บทที่ 1
เวลาสิบห้านาฬิกาสิบห้านาทีของวันธรรมดาวันหนึ่งภายในธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก พนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์สามคนกำลังวุ่นวายกับลูกค้าและเอกสารทางการเงินซึ่งคั่งค้างอยู่ตั้งแต่ช่วงเช้า จึงไม่มีใครว่างพอที่จะเงยหน้าขึ้นมาดูเหตุการณ์รอบตัว ส่วนผู้จัดการสาขากับผู้ช่วยต่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนโดยมีพาร์ทิชั่นกระจกกั้นไว้เป็นห้องทำงานขนาดเล็กตรงด้านข้างเคาน์เตอร์บริการ ห้องเล็กๆ นั่นไม่มีประตูเพราะต้องการให้ลูกค้าสามารถเข้าไปติดต่อได้สะดวก และส่วนแม่บ้านวัยห้าสิบปีก็กำลังเช็ดกระจกหน้าห้องทำงานอย่างอารมณ์ดี
ลูกค้าชายในชุดกางเกงยีนแบบฟิตพอดีตัวกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตเดินเข้ามาในธนาคารโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูกระจกให้ เขาก้มศีรษะนิดๆ พร้อมกับชูซองสีน้ำตาลในมือ รปภ. ส่งยิ้มให้อย่างสุภาพก่อนผายมือให้เขา
“เชิญครับ”
ชายคนนั้นเดินเลี้ยวไปที่ฝั่งซ้ายมือของธนาคารซึ่งเป็นสแตนด์วางเอกสารสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินกับปากกาไว้อำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า เขาหยิบใบรับฝากเงินขึ้นมาเพื่อกรอก แต่ในระหว่างนั้นมีสายเข้ามาพอดี ความสนใจของเขาจึงเบนไปที่โทรศัพท์มือถือของตน
ผ่านไปอีกราวห้านาทีสุภาพสตรีท่านหนึ่งก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากเสียงอัตโนมัติขานเรียกลำดับหมายเลขซึ่งเป็นคิวของเธอ เมื่อไปถึงหน้าเคาน์เตอร์เธอยื่นสมุดบัญชีซึ่งมีสภาพเยินมากเล่มหนึ่งไปตรงหน้าพนักงาน
“คุณต้องการทำธุรกรรมอะไรคะ” พนักงานหญิงถามในขณะที่หยิบสมุดบัญชีเล่มนั้นขึ้นมาดู
“คือมันเป็นสมุดบัญชีของแม่ฉันน่ะค่ะ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ฉันอยากจะถอนเงินในบัญชีนี้ออกมา”
“สักครู่นะคะ” พนักงานคนนั้นเปิดสมุดบัญชีเพื่อดูเลขที่บัญชี เธอคีย์หมายเลขบัญชีลงไปในคอมพิวเตอร์ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น “คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ”
“ทำไมคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“เอ่อ มีนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวต้องเรียกผู้จัดการมาดูหน่อยนะคะ รอสักครู่ค่ะ”
พนักงานหญิงยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการสาขา เธอเชิญเขาออกมาจากห้องทำงาน สุภาพสตรีท่านนั้นยืนรอ ขณะนั้นเสียงอัตโนมัติเรียกลูกค้าหมายเลขต่อไปให้มารับบริการที่เคาน์เตอร์ข้างๆ ในจังหวะเดียวกันผู้จัดการสาขาก็มาถึงหลังเคาน์เตอร์พอดี
“ผู้จัดการคะ ช่วยดูบัญชีนี้หน่อยค่ะ”
“ไหน มีอะไร”
ตอนนั้นเองที่วัตถุสีดำขนาดเหมาะมือถูกดึงออกมาจากซองกระดาษสีน้ำตาล พนักงานหญิงร่างอ้วนซึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์สะดุ้งสุดตัวก่อนจะถีบเก้าอี้ที่มีล้อของตนให้เลื่อนไปทางด้านหลัง
“ห้ามเคลื่อนไหว! ใครขยับ กูยิง”
“ว้าย…ปืน!”
เสียงกรีดร้องของพนักงานหญิงอีกคนดังขึ้นทันที
…ปัง!…
“ปิดไฟ!”
คำสั่งนั้นดังสะท้อนทั่วห้อง มันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าคนที่มีเจตนาร้ายไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง ดวงไฟในธนาคารถูกปิดลงทีละดวง แม้แสงจากด้านนอกที่ส่งผ่านผนังกระจกใสเข้ามาจะยังมีอยู่ แต่บรรยากาศภายในกลับให้ความรู้สึกวังเวงและน่ากลัว นั่นเป็นเพราะไม่มีใครในธนาคารรู้ว่าพวกมันจะทำอะไรต่อไป
เสียงร้องครางดังขึ้น กระสุนเมื่อครู่เฉี่ยวไปที่แขนของพนักงานสาวคนที่เพิ่งเรียกให้ผู้จัดการสาขาออกมาจากห้อง อานุภาพของมันทำให้เกิดรอยแผลฉีกขาดและเลือดก็ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
ขณะนี้ทุกคนอาศัยแสงที่ลอดผ่านสติ๊กเกอร์ปิดกระจกธนาคารและแสงสว่างจากโทรทัศน์สองเครื่องซึ่งห้อยอยู่บนเพดานเป็นเครื่องช่วยสังเกตเหตุการณ์รอบตัว แล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นในนาทีต่อมา ลูกค้าของธนาคารวิ่งไปคนละทิศละทาง ชายร่างผอมคนหนึ่งซึ่งไม่พยายามปิดบังใบหน้าเดินไปที่หน้าประตูกระจกก่อนจะชูมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
…ปัง!..
กระสุนนัดที่สองถูกยิงไปฝังอยู่บนเพดานห้อง มันทำให้ทุกคนที่วิ่งไปมาหยุดเคลื่อนไหวแล้วนั่งลงกับพื้น หลายคนขดตัวแน่นเพื่อให้เหลือพื้นที่สำหรับเป็นเป้าน้อยที่สุด แม่บ้านของธนาคารซุกตัวหลบอยู่ใต้สแตนด์วางใบรับฝากและถอนเงิน ตัวของเธอสั่นเทา สายตาเหลือบไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งมีอายุไม่ห่างกันนัก แต่เขาคงช่วยเธอไม่ได้เพราะมีเพียงแค่กระบองไม้ธรรมดาๆ เท่านั้น
…ปัง!…
กระสุนอีกนัดถูกยิงโดยชายสวมเสื้อสก็อตซึ่งยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ตอนนี้ทุกชีวิตภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่มีใครขยับ มีเพียงเสียงครางอย่างเจ็บปวดของคนที่ถูกยิงดังขึ้นเบาๆ เท่านั้น เขาออกคำสั่งอีกครั้ง
“อย่าคิดจะกดปุ่มเรียกเพื่อนนะมึง คราวนี้กูไม่ยิงแขนนะ กูยิงหัว”
แววตาเหมือนกระต่ายที่กำลังตื่นกลัวของพนักงานหญิงสามคนกับผู้จัดการสาขาอีกหนึ่งซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ แทนคำตอบได้ว่าไม่มีใครคิดจะต่อกรกับมัน คนที่กำลังบาดเจ็บใช้มือข้างขวากุมบาดแผลของตัวเองไว้ น้ำตาไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าที่ถูกตกแต่งไว้อย่างประณีต
ชายร่างผอมซึ่งเป็นผู้ยิงปืนนัดที่สองตะโกนเสียงดัง “ออกมานั่งรวมกันบนเก้าอี้ เร็ว!”
เขาส่ายปืนไปมาทั่วทั้งห้องอย่างน่ากลัว ผู้จัดการสาขากับพนักงานซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ประคองเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บออกมารวมตัวกับผู้ช่วยที่เพิ่งถูกมือปืนร่างผอมต้อนออกมาจากห้องทำงาน ขณะนี้ลูกค้า พนักงาน แม่บ้าน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างนั่งเบียดกันบนเก้าอี้สามแถวซึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับนั่งรอทำธุรกรรม ชายร่างผอมนับจำนวนคนทั้งหมด
“โหลนึงพอดีพี่”
“อื้ม…” คนตัวสูงกว่าที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ตอบรับแล้วออกคำสั่งต่อ “เก็บของมีค่าด้วย”
“จ้ะ” คนรับคำสั่งดึงถุงผ้าใบไม่ใหญ่นักออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วเดินไปหากลุ่มตัวประกัน “เอาโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าทั้งหมดใส่ในนี้ เร็ว!”
มันยื่นถุงผ้าให้ลูกค้าคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดแล้วถอยออกมาคุมเชิง ก่อนจะโยนเป้ไปให้คนที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ปืนในมือยังคงเล็งไปที่กลุ่มตัวประกัน ชายสวมเสื้อสก็อตเอาเท้าเขี่ยให้เป้เข้ามาอยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วออกคำสั่ง
“ผู้จัดการมานี่”
ผู้จัดการสาขาร่างอวบอายุประมาณห้าสิบปีเศษดูท่าทางหวาดกลัว เขาน่าจะมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแล คงไม่อยากทำตัวเป็นฮีโร่เพื่อที่จะถูกยิงตายตอนนี้
“เร็ว!”
เสียงกระตุ้นเตือนทำให้ผู้จัดการสาขาลุกจากเก้าอี้ช้าๆ แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปหาคนเรียก
“เข้าไปหยิบเงินสดทั้งหมดที่มีใส่ถุงไว้”
ผู้จัดการสาขาเหลือบตาขึ้นมามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังเคาน์เตอร์ ปืนที่มือชายคนสั่งยังชี้มาทางเขาอยู่
คนร้ายอีกคนดูตื่นกลัวขึ้นมาหลังจากที่มองผ่านกระจกซึ่งมีสติกเกอร์โฆษณาผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารออกไปด้านนอก
“พี่!…ท่าทางพ่อจะมาแล้ว!”
เขาเห็นกลุ่มคนกำลังเคลื่อนไหวด้วยท่าทีน่าสงสัย แต่ก็ยังไม่มีใครขยับเข้ามาใกล้กระจกของธนาคารจนน่าวิตก
“ให้ รปภ.ล็อกประตูแล้วหาอะไรมาบังไว้”
“จ้ะ…เอ้า ลุง รปภ. มานี่ มาช่วยทำงานหน่อย”
คนถูกเรียกขาสั่นพั่บๆ กว่าจะประคองตัวลุกขึ้นได้ก็ใช้เวลาพอสมควรจนคนรอชักหงุดหงิด จึงรีบเดินเข้าไปกระชากแขนให้เดินเร็วขึ้น
“ล็อกประตูแล้วช่วยลากชั้นมาขวางไว้ด้วย”
ประตูถูกใส่กุญแจจากทางด้านใน แล้วคนทั้งคู่ก็ช่วยกันลากชั้นวางหนังสือที่ทำด้วยพลาสติกใสอย่างหนามากั้นประตูไว้ หนังสือและเอกสารทางการเงินซึ่งเคยวางอยู่บนชั้นปลิวลงพื้นไปหลายชิ้น คนที่เหลืออยู่บนเก้าอี้ต่างหันมองความเคลื่อนไหวทั้งทางหน้าเคาน์เตอร์และตรงประตูสลับกันไปมา ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นสู้หรือสอบถามอะไรเพิ่มเติม
ชายที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์หยิบกระเป๋าเป้ตรงปลายเท้าขึ้นมาแล้วล้วงมือเข้าไปค้นหาหมวกแก๊ปมาสวมไว้ แต่สายตายังไม่ละจากผู้จัดการที่กำลังเก็บเงินในลิ้นชักเข้าถุงผ้าสีน้ำตาลของธนาคาร
“เร็วๆ หน่อย เอาแต่แบงก์ เหรียญไม่ต้อง…หนัก”
เขาสั่งอย่างใจเย็นแล้วหยิบหมวกอีกใบขว้างข้ามห้องไปให้เพื่อนสวม
“อีกสิบนาทีกูจะออกไปจากที่นี่ ถ้าไม่อยากให้มีคนเจ็บเพิ่มก็อย่าคิดต่อสู้ เงินพวกนี้ไม่ใช่เงินของพวกมึง ไม่ต้องคิดจะรักษาไว้ให้เจ้าของธนาคาร เพราะถ้าพวกมึงตาย สุดท้ายญาติมึงก็จะได้แค่ค่าทำศพกับพวงหรีดจากมัน”
เขากวาดตามองทุกคนในธนาคาร ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครสักคนที่คิดต่อสู้กับเขา
เสียงสัญญาณดังเข้าเครื่องโทรศัพท์รับสายด่วน เจ้าหน้าที่หญิงหาวหวอดก่อนจะรับสายด้วยน้ำเสียงไม่สดชื่นนัก
“911 ค่ะ มีเรื่องด่วนอะไรให้ช่วยเหลือคะ”
“ผมได้ยินเสียงเหมือนปืน แต่ก็ยังเถียงกันอยู่ บางคนบอกว่าไม่น่าใช่ปืน มันดังสองสามนัดครับ” ปลายสายพูดอย่างร้อนรน
“แล้วตกลงมันใช่เสียงปืนไหมคะ”
“ผมจะรู้ไหมเนี่ย คุณก็ส่งตำรวจมาสิ”
“เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหนคะ”
พนักงานยังไม่รู้สึกตื่นเต้นนัก เพราะวันหนึ่งๆ มีสายด่วนเข้ามาเป็นร้อยเป็นพันสาย และหลายสายในนั้นมักเป็นเรื่องไม่จริง หน้าที่ของเธอนอกจากจะรับเรื่องราวร้องทุกข์แล้ว ยังต้องประเมินเหตุการณ์เบื้องต้นด้วยว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นข่าวลวงหรือไม่ เพราะถ้าหากเชื่อทุกเรื่อง เธอก็จะโดนหน่วยปฏิบัติการภาคสนามตำหนิมาได้ว่าสิ่งที่เธอแจ้งไปนั้นทำให้พวกเขาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“มันน่าจะดังมาจากในธนาคาร”
“ธนาคารไหนคะ สาขาอะไร กรุณาแจ้งพิกัดด้วยค่ะ”
“ธนาคารทวีสินทรัพย์ สาขาหน้าโรงเรียนอนุบาลลูกขวัญครับ พวกคุณช่วยส่งตำรวจมาดูหน่อยได้ไหม ตอนนี้ประตูธนาคารปิดเงียบเลย ไม่มีคนกล้าเข้าไปดูใกล้ๆ และโรงเรียนก็กำลังจะเลิกแล้วด้วย”
“เดี๋ยวค่ะ ใจเย็นๆ นะคะ ดิฉันต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ คุณบอกว่าได้ยินเสียงปืน…เวลาประมาณเท่าไรคะ”
“สักห้านาทีที่แล้ว นี่ผมก็กดโทรศัพท์มือแทบหงิกเลยกว่าจะติด”
“แล้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในละแวกนั้นมายังสถานที่เกิดเหตุรึยังคะ”
“ยังครับ อ้าว ผมแจ้งคุณ คุณต้องเป็นคนตรวจสอบสิ”
“ก็แค่ถามดูน่ะค่ะ” เสียงของเธอเริ่มสะบัด “คุณชื่ออะไรคะ”
“จะถามชื่อผมทำไมเนี่ย”
“มันเป็นขั้นตอนของการแจ้งเหตุค่ะ ดิฉันจำเป็นต้องถามเพื่อจะได้ตรวจสอบความถูกต้อง ถ้าเกิดเป็นพวกชอบแกล้งตำรวจโทรมา เราจะได้ตามตัวถูก”
“โอ๊ย จะบ้าตาย อยากเป็นพลเมืองดีโทรมาแจ้งความแต่ดันถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เอางี้นะคุณ…ข้างในนั้นน่ะไม่มีญาติผมสักคน พวกเขาจะเป็นจะตายผมต้องสนใจไหม คุณน่ะชื่ออะไร บอกมาดีกว่า ผมจะได้โทรไปร้องเรียนกับสื่อว่าเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องทุกข์ไม่ได้ช่วยให้สังคมมีความปลอดภัยขึ้นเลย”
เจ้าหน้าที่หญิงพยายามควบคุมสติ เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออกมาก่อนตอบ “เอาล่ะค่ะ ดิฉันจะส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ธนาคารทวีสินทรัพย์ สาขาหน้าโรงเรียนอนุบาลลูกขวัญนะคะ”
“ดีครับ”
ปลายสายวางหูไปแล้วด้วยความฉุน เจ้าหน้าที่หญิงพิมพ์ข้อความลงในโปรแกรมแจ้งเหตุของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามากับรายละเอียดการแจ้งความถูกส่งเข้าไปในระบบ ตอนนี้ก็แค่รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา
“โทรมาสิๆ มีไหม มีใครอยู่แถวนั้นไหม”
มีเสียงตอบรับจากวิทยุในรถสายตรวจดังเข้ามา เขาแจ้งหมายเลขประจำตัวของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่หญิงสามารถเห็นรูปถ่าย ชื่อ-นามสกุล ยศ และสังกัดของเขาได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทันที
“รับทราบการแจ้งเหตุครับ ผมอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่รถติดมากเลยตอนนี้”
“ค่ะ พลเมืองดีบอกว่าเมื่อประมาณห้านาทีที่แล้วได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้นสองหรือสามนัด สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นภายในธนาคารนะคะ ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุเลยค่ะ”
“ครับ ผมกำลังไปครับ”
ทั้งต้นสายและปลายสายวางหูลงเกือบจะพร้อมกัน หน้าที่ของเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายก็หมดเพียงเท่านี้ ต่อไปเธอก็แค่นั่งรอสายเรียกเข้าสายต่อไป
“น้ำหนักกำลังพอดี”
ชายสวมเสื้อสก็อตพูดกับถุงใส่เงินที่เพิ่งรับมาจากผู้จัดการสาขา เขาแบกมันไว้บนหัวไหล่แล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้จัดการสาขาไปนั่งรวมกับตัวประกันคนอื่น ส่วนชายอีกคนยังยืนควบคุมสถานการณ์อยู่หน้าประตูเหมือนเดิม ตอนนี้เขามีถุงผ้าซึ่งใส่ของมีค่าของทุกคนไว้ด้วย
เวลาผ่านมาสิบนาทีอย่างที่พวกคนร้ายบอกไว้แล้ว อาการบาดเจ็บของพนักงานธนาคารดูจะไม่ค่อยดีนัก แม้เพื่อนของเธอจะดึงเอาผ้าพันคอของตนมารัดบาดแผลเพื่อห้ามเลือดไว้แล้ว แต่เลือดก็ยังไม่หยุดไหล ขณะนี้พื้นห้องจึงมีหยดเลือดเปรอะเปื้อนตามทางที่คนเจ็บถูกพาออกมาจากทางด้านหลังเคาน์เตอร์
ในห้องที่ค่อนข้างสลัว ร่างของสองคนร้ายดูจะน่าเกรงขามขึ้น ตัวประกันต่างหลบสายตาพวกเขา บางคนนั่งคู้ตัวและก้มศีรษะแนบหัวเข่า ชายคนที่รูปร่างใหญ่กว่ายื่นของสิ่งหนึ่งให้เพื่อนของมัน ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรจนกระทั่ง…
“จับคู่เต้นรำกันหน่อย”
คำพูดของมันทำให้คนทั้งห้องร้องครางด้วยความหวาดกลัว ทุกคนหันรีหันขวาง ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด เสียงโลหะกระทบกันดังกริ๊กๆ อยู่ในมือของคนร้ายที่ยืนอยู่หน้าประตู มันเข้ามาทางด้านหลังลูกค้าชายสูงอายุคนหนึ่งแล้วดึงแขนข้างขวาของเขาขึ้นมา
“อย่า…” ชายสูงอายุคนนั้นร้องโหยหวน
“ไม่ต้องตกใจลุง แค่ขำๆ น่า”
กุญแจมือถูกล็อกเข้ากับข้อมือข้างนั้น ส่วนอีกห่วงแทนที่จะคล้องไว้ที่มืออีกข้าง คนร้ายกลับเลือกล็อกที่ข้อเท้าข้างหนึ่งของแม่บ้านแทน
“จะทำอะไรฉัน…” แม่บ้านเริ่มร้องไห้
“ใจเย็นๆ แค่จะทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครตามพวกกูไป”
คนร้ายทำงานของมันอย่างใจเย็นโดยการจับคู่ตัวประกันให้ข้อมือของคนหนึ่งผูกติดไว้กับขาของอีกคนหนึ่งจนครบห้าคู่ เหลืออีกคู่เดียวเท่านั้น…
“กูจะไปแล้ว แต่กูจำเป็นต้องเอาใครบางคนไปด้วยเผื่อตำรวจตามมา”
คนเป็นหัวหน้าพูด สายตามันกวาดไปที่สุภาพสตรีวัยยี่สิบต้นๆ ซึ่งอยู่ใกล้มันมากที่สุด เธอผมสั้น แต่งตัวเรียบหรูเกินอายุ ใส่ชุดแซกยาวครึ่งน่อง แต่งหน้าทาปากสีแดง สวมรองเท้าหุ้มส้น และมีกระเป๋าหนังคล้องแขนอยู่ ตอนนี้ทั้งมือและเท้าของเธอยังเป็นอิสระไม่ได้ถูกคล้องกุญแจมือไว้ ท่าทางของเธอดูตื่นตกใจ เธอเขยิบเข้าไปชิดผู้จัดการสาขาซึ่งเป็นอีกคนที่ยังไม่ถูกพันธนาการ
“นายไปเถอะ ทิ้งพวกเราไว้ในนี้ ไม่มีใครตามนายออกไปหรอก ฉันรับรอง”
ผู้จัดการสาขายืนยันกับคนร้ายสวมเสื้อสก็อตอย่างหนักแน่น แต่มันส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีมิตรในสนามรบหรอก” คนร้ายจ้องหน้าสุภาพสตรีท่านนั้น “ไปกับฉัน”
“มะ…ไม่ ไม่ ฉันไม่ไป”
“ไป!”
คนร้ายฉุดข้อศอกของเธอให้ยืนขึ้น ผู้จัดการสาขาผวาตามไปด้วย ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ทั้งกล้าทั้งกลัว
“อะ…เอาฉันไปแทน”
“แกเดินช้า”
มันบอกสั้นๆ แล้วเอาแขนข้างซ้ายล็อกคอสุภาพสตรีคนนั้นไว้จากทางด้านหลัง ตัวประกันทุกคนเห็นสีหน้าซีดเผือดและปากคอสั่นของเธอได้ชัดเจน แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นไปช่วย คนร้ายอีกคนก็กำลังจะรวบมือของผู้จัดการสาขาเพื่อตรึงไว้กับเก้าอี้ แต่ในระหว่างนั้นก็มีเสียงจากโทรโข่งดังขึ้น…
“นี่เสียงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีใครอยู่ในนั้นบ้าง”
“เฮ้ย! มาตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“ฉิบหายแล้ว ต้องรีบออกไป เร็ว!” คนที่คุมตัวสุภาพสตรีไว้พูดขึ้น
บริเวณหน้าธนาคาร รถจักรยานยนต์ถูกเคลียร์ออกไปจากบริเวณหน้ากระจกโดยไม่ให้คนในนั้นสังเกตเห็นความผิดปกติ ขณะนี้รถกระบะของตำรวจถูกนำมาจอดแทน คนที่ถือโทรโข่งขนาดเล็กหลบอยู่หลังรถพร้อมกับเพื่อนตำรวจในเครื่องแบบของเขาอีกนาย
เจ้าหน้าที่หน้างานประเมินสถานการณ์แล้วว่าไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เนื่องจากหลังจากที่ไฟฟ้าในธนาคารดับลง พลเมืองดีแจ้งว่าไม่มีใครออกมาจากธนาคารอีกเลย และในตอนนี้ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ
“แจ้งนายเถอะ ท่าทางจะไม่ค่อยดี”
“ครับพี่” ตำรวจอีกนายยกหูโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเรียกหมายเลขที่ต้องการ รอไม่นานปลายสายก็รับ เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ครับ ตอนนี้ผมกับพี่รุณอยู่ในสถานที่เกิดเหตุครับ มีคนแจ้งเข้ามาว่าได้ยินเสียงปืนจากในธนาคาร เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุแล้วพบว่าสถานการณ์ด้านในยังเงียบอยู่…มองไม่เห็นใครเลยครับ”
เขาแจ้งพิกัดไปแล้ววางสายลง เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายจึงหันมาถาม
“เป็นไง”
“นายจะมาเอง ทีมมาด้วย”
หัวใจของผู้จัดการธนาคารเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นสุภาพสตรีคนนั้นถูกลากออกไปทางด้านหลังธนาคาร เขาตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายก่อนที่คนทั้งคู่จะลับสายตา ชายร่างอ้วนเตี้ยยกกำปั้นข้างที่ยังไม่ถูกรวบไว้กับขาเก้าอี้กระแทกไปที่ใบหน้าของคนร้ายอีกคนเต็มกำลัง
…ปึ้ก!…
“โอ๊ย! ไอ้ผู้จัดการนี่!”
มันใช้มือข้างที่ถือปืนฟาดเข้าไปที่ขมับของผู้จัดการสาขาทันทีคล้ายกับเป็นปฏิกิริยาโต้กลับอัตโนมัติ เสียงตัวประกันหวีดร้องขึ้นพร้อมกัน และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
…ปัง!…
“เฮ้ย!”
“กรี๊ดดดดดดดด…”
คนร้ายอีกคนที่ผลุบหายไปทางด้านหลังธนาคารจำเป็นต้องเดินกลับเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงปืนนัดที่สี่ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องที่ดังกว่าเดิม
“อะไรวะ มึงยิงทำไม”
“ฉะ…ฉันไม่ได้ยิง ปืนมันลั่นพี่”
เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้สถานการณ์ด้านนอกธนาคารเปลี่ยนแปลงไปทันที การุณเดินเลียบกับข้างรถกระบะเพื่อจะเข้าไปหยิบวิทยุในรถ เขาจำเป็นต้องติดต่อกับส่วนกลางเพื่อแจ้งว่าขณะนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันไม่ได้มีเพียงความเงียบ แต่เสียงปืนนั้นบอกให้รู้ว่าทุกคนที่อยู่ด้านในธนาคารกำลังตกอยู่ในอันตราย และเป็นไปได้สูงว่าคนหรือกลุ่มคนที่มีเจตนามุ่งร้ายต่อผู้อื่นนั้นเป็นคนที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลง
“ร้อยตำรวจตรีการุณ ขอแจ้งสถานการณ์จากที่เกิดเหตุ…” เขาแจ้งพิกัดให้หน่วยรับแจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทราบ “ขณะนี้มีเสียงปืนดังขึ้นภายในธนาคารอีกหนึ่งนัด เราต้องการกำลังเสริม คาดว่ามีตัวประกันอยู่ในนั้นแต่ยังไม่ทราบจำนวน เร็วๆ ด้วยนะครับ”
ขณะที่กำลังจะวางสายนั้น พิบูลย์คู่หูของเขาก็เข้ามาสะกิดทางด้านหลัง
“นายมาแล้วพี่”
“เออ ดี”
คนทั้งคู่ยังคงหมอบต่ำ กระจกหน้าธนาคารยังไม่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวจากภายในได้ ชายร่างสูงใหญ่ ผมรองทรงสั้นหยักศก คิ้วหนา นัยน์ตาดุ ผิวคล้ำแดดกำลังลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ซึ่งจอดเยื้องออกไปไกลจากรถกระบะพอสมควร เขาอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาว กางเกงยีน และมีเสื้อหนังสีดำทับมาอีกชั้นหนึ่ง ชายวัยสามสิบปลายๆ คนนั้นค้อมตัวแล้วย่องตรงมาที่นายตำรวจทั้งสองซึ่งยืนหลบอยู่ข้างตัวรถ
“สวัสดีครับ”
คนทั้งคู่ยกมือตะเบ๊ะ แต่เจ้านายไม่ได้สนใจ เขาเข้าประเด็นทันที
“ว่าไง”
“เมื่อกี้เพิ่งได้ยินเสียงปืนอีกนัด แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ครับผม” พิบูลย์รายงาน
การุณรีบเสริม “ชาวบ้านแถบนี้บอกว่าตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนนัดแรกก็ยังไม่เห็นใครออกมา”
“ประมาณกี่นาที”
“เอ่อ…” ทั้งสองคนก็ไม่สามารถบอกเวลาที่แน่นอนได้
โอบเกียรติส่งสายตาดุให้ลูกน้องก่อนสั่งการ “แล้วสื่อสารกับคนข้างในรึยัง”
“ผมพูดใส่โทรโข่งไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีการโต้ตอบกลับมา หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้นครับ”
คนฟังส่ายหน้า “ไม่ดีเลย เดี๋ยวทีมมาถึงเราจะปิดล้อมที่นี่”
“มาแล้วครับนาย”
ทั้งสามหันไปมองรถกระบะคันใหญ่ที่ขนกำลังพลในเครื่องแบบพร้อมโจมตีแบบประชิดตัวมาเต็มคันรถ เมื่อพวกเขามาถึงก็รีบปฏิบัติหน้าที่อย่างรู้งาน ส่วนหนึ่งแยกไปคุมฝูงชน อีกส่วนหนึ่งรีบเข้ามาหาโอบเกียรติ
“คาดว่ามีตัวประกัน”
โอบเกียรติบอกชายสามคนที่ใส่เสื้อเกราะพร้อมปฏิบัติหน้าที่ หนึ่งในนั้นคือวิญญู มือขวาของเขา
“งั้นก็ต้องตาม NIC สิครับ”
“เดี๋ยว…ผมอยากลองเจรจาดูก่อน พวกคุณควบคุมสถานที่ให้ผมด้วย”
“ได้ครับ”
วิญญูแยกตัวออกไปแล้ว เขาต้องทำงานตามขั้นตอน นั่นคือกันฝูงชนออกไปให้ห่างจากจุดเกิดเหตุมากที่สุด เพราะหากคนร้ายมีวัตถุอันตรายที่สามารถประทุษร้ายคนเป็นจำนวนมากได้ ฝูงชนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับอันตราย นายตำรวจในเครื่องแบบปฏิบัติการเต็มรูปแบบเข้าไปคุยเพื่อวางแผนกับทีมของเขาอีกห้าคน โดยที่ส่วนหนึ่งเพิ่งคุยกับประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์เสร็จ
“พี่โอบบอกว่าจะลองเจรจาก่อน เราต้องปิดล้อมธนาคาร พวกนายดูทางเข้าออกให้ครบทุกด้าน ส่วนฉันจะคอยเป็นแบ็กอัพให้พี่โอบเอง”
“มีตัวประกันไหมพี่”
“คาดว่าจะมี”
“แล้วไม่ตาม NIC เหรอ”
“รอคำสั่งจากพี่โอบสิ ตอนนี้ยัง…ไป ไปดูทางออกด้านหลังอาคารซิว่ามันเชื่อมต่อกับอะไร แล้วนาย…” เขาหันไปหาอีกคน “พยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ส่วนกลางของธนาคารให้ได้ แจ้งเหตุฉุกเฉินกับเขา และบอกว่าเรากำลังจะเข้าควบคุมสถานการณ์”
“ครับ”
ทุกคนกระจายกำลังออกไปตามที่วิญญูได้แบ่งงานเป็นกลุ่มย่อยให้ ตอนนี้ตำรวจจราจรซึ่งมีหน้าที่ดูแลการจราจรในช่วงที่โรงเรียนกำลังจะเลิกนั้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย พวกเขาจะคอยเคลียร์รถและผู้คนไม่ให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในพื้นที่เสี่ยง หากสถานการณ์เลวร้ายลงอาจต้องมีการแจ้งไปที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อชะลอการปล่อยนักเรียนออกจากโรงเรียนชั่วคราว
คนร้ายสองคนทิ้งตัวประกันคนอื่นไว้ในห้องโถง ส่วนตัวเองกลับมาหลบอยู่อีกฟากของผนังซึ่งเป็นทางออกไปยังด้านหลังของอาคาร โดยมีสุภาพสตรีคนเดิมอยู่ในอ้อมแขนของมันด้วย ชายสวมเสื้อสก็อตโผล่หน้าออกไปดูสถานการณ์ด้านหน้าธนาคารผ่านกระจก
“ซวยแล้ว ตำรวจมากันเต็มเลย”
เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถออกไปจากที่นี่โดยอาศัยเส้นทางหน้าธนาคารได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือทางหนีทีไล่ที่เขาคิดไว้ตั้งแต่ต้นนั้น มันปลอดภัยดีหรือเปล่า
“ทำไงดีพี่”
เขาถอนใจหนัก “มาก็มาสิวะ มันไม่กล้ายิงเข้ามาหรอก ตัวประกันอยู่ในนี้ตั้งหลายคน”
“ฉัน…ฉันกลัว…”
“มากลัวอะไรตอนนี้ มึงตามกูออกมา แล้วอย่ายิงมั่วซั่วอีก ไม่อย่างนั้นตำรวจจะตามเก็บมึง เข้าใจไหม!”
“จ้ะ” ลูกน้องพยักหน้าหงึกหงัก
พวกมันยังคงทำตามแผนเดิม นั่นคือพาตัวประกันไปด้วยหนึ่งคน ส่วนผู้จัดการสาขาถูกคล้องกุญแจมือติดไว้กับเก้าอี้ ตอนนี้เขามีเลือดไหลออกจากหูด้วย ซึ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมน่ากลัวเข้าไปอีก มีคนบาดเจ็บถึงขั้นเสียเลือดถึงสองคน และทุกคนล้วนถูกจับคล้องกุญแจมือ
ตัวประกันรับรู้ว่าพวกคนร้ายยังไม่ได้ออกไปจากธนาคาร แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังว่าตัวเองจะรอด เพราะหลายคนมองออกไปเห็นรถตำรวจ แล้วด้านหน้าธนาคารนั้นก็ร้างผู้คนกับรถราจนผิดสังเกต แสดงว่าคนภายนอกรับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในนี้แล้ว แม่บ้านเริ่มสวดมนต์เบาๆ เพื่อหวังให้สถานการณ์นี้สิ้นสุดลงเสียที
คนที่ลากตัวประกันหญิงไว้ในอ้อมแขนนั้นออกเดินนำหน้า ผ่านห้องครัวขนาดเล็กของธนาคารที่มีเพียงโต๊ะรับประทานอาหาร ตู้เย็น เคาน์เตอร์วางไมโครเวฟกับอุปกรณ์ชงชาและกาแฟเท่านั้น ด้านข้างตรงที่วางตู้เย็นได้ถูกกั้นไว้เป็นส่วนของห้องน้ำสำหรับพนักงาน ซึ่งพื้นที่ด้านหลังสำหรับใช้งานทั่วไปนั้นแคบกว่าพื้นที่ด้านหน้าส่วนของธนาคารเสียอีก ความจริงสถานที่นี้ถูกออกแบบมาให้เป็นอาคารพาณิชย์สองชั้นสำหรับอยู่อาศัยชั้นบนและทำธุรกิจชั้นล่าง แต่ธนาคารทวีสินทรัพย์ได้เช่าพื้นที่เพื่อเปิดเป็นสาขาย่อย เพราะเห็นว่าทำเลเหมาะ เนื่องจากเป็นย่านตลาด โรงเรียน และร้านค้าจึงทำให้ธนาคารสามารถหาลูกค้าได้จำนวนมาก ปัจจุบันสาขาหน้าโรงเรียนอนุบาลลูกขวัญสามารถดำเนินธุรกิจและทำกำไรให้แก่ธนาคารจนติดอันดับต้นๆ ของสาขาทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ชายคนแรกเปิดประตูด้านหลังธนาคาร อีกคนเดินตามพร้อมระวังหลังให้ ตอนนี้คนในโถงธนาคารคงไม่สามารถตามมาได้ แต่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรเจ้าหน้าที่จะบุกเข้ามาช่วยตัวประกัน และเมื่อถึงเวลานั้นการหนีของพวกเขาก็จะลำบากขึ้น
“เดินไปข้างหลังตึก ใกล้สุดทางเดินจะมีบันไดปีนข้ามกำแพงไปทางหลังตลาด รถกระบะที่จะใช้หนีจอดอยู่ไม่ไกล”
คนเดินนำหน้าสั่งขึ้นลอยๆ แต่เขาก็ยังเป็นคนนำทาง สุภาพสตรีที่ถูกลากออกมานั้นไม่มีปากมีเสียง เธอยังคงเดินตามแรงจูงนั้นไป ทางเดินด้านหลังอาคารเป็นทางเดินแคบๆ ซึ่งอาคารพาณิชย์แต่ละหลังต่างก็ปิดตายส่วนนี้ไว้เนื่องจากกลัวโจรขโมยจากตลาดจะปีนรั้วเข้ามาขโมยข้าวของ แต่ตัวอาคารเองจำเป็นต้องกันพื้นที่ส่วนนี้ไว้เพราะมันสามารถเชื่อมกับบันไดหนีไฟของอาคาร ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับที่อาคารทุกแห่งต้องมี เส้นทางนี้เรียกว่า ‘ทางปล่อยออก’ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ผู้คนจะสามารถหนีออกตรงเส้นทางนี้เพื่อให้สามารถออกห่างจากตัวอาคารได้มากที่สุด แต่ในยามปกติผู้อาศัยมักจะไม่ได้ใส่ใจกับมัน ส่วนธนาคารเองก็ไม่ได้ใช้ทางออกนี้เช่นกัน มีเพียงแม่บ้านเท่านั้นที่มักจะเอาผ้าขี้ริ้วสำหรับทำความสะอาดมาตากผึ่งแดดไว้
และเมื่อชายสวมเสื้อลายสก็อตไปถึงบันไดที่พาดไว้ริมรั้วก็ปล่อยตัวประกันให้อยู่กับลูกน้อง ส่วนตัวเขาเองพยายามเหนี่ยวตัวเพื่อขึ้นไปบนกำแพง แต่ทันทีที่ศีรษะโผล่พ้นกำแพง เขาก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น จึงต้องรีบผลุบศีรษะลงอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรพี่”
“ตำรวจ!”
“หา! ตำรวจอยู่ด้านหลังนี่เหรอ”
“ใช่ พวกมันทำงานเร็วกว่าที่เราคิด”
“ทำไงดีพี่”
“กลับเข้าไปในธนาคารก่อนเร็ว!”
ตัวประกันถูกลากกลับไปที่เดิมอีกครั้ง พวกมันไม่มีทางเลือก เพราะทางหนีทีไล่ที่ตระเตรียมไว้ได้ถูกขัดขวางแล้ว ดังนั้นการกลับไปในตัวธนาคารจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ในขณะนี้
“ช่วยด้วยๆๆๆ”
“ช่วยด้วย พวกเราอยู่ในนี้!”
“มีคนอยู่ในนี้ คุณตำรวจช่วยพวกเราด้วย”
เสียงตะโกนจากตัวประกันในห้องโถงของธนาคารดังสะท้อนไปทั่วตอนที่คนทั้งสามกลับเข้ามาในธนาคาร คนเป็นลูกน้องถูกสั่งให้ปิดประตูหลังให้แน่นหนา ส่วนหัวหน้าก็พาสุภาพสตรีคนนั้นกลับเข้ามาในโถงอีกครั้ง
“เงียบ!!!”
“หา!”
“กรี๊ดดดดด…”
ด้วยความที่ไม่คิดว่าคนร้ายจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ตัวประกันทุกคนจึงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อได้ยินเสียงของมัน ชายสวมเสื้อสก็อตชูปืนในมือให้ทุกคนเห็นอีกครั้ง และมันก็ได้ผล เพราะตัวประกันทุกคนพร้อมใจกันเงียบ
“ทำไมแกไม่หนีไป” ผู้จัดการสาขาร้องถาม
“กูไม่หนี กูจะอยู่กับพวกมึงนี่แหละ”
แววตาของตัวประกันทุกคนตื่นตระหนก สถานการณ์ที่คิดว่าจะคลี่คลายกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หัวหน้าคนร้ายเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์ด้านหน้าธนาคาร เขาเห็นผู้ชายสามคนกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อตรงมายังประตูกระจก อีกไม่ถึงสามเมตรคนพวกนั้นก็จะมาถึง…
เขาตัดสินใจในวินาทีต่อมา
…ปัง!…
กระสุนปืนที่ยิงผ่านกระจกออกมาทำให้เกิดรูขนาดไม่ใหญ่นักและไม่ได้ทำให้กระจกทั้งบานแตก แต่กลับส่งผลให้ตัวประกันยิ่งตื่นกลัว โดยเฉพาะนายตำรวจด้านหน้าธนาคาร พวกเขาต้องหมอบลงที่พื้นก่อนจะกลิ้งตัวหลบไปทางด้านข้างของอาคารพาณิชย์ เพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาของคนในธนาคาร
“เรียก NIC ด่วน!”
“มันสู้ มันยิงสวน ตาม NIC เร็วเข้า!”
นั่นคือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่หน่วยเจรจาต่อรองในกรณีเกิดเหตุอาชญากรรม (Negotiation in Crime Unit) จะถูกตามตัวมายังสถานที่เกิดเหตุ
บทที่ 2
ภายในห้องใต้บันไดหนีไฟซึ่งถูกต่อเติมขึ้นใหม่นั้นมีเสียงเพลงจังหวะหนักๆ ดังอยู่ เสียงนั้นน่ารำคาญมากกว่าจะฟังแล้วรู้สึกสบายในขณะทำงาน แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ในห้องนั้นจะพึงพอใจกับมัน ชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งกำลังหยิบแซนด์วิชอกไก่อันแสนเย็นชืดเข้าปากขณะที่สายตาก็เพ่งมองไปยังจอคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่เบื้องหน้า เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อตัวการ์ตูนกระโดดโลดเต้นไปมา ใบหน้าอวบอิ่ม หนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม และผมทรงรังนกทำให้เขาดูเหมือนตัวตลก
“ทำไมไม่ปิดเพลงแล้วเปิดเสียงซะล่ะรุสก์ ถ้านายจะดูน่ะ”
คนถูกทักหันมาทางด้านหลัง ชายอีกคนกำลังแผ่เอกสารไว้เต็มโต๊ะประชุมกลางห้อง หลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะช่วยทำให้จุดกึ่งกลางของโต๊ะสว่างเป็นพิเศษ
“ไม่ต้อง ผมชอบแบบนี้”
“ประหลาด”
วุฒิภาศส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปากก่อนที่จะก้มหน้าลงไปสนใจเอกสารอีกครั้ง เขาเป็นชายร่างสูงโปร่งที่มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขามีหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์การเจรจาต่อรองที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งไว้อย่างละเอียด แล้วยังต้องทำรายงานสรุปเหตุการณ์ไว้ด้วยไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาบันทึกจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้
วุฒิภาศจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจและรับราชการมาหลายปีก่อนจะมาพบหัสยุทธ ซึ่งเป็นหัวหน้าของเขาในเวลานี้ ทันทีที่ได้รู้จักหัสยุทธ เขาก็รู้ทันทีว่าชีวิตการทำงานของเขาต้องการผู้นำแบบไหน และการตัดสินใจในวันนั้นทำให้เขาต้องมานั่งทำงานในห้องใต้บันไดหนีไฟในเวลานี้พร้อมกับเพื่อนร่วมห้องประหลาดๆ อย่างปารุสก์
“แล้วนี่อาสไปไหน”
“หืม…”
คนถูกถามดึงความสนใจของตนออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วหันไปมองกระดานดำซึ่งแขวนไว้ด้านหน้าห้องทำงาน บนนั้นมีตัวหนังสือใหญ่มากปรากฏอยู่ ปารุสก์แกล้งอ่านเสียงดัง
“ขึ้นไปข้างบน”
วุฒิภาศเงยหน้าขึ้นมองกระดานดำบ้าง เขาเพิ่งเห็นตัวหนังสือนั่นตอนนี้เอง อาสดาคงเขียนไว้ก่อนที่จะออกไปข้างนอก นี่เขามัวแต่สนใจงานของตัวเองจนไม่ได้ใส่ใจเพื่อนร่วมห้องถึงขนาดนี้เชียวหรือ และคำว่า ‘ข้างบน’ ของอาสดาก็คงหมายถึง ‘บนอาคาร’ นั่นเอง เพราะอาสดาเป็นหนุ่มสังคมจัด ถ้าให้อยู่เฉยๆ ในห้องทั้งวันก็คงจะคลั่งตาย ไม่เหมือนเขากับปารุสก์ที่ถึงแม้จะถูกปล่อยให้อยู่ในห้องนี้ทั้งวันทั้งคืนก็สามารถหากิจกรรมอะไรทำได้เสมอไม่มีวันเบื่อ
เสียงโทรศัพท์ดังคล้ายเสียงไซเรนซึ่งปารุสก์เป็นคนตั้งระบบส่งสัญญาณพิเศษนี้ไว้ดังขึ้น ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งพร้อมกัน มืออวบของปารุสก์เลื่อนไปปิดเพลงแล้วห้องทั้งห้องก็อยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงไซเรนเท่านั้นที่ดังอยู่ วุฒิภาศเป็นคนพุ่งไปที่เครื่องตอบรับแล้วกดปุ่มเปิดเสียง
“หน่วยเจรจาต่อรองครับ”
“มีเหตุจี้ตัวประกันเกิดขึ้นในธนาคารพาณิชย์…”
ปารุสก์ทำปากขมุบขมิบ “พี่โอบ”
“ผมต้องการครบทีมนะ” โอบเกียรติเน้นย้ำหลังจากที่แจ้งสถานที่เกิดเหตุไปแล้ว “ด่วนเลย!”
“ครับผม”
สายโทรศัพท์ถูกตัดฉับ ท่าทางทีมของโอบเกียรติเองก็จะอยู่ในภาวะคับขันเหมือนกัน วุฒิภาศหันมาสั่งงานปารุสก์ที่นั่งมองเขาตาแป๋วอยู่
“ตามอาสสิ เดี๋ยวฉันตามหัวหน้าเอง บอกให้อาสตามไปที่รถภายในห้านาที แล้วนายหยิบเครื่องมือสื่อสารของเขาติดกระเป๋าไปด้วย”
“รับทราบครับท่านนนน”
ปารุสก์ลากเสียงยาวแล้วทำตามคำสั่งนั้นทุกประการ นอกจากจะต้องหยิบเครื่องมือเครื่องใช้ไปให้อาสดาแล้ว ปารุสก์ยังต้องเก็บโน้ตบุ๊กส่วนตัวเข้ากระเป๋าเป้ด้วย ชีวิตของเขามีแค่เจ้าเครื่องนี้ก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว
โทรศัพท์มือถือของหัสยุทธทั้งส่งเสียงร้องทั้งสั่นจนเขาสะดุ้ง ด้วยความที่กำลังใช้สมาธิในการขับรถบนทางด่วนอยู่ เขาจึงต้องชะลอความเร็วของรถลงแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามาก็รับสายพร้อมกับกดปุ่มเปิดลำโพง
“ว่าไงวุฒิ”
“หัวหน้าครับ มีเหตุด่วน”
“ที่ไหน”
“ธนาคารครับ…” วุฒิภาศบอกพิกัดกับหัวหน้าอย่างละเอียด “สารวัตรโอบเกียรติกำชับมาว่าขอครบทีม”
“โอเค ผมจะลงจากทางด่วน แล้วเจอกันที่นั่นเลย บอกทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”
“รับทราบครับ”
หัสยุทธเป็นชายวัยสี่สิบใบหน้ายาว แก้มตอบ คางบุ๋มนิดๆ คิ้วเรียว ดวงตาคมกริบ ริมฝีปากบางเฉียบ และจอนผมตรงข้างหูเริ่มเป็นสีเทา หากเพิ่งพบกันอาจบอกได้ยากว่าเขาเป็นคนประเภทไหน เพราะบางครั้งดวงตาคมก็ดูซุกซน ริมฝีปากบางอาจจะกระตุกเหมือนกำลังยิ้มล้อ และคางนั้นก็อาจจะทำให้ผู้หญิงบางคนนึกหลงใหลได้เพียงแค่พบกันชั่วขณะ หากแต่ในตอนนี้ซึ่งเขาเริ่มมีความเครียดเข้ามาเกาะกุม เครื่องหน้าทุกส่วนจึงส่งสัญญาณไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น สิ่งที่กำลังจะตกตะกอนอยู่ในความคิดถูกปิดตายลง รอเวลาว่างที่มันจะก่อตัวฟุ้งขึ้นมากระทบความคิดและจิตใจของเขาอีกครั้ง…
ปารุสก์หิ้วสายสะพายเป้ขึ้นพาดหัวไหล่ ในมือมีเครื่องมือสื่อสารทั้งวิทยุและโทรศัพท์อยู่อีกสี่เครื่อง ปากคาบปากกาไว้ ดังนั้นเสียงที่เขาพยายามจะพูดออกมาจึงฟังไม่ได้ศัพท์
“เอี้ยบอ๊อย อิดอะอูไอ้เอย” (เรียบร้อย ปิดประตูได้เลย)
“อะไร ฟังไม่รู้เรื่อง นายไปที่รถก่อน ฉันจะปิดประตูห้อง”
“อ้ออั้นแอะอี้อะออก” (ก็นั่นแหละที่จะบอก)
วุฒิภาศส่ายหัวแล้วหันไปปิดประตูห้องทำงาน ปารุสก์โผล่ออกมาตรงหน้าประตูซึ่งเป็นทางออกจากบันไดหนีไฟของตัวอาคาร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนวิ่งลงมาจากบันไดเหล็กพอดี
“อี้อาด” (พี่อาส)
“เอ้อ ไป! กุญแจรถอยู่ไหน”
ชายร่างกลมหมุนตัวแล้วหันก้นเข้าหาอาสดา คนผิวขาว หน้าตี๋ แถมขี้หลีนั่นถึงกับงง
“หันตูดมาหาข้าทำไมตอนนี้”
“ไอ้อ้ายยยย อุนแออู่ไออูด” (ไม่ใช่ กุญแจอยู่ในตูด)
“อ้อ กุญแจอยู่ในตูด เดี๋ยวนะ อยู่นิ่งๆ” อาสดาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของปารุสก์ คนถูกล่วงละเมิดพื้นที่ส่วนตัวดิ้นขลุกขลักด้วยความจั๊กจี้ “นิ่งๆ สิวะ เจอแล้ว! ไปที่รถเลย”
“แอ๊วไอ้อ้วยอื๋ออ๋องเอยเอ๋อ” (แล้วไม่ช่วยถือของเลยเหรอ)
อาสดาผลักประตูเหล็กซึ่งเป็นประตูสุดท้ายก่อนที่จะออกไปสู่โลกภายนอก ประตูนี้สามารถเปิดเข้าและออกได้ตลอดเวลา มันไม่มีกุญแจล็อกไว้ทั้งด้านนอกและด้านในเหมือนประตูอื่น เพราะถ้าหากเกิดเพลิงไหม้ในตัวอาคารเมื่อใด ประตูนี้จะเป็นประตูที่ช่วยให้ทุกคนหนีออกไปจากอาคารได้อย่างปลอดภัย
อาสดาพุ่งตัวไปที่รถของหน่วยซึ่งจอดไว้ในที่จอดรถข้างอาคารสำนักงาน รถของหน่วยเจรจาต่อรองมีสองคัน คันที่อาสดากำลังจะใช้นั้นเป็นรถตู้ขนาดสิบห้าที่นั่งซึ่งถูกดัดแปลงด้านในให้เหมาะกับเป็นห้องทำงานภาคสนาม เก้าอี้พับถูกถอดออกไปทั้งหมดจนเกิดเป็นพื้นที่ว่าง คอมพิวเตอร์สี่ตัวถูกนำไปฝังไว้ข้างผนังห้องโดยสาร ปารุสก์จะมีเก้าอี้ส่วนตัวซึ่งถูกล็อกไว้ให้ติดกับพื้นรถ ส่วนวุฒิภาศจะต้องใช้เก้าอี้สำรองที่ถูกติดไว้กับผนังรถฝั่งตรงข้าม เขาต้องดึงมันออกมาจากที่เก็บแล้วจึงหย่อนก้นลงไป นอกจากรถตู้แล้ว พาหนะอีกคันของหน่วยจะเป็นรถเก๋งซึ่งตอนนี้หัสยุทธกำลังใช้งานอยู่
วุฒิภาศตามปารุสก์มาทันก่อนที่เขาจะขึ้นรถ วุฒิภาศอาสาเปิดประตูรถตู้ให้ ปารุสก์พุ่งตัวเข้าไปได้แล้ววางข้าวของในมือลงบนเคาน์เตอร์เล็กๆ ทันที เขารีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรถให้สามารถใช้งานได้ทุกเครื่อง ส่วนวุฒิภาศเมื่อปิดประตูสนิทก็ตะโกนผ่านกระจกที่เชื่อมระหว่างห้องคนขับกับห้องผู้โดยสารเพื่อให้อาสดาออกรถ
“ออกรถเลย”
“ตั้ง GPS* ให้ด้วย” อาสดาสั่งลอยๆ
“ครับเจ้านาย” ปารุสก์รับคำแล้วเริ่มคีย์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของตน “เปิดหน้าจอได้เลย ไปแล้ว”
แผนที่ เส้นทางการเดินรถ ระยะทาง และเวลาที่ใช้ในการเดินทางถึงจุดหมายถูกดาวน์โหลดขึ้นบนหน้าจอเครื่องรับสัญญาณขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้าคอนโซลรถซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนขับสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด อาสดาขับรถตู้ขึ้นสู่ถนนใหญ่แล้วมุ่งหน้าตามทิศทางที่ GPS บอกไว้ว่าเขาสามารถไปถึงหน้าธนาคารพาณิชย์แห่งนั้นได้เร็วที่สุด
ช่วงเวลาระหว่างเดินทางปารุสก์ไม่ได้นิ่งเฉย เขาเริ่มค้นหาข้อมูลโดยการออนไลน์คอมพิวเตอร์ในรถตู้เข้าสู่เครือข่ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีข้อมูลส่วนกลางหลายอย่างที่เจ้าหน้าที่ระดับหน่วยงานของ NIC สามารถเข้าถึงได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือการหาข้อมูลของสถานที่เกิดเหตุ ปารุสก์เชื่อมโยงภาพดาวเทียมจาก Google Maps เพื่อหาอาคารสิ่งปลูกสร้าง ถนน ตรอก ซอกซอยที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่เกิดเหตุ แม้ข้อมูลในนั้นจะไม่ได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ค้นหา แต่มันก็เป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดในเวลานี้ พวกเขาต้องรู้จักพื้นที่เป้าหมายให้มากที่สุดเพื่อหาโอกาสและลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
“โห อยู่หน้าโรงเรียนอนุบาลเลย” ปารุสก์บ่น
วุฒิภาศยกนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นมาดู “ซวยแน่ เวลาโรงเรียนเลิกด้วย”
“มันตั้งใจ งานนี้ต้องอาศัยทีมพี่โอบเคลียร์สถานที่แล้ว ข้างหลังเป็นตลาดด้วยพี่…”
วุฒิภาศจดรายละเอียดลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กของเขา ปารุสก์ยังคงจดจ่อกับภาพในคอมพิวเตอร์ เขาหมุนจอยสติ๊กอย่างรวดเร็วเพื่อดูภาพให้ละเอียด หากใครไม่คุ้นเคยแล้วมองภาพบนหน้าจอนั่นตามเขาคงได้อาเจียนแน่
“อาคารพาณิชย์อ่ะ ไม่ชอบเลย”
“กี่ห้อง”
“ติดกันเจ็ดห้อง ธนาคารอยู่ห้องที่สามกับสี่ ตรงกลางเลย โอ๊ย รวมความยากทุกอย่างในสากลโลกไว้ด้วยกัน”
“ดึงข้อมูลผู้บริหารของธนาคาร รายชื่อพนักงานในสาขานั้น แล้วหาว่าใครเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ ฉันอยากได้แผนที่โครงสร้างอาคาร”
“ครับผม”
ปารุสก์ใช้ช่องทางที่ถูกกฎหมายเพื่อหาข้อมูลมาตอบสนองความต้องการของเพื่อนร่วมทีม เขาเข้าไปในเวบไซต์หลักของธนาคารเพื่อเชื่อมโยงไปยังสาขาที่ต้องการ จากนั้นก็ส่งข้อมูลเข้ายังมือถือส่วนตัวของวุฒิภาศ นายตำรวจหนุ่มยกหน้าจอขึ้นมาอ่าน
“ห้าคน แล้วไม่มีรายชื่อพนักงานเหรอ”
“มี แต่คิดว่าไม่อัพเดตแล้ว เพราะข้างล่างระบุว่าเป็นข้อมูลตั้งแต่ปี 2556”
“ใช้ไม่ได้ งั้นต้องรอหน้างาน นายหาข้อมูลของอาคารพาณิชย์ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะดูข้อมูลของธนาคารเอง”
“ได้เลยครับลูกพี่”
ปารุสก์หันกลับไปสนใจจอคอมพิวเตอร์ของตนอีกครั้ง เขาพยายามเพ่งหาป้ายชื่ออาคารหรือชื่อโครงการที่ระบุความเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนั้นใน Google Maps เพราะถ้ามีชื่อแล้ว การหาว่าชื่อนั้นถูกขึ้นทะเบียนโดยใครหรือใครเป็นเจ้าของก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น
ผ่านไปไม่นานอาสดาก็เอียงหน้ามาทางด้านหลังแล้วตะโกนรายงานความคืบหน้า “ถึงแล้ว คนมุงเต็มเลย”
“เดี๋ยวฉันโทรหาสารวัตรโอบเกียรติเอง”
วุฒิภาศบอกแล้วรีบกดโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าดังแค่ครั้งเดียวสายก็ถูกรับ
“พวกนายถึงรึยัง”
“ถึงแล้วครับ ให้ผมเข้าทางไหน”
“สุดอาคารพาณิชย์ เคลียร์สถานที่ไว้ให้แล้ว แล้วหัวหน้าพวกนายล่ะอยู่ไหน”
“กำลังมาครับ”
“ช้าตลอด เร็วเข้า!”
สายถูกตัดฉับ วุฒิภาศผู้มีอารมณ์เย็นที่สุดของหน่วยไม่ได้สนใจกับอาการกระโชกโฮกฮากของโอบเกียรติ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ นายตำรวจหนุ่มหันไปตะโกนบอกคำตอบให้อาสดารู้ “เข้าทางด้านข้างของอาคาร มีเจ้าหน้าที่รออยู่”
“รับทราบ”
รถตู้ได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ภาคสนามของโอบเกียรติ พวกเขาเปิดทางกลุ่มฝูงชนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ เพื่อให้รถของหน่วย NIC เข้าไปจอดในตำแหน่งที่โอบเกียรติกำหนดไว้ เมื่ออาสดาจอดรถเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือผ่านช่องกระจกที่สามารถเปิดปิดได้เพื่อขอเครื่องมือสื่อสารของตนจากปารุสก์ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่เขาคุ้นเคย
วุฒิภาศออกจากรถอีกทางเพื่อไปหาโอบเกียรติ เขาทิ้งให้ปารุสก์ประจำอยู่ในรถตู้ตามลำพังเพื่อคอยประสานงานเรื่องการค้นหาข้อมูล โดยทุกคนจะมีวิทยุติดตามตัวเครื่องเล็กเสียบพ่วงกับหูฟังเพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน โอบเกียรติกับการุณและพิบูลย์ยังคงซุ่มตัวอยู่ด้านหลังรถกระบะ เวลานี้เป็นเวลาที่โรงเรียนอนุบาลเลิกแล้ว ผู้ปกครองต่างก็มารับลูกหลานของตนตามเวลา ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธนาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่พวกเขารับทราบเหตุการณ์หลังจากที่มีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และส่วนใหญ่สมัครใจที่จะอยู่รอดูเหตุการณ์ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ยากขึ้น
ขณะนี้เป็นเวลาสิบหกนาฬิกาห้านาที โอบเกียรติมองเห็นวุฒิภาศกำลังเดินฝ่าเชือกกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาจึงรีบวิ่งสวนออกไปหา
“มีเสียงปืนดังขึ้นสองถึงสามนัดก่อนที่เราจะเข้ามา” โอบเกียรติพูดเร็วๆ
“กี่นาทีแล้วครับ”
“เกือบชั่วโมงแล้ว ไม่มีคนเข้าออกธนาคารตลอดเวลาที่เกิดเหตุ มีการเจรจาไปหนึ่งรอบแต่ไม่มีการตอบรับ เราพยายามจะเข้าไปใกล้กว่านี้ แต่เกิดเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดซะก่อนเลยต้องเรียกพวกนายมา”
“ยังไม่มีการเรียกร้องอะไรเลยเหรอครับ”
โอบเกียรติส่ายหน้า “วิญญูบอกว่าทางด้านหลังอาคารเป็นตลาด ตอนนี้ฉันให้คนดักทางเข้าออกทุกทางไว้แล้ว”
ทางฟากอาสดา เขาพยายามเดินหาตัววิญญูจนพบ คนทั้งคู่ยืนคุยกันข้างกำแพงซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ วิญญูอยู่ในชุดพร้อมรบ ทั้งเสื้อกันกระสุน แว่นตา ถุงมือ และอาวุธปืน แม้จะยังไม่ได้ขึ้นลำกล้อง แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมากทีเดียว อาสดารู้สึกทุกครั้งว่ามันดูเป็นเรื่องที่เกินกว่าเหตุ
“นายคิดว่าเรื่องมันจะใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คนในตลาดไม่เป็นอันทำมาหากินกันแล้ว”
“แล้วนายจะเสี่ยงให้มันใหญ่ก่อนไหมล่ะ งานของฉันคือป้องกันและจัดการ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวคือหัวใจสำคัญ…รู้ไว้ซะด้วย”
“ครับๆๆ แล้วนี่เป็นทางออกทางเดียวเหรอ”
“ใช่ ปกติแต่ละห้องจะมีทางออกสองทางคือด้านหน้าและตรงจุดนี้” วิญญูชี้มือไปที่กำแพง “มันเป็นทางออกด้านหลังสำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่บางบ้านเขาปิดตายด้านหลังของอาคารตัวเองไว้เลย ก็จะทำให้มีทางเข้าออกได้แค่ทางเดียว”
“ทำไมล่ะ” อาสดาสงสัยว่าทำไมผู้คนจึงไม่อยากมีทางออกฉุกเฉินเผื่อไว้ในกรณีที่อาจจะเกิดอันตรายขึ้นภายในอาคาร
“ก็กลัวคนจากตลาดปีนเข้ามาปล้นไง”
“เอ้า เวรกรรม” เขาส่ายหน้า “แล้วนี่นายคุยกับเจ้าของห้องคนอื่นรึยัง”
“ยังไม่ลงรายละเอียดมาก แต่เอาตัวออกมาจากอาคารหมดแล้ว และก็กันพวกเขาออกจากฝูงชนไว้แล้วด้วย รอพวกนายมาทำงานต่อ”
“แท้งกิ้ว” อาสดาตบบ่าวิญญูเบาๆ แต่ฝ่ายนั้นกลับหลบแบบเนียนๆ
เสียงในหูของอาสดาดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มจึงหันความสนใจไปที่เสียงของปารุสก์แทน
“เจ้านาย เข้ามาแล้ว ได้ชื่อเจ้าของอาคารมาแล้วด้วย ถ้าต้องการให้ประสานงานอะไรบอกได้เลย”
“โอเค รับทราบ เดี๋ยวไปเจอหัวหน้าก่อน”
อาสดายกมือขึ้นโบกลาวิญญูโดยไม่ได้พูดอะไร เขาวิ่งเหยาะๆ กลับไปทางด้านหน้าของอาคารพาณิชย์
รถเก๋งของหน่วยเจรจาต่อรองมาจอดตรงท้ายรถตู้ซึ่งปารุสก์นั่งทำงานอยู่ด้านใน หัสยุทธเปิดประตูเข้าไปทักทายลูกน้องคนสุดท้องของเขาก่อน จากนั้นก็หยิบเสื้อกันกระสุนขึ้นมาสวม ปารุสก์ยื่นหูฟังประจำตัวให้เจ้านายพร้อมกับรายงานสั้นๆ เท่าที่เขาพอจะรู้
“มีปืนครับ”
“อืม…รอฟังคำสั่งนะ”
“ครับผม”
หัสยุทธปิดประตูรถตู้แล้วเดินไปสมทบกับโอบเกียรติและวุฒิภาศ โดยอาสดาได้เดินตามเขามาอีกทอดหนึ่ง หัสยุทธเห็นสายตาขวางๆ ของโอบเกียรติที่ส่งมาให้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“ไปไหนมา คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกรึไงถึงโผล่มาซะคนสุดท้าย”
หัสยุทธยิ้มมุมปาก “หน้าตาแบบนี้ถ้าเป็นแค่พระรองคงเสียของแย่”
โอบเกียรติเกือบจะเผลอถุยออกมาแล้ว ดีที่ยังยั้งไว้ทัน ส่วนวุฒิภาศหลุดฮึออกมาคำเดียวแล้วก็รีบหุบยิ้มทันทีก่อนจะยื่นสมุดบันทึกให้หัวหน้าตัวเองแล้วรอตอบคำถาม หัสยุทธไม่ได้สนใจโอบเกียรติอีก เขายืนอยู่หลังรถกระบะพร้อมกับอ่านสิ่งที่วุฒิภาศบันทึกไว้
“ยังไม่เรียกร้องอะไรเลยใช่ไหม”
“ครับ”
“สัญญาณเตือนของธนาคารไม่ดังรึไง ทำไมมีโทรศัพท์แจ้งเข้าไปในสายด่วนก่อนที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารจะรู้”
“ครับ ไม่มีรายงานว่าสัญญาณเตือนภายในธนาคารดังจนกระทั่งถึงตอนนี้”
“ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ” หัสยุทธสบตากับวุฒิภาศแวบหนึ่งแล้วยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดู “ชั่วโมงหนึ่งแล้วแต่ไม่พูด ไม่คุย ไม่แสดงตัว แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจจะเผชิญหน้าตั้งแต่แรก คิดว่าในนั้นมีกี่คน”
ประโยคสุดท้ายหัสยุทธตั้งใจถามโอบเกียรติ ซึ่งคนถูกถามได้ประเมินคร่าวๆ ไว้แล้ว
“พนักงานธนาคารห้าคน แม่บ้านหนึ่ง รปภ. อีกหนึ่ง คอนเฟิร์มกับต้นสังกัดแล้ว ตอนนี้ผู้จัดการเขตกำลังจะมาที่นี่ ส่วนลูกค้ายังไม่รู้จำนวน”
หัสยุทธกวาดสายตามองอาคารพาณิชย์ขนาดสองชั้นจำนวนเจ็ดห้องซึ่งวางตัวเป็นแนวระนาบตรงหน้า ห้องริมสุดซ้ายมือเป็นห้องสไตล์โฮมออฟฟิศ ถัดมาเป็นร้านอาหาร ตรงกลางเป็นธนาคารต้นเรื่องจำนวนสองห้อง ห้องถัดไปเป็นร้านเครื่องเขียน ส่วนห้องสุดขวามือเป็นร้านสะดวกซื้อจำนวนสองห้อง มันดูเหมือนเป็นชุมชนธรรมดาๆ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นก็ยากที่จะควบคุมความเสียหายไว้ได้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจุดสูงสุดของอาคาร ซึ่งนั่นทำให้ทั้งวุฒิภาศ อาสดา โอบเกียรติ การุณ และพิบูลย์ต่างก็ทำตามเขาไปด้วย
“มีดาดฟ้าไหม”
“ไม่มีทางขึ้นโดยตรงจากแต่ละห้องครับ แต่มีบันไดหนีไฟริมอาคารสามารถไต่ขึ้นไปถึงดาดฟ้าได้ แล้วมีทางออกด้านหลังของอาคาร ตอนนี้วิญญูดักไว้แล้ว” อาสดาตอบ
หัสยุทธมองตรงไปยังกระจกของธนาคาร “ปิดไฟด้านใน…ถ้ามืดกว่านี้เราจะยิ่งแย่ ต้องจบเรื่องให้เร็วก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด วุฒิ!”
“ครับ” วุฒิภาศรับสมุดบันทึกคืนจากหัสยุทธแล้วตั้งใจรอฟังคำสั่ง
“ผมจะใช้โทรศัพท์โทรเข้าไปข้างในธนาคาร ให้รุสก์อัดเทปการเจรจาไว้ด้วย หากผู้จัดการเขตมาถึงให้ดำเนินการเรื่องกล้องวงจรปิด ดึงภาพในธนาคารเมื่อชั่วโมงก่อนมาดู”
“ครับผม”
“ส่วนอาส นายไปติดต่อกับเจ้าของอาคารห้องอื่น ผมคิดว่าทุกห้องน่าจะมีกล้องวงจรปิดหน้าร้านของตัวเอง เราน่าจะได้ภาพคนร้ายก่อนที่มันจะเข้าไปในธนาคารเมื่อชั่วโมงก่อน”
“ได้ครับ”
หัสยุทธพยักหน้าแล้วปล่อยให้วุฒิภาศกลับไปหาปารุสก์ ส่วนอาสดาก็ต้องไปพบกลุ่มคนที่วิญญูกักตัวไว้ให้ เมื่อทุกคนแยกย้ายออกไปแล้วหัสยุทธจึงหันมาสนใจโอบเกียรติอีกครั้ง
“ไม่มีจุดซุ่ม?”
“อืม ด้านหน้าเป็นถนน ห้องอยู่กึ่งกลางอาคาร ด้านหลังติดตลาด”
“แล้วถ้าจำเป็นต้องบุก นายจะเข้าทางไหน”
“พังประตูด้านหลัง”
“นายคิดว่าคนร้ายจะมีระเบิดไหม”
“ไม่รู้ ก็รอนายมาคุยกับมันก่อนนี่ไง”
“ถ้ามี ไอ้เจ็ดห้องนี่อาจจะไม่เหลือนะ ไปหาทางเข้าใหม่เผื่อไว้ก็ดี”
“เออ” โอบเกียรติรับคำสั้นๆ แล้วหันไปพูดคุยกับการุณและพิบูลย์
วุฒิภาศกลับไปที่รถตู้อีกครั้ง เขาสั่งงานที่ได้รับมอบหมายต่อไปยังปารุสก์ เพราะปารุสก์ต้องทำหน้าที่หาหมายเลขโทรศัพท์ในสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการต่อสายไปให้หัสยุทธอีกทอดหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมาหาเจ้านายอีกครั้งพร้อมกับสายไมค์เล็กๆ ซึ่งต้องพ่วงเข้ากับหูฟังของหัสยุทธอีกที วุฒิภาศจัดเครื่องมือให้พร้อมกับรายงานไปด้วย
“รุสก์เตรียมอัดเทปแล้วครับ เขารอให้หัวหน้าพร้อมแล้วจะโทรเข้าธนาคารทันที”
“ขอบใจ นายเข้าไปนั่งในรถกับฉันด้วย”
“ครับ”
สภาพการณ์ภายนอกอาคารและบริเวณโดยรอบขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับเงียบกริบ ไทยมุงถูกควบคุมให้อยู่ในความสงบหากต้องการจะลอบสังเกตการณ์พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากจนเกินไป ถนนใหญ่หน้าธนาคารไม่ได้ถูกปิด รถรายังคงเคลื่อนที่ได้ตามปกติ นักเรียนอนุบาลทยอยออกจากโรงเรียนจนเกือบหมดแล้ว ซึ่งนั่นเป็นความต้องการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหลือไว้ก็เพียงรถกระบะของตำรวจซึ่งจอดเยื้องหน้าประตูกระจกของธนาคารออกไปเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุมากที่สุด
ด้านหน้ารถหันเข้ากับธนาคาร หัสยุทธเลือกขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับ โดยมีวุฒิภาศซึ่งตอนนี้สวมเสื้อเกราะเรียบร้อยแล้วเช่นกันนั่งอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มยื่นกล้องส่องทางไกลขนาดเล็กให้ผู้เป็นเจ้านาย จังหวะที่หัสยุทธรับมาถือไว้ก็มีเสียงคนเคาะกระจกตรงด้านหลังเบาะของเขาพอดี และเมื่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยเจรจาต่อรอง ทั้งสองหันกลับไปดูก็พบโอบเกียรติทำสัญญาณมือให้รู้ว่าเขาจะช่วยสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง หัสยุทธพยักหน้ารับทราบ
เวลาที่ผ่านไปในแต่ละนาทีเพิ่มความเครียดให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ภายนอกอาคาร เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงแค่ได้ยินเสียงปืนและมีคนติดอยู่ด้านในนั้นด้วย หากทุกอย่างเรียบร้อยมันก็ควรจะมีคนเดินออกมาจากอาคารบ้าง แต่ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาไม่มีสัญญาณความเคลื่อนไหวใดๆ จากธนาคารเลย นอกจากเสียงปืน…
“ฮัลโหล รุสก์…ได้ยินไหม” หัสยุทธทดสอบเสียงกับไมค์ของเขา
“ได้ยินครับ เจ้านายพร้อมรึยัง”
“พร้อม ต่อสายเข้ามาเลย”
“ครับผม”
ปารุสก์เชื่อมต่อสัญญาณหมายเลขโทรศัพท์ของธนาคารเข้าไปยังเครื่องรับซึ่งติดไว้ที่ตัวของหัสยุทธเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกคนในทีมของ NIC ก็จะสามารถรับฟังการเจรจาต่อรองระหว่างเจ้านายของพวกเขากับคนร้ายได้ด้วย เสียงเรียกเข้าดังเป็นสัญญาณยาวๆ อยู่หลายครั้ง และยังไม่มีใครรับ…
ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด
หัวใจของหัสยุทธเต้นแรง แม้จะทำหน้าที่นี้มาหลายครั้ง แต่เขาก็ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อรู้ว่ามีคนที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอยู่ อาจจะเป็นหนึ่งคน สองคน หรือแม้กระทั่งหลายคนอย่างในกรณีนี้ พวกเขาเป็นคน เป็นสิ่งมีชีวิต มีลมหายใจที่ต้องการจะออกมาจากสถานการณ์ที่คับขันนั่นอย่างปลอดภัย
“ไม่มีคนรับ” วุฒิภาศพูดเสียงเบา
“อื้ม ให้เวลามันหน่อย” หัสยุทธพูด “รุสก์วางสาย นับหนึ่งถึงห้าสิบแล้วโทรเข้าไปใหม่”
ปารุสก์รับคำแล้วปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
“มันอาจจะกำลังไม่แน่ใจหรือเกี่ยงกันอยู่”
“หัวหน้าคิดว่ามันมีมากกว่าหนึ่งคนเหรอครับ”
“แน่นอน ควบคุมแบบเบ็ดเสร็จได้ต้องมีคนมากกว่าหนึ่ง นายอย่าลืมสิว่าพนักงานไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกดกริ่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ”
“จริงด้วย”
“แต่ฉันคิดว่าพวกมันคงไม่อยากเผชิญหน้ากับตำรวจหรอก”
“แสดงว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเลยเถิดเหรอครับ”
วุฒิภาศขอความเห็นของผู้บังคับบัญชา และหัสยุทธก็พยักหน้ารับ เขายกกล้องส่องทางไกลในมือขึ้นมาทาบกับดวงตา มันไม่ช่วยให้มองทะลุเข้าไปด้านในได้ชัดเจน แต่เขารู้สึกเห็นแสงวูบวาบในนั้น
“หากเกิดการตอบโต้ นั่นจะเป็นเพราะอารมณ์และความพยายามเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นเราต้องใจเย็นให้มากที่สุด ต้องรู้ให้ได้ว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นก่อนหน้าทำให้มีคนเจ็บหรือคนตายรึเปล่า”
เสียงนับเลขเบาๆ ของปารุสก์กระตุ้นทุกคนให้เตรียมตัวอีกครั้ง เพราะมันใกล้จะถึงห้าสิบแล้ว และเมื่อมันสิ้นสุดปารุสก์ก็เตือนให้ทุกคนรู้ว่าเขาจะกดเรียกหมายเลขเดิมอีกครั้ง หัสยุทธภาวนาให้คนในนั้นรับสายเพื่อเจรจากับเขา
ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดด
กึก…
“รับแล้ว” วุฒิภาศพูดเสียงเบาแล้วบันทึกเวลาที่มีคนรับสายไว้ในสมุดของเขา
หัสยุทธสูดลมหายใจลึกก่อนพูด “ฮัลโหล”
ยังไม่มีเสียงตอบ แต่ในสายสามารถได้ยินเสียงบางอย่างค่อนข้างชัดเจน มันคล้ายกับเสียงจากโฆษณาในโทรทัศน์
“…”
เหมือนเวลาจะผ่านไปนานกว่าสิบนาที ทั้งที่มันเพิ่งพ้นไปแค่สิบวินาที ไม่มีเสียงพูดของคนนอกจากเสียงลมหายใจ หัสยุทธตัดสินใจพูดอีกครั้ง
“ฮัลโหล ผมต้องการพูดสายกับคนที่ควบคุมสถานการณ์ภายในธนาคารอยู่ตอนนี้”
…แกร๊ก…
ทันทีที่หัสยุทธพูดจบ ฝ่ายนั้นก็วางสายลงทันที
“ไอ้…” เขาสบถ “มันไม่เจรจา”
“เอาไงครับ” เสียงจากปารุสก์ถามมาในสาย
“รอก่อน”
วุฒิภาศออกความเห็นบ้าง “ได้ยินเหมือนเสียงจากโทรทัศน์”
“น่าจะใช่ แสงวูบวาบที่เกิดขึ้นในธนาคารน่าจะเป็นแสงจากโทรทัศน์”
มีแต่ความอึดอัดที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของ NIC หัสยุทธเริ่มคิดหาหนทางใหม่…
บทที่ 3
ภายใต้สถานการณ์ที่มีแต่ความตึงเครียดนั้นอาสดาได้ช่วยหาข่าวดีมาให้ทีมงานของเขา เมื่อภาพจากกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านถูกนำมามอบให้ตำรวจด้วยความเต็มใจและทันท่วงที
“ได้ภาพจากกล้องของห้องริมสุดมาแล้ว”
เขายื่นแฟลชไดรฟ์ให้ปารุสก์ในจังหวะที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับคำสั่งให้กระทำการใดๆ อยู่พอดี
“ร้านสะดวกซื้อเหรอ”
“เปล่า ห้องอีกด้านที่เป็นโฮมออฟฟิศ ห้องอื่นยังไม่พร้อม”
ปารุสก์รีบนำแฟลชไดรฟ์ที่ได้มาเชื่อมต่อเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของเขา ไม่นานภาพในกล้องวงจรปิดก็ปรากฏขึ้นบนจอ
“ภาพค่อนข้างชัดเลย แต่ไม่แน่ใจว่าจะเห็นได้ไกลแค่ไหน เพราะห้องนี้ไม่ได้อยู่ติดกับธนาคาร ถ้าได้ของร้านอาหารหรือร้านเครื่องเขียนจะดีกว่า”
“นายไล่ดูไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันกลับไปตามเรื่องให้”
“ขอบคุณครับเฮีย”
อาสดาลงจากรถตู้หายไปอีกครั้ง ทิ้งให้ปารุสก์ทำงานของตนไป โดยที่หูของเขายังคอยฟังคำสั่งจากเจ้านายอยู่ตลอดเวลา ปารุสก์โหลดวิดีโอทั้งหมดลงในฮาร์ดดิสก์ของเขา เจ้าของห้องก๊อบปี้เทปเวลาสองชั่วโมงมาให้ ซึ่งนั่นครอบคลุมเวลาก่อนเกิดเหตุไว้ด้วยแล้ว เขายังเห็นรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดไว้ด้านหน้าธนาคารอยู่เลย แสดงว่านั่นเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุ
“ออกมา ออกมาไอ้สวะ”
สายตาของปารุสก์ยังคงจดจ้อง เมื่อเสียงของหัสยุทธเรียกเข้ามาจึงทำให้ชายร่างอวบสะดุ้งเล็กน้อย
“ครับเจ้านาย”
“โทรอีกครั้ง”
“ครับ”
ปารุสก์ละสายตาจากหน้าจอแล้วจัดการบันทึกเสียงอีกครั้ง เขากดหมายเลขของธนาคารแล้วรอ
กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงง
“รับ!”
ชายสวมเสื้อลายสก็อตผลักหัวไหล่ของผู้จัดการสาขาเพื่อกระตุ้นให้เขาเป็นคนรับสาย ชายวัยกลางคนหันมาสบตากับคนร้ายอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ แต่เมื่อเห็นสายตาเอาจริงเอาจังของมัน เขาก็จำเป็นต้องทำ มือที่เย็นจัดค่อยๆ ยื่นออกไปกดปุ่มรับสายซึ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ของธนาคาร มันต้องการให้เขาเปิดสปีกเกอร์โฟนในการสนทนา โดยมีสายตาของตัวประกันคนอื่นๆ จับจ้องอยู่ด้วย
“ฮะ…ฮัลโหล”
“นั่นใคร”
“ผะ…ผมเป็นผู้จัดการ”
“ผมเป็นนักเจรจาต่อรอง เกิดอะไรขึ้นในธนาคาร”
คนร้ายบีบหัวไหล่เขาเป็นเชิงเตือน “เอ่อ เรา…เราถูกปล้น”
“มีคนบาดเจ็บในนั้นรึเปล่า”
“มีครับ” เขารับเสียงเบา
“เราต้องการแลกตัวผู้บาดเจ็บกับสิ่งที่เขาต้องการ”
ผู้จัดการสาขาหันมาสบตากับคนร้ายคนที่ยืนประชิดเขาอยู่ แล้วในวินาทีต่อมามันก็ยื่นมือออกมากดปุ่มเพื่อยุติการสนทนา
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่ใช่โจรกระจอกแล้ว มันต้องการเล่นกับเรา” หัสยุทธสบถ
“อย่างน้อยก็รู้หนึ่งอย่าง…มีคนเจ็บ ผมจะตามรถฉุกเฉินกับแจ้งโรงพยาบาลให้เตรียมหน่วยกู้ชีพไว้”
วุฒิภาศบันทึกไว้อีก หัสยุทธหันไปสนใจปารุสก์แทน เขาถามขึ้นทันทีโดยไม่เอ่ยชื่อใคร เพราะรู้ดีว่าลูกทีมของเขาทุกคนจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดตลอดเวลา
“ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดรึยัง”
“ได้มาหนึ่งจุดครับ ผมกำลังดูอยู่”
“แล้วคนของธนาคารมารึยัง”
“ผมจะถามให้ครับ”
ปารุสก์ใช้ระบบการสื่อสารระหว่างทีมเพื่อเรียกไปยังอาสดา เขาได้รับการยืนยันว่าผู้จัดการเขตของธนาคารเพิ่งเดินทางมาถึง จึงแจ้งกลับไปยังหัสยุทธอีกครั้ง
“พาตัวเขาไปที่รถตู้ ให้เขาบอกชื่อพนักงานที่อยู่ในสาขาทั้งหมดมา ผมต้องการชื่อและประวัติของทุกคน”
“รับทราบครับ”
อาสดาได้ยินคำสั่งทั้งหมดอย่างชัดเจน เขาจึงเป็นคนนำตัวผู้จัดการเขตมาที่รถตู้ของ NIC
ผู้จัดการเขตเป็นชายร่างผอมสูง อายุคงอยู่ในวัยใกล้เกษียณ ผิวคล้ำ หน้าตาเคร่งเครียด ท่าทางเอาการเอางาน เขาพูดขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้งที่มาถึงสถานที่เกิดเหตุล่าช้าเกินไป สาเหตุก็เป็นเพราะการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน อาสดาพาเขาขึ้นรถตู้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พิเศษซึ่งวุฒิภาศเคยนั่งเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ปารุสก์หันมาทักทายง่ายๆ แล้วบอกความต้องการของหัสยุทธให้เขาทราบ ถวิลฟังความต้องการนั้นแล้วก็นิ่งไปนิดคล้ายกับกำลังคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหา จากนั้นก็มีคำตอบเบื้องต้นให้ปารุสก์
“ผมต้องติดต่อกับฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผมไม่รู้จักชื่อของพนักงานทุกคนในนั้น จำได้แค่คุณวิรุฬ เขาเป็นผู้จัดการสาขา”
“งั้นก็ต้องติดต่อตอนนี้เลยครับ” ปารุสก์กำชับ
“อ่ะ ได้ แต่อาจช้าสักหน่อย เพราะมันเป็นวันศุกร์แล้วตอนนี้ทุกคนคงจะกำลังกลับบ้าน พวกแบ็กออฟฟิศไม่ได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนสาขา พวกนี้ทำงานตรงเวลา”
ปารุสก์จ้องมองถวิลด้วยสายตาว่างเปล่า ภายใต้สีหน้านั้นบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่ยอมรับข้อจำกัด เนื่องจากงานที่เขากำลังทำอยู่ถือเป็นงานที่ทำเพื่อธนาคาร ซึ่งถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงของถวิล เพราะฉะนั้นถวิลจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อกำจัดอุปสรรคทั้งหมด ไม่ใช่การพล่ามหาเหตุผลมาตอบเขาในตอนนี้
“ยังไงก็แล้วแต่…ผมต้องการข้อมูลตอนนี้ครับ นอกจากนั้นฝากถามเรื่องกล้องวงจรปิดภายในธนาคารด้วย ผมต้องการช่องทางที่จะเข้าไปดูข้อมูลในนั้น”
ปารุสก์สรุปแล้วหมุนตัวกลับไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ทิ้งให้ถวิลยกโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาเพื่อติดต่อประสานงานอย่างงกๆ เงิ่นๆ แต่ไม่วายยังบ่นงึมงำตามมาเบาๆ
“ไม่เคยเลย…ชีวิตนี้ไม่เคยที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่น่าเกิดในเขตของเราเลย”
ความจริงถวิลก็น่าสงสาร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุการณ์ปกติหรือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นการทำงานครั้งนี้จะเป็นตัววัดว่าเขาสามารถรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีแค่ไหน
“เอายังไงดีพี่โอ่ง”
“ข้างหลังออกไม่ได้แล้ว”
คนร้ายสองคนกระซิบกันเบาๆ หน้าประตูหลังของธนาคาร แผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกดูเหมือนถูกทำลายลงไปแล้วด้วยฝีมือของวิญญู หากจะดึงดันทำตามแผนเดิมให้ได้ จุดจบของพวกเขาก็คงเป็นพื้นแฉะๆ ในตลาดเป็นแน่ คนที่ถูกเรียกว่า ‘โอ่ง’ กระชับปืนในมือแน่น เขาสั่งให้มัดผู้จัดการสาขาซึ่งอยู่ติดกับสุภาพสตรีคนที่เขาคิดจะพาไปเป็นตัวประกัน ในสมองพยายามคิดหาทางออกให้ตัวเองอย่างเร็วจี๋
“ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เราจะไม่รอดนะ ตำรวจไม่ชอบหรอกที่มีตัวประกันอยู่ในนี้”
“กูรู้น่า” เขาเอ็ดลูกน้องเสียงแข็ง “ถ้ามันโทรมาอีก เราจะเจรจา”
“พี่จะเจรจาว่าไง”
“เราจะยอมปล่อยคนเจ็บไปหนึ่งคนแลกกับรถเพื่อหนี”
“แล้วพะ…”
โอ่งตวัดสายตามามองแล้วพูดเสียงเข้ม “ให้ได้รถมาก่อนแล้วค่อยคิดหาทางออก”
คนฟังพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะเขาเองก็ยังไม่เห็นทางรอดอย่างปลอดภัย ตอนนี้จึงจำเป็นต้องไว้ใจคนที่เป็นหัวหน้า
“มึงลองขึ้นไปสำรวจชั้นสองของตึกหน่อยสิ เผื่อจะมีทางหนีที่ดีกว่าทางนี้อีกทาง”
“ได้พี่”
คนเป็นลูกน้องรีบพุ่งไปที่บันไดซึ่งทอดตัวอยู่ด้านข้างผนัง ส่วนโอ่งเบนความสนใจไปที่ตัวประกันของเขาอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยทุกคนให้เป็นอิสระได้ เพราะนั่นหมายความว่าความปลอดภัยของตัวเขาจะเป็นศูนย์
“อะฮ้า…ออกมาแล้ว น่าจะใช่ๆ”
ปารุสก์ยิ้มออกมาได้นิดหนึ่งก่อนที่จะถูกถวิลจับหัวไหล่แน่น
“อะไร ไหน เห็นคนร้ายแล้วเหรอ”
ปารุสก์ปัดมือของผู้จัดการเขตออกจากไหล่แล้วพูดเสียงเข้ม “วงจรปิดในธนาคารครับท่าน ผมต้องการดูภาพกล้องวงจรปิดในธนาคาร”
ถวิลถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ก่อนตอบ “เอ่อ ผมพยายามติดต่อคนของสำนักงานใหญ่แล้ว แต่มันค่อนข้างยุ่งยาก…”
“เอาชื่อและเบอร์โทรศัพท์มา ผมจัดการเอง”
ถวิลช่างเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างเหมาะสมเอาเสียเลย แต่อีกใจปารุสก์ก็นึกสงสารว่าเขาคงไม่ได้พบโจรปล้นธนาคารบ่อยนักในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนตนที่ทำงานกับอาชญากรอยู่ทุกวัน มือของถวิลสั่นเทาในขณะที่ส่งโทรศัพท์มือถือของตนมาให้
ปารุสก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ของผู้จัดการเขตโทรไปหาคนของสำนักงานใหญ่ แต่เขากลับใช้หมายเลขเฉพาะของหน่วย NIC เพื่อติดต่อสื่อสาร เพราะหมายเลขนี้จะมีการบันทึกบทสนทนาไว้ด้วยทุกครั้ง เสียงสัญญาณรอสายดังต่อเนื่องอยู่พักใหญ่จึงมีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะ ฝ่ายไอทีของ…”
“ผมโทรจากพื้นที่เกิดเหตุ มีคนร้ายบุกปล้นธนาคารของคุณ สาขาหน้าโรงเรียนอนุบาลลูกขวัญ มันจับตัวประกันซึ่งเป็นพนักงานกับลูกค้าไว้ประมาณสิบชีวิต”
“อะ…อะไรนะคะ”
“ขอสายคนที่มีอำนาจในการเข้าถึงกล้องวงจรปิดของธนาคารด้วยครับ ความช่วยเหลือของพวกคุณจะทำให้ชีวิตของคนข้างในปลอดภัย ยิ่งช้ายิ่งมีความเสี่ยง”
“คือ…เอ่อ…ฉันจะตามผู้จัดการให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หูของปารุสก์รอสายในขณะที่มือก็พยายามล็อกภาพบุคคลต้องสงสัยในวงจรปิดที่ได้มาก่อนหน้านี้ด้วย เขารอไม่นานก็มีน้ำเสียงตื่นตระหนกติดต่อเข้ามาในสาย
“ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายไอทีครับ”
“ครับ ผมปารุสก์ ผู้ช่วยฝ่ายไอทีของหน่วย NIC ขณะนี้ตำรวจกำลังอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ผมต้องการภาพจากกล้องวงจรปิดภายในธนาคารเมื่อสองชั่วโมงก่อนจนถึงปัจจุบัน มีวิธีการไหนบ้างที่ผมจะเข้าถึงข้อมูลตรงส่วนนั้นครับ”
“ดะ…ได้ครับ ผมต้องตามตัวคนดูแลระบบมาก่อน”
“ขอบคุณครับ ด่วนเลยนะครับ กรุณาจดหมายเลขติดต่อกลับด้วยครับ”
“ครับๆ”
ปารุสก์ทวนหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติตต่อมายังรถเคลื่อนที่ของ NIC ได้โดยตรงให้แก่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของธนาคาร แล้วหันมามองถวิลอีกครั้ง
“ได้ข้อมูลพนักงานรึยังครับ”
“เออ ดะ…ได้ตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้รายชื่อครบ”
“ก็ยังดี บอกมาเลยครับ” เขาหันกลับไปที่จอคอมพิวเตอร์เพื่อรวบรวมข้อมูลไว้ในที่เดียวกัน
“ผู้จัดการสาขาหนึ่งคน” ถวิลพยายามดึงสมาธิของตนมายังคำตอบที่ได้คุยกับแผนกบุคคลของสำนักงานใหญ่ไปเมื่อครู่ “ผู้ช่วยผู้จัดการสาขาอีกหนึ่ง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์สาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่ง แล้วแม่บ้านอีกหนึ่ง รวมเป็นเจ็ดคน”
“ผู้ชายกี่คน”
“เอ่อ น่าจะสองหรือสาม”
“เอาให้แน่ครับ ตอนนี้เรารู้ว่าผู้จัดการสาขาเป็นผู้ชายแน่ เพราะเขาเพิ่งคุยกับหัวหน้าผมทางโทรศัพท์ แล้วพนักงานคนอื่นมีผู้ชายกี่คน ผู้หญิงกี่คน”
“ผมต้องรอให้แผนกบุคคลส่งรายชื่อกับประวัติที่คุณขอมาให้ก่อน แต่คุณก็รู้นี่ว่าพนักงานของธนาคารมีเป็นพันคน ก็ต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูล” ถวิลพูดอย่างร้อนรน
“รับทราบ ถ้าอย่างนั้นท่านรอข้อมูลไปก่อน ได้เมื่อไรกรุณาแจ้งทันทีนะครับ ผมจะได้ตามส่วนอื่นต่อ”
ถวิลอดรู้สึกว่าถูกเด็กรุ่นหลังกดขี่ข่มเหงไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งเคยชินกับการที่ทุกคนต้องเอารายงานมานำเสนอ เมื่อเป็นฝ่ายถูกจี้ให้ต้องทำงานเสียเองจึงรู้สึกแปลกและจับต้นชนปลายไม่ถูก อีโก้ส่วนตัวเกิดขึ้นวูบวาบจนนึกอยากจะเรียกผู้ช่วยให้เข้ามาในรถตู้นี้ด้วย แต่อาสดาบอกเขาไว้ก่อนหน้านี้ว่าห้ามให้บุคคลอื่นเข้า
ด้านนอกรถตู้แม้ว่าฝูงชนจะถูกควบคุมไม่ให้เข้าไปวุ่นวายภายในสถานที่เกิดเหตุแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ตะโกนเรียกตำรวจตลอดเวลาเพื่อให้หันไปสนใจพวกเขา เนื่องจากตำรวจในสังกัดของโอบเกียรติเอาแต่ยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ไม่ได้สนใจว่าใครจะดูร้อนรนกระวนกระวายเพียงใด พวกเขามีหน้าที่แค่รักษาการณ์ให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเท่านั้น มีเพียงอาสดาคนเดียวที่รู้สึกว่าผู้หญิงสูงวัยกับผู้ชายตัวสูงโย่งที่เอาแต่ตะโกนและโบกมือเป็นพัลวันนั้นมีบางอย่างที่น่าสนใจ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลังเชือกกั้น
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้ หญิงสูงวัยคนนั้นก็แทบจะพุ่งตัวข้ามเชือกมาดึงแขนของเขาไว้ อาสดาเบี่ยงตัวหลบนิดหนึ่งตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาให้มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งผิดปกติ แต่หญิงคนนั้นก็ไม่ลดละความพยายามที่จะยื่นมือออกมาหา และเริ่มร้องไห้
“คุณตำรวจคะ สามีฉันอยู่ข้างใน เขาเอาเงินไปฝากในธนาคาร แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย สงสัยต้องอยู่ข้างในนั้นแน่ๆ”
…ญาติของตัวประกัน…
นี่เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะได้รู้ว่ามีใครอยู่ด้านในบ้าง อาสดาเป็นฝ่ายกระโจนเข้าไปจับข้อมือหญิงสูงวัยคนนั้นไว้เอง
“เชิญมากับผมทางนี้ด้วยครับ”
นอกจากหญิงสูงวัยจะยินยอมตามมาด้วยความเต็มใจแล้ว ผู้ชายอีกคนที่น่าจะเป็นลูกของเธอก็รีบตามมาด้วย อาสดากันคนทั้งคู่ออกจากฝูงชน เขาต้องการสถานที่เงียบสงบสำหรับสอบถามข้อมูลกับญาติของตัวประกันรายนี้
“สิบห้านาทีแล้วรุสก์”
จู่ๆ เสียงกระตุ้นเตือนจากหัสยุทธก็ดังเข้าหู ปารุสก์สะดุ้งทั้งตัวก่อนตอบ
“คร้าบเจ้านาย ตอนนี้ผมได้รับอนุมัติจากฝ่ายไอทีให้เข้าตรวจสอบภาพในกล้องวงจรปิดของธนาคารแล้วครับ แต่ต้องใช้เวลาดาวน์โหลดข้อมูลหน่อย ยืนยันว่ามีพนักงานของธนาคารทั้งหมดเจ็ดคน หญิงห้า ชายสอง ผู้จัดการสาขาชื่อวิรุฬ ประวัติแบบละเอียดยังไม่ได้ส่งมา เมื่อห้านาทีที่แล้วพี่อาสเจอญาติของหนึ่งในตัวประกัน ตอนนี้กำลังสอบปากคำอยู่และอาจจะมีญาติของคนอื่นอีกครับ”
“อืม”
“เจ้านาย…ผมอยากให้พี่วุฒิมาช่วยดูกล้องวงจรปิด ไล่ดูคนเดียวคงไม่ทันครับ ตอนนี้ได้ล็อกภาพจากกล้องเอกชนห้องริมสุดไว้สี่ห้าช็อต มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนร้ายครับ”
“โอเค ขอเจรจารอบสองก่อนแล้วจะปล่อยวุฒิไป”
“ครับผม แล้วเจ้านายจะให้ต่อสายเลยไหม”
“ได้”
“ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ครับ”
ปารุสก์กำลังจะต่อสายเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีแขกอยู่บนรถด้วยอีกคน ชายร่างอวบจึงหันไปคุยกับถวิลก่อน
“เชิญท่านลงจากรถก่อนนะครับ ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมผมจะเรียกไปอีกครั้ง”
“อ้าว ทำไมไม่ให้ผมอยู่ล่ะ บางทีผมอาจจะช่วยในเรื่องการเจรจาได้นะ”
ปารุสก์ตีหน้าเคร่งแล้วผายมือไปทางประตู “เชิญครับ คนของท่านคงรออยู่ด้านนอก”
ถวิลจ้องมองด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วเปิดประตูรถตู้เดินออกไป ปารุสก์รอให้ประตูถูกปิดอีกครั้งแล้วจึงเริ่มงานของเขา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม คนในธนาคารต่างหันไปมองเป็นตาเดียว โอ่งยืนอยู่ตรงนั้นในขณะที่ผู้ช่วยของมันยกปืนขึ้นแล้วกวาดไปทั่วห้อง ทั้งพนักงานและลูกค้าจึงไม่มีใครกล้าส่งเสียง จากจุดที่วายร้ายยืนอยู่เขาสามารถมองเห็นรถตำรวจซึ่งจอดอยู่เยื้องหน้าธนาคารได้ถนัด แสงด้านนอกเริ่มโรยตัวลงแต่ก็ยังไม่มืด จึงมองเห็นเงาของชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นได้
โอ่งปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังอีกพักแล้วจึงยกหูขึ้นด้วยตัวเอง
“สวัสดี” เสียงของหัสยุทธทักขึ้นก่อน
“ฉันต้องการรถ”
“เดี๋ยวๆๆ คุยกันก่อน นายยิงปืนไปหลายนัด จับคนไว้ตั้งหลายคน”
หัวใจของโอ่งเต้นแรง เขาต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เขาบอกตัวเองเช่นนั้น “แลกกัน”
“กับอะไร”
“คนเจ็บกับรถกระบะคันหนึ่ง”
เป็นครั้งแรกที่โจรปล้นธนาคารสารภาพกับตำรวจด้วยตัวเองว่ามีคนที่บาดเจ็บอยู่ด้วย
“นายมีคนเจ็บงั้นเหรอ”
โอ่งถอนใจอย่างหงุดหงิด “ใช่”
“นายทำให้คนบริสุทธิ์บาดเจ็บงั้นเหรอ”
“ใช่!”
“นอกจากจะปล้นธนาคารแล้ว นายยังทำให้คนบาดเจ็บด้วย”
“เออ! มึงจะเจรจาไหม!” ความนิ่งของหัสยุทธทำให้มันเริ่มโกรธ “ตอนนี้พนักงานเสียเลือดมาก ถ้ามันตาย กูไม่เกี่ยวนะ เป็นเพราะมึงเองนั่นแหละที่เอาแต่ถามซ้ำไปซ้ำมา”
“ใจเย็นๆ ฉันรู้แล้วว่านายมีคนเจ็บเป็นพนักงานธนาคาร เขามีบาดแผลที่ไหนล่ะ”
“ผู้หญิง…ลูกกระสุนเฉียดแขน มันจะกดสัญญาณเตือนภัย ฉันเลยต้องยิงมัน”
กลยุทธ์บีบคั้นโดยการถามคำถามซ้ำไปซ้ำมาและยื่นบาปให้คนร้ายกำลังได้ผล คนร้ายเริ่มบอกความจริงที่เกิดขึ้นให้รู้ทีละนิด
“โอเคๆ พนักงานหญิงมีบาดแผลที่แขน เสียเลือดไปมาก เธอต้องไปโรงพยาบาลนะ”
“ก็นั่นแหละ เอารถมาแลกสิ”
“พนักงานหนึ่งคนกับรถหนึ่งคัน ฉันว่ามันเป็นการเอาเปรียบกันมากเกินไปหน่อย”
โอ่งยกมืออีกข้างปิดหูโทรศัพท์ไว้แล้วกระซิบบอกลูกน้องของมันเบาๆ
“ไอ้ตุ่น…มันโยกโย้”
ตุ่นหันกลับไปสบตากับลูกพี่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “มันไม่ยอมเหรอพี่ แต่เราไม่มีทางออกอื่นแล้วนะ ข้างบนก็ไม่มีทางหนี”
โอ่งไม่ตอบ แต่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง “งั้นฉันจะยอมปล่อยอีกคน”
ทันทีที่เขาพูดออกไป ตัวประกันในห้องต่างก็ร้องโวยวายขึ้นมาพร้อมกัน เพราะทุกคนอยากเป็นคนที่ถูกเลือกให้ออกไปจากที่นี่พร้อมกับพนักงานหญิงที่บาดเจ็บทั้งนั้น
“เงียบ!” ตุ่นตะคอกพร้อมแกว่งปืนในมือไปมา
โอ่งยกมือขึ้นปิดหูโทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อทุกเสียงสงบลงเขาจึงเริ่มการเจรจาใหม่ “คนเจ็บหนึ่งกับแม่บ้านอีกหนึ่ง”
การตัดสินใจของเขาทำให้แม่บ้านร้องไห้โฮด้วยความดีใจ แต่ลูกค้ากับพนักงานอีกหลายคนกลับน้ำตาซึมเพราะความผิดหวัง
“ผู้จัดการสาขา” หัสยุทธเป็นฝ่ายเลือกให้บ้าง แต่การเสนอของนายตำรวจอาจทำให้แม่บ้านยิ่งร้องไห้
“ไม่ได้” โอ่งปฏิเสธเสียงเข้ม “คนอื่น…รปภ.”
เสียงหัสยุทธถอนใจ “รปภ. แก่แล้วใช่ไหม”
“ใช่ กลัวว่ามันจะหัวใจวายตายซะก่อน”
“นี่นาย…นายคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบลงยังไง”
โอ่งชะงักไปนิด เขาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของตุ่นแล้วกรอกเสียงเรียบๆ ลงไปในโทรศัพท์ “ตกลงไหม”
“เมื่อนายได้รถ นายจะหนีไปอย่างมีความสุขงั้นเหรอ ทั้งที่ตรงนี้มีหน่วยสืบสวนอยู่ประมาณยี่สิบคนกับอาวุธครบมือ”
“ไม่ต้องพูดมาก ว่าไง…ตัวประกันสองคนกับรถกระบะ”
“อีกประมาณชั่วโมงฟ้าจะมืด คนจะเริ่มหิวเพราะถึงเวลาอาหารเย็น บางคนอาจจะต้องการทำธุระส่วนตัว แต่ในนั้นมันมืด ความมืดจะยิ่งทำให้เกิดความเครียด นายควบคุมความรู้สึกของคนทุกคนไว้ไม่ได้หรอก อีกไม่นานเหตุการณ์นี้มันจะจบ แต่ตอนนี้นายมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้มันจบลงที่ตรงไหน”
โอ่งกัดฟันกรอด “อีกครึ่งชั่วโมงถ้ากูไม่ได้อย่างที่ขอ ตัวประกันสองคนที่ตกลงกันไว้จะออกไปอย่างไม่มีลมหายใจ”
…กึก…
“ไอ้เวร…” หัสยุทธสบถทันทีที่โทรศัพท์ถูกตัดการสื่อสารไป “สรุปนะ มีคนบาดเจ็บเป็นพนักงานธนาคารหญิงหนึ่งคน คนร้ายต้องการแลกตัวเธอกับรถ หากในครึ่งชั่วโมงมันได้ตามที่ขอ มันจะปล่อยแม่บ้านหรือ รปภ. มาให้ด้วย แล้วเรื่องกล้องว่าไงรุสก์”
“คร้าบ ล็อกภาพได้แล้วครับเจ้านาย ผมเพิ่งเข้าไปดูกล้องของธนาคารได้เมื่อครู่นี้เอง ขอพี่วุฒิมาช่วยดูหน่อยครับ เสียงปืนที่ได้ยินมันแปลกๆ”
“โอเค เดี๋ยวให้วุฒิไป เช็กด้วยว่ารถพยาบาลมาถึงรึยัง”
วุฒิภาศพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเตรียมลงจากรถ เขาหันหลังกลับไปสบตากับโอบเกียรติซึ่งยังประจำการอยู่ด้านหลังรถกระบะผ่านกระจก วุฒิภาศทำสัญญาณมือว่าเขากำลังจะลงจากรถ โอบเกียรติพยักหน้ารับก่อนสั่งการให้ลูกน้องอีกคนมาประกบตัววุฒิภาศลงจากรถไป
“มาแล้ว”
วุฒิภาศรายงานตัวง่ายๆ กับคนที่กำลังครอบครองเทคโนโลยีทุกชิ้นบนรถคันนี้อยู่ เขาหยิบเก้าอี้พับสำรองตัวหนึ่งติดมือมาแล้วกางออกตรงตำแหน่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏ นาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกำลังนับเวลาถอยหลัง นั่นเป็นเพราะปารุสก์กำลังจับเวลาเส้นตายที่คนร้ายขีดไว้ ชายร่างอวบโหลดทุกอย่างที่สงสัยขึ้นมาบนหน้าจอทุกจอที่มี แต่เขากลับถามเรื่องอื่นก่อน
“เจ้านายจะให้รถไหม”
“ยังไม่ให้อยู่แล้ว ต้องมีการขอเจรจาอีกครั้งก่อนเส้นตาย นายเจออะไร”
“พี่ดูนี่นะ ผู้ชายคนนี้” ภาพบนหน้าจอนิ่ง ปารุสก์ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง “เขาเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีกเลย”
“คนสุดท้ายเหรอ”
“ใช่ คนสุดท้ายที่เข้าไป จากนั้นก็ไม่มีใครเข้าออกจากธนาคารอีกเลย”
“นี่จากกล้องไหน”
“ร้านเครื่องเขียน”
กล้องวงจรปิดจากร้านเครื่องเขียนซึ่งอยู่ติดกับธนาคารให้ภาพที่ไม่คมชัดนัก แต่ก็อยู่ในรัศมีที่ใกล้กว่าโฮมออฟฟิศซึ่งปารุสก์ได้ภาพมาเป็นแห่งแรก
“ถือเป้ด้วยเหรอ”
“อืม มีเป้ แต่ไม่ได้ใส่หมวกหรือแว่นดำ มันไม่ผิดกฎธนาคารน่ะ รปภ. ก็เลยให้เข้าไป”
“ไหนลองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ซิ”
ปารุสก์กำลังจัดการกับเทปตามคำสั่ง ในขณะที่หัสยุทธทักเข้ามาในหูฟังของเจ้าหน้าที่หน่วย NIC อีกครั้ง
“เสียงปืนว่าไง”
“ยังไม่ได้ฟังเลยครับ” วุฒิภาศตอบ
“ช้าไปแล้วนะ”
“กำลังดูภาพอยู่ครับ ได้ภาพคนสุดท้ายที่เข้าไปในธนาคารแล้ว”
“ดี แล้วรถพยาบาลล่ะ”
“อีกห้านาทีถึงครับ” ปารุสก์ตอบแทน เขาเป็นคนแจ้งไปยังหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดก่อนวุฒิภาศจะขึ้นมาบนรถตู้
“รักษาเวลาด้วย”
“ครับ”
หัสยุทธเงียบเสียงไป ปารุสก์หันมาสบตากับวุฒิภาศแล้วทำปากขมุบขมิบว่า ‘เกือบไป’ มือของเขากำลังเลื่อนเทปไปช่วงก่อนหน้าที่ชายคนสุดท้ายจะโผล่เข้ามาในกล้อง ไม่นานวุฒิภาศก็ออกคำสั่งอีกครั้ง
“หยุด…หยุดตรงนี้” วุฒิภาศจ้องภาพนั้นอึดใจ “ผู้ชายคนนี้มีซองสีน้ำตาล ซูม”
ปารุสก์ขยายภาพซองสีน้ำตาลซึ่งถูกเหน็บอยู่ใต้รักแร้ของชายคนหนึ่งเข้ามา เขาเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าผู้ชายคนที่ใส่เสื้อลายสก็อตนั้นถือซองเอกสารอยู่ด้วย
“ซองใส่เงินรึเปล่า”
วุฒิภาศส่ายศีรษะ “รอยยับบนซองไม่ได้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม เล่นเทปต่อซิ”
เทปถูกปล่อยให้ภาพเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายคนนั้นเดินเข้ามาในรัศมีของกล้องแล้วหยุดยืนหน้าประตูกระจก เขาเลื่อนซองสีน้ำตาลซึ่งเหน็บไว้ใต้รักแร้มาถือไว้ในมือก่อนที่ประตูกระจกจะถูกเปิดออกจากด้านใน แล้วชายคนนั้นก็ผลุบหายเข้าไป
“ดูระยะห่างระหว่างผู้ชายคนที่มีซองเอกสารกับคนที่มีเป้ซิว่าสองคนนี้เข้าไปในธนาคารห่างกันกี่นาที”
ปารุสก์ต้องกลับมาสนใจเรื่องเวลา เขาจับจุดที่ชายคนที่มีซองสีน้ำตาลเหยียบเข้าไปในธนาคารและจุดที่ชายคนซึ่งมีเป้เข้าไปในนั้นเป็นคนสุดท้าย
“สามจุดหนึ่งสองนาที” ปารุสก์สรุป “สองคนนั้นเข้าไปในธนาคารห่างกันสามจุดหนึ่งสองนาที แต่ตอนนี้เราเหลือเวลาสิบเก้านาทีกว่าๆ ก่อนจะถึงเส้นตาย”
“โอเค ใจเย็นๆ ไอ้น้อง ไหนฟังเสียงปืนของนายซิ นายได้ยินเสียงปืนจากกล้องตัวไหน”
“กล้องธนาคารเลยพี่ ผมยังไม่ได้ดู แค่ฟังเสียง”
“อ้าว…”
“ก็บอกแล้วไงว่าดูไม่ทัน นั่งดูเทปของร้านเครื่องเขียนไปแล้วก็เปิดเสียงของเทปธนาคารไปด้วย เพราะเพิ่งได้เทปนี้มาเป็นเทปสุดท้ายก่อนที่พี่จะขึ้นรถมาไม่กี่นาทีเอง”
คราวนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารถูกดึงขึ้นมายังจอด้านหน้าเก้าอี้ของปารุสก์ มันเป็นกล้องหน้าเคาน์เตอร์ที่สามารถมองเห็นด้านหลังของพนักงาน เก้าอี้ลูกค้า และประตูกระจก
“เลื่อนไปเวลาเดียวกันกับที่เราดูภาพจากกล้องร้านเครื่องเขียนเลย”
“ครับ ตั้งแต่บ่ายสามสิบนาทีนะ” ปารุสก์จับเวลาในเทปจากกล้องวงจรปิดในนาทีที่ต้องการได้แล้ว และในที่สุดเขาก็เห็น… “เข้ามาแล้ว คนใส่เสื้อลายสก็อต”
วุฒิภาศจับตาดูจอภาพอย่างตั้งใจไม่ต่างจากปารุสก์ เขายังติดใจเจ้าซองใส่เอกสารสีน้ำตาลที่ถูกพับครึ่งไว้อยู่ ชายใส่เสื้อลายสก็อตวางมันไว้บนเคาน์เตอร์ไม่ห่างตัว มองจากด้านหลังก็เห็นว่าชายคนนั้นกำลังจะเขียนเอกสารสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน
“ดูก็ปกตินะพี่”
วุฒิภาศไม่ตอบ เขายังใจเย็นพอที่จะดูภาพต่อไปเรื่อยๆ ผู้ชายคนนั้นใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่ยังหันหลังให้เคาน์เตอร์ธนาคาร เมื่อเลิกใช้แล้วจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้รอเรียกคิว คราวนี้สามารถเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเจนมากที่สุด แต่ก็เป็นเวลาไม่นานนักเพราะความเคลื่อนไหวในจอถูกดึงความสนใจไปที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์และสุภาพสตรีท่านหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น เร่งเสียงหน่อยซิ”
“เต็มที่ได้แค่นี้แหละพี่ ดูเหมือนลูกค้าจะมีปัญหาอะไรซักอย่าง”
“คนนั้นใคร คนที่กำลังเดินออกมาจากห้อง”
“ป้ายตรงหน้าห้องบอกว่าเป็นผู้จัดการสาขา อย่าเพิ่งสนใจเลย นั่นมาแล้ว…คนถือเป้”
ปารุสก์กำลังจับตามองประตูกระจก ในขณะที่วุฒิภาศกลับสนใจบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นจุดให้บริการ เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อชายคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตเดินเข้ามารับบริการ ไม่กี่วินาทีถัดมาเสียงปืนนัดแรกก็ดังขึ้น
…ปัง!…
“เฮ้ย!” ปารุสก์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปืน รู้ทันทีว่าตนเองจับตามองผิดคน
“มันยิงพนักงานก่อน”
…ปัง!…
ภาพในจอดับลงทันที
“แล้วนัดที่สองก็กล้องวงจรปิด”
ปารุสก์หันมาจ้องใบหน้าด้านข้างของวุฒิภาศ “อัจฉริยะ…พี่รู้ได้ยังไงว่าไอ้สองคนนี้มันมาด้วยกัน”
“ไม่รู้ แค่เดาจากท่าทางของมัน นายมีภาพแค่นี้เหรอ”
“ครับ”
“พยายามแคปหน้าคนร้ายออกมาให้ได้ภาพที่ชัดที่สุด”
“รับทราบ”
“เดี๋ยวฉันจะกลับไปรายงานหัวหน้าเอง” วุฒิภาศจ้องมองจอนิ่งแล้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเลือกคำตอบไว้ให้หัสยุทธ “ปืนประกอบขึ้นเอง”
(ติดตามต่อวันที่ 24 ก.ค. 62)
Comments
comments