บทที่ 3 เดือดเนื้อร้อนใจ
น้ำหนึ่งยืนกอดอกมองรถกระบะที่มีปฐวีเป็นคนขับแล่นออกไปจากหน้าบ้านอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกใหม่อีกครั้ง คุยอยู่แค่ไม่กี่คำก็วางแล้วเดินกลับเข้าบ้าน
แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับแปลงดอกไม้ขนาดย่อมข้างบ้านที่ปฐวีอุตส่าห์ทำรั้วเตี้ยๆ กั้นเอาไว้อย่างดี มันเป็นพุ่มกุหลาบสูงไม่เกินหนึ่งเมตร มีหยดน้ำค้างจากคืนที่ผ่านมาเกาะพราวอยู่บนดอกทรงถ้วย กลีบดอกสีขาวสะอาดเรียงซ้อนกันหนาแน่นหลายชั้นตามแบบกุหลาบโบราณของอังกฤษ
หญิงสาวยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อพบว่ามันคือ Glamis Castle กุหลาบอังกฤษที่ถูกตั้งชื่อตามปราสาทสวยงามเหมือนเทพนิยายในสก็อตแลนด์นั่นเอง
“กลามส์ คาสเทิล…”
น้ำหนึ่งพึมพำเบาๆ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะมันอย่างเบามือ ไม่นึกว่าปฐวีจะปลูกกุหลาบเป็นกับเขาด้วย แถมยังเลือกพันธุ์ที่คุณย่าแสนจะโปรดปรานอีกต่างหาก แต่พอนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบถอนมือออกจากมันเสีย
ไม่แน่หรอก…บางทีพี่วีอาจจะเพิ่งเอามาลงทั้งที่ต้นมีดอกอยู่แล้วก็เป็นได้ เพราะคนปากเสียอย่างเขาคงปลูกของสวยๆ งามๆ อย่างนี้ไม่ขึ้น
“เชอะ ทำเป็นปลูกกุหลาบสวยๆ คงจะตั้งใจเอาไว้ปะเหลาะขอสมบัติคุณย่าแน่ๆ นี่คงคิดว่าเราไม่รู้ทันสินะ”
อย่างไรก็ตาม น้ำหนึ่งยังคงก้มลงมองกุหลาบสีขาวหน้าบ้านปฐวีอีกเป็นครู่ ใจก็ไพล่คิดถึงบ้านของคุณย่าขึ้นมา มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่สร้างอยู่บนม่อนดอยในจังหวัดเชียงใหม่และปลูกดอกกุหลาบ Glamis Castle เอาไว้แปลงใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากระเบียงหลังบ้านและห้องหนังสือของคุณย่า เวลาออกดอกทีก็ขาวสะพรั่งไปหมดจนรู้สึกเหมือนอยู่ยุโรปอย่างไรอย่างนั้น
มันเป็นสถานที่ที่คุณย่าใช้เวลาเขียนหนังสือขายดีออกมามากมาย และอาจใช้มาแล้วกว่าครึ่งค่อนชีวิตโดยแทบไม่ได้ออกไปไหนมากนัก
เมื่อรู้สึกว่าเสียเวลาอยู่หน้าแปลงดอกกุหลาบนานเกินไปแล้ว น้ำหนึ่งก็ปัดความคิดทั้งหลายนั้นออกไปจากหัวแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านทันใด
เริ่มแรกน้ำหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของปฐวีเพื่อเก็บข้าวของบางส่วนของตัวเองแต่เนิ่นๆ เพราะอีกไม่นานเธอคงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในบ้านของเขาอีกต่อไป
ปฐวีก้มลงมองรายการข้าวของที่น้ำหนึ่งจดมาให้แล้วก็เกาหัวใหม่อีกเป็นรอบที่ร้อย แถมโทรกลับไปถามก็ไม่รับสายอีก
นี่มันแกล้งกันชัดๆ!
ชายหนุ่มชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าบรรดาข้าวของที่น้ำหนึ่งอยากจะได้พวกนี้มันจำเป็นต้องใช้ให้เขาออกมาซื้อเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้จริงหรือ หลังจากที่เดินวนเวียนอยู่ในแผนกสินค้าสตรีมาร่วมครึ่งชั่วโมงจนพนักงานขายเครื่องสำอางจำหน้าได้แม่น ปฐวีถึงได้ของมาเกือบครบหมด
“เอาวะ หาให้ได้แค่นี้แหละ”
ปฐวีหิ้วถุงผ้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางและของใช้ผู้หญิงกลับไปที่รถอย่างหงุดหงิด แต่พอขับไปจอดอยู่ตรงสี่แยกไฟแดงก็นึกอยากแก้เผ็ดหญิงสาวขึ้นมา เลยเปลี่ยนใจขับรถไปแวะที่โฮสเทลของลุงนาเมืองแทน เพื่อที่ว่าจะได้หลบไปเสริมพลังสักพักแล้วค่อยกลับไปสู้รบตบมือกับน้ำหนึ่งต่อ
รถกระบะสีขาวแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านสองชั้นหลังใหญ่ของนาเมืองซึ่งมีโฮสเทลและร้านอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทันทีที่เขาดับเครื่องก็เห็นชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านชะเง้อมองมาอย่างประหลาดใจนิดๆ
“อ้าววี ทำไมวันนี้มาได้ล่ะ หรือสลับวันดูแลร้านกับมล”
ปฐวีเดินไปเกาหน้าผากไป ซึ่งเขามักจะเผลอทำอย่างนี้เสมอเวลามีเรื่องให้คิดไม่ตกหรือมีอะไรอยู่ในใจ
“พอดีออกมาซื้อของน่ะครับ เลยแวะมาหา”
นาเมืองย่นหัวคิ้วกับเหตุผลของหลานชาย เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ปฐวีมักจะวุ่นอยู่กับงานแปลหนังสือและกิจการขายหนังสือมือสองทางออนไลน์จนแทบไม่แบ่งเวลาออกไปไหน แต่วันนี้กลับโผล่หน้ามาเอาง่ายๆ เสียอย่างนั้น
“ร้านคนเยอะไหมครับลุง ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมว่าจะไปช่วยมลซะหน่อย”
ปฐวีพูดพลางเดินไปที่ประตูเล็กติดกับรั้ว เพื่อจะผลักเปิดออกไปสู่บริเวณที่เป็นโฮสเทลและร้านอาหาร
“ดูท่าวันนี้วีว่างนานเลยสิ”
“ก็น่าจะได้สัก…สองสามชั่วโมงแหละครับ”
นาเมืองมองตามปฐวีไปอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่ามีอะไรตงิดๆ อยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก
โฮสเทลของนาเมืองเป็นอาคารไม้สองชั้นขนาดค่อนข้างเล็ก ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ อาคารห้องพักและล็อบบี้วางตัวในแนวตั้งฉากกันเพื่อล้อมรอบลานตรงกลางซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมไว้
ส่วนร้านอาหารจะอยู่ตรงกลางระหว่างอาคารห้องพักและล็อบบี้ ทำผนังเลียนแบบกำแพงอิฐดิบและเพิ่มกลิ่นอายแบบวินเทจด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ขณะบนเพดานมีพัดลมไฟทำจากไม้ทรงโมเดิร์นแขวนประดับอยู่
ทันทีที่ปฐวีเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงพูดคุยจอแจดังแว่วมาจากบรรดาแขกที่มาพัก จากพื้นที่เปิดโล่งตรงนั้นจะสามารถมองเห็นเทือกเขาสีน้ำเงินครามแผ่ตัวกว้างอยู่ใต้ท้องฟ้า ชายหนุ่มยิ้มให้กับแขกสองคนที่นั่งเล่นอยู่บนม้านั่งบริเวณลานตรงกลางซึ่งปูด้วยหินกาบและเว้นบางส่วนไว้ให้หญ้าสีเขียวขึ้น
ปฐวีก้าวยาวๆ ไปทางประตูด้านหลังของร้านซึ่งเป็นทางเข้าประจำของเขาอยู่แล้ว แต่เนื่องจากพื้นที่ข้างในเกินครึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ห้องกว้างจึงดูแคบไปถนัดใจ และทำให้ปฐวีต้องก้าวเท้าผ่านไปด้วยความระมัดระวัง
ขณะนั้นนฤมลก็เปิดประตูเข้ามาจากหน้าร้านพอดี จึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นปฐวีโผล่เข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อ้าววี ทำไมมาถึงร้านได้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า หรือจะเกี่ยวกับที่มลแวะไปหาแต่เช้า”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ปฐวีรีบปฏิเสธก่อนนฤมลจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ “แค่ว่างๆ ก็เลยอยากมาช่วย”
“ดีจริง เห็นปกติวีทำตัวยุ่งอยู่ตลอดเลย”
“มลไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมดูต่อให้สักสองสามชั่วโมงค่อยกลับแล้วกัน”
“อืม…ก็ดีเหมือนกัน น้องนุ่นก็ทำท่าจะไม่สบายมาตั้งแต่เช้าละ ว่าจะแวะไปดูสักหน่อย” นฤมลพูดถึงลูกสาวตัวน้อยอย่างเป็นกังวล “นี่ก่อนออกไปทำงานพ่อน้องนุ่นเขาก็กำชับนักหนาว่าถ้าลูกไม่ดีขึ้นก็ให้รีบโทรบอก จะได้มารับไปหาหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย เดี๋ยวผมดูร้านให้ มลไปดูน้องนุ่นเถอะ ไม่ต้องห่วง”
“จ้ะ ขอบใจนะวี”
ตอนนฤมลเดินออกไปจากหลังร้านก็ราวๆ เก้าโมงครึ่งแล้ว ถ้านับเวลารวมกับตอนที่เขาขับรถออกจากบ้านไปซื้อของก็น่าจะเกินชั่วโมงไปแล้วแน่ๆ
ฮึ…ป่านนี้คุณหนูน้ำหนึ่งคงชะเง้อคอคอยแล้วคอยอีก แต่เดี๋ยวทนรอไม่ได้ก็คงจะโทรมากรี๊ดใส่เอง
ปฐวีนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
ถ้าน้ำหนึ่งคิดจะแกล้งคนอย่างเขาล่ะก็ มันยังเร็วไปอีกร้อยปี!
ทว่าชายหนุ่มก็สบายใจอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีข้อความดังแจ้งเตือนมาจากนฤมล เมื่อกดเปิดดูก็เห็นพาดหัวข่าวบันเทิงในหน้าโซเชียลมีเดียที่อีกฝ่ายเลื่อนเปิดเจอเข้าโดยบังเอิญ
‘ไฮโซสาวน้ำหนึ่งถูกไอ้หนุ่มคลั่งรักจับไปขังไว้ในบ้าน จนป่านนี้ยังหาตัวไม่พบ’
ปฐวีถึงกับอึ้งไปทันทีเมื่อได้เห็น ก่อนจะอ่านซ้ำอีกสองสามรอบอย่างจะให้แน่ใจว่าใช่น้ำหนึ่งคนเดียวกันกับที่มาทำตัวเป็นคุณนายอยู่ในบ้านเขาหรือไม่
และสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวในไม่กี่อึดใจต่อมาก็คือ แล้วไอ้หนุ่มคลั่งรักนี่มันใครกันหว่า
ถ้าหากตอนนี้น้ำหนึ่งไม่ได้ถูกจับไปไหน และยังคงอยู่ที่บ้านเขา ก็ไม่เท่ากับว่า…
“เป็นไปไม่ได้น่า!”
ปฐวีส่ายหน้า ก็น้ำหนึ่งเพิ่งมาหาเขายังไม่ถึงวันด้วยซ้ำไป ข่าวอะไรมันจะว่องไวปานสายฟ้าฟาดขนาดนี้ แต่ไม่ว่านี่จะเป็นข่าวลวงหรือข่าวจริง หรือเรื่องตลกร้ายอะไรก็แล้วแต่ มันกำลังทำให้ปฐวีนั่งไม่ติดที่อีกต่อไป
ขั้นแรกเขาพยายามโทรหาน้ำหนึ่งก่อนแต่หญิงสาวก็ไม่ยอมรับสายเอาเสียเลย
หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับน้ำหนึ่ง
“ไม่ได้การ คงต้องรีบกลับบ้านละ”
ปฐวีตัดสินใจวิ่งกลับไปบอกนาเมืองว่าที่บ้านมีปัญหาเรื่องลูกค้าต้องรีบไปจัดการ ก่อนจะรีบบึ่งรถกลับบ้านด้วยความร้อนใจ ตลอดทางก็พยายามคิดเรียงลำดับเหตุการณ์เรื่องราวทั้งหมดในหัวเท่าที่จะนึกออกได้ในอารมณ์ขณะนั้น
ก่อนจะมาสะดุดอยู่ที่ท่าทีลับลมคมในของน้ำหนึ่งก่อนจะใช้ให้เขาออกมาซื้อของเป็นสิ่งสุดท้าย พอรู้ตัวอีกทีปฐวีก็ต้องเหยียบเบรกจนหน้าแทบคะมำ โชคดีว่าไม่มีรถตามหลังมา
พับผ่าสิ มันอะไรกันล่ะนั่น!
บริเวณหน้าบ้านอันแสนสงบของเขาตอนนี้มีรถมาจอดอยู่สองคัน หนึ่งในนั้นเหมือนจะเป็นรถของตำรวจเสียด้วย เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของน้ำหนึ่ง
และที่น่าปวดใจจนแทบน้ำตาไหลก็คือกุหลาบ Glamis Castle ที่เขาอุตส่าห์ฟูมฟักมาหลายเดือนจนออกดอกงามสมใจกำลังถูกคนแปลกหน้าพวกนั้นเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะมาเพราะน้ำหนึ่งหรือใคร เขาจะไม่ยอมใจดีให้อีกแล้ว
ทว่าก่อนจะผลีผลามเข้าไปก็มีอะไรบางอย่างมาดลใจให้ปฐวีต้องเปลี่ยนความคิด บรรยากาศอันไม่ชอบมาพากลทำให้เขาตัดสินใจรีบถอยรถแอบไว้ข้างทางให้ห่างจากบรรดารถของตำรวจและคนแปลกหน้าที่มาอออยู่เต็มบ้าน แล้วจึงค่อยๆ อ้อมไปดูลาดเลาจากรั้วหลังบ้านแทน
ระหว่างนั้นก็พยายามโทรหาน้ำหนึ่งไปด้วย แต่กว่าอีกฝ่ายจะกดรับก็ต้องโทรย้ำๆ อยู่หลายสายจนหงุดหงิดใจ ทว่าปฐวียังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดก็ถูกชิงเอาโทรศัพท์ไปจากมืออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“คะ…”
มือนั้นเอื้อมมาปิดปากเขาไว้พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแนบปากตัวเองแทนสัญญาณให้เงียบเสียงลง จนเมื่อเห็นว่าปฐวีเข้าใจดีแล้วจึงยอมปล่อยให้เขาได้พูด
“คุณหนึ่ง! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ปฐวีกระซิบถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไปก่อนเถอะพี่วี รีบไปจากที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งถาม!”
ปฐวีพบว่าหญิงสาววิ่งออกมาจากบ้านทั้งเท้าเปล่า เสื้อผ้าก็เป็นรอยเปื้อนอยู่หลายแห่งจากการวิ่งฝ่าดงกล้วยหลังบ้านออกมา แล้วก็คงจะปีนรั้วด้วย
พอเห็นชายหนุ่มยังละล้าละลัง น้ำหนึ่งก็เป็นฝ่ายฉุดมือเขาให้วิ่งห่างออกไปจากตัวบ้าน ปากก็ถามไปด้วยว่า “รถพี่วีอยู่ไหน…”
“ถนน รถอยู่ที่ถนน”
แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ปฐวีก็ตัดสินใจยึดมือน้ำหนึ่งไว้แน่นแล้วเป็นฝ่ายเร่งฝีเท้านำไปที่รถแทน โชคดีว่าไม่มีใครเอะใจเรื่องรถของเขาที่จอดแอบห่างออกไป จึงสามารถเปิดประตูขึ้นไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็น
ปฐวีจับพวงมาลัยทั้งที่มือยังสั่น เหงื่อซึมชื้นไปทั่วใบหน้าด้วยในชีวิตอันแสนสงบไม่เคยต้องเผชิญกับเรื่องผาดโผนเช่นนี้มาก่อน
“เร็วสิ เดี๋ยวพวกมันก็เห็นหรอก” น้ำหนึ่งเร่งเร้าทั้งที่ปากคอยังสั่น
“ขืนรีบใส่เกียร์ถอยดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเจมส์ บอนด์ เขาก็จะได้แห่ขับตามกันมาเป็นโขยงสิครับ”
แม้อยู่ในยามคับขัน ความคิดเห็นของเขากับน้ำหนึ่งก็ยังไม่มีวันไปทางเดียวกันอยู่นั่นเอง แต่ปฐวีไม่มีเวลาจะมาใส่ใจอีก นอกจากพยายามเลี้ยวรถย้อนขึ้นไปบนถนนอย่างไม่ให้กลายเป็นจุดสังเกต
ใจเย็นเว้ยไอ้วี อีกนิดเดียว…
แต่ปฐวีก็เย็นอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะทันทีที่เลี้ยวรถกลับไปได้แล้วเขาก็แทบจะเหยียบเบรกมิดเท้าด้วยอกใจไหวระทึก ส่วนน้ำหนึ่งที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ ก็ลนลานหันไปดึงเอาเข็มขัดมาคาดไว้เพื่อความอุ่นใจ
จนกระทั่งทิ้งห่างออกมาพอสมควร ปฐวีถึงหันกลับไปถามน้ำหนึ่งอีกครั้งด้วยความมึนงงเต็มที่
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว”
“พี่วีอย่าเพิ่งถามอะไรหนึ่งตอนนี้ได้ไหม รีบหนีไปให้ไกลที่สุดก่อนดีกว่า”
“หนี?” ปฐวีย่นหัวคิ้ว “ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ คนพวกนั้นมาบุกบ้านผมนะ”
“เถอะน่า พี่วีขับรถไปก่อน ไปไหนก็ได้ แล้วหนึ่งจะเล่าให้ฟังว่าทำไมเราต้องหนีไปก่อน”
ท่าทางที่ยังไม่หายจากอาการเสียขวัญเมื่อครู่ทำให้ปฐวีจำต้องยอมทำตามอีกฝ่ายไปก่อน ทว่าเขาก็ยังไม่รู้จะมุ่งหน้าไปไหนอยู่ดีนอกจากโฮสเทลของนาเมือง
ไม่ดีกว่า…ขืนไปคงไม่แคล้วเอาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไปให้ลุงเมืองเท่านั้น
“งั้นจะให้ไปไหนดีล่ะ ผมคิดไม่ออกเลย” ปฐวีตัดสินใจหันไปขอความคิดเห็นจากน้ำหนึ่ง
“ไป…” น้ำหนึ่งหยุดคิดนิดเดียวก็โพล่งออกมาทันทีว่า “ไปบ้านคุณย่า พี่วียังจำทางได้ไหม”
จริงสิ นี่เขาลืมที่พึ่งอย่างคุณย่าบุษยาไปได้อย่างไร
“ได้สิ ผมเพิ่งไปเยี่ยมคุณย่าเมื่อไม่ถึงเดือนที่ผ่านมานี่เอง”
พอตัดสินใจได้ดังนั้น ปฐวีก็รีบพารถมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ทันที ทั้งสองต่างนั่งเงียบกันในรถไปกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งว่า “เอาล่ะสิ น้ำมันจะหมด…”
“อะไรนะ! น้ำมันจะหมด ทำไมพี่ไม่รู้จักเติมไว้ให้เยอะๆ หน่อยล่ะ”
“ก็ใครมันจะไปรู้ว่าจะต้องขับรถไปถึงเชียงใหม่ล่ะครับ” ปฐวีโต้กลับไปทันทีตามประสาคนปากไว แต่ครั้นหันไปเห็นสีหน้าซีดเซียวของหญิงสาวจึงยกมือขึ้นโบกไปมาแล้วเอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “ช่างเถอะ เดี๋ยวหาปั๊มเติมก็หมดปัญหา ดีนะที่ผมเอากระเป๋าตังค์ติดมาด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ถึงบ้านคุณย่าเมื่อไหร่หนึ่งจะจ่ายค่าน้ำมันคืนให้ทุกบาทแน่นอน”
“เงินเติมน้ำมันแค่นี้ผมไม่ห่วงหรอก ที่น่าห่วงก็คือใครมันมาเล่นปาหี่อยู่หน้าบ้านผมต่างหาก แล้วมันเรื่องอะไรถึงต้องมาหนีหัวซุกหัวซุนกันอย่างนี้ด้วย”
พอกลับมาตั้งสติได้ คำถามมากมายก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจจนปฐวีแทบจะเลือกไม่ถูกว่าจะถามคำถามไหนก่อนดี
น้ำหนึ่งฟังแล้วก็เอาแต่เม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมเปิดปากพูดออกมาสักคำ ทำให้ปฐวียิ่งหงุดหงิดใจ แต่ครั้นจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากหญิงสาวก็เห็นใจว่าเพิ่งจะขวัญเสียมา
หญิงสาวนั่งคอแข็งจนกระทั่งปฐวีเลี้ยวรถแวะปั๊มน้ำมัน เขาตั้งใจเลือกปั๊มใหญ่เข้าไว้ เพราะจะได้หาซื้อของกินแล้วก็ของใช้อีกนิดหน่อย หรือเผื่อว่าน้ำหนึ่งจะอยากเข้าห้องน้ำด้วย
“จะลงไหมคุณหนึ่ง เผื่ออยากเข้าห้องน้ำ”
น้ำหนึ่งชะเง้อชะแง้ดูนอกรถอย่างประเมิน ด้วยไม่อยากลงไปพบคนพลุกพล่านข้างนอก
“ก็ได้ ว่าแต่รถพี่มีแว่นตาดำไหม”
ตอนแรกปฐวีก็งงว่าหญิงสาวอยากจะได้แว่นตาดำไปทำไม แต่พอนึกอะไรได้ก็ต้องร้องอ๋อขึ้นมาในทันใด
น้ำหนึ่งคงจะอยากได้เอาไปพรางตัวนี่เอง
“ไม่มีหรอก ผมไม่มีแว่นทุกชนิดเลย”
ดูเหมือนตอนนี้ความสวยของน้ำหนึ่งเริ่มจะเป็นปัญหาขึ้นมาเสียแล้ว เพราะผู้หญิงสวยๆ หุ่นดีไปไหนคนก็ชอบมอง แล้วไหนจะส่วนสูงพอๆ กับนางงามนั่นอีก
“เอาหมวกผมไปใส่แทนดีไหม มันน่าจะช่วยได้เยอะกว่าแว่นตาดำนะผมว่า”
“หมวก…หมวกอะไร”
“มันไม่ใช่ของแบรนด์เนมราคาแพงอะไรหรอก คุณหนึ่งทนใส่ไปก่อนได้ไหมล่ะ”
ปฐวีเอื้อมมือมาเปิดเก๊ะหน้ารถแล้วหยิบหมวกแก๊ปสีดำให้
น้ำหนึ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปรับมา แต่ก่อนสวมก็ไม่ลืมดมดูก่อนเหมือนตอนที่เขายื่นผ้าห่มให้ “โอเค ไม่มีกลิ่นอะไร”
“เวลาใครให้ของคุณหนึ่งต้องดมก่อนทุกครั้งเลยเหรอ แปลกพิลึก”
“เฉพาะกับพี่วีคนเดียวเท่านั้นแหละ ก็พี่มันซกมกนี่นา”
“อืม…ท่าทางพวกหนุ่มๆ ลูกคนรวยที่มารุมจีบคุณหนึ่งอยู่นี่คงอาบน้ำหอมมากันหมดทุกคนเลยสิ แล้วก็คงไม่เอาของถูกๆ อย่างนี้มาให้คุณหนึ่งใช้ด้วย”
“มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว”
น้ำหนึ่งดึงที่บังแดดหน้ารถลงมาเพื่อจะดูกระจก ระหว่างนั้นก็พยายามจับผมรวบไว้เพื่อที่จะใส่หมวก แต่ดูเหมือนจัดอย่างไรก็ไม่ถูกใจเสียที
“จะใส่หมวกเสร็จไหมครับวันนี้ นี่ผมปวดเยี่ยวจนจะราดอยู่แล้ว หรือคุณหนึ่งจะอยู่เฝ้ารถ ผมจะได้ลงไปก่อน”
เนื่องจากไม่เคยมีสุภาพบุรุษคนใดมาพูดจากับเธอแบบนี้มาก่อน น้ำหนึ่งจึงชะงักมือแล้วหันไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
“พี่วีนี่! พูดกับผู้หญิงอย่างนี้ได้ยังไง ห่ามเกินไปละ”
“อ้าว แล้วจะให้ผมบอกว่าไงล่ะ ก็คนมันปวดฉี่นี่ แค่นี้ก็ต้องว่าห่ามด้วยเหรอ เว่อร์ไปละ”
ปฐวีเห็นว่าขืนมัวแต่โอ้เอ้กันอยู่ ฟ้าคงมืดก่อนไปถึงเชียงใหม่แน่ จึงเอื้อมมือไปดึงหมวกมาจากมือของหญิงสาว รวบผมดัดเป็นลอนเงางามที่ตกลงมาปรกหน้าออกแล้วสวมหมวกลงไปให้เสร็จสรรพ
“ทำอะไรเนี่ย”
“เอ้า ก็ใส่หมวกให้ไง เสร็จแล้ว ลงได้แล้ว”
คราวนี้ปฐวีไม่รอเอาคำตอบอีก เขาก้าวลงรถไปก่อนเพื่อเป็นการบังคับหญิงสาวให้รีบตามไปกลายๆ
“เสร็จแล้วก็โทรหาผมแล้วกัน เผื่อผมไปซื้อของ ยังไม่กลับมาที่รถ”
“หนึ่งไม่มีมือถือแล้ว”
“หา…อะไรนะ”
“ไม่มีไง ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยตอนนี้”
“โอเคๆ งั้นมารอผมที่รถ จำรถผมได้ใช่ไหม ถ้าไม่ได้ก็จำทะเบียนไปเลยแล้วกัน”
“รู้แล้วน่ะ ทำอย่างกับหนึ่งเป็นเด็กสามขวบไปได้”
ถึงจะมีหมวกแล้วแต่น้ำหนึ่งก็ยังคงพยายามเดินแอบอยู่ข้างหลังปฐวีไปจนถึงหน้าห้องน้ำ โชคดีว่าเขาเป็นผู้ชายตัวสูงแล้วยังไหล่กว้างจึงบังตัวเธอได้แทบมิด
ทำไมกันนะ…ทั้งที่ไม่ได้เจอหน้าเขามาเป็นปีๆ แล้ว แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อได้มองแผ่นหลังของเขาถึงแทบไม่จืดจางไป ทั้งยังเรียกความอุ่นใจเหมือนในวันวานให้หวนคืนมาได้อีกต่างหาก
มันเป็นความอบอุ่นเหมือนกับตอนที่เขาโผล่หน้ามาเรียกเธอเมื่อเช้านี้ไม่มีผิด และก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้ได้เลย ไม่…แม้แต่จะใกล้เคียง
“คุณหนึ่ง…”
เสียงเรียกจากปฐวีที่กำลังเอี้ยวตัวมามองทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกตัว หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยกับสิ่งที่แวบผ่านเข้ามาในใจเมื่อครู่ ก่อนจะบอกกับอีกฝ่ายที่ยังทำหน้างงๆ ว่า
“เสร็จแล้วก็รอหนึ่งอยู่นี่แหละ หนึ่งลืมแล้วว่ารถพี่วีคันไหน!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.