

เนื่องเพราะสภาพอากาศเป็นเหตุ ไม่กี่วันมานี้ฉู่เสียปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง จึงทำให้กินไม่ค่อยลง เมื่อวานเขาเห็นขนมที่ฉังจิ้นยกมามีลวดลายประณีต กระตุ้นให้เกิดความสนใจจึงลองชิมดูสองสามคำ ขนมนั้นพอเข้าปากก็ละลาย และให้รสสัมผัสที่นิ่มนุ่มหอมหวานยิ่ง รอจนกินไปหลายชิ้นเขาก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด เขาพิเคราะห์นกน้อยบนขนมอีกครั้ง เห็นขนนกแต่ละเส้นล้วนดูสมจริง ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือวาดของผู้ใด

ดังนั้นเมื่อตอนที่อยู่บนถนนได้ยินฉังจิ้นพูดว่าเจอตัวผู้วาด ฉู่เสียจึงแง้มม่านออกดู โดยไม่นึกว่าจะเป็นผลตอบแทนที่คาดไม่ถึง จากนั้นเขาก็สั่งให้คนพานางกลับมาด้วยกัน

เมื่อครู่ระหว่างที่นางวาดภาพ ช่วงหนึ่งเขาอ่านตำราจนล้าจึงเงยหน้าพัก ก็พอดีเห็นลำคอระหงของคนงามโน้มลงนิดๆ นางเม้มปากหลุบคิ้ว นิ้วมือที่เพรียวบางดุจปลายก้านต้นหอมนั้นจับพู่กันก้ามปูที่แสนเรียวเล็กด้ามหนึ่ง กำลังบรรจงวาดลายเส้นบนขนมทรงข้าวหลามตัดชิ้นเล็ก เมื่อชมดูนานเข้าก็คล้ายมีขนนกเส้นหนึ่งสะกิดหัวใจของเขาอย่างแผ่วเบา

ฉังจิ้นเป็นองครักษ์ประจำตัวฉู่เสีย ย่อมยืนคอยคำสั่งอยู่ด้านข้าง เขาสังเกตสีหน้าผู้เป็นนาย ครั้นมองตามสายตาท่านอ๋องของตนไป ก็พบว่าถึงกับชมดูแม่นางที่วาดภาพผู้นั้นอยู่

ฉังจิ้นเองก็นึกไม่ถึงว่าตำบลเล็กๆ เช่นนี้จะซุกซ่อนดอกบัวแรกแย้มที่งามบริสุทธิ์อยู่ดอกหนึ่ง ยามที่แม่นางน้อยเดินเข้ามาใกล้ ผิวพรรณทุกส่วนที่ได้พินิจโดยละเอียดนั้นช่างนวลเนียนดุจเคลือบไข ฉังจิ้นขบไม่แตกว่าครอบครัวชาวบ้านต่ำต้อยแบบใดกันที่สามารถเลี้ยงดูคนงามเพียงนี้ออกมา มิแปลกเลยหากท่านอ๋องผู้แต่ไรมาไม่เก็บสตรีอยู่ในสายตาจะยลโฉมนางเนิ่นนานตาไม่กะพริบ

ฉยงเหนียงจัดวางขนมลงบนโต๊ะน้ำชาที่อยู่เบื้องหน้าฉู่เสียเสร็จก็เอียงกายถอยหลังไป

ฉู่เสียขยับมือจับตะเกียบหยกแล้วคีบถั่วงอกใส่เข้าปาก รสชาติอันสดหอมของเนื้อกุ้งที่ถูกคลุกเคล้าด้วยน้ำมันต้นหอมนั้นล้วนผนวกรวมอยู่ในถั่วงอกที่ให้ความกรุบกรอบ ถูกปากเขายิ่งนัก หลังจากลิ้มชิมไปหนึ่งคำ เขาก็ถึงกับไม่อาจหยุดตะเกียบอีก

ฉยงเหนียงลอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เห็นทีจะคลายกังวลเรื่องถูกโบยตายนั้นได้ชั่วคราว

ทว่ารอจนฉู่เสียกินขนมไปหนึ่งชิ้น และรับผ้าจากบ่าวชายมาเช็ดปากอย่างไม่รีบไม่ร้อนแล้ว เขากลับพลันเอ่ยถามอย่างเนิบช้า “หลิ่วเจียงฉยง…เหตุใดเจ้ากลายเป็นบุตรสาวสกุลชุยไปเสียเล่า”

ฟังคำถามนี้จบ หนังศีรษะของฉยงเหนียงก็ชาหนึบนิดๆ นางเงยหน้ามองไปทางฉู่เสียอย่างประหลาดใจ

ฉู่เสียกำลังดื่มน้ำชาอยู่ พอวางถ้วยชาลงถึงค่อยเอ่ยต่อ “เห็นทีคุณหนูหลิ่วจะลืมเลือนข้าหลางอ๋องไปแล้ว ฤดูร้อนเมื่อปีกลาย พี่ชายเจ้าเคยพาเจ้าไปล่ากวางที่ลานล่าสัตว์ชานเมืองมิใช่หรือไร เจ้ากับข้าเคยมีวาสนาพบกันแล้วหนหนึ่ง”

สำหรับฉู่เสียนี่เป็นเพียงเรื่องเก่าเมื่อปีก่อน ทว่าสำหรับฉยงเหนียงที่ได้เกิดเป็นคนมาสองชาติภพกลับต้องทบทวนความทรงจำอันสับสนอยู่สักพัก หลังจากได้ฉู่เสียเอ่ยเตือน นางก็ค่อยพบว่าเมื่อชาติก่อนมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ

คนในราชวงศ์โปรดปรานการล่าสัตว์เป็นที่สุด องค์หญิงยงหยางแม้อายุยังน้อย แต่ก็แตกฉานทักษะบนหลังม้า หลิ่วเมิ่งถังคิดว่าภายหน้าบุตรสาวอาจมีโอกาสล่าสัตว์เป็นเพื่อนสตรีในราชวงศ์ ทักษะที่จำเป็นบนหลังม้าหากสามารถหัดไว้สักหน่อย ย่อมจะโดดเด่นเป็นที่หนึ่งในหมู่สตรีชั้นสูงแน่นอน ดังนั้นเขาจึงให้หลิ่วเจียงจวีพาน้องสาวไปฝึกทักษะบนหลังม้าที่ลานล่าสัตว์

จำได้ว่าตอนนั้นดูเหมือนนางจะเกิดการโต้เถียงกับแม่นางน้อยผู้หนึ่ง…ทว่านางเคยพบกับฉู่เสียอย่างไรนั้นกลับนึกไม่ออกสักนิดเดียว

แต่ในเมื่อถูกฉู่เสียมองทะลุถึงตื้นลึกหนาบางของนางแล้ว เลี่ยงปฏิเสธต่อไปก็ไม่ช่วยอะไรขึ้นมา นางจึงเล่าเรื่องในอดีตที่ชุยกับหลิ่วสองสกุลอุ้มลูกผิดให้เขาฟังโดยไม่ได้ลงรายละเอียด

ฉู่เสียเลิกคิ้วนิดๆ พินิจพิจารณาชุดผ้าเนื้อหยาบที่ซักจนซีดแล้วบนร่างนาง ก่อนกล่าวอย่างตรึกตรอง “หลิ่วเจียงจวีพี่ชายเจ้าบอกว่าเจ้าอยู่ในจวนได้รับการทะนุถนอมเสมอมา ใต้เท้าหลิ่วใจแข็งตัดเจ้าได้ลงคอเชียวหรือ บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาสิบห้าปีพอจะไม่เอาก็ไม่เอา? สกุลหลิ่วของเขาไม่มีปัญญาจะเลี้ยงบุตรสาวสองคนหรือไร”

ฉยงเหนียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างไม่ถ่อมตนทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ในเมื่อเป็นความผิดพลาดในอดีตก็ย่อมต้องแก้ไข เพียงเพราะสกุลหลิ่วมั่งมีด้วยลาภยศ สามารถเลี้ยงดูบุตรสาวสองคนไหว สกุลชุยจึงต้องไร้บุตรสาวให้เลี้ยงดูกระนั้นหรือ”

นิ้วมือของฉู่เสียเคาะบนฝาถ้วยชาพลางถาม “เช่นนั้นเจ้าออกจากสกุลหลิ่วมีอันใดขัดเคืองหรือไม่”

ฉยงเหนียงคลี่ยิ้มนิดๆ “ข้าน้อยเดิมทีก็ควรเป็นบุตรสาวพ่อค้าสกุลชุย บัดนี้เพียงคืนสู่ฐานะดั้งเดิมก็เท่านั้น บิดามารดาไม่รังเกียจที่ข้าน้อยมือไม้งุ่มง่ามก็พอแล้ว เรื่องที่เหลือล้วนเป็นเช่นเคย ยังคงกินอาหารวันละสามมื้อ ตะวันขึ้นตะวันรอนทุกเช้าค่ำ ไหนเลยจะมีอันใดขัดเคืองเล่า”

นางพูดถึงตรงนี้ก็เว้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากต่อ “พี่ชายของข้าน้อยถูกรถม้าชนบาดเจ็บ ไม่รู้ตอนนี้อาการเป็นเช่นไรแล้ว อีกอย่างบิดามารดาก็ไม่รู้ว่าข้าน้อยสองพี่น้องไปที่ใดจะต้องกังวลใจเป็นแน่ ไม่ทราบท่านอ๋องจะอนุญาตให้ข้าน้อยสองคนกลับบ้านได้หรือไม่ วันหน้าหากท่านอ๋องยังอยากจะชิมรสชาติขนมสกุลชุยอีกก็สั่งคนไปรับขนมได้เสมอเจ้าค่ะ”

ราศีอันสูงส่งของฟูเหรินขั้นหนึ่งเมื่อชาติก่อนเป็นสิ่งที่ชุดผ้าเนื้อหยาบมิอาจจะบดบังได้ กระทั่งคำวิงวอนก็ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน้ำเสียงนางต่ำต้อยเท่าใดนัก

ท่าทีอันนิ่งสงบไว้ตัวของฉยงเหนียงคล้ายสะกิดความทรงจำที่ไม่ดีบางอย่างของฉู่เสีย รอยยิ้มที่มุมปากของเขาถูกเก็บไปสิ้น พลันแลดูเย็นชาไร้น้ำใจ

ยามที่ฉยงเหนียงเกือบสิ้นหวัง นึกว่าท่านอ๋องผู้นี้จะกลั่นแกล้งนางต่อ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก

“เรื่องชนพี่ชายเจ้าบาดเจ็บเป็นความผิดของข้ารับใช้ในจวนอ๋อง ค่ารักษาเยียวยาเขาย่อมจะมีคนไปดูแล พวกเจ้ากลับบ้านไปเถอะ…อีกสักสองสามวันข้าค่อยส่งคนไปที่บ้านของเจ้า”

ตอนนี้ฉยงเหนียงค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ด้วยไม่เหมาะที่นางจะสอบถามว่าเหตุใดเขายังต้องส่งคนมาอีก จึงคิดเสียว่าท่านอ๋องผู้นี้มีมารยาทไม่ตกหล่น

ไม่ช้าเมื่อนางก้าวขึ้นรถม้า ก็เห็นชุยฉวนเป่าดามขาพันแผลเสร็จและรอนางอยู่บนรถม้าก่อนแล้ว

 

ยามที่สองพี่น้องกลับถึงบ้าน สามีภรรยาสกุลชุยกำลังร้อนใจจนแทบจะเสียสติ ตั้งแต่ยังไม่ได้เก็บแผงก็มีเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมาแจ้งข่าว บอกว่าเห็นบุตรชายบ้านนี้ถูกรถม้าชนบาดเจ็บ บุตรสาวก็ถูกเจ้าของรถม้าคันนั้นพาตัวไปด้วย

สองสามีภรรยาคล้ายพลันถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม รีบไปตามหาบุตรชายบุตรสาวที่ถนนด้านหน้าโดยไม่แม้แต่คิดจะเก็บแผง ทว่าเสาะหารอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบร่องรอย ครั้นรุดไปดูที่บ้านกลับพบหลิ่วผิงชวนนั่งรถม้ามาคอยอยู่ที่หน้าประตู

หลิ่วผิงชวนเพียงทำทีว่ามาเยี่ยมสามีภรรยาสกุลชุย หลังจากฟังคำบอกเล่าเสียงเครือของหลิวซื่อจบ ระลอกน้ำในดวงตาหลิ่วผิงชวนก็ไหววูบนิดๆ “พี่สาวมีรูปโฉมงดงาม เจ้าของรถม้าคันนั้นไร้มารยาทเช่นนี้ ต่อให้พี่สาวได้กลับมา ชื่อเสียงก็คง…”

วาจาของนางกล่าวมาเพียงครึ่งเดียว แต่หลิวซื่อก็ฟังความนัยในวาจานี้เข้าใจแล้ว สตรีวัยกำดัดที่ยังไม่ออกเรือนถูกจับตัวไป ในสายตาของคนบ้านใกล้เรือนเคียงยังจะเหลือชื่อเสียงอันใดให้เอ่ยถึง

ชุยจงไม่ว่างมาสนใจเรื่องเสียชื่อไม่เสียชื่ออะไรนั่น ช่วยบุตรชายบุตรสาวกลับมาก่อนสำคัญกว่า ดังนั้นจึงเตรียมจะรุดไปตีกลองร้องทุกข์กับนายอำเภอทันที ผลปรากฏว่าเพิ่งจะเดินออกไป เขาก็เห็นรถม้าคันหนึ่งพาชุยฉวนเป่ากับฉยงเหนียงส่งกลับมาแล้ว

หลิวซื่อเห็นบุตรชายถูกคนหามลงมา ขาถูกดามกับแผ่นไม้ แต่สีหน้ายังดูใช้ได้ ทั้งสามารถเอ่ยปากเรียก “ท่านพ่อท่านแม่” หัวใจที่ลอยคว้างของหลิวซื่อจึงวางลงได้ครึ่งดวง ครั้นเห็นบุตรสาวยามที่ลงจากรถม้าก็ดูเป็นปกติตลอดทั้งร่าง ผมเผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าก็ไม่เห็นแววหวาดหวั่นหรือเจ็บแค้น หัวใจอีกครึ่งดวงของคนเป็นแม่จึงวางลงได้เสียที

ผู้ที่ส่งคนกลับมาก็คือฉู่เซิ่งพ่อบ้านประจำจวนหลางอ๋อง ยามที่เขาเข้าไปในลานเรือนก็มองพิจารณาลานเรือนอันแคบเล็กนี้ก่อนรอบหนึ่ง ค่อยเบนสายตาไปมองสามีภรรยาสกุลชุย

อาจเพราะคนจากจวนหลางอ๋องล้วนเคยชินที่จะเชิดรูจมูกมองผู้อื่น คำขออภัยที่ออกจากปากฉู่เซิ่งจึงฟังดูไม่ค่อยจริงใจนัก เพียงแต่กล่องที่บรรจุเงินมานั้นหนักยิ่ง ทั้งยังจัดโสมกับตัวยาบำรุงเลือดและกระดูกมาต่างหากอีกสองกล่อง

พอได้ยินว่าเจ้าของรถม้าที่ชนบุตรชายเป็นถึงท่านอ๋อง ต่อให้ในใจสามีภรรยาสกุลชุยมีโทสะก็ได้แต่ฝืนข่มกลั้นไว้ รอจนรับของกำนัลและส่งพวกฉู่เซิ่งจากไปแล้ว หลิวซื่อก็รีบดูแลให้ชุยฉวนเป่าพักผ่อน ก่อนจะเร่งจูงมือฉยงเหนียงมาไถ่ถามอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

ฉยงเหนียงก็ตอบไปตามจริงว่าตนเข้าไปทำขนมให้หลางอ๋องในคฤหาสน์ของเขา

หลิ่วผิงชวนฟังอยู่ด้านข้าง แววตาหลุกหลิกอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ จึงอ้างว่าวันนี้ตนแจ้งเหยาซื่อไว้แล้ว สามารถอยู่กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนสามีภรรยาสกุลชุยได้

หลิวซื่อแม้กลัดกลุ้มที่บุตรชายบาดเจ็บ ทว่าเห็นหลิ่วผิงชวนยอมรั้งอยู่กินอาหารที่นี่ ในหัวใจย่อมเต็มไปด้วยความยินดี ตอนนี้สองสามีภรรยามีเงินให้จับจ่ายแล้ว จึงซื้อเนื้อวัวต้มสุกกับกระดูกสองชิ้นใหญ่มาเคี่ยวน้ำแกงให้บุตรชายกินบำรุง

ฉวยเวลาที่สามีภรรยาสกุลชุยไปจุดเตาไฟทำอาหาร หลิ่วผิงชวนทิ้งสาวใช้กับหญิงรับใช้อาวุโสไว้ด้านนอกแล้วเข้าไปในห้องฉยงเหนียงตามลำพัง

ห้องนี้ตนอาศัยมาสิบกว่าปีย่อมคุ้นเคยอย่างยิ่ง แต่ใครจะคิดว่าพอย่างเท้าเข้าประตู กลับเกิดความรู้สึกหลอกตาราวกับเดินเข้าผิดห้อง

นางแลเห็นว่ากระดาษเก่าที่กรุอยู่บนลายฉลุหน้าต่างล้วนเปลี่ยนเป็นกระดาษใหม่สีขาวหิมะ รอยร้าวบนผนังก็ถูกภาพที่วาดขึ้นใหม่บดบังเอาไว้ ภาพนั้นแม้ไม่ได้เข้ากรอบ เพียงทำให้ภาพยืดตรงโดยม้วนปลายสองด้านกับแท่งไม้ที่เหลาจนเรียบแล้วตอกยึดบนผนัง ทว่าภาพขุนเขาไกลใต้เมฆาล่องลอยนั้นวาดได้เปี่ยมพลังไม่ธรรมดา ไม่เห็นความคร่ำครึดาษดื่นแม้สักนิด จุดบกพร่องที่ขาดกรอบไปจึงสามารถมองข้ามไม่ต้องไปสนใจได้

เตียงเก่าของนางก็ถูกย้ายตำแหน่งแล้ว หัวเตียงมีตู้เล็กเพิ่มขึ้นมา นั่นคือตู้ซึ่งดัดแปลงจากกล่องสำรับ* สองใบที่เลาะหูหิ้วออกแล้วมาวางติดกัน ด้านบนตั้งคันฉ่องสำริดขนาดย่อมหนึ่งบานและวางหวีไม้เล็กๆ ไว้หนึ่งเล่ม ถือเป็นโต๊ะเครื่องแป้งชั่วคราว นอกจากนี้ยังจัดวางกระปุกดินเผาใบเล็กซึ่งเดิมหลิวซื่อใช้ใส่ซีอิ๊ว ในกระปุกมีดอกซิ่งสีแดงเฉิดฉายหนึ่งกิ่งเสียบเฉียงอยู่ ถึงกับดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก

ฉยงเหนียงกำลังยืนแขวนมุ้งอยู่บนเตียง มุ้งคลุมเตียงหลังนี้มีรูขาดอยู่หลายจุด เมื่อวานฉยงเหนียงขอด้ายสีจากแม่นางน้อยบ้านข้างๆ เอามาปักเป็นรูปดอกอิง** ที่เรียบสง่าหลายดอก นางช่ำชองงานเย็บปักมาแต่ไหนแต่ไร ดอกไม้ปักสองด้านแบบซูโจวบดบังรูโหว่ได้อย่างแนบเนียน กิ่งก้านที่เหยียดต่อออกมาก็แลดูงามสะอาดตาอย่างยิ่ง เมื่อแขวนกางออกมาเช่นนี้ มุ้งกลางเก่ากลางใหม่ก็พลันพลิกโฉมไม่เหมือนเดิม ดูราวกับมีดอกอิงหนึ่งกิ่งยื่นเข้ามาถึงหน้าเตียง

ห้องยังคงเป็นห้องนั้น ทว่าเพราะเจ้าของเปลี่ยนคนไป รวมถึงหยากไย่กับฝุ่นผงก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน ภายใต้แสงตะวันยามบ่ายคล้อยจึงดูอวลไปด้วยความร่มเย็นของวันคืนอันสุขสงบ การจัดวางอย่างพิถีพิถันและการตกแต่งที่พอเหมาะเข้าทีล้วนบ่งบอกว่าเจ้าของห้องคนใหม่เป็นผู้มีความคิดอ่านสูงส่งและมีความชมชอบเข้าที

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิ่วผิงชวนเห็นแล้วในใจก็รู้สึกอึดอัดยากจะบรรยาย

ในความคิดของนาง ฉยงเหนียงกลับมาอยู่ที่สกุลชุยแล้วควรจะโอดครวญทุกคืนวัน กลัดกลุ้มเศร้าซึมถึงจะถูกสิ ทว่าตอนนี้มองดูของตกแต่งในห้องแล้วไม่มีเค้าของคนที่สมเพชเวทนาตนเองสักนิด ตรงข้ามกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ด้วยซ้ำไป

ตอนนี้ห้องของนางที่จวนสกุลหลิ่วเป็นห้องซึ่งจัดขึ้นต่างหาก เดิมทีนางหมายตาห้องของฉยงเหนียง ทว่าหลิ่วเจียงจวีพี่ชายที่เพิ่งกลับมาถึงจวนนั้นหน้าดำไม่ยินยอม กล่าวเพียงว่าหากวันหน้าฉยงเหนียงกลับมาเยี่ยมบิดามารดาสกุลหลิ่ว ก็จะต้องมีห้องไว้พักผ่อน สุดท้ายจึงยังคงให้น้องสาวแท้ๆ อย่างนางย้ายออกมา ซ้ำลงกุญแจเก็บห้องนั้นเอาไว้

เรือนที่นางย้ายเข้าไปใหม่ แม้เครื่องตกแต่งในห้องทุกชิ้นนางเป็นผู้คัดเลือกจากคลังเก็บของในจวนสกุลหลิ่วด้วยตนเอง ตามหลักแล้วแต่ละชิ้นก็ล้วนเป็นของล้ำค่า แต่ไม่รู้เหตุใดจัดวางแล้วกลับดูไม่สง่าสูงศักดิ์เช่นห้องเดิมของฉยงเหนียง

สองฝ่ายเปรียบเทียบกันเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สายตาของนางดูสู้ฉยงเหนียงไม่ได้ นี่จะไม่ให้หลิ่วผิงชวนลอบหงุดหงิดได้อย่างไรกันเล่า

ฉยงเหนียงกางมุ้งเสร็จก็ลงมาจากเตียง นางมองเห็นหลิ่วผิงชวนที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ในปราดเดียว แววตาริษยานิดๆ ของอีกฝ่ายนางคุ้นเคยอย่างยิ่ง

ชาติก่อนนางก็เคยลองทำตัวเป็นพี่น้องที่ดีกับหลิ่วผิงชวน เพียงแต่ทุกครั้งที่ไปเดินซื้อของด้วยกัน ไม่ว่านางถูกใจสิ่งใด หลิ่วผิงชวนก็จะแย่งซื้อไปเป็นของตนเองก่อนเสมอ

ถ้าเป็นไปได้ ฉยงเหนียงก็อยากจะลองดูยิ่งนัก…หากตักน้ำอุจจาระมาหนึ่งช้อนเต็มๆ คุณหนูหลิ่วผู้นี้จะแย่งดื่มหรือไม่

หลิ่วผิงชวนอิจฉาตาร้อนอยู่สักครู่ก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ตนเองรั้งอยู่ที่นี่ จึงกดข่มอารมณ์ริษยาในใจลงไปก่อนเอ่ยปากกล่าว “พี่สาว ในเมื่อท่านเข้าไปในคฤหาสน์ของหลางอ๋องแล้ว คาดว่าคงได้พบผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นแล้วกระมัง เป็นเช่นไรเล่า ได้ยินว่ารูปโฉมของเขาหล่อเหลาเหนือกว่าผู้อื่นมาก คำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่”

ฉยงเหนียงหยิบตะกร้าเย็บปักไปนั่งที่ริมหน้าต่างแล้วปักผ้าเช็ดหน้าฝ้ายที่ตนเลือกผืนนั้นต่อพลางตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าไปทำขนมที่คฤหาสน์ของเขา เรื่องชงน้ำชาย่อมจะมีบ่าวเป็นผู้รับใช้ ข้ามีหรือจะได้พบผู้เป็นเจ้านาย”

หลิ่วผิงชวนฟังจบก็เจตนาถอนหายใจ “โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ เหตุใดพี่สาวไม่ยึดกุมให้ทันท่วงทีเล่า”

ฉยงเหนียงช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนทำทีถามอย่างกังขา “น้องสาวพูดให้ชัดเจนสักหน่อย สมควรยึดกุมอย่างไร”

หลิ่วผิงชวนย่อมรู้ว่าฉยงเหนียงวางท่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จนเคยชินแล้ว ไม่ได้คิดว่านางกำลังเสแสร้ง จึงรีบอธิบายให้ชัดขึ้น “ด้วยรูปโฉมเช่นนี้ของพี่สาว หากท่านอ๋องผู้นั้นได้เห็นจะต้องพึงใจเป็นแน่ ถึงตอนนั้นน้ำหลากย่อมจะเกิดคูคลองเอง”

ฉยงเหนียงหัวเราะคิกก่อนกล่าว “ดูน้องสาวพูดเข้า ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นไม่ใช่อันธพาลตามถนนสักหน่อย มีหรือแค่เห็นสตรีที่ชวนมองสักคนก็จะพึงใจจนไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึก”

เห็นฉยงเหนียงไม่เข้าใจเสียที หลิ่วผิงชวนก็ใจร้อนพูดออกมาเอง “อีกไม่ช้าในคฤหาสน์จะเรียกพบพ่อค้าทาสเพื่อซื้อนางบำเรอเข้าคฤหาสน์ หากพี่สาวยินยอม ข้าจะหาช่องทางให้พี่สาวได้พบท่านอ๋องผู้นั้นเป็นอย่างไร”

ด้วยถูกอาการกระวีกระวาดของคุณหนูหลิ่วผู้นี้ทำให้สะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉยงเหนียงจึงสะบัดตะกร้าเย็บปักไปไว้ด้านข้างทันที “วาจานี้ของน้องสาวช่างพูดมีเลศนัยนัก เหตุใดจึงเอาแต่ยั่วยุให้ข้าไปเป็นนางบำเรอถึงที่พักของบุรุษ ชั่วดีอย่างไรสกุลชุยก็เป็นครอบครัวที่สุจริต บรรพบุรุษสามรุ่นก็ไม่เคยมีชายเป็นโจรมีหญิงเป็นนางโลม เจ้าจะให้ข้าละทิ้งอนาคต ไม่เป็นภรรยาของผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในกรอบ แต่จะให้ทำตนตกต่ำไปเป็นนางบำเรอเช่นนั้นหรือ ที่แท้นี่คือความคิดของน้องสาว หรือเป็นเพราะพ่อแม่ข้าเลี้ยงดูข้าไม่ไหวจึงไหว้วานเจ้านำคำพูดมาทิ่มแทงใจข้ากันแน่”

พูดมาถึงตรงนี้ฉยงเหนียงก็ลอบหยิกข้างเอวของตน จากนั้นตะเบ็งเสียงไปทางห้องครัวที่อยู่ตรงข้ามกับประตู “ท่านแม่! ท่านไม่อาจเก็บบุตรสาวเช่นลูกไว้ก็โปรดพูดตามตรง ไยต้องให้น้องสาวมาพูดเหยียบย่ำลูกด้วย!”

หลิวซื่อที่อยู่ในห้องครัวกำลังรีดบะหมี่เส้นใหญ่…เมื่อก่อนสิ่งนี้คือของโปรดอีกอย่างของหลิ่วผิงชวน กลิ่นหอมของแป้งข้าวสาลีใหม่จากแดนเจียงหนานเข้าคู่กับไข่ผัดเต้าเจี้ยว ให้รสชาติที่อร่อยล้ำอย่างยิ่ง

ทว่าตอนนี้พอได้ยินฉยงเหนียงที่ยามปกติพูดเสียงเนิบช้านุ่มนวลพลันร้องไห้ตะโกนเสียงสูงอย่างเศร้าสลด หลิวซื่อก็รีบทิ้งบะหมี่ในหม้อ วิ่งปราดตรงมาเลิกม่านประตูแล้วจ้องถามพวกนางสองคนตาโต “เหตุใดฉยงเหนียงถึงร้องไห้เล่า!”

หลิ่วผิงชวนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน นึกไม่ถึงว่าฉยงเหนียงบทจะร้องไห้ก็ร้องไห้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเป็นเด็กสามขวบอ้าปากเรียกมารดามาฟ้องร้อง หลิ่วผิงชวนจึงแก้ตัวอย่างเร่งรีบ “เมื่อครู่ข้าเพียงล้อพี่สาวเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่านางกลับถือเป็นจริง…”

พูดๆ อยู่ขอบตาของนางก็แดงเรื่อเช่นกัน คล้ายนางเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างล้นเหลือ แต่น่าเสียดายที่ฉยงเหนียงร้องไห้หนักยิ่งกว่า จึงมองความเปราะบางของนางไม่ออกแล้ว

รอจนหลิวซื่อซักถามสาเหตุกระจ่างแจ้งก็ย่นคิ้วขึงตาตำหนิ โดยไม่สนใจว่าบัดนี้หลิ่วผิงชวนเป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนางผู้สูงส่ง “เรื่องเป็นนางบำเรอจะเอ่ยปากหยอกล้อกันได้อย่างไร เห็นอยู่ว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนเรียบร้อยระวังตัว คำพูดเยี่ยงนี้หากแพร่งพรายออกไปจะให้นางพบหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน”

จบคำนางก็หมุนตัวไปปลอบฉยงเหนียง “ได้ยินแล้วกระมัง ผิงเอ๋อร์แค่ล้อเจ้าเล่น!”

หากเป็นฉยงเหนียงคนเก่าจะไม่ร้องไห้อาละวาดกัดไม่ปล่อยเช่นนี้หรอก ทว่านางเอือมระอาแล้วจริงๆ ที่หลิ่วผิงชวนมาทำตัวน่ารังเกียจกับนางถึงสกุลชุยครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งเมื่อนึกถึงความคับแค้นที่ชาติก่อนอีกฝ่ายแย่งชิงสามีกับบุตรชายหญิงของนางไป ไม่ต้องหยิกเอวเลยด้วยซ้ำน้ำตานางก็พรั่งพรูออกมาแล้ว

ดังนั้นนางที่จอนผมรุ่ยร่ายจึงโผซบอ้อมอกของหลิวซื่อแล้วเอ่ยตาแดงก่ำ “มีคำพูดล้อเล่นเช่นนี้ที่ใดกันเจ้าคะ นางถึงกับบอกให้ลูกเป็นฝ่ายไปหาพ่อค้าทาสเพื่อไปขายตัวถึงที่พักของบุรุษ พูดเสียเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนว่านางเคยทำเองมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น!”

หลิ่วผิงชวนฟังคำฟ้องของอีกฝ่ายจบก็ตัวแข็งทื่อนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่ พอนางช้อนตามองไปทางฉยงเหนียง ก็เห็นอีกฝ่ายร้องไห้สะอึกสะอื้น เป็นแค่แม่นางน้อยที่เหลี่ยมเล่ห์ยังอ่อนหัดนัก

แม้แต่ในชาติก่อนที่อีกฝ่ายเป็นถึงฟูเหรินขั้นหนึ่งก็ยังวางแผนด้อยกว่าข้ามิใช่หรือไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข้าที่มาเกิดใหม่และยึดกุมจังหวะอันมีเปรียบได้ก่อนในทุกเรื่อง!

คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วผิงชวนก็รู้สึกเพียงว่าตนใจร้อนเกินไป ถึงได้ถูกฉยงเหนียงจับมาเป็นประเด็นโจมตี หลิ่วผิงชวนยืดได้หดได้เสมอมา จึงรีบปั้นยิ้มกล่าว “เป็นความผิดของน้องสาวคนนี้เอง ขอพี่สาวโปรดอย่าตำหนิเลย”

ทว่านางยิ่งปลอบกลับทำให้ฉยงเหนียงยิ่งร้องไห้ฟูมฟายหนัก หลิวซื่อพลันนึกโยงไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ฉยงเหนียงกลับมาสกุลชุยใหม่ๆ นั่นคือน้ำตาที่สามารถทลายกำแพงหมื่นหลี่จนท่วมมิดด่านซานไห่ ได้ทีเดียว

ยามนี้ย่อมไม่เหมาะจะรั้งหลิ่วผิงชวนอยู่กินอาหารอีก หลิวซื่อเพียงส่งสายตาให้ลูกเลี้ยงก่อนเอ่ยเสียงเบา “วันนี้เดิมทีพี่สาวเจ้าก็ได้รับความตื่นตระหนก เจ้ายังจะใช้คำพูดทิ่มแทงนางซ้ำอีก ถ้าอย่างไรเจ้ากลับไปก่อนเถอะ วันหลังมีเวลาว่างค่อยมาเยี่ยมแม่กับพ่อชุยจงของเจ้าใหม่ดีหรือไม่”

เดิมหลิ่วผิงชวนก็ไม่ได้อยากจะรั้งอยู่กินอาหารหรอก ตอนนี้พลั้งปากไปชั่ววูบจนตกเป็นรอง กำลังหาโอกาสจะปลีกตัวไปอยู่พอดี

หลิวซื่อเตรียมพร้อมอยู่นานเพื่อจะสร้างทำนบต้านน้ำตาที่ไหลบ่า ไหนเลยจะคิดว่าหลิ่วผิงชวนเพิ่งจากไปไม่ทันไร ฉยงเหนียงก็ค่อยๆ เก็บน้ำตาแล้วเอ่ยปนสะอื้น “ท่านแม่ บะหมี่เส้นใหญ่เสร็จแล้วกระมัง ขืนยังไม่กิน เส้นคงจะเละเป็นแน่”

หลิวซื่ออยากให้บุตรสาวเบนความคิดไปเรื่องอื่นอยู่แล้ว นางจึงรีบลุกขึ้นไปเข้าครัว ล้างเส้นด้วยน้ำเย็นแล้วเทใส่ชามน้ำต้มกระดูกที่ร้อนฉ่า ก่อนราดหน้าด้วยไข่ผัดเต้าเจี้ยวที่เข้มข้นหนึ่งทัพพี

ฉยงเหนียงเดินตามหลังมารดามาเช็ดหน้าให้ด้วยผ้าหมาดๆ พลางชะโงกศีรษะกล่าว “ท่านแม่ ใส่น้ำมันพริกที่ท่านเคี่ยวเมื่อวานลงไปอีกหนึ่งช้อนเถอะ เมื่อวานตอนเห็นท่านทำกลิ่นหอมยิ่งนัก…แต่ในชามของพี่ชายอย่าได้ใส่เชียว เขาบาดเจ็บที่กระดูก กินยาต้มอยู่ห้ามกินของเผ็ด”

หลิวซื่อเห็นเมื่อครู่บุตรสาวยังร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ทว่าท่าทางตอนนี้กลับคิดแต่เรื่องกินอย่างเดียว ก็คือแม่นางน้อยปากตะกละผู้หนึ่งมิใช่หรอกหรือ

หัวใจที่ค้างเติ่งของหลิวซื่อพลันวางลงได้เสียที พอตักน้ำมันพริกหนึ่งช้อนกับโรยต้นหอมซอยหนึ่งขยุ้มลงในชามที่ใหญ่พิเศษนั้นแล้ว นางก็ตอบปนยิ้ม “พี่ชายเจ้ากินสิ่งนี้ได้เสียเมื่อไร เดี๋ยวแม่จะใช้น้ำต้มกระดูกทำบะหมี่ปลาให้เขาหนึ่งชามจะได้ย่อยง่าย”

ฉากวุ่นวายเมื่อครู่นี้ชุยจงล้วนฟังเข้าใจ เขามีหรือจะไม่รู้จักบุตรสาวที่เลี้ยงดูมาสิบห้าปี ตั้งแต่เมื่อก่อนหลิ่วผิงชวนก็อิจฉาความฟุ้งเฟ้อของครอบครัวที่มั่งมี หากมิใช่เขากับภรรยาจับตาอย่างเข้มงวด ไม่แน่นางอาจลอบมีสัมพันธ์กับบุตรชายเสเพลของสกุลจางที่ขายเนื้อหมูในตลาดนั่นไปแล้ว ดังนั้นวาจาเสี้ยมสอนฉยงเหนียงเมื่อครู่จึงเป็นไปได้มากว่าจะมิใช่คำล้อเล่น

เมื่อก่อนตอนที่ชุยจงยังนึกว่าหลิ่วผิงชวนเป็นลูกในไส้ นิสัยแย่ๆ ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเหล่านั้นเขาล้วนถือว่าไม่เด่นชัด ทว่าตอนนี้นางได้คืนสู่ตระกูลใหญ่เป็นสตรีชั้นสูงสมปรารถนาแล้วกลับจะมาสอนบุตรสาวแท้ๆ ของเขาให้เสียคนอีก…

คิดมาถึงตรงนี้ชุยจงก็สุดแสนจะไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็ยินดีที่ฉยงเหนียงห่างเหินกับหลิ่วผิงชวนไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกอีกฝ่ายสอนไปในทางที่ผิด

ดังนั้นชุยจงจึงเคาะกล้องยาเส้นพลางเอ่ยเย้า “บะหมี่เส้นใหญ่ทั้งหม้อนั้นล้วนเป็นของเจ้า กินหมดแล้วจะได้มีแรงร้องไห้ต่อ!”

หลิวซื่อใช้ตะเกียบปาดแป้งบะหมี่ปลาพลางด่าว่าอย่างยิ้มแย้ม “พอประมาณก็พอแล้ว หากฉยงเหนียงร้องไห้อีก ดูซิข้าจะจัดการตาเฒ่าเช่นเจ้าหรือไม่!”

ชุยฉวนเป่าที่เกาะขอบหน้าต่างอยู่ก็ร่วมครื้นเครงด้วย “ท่านแม่ ในเมื่อข้ากินเผ็ดไม่ได้ ท่านก็เติมไข่ผัดเต้าเจี้ยวให้ข้ามากหน่อยเถอะ!”

พริบตาเสียงพูดคุยยิ้มหัวก็เอ่อล้นออกมาถึงด้านนอก

อันที่จริงหลิ่วผิงชวนยังไม่จากไป ขณะที่นางยืนครุ่นคิดเรื่องในใจอยู่ข้างรถม้า กลับได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงดังจากในบ้านมาเป็นระลอก เมื่อก่อนในเสียงหัวเราะนี้ยังมีของนางด้วยส่วนหนึ่ง ผิดกับตอนนี้ที่เป็นฉยงเหนียงมาแทนที่ตำแหน่งของนาง ความอัดอั้นในใจนางชั่วขณะนี้ไม่อาจจะบรรเทาลงได้จริงๆ

ฮึ ต่อให้เจ้าชุยเจียงฉยงไม่ได้เข้าคฤหาสน์ของหลางอ๋อง ข้าหลิ่วผิงชวนก็มีวิธีจะทำให้เจ้าชื่อเสียงป่นปี้ ไม่ได้แต่งเข้าครอบครัวที่ดี!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: