X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ

ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 10-บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 10

ตลอดเวลาที่นั่งรถมายังสำนักงานใหญ่ของธนาคารทวีสินทรัพย์โดยมีวุฒิภาศขับรถให้ หัสยุทธยังคิดถึงสิ่งที่หมอบุษบงกชบอกไว้ บางอย่างมันล่อลวงให้เขาเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่ศีลธรรมในใจค้านว่าขออย่าให้มันเป็นจริง การมาพบถวิลอีกครั้งในสถานที่ที่เป็นของเขาทำให้นายตำรวจทั้งสองรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย พวกเขาถูกเชิญให้ขึ้นไปพบผู้จัดการเขตบนชั้นสูงสุดของตัวอาคาร รออยู่หน้าห้องไม่ถึงห้านาทีก็ถูกเชิญให้เข้าไปในห้องทำงานที่เย็นเฉียบ ซึ่งแม้แต่เจ้าของห้องเองยังต้องสวมสูท

ห้องทำงานเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า พวกเขาต้องเดินเข้าไปข้างในหลายก้าวกว่าจะถึงหน้าโต๊ะทำงานของถวิล นายธนาคารมีเลขานุการคนหนึ่งกำลังยืนรอแฟ้มเอกสารที่หัวหน้าของเธอกำลังเซ็นรับทราบอยู่ เมื่อเธอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ค้อมตัวเดินออกไป

“เชิญครับคุณตำรวจ” ถวิลผายมือเชื้อเชิญให้คนทั้งคู่นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา “เรารู้จักกันแล้ว ผมขอเริ่มเรื่องเลยก็แล้วกัน เพราะมันเร่งด่วนและสำคัญมาก ผมต้องมีคำตอบให้ผู้บริหารในเย็นวันนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

วุฒิภาศหันไปมองใบหน้าด้านข้างของหัวหน้า สันกรามคมให้ความรู้สึกเย็นชาปนน่าเกรงขาม หัสยุทธตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ดูเหมือนจำนวนคนร้ายที่เราเคยสงสัยจะมีมากกว่านั้นครับ”

“อะไรนะ” ถวิลเหวอไปเลย

“จากที่เราเคยคิดว่าคนร้ายมีสองคนและเสียชีวิตไปหมดแล้วนั้นอาจไม่เป็นความจริง ในการสืบสวนเชิงลึกของตำรวจ เราพบว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้ครับ”

“หมายความว่ายังมีโจรปล้นธนาคารอีก…ใคร”

“หนึ่งในนั้นเป็นตัวประกันซึ่งหนีออกไปพร้อมกับคนร้ายในวันเกิดเหตุ”

ถวิลอ้าปากค้าง “ตัวประกัน…สุภาพสตรีที่ตั้งครรภ์น่ะเหรอ”

“ครับ แล้วเธอยังเอาเงินจำนวนหนึ่งของธนาคารติดตัวไปด้วย ขณะนี้ทางตำรวจกำลังตามล่าหาตัวเธออยู่”

“เวร!” ถวิลสบถออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว “ผมคิดว่าเราจะปิดคดีได้แล้ว”

“ยังครับ ยังมีอีกเรื่อง”

หัสยุทธพูดเสียงเย็นแล้วพยักหน้าให้วุฒิภาศ ลูกน้องของเขาเปิดซองเอกสารในมือออกแล้วยื่นภาพถ่ายปึกหนึ่งไว้ตรงหน้าถวิล

“นี่คืออะไร” เขาถาม

วุฒิภาศเป็นคนตอบ “ภาพที่แคปออกมาจากกล้องวงจรปิดของธนาคารก่อนที่คนร้ายจะเข้าไปครับ”

ถวิลดูภาพเหล่านั้นเร็วๆ “มันผิดปกติตรงไหน บอกผมหน่อยสิ”

“มันคือการทำงานเป็นทีมของคนร้ายครับ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นถวิลก็พิจารณาภาพเหล่านั้นใหม่ช้าๆ และเป็นลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ก่อนคนร้ายที่ใส่เสื้อลายสก็อตจะเข้ามาจนถึงตอนที่เขายิงพนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์ มีบางช่วงที่เขาพลิกกลับไปดูภาพที่ดูผ่านไปแล้ว หัสยุทธต้องการให้คนของธนาคารเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่ามันผิดปกติตรงไหน

“ถ้าผู้จัดการไม่ออกมานอกห้อง เขาจะสามารถกดปุ่มฉุกเฉินในห้องทำงานของเขาได้ ไม่น่าออกมาเลย”

หัสยุทธยิ้มมุมปาก “ครับ ไม่น่าออกมาเลย ยกเว้นแต่ว่าเขาจำเป็นต้องออกมาเพราะสถานการณ์ที่พวกเขาวางไว้แล้ว”

ถวิลเงยหน้าขึ้นจากภาพในมือ “หมายความว่ายังไงคุณตำรวจ คุณคิดว่าวิรุฬ…”

“ผมต้องการให้ท่านตรวจสอบผลการปฏิบัติงานของสาขานี้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องเงิน ตำรวจสงสัยว่าการปล้นครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจเพื่อปกปิดความผิดบางอย่างที่ใหญ่กว่า และถ้ามันมีสิ่งผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็ควรจะตรวจสอบคนในก่อนเป็นอันดับแรก”

“ดะ…เดี๋ยวๆๆ นี่มันไม่ใช่การปล้นธนาคารธรรมดาๆ เหรอ ผมไม่เข้าใจ”

“มันอาจจะเป็นการปล้นธรรมดาก็ได้ครับ ตำรวจให้น้ำหนักความเป็นไปได้ทั้งสองทาง ซึ่งขณะนี้มีทีมหนึ่งกำลังตามหาคนร้ายที่เหลืออยู่ ถ้าเราหาคนนั้นเจอบางทีเขาอาจจะให้การปรักปรำคนที่เหลือก็ได้ แต่ในระหว่างนี้เราก็ไม่ควรปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์”

“นี่คุณ มันแทบจะเป็นการกล่าวหาผู้จัดการสาขาเชียวนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ”

“ครับ ผมทราบดี แต่พฤติกรรมหลายอย่างของคุณวิรุฬทำให้เรานิ่งนอนใจไม่ได้ เขามีความเป็นฮีโร่มากจนน่าสงสัย และทุกครั้งที่เป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์มักจะต้องมีเขาร่วมอยู่ด้วยเสมอ ตั้งแต่ผู้หญิงที่เราสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเป็นคนที่มายืนหน้าเคาน์เตอร์ก่อน จากนั้นก็มีการเรียกผู้จัดการสาขาให้ออกจากห้องของเขา ตามมาด้วยคนร้ายที่เข้ามาทำธุรกรรมที่เคาน์เตอร์เดียวกัน ก่อนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์จะถูกยิง ทุกอย่างมันลงล็อกพอดีเป๊ะกับที่คนร้ายจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ในคราวเดียว”

“แล้วยังมีช่วงที่คนร้ายรับโทรศัพท์ด้วยครับ” วุฒิภาศอธิบายเพิ่มเติม โดยที่เขาเปิดภาพถ่ายในช่วงเวลานั้นให้ดูด้วย “ดูนี่สิครับ คนร้ายกำลังเขียนเอกสาร-ผู้จัดการยกหูโทรศัพท์ในห้องของเขาขึ้น-คนร้ายรับสาย จากนั้นผู้จัดการก็วางสายลง มันเป็นการส่งสัญญาณระหว่างกันเพื่อให้ทุกคนเตรียมตัว”

ถวิลยังคงไม่ปักใจเชื่อ “มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”

“ไม่ครับ เพราะโทรศัพท์มือถือที่เราได้จากตัวคนร้ายมีหมายเลขบนโต๊ะทำงานของผู้จัดการเรียกเข้าด้วย ทางตำรวจตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ เรื่องนี้เขาพลาด หรือไม่ก็มั่นใจมากว่าพวกเขาจะรอดจากการปล้นธนาคารอย่างแน่นอน”

ในที่สุดถวิลก็เถียงไม่ออก เหงื่อของเขาซึมออกมาที่หน้าผากแม้อากาศในห้องจะเย็นเฉียบ เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันทีเมื่อพนักงานระดับสูงของธนาคารเกี่ยวข้องกับคดีปล้นธนาคารของตัวเองอย่างนี้ เขาจำเป็นต้องดำเนินการโดยด่วน

“ได้ งั้นผมจะแจ้งไปยังฝ่ายตรวจสอบ แต่ผมอยากให้ตำรวจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะเรื่องนี้จะทำให้ธนาคารเสียชื่อเสียงมาก”

“ไม่ต้องห่วงครับ ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่คุณวิรุฬเอง” หัสยุทธรับปาก

อาสดามากับโอบเกียรติ ซึ่งเป็นการออกนอกสถานที่ด้วยกันไม่บ่อยนัก แต่ครั้งนี้โอบเกียรติต้องการให้อาสดามาช่วยงานของเขาแทนวิญญูที่หน้าดุเกินกว่าจะทำให้ผู้คนไว้วางใจพอที่จะคุยกับเขาได้ ตำรวจสองนายมาถึงสถานสงเคราะห์หลังอาหารมื้อเที่ยงของเด็กเล็ก ส่วนเด็กที่ต้องเข้าโรงเรียนประถมและมัธยมนั้นยังไม่กลับ ทั่วบริเวณจึงไม่ค่อยวุ่นวายเพราะครูผู้ปกครองไม่ได้ปล่อยให้เด็กเล็กออกมาจากห้องเรียน

ทั้งสองเดินไปติดต่อที่ห้องธุรการ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแจ้งว่าผู้อำนวยการของสถานสงเคราะห์อยู่ในห้องทำงาน โอบเกียรติจึงขออนุญาตเข้าพบทันที ผู้อำนวยการเป็นหญิงสูงวัย น่าจะใกล้เกษียณเต็มทน เธอดูท่าทางใจดีและเป็นมิตรมาก นายตำรวจถูกเชิญให้เข้าไปพูดคุยธุระในห้องทำงานขนาดเล็กซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ลมสามารถพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาได้ และพัดลมบนเพดานก็ช่วยคลายความอบอ้าวได้มากโขทีเดียว

“คุณตำรวจมีอะไรให้แม่ครูช่วยเหลือคะ”

โอบเกียรติรู้สึกถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้น “เราต้องการทราบประวัติเด็กที่เคยอยู่ที่นี่คนหนึ่งครับ”

“เขาเป็นใครเหรอคะ แล้วทำไมคุณตำรวจถึงอยากรู้”

“เธอเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบสามปี…”

“เอ๊ะ ยี่สิบสามปี แสดงว่าออกจากที่นี่ไปนานแล้วสิคะ”

“นี่แหละครับสิ่งที่ผมอยากรู้ว่าเธอเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อไร มีชีวิตยังไงในระหว่างอยู่ที่นี่ แล้วออกไปเมื่อไร”

“โอ ต้องการรู้ละเอียดขนาดนั้นเชียว แม่ครูไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่จะพยายามนะคะ ว่าแต่เธอชื่ออะไรแล้วไปทำอะไรไว้เหรอคะ”

“เธอชื่อนางสาววิไล ผลพยัคฆ์ครับ ขณะนี้เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นธนาคาร”

โอบเกียรติตอบแล้วยื่นรูปถ่ายของอิ๋วไปตรงหน้าแม่ครู ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเธอขาวซีดด้วยความตกใจ

“จะ…จริงเหรอคะ”

“ครับ แม่ครูลองดูรูปภาพนี้แล้วช่วยบอกเราได้ไหมครับว่าจำเธอได้ไหม”

ผู้อำนวยการรับภาพถ่ายนั้นมาดู ความทรงจำลางเลือนบวกกับการมีเด็กในปกครองกว่าสองร้อยคนทำให้อิ๋วกลับกลายเป็นคนที่แม่ครูจำไม่ได้

“จำไม่ได้เลยค่ะ แต่เดี๋ยวจะลองให้ครูผู้ปกครองลองเช็กประวัติให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

แม่ครูลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่หน้าห้องทำงานของตน มีเสียงเรียกให้ครูอีกคนมาช่วยหาประวัติของอิ๋ว จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง

“ช่วงห้าปีที่ผ่านมามีการเก็บข้อมูลของเด็กไว้ในคอมพิวเตอร์ค่ะ ถ้าเธออยู่ในสถานสงเคราะห์ของเราในช่วงเวลานั้นก็จะหาประวัติเจอง่ายหน่อย แต่ถ้าไม่อยู่ก็คงต้องค้นเอกสารที่เป็นกระดาษกันนานเลย”

“ต้องรบกวนจริงๆ นะครับ เพราะเวลานี้ที่อยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนของเธอยังเป็นที่นี่ พวกเราจึงตามได้เพียงเท่านี้”

ผู้อำนวยการถอนหายใจยาวอย่างไม่พยายามปิดบัง “นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของเราค่ะ เราพยายามจะจำหน่ายเด็กโตที่พอดูแลและเลี้ยงตัวเองได้ออกไปเพื่อให้มีที่ว่างพอที่จะรับอุปการะเด็กคนใหม่เข้ามา แต่เรื่องการจัดการกับเด็กแต่ละคนนั้นต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์เดียวกันได้ทั้งหมด เพราะศักยภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าคุณตำรวจบอกว่าเด็กคนนี้ยังใช้ที่อยู่ของสถานสงเคราะห์อยู่ก็แสดงว่าเธอยังจัดการชีวิตใหม่ของเธอได้ไม่ดีนัก”

นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด

“ปัญหาสังคมนะครับ แม่ครูอยู่ตรงนี้คงต้องรับรู้อยู่ทุกวัน”

“ค่ะ เราก็พยายามทำทุกอย่างตามกำลังความสามารถ แต่มันคงยังไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นเด็กของเราคงไม่ก่ออาชญากรรมใช่ไหมคะ”

โอบเกียรติกับอาสดายังไม่ทันตอบ ครูผู้ช่วยก็ขออนุญาตเข้ามาในห้องพร้อมกระดาษในมือหนึ่งแผ่น

“เจอแล้วค่ะแม่ครู เธอเพิ่งออกจากสถานสงเคราะห์ไปได้สามปี”

“เอามาให้คุณตำรวจดูสิจ๊ะ”

ในกระดาษนั้นมีข้อมูลวันเดือนปีเกิด ชื่อบิดามารดา วันที่เธอเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์และวันที่เธอออกไป นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ตำรวจกำลังมองหา

“พี่ชาย…เธอมีพี่ชายด้วยใช่ไหมครับ”

อาสดาเป็นคนเห็นชื่อนายวัลลภก่อน เขาดึงเอกสารในมือของโอบเกียรติไปให้แม่ครูดูอย่างรวดเร็ว

“ในนี้บอกว่าเข้ามาอยู่ในสถานสงเคราะห์พร้อมพี่ชายด้วย แล้วมันสำคัญยังไงเหรอคะ”

โอบเกียรติเป็นคนตอบ “พี่ชายของเธอเป็นคนร้ายในคดีเดียวกันครับ ตอนนี้เขาเสียชีวิตแล้ว”

แม่ครูยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ อาสดาตั้งคำถามอีก

“ถ้าเขาสองคนเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกันก็น่าจะออกไปพร้อมกันด้วยรึเปล่าครับ”

“อันนี้แม่ครูไม่แน่ใจนะคะ” เธอหันไปหาครูผู้ช่วยคนเดิม “เธอไปค้นประวัติของนายวัลลภมาด้วยซิ”

“ผมไปด้วยดีกว่า”

อาสดาหันไปขออนุญาตแม่ครู เธอพยักหน้าทันทีแล้วมองตามนายตำรวจหนุ่มจนลับประตูห้อง

“ไหนคุณตำรวจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังอย่างละเอียดได้ไหมคะ”

“ได้ครับ”

ปารุสก์เป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ในห้องทำงาน เขายังคงเก็บรวบรวมหลักฐานและคำให้การของพยานอยู่ เพื่อให้วุฒิภาศสะดวกในการเขียนสำนวน โทรศัพท์ของหน่วยงานส่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มจึงลุกจากเก้าอี้ไปรับซึ่งตำแหน่งที่มันวางอยู่นั้นใกล้โต๊ะทำงานของหัสยุทธมากที่สุด

“สวัสดีครับ NIC ครับ ผมปารุสก์รับสาย”

“พี่รุสก์”

“เอ้า น้องพจคนสวย ว่าไงจ๊ะ จะส่งรายงานฉบับเต็มเหรอ”

“ค่า เดี๋ยวส่งแฟ็กซ์ไปให้ก่อน สารวัตรของพี่มาเร่งยิกๆ ทั้งเช้าทั้งเย็น”

“หือ? เมื่อไรกัน”

“เมื่อวานสิ มาทั้งเช้าทั้งเย็นเลย ตอนเช้าก็มาแต่เช้า นั่งรอหมอบุษคุยกันนิดหน่อยแล้วก็กลับไป ส่วนตอนเย็นมาตอนค่ำหน่อยแล้ว บอกว่าจะพาหมอไปเลี้ยงข้าวด้วย แต่ไม่รู้สำเร็จไหมนะ พจกลับบ้านก่อน”

“ว้า น้องพจไม่ยอมสวมวิญญาณนักสืบเลย”

“ไม่เอาอะ กลัวหมอบุษด่า”

คนทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างรู้ทันเจ้านายของตน

“นี่พี่อยู่คนเดียวในหน่วย ทุกคนไปทำงานข้างนอกหมด”

“อื้ม รอแฟ็กซ์แล้วกัน ฉบับจริงจะตามไปทีหลัง”

“ครับผม ขอบคุณมากครับ”

ปารุสก์วางสายโทรศัพท์ลงแล้วเคลื่อนกายไปยืนรอที่หน้าแฟ็กซ์ ไม่ถึงนาทีเอกสารก็ทยอยพิมพ์ออกมาจากเครื่อง ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เขารู้มาแล้วเพราะเจ้านายกรุณาไปรับข้อมูลมาให้ล่วงหน้า ซึ่งนั่นอาจจะเป็นข้ออ้างเพื่อไปเจอหน้าหมอบุษบงกชแต่เขาไม่กล้าพูด

ชายหนุ่มอ่านรายงานด้วยความใจเย็นแล้วกลับมาที่คอมพิวเตอร์ของตัวเอง คดีนี้มีเรื่องให้เขาเก็บลักษณะพิเศษมากมาย เริ่มจากอาวุธปืนที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง รอยสักรูปงู การสักตัวอักษรภาษาอังกฤษบนข้อมือ และการควบคุมตัวประกันโดยใช้กุญแจมือพันธนาการข้อมือและข้อเท้าของคนสองคนเข้าด้วยกันเพื่อให้การช่วยเหลือทำได้ช้าลง

ในโปรแกรมแผนที่ของเขา ปารุสก์เริ่มพล็อตที่อยู่ของผู้เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ตั้งแต่ที่อยู่ของคนร้าย พนักงานธนาคาร และลูกค้าที่เข้ารับบริหารในระหว่างเกิดเหตุ รวมถึงสถานที่เกิดเหตุเพื่อหาความสัมพันธ์ที่นักสืบอาจจะยังมองไม่เห็น แล้วจุดจุดหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันอย่างมีนัยสำคัญนั้นก็ทำให้ปารุสก์สงสัย

“เอ๋…ที่อยู่ของนายวัลลภกับนายวิรุฬนี่ไม่ห่างกันเลยนะ”

ชายหนุ่มคีย์ชื่อและที่อยู่ของวิรุฬในโปรแกรมการสืบค้นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาว่าเขาเคยถูกจับ ถูกปรับ หรือเคยเป็นผู้เสียหายในคดีใดบ้างหรือไม่ แล้วในที่สุดใบแจ้งความใบหนึ่งก็เด้งขึ้นมา

“เคยถูกโจรขึ้นบ้านเหรอ มีทรัพย์สินบางส่วนหายไปด้วย พระเครื่อง เงินสด โทรศัพท์มือถือ…แล้วจับตัวคนร้ายได้ไหมวะ” เขาใช้เลขที่ใบแจ้งความหาคำตอบต่อ แต่ไม่มีอะไรปรากฏขึ้น “จับคนร้ายไม่ได้แฮะ อย่างนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่เกี่ยวกับนายวัลลภสิ”

ชายหนุ่มร่างอวบถอนหายใจ แต่ก็ได้รู้เรื่องหนึ่งว่าที่อยู่ของวิรุฬกับวัลลภนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในละแวกเดียวกันเลยทีเดียว

 

อาสดาเสียเวลากับการค้นหาเอกสารมากพอสมควร เพราะประวัติของวัลลภนั้นถูกแยกออกจากวิไล น้องสาวของเขาหลายปีแล้ว ชื่อของวัลลภถูกคัดออกจากสถานสงเคราะห์เนื่องจากเขาถูกรับไปเลี้ยงดูโดยสามีภรรยาคู่หนึ่ง ตั้งแต่มีอายุได้หกขวบ

“ถ้าพี่หกขวบ ตอนนั้นน้องก็ต้องสามขวบ” โอบเกียรติพูดกับแม่ครูและอาสดา

“แม่ครูครับ ถ้าเด็กเล็กขนาดนั้นถูกจับแยกออกจากกัน โตขึ้นพวกเขาจะจำกันได้ไหมครับ”

“ยากมากค่ะ ยิ่งถ้าไม่มีการติดต่อกันด้วยแล้วยิ่งยาก พ่อแม่อุปถัมภ์บางคนไม่ชอบให้ลูกที่เขารับเลี้ยงกลับมาที่สถานสงเคราะห์นะคะ แต่แม่ครูก็ไม่ทราบสาเหตุที่เขาไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามพ่อแม่อุปถัมภ์นะ แปลกจัง”

“แล้วสองคนนี้ไปพบกันอีกครั้งตอนไหนนะ” โอบเกียรติรำพึงก่อนจะหันไปหาผู้อำนวยการ “วันนี้เราคงรบกวนแม่ครูเท่านี้นะครับ”

“ยินดีค่ะ ถ้าเรามีเบาะแสของเธอเพิ่มเติมเราจะแจ้งคุณตำรวจไปนะคะ ยิ่งรู้ว่าเธอตั้งท้องด้วย แม่ครูก็รู้สึกเป็นห่วง ไม่น่าเลยจริงๆ”

นายตำรวจทั้งสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันแล้วทำความเคารพครูอาวุโสก่อนลากลับ เมื่อออกมาที่หน้าห้องทำงานของแม่ครูโอบเกียรติกับอาสดาก็เห็นครูผู้ช่วยยืนคุยอยู่กับผู้หญิงอีกคน เธอดูกระตือรือร้นเมื่อเห็นนายตำรวจทั้งสองออกมาจากห้องทำงานของแม่ครูจนอาสดาสงสัย

“มีธุระอะไรกับเรารึเปล่าครับ”

“เอ่อ คือดิฉันเพิ่งคุยกับครูผู้ช่วยค่ะ เรื่องของเด็กผู้หญิงที่คุณตำรวจกำลังตามหา”

“คุณรู้จักเธอเหรอครับ”

“เปล่าค่ะ แต่ฉันเห็นรูปที่คุณตำรวจเอามาให้แม่ครูกับครูผู้ช่วยดู”

อาสดาควักรูปถ่ายของวิไลขึ้นมาอีกครั้ง “รูปนี้เหรอครับ”

“ใช่ค่ะ คนนี้แหละ เธอเพิ่งมาที่นี่ค่ะ ดิฉันได้คุยกับเธอด้วย เธอบอกว่าจะมาฝากจดหมายไว้ให้คนรู้จัก ตอนแรกฉันไม่รับฝาก เธอเลยขอพบแม่ครัวของที่นี่ค่ะ”

“แม่ครัว? พวกเราขอพบแม่ครัวคนนั้นได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ ดิฉันจะพาไปเอง”

นายตำรวจเดินตามครูผู้ช่วยไปถึงห้องครัวของสถานสงเคราะห์ แม่ครัวกำลังจัดเตรียมอาหารว่างสำหรับเด็กเล็กอยู่ โอบเกียรติกับอาสดาไม่ได้เดินเข้าไปถึงก้นครัวแต่รอให้ครูผู้ช่วยตามแม่ครัวที่ชื่ออุ๊ออกมาหา ไม่นานหญิงร่างท้วมซึ่งมีอายุอ่อนกว่าผู้อำนวยการไม่กี่ปีก็โผล่ออกมาจากห้องครัวด้วยสีหน้าขาวซีด อาสดาพยายามยิ้มให้แล้วรอให้เธอเดินมาหา เขาผายมือให้เธอนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ เพื่อพูดคุยกัน

“ป้าอุ๊ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ ครูบอกว่าคุณตำรวจต้องการพบป้าเหรอคะ”

“ใช่ครับ ผมรู้มาว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาป้าที่นี่”

“คุณตำรวจหมายถึงอิ๋วเหรอคะ”

อาสดาควักรูปถ่ายขึ้นมาเป็นครั้งที่สาม “คนนี้ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ เธอชื่ออิ๋ว เคยเป็นเด็กของที่นี่”

“แล้วเขามาหาป้าเมื่อไร”

“เมื่อวานนี้ค่ะ”

“มาทำไมครับ”

“เอ่อ…” นางดูอึกอัก

“บอกมาเถอะครับป้า เราต้องการตามหาเธอ ตอนนี้เธอมีคดีติดตัวอยู่”

“มิน่าล่ะ ดูเศร้าเหลือเกิน”

“ว่าไงครับ เธอมาหาป้าทำไม”

“เธอมาฝากจดหมายไว้ให้พี่ชายของเธอค่ะ”

อาสดาหันไปสบตากับโอบเกียรติ แล้วกลับมาสนใจแม่ครัวอีกครั้ง “เราขอดูจดหมายฉบับนั้นได้ไหม”

ป้าอุ๊หลบสายตา ท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ โอบเกียรติจึงต้องพยายามโน้มน้าวหญิงสูงวัย

“เธอก่อคดีไว้นะครับ ถ้าป้าพยายามช่วยเธอก็อาจจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้”

เธอใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อผ้าฝ้ายลายลูกไม้ตัวโคร่ง ซองจดหมายยับยู่ยี่ซองหนึ่งถูกดึงออกมา สงสัยว่ามันจะอยู่ติดตัวป้าอุ๊ตลอดเวลา อาสดาเป็นคนรับมาแล้วเปิดอ่านทันที

“พี่โอ่ง…ฉันอยู่ที่โรงแรมกนกกร อิ๋ว”

“กนกกร…เราเพิ่งขับรถผ่านมานี่ ใกล้ๆ นี่เอง รีบไปกันเถอะ”

“เดี๋ยว ผมอยากคุยกับป้าซักนิด” อาสดาหันกลับไปหาแม่ครัวอีกครั้ง “พี่ชายของอิ๋วเคยอยู่ที่นี่เหมือนกันใช่ไหมป้า”

“เคยค่ะ แต่นานมาแล้ว สองคนนี้ถูกจับแยกกัน เพราะพ่อแม่อุปถัมภ์อยากได้แต่เด็กผู้ชาย ไม่อยากได้ผู้หญิง อิ๋วโตมาโดยที่ไม่รู้จักพี่ชายของตัวเองมาก่อน”

“แล้วป้ารู้ไหมว่าตอนนี้เธอท้องอยู่”

“ท้องเหรอคะ” แม่ครัวส่ายหน้าแล้วความคิดแรกที่เข้ามาในหัวก็สั่งให้เธอพูดมันออกมา “เธอท้องกับใคร”

อาสดาก็นึกแปลกใจไปด้วย “ผมไม่ทราบ ตอนนี้ต้องพยายามตามหาตัวเธอให้พบก่อน แล้วพี่ชายของเธอก็เสียชีวิตแล้วนะครับ”

ป้าอุ๊น้ำตาซึมทันที “โอ่งตายแล้วเหรอเนี่ย อิ๋วบอกกับป้าว่าเหลือพี่ชายคนเดียว เธอรอให้เขามารับ คุณตำรวจคะช่วยตามหาเธอให้พบหน่อยเถอะ ป้ากลัวว่าเธอรู้เรื่องที่พี่ชายของเธอตาย เธออาจจะคิดสั้นก็ได้ เขาสองคนเพิ่งพบกันได้ไม่นาน”

“ป้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”

“ค่ะ อิ๋วเพิ่งบอกป้าเมื่อวานว่าเธอพบพี่ชายโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้ต้องมาพลัดพรากกันอีก ป้าเลยยอมรับจดหมายฉบับนี้ไว้เผื่อว่าพี่ชายของเธอจะตามมา”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะครับป้า เราอาจจะต้องกลับมาคุยกับป้าอีก แต่ตอนนี้เราต้องรีบไปก่อนครับ”

โอบเกียรติพูดเร็วๆ แล้วฉุดไหล่ของอาสดาให้ลุกขึ้นเพื่อกลับไปที่รถ

 

“ทำไมเราต้องสนใจอดีตของคนร้ายด้วย หน้าที่เราคือจับคนผิดมาลงโทษ!” โอบเกียรติกระชากรถออกจากที่จอดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“สารวัตรหัสสอนพวกเราว่าถ้ารู้จักคนร้ายอย่างดีจะเข้าใจได้ง่ายว่าทำไมพวกเขาจึงลงมือทำสิ่งเหล่านั้นครับ”

โอบเกียรติยังไม่สงบ เขายังคงขับรถกระโชกโฮกฮากบนท้องถนน

“คิดดูสิครับถ้าเราไม่เรียนรู้หรือศึกษาพฤติกรรมของคนร้ายที่ปล้นธนาคารทั้งสองคน เราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขายังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่อีก อย่างน้อยก็สองคน”

นั่นเป็นความจริงที่โอบเกียรติเถียงไม่ได้ สิ่งที่หน่วย NIC สังเกตเห็นจากกล้องวงจรปิดทำให้พวกเขามาไกลจนถึงตอนนี้ อาสดาเห็นป้ายของโรงแรมขนาดเล็กอยู่เบื้องหน้าแล้ว มันเป็นตึกสูงสามชั้น สีน้ำตาลกระดำกระด่าง สภาพค่อนข้างทรุดโทรม ข้างบนดาดฟ้าของตึกมีแท็งก์น้ำสีเงินวาวตั้งอยู่เรียงกันห้าถัง

“เอ๊ะ นั่น….”

“อะไร”

“คนรึเปล่า หน้าถังน้ำบนดาดฟ้า”

ผู้หญิงร่างบางใส่ชุดสีขาวทั้งชุดกำลังยืนอยู่ริมดาดฟ้าน่าหวาดเสียว โอบเกียรติเห็นแล้วจึงรีบเลี้ยวรถเข้าไปยังซอยเล็กๆ เพื่อไปให้ถึงสถานที่แห่งนั้นโดยเร็ว

“ท่าจะไม่ดีแล้ว โทรเรียกหน่วยกู้ภัยใกล้ที่สุดเร็ว”

“ครับ”

อาสดาควักโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาแล้วกดหาปารุสก์

“มีอะไรครับพี่”

“ติดต่อหน่วยกู้ภัยที่ใกล้โรงแรมกนกกรที่สุด ให้เขาเอาเบาะลมมาด้วย มีคนยืนอยู่บนดาดฟ้า ตอนนี้เลย”

“รับทราบ ผมจัดการให้ ได้เรื่องแล้วจะโทรกลับครับ”

โอบเกียรติหาที่จอดรถได้พอดี เขาต้องจอดฝั่งตรงข้ามของโรงแรมแล้วคนทั้งคู่ก็ข้ามถนนไปยังลานจอดรถ มีผู้คนกลุ่มเล็กๆ ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว ทุกคนเอามือป้องหน้าเพื่อมองขึ้นไปบนดาดฟ้า

“เกิดอะไรขึ้นครับ” อาสดาถามรวมๆ

“นังหนูนั่นขึ้นไปอยู่บนตึกได้สักพักแล้ว คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็น เขาบอกว่านังหนูนั่นขยับออกมาเรื่อยๆ”

“ดูไม่ดีแฮะ” โอบเกียรติก็คิดอย่างเดียวกัน “ผมเป็นตำรวจนะ จะขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ยังไงใครรู้บ้าง”

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมครับ” ผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งแสดงตัว “ผมพาขึ้นไปได้”

“งั้นผมขึ้นไปเอง” อาสดาอาสา “สารวัตรรอรถของหน่วยกู้ภัยอยู่ตรงนี้แหละ เผื่อต้องประสานงาน”

“โอเค”

อาคารสามชั้นไม่มีลิฟต์ อาสดาต้องวิ่งตามเจ้าหน้าที่โรงแรมขึ้นบันไดไป ในระหว่างที่จะขึ้นชั้นสองปารุสก์ก็โทรกลับมารายงานความคืบหน้าว่าเขาติดต่อขอความช่วยเหลือไปทางหน่วยกู้ภัยเรียบร้อยแล้ว และพวกเขากำลังจะมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตคนตกจากที่สูง อาสดาวิ่งไปพลางก็ถามเจ้าหน้าที่ไป

“ผู้หญิงคนนั้นพักอยู่ที่นี่รึเปล่า”

“พักครับ มาเช็กอินได้หนึ่งคืนแล้วแต่บอกว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีกำหนด จ่ายเงินไว้ก้อนใหญ่เลยครับ ไม่รู้มีปัญหาอะไรจู่ๆ ก็ทำอย่างนี้”

ทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่บอกมันเข้าเค้าว่าจะเป็นคนที่เขาตามหา อาสดาจึงหยุดวิ่ง

“เดี๋ยวก่อน ฉันอยากให้นายดูว่าใช่ผู้หญิงคนนี้รึเปล่า”

ชายหนุ่มหันหลังกลับมาดูภาพที่อาสดายื่นให้แล้วพยักหน้า “ใช่ครับใช่”

“ซวยแล้ว” อาสดาสบถแล้วยกโทรศัพท์โทรหาหัสยุทธ “หัวหน้า”

“มีอะไร ผมเพิ่งเสร็จธุระจากธนาคาร”

“ผมพบวิไลแล้ว เธอกำลังจะฆ่าตัวตาย”

“อยู่ที่ไหน”

“โรงแรมกนกกรไม่ไกลจากสถานสงเคราะห์ ผมกำลังจะขึ้นไปช่วย”

“นายแก้ปัญหาไปก่อน ผมจะพยายามไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด”

“ครับ” อาสดาวางหูแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดต่อ

 

สายลมร้อนผะผ่าวพัดกระทบผิวหน้าและผิวกาย แต่วิไลก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับมัน น้ำตาของเธอเหือดแห้งไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เหลือแค่เพียงความทรงจำที่ตอกย้ำว่าเธอมีค่าแค่ไหนบนโลกใบนี้

…เกิดมาพ่อแม่ก็ไม่ต้องการ ถูกทิ้งให้ต้องระเห็จมาอยู่ในสถานสงเคราะห์ อยู่มาไม่กี่ปีพี่ชายแท้ๆ ก็ถูกจับแยกออกไปเพียงเพราะมีคนต้องการเขา แต่ไม่ได้ต้องการเธอด้วย ตอนนั้นเธอยังไม่มีโอกาสจดจำเขาเลยด้วยซ้ำ

ทนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสงเคราะห์อย่างห่อเหี่ยวสิ้นหวัง พยายามเท่าไรก็ไม่ได้เป็นที่รักของใครสักคน เธอเติบโตขึ้นมาเพียงแค่ร่างกาย แต่จิตใจกลับตายไปตั้งแต่ยังเล็ก

ชีวิตนอกสถานสงเคราะห์ยิ่งน่ากลัวกว่าข้างใน เธอรู้เมื่อได้เผชิญกับนรกอยู่เกือบสองปี แล้วในที่สุดสวรรค์ก็ส่งผู้ชายที่ดีที่สุดมาให้ เขากลายเป็นทุกอย่าง…เป็นเหมือนเพื่อนที่มีอดีตไม่ต่างกัน เป็นดังพี่ที่คอยปกป้องคุ้มครองภัย และในที่สุดก็เป็นสามีที่เธอพร้อมจะพลีกายถวายชีวิตให้

เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่เมื่อเธอบอกเขาว่าเธอท้องแล้วเขามีความสุข เขาไม่เหมือนผู้ชายหลายคนที่ผ่านมา ที่ไล่ให้เธอไปทำแท้งตั้งแต่อายุครรภ์ไม่ถึงสี่สัปดาห์ เขาสัญญาว่าจะสร้างอนาคตใหม่กับเธอ หากไม่ต้องรับรู้ว่าเขามีสายเลือดเดียวกันคงจะดีกว่านี้

…แต่เมื่อไฟราคะโหมกระหน่ำแล้วมันจะไม่มีวันดับมอด

มนุษย์พยายามหาเหตุผลมาตอบการกระทำของตัวเอง

หากบาปของคนอยู่ที่ตัวเราเองก็ไม่จำเป็นที่คนอื่นต้องรับรู้…

เธอพยายามไม่คิดถึง พยายามไม่ใส่ใจ พยายามไม่ยอมรับ ให้เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาที่รักเธอ ไม่ใช่พี่ชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับเธอ โลกอยากเล่นตลกเอง ให้พวกเขาเกิดมาด้วยกันแล้วจับแยกออก จากนั้นก็ให้พวกเขาโคจรมาพบกันอีก ถ้าจะโทษก็โทษโลก โทษชะตากรรมเถอะ

วิไลเห็นนามสกุลเขาครั้งแรกในตอนที่เขาพาไปฝากครรภ์ในคลินิก เธอนอนกับผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้นามสกุลของเขามาก่อน เธอปล่อยให้ความรู้สึกมาเป็นคำตอบของความรักมากกว่าความเป็นจริงและเหตุผล ผู้หญิงที่มีแค่ตัวเป็นสมบัติชิ้นเดียวในโลกยอมทอดกายให้กับคนที่เธอพึงพอใจและรู้สึกอบอุ่นโดยไม่เอะใจเลยว่านั่นคือพี่ชายของตัวเอง!

เธอเคยรู้จากป้าอุ๊มาบ้างเรื่องพี่ชายของเธอ แต่ตอนนั้นเธอยังเล็กมาก จึงไม่มีความผูกพันกับเขา เธอลืมเขาไปจากความทรงจำ และด้วยความที่ไม่ผูกพันกับครอบครัวเพราะตั้งแต่จำความได้ก็อยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กเสียแล้ว ไม่เคยสนใจอดีต และไม่เคยคิดตามหาพี่ชายร่วมสายเลือด มันจึงทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น วินาทีที่เห็นสามีนามสกุลเดียวกันนั้นโลกตรงหน้าก็พังทลายไม่เหลือชิ้นดี เธอหนีออกมาจากคลินิกโดยที่ไม่ยอมตรวจ เพราะเธอกลัวคนอื่นรู้ว่าพ่อของเด็กในท้องอาจเป็นพี่ชายของเธอเอง

วัลลภคาดคั้นให้เธอพูดถึงเหตุผลที่เธอหนีออกมา วิไลเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ถูกทิ้งไว้ในสถานสงเคราะห์ ในขณะที่พี่ชายของเธอถูกขอไปเลี้ยง วัลลภเล่าเรื่องของเด็กผู้ชายลูกคนเดียวที่นามสกุลแตกต่างจากพ่อแม่ว่าเขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพ่อแม่ แต่เขาไม่เคยรู้ว่ามีน้องสาวอีกคนบนโลกใบนี้ และพ่อแม่บุญธรรมก็ยังหย่าขาดกันให้เขาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าผู้มีแต่ปัญหาอีก คนทั้งคู่เพิ่งมีโอกาสรู้ถึงชีวิตในอดีตของกันและกัน ทำไมไม่คิดจะถามกันให้เร็วกว่านี้ เร็วกว่าสัญชาตญาณดิบที่ผลักดันให้ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจนเกิดตั้งครรภ์

วิไลร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด แต่วัลลภยืนยันว่าพวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ในเมื่อสังคมไม่แยแสพวกเขามาตั้งแต่ต้น แล้วทำไมเขาต้องทำตามกฎของสังคม พี่ชายที่อยู่ในฐานะของสามีด้วยนั้นสัญญาว่าจะเลี้ยงดูเธอกับลูกอย่างดีที่สุด เขายอมทำผิดกฎหมายเพื่อให้มีเงินก้อนใหญ่สำหรับหนีไปใช้ชีวิตไกลๆ จากคนที่รู้จักหรือคนที่สืบสาวราวเรื่องได้ว่าเขาทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกัน แล้ววิรุฬก็เข้ามาตอนนั้น โอ่งปีนเข้าไปขโมยของในบ้านวิรุฬครั้งแรก เขาได้ของมีค่ามาพอสมควรและไม่ถูกตำรวจจับ เลยย่ามใจที่จะทำมันอีกครั้ง แต่ครั้งที่สองเขาไม่รอด เขาถูกเจ้าของบ้านใช้ปืนข่มขู่และต้องยอมทำทุกอย่างตามที่วิรุฬต้องการเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องถูกส่งตัวให้ตำรวจ…

“คุณผู้หญิงครับ”

วิไลสะดุงสุดตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนมาอยู่ใกล้เธอ หญิงสาวหันหลังกลับไปดู ทำให้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างของตึกร้องวี้ดเพราะคิดว่าการขยับตัวของเธอนั้นอาจจะทำให้เธอพลัดตกลงมาได้

“อย่าเข้ามา” วิไลสั่ง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่า เราคุยกันได้นะ”

อาสดาพยายามจ้องตาเธอไว้ เขาเรียนรู้มาจากหัสยุทธ

“นายเป็นใคร”

“ผมอยู่ที่นี่เหมือนกัน เห็นคุณขึ้นมานานแล้วเลยตามมาดู ข้างบนนี่ร้อนมากนะ”

อาสดาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะกระโจน เขาย่อหัวเข่าลงนิดๆ แต่มุมที่วิไลยืนอยู่นั้นมีถังน้ำสแตนเลสขนาดใหญ่ขวางอยู่ มันเป็นอุปสรรคสำคัญถ้าเขาจะเข้าไปคว้าตัวของเธอไว้ เขาต้องพยายามให้หญิงสาวเดินมาหาเขาอีกสักสองก้าว

“ฉันไม่เป็นไร นายลงไปซะ”

“แน่ใจนะ ผมกลัวคุณเป็นลม แดดร้อนมากเลย”

“ที่ที่ฉันจะไปคงร้อนกว่านี้หลายเท่า”

…บาปอยู่ที่ฉัน ติดตัวฉัน และจะพาฉันไปยังขุมนรกที่ซึ่งคนที่ฉันรักรออยู่…

เสียงหวีดหวอของรถกู้ภัยทำให้คนที่อยู่บนดาดฟ้าสะดุ้ง วิไลหันขวับไปมองเบื้องล่าง ขาของเธอเริ่มสั่น

“ตำรวจมาทำไม”

“ไม่ใช่ตำรวจ หน่วยกู้ภัย พวกเขากลัวคุณจะกระโดดลงไป”

“ไม่เอาตำรวจ! ฉันไม่อยากติดคุก”

“คุณไม่ต้องติดคุก พวกเขาแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเอง เดินมาหาผม เราจะลงไปข้างล่างด้วยกัน”

“นายหลอกฉัน”

“ผมไม่ได้หลอก ถ้าคุณยอมลงไปกับผมดีๆ ทุกคนก็จะกลับไป”

แทนที่วิไลจะขยับเข้ามาหาอาสดา เธอกลับเลือกที่จะเขยิบไปใกล้ขอบปูนของดาดฟ้า พร้อมกับสายตาที่มองไปเบื้องล่าง อาสดารู้สึกว่าท้องของเขาขมวดเกร็งด้วยความเครียด

“วิไล”

เสียงนั้นทำให้หญิงสาวหันกลับมาที่อาสดาอีกครั้ง แต่เธอกลับเห็นผู้ชายอีกคนที่คุ้นหน้ามายืนอยู่ด้วย “ตำรวจ…”

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” หัสยุทธพูด เขาจำเป็นต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุดเพื่อให้คนด้านล่างกางเบาะลมให้เรียบร้อยก่อน “สบายดีนะ”

“รู้จักชื่อฉันได้ยังไง”

“ผู้จัดการสาขาบอก”

สีหน้าของเธอดูตกใจ “เขาบอกตำรวจเหรอ”

“ใช่ แลกกับการปล่อยตัวเขาไป”

“ปล่อยไปได้ยังไง มันเป็นคนวางแผนการทั้งหมด”

หัสยุทธขมวดคิ้ว “แผนอะไร”

“ตำรวจถูกมันหลอกแล้ว มันเป็นคนจ้างให้พวกเราปล้นธนาคารมันเอง ที่ตุ่นต้องตายก็เพราะมัน ที่พี่โอ่งต้องตายก็เพราะมัน ฉันอยากจะฆ่ามันจริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อไปให้การปรักปรำนายวิรุฬในชั้นศาล”

อิ๋วนิ่งไป คงจะกำลังใช้ความคิด แต่อีกด้านของถังน้ำสแตนเลส อาสดาพยายามหามุมที่จะพุ่งเข้าไปรวบตัวเธอออกมาจากจุดวิกฤต

“แต่ฉันก็จะต้องเข้าคุกด้วย”

“ไม่กี่ปี ถ้าเธอให้ความร่วมมือกับตำรวจ ฉันจะขอลดหย่อนโทษให้”

“คนมีเงินอย่างไอ้วิรุฬ ติดคุกไม่กี่ปีเดี๋ยวมันก็คงได้ออกมา ฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับมันหรอก ฉันจะไปหาสามีของฉัน”

อาสดายังไม่สามารถเข้าไปชาร์จตัวเธอได้หัสยุทธรู้ดี เขาต้องพยายามหาเรื่องคุยกับเธอไปเรื่อยๆ

“เธอหมายถึงใคร คนที่ปล้นธนาคารกับเธอเหรอ”

วิไลไม่ตอบ

“เขาเป็นสามีของเธอเหรอ”

เธอยังคงเงียบ

“เขารู้ใช่ไหมว่าเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา”

ประโยคนี้ทำให้หัวใจของวิไลหล่นวูบ ความรู้สึกผิดในจิตใจยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่ามันจะถูกปกปิดไว้มากแค่ไหนแต่มันก็ยังมี น้ำตาของเธอเริ่มรื้น มันเป็นจังหวะที่หัสยุทธต้องเพิ่มความระมัดระวัง แต่มันก็ช่วยเปิดโอกาสให้อาสดาเข้าไปใกล้คนร้ายที่กำลังสูญเสียสมาธิได้ง่ายขึ้น

“มันเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไม่ใช่เหรอที่พี่น้องจะมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น มันผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งศีลธรรม”

“ฉันไม่รู้! เขาก็ไม่รู้! พวกเราไม่รู้เข้าใจไหม!” เธอฟูมฟาย “แต่รู้แล้วจะเป็นยังไง ใครจะมาสนใจเรา เราก็อยู่ในโลกที่ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้ว พวกเราเป็นขยะ”

“ไม่มีใครเป็นขยะ แต่เด็กที่เกิดขึ้นมาอาจจะพิการ เธอรู้เรื่องนี้รึเปล่า”

“อะไรนะ…ไม่” วิไลส่ายหน้า

“พ่อแม่ที่มีสายเลือดเดียวกันมีโอกาสเสี่ยงที่จะให้กำเนิดลูกที่ผิดปกติได้ เราจะพาเธอไปตรวจดีไหม”

“ลูกของฉัน…ลูกของเรา”

วิไลดูช็อกกับสิ่งใหม่ที่เธอได้รู้ ในวินาทีนั้นหัสยุทธยกมือข้างซ้ายขึ้น อาสดาซึ่งพยายามเข้ามาประชิดตัว รีบพุ่งเข้าหาเธอทันที หญิงสาวหันไปเห็นร่างของนายตำรวจในตอนที่เขาจะถึงตัวพอดี เธอพยายามดิ้นรนขัดขืนแล้วเท้าข้างหนึ่งของเธอก็เหยียบพลาด…

“กรี๊ดดดดดดดดด…”

“อาส…”

“คนตกตึกๆ”

คนด้านล่างหวีดร้องขึ้นพร้อมกับวิไลและเสียงตะโกนของหัสยุทธ เมื่อร่างของอาสดากับหญิงสาวร่วงจากดาดฟ้าชั้นที่สามลงไปที่พื้นด้านล่างพร้อมกัน นายตำรวจเจตนาที่จะไม่ปล่อยเธอให้ร่วงลงไปคนเดียว เขากอดเธอไว้แน่น เคราะห์ดีที่เบาะยางเป่าลมด้านล่างนั้นทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หัสยุทธชะโงกหน้าลงไปดูเห็นโอบเกียรติกับวุฒิภาศส่งสัญญาณมือมาบอกว่าคนทั้งคู่ปลอดภัยดี

บทที่ 11

หลังออกจากโรงพยาบาลวิรุฬก็พักฟื้นอยู่ที่บ้านเกือบสัปดาห์ก่อนที่จะกลับมาทำงานตามปกติ พนักงานธนาคารจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้กับเขาเพื่อเป็นการต้อนรับและขอบคุณสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้บริหารวัยกลางคนรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางและสามารถควบคุมได้อย่างที่เคยวางแผนไว้ แต่แล้ววันหนึ่งสำนักงานใหญ่ก็มีจดหมายส่งมาเชิญให้เขาไปปรากฏตัวที่นั่น แม้ยังมีความกังวลใจอยู่บ้างแต่คนรอบข้างต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องดีแน่ เขาจึงมาถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคารด้วยความภาคภูมิใจ

ห้องทำงานของถวิลเป็นห้องที่ให้บรรยากาศสงบเยือกเย็น แม้จะไม่มีโอกาสมาที่นี่บ่อยนัก แต่เขาก็สามารถจำความรู้สึกต่างๆ ได้ และวันนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น นอกจากเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้ว ยังมีผู้ชายแปลกหน้าในชุดสูทอีกสองคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนนั่งร่วมห้องด้วย

“เชิญคุณวิรุฬ”

ใบหน้าดุเป็นปกตินั้นดูเคร่งเครียดกว่าเดิม ถวิลผายมือให้ผู้จัดการสาขานั่งตรงกลางระหว่างชายในชุดสูทสองคนหน้าโต๊ะทำงานของเขา ชายทั้งสองนั่งเยื้องมาทางด้านข้างของโต๊ะ ส่วนวิรุฬนั้นนั่งประจัญหน้ากับถวิลโดยตรง เขากล่าวขอบคุณแล้วนั่งลงช้าๆ สายตาของเขาลอกแลกแต่พยายามเก็บอาการ

“ผมขอแนะนำให้รู้จักฝ่ายตรวจสอบของธนาคาร…”

ถวิลแนะนำชื่อของสุภาพบุรุษทั้งสองโดยที่ชื่อของพวกเขาแทบจะถูกลืมทันทีที่วิรุฬรู้ เพราะความสนใจของวิรุฬนั้นอยู่ที่หน้าที่ของคนทั้งคู่มากกว่า

“ที่ผมเชิญคุณมาในวันนี้ก็เนื่องมาจากเรื่องการตรวจสอบที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์การปล้นธนาคาร สำนักงานใหญ่ได้สั่งการให้ผมซึ่งเป็นผู้จัดการเขตเข้ามาดูแลเรื่องของสาขาคุณโดยตรง และพวกเราพบสิ่งผิดปกติบางอย่าง ซึ่งคุณวิรุฬก็คงทราบดีอยู่แล้วว่าเงินสดในธนาคารนั้นหายไป”

“คะ…ครับ” เขาพยักหน้าช้าๆ “พนักงานของเราได้ตรวจสอบแล้วว่ามีเงินจำนวนหนึ่งหายไป ซึ่งได้ให้ปากคำกับทางตำรวจไปแล้วครับว่ามันเกิดขึ้นเพราะโจรได้ขโมยเงินออกไปแล้วแบ่งมันออกเป็นส่วนๆ ดังนั้น…”

ถวิลยกมือขึ้นขัดจังหวะ “เรื่องนั้นเราทราบแล้ว แต่เรื่องที่จะต้องพูดกันในวันนี้มันเป็นเรื่องของเงินสดที่หายไปตั้งแต่กลางปีที่แล้ว”

ผู้จัดการเขตพยักหน้าให้ฝ่ายตรวจสอบซึ่งนั่งอยู่ฝั่งขวามือของเขานำเอกสารจากแฟ้มมายื่นให้วิรุฬได้ดูไปพร้อมๆ กัน

“ผมเรียกวิธีการนี้ว่าการหมุนของเงิน มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในบัญชีของสาขา มีเงินหายไปและมีเงินกลับเข้ามาจนในที่สุดยอดของเงินที่หายไปนั้นมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้คุณจะไม่ทราบนะ”

เขากำลังจนตรอก วิรุฬรู้สึกร้อนวูบวาบในอก ความผิดของเขากำลังจะถูกเปิดเผย

“คุณมีอะไรจะแก้ตัวไหม” ถวิลสรุปสั้นๆ

วิรุฬเงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนด้วยแววตาของลูกกวางน้อย ความจริงเรื่องนี้มันจะไม่ใหญ่นัก เพราะเงินจำนวนนั้นเขาอาจจะหามาใช้คืนได้ในอนาคต แต่ตอนนี้เขาต้องพยายามหาเหตุผลดีๆ มาขอความเห็นใจ

“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวครับ มันมีการยักยอกเกิดขึ้นจริง และผมก็รู้เรื่องนี้มาก่อน”

“ทุจริตนี่ถึงขึ้นไล่ออกและดำเนินคดีทางกฎหมายเลยนะคุณวิรุฬ”

“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับท่าน ผมสงสารเด็ก”

“เด็ก? คุณหมายถึงใคร”

“เอ่อ…” วิรุฬก้มหน้ามองเอกสารบนโต๊ะ “พนักงานคนหนึ่งครับ เขาขอร้องให้ผมช่วยเหลือ แล้วเขารับปากว่าจะนำเงินมาใช้คืนให้ในเร็วๆ นี้”

“บอกชื่อพนักงานคนนั้นกับเรามา ผมจะได้ดำเนินการให้ถูกต้อง”

วิรุฬบีบมือของตัวเองแน่น “ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอครับ อย่างน้อยเขาก็ทำงานกับเรามาหลายปี”

“คุณจะปกป้องเขาทำไม ตัวคุณเองก็มีความผิดอยู่ที่เพิกเฉยต่อการทุจริต ธนาคารสามารถเอาผิดกับคุณได้ด้วย ทำทุกอย่างให้มันถูกต้องไม่ดีกว่าเหรอ”

แม้ห้องจะเย็นเฉียบ แต่วิรุฬกลับร้อนรุ่มในอก มือของเขาเริ่มชื้นเหงื่อ เขาไม่คิดเลยว่าธนาคารจะสงสัยเรื่องนี้เร็วนัก ทั้งที่มีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่า

“ผมไม่อยากทำเลย ทั้งที่ตอนนี้เธอยังเจ็บอยู่แท้ๆ” วิรุฬรำพึง

“คุณหมายถึงพนักงานหญิงที่ถูกยิงบาดเจ็บงั้นเหรอ…ใช่ไหมวิรุฬ”

เขาสบตากับถวิลนิดแล้วเบือนหน้าหนี ให้ความเงียบเป็นคำตอบ “เธอมีผลการปฏิบัติงานดีมาตลอด จะเสียก็เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว ผมเห็นอย่างนั้นก็เลยคิดว่าจะให้โอกาสเธอสักนิด พอดีมาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ถ้าคิดจะเอาผิดกันตอนนี้ให้ได้ก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อยนะครับ ในเมื่อทุกอย่างมันยังพอแก้ไขได้”

ถวิลถอนใจหนักแล้วหันไปหาฝ่ายตรวจสอบอีกคน คนนี้ไม่เพียงแต่จะยื่นเอกสารมาให้เท่านั้น แต่เขามีคำถามด้วย

“นางสาวมัลลิกา ลีหะนุตเป็นอะไรกับคุณครับ”

“ฮะ…ฮ้า ใครนะครับ ผมไม่รู้จัก” วิรุฬส่ายหน้าเป็นพัลวัน

ถวิลอ่านเอกสารที่อยู่ในมือของเขาฉบับหนึ่งด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “นางสาวมัลลิกามีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จำนวนสองบัญชี ซึ่งหนึ่งในสองบัญชีนั้นได้รับการโอนเงินจากคุณเป็นประจำทุกเดือน ส่วนอีกบัญชีมีการเคลื่อนไหวของเงินตลอดเวลา ฝ่ายตรวจสอบพบว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีที่เปิดไว้เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และโดยการตรวจสอบกับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นางสาวมัลลิกา ลีหะนุตเป็นนักเล่นหุ้นในตลาดทุนและตลาดทองคำ คราวนี้พอจะจำได้รึยัง”

เหมือนปลายทางของอุโมงค์ถูกปิดตาย ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดออกมาได้ วิรุฬเริ่มก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับใคร ความกลัวที่ถูกกดไว้นานเป็นปีกำลังจะถูกเปิดเผยออกมา เขากำลังจนตรอก…

“และผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพนักงานในสาขาของคุณ…ใช่ไหม” ถวิลถามย้ำแต่ก็ยังคงไม่มีคำตอบ “เกินเยียวยาจริงๆ ผมให้โอกาสคุณในการรับสารภาพ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์โยนความผิดไปให้คนอื่น”

“ผะ…ผม… ท่านเห็นใจผมเถอะครับ ผมผิดไปแล้ว” ร่างอวบนั้นสั่นเทิ้ม ไม่มีใครเห็นว่าเขาร้องไห้ แต่หัวไหล่ที่ลู่ลงกับใบหน้าที่ก้มต่ำแทบจะชิดทรวงอกนั้นบอกให้รู้ว่าเขากำลังสำนึกผิด “ท่านน่าจะเห็นแก่สิ่งที่ผมทำเพื่อธนาคารบ้าง ถ้าวันนั้นผมไม่ช่วยเหลือพนักงานกับลูกค้าก็อาจจะมีคนตาย ธนาคารก็จะพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วยนะครับ”

คำพูดของเขาเพิ่มความโกรธให้ถวิล ผู้จัดการเขตไม่ตอบโต้วิรุฬด้วยคำพูดแต่เขากลับกดอินเตอร์คอมที่โต๊ะเพื่อเรียกเลขานุการของตน

“เชิญสารวัตรหัสยุทธเข้ามาข้างในได้”

การที่ตำรวจถูกเรียกตัวมาอีกครั้งนั้นทำให้วิรุฬเสียขวัญมากกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดว่าธนาคารจะเรียกตำรวจมาจับกุมเขาทันทีอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบสองคนถอยออกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของถวิลแล้วไปนั่งรอที่โซฟารับแขก เพื่อให้ตำรวจทำงานได้ถนัดขึ้น หัสยุทธเดินเข้ามาในห้องนั้นพร้อมกับวุฒิภาศ วิรุฬจำนายตำรวจหนุ่มทั้งคู่ได้ดี คนหนึ่งช่วยชีวิตเขาจากปลายกระบอกปืนของคนร้ายที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนอีกคนเพิ่งสอบปากคำเขาไปเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทักทายหรือทำความเคารพใครในห้องเลย คล้ายกับว่าพวกเขาได้พบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

“ผมอยากให้คุณตำรวจช่วยแจ้งข้อกล่าวหาผู้จัดการของเราตอนนี้เลย” ถวิลพูดขึ้นอย่างเหลืออด

“อะไรกันครับ จะแจ้งข้อหาอะไรผม”

หัสยุทธกับวุฒิภาศไม่ได้นั่ง เขายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของวิรุฬซึ่งหันมามองคนทั้งคู่ด้วยความระแวง

“ยักยอกทรัพย์ที่เป็นส่วนของธนาคาร และสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายในการปล้นธนาคารของตัวเอง”

หัสยุทธสรุปสั้นๆ แต่คนฟังแทบคลั่งโดยเฉพาะข้อกล่าวหาข้อหลัง คราวนี้ความกลัวยิ่งรุนแรงขึ้น วิรุฬลุกขึ้นยืนทันทีจนวุฒิภาศจำเป็นต้องเข้าไปกุมตัวเขาไว้

“ใจเย็นๆ ผมยังไม่อยากใส่กุญแจมือคุณตอนนี้”

“ปล่อย ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

หัสยุทธจ้องตาของเขาอย่างเอาเรื่อง “วิไลสารภาพแล้วว่าคุณเป็นคนจ้างวานให้พวกเขาปล้นธนาคาร โดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่ช่วย คุณจะส่งตัวสามีของเธอให้ตำรวจ”

“วิไลไหน ผมไม่รู้จัก”

“ผู้หญิงที่เป็นตัวประกันเหมือนคุณไงครับ ไม่รู้จักได้ยังไงในเมื่อคุณสนับสนุนการแปลงโฉมของเธอทุกอย่าง”

“พวกคุณอย่ามามั่วโยนความผิดให้ผมดีกว่า ผมอาจจะเอาเงินของธนาคารไปใช้ก็จริง แต่เรื่องปล้น ผมไม่รู้เรื่อง อย่าเอาคุกมาให้ผมสิคุณถวิล”

คนถูกพาดพิงลุกขึ้นยืนบ้าง เขาเดินออกจากโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อมาเผชิญหน้ากับวิรุฬ

“ผมไม่มั่วแน่ กว่าที่เราจะเชิญคุณมาในวันนี้เราทุกคนทำงานกันหนักมาก ทั้งฝ่ายธนาคาร ฝ่ายตำรวจ เรามีหลักฐานทุกเรื่อง”

“หลักฐานอะไร” เขายังคงท้าทาย

หัสยุทธช่วยตอบ “คุณมีปัญหาเรื่องการเงิน คุณทุจริตแล้วพยายามปกปิดมันด้วยการสร้างเรื่องที่ใหญ่กว่าเพื่อเลื่อนการตรวจสอบออกไปอย่างน้อยก็สามถึงหกเดือน แล้วในระหว่างนั้นคุณคิดว่าจะสามารถหาเงินมาใช้คืนได้ทัน คุณพยายามให้คนร้ายนำเงินสดออกไปให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่พนักงานเองก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีเงินในลิ้นชักทั้งหมดเท่าไร คุณต้องการให้ทุกอย่างดูคลุมเครือและตรวจสอบได้ยากเพื่อโยนความผิดให้เป็นเรื่องของการปล้น แต่คุณกลับขุดหลุมฝังตัวเองด้วยวิธีการดังกล่าว เพราะมันซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กบ้านแตกสักคนหรือสองคนจะคิดได้ พวกเขาเป็นแค่โจรลักเล็กขโมยน้อย แต่คุณกลับสร้างให้พวกเขาเป็นนักปล้นธนาคาร แล้วมองดูพวกเขาถูกวิสามัญฆาตกรรมไปต่อหน้าต่อตา”

นายตำรวจร่างใหญ่กัดฟันพูด เขานึกรังเกียจความเห็นแก่ตัวของคนที่สังคมเห็นว่ามีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับเอารัดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าตนเองทุกด้าน

“ตอนนี้ตำรวจกำลังเชิญตัวคุณมัลลิกามาพบเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม”

“อย่ายุ่งกับเขา!” วิรุฬเพิ่งเริ่มมีอารมณ์โกรธ

“ทำไม…เธอสำคัญยังไง”

“อย่ายุ่งกับเธอ เธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้”

“เกี่ยวสิ ถ้าเธอรับเงินที่คุณทุจริตไปจากธนาคาร เธออาจจะเข้าข่ายฟอกเงินก็ได้ เรารู้มาว่าเธอมีทรัพย์สินที่เป็นคอนโดมีเนียม ห้องเช่า ที่ดิน และรถยนต์อีกสองคัน คุณรู้เรื่องนี้ไหม”

วิรุฬสะบัดตัวน้อยๆ เพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของวุฒิภาศ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง เขาเริ่มร้องไห้และเป็นการร้องแบบไม่เหลือมาดของนักบริหารทางการเงินอีกต่อไป

วันต่อมาหัสยุทธก็มาโผล่ที่ห้องทำงานของบุษบงกชอีกครั้ง เขามาถึงเช้าแล้วนั่งอ่านนิตยสารทางการแพทย์ และดื่มกาแฟรอเจ้าของห้องเหมือนเดิม แต่วันนี้คุณหมอไม่สาย หัสยุทธจึงไม่มีประเด็นอะไรที่จะค่อนแคะเธอได้

“ที่ทำงานของคุณไม่มีกาแฟรึไง โดนตัดงบเหรอ ถึงต้องมาเบียดเบียนกาแฟห้องทำงานของฉัน”

พจนีย์รู้สึกกระชุ่มกระชวยที่เห็นเจ้านายกับแขกเริ่มตีฝีปากกันอีกครั้ง

“พจไม่เห็นบ่นเลย”

“ฉันนี่แหละจะบ่น”

“ขี้เหนียว”

เธอสะบัดหน้าใส่แล้วนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง “มีธุระอะไรเชิญค่ะ”

หัสยุทธหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอย่างใจเย็นแล้วค่อยพูด “มารายงานคุณเรื่องคนร้ายผู้หญิงที่หนีไป”

“ฉันเห็นข่าวแล้ว ลอยละลิ่วลงมาจากดาดฟ้าตึกขนาดนั้น นี่คุณคิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้วงั้นสิ”

หัสยุทธยิ้ม “อื้ม สุดความสามารถเลย เธอไม่ตาย”

“แต่เธอสูญเสียลูกไปใช่ไหม”

“ช่วยไม่ได้จริงๆ”

“โหดร้ายมากสำหรับผู้หญิง”

“ดีแล้วสำหรับเธอ”

“นี่คุณเป็นบ้าเหรอ เสียลูกไปแล้วมันจะดียังไง”

“เธอไม่ได้สูญเสียเพราะเหตุการณ์ร่วงลงมาจากตึกนะ แต่ตัวอ่อนไม่สมบูรณ์ ร่างกายก็เลยขับออกมาเองตามธรรมชาติ”

“จริงเหรอ” บุษบงกชทำหน้าไม่เชื่อ

“จริง และที่ผมว่าดีแล้วก็เพราะว่าพ่อของเด็กเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอเอง”

“อะไรนะ!”

“คุณพระช่วย!” พจนีย์ถึงกับต้องลุกขึ้นมายืนฟังข้างๆ บุษบงกช

“คุณแน่ใจแล้วเหรอ”

“เธอยอมรับแล้ว และเราสามารถสืบประวัติได้…คนสองคนเป็นเด็กกำพร้า คนหนึ่งถูกขอไปเลี้ยง อีกคนใช้ชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์ เมื่อเขาสองคนออกมาเผชิญโลกต่างก็มาพบกันโดยบังเอิญ ความรักเล่นตลก เขาตกหลุมรักซึ่งกันและกันจนมีลูก แล้วก็รู้ความจริงทั้งหมดทีหลัง”

บุษบงกชทำหน้าเหยเก “ฉันอยากจะอาเจียน มีอะไรกับพี่ชายตัวเองเนี่ยนะ”

หัสยุทธยักไหล่ “ชีวิตที่ต้องดิ้นรน เอาตัวรอด หล่อหลอมให้พวกเขาปฏิเสธในทุกกฎเกณฑ์ของสังคม เมื่อโลกโหดร้ายก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ เขาคิดจะไปมีชีวิตใหม่ร่วมกันโดยที่ไม่ใส่ใจว่าการสร้างครอบครัวกับพี่ชายน้องสาวตัวเองนั้นเป็นสิ่งผิด ปมของเด็กขาดความอบอุ่นแล้วพยายามไขว่คว้าหาคนที่มาเติมเต็ม ไม่มีใครเข้าใจพวกเขาเท่าคนที่ขาดเหมือนกัน…ความรักชนะทุกสิ่ง”

“โน นี่ไม่ใช่ความรัก นี่มันเป็นกามราคะ ถ้ายังมีสติดีหน่อยเมื่อรู้แล้วพวกเขาต้องเดินออกมา ไม่ใช่ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างนี้”

“คุณเติบโตมาในครอบครัวที่ดี คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก” หัสยุทธลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ไปทำงานดีกว่า”

“เดี๋ยวสิ แล้วเธอจะเป็นยังไงต่อไป”

“รักษาร่างกายให้แข็งแรง ขึ้นศาล ติดคุก ฝึกวิชาชีพในนั้นแล้วออกมาเป็นคนใหม่ในวันใดวันหนึ่ง”

บุษบงกชพยักหน้า “นั่นดีกับเธอนะ”

“ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าในอดีตมาก แต่ต้องเข้าโปรแกรมฟื้นฟูสภาพจิตใจจากจิตแพทย์ด้วย”

“นับว่าเธอเข้มแข็งมากนะคะ” พจนีย์ออกความเห็น

“ใช่ เธอบอกว่าวินาทีที่ตกลงมาจากตึกมันทำให้เธอรู้สึกว่ายังไม่อยากตาย เธอยังอยากเห็นโลกอีกด้านที่มันสดใสกว่าในอดีต แล้วเธอยังตั้งใจจะช่วยตำรวจคลี่คลายคดีปล้นธนาคารด้วย เมื่อวานตำรวจไปจับกุมผู้จัดการสาขามาเรียบร้อยแล้ว”

“แล้วเขาเกี่ยวอะไรด้วยคะ” บุษบงกชถาม

“กามราคะเรื่องที่สอง” เขายิ้มมุมปากนิดๆ ที่ได้ย้อนคำพูดของเธอ “ผู้จัดการสาขามีเมียเก็บอยู่หนึ่งคน เขาทุจริตเงินของธนาคารเพื่อให้เธอเอาไปต่อยอดในตลาดหลักทรัพย์ แต่ในที่สุดก็ขาดทุน เขาเลยต้องสนับสนุนให้โจรปล้นธนาคารของตัวเองเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตรวจสอบบัญชี”

“ช่างซับซ้อน” พจนีย์บอก

“สงสารเมียหลวง”

“ยังมีลูกสาวอีกคน คงช็อกไปเลย เพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อแท้ๆ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่เหลือใครแล้วล่ะ… ขอบคุณมากพจ กาแฟอร่อยเหมือนเดิม ไปนะ”

ท้ายประโยคเขาหันไปทางบุษบงกชแล้วเดินออกจากห้องไป คุณหมอไม่ได้พูดอะไรตอบ เมื่อประตูปิดลงพจนีย์ก็เดินมาเก็บแก้วกาแฟ

“งานก็ยุ่ง ยังอุตส่าห์มาส่งข่าวคราวด้วยตัวเองนะคะ นี่ถ้าแฟนของหนูเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้ หนูรักตายเลย”

“อะแฮ่ม…”

“อุ๊ย ไปทำงานแล้วค่ะ”

บุษบงกชก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเรื่องแค่นี้เขาต้องเสียเวลามาเล่าด้วยตัวเอง

 

(โปรดติดตามต่อในเล่ม)

 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: