บทที่ 5
ออกจากลานกว้างของเจอมา เอฟ น่า ขึ้นไปทางทิศเหนือเป็นทางเข้าของซูกหรือตลาดนัดขนาดใหญ่ของมาร์ราเคช ทางเดินแคบๆ ขนาบข้างไปด้วยร้านขายของสารพัดชนิดที่ดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นโซนอย่างกลายๆ เช่น ตอนช่วงทางเข้าก็เป็นร้านขายเสื้อผ้า ปะปนไปกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เรียงรายเป็นแนว ถัดไปอีกหน่อยก็เป็นร้านขายพรมที่มีสินค้าวางพาดโชว์ลวดลายสีสันงดงามติดกันหลายร้าน แม้ว่าตลอดเวลาเดินจะมีเสียงเชิญชวนจากคนขายของไม่ได้หยุดยั้ง หากทั้งสองก็ไม่ได้หยุดแวะดูสินค้าแต่อย่างใด
ชารีฟก้าวตามฮะจิน่าไปตามทางเดินที่สลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต เดี๋ยวหญิงสาวก็พาเลี้ยวออกซ้าย ทะลุมาขวา อีกเดี๋ยวก็เดินตรงไปข้างหน้าแล้วก็ย้อนกลับมาข้างหลังอีก จนตัวชายหนุ่มเองก็ถอดใจที่จะพยายามจดจำทิศทางไปเสียในที่สุด นอกจากจะพอรู้เป็นเลาๆ ว่าเธอกำลังพาเขามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือเป็นหลัก
อีกอย่างหนึ่งการเดินในซูกให้ปลอดภัยต้องใช้สมาธิเป็นอย่างสูง เพราะทางเดินแคบๆ นั้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่หนาแน่น นอกจากลูกค้าชาวโมร็อกกันและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินๆ หยุดๆ แล้วก็ยังมีพนักงานขนของที่ใช้ทั้งล่อ ลา หรือแม้กระทั่งม้าตัวเล็กลากเกวียนสวนไปสวนมาอีก แต่ที่น่าอันตรายกว่ายังคงเป็นจักรยานมัฟเฟตและจักรยานยนต์ซึ่งแล่นฉวัดเฉวียนและดูเหมือนจะไม่ยอมลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว
เสียงตะโกนต่อราคา เสียงพูดคุยปะปนไปกับเสียงกระทบกันของสิ่งของต่างๆ เสียงล้อรถเกวียน เสียงเท้าของลา และเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น จนชารีฟผู้ซึ่งชื่นชอบความสงบอดที่จะรู้สึกปวดศีรษะหนึบๆ ไม่ได้
เดินกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่โดยไม่ได้พูดจากันมากนัก นอกจากจะเป็นการบอกทิศทางหรืออธิบายอะไรสั้นๆ ไกด์สาวจำเป็นก็พาลูกทัวร์คนเดียวของเธอทะลุผ่านย่านร้านช่างไม้และย่านช่างตีเหล็กมาถึงนอกซูกซึ่งกลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมือง เสียงจากรอบข้างลดลงจนกลายเป็นเสียงพูดคุยปกติของชาวบ้าน สองข้างทางขนาบไปด้วยร้านขายของชำและบ้านเรือนที่สร้างจากโคลนผสมกับหญ้าฟางแบบโบราณรูปทรงสี่เหลี่ยมธรรมดาเตี้ยๆ ไม่เกินสองชั้นสีชมพูหม่น
พื้นถนนเป็นดินผสมทรายสีน้ำตาลอมแดง มีหลุมบ่อขรุขระ ซึ่งบางแห่งก็มีน้ำขังอยู่เป็นแอ่ง แม้ว่าถนนจะแคบแต่ก็กว้างพอที่รถเพทที่ แท็กซี่ คันเล็กจะแทรกตัวเข้ามาได้ทีละหนึ่งคันอย่างพอดิบพอดี เข้าร่วมการจราจรกับผู้คน ม้า ลา ล่อ เกวียน และเด็กเล็กที่วิ่งเล่นกันเป็นกลุ่มๆ ดูวุ่นวาย สายลมพัดหอบเอาละอองสารพัดชนิดจากรอบข้างคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ฮะจิน่าขยับเดินอย่างอึดอัด รู้สึกถึงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเกาะแน่นอยู่นอกร่มผ้าและเรือนผมร่วมกับเหงื่อจากการออกกำลังกายที่แห้งแล้วปนกับเหงื่อใหม่ที่ไหลออกมาเป็นสายเพราะอากาศรอบตัวอบอ้าว รู้สึกคันยิบไม่สบายตัวเอาเสียเลย
…รู้อย่างนี้อาบน้ำมาซะรอบหนึ่งเสียจะดีกว่า…
บ่นอยู่ในใจอย่างหงุดหงิดแล้วก็ยิ้มออกมาได้เมื่อหันไปมองชายหนุ่มผู้ร่วมทาง บัดนี้ชุดสูทที่เคยเป็นสีเทาเรียบกริบเริ่มมีรอยยับยู่ยี่แถมยังมีสีน้ำตาลอมแดงของฝุ่นเกาะอยู่เป็นหย่อมๆ รองเท้าหนังขัดมันกลายเป็นเคลือบไปด้วยฝุ่นสีเดียวกันกับทางเดินเท้า ดูมอมแมมไปทั้งตัว
…โทรมอย่างนี้แล้วยังหน้าเฉยอยู่ได้อีก เอ้า…เก๊กได้ก็เก๊กไป…
หญิงสาวค่อนคนที่เดินตามด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่บ่นไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียวอย่างหมั่นไส้ในอารมณ์
ลัดเลาะผ่านถนนสายเล็กซึ่งแตกแขนงมากมายอยู่สิบกว่านาทีชารีฟก็สังเกตว่าคนนำทางของเขาเดินวนไปวนมา ดวงหน้าใสที่เริ่มจะขมุกขมอมนั้นมีสีหน้าสับสน คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด มองซ้ายมองขวาอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก
ผ่านไปอีกห้านาทีฮะจิน่าก็พาเขาเดินกลับมามุมตึกที่เดิมอีกครั้ง รอบข้างดูเงียบสงบแทบจะไม่มีคนเดินเสียเท่าไหร่ ไม่มีร้านขายของ มีแต่ตัวบ้านเรือนที่ปิดเงียบ ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีเพียงแต่ชาวพื้นเมืองในชุดจาลาบาอันเป็นชุดประจำชาติของโมร็อกโกเดินกันอยู่ไม่กี่คน
…หรือว่า ไกด์สาวโมร็อกกันคนเก่งจะพาหลงเสียแล้ว…
ขณะที่กำลังจะขยับปากถามนั้นเองก็มีชายหนุ่มชาวโมร็อกกันในชุดจาลาบาสีน้ำตาลเข้มเดินเกร่เข้ามาใกล้ พูดเป็นภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว
“พวกคุณกำลังจะหาทางไปแทนเนอรีส์กันอยู่รึเปล่าครับ”
ชารีฟที่ไม่รู้ว่าฮะจิน่าตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหนหรือว่าแทนเนอรีส์คืออะไรจึงยืนเงียบเฉย ปล่อยหน้าที่การเจรจาให้กับผู้ร่วมทางสาว ซึ่งฝ่ายนั้นก็เพียงแค่สั่นหน้าแล้วก็ฉุดแขนเขาให้เดินจากมาเท่านั้น หนุ่มโมร็อกกันคนนั้นยังคงเดินตามคนทั้งคู่มาอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะเดินกลับไปในซูกก็เลยเดินจากไป
เมื่อลับตาชายหนุ่มแปลกหน้าและมาหยุดยืนอยู่ที่ถนนอีกสายหนึ่งแล้วชารีฟเลยถือโอกาสถามไกด์สาวว่า “ตกลงคุณจะพาผมไปที่ไหนครับเนี่ย”
“ก็แทนเนอรีส์ (Tanneries) นั่นละค่ะ”
“อ้าว…แล้วตอนที่คนเมื่อตะกี้ถาม…”
“ฉันคิดว่าเขาเป็นไกด์ผีน่ะสิคะ เขานำทางแล้วคุณจะต้องจ่ายเงินนะคะ แล้วเขาจะพาไปไหนก็ไม่รู้ ในซูกกับละแวกนี้มันเดินยาก ขนาดคนโมร็อกกันเองที่ไม่ได้เดินบ่อยๆ ยังหลง”
“อ้อ…แล้วคุณจะเอายังไงต่อไป”
ฮะจิน่าถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง รู้สึกโกรธตัวเองอยู่นิดๆ ที่ดันเดินหลงเข้าจนได้ เธอเคยไปที่แทนเนอรีส์เพียงสองครั้งเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็ใช้ทางเข้าอีกทางซึ่งใกล้กว่าการเดินจากซูกมากนัก นึกๆ แล้วก็น่าเตะตัวเองเหมือนกันที่อยากแกล้งชารีฟจนเสียฟอร์มอย่างนี้ หญิงสาวหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า “ก็เดินกลับไปทางเดิมนั่นละค่ะ ถ้าเจอคนมาถามอย่างนั้นแปลว่าคงใกล้ถึงแล้วละ”
ว่าแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงให้เดินต่อ ซึ่งชารีฟก็ทำตามแต่โดยดี
พอกลับมาถึงจุดเดิมแล้วฮะจิน่าก็เลือกทางเดินสายหนึ่งสุ่มเดินต่อไป ดวงตาสีน้ำตาลคอยมองซ้ายขวา ริมฝีปากเม้มแน่น ในขณะที่กำลังคิดว่าจะหยุดถามทางใครดีหรือเปล่าลูกทัวร์ของเธอก็ถามขึ้น
“แทนเนอรีส์มันคืออะไรหรือครับ”
“คุณรู้ใช่ไหมคะว่าสินค้าขึ้นชื่อของมาร์ราเคชมีเครื่องหนังรวมอยู่ในนั้นด้วย”
เมื่อเห็นเขาพยักหน้า หญิงสาวจึงหันมาอธิบายต่อว่า “แทนเนอรีส์ก็คือที่ทำงานของคนงานที่เตรียมหนังสัตว์ไงคะ ถ้าคุณอยากรู้เกี่ยวกับมาร์ราเคชต้องพลาดไม่ได้จริงไหมคะ”
ถามอย่างนี้แล้วเขาจะตอบอะไรได้นอกจาก “ครับ…จริงครับ”
ขยับกันไปได้อีกไม่กี่ก้าวก็มีหนุ่มโมร็อกกันในชุดกางเกงยีนเสื้อหนังดูทันสมัยเดินเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยคำถามที่ไม่ต่างไปจากหนุ่มแปลกหน้าคนที่แล้ว
“คุณจะไปแทนเนอรีส์ใช่ไหมล่ะ”
เมื่อฮะจิน่าขยับจะเดินไปอีกทางเขาก็ดักคอขึ้นว่า “อย่าเพิ่งหนีสิครับ ผมไม่ใช่นายหน้าหรอกน่า ไม่เอาเงินของคุณหรอก พอดีผมทำงานอยู่แถวนี้”
แม้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบ เขาก็ยังคงบอกเล่าต่อไปว่า “ถ้าคุณจะไปแทนเนอรีส์น่ะก็เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวขวาก็ถึงแล้วละ” ว่าแล้วก็ขยับเดินขึ้นไปข้างหน้าทำเหมือนไม่สนใจคนทั้งคู่อีกต่อไป
ฮะจิน่าก้มลงมองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กแล้วก็สะบัดทิ้งแขนลงอย่างขัดใจ ห้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว ไม่มีเวลาเถลไถลอีก เพราะเธอและเขาต้องรับประทานอาหารเย็นกับคุณพ่อของเธอตอนหกโมงครึ่ง คิดได้ดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจเดินตามชายหนุ่มเสื้อหนังนั้นไป
“คราวนี้มั่นใจหรือครับว่าเขาไม่ใช่นายหน้า” ชารีฟเอ่ยถาม
“มั่นใจมากค่ะ” คนที่เดินอยู่ข้างๆ ตอบก่อนจะเสริมต่อให้จบประโยคหน้าตาเฉยว่า “มั่นใจว่าเขาเป็นนายหน้าแน่ๆ แต่ว่าเราไม่มีเวลาแล้ว ค่อยเอาตัวรอดทีหลังก็แล้วกันค่ะ”
คนพูดดูเหมือนจะสบายใจเหลือเกิน หากคนฟังแทบจะสำลักเลยเชียว
อีกไม่ถึงห้านาทีต่อมาชายหนุ่มเสื้อหนังก็เดินย้อนกลับลงมาคุยกับคนทั้งสองพร้อมกับชี้มือไปทางขวา แล้วก็เดินนำเข้าไปด้านใน เขาจับมือกับชายหนุ่มอีกคนในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตเป็นการทักทายแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ ‘เหยื่อ’ ที่เขาพามาอยู่ในกำมือของเพื่อนร่วมงาน
ฮะจิน่ามองดูการกระทำนั้นด้วยอาการปากยื่นเล็กๆ อย่างไม่พอใจ…นึกอยู่แล้วเชียว เธอพาชารีฟเข้ามาติดกับจนได้…แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ยังไงก็มาถึงที่จนได้ละน่า
พอหนุ่มเสื้อหนังลับหายไปจากสายตาแล้ว หนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตก็หันมาสนใจกับแขกตรงหน้าทันที
“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่แทนเนอรีส์ของเรา ผมมะเหม็ดจะพาคุณชมที่นี่เอง” พูดจบก็ยื่นใบมิ้นต์หนึ่งกำมือใหญ่ให้หญิงสาว ทำสัญญาณเป็นเชิงว่าให้แบ่งกัน หากฮะจิน่าก็ถือเก็บเอาไว้ทั้งกำหน้าตาเฉย
“เชิญครับ” มะเหม็ดผายมือก่อนจะเดินนำขึ้นไปข้างหน้าโดยมีหนุ่มสาวทั้งสองเดินตามอยู่เบื้องหลัง
ผ่านจากทางเข้าที่ดูเหมือนเป็นปากซอยขนาดเล็กเข้าไปแล้วเป็นพื้นที่กว้าง มีบ่อซีเมนต์ขนาดต่างๆ เรียงรายกันอยู่เป็นแถว ภายในมีของเหลวสีต่างๆ กัน บางบ่อก็มีใบปาล์มที่ถูกเย็บเรียงเป็นตับปิดเอาไว้ ถัดเข้าไปด้านในมีหนังสัตว์ ส่วนมากเป็นหนังแกะและหนังวัวที่เพิ่งถูกเลาะมาวางกระจัดกระจายอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ แพะสามสี่ตัวเดินอยู่ตามขอบบ่อโดยไม่มีเชือกล่าม
สิ่งแรกที่ปะทะกับชารีฟเข้าจังเบ้อเร่อคือกลิ่นเน่าเหม็นอย่างที่ไม่เคยได้สูดดมที่ไหนมาก่อนปะปนกับอากาศที่สูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่โดยไม่รู้ตัวจนชายหนุ่มรู้สึกคลื่นเหียนจนแทบจะอาเจียน หันไปมองคนนำทางก็เห็นมะเหม็ดทำหน้าเฉยๆ คงจะชินกลิ่นจนจมูกด้านไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาจมูกเกิดวิปริตอยู่คนเดียวหรอก เพราะสาวน้อยคนที่ยืนอยู่เคียงกันก็กำลังเอาใบมิ้นต์ทั้งกำปิดจมูกแน่น ดวงหน้าสวยนั้นเหยเกเล็กน้อย
ชารีฟพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกให้น้อยที่สุด แม้ว่าจะพยายามใช้ปากหายใจแทนแต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าได้กลืนกลิ่นเน่าคาวลงไปในลำคอ โดยเฉพาะเมื่อยิ่งมองไปเห็นเนื้อเน่าติดหนังสัตว์กองอยู่ไม่ไกลนักมีแมลงวันตอมอยู่ฝูงใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวและแสงอาทิตย์ยิ่งทำให้กลิ่นอบอวลคละคลุ้ง
เข้าไปข้างในลึกพอสมควรมะเหม็ดก็หยุดเดินแล้วหันมายิ้มยิงฟันก่อนจะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ สำเนียงแขกเร็วปรื๋อจนฟังแทบไม่ทัน ชารีฟอยากจะบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นภาษาอารบิกแทนนัก แต่ก็ไม่อยากจะอ้าปากพูดอะไรออกมา
“ที่นี่เรารับทั้งขนสัตว์ที่เลาะออกมาแล้วและสัตว์ที่เพิ่งตายใหม่ๆ พอได้ขนสัตว์มาแล้วก็ต้องเอามาแช่น้ำยาและขัดถูด้วยอึของนกพิราบ”
เมื่อเห็นผู้ชมหนุ่มทำหน้าสงสัยมะเหม็ดก็พยักหน้าย้ำ “ครับ อึของนกพิราบมันจะทำให้เนื้อหลุดออกมาได้สะอาดและส่วนหนังก็จะนุ่มด้วย…เสร็จแล้วก็จะต้องเอามาแช่น้ำยาต่อและย้อมสี สีที่เราใช้เป็นสีธรรมชาติ อย่างสีฟ้าก็ใช้อินดิโก้ (Indigo) สีเหลืองใช้ซัฟฟรอน (Suffron) เป็นต้น”
ชารีฟฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะสะดุดตั้งแต่คำว่า ‘อึนกพิราบ’ แล้ว…งั้นเจ้ากลิ่นรุนแรงร้ายกาจนี่ก็คงจะเป็นผลจากการผสมกันระหว่างเนื้อเน่ากับมูลนกสินะ ให้ตายสิ…
พอมะเหม็ดบรรยายจบแล้วฮะจิน่าก็ถลาออกนอกบริเวณที่ทำงานก่อนเป็นคนแรกโดยมีชารีฟเร่งฝีเท้าตามออกมาด้วย มะเหม็ดรีบตามมาติดๆ เพื่อต้อน ‘แขก’ ของเขาเข้าร้านขายของที่อยู่ติดกันทันที
สองหนุ่มสาวที่ยังเบลอๆ จากกลิ่นเดินเข้าไปในร้านที่ภายในมีพรมหลากสีหลายขนาดวางเรียงอยู่เป็นตับและเสื้อหนังแขวนอยู่เป็นแถวโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากเมื่อประตูปิดลงฮะจิน่าก็หันมายิ้มให้กับชารีฟแหยๆ
เขาจึงเลิกคิ้วคล้ายกับถามว่า ‘ติดกับเข้าเต็มเปาสินะ’
พอเห็นอย่างนั้นเข้าหญิงสาวก็ฮึดขึ้นหันไปพูดกับเจ้าของร้านด้วยภาษาฝรั่งเศสเป็นชุดว่า “ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาซื้อของเลยไม่ได้พกเงินมาในวันนี้ แล้วก็ยังต้องรีบกลับอีกด้วย” หากการเจรจายืดเยื้ออยู่นานกว่าสิบนาทีเพราะเจ้าของร้านพยายามหว่านล้อมให้เลือกสินค้า วางมัดจำเอาไว้ และเขาจะเอาไปส่งให้ที่โรงแรมพร้อมกับไปเก็บเงินที่เหลือเอาก็ได้
ชารีฟเห็นท่าว่าเรื่องคงจะไม่จบลงง่ายๆ เขาจึงเดินไปดึงแขนฮะจิน่า เอ่ยคำลาสั้นๆ พร้อมกับพาร่างบางเดินออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียงเรียกอย่างไม่พอใจของคนในร้านอีกเลย
เดินห่างจากร้านไปได้ไม่ถึงสิบก้าวมะเหม็ดกับเด็กหนุ่มในร้านอีกคนก็วิ่งเข้ามาหาชารีฟพร้อมกับร้องโวยวาย
“คุณต้องให้เงินผมนะ เพราะผมพาคุณเดินชมแถมยังอธิบายให้ฟังอีก”
ชารีฟจึงหันไปมองฮะจิน่าเป็นเชิงปรึกษา หากฝ่ายนั้นลอยหน้าลอยตาหันไปมองข้างทางโดยไม่สนใจอะไรอีกเหมือนจะปล่อยให้เขาตัดสินใจแต่เพียงลำพัง เห็นท่าทางกวนๆ อย่างนี้ของหญิงสาวแล้วอะไรบางอย่างจึงทำให้เขาบอกกับชายหนุ่มสองคนนั้นว่า “ผมไม่มีเงินหรอกครับ ทุกอย่างอยู่ที่คุณผู้หญิง”
พูดจบแล้วก็เดินเอามือไขว้หลังจากมาหน้าตาเฉย ปล่อยให้ฮะจิน่าถูกรุมขอเงินอยู่ตามลำพังโดยไม่หันไปมองอีก หากยังคงคอยฟังเสียงใสๆ นั้นต่อรองกับคนจากแทนเนอรีส์ยาวเหยียดเป็นชุดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนที่ร่างบางนั้นจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วกำปั้นเล็กๆ ก็ทุบไหล่ของเขาเข้าเต็มแรง
“คุณแกล้งฉันนี่นา”
ชารีฟจับข้อมือเล็กบางเอาไว้มั่น หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ผมแกล้งคุณยังไงกันล่ะครับ”
“คุณโกหกว่าไม่มีเงิน ปล่อยให้ฉันผจญอยู่กับสองคนนั่นคนเดียว ไหนว่าไม่ชอบเล่นละครไงคะคุณชารีฟ”
ชายหนุ่มหัวเราะอยู่ในลำคอนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมไม่ได้เล่นละครหรอกครับคุณฮะจิน่า คุณลืมไปแล้วล่ะมั้ง ตั้งแต่มาถึงมาร์ราเคชนี่ผมยังไม่ได้แลกเงินเลย เพราะฉะนั้นผมจะมีเงินได้ยังไงกันล่ะครับ”
โดนโต้กลับมาอย่างนี้ฮะจิน่าก็ชะงักกึก นึกขึ้นได้ว่าตัวเธอเองนั่นแหละที่บอกเขาว่าไม่ต้องแลกเงิน…โธ่เอ๊ย ถ้ารู้ว่าจะมาเป็นอย่างนี้ล่ะก็เมื่อคืนที่สนามบินจะยอมยืนรอสักยี่สิบนาที…ครึ่งชั่วโมงก็ได้ เอ้า…หากแต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“อย่างนั้นก็ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่าฉันลืมเองก็แล้วกัน” เธอว่าอย่างตัดใจก่อนจะยิ้มมุมปากพูดต่อว่า “…ว่าแต่ว่า คุณว่าคุณอยากรู้เกี่ยวกับมาร์ราเคช วันนี้ฉันก็พาคุณมาดูถึงรากฐานเลยนะคะ แหม…เกือบจะหกโมงพอดี ได้เห็นอย่างนี้แล้วคุณคงจะสมใจอยากและรับประทานอาหารเย็นได้คล่องคอดีนะคะ”
จบประโยคแล้วคนพูดก็ส่งใบมิ้นต์ทั้งกำที่ยังถืออยู่ในมือให้กับชายหนุ่มด้วยท่าทีกรีดกราย
ชารีฟมองคนที่เงยหน้า ตาเป็นประกาย จมูกเชิด ยิ้มตาหยีด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ดวงหน้าใสนั้นดูยียวนกวนประสาทสะกิดหัวใจอย่างไรชอบกล อารมณ์บางอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้ลึกอยู่ในหัวใจคล้ายจะค่อยๆ ลอยขึ้นมา ทำให้เขาบอกกับตัวเองว่า…อย่าให้ถึงทีบ้างก็แล้วกัน
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.