บทที่ 6
ฮะจิน่าพาชารีฟออกจากแทนเนอรีส์โดยไม่ได้ย้อนกลับไปทางซูกอีก แต่ผ่านทางบาบเดบบราห์ (Bab Debbrah) ซึ่งเป็นประตูเมืองขนาดเล็กสำหรับเข้าออกเมดิน่าจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ไกลจากแทนเนอรีส์มากนักแทน แล้วก็เรียกเพทที่ แท็กซี่ กลับโรงแรม
นั่งกันอย่างเงียบๆ อยู่ทางตอนหลังของแท็กซี่ได้พักหนึ่งฮะจิน่าก็นึกขึ้นมาได้ หันไปทางลูกทัวร์จำเป็นของเธอวันนี้ “นี่คุณ ลืมอะไรไปรึเปล่า”
ชายหนุ่มที่กำลังมองอะไรข้างทางอยู่เพลินหันมาทำหน้างง “อะไรครับ”
“คุณยังไม่ได้บรีฟเรื่องที่ประชุมกันเมื่อเช้าให้ฉันฟังเลย นี่ก็หกโมงแล้ว กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็ไม่มีเวลาพอดี”
เห็นเขานั่งนิ่งเฉยเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่เธอก็รู้สึกหวั่นๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขาจะแกล้งไม่ยอมบอกรายละเอียดเรื่องการประชุมให้เธอฟังเป็นการแก้แค้นหรอกนะ เสียงที่เตือนเลยเริ่มจะขุ่นตามอารมณ์
“นี่คุณ ฟังฉันอยู่รึเปล่าน่ะ”
คิ้วของคนถูกถามเลิกขึ้นเล็กน้อย “นี่คุณฮะจิน่าครับ เวลาจะขอให้ใครทำอะไรให้น่ะ คนทั่วไปเขาจะพูดกันเพราะๆ นะ”
“ก็ฉันไม่ใช่คนทั่วไปนี่” คนปากไวย้อนทันควัน
“หรือครับ…แต่ผมคุ้นชินกับการพูดคุยกับคนทั่วไปเท่านั้น” พูดจบแล้วก็หันหน้ากลับไปมองตึกรามบ้านช่องข้างทางเหมือนเดิม เหมือนจะไม่สนใจอะไรอีก แล้วก็ต้องหันขวับมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงเนื้อบนหลังมือถูกคีบขึ้นแล้วบีบแรงๆ ด้วยปลายนิ้วจากคนนั่งข้าง เจ็บจนต้องอุทานออกมาเบาๆ
“คุณนี่…ดูเหมือนจะไม่ได้ทำงานโรงแรมนะ น่าจะไปเป็นพัศดีมากกว่า”
“เฮอะ” คนหยิกทำเสียงอยู่ในลำคอแต่ไม่ยอมปล่อยนิ้ว “คุณนี่เห็นเงียบๆ ขรึมๆ แต่ปากพอๆ กับพี่เรียอาร์ทเลยเชียว ตกลงจะบรีฟให้ฉันฟังได้หรือยังล่ะคะ”
“ผมไม่ชอบถูกข่มขู่ ต่อให้คุณหยิกผมจนเนื้อหลุดก็เถอะ” คนถูกหยิกตอบหน้าตาย หากดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวมีแววขบขันอย่างที่คนอื่นไม่ได้เห็นกันได้ง่ายๆ นัก “แต่ถ้าคุณขอร้องผมดีๆ ผมก็จะรีบบรีฟให้คุณฟังทันทีเลย”
เห็นดวงหน้าใสมุ่ยลงไปอีกครั้งกับริมฝีปากหยักสวยที่เม้มสนิทอย่างไม่พอใจแล้วชารีฟก็อยากจะหัวเราะออกมานัก หากกลั้นเอาไว้ ดังนั้นสิ่งที่ฮะจิน่าเห็นจึงเป็นดวงหน้าเรียบเฉยเย็นชาเหมือนกับรอคอยคำตอบอย่างอดทน
“ว่ายังไงล่ะครับ เอ…ตอนนี้ก็หกโมงสิบนาที ใกล้จะถึงโรงแรมแล้วด้วย” คนถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยเตือนขึ้นลอยๆ
ฮะจิน่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กดความรู้สึกคุกรุ่นจนอยากจะกรี๊ดใส่หน้าชายหนุ่มเอาไว้อย่างยากเย็น ก่อนจะปล่อยนิ้วมือจากมือใหญ่กว่าอย่างไม่เต็มใจนัก พูดลอดไรฟันออกมาด้วยเสียงหวานเน้นหนักทีละคำอย่างประชดประชัน “คุณชารีฟเจ้าคะ กรุณาช่วยบรีฟการประชุมเมื่อเช้าให้ฉันฟังด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”
“ก็แค่นั้นแหละ” ชายหนุ่มว่า แล้วก็ได้รับดวงตาสีน้ำตาลสวยที่เริ่มจะเป็นสีเขียวเรืองๆ ตวัดค้อนขวับรวดเร็วเป็นการตอบแทน
ชารีฟเรียบเรียงเรื่องราวที่คุยกันในที่ประชุมออกมาอย่างเป็นขั้นตอนโดยมีฮะจิน่านั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ คอยถามคำถามเป็นครั้งคราวด้วยท่าทีที่เป็นการเป็นงานและรู้จริง ต่างจากหญิงสาวเจ้าอารมณ์ที่พาเขาเที่ยวตลอดบ่ายคนละขั้ว ซึ่งก็ทำให้เขาอดรู้สึกทึ่งขึ้นมานิดๆ ไม่ได้
เขาตอบทุกคำถามของเธอก่อนจะสรุปว่า “เรื่องโรงแรมที่มาร์ราเคชนี่เราตกลงกันเกือบจะเรียบร้อยแล้วครับ เหลือแต่รายละเอียดปลีกย่อยหลังการสร้างอย่างการตกแต่งภายใน ราคาค่าที่พัก บุคลากร แต่ยังไงโครงการนี้ก็เดินหน้าไปได้เลย”
“งั้นก็เหลือโครงการที่อื่นน่ะสิคะ”
“ครับ ตามที่คุณประฮิมเสนอมาว่าอยากจะเพิ่มการรวมหุ้นไปถึงโรงแรมในเมืองอื่นๆ อย่างอีสซูระ หรือ อูริก้า แวลเล่ย์ เราจะค่อยๆ คุยกัน เพราะการีมยังไม่ได้ตกลงใจแน่นอน ส่งผมให้มาดูก่อน”
“แล้วคุณจะตัดสินใจแทนคุณการีมได้เลยหรือเปล่าคะ หรือว่าเราประชุมกับคุณแล้วก็ต้องรอคุณการีมอีกที”
“ผมตัดสินใจแทนการีมได้เลยครับ”
ฮะจิน่าพยักหน้าอย่างพอใจ “งั้นก็ดีค่ะ ฉันอยากให้ทุกอย่างเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซาก หยุดอยู่กับที่”
“ครับ” ชารีฟเห็นด้วย
“ก็แค่นั้นแหละ!” ฮะจิน่าเลียนเสียงของเขาตอนที่ตอบเธอในตอนแรกอย่างประชดประชัน เมื่อได้สิ่งที่เธอต้องการเรียบร้อยแล้วก็กลับไปหาเรื่องชายหนุ่มในจุดที่เธอยังค้างคาใจอยู่ทันที “เรื่องแค่เนี้ย คุณไม่น่าจะเรื่องมากเลย”
ชารีฟที่เริ่มจะชินกับการเปลี่ยนอารมณ์รวดเร็วราวกับสายฟ้าของหญิงสาวทีละน้อยแล้วถามกลับเสียงเรียบ “ผมเรื่องมากยังไงไม่ทราบครับ”
“ก็ฉันถามตอนแรกแล้วคุณไม่ยอมพูดจนต้องใช้กำลังกัน” คนพูดทำเป็นลืมไปเสียว่าเขายอมพูดเพราะเธอขอร้องเขาต่างหาก
คราวนี้ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ กับอาการพาลของเธอก่อนตอบว่า “คุณฮะจิน่าครับ จะบอกอะไรให้นะครับ ผมไม่ได้ท่ามากเสียหน่อย ตอนแรกที่เงียบไปก็เพราะกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่จะบอกคุณต่างหาก แต่คุณใจร้อนไปก่อนเอง ถ้าคุณไม่บังคับผม รออีกไม่ถึงนาทีผมก็กำลังจะเล่าให้คุณฟังอยู่แล้วละครับ”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกเล่า” ฮะจิน่าร้องอย่างขัดใจ
“ก็คุณถามผมอย่างไม่น่ารักเอาเสียเลยนี่”
คำตอบเจือเสียงหัวเราะนั้นทำให้ดวงหน้าใสรู้สึกร้อนอย่างประหลาด หากบอกกับตัวเองอย่างเข่นเขี้ยวภายในใจว่า…อยากจะขว้างปาของใส่คนหน้าตายเสียจริง มาปั่นหัวจนต้องเสียท่า ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น…
“เชอะ ใครจะอยากน่ารักกับคุณ”
ฮะจิน่าว่าแล้วก็สะบัดหน้าไปอีกทางจึงไม่เห็นดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวที่มองมาอย่างขบขันเจือด้วยความเอื้อเอ็นดูเป็นครั้งแรก
เพทที่ แท็กซี่ มาถึงโรงแรมตอนเกือบจะหกโมงครึ่งอยู่แล้ว เมื่อชารีฟกับฮะจิน่าลงจากรถก็พบเรียอาร์ทที่เพิ่งกลับเข้ามาเหมือนกันโบกมือให้ก่อนจะเดินเข้ามาสมทบ
ดวงหน้าหล่อคมของหนุ่มโมร็อกกันมองน้องสาวคนเล็กสลับกับแขกหนุ่มชาวอียิปต์ที่มอมแมมไม่แพ้กันทั้งคู่ด้วยสีหน้าที่ปิดความขบขันเอาไว้ไม่มิดแล้วถามด้วยเสียงเจือหัวเราะ “ไปไหนกันมาครับนี่ ดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากสงคราม”
“ก็เพิ่งกลับจากสงครามน่ะสิ” ฮะจิน่าเป็นคนตอบ ปรายตาไปมองคนที่เพิ่ง ‘รบ’ กันมาตลอดบ่ายอย่างไม่เป็นมิตรก่อนจะหันไปแขวะพี่ชายคนรอง “ใครจะเหมือนพี่ล่ะ ไปเดตมา ผมเรียบแปล้ ตัวหอมฟุ้งอย่างกับกลิ่นผู้หญิง”
เรียอาร์ทหัวเราะ ขยี้ศีรษะคนตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว “หวงพี่ชายเรอะ”
“อี๋…ใครจะไปหวงพี่ ขายออกเมื่อไหร่จะจัดงานฉลองสามวันสามคืน” คนเป็นน้องลอยหน้าตอบแล้วบอกต่อว่า “เดี๋ยวจิน่าจะไปอาบน้ำก่อน พี่บอกพ่อกับพี่อาเดย์ด้วยนะคะว่าจิน่าจะเลตนิดนึง”
“พี่กำลังจะบอกเหมือนกัน ขืนเธอไปนั่งร่วมโต๊ะอย่างนี้ไม่มีใครทานอาหารลงแน่ๆ เหม็นจะแย่”
หญิงสาวค้อนคนพูดขวับก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลับหายเข้าไปในตัวตึก โดยมีคนถูกค้อนกับคนยืนฟังส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อฮะจิน่าลับตาไปแล้วเรียอาร์ทก็ชวนชารีฟเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับชวนคุย
“เมื่อตอนบ่ายนี้จิน่าพาคุณไปที่ไหนมาหรือครับ”
“ก็ไปเดินแถวเจอมา เอฟ น่า พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะบอกกับผมว่าจะพาไปที่พิเศษสุด”
ได้ยินอย่างนั้นเรียอาร์ทก็พอจะเดาได้แล้วว่าน้องสาวคนเล็กของเขาพาแขกคนสำคัญไปที่ไหนมา หากยังอดถามออกไปไม่ได้ “ที่ไหนครับ”
“แทนเนอรีส์ครับ”
แค่คิดเรียอาร์ทก็ทำหน้าสยดสยองเข้าเสียแล้ว พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “ยายตัวแสบ…” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับชารีฟ “ผมต้องขอโทษแทนน้องด้วยครับ พาคุณไปดูอะไรก็ไม่รู้”
ชารีฟส่ายหน้าแล้วตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ก็น่าสนใจดี”
“ความจริงแล้วถ้าจะไปแทนเนอรีส์ควรจะไปตอนเช้าครับ จะมีคนงานทำงานให้ดูด้วย เขาหยุดกันช่วงบ่าย”
คนพูดไม่ได้ขยายความต่อว่า ที่สำคัญตอนเช้ากลิ่นยังไม่แรงมากนัก เพราะหนังสัตว์เพิ่งเข้า ยังไม่เน่าจากแสงอาทิตย์ที่ฉายส่องแรงกล้า เพียงแค่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ถ้าคุณอยากจะไปอาบน้ำล้างฝุ่นเสียก่อนก็เชิญได้นะครับ เพราะยังไงก็ต้องรอจิน่าอยู่แล้ว จะได้สบายตัว”
“ผมกำลังจะขอตัวอยู่พอดี ถ้าหากช้าคงต้องฝากคุณขอโทษทุกคนแทนด้วย”
“เชิญครับ บอกแล้วว่าคนกันเอง ไม่ต้องกังวล” เรียอาร์ทว่าพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตามนิสัย
“ขอบคุณครับ” ชารีฟเอ่ยก่อนจะก้มศีรษะเป็นการขอตัวอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินแยกออกไป
ดวงตาสีน้ำตาลใสไม่ต่างอะไรจากน้องสาวคนเล็กมองตามร่างสูงนั้นอย่างประเมินอยู่ในทีก่อนจะส่ายหน้าและยิ้มกับตัวเอง
…เห็นไหมล่ะว่ากามเทพจะต้องแย่แน่ๆ เฮ้อ…
อาหารเย็นเป็นเคบับเนื้อวัวผสมกับเนื้อแกะสไตล์โมร็อกกันจัดวางสลับกับผักต่างชนิดสีสันสวยงาม พร้อมด้วยซอสพริกรสเปรี้ยวปนเผ็ดสำหรับจิ้ม
บรรยากาศในการรับประทานอาหารผ่านไปอย่างชื่นมื่นพอสมควร จะมีก็แต่ฮะจิน่าที่อดรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ที่เห็นชารีฟรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยไม่แสดงท่าทางพะอืดพะอมอย่างที่เธอคาดเอาไว้
…ก็ครั้งแรกที่เธอไปแทนเนอรีส์มายังทานเนื้อแทบไม่ลงเลยนี่ แต่ก็นะ ใครจะความรู้สึกช้าเท่าตานี่ได้ล่ะ
หลังจากดื่มกาแฟเป็นการล้างปากเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็เข้าไปนั่งปรึกษางานกันต่อในห้องประชุมเล็กทันที
อาเดย์เป็นคนเปิดไฟล์หนาปึกขึ้นมา หยิบเอกสารออกมาแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “โปรเจ็กต์ชิ้นต่อไปที่ผมอยากจะให้คุยกันก็คือโรงแรมในอีสซูระ”
ชารีฟพยักหน้าก่อนจะเปิดเอกสารขึ้นมาอ่านทบทวนอย่างคร่าวๆ เขาจำได้ว่าอีสซูระตามอย่างที่คนโมร็อกกันออกเสียง หรืออีสซาอูร่า (Essaouira) ตามอย่างที่คนยุโรปทั่วไปรู้จักนั้นเป็นเมืองท่าติดชายทะเลห่างจากมาร์ราเคชประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกิโลเมตร ใช้เวลาขับรถไปประมาณสองชั่วโมง และปัจจุบันนี้ยิ่งไปมาสะดวกเพราะมีสนามบินใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการมาได้ไม่กี่ปี ขณะนี้เริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไม่น้อย และท่าทางอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนด้านโรงแรมดูสมเหตุสมผลและน่าจะได้กำไรคืนกลับมาในเวลาอันสั้น
“สำหรับโครงการในอีสซูระนี้ลุงเคยคุยกับการีมแล้ว และเขาก็ให้ความสนใจพอสมควร” คุณประฮิมเอ่ยเมื่อเห็นชารีฟเงยหน้าขึ้นจากเอกสารแล้ว
“ครับ…การีมก็บอกผมเหมือนกัน อ่านดูจากเอกสารชุดใหม่นี่คุณลุงได้ไปสำรวจดูที่ทางมาแล้ว?”
คุณประฮิมพยักหน้าก่อนจะหันไปทำสัญญาณให้อาเดย์เป็นคนรายงาน
“มีสองที่ที่ทางเราสนใจ ที่แรกก็คือที่ดินเปล่าผืนใหญ่สวย ติดชายทะเลห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร อีกที่เป็นโรงแรมที่สร้างมาประมาณสี่ปี เจ้าของต้องการขาย ที่นี่ใกล้กับตัวเมืองมากกว่า ติดชายทะเลเช่นกัน แต่ว่าเล็กกว่าที่แรกมากกว่าครึ่ง สภาพโรงแรมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทางเราคิดว่าจะซ่อมแซมและปรับปรุงด้านการตบแต่งภายใน”
ฮะจิน่ายื่นอัลบั้มรูปถ่ายของทั้งสองสถานที่ให้กับชารีฟ “นี่เป็นส่วนที่เพิ่มเติมจากที่อยู่ในเอกสารค่ะ”
เมื่อเห็นชารีฟรับไปพลิกดูอย่างพิจารณา หญิงสาวก็เอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการต่อว่า “จริงๆ แล้วทางเราอยากจะทำโครงการทั้งสองที่…สำหรับที่ดินผืนว่างจะทำเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่ มีสระว่ายน้ำ สนามกีฬาอย่างเทนนิสครบครัน และจะทำห้องพักได้กว่าร้อยห้อง ส่วนโรงแรมที่สร้างเสร็จแล้วนั้นมีเพียงสระว่ายน้ำและห้องพักสี่สิบห้องเท่านั้น แต่ใช้เวลาตบแต่งไม่นานก็เปิดให้บริการได้แล้ว…ก็ขึ้นอยู่กับทางฟารัวห์ว่าอยากจะร่วมลงทุนกับเราหรือไม่ จะที่เดียวหรือทั้งสองที่ก็ตาม”
“สมมติว่าทางฟารัวห์ไม่ร่วมทุนด้วยล่ะครับ”
“ทางเราก็จะเริ่มจากโครงการสองก่อนค่ะ ส่วนที่ดินผืนแรกคงจะต้องซื้อทิ้งเอาไว้เฉยๆ สักพัก ยังไงก็คงขึ้นอยู่กับโครงการที่อูริก้า แวลเล่ย์ ที่เราจะคุยกันพรุ่งนี้ด้วย”
ชารีฟนิ่งเงียบมองเทียบรูปภาพและเอกสารตรงหน้าอยู่พักใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามคุณประฮิม “เป็นไปได้ไหมครับที่ผมจะขอไปดูเมืองและสถานที่ทั้งสองด้วยตัวเอง แล้วก็อยากจะปรึกษากับการีมด้วยก่อนจะให้คำตอบ”
คุณประฮิมยิ้มพลางพยักหน้า “ลุงก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าชารีฟจะต้องพูดอย่างนี้ จะไปดูพรุ่งนี้เช้าเลยก็ได้ เย็นๆ ค่อยกลับมาคุยกัน เดี๋ยวลุงจะให้จิน่าพาไป”
เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองหญิงสาวก็สะดุ้งเฮือก ทิ้งมาดนักธุรกิจสาวจนหมดเปลือก ประท้วงออกมาทันที “ทำไมเป็นจิน่าอีกแล้วล่ะคะพ่อ”
“อ้าว ก็วันที่ไปดูที่กันก็มีลูกไปกับพ่อสองคนนี่นา จะให้ใครพาชารีฟไปดูได้ล่ะ”
“ให้แผนที่พี่อาเดย์หรือพี่เรียอาร์ทไปสิคะ ไปไม่เห็นยากเลย”
“เนอมีนไม่สบาย จะให้อาเดย์ทิ้งพี่สะใภ้ของเราไปได้ยังไงกันล่ะ” บิดาให้เหตุผล
“อ้าว พี่เนอมีนเป็นอะไรไปล่ะคะ วันก่อนที่เจอกันยังเห็นดีๆ อยู่เลย” ฮะจิน่าหันไปถามพี่ชายคนโต
อาเดย์ที่เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าภรรยาของตัวเองไม่สบายในวินาทีนี้พยายามรับมุกที่บิดาส่งมาให้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่วายตะกุกตะกัก “เอ้อ…ก็เป็นหวัดล่ะมั้ง เห็นบ่นปวดหัว เอ่อ…แล้วก็คลื่นไส้”
ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นน้องก็ยิ้มหวาน “ไม่แน่นะคะ จิน่าอาจจะใกล้ได้เป็นคุณอาแล้วก็ได้”
คนที่ ‘อาจจะใกล้’ ได้เป็นคุณพ่อเพียงแต่หัวเราะหึๆ ทำหน้าไม่ค่อยถูก
เมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลกลมใสหันมาจ้องเป๋งเรียอาร์ทก็รีบปฏิเสธทันที “พรุ่งนี้พี่มีนัดแล้ว”
“โอ๊ย” ฮะจิน่าร้องออกมาอย่างหมดความอดทน “ก็เลื่อนนัดสิคะ กะแค่สาวๆ ของพี่น่ะ งานการไม่ต้องทำกันรึไง”
เรียอาร์ทยิ้มแยกเขี้ยว “เปล่าสักหน่อยยายตัวยุ่ง พรุ่งนี้พี่มีนัดกับหมอฟันต่างหาก”
“ทำไมคะ โดนสาวไหนตบจนฟันแตกมาหรือไง”
ผู้ถูกกล่าวหายิงฟันให้เห็นครบทุกซี่ ตอบด้วยท่าทางทะเล้น “สาวๆ เขาไม่ยุ่งกับฟันพี่หรอก หยุดอยู่แค่ที่ริมฝีปากกับปลายลิ้นทั้งนั้นแหละ”
“แหยะ ทะลึ่ง” ฮะจิน่าค้อนขวับเข้าให้ก่อนจะหาข้ออ้างต่อ “แต่จิน่าคิดว่าคุณชารีฟคงจะไม่อยากให้จิน่าพาไปหรอกค่ะ จิน่าเป็นไกด์ที่ไม่ดีเท่าไหร่…จริงไหมคะคุณชารีฟ” ประโยคสุดท้ายเธอหันไปถามชารีฟด้วยสีหน้ายิ้มหวานแกมยั่วอย่างมั่นใจว่าหลังจากที่พาเขาไปดมกลิ่นที่แทนเนอรีส์แล้ว เขาคงจะเข็ดเกินกว่าจะไปไหนมาไหนกับเธออีกเป็นแน่
ชารีฟมองดวงหน้าใสกับท่าทางนั้นอย่างรู้เท่าทัน ซ่อนยิ้มก่อนจะตอบอย่างเรียบร้อยว่า “ใครว่ากันครับ คุณฮะจิน่าเป็นคนนำทางที่ดีมากต่างหาก ทำให้ผมได้เห็นรากฐานของมาร์ราเคช และได้ไปสถานที่พิเศษที่ไม่ได้ไปดูกันง่ายๆ”
มีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเลียนแบบคำพูดของเธอเมื่อบ่ายแทบจะคำต่อคำเลยทีเดียว แล้วก็จ้องดวงหน้าหล่อเหลานั้นอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเมื่อได้ยินเขาพูดต่อด้วยเสียงสุภาพว่า
“ถ้าไม่รังเกียจ พรุ่งนี้ก็ต้องขอรบกวนคุณฮะจิน่าอีกนะครับ”
“ก็แล้วถ้าฉันรังเกียจล่ะ” รอยยิ้มหวานไม่ได้อยู่บนดวงหน้าใสนั้นอีกต่อไปแล้ว หากปากยื่นเหมือนเด็กอารมณ์เสีย
“จิน่า พอได้แล้ว เสียมารยาทจริง” คุณประฮิมปราม “แล้วว่ายังไงล่ะ ลูกจะพาชารีฟไปหรือเปล่า”
ฮะจิน่านั่งเงียบ ตรองนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ในที่สุด “ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้จิน่าจะพาคุณชารีฟไปดูที่เอง”
“ตกลงกันได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว” ผู้สูงอายุที่สุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ
มีเพียงชารีฟกับเรียอาร์ทเท่านั้นที่มองรอยยิ้มหวานกับประกายตาวาววับบนดวงหน้าสวยนั้นอย่างหวั่นใจยังไงชอบกล
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน ตุลาคม 64)
Comments
comments
No tags for this post.