บทที่ 4 ผิดไปแล้ว
น้ำหนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ทั้งยังมีเสียงเพลงเบาๆ เปิดคลออยู่หน้ารถอีกต่างหาก ปฐวีคงเปิดไว้แก้เหงาระหว่างขับรถนี่เอง
แต่แล้ว…เมื่อได้ยินชัดว่าเป็นเพลงอะไร น้ำหนึ่งก็ชะงักแล้วมองที่หน้าคอนโซลรถเพื่อดูว่าปฐวีฟังมันจากวิทยุหรือเปิดเอง
ปฐวีเห็นสายตาของหญิงสาวก็เดาเอาว่าคงสนใจเพลง จึงบอกว่า “ผมเปิดจากซีดีที่คุณหนึ่งเคยซื้อให้ไง จำได้ไหม”
น้ำหนึ่งไม่ได้ตอบ แต่เธอจำได้…ว่าปฐวีชอบเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ เธอก็เลยซื้อให้เขาทุกอัลบั้มที่ออกมาในตอนนั้น ไม่พอยังส่งข้ามประเทศมาให้ทันก่อนวันเกิดเขาอีกต่างหาก
“อืม…มันน่าจะเป็นของขวัญวันเกิดปีล่าสุดที่ผมได้จากคุณหนึ่ง จำได้ว่าส่งมาให้ผมช่วงที่คุณหนึ่งไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ผมว่าคุณหนึ่งคงจำไม่ได้หรอก ถึงไม่บอก ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณย่าคงบอกให้ซื้อให้ผมมากกว่า”
ปฐวีพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงมันก็เป็นของขวัญที่ถูกใจผมมาก”
“แล้วทำไมพี่วีจะต้องคิดว่าหนึ่งซื้อเพราะคุณย่าบอกให้ซื้อด้วยล่ะ หนึ่งก็ซื้อของขวัญให้ทุกคนที่หนึ่งเมมวันเกิดไว้ในมือถือเองนั่นแหละ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจำเองแล้ว”
“ถ้างั้นคุณหนึ่งได้อีเมลที่ผมส่งไปขอบคุณหรือเปล่า ไม่เห็นตอบผมมาเลย”
ที่จริงน้ำหนึ่งเห็นแล้วแต่ไม่ตอบ เพราะตอนนั้นเธอยังไม่หายโกรธที่ปฐวีไม่ยอมไปเรียนต่อเป็นเพื่อน แถมเขายังบอกทิ้งท้ายก่อนจากกันอีกว่าแค่ช่วยดูแลเธอซึ่งไม่ต่างจากการเป็นคนรับใช้ให้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันก็นับว่าเกินพอแล้ว
แน่นอนว่ามันทำให้น้ำหนึ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่ยอมคุยกับเขากระทั่งถึงวันขึ้นเครื่องไปอังกฤษ แต่ปฐวีก็ไม่แม้แต่จะตามมาส่งเธอที่สนามบินพร้อมคุณย่า กลับหายหน้าไปเสียดื้อๆ และไม่ยอมส่งอีเมลตามมาง้อเธอแม้แต่ฉบับเดียว
แต่ไม่รู้ทำไม…ทั้งที่ปฐวีไร้เยื่อใยกับเธอถึงขนาดนั้นแล้ว เธอยังมีแก่ใจนึกส่งของขวัญไปให้เขา ไม่พอยังอุตส่าห์ออกไปซื้อให้เองและส่งให้กับมืออีกต่างหาก มันอาจจะเป็นของขวัญที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่เธอเคยซื้อให้เพื่อนฝูง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นชิ้นเดียวที่เธอได้เลือกอย่างพิถีพิถันมากกว่าของใครทั้งหมด
พอเวลาผ่านไปจนหายโกรธ เรื่องเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นอะไรที่ถูกหลงลืมไป หรือหากนึกได้ขึ้นมามันก็นานเกินกว่าจะตอบอะไรกลับไปอยู่ดี
“ไม่เห็นนี่…พี่ส่งมาด้วยเหรอ สงสัยคงเผลอลบไปพร้อมกับอีเมลอันอื่น”
ปฐวีได้ยินก็อดหันมามองแวบหนึ่งไม่ได้
“โห…ใจร้ายแฮะ ยอมรับมาเถอะว่าที่จริงแล้วคุณหนึ่งวานให้ใครสักคนซื้อส่งให้ผม ก็เลยลืมสนใจว่าผมส่งอีเมลหาทำไม”
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย พี่วีนั่นแหละ!”
น้ำหนึ่งหันไปแหวใส่อย่างลืมตัว แต่พอเห็นสีหน้าแปลกใจของปฐวีก็ทำท่าฮึดฮัดใส่แล้วพูดเฉไฉไปทางอื่นแทนเสีย
“ช่างมันเถอะ อย่ามาเถียงเรื่องไร้สาระนี่เลย ใครจะเป็นคนซื้อ ใครจะเป็นคนส่งก็ช่างหัวมัน”
“เป็นอะไรอีกล่ะครับคุณหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ของขึ้นเสียอย่างนั้น”
“พี่นั่นแหละ เงียบไปเลย หนึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดี”
พูดไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังเอื้อมมือไปกดปิดเพลงด้วย ทำให้ปฐวีได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา ทั้งที่เขาควรเป็นฝ่ายโกรธที่ถูกน้ำหนึ่งมาทำลายชีวิตประจำวันอันแสนสงบจนป่นปี้ กลับกลายเป็นว่าเขาคือคนผิดไปเสียทุกเรื่อง
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังต้องเอากระดูกมาแขวนคออีก นี่มันคราวเคราะห์แท้ๆ เลยไอ้วีเอ๊ย
ครั้นเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะเงียบเกินไปจนน่าอึดอัด น้ำหนึ่งก็เลยยื่นมือไปกดเปิดเพลงใหม่ แล้วถามว่า “แล้วนี่ถึงไหนแล้วล่ะ อีกไกลไหม”
“ก็น่าจะ…อีกประมาณร้อยกิโล เราเพิ่งเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่เมื่อกี้นี้เอง”
“เรามาไกลขนาดนี้แล้ว พวกนั้นคงไม่ตามมาแล้วล่ะ”
พอน้ำหนึ่งพูดถึงคนพวกนั้นขึ้นมา ปฐวีก็เลยได้โอกาสถามเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเขาอีกครั้ง ซึ่งระหว่างที่น้ำหนึ่งเผลอหลับไปบนรถ เขาก็ได้โทรไปหาลุงนาเมืองเพื่อขอให้ไปช่วยดูบ้านให้ก่อนชั่วคราวแล้ว
แน่นอนว่าชายวัยกลางคนย่อมซักถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ด้วยความตกใจ โดยเฉพาะเมื่อได้รู้จากลูกสาวถึงความสงสัยเรื่องที่ว่ามีผู้หญิงมาแอบอยู่ในบ้านของปฐวีเมื่อเช้านี้…
‘นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะวี เล่าให้ลุงฟังเดี๋ยวนี้เลย’
ลุงนาเมืองตกใจมากเมื่อไปเห็นสภาพบ้านของปฐวีหลังจากคนแปลกหน้าได้ยกโขยงกลับไปกันจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแปลงดอกกุหลาบขาวสุดรักสุดหวงของชายหนุ่มที่ถูกรอยเท้าเหยียบย่ำอย่างไม่ปรานี หรือประตูบ้านที่เปิดไว้อ้าซ่าโดยไม่มีคนอยู่ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่มีข้าวของมีค่าหายไปแต่อย่างใด
แม้แต่ตัวปฐวีเองก็ยังไม่อาจจับต้นชนปลายได้ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่เล่าเท่าที่รู้ให้ฟังไปก่อน ถึงอย่างนั้นก็ทำให้นาเมืองประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมาหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของน้ำหนึ่ง
‘ยังไงผมก็ฝากบ้านไว้กับลุงเมืองด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะเรียกแก่นให้มาช่วยห่อหนังสือรับออเดอร์ลูกค้าไปก่อน ผมจะรีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดแล้วรีบกลับบ้านเลย’
ปฐวีจบบทสนทนาลงด้วยการเอ่ยปากรบกวนชายวัยกลางคน เขาตั้งใจว่าพอไปถึงบ้านของคุณย่าบุษยาแล้วจะรีบเค้นเอาความจริงทุกอย่างจากปากของน้ำหนึ่งทันที และเมื่อสะสางเรื่องราวอันยุ่งเหยิงนี้เสร็จก็จะได้กลับบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติสุขดังเดิม
ทว่าชายหนุ่มคงจะไม่ได้คาดฝันว่าเรื่องราวมันจะลุกลามไปใหญ่โตเกินกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรกมากนัก แม้แต่ตัวน้ำหนึ่งเองก็ตามที
“ว่าแต่พวกนั้นนี่มันใครกันครับ คุณหนึ่งจะยอมเล่าให้ผมฟังได้หรือยัง”
น้ำหนึ่งเงียบไปอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามที่เธอเลี่ยงจะตอบมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะหญิงสาวกลัวว่าหากบอกความจริงออกไปแล้วปฐวีจะต้องโกรธมาก จนอาจถึงขั้นไม่ยอมพาเธอไปหาคุณย่าก็ได้
“ตกลงจะไม่ยอมตอบผมสักหน่อยเหรอ”
“ถ้าอย่างนั้น…พี่วีรับปากอะไรกับหนึ่งก่อนได้ไหม”
เอาล่ะสิ ถ้าลองน้ำหนึ่งพูดแบบนี้แสดงว่าสิ่งที่หญิงสาวจะบอกกับเขาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ และอาจจะหนักกว่านั้นหากเขาถูกดึงให้เข้าไปมีเอี่ยวด้วย
“อะไรล่ะครับ คุณหนึ่งกำลังทำให้ผมใจไม่ดีนะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ทำใจดีๆ ไว้ก่อนดีกว่า ไว้ถึงบ้านคุณย่าแล้วหนึ่งค่อยเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
น้ำหนึ่งเอื้อมมือไปตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ อย่างโล่งใจเมื่อคิดว่าอาจจะสามารถปัดเรื่องน่าหนักใจให้พ้นออกจากตัวได้ชั่วคราว
“ไม่เป็นไรดีกว่า คุณหนึ่งจะให้ผมรับปากอะไรล่ะ” ปฐวีพูดพลางเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย “บอกมาตอนนี้ได้เลย”
“แต่…จะดีเหรอ”
“ดีครับ เล่ามาเถอะนะ ขอร้องล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รับปากก่อนว่าจะไม่โกรธหนึ่ง”
ปฐวีชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเรื่องราวโกลาหลนี้ทำท่าจะมาเกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าจริงๆ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าน้ำหนึ่งจะทำอะไรให้เขาโกรธ
ไม่สิ…ถ้าเป็นน้ำหนึ่งย่อมทำได้อยู่แล้ว ต่อให้เรื่องนั้นมันจะเล็กน้อยเสียจนไม่น่าทำให้เขาโกรธได้เลยก็ตาม
“รับปากสิ ถ้าไม่ หนึ่งก็ไม่เล่า”
“โอเคๆ ไม่ว่าคุณหนึ่งจะเล่าอะไรให้ฟัง ผมก็จะไม่โกรธ”
“รับปากแล้วห้ามคืนคำนะ” น้ำหนึ่งย้ำถาม
“ครับ ไม่คืนคำ รีบเล่ามาเถอะ”
ปฐวีชักจะเริ่มรำคาญขึ้นมาเมื่อน้ำหนึ่งทำยึกยักไม่ยอมเล่าให้ฟังเสียที ไหนยังจะมากระตุ้นความอยากรู้ด้วยการขอให้เขารับปากว่าจะไม่โกรธอีก
น้ำหนึ่งนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี จนกระทั่งเธอตัดสินใจเริ่มต้นด้วยประโยคที่แย่ที่สุดของเรื่องนี้
“ที่อยู่ๆ หนึ่งมาหาพี่วีถึงเชียงรายไม่ใช่เพราะเรื่องสตอล์กเกอร์บ้าบออะไรนั่นหรอก แต่เป็นเพราะจะมาสร้างความเดือดร้อนให้พี่ต่างหาก”
หญิงสาวพูดออกมารวดเดียวโดยไม่ยอมหันไปมองหน้าปฐวี และคงจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดเวลาที่พูดถึงเรื่องดังกล่าว
“ว่าอะไรนะ!” ปฐวีถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่าย
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เข้าเป็นพวกเดียวกับแม่นางร้ายโชติรส หนึ่งก็คงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก!”
คำอธิบายกระท่อนกระแท่นของน้ำหนึ่งไม่ได้ทำให้ปฐวีเข้าใจอะไรมากขึ้นสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้เขางงหนักขึ้นกว่าเก่าเสียอีก
“แม่นางร้ายอะไรกัน ผมไม่เห็นจะเข้าใจ”
“ก็พี่พีท…” น้ำหนึ่งพูดถึงแค่คำนี้ก็หยุดไปเสียดื้อๆ เหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
“คุณพีท? คุณพีททำไมกัน พูดให้มันเข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”
“พี่พีท…ไปบังเอิญรู้มาว่าพี่วีน่ะไปหนุนหลังยายโชติรสให้บอยคอตหนึ่ง จนคนทั้งกองถ่ายไม่คุยกับหนึ่งทั้งเดือนก่อนจะปิดกล้อง”
“หา!”
ปฐวีร้องออกไปอย่างนึกไม่ออกว่าเขาจะไปทำอะไรอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาปลีกตัวมาอยู่เชียงรายเป็นปีๆ แล้ว
“ผมเนี่ยนะ เข้าใจผิดแล้วมั้ง”
“ไม่หรอก ก็…” น้ำหนึ่งเม้มริมฝีปากเหมือนไม่ชอบใจกับสิ่งที่จะพูดต่อไป “ก็แม่รสคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนคณะเดียวกับแฟนเก่าพี่วีไม่ใช่เหรอ อย่ามาทำเป็นไม่รู้จักหน่อยเลย”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าผมไม่รู้จักโชติรส แต่ผมไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้เค้าเลยตั้งแต่เลิกกับแพรไป เอาจริงๆ ตอนคบกับแพรผมก็ว่าผมเคยพูดกับเค้าไม่เกินสองประโยคด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องบอยคอตอะไรนั่นเลย เบอร์โทรก็ไม่เคยมีหรอก”
นั่นเพราะโชติรสก็เป็นพวกลูกเศรษฐีที่ไปไหนก็ยืนเชิดคอตั้งบ่าอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างจากน้ำหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ไม่เลิศเท่า ไม่รวยเท่า และก็…ไม่สวยเท่าเท่านั้นเอง
“ไม่รู้ล่ะ หนึ่งมีหลักฐานก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเปิดให้ดู รับรองว่าพี่ต้องพูดไม่ออกแน่ แล้วเรื่องของพี่ที่มันแดงออกมาไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะ เพราะพี่พีทไปรู้มาจากลุงทนายวิทย์ว่าคุณย่าเขียนพินัยกรรมยกบ้านกุหลาบขาวบนดอยที่เชียงใหม่แถมที่ดินอีกตั้งเป็นร้อยๆ ไร่ที่เชียงรายให้พี่วีคนเดียว ทั้งๆ ที่พี่วีก็ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับคุณย่าสักหน่อย”
ปฐวีได้ฟังก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเท่าที่จำได้เขาไม่เคยพูดเรื่องทรัพย์สมบัติอะไรกับคุณย่าบุษยาเลยสักครั้ง เมื่อไปเยี่ยมเยียนครั้งใดคุณย่ามักจะพูดเรื่องหนังสือกับเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีบ้างที่เคยยกให้เขามาสองสามเล่ม แต่มูลค่าของมันคงไม่เท่ารองเท้าสักข้างของน้ำหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
“ผมไม่เคยขออะไรจากคุณย่า นอกจากขอซื้อหนังสือมือสองหายากที่ท่านมีมาขายเท่านั้น แล้วมันก็ไม่ได้มากอะไรเลยสักนิดเดียว ถ้าไม่เชื่อจะไปถามคุณย่าเองเลยก็ยังได้”
พูดมาถึงตรงนี้ปฐวีก็นึกอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้ ทั้งยังเป็นความคิดที่ทำให้เรื่องสมบัติของคุณย่ายิ่งไม่ชอบมาพากลขึ้นไปอีก
“อีกอย่างทำไมลุงทนายสุวิทย์ถึงได้ไปรู้รายละเอียดในพินัยกรรมของคุณย่าได้ มันต้องเป็นความลับจนกว่า…” ชายหนุ่มไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องความเป็นความตายของคุณย่าจึงเลี่ยงใช้คำอื่นแทน “จะถึงเวลาของมัน แล้วนี่อะไร รู้รายละเอียดยิบย่อยไม่พอ ยังปากสว่างเอามาบอกใครต่อใครอีก ถ้าคุณนลรู้เข้ามีหวังได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งทนายประจำตระกูลได้เลยนะ”
‘คุณนล’ ที่ปฐวีเอ่ยถึงคือปู่ของน้ำหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์นาราภัทรอันแสนมั่งคั่งนั่นเอง
น้ำหนึ่งฟังปฐวีร่ายยาวจนจบก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
“ไม่รู้ล่ะ หนึ่งได้ยินจากพี่พีทมาว่าพักหลังคุณย่าแก่มากแล้วจนชักจะหลงๆ พี่วีเลยฉวยโอกาสนี้ขอสมบัติ”
ปฐวีเผลอกำพวงมาลัยแน่นโดยไม่รู้ตัว และในพริบตาต่อมาเขาก็ตัดสินใจจอดรถแอบเข้าข้างทาง แต่คงจะเร่งรีบไปหน่อยจึงมีเสียงบีบแตรไล่จากรถคันหลังดังสนั่นจนน้ำหนึ่งต้องนั่งเกร็งอยู่บนเบาะด้วยความตกใจ
“พี่วีเกิดบ้าอะไรขึ้นมาน่ะ ขับรถดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
ปฐวีนิ่ง พยายามข่มให้ใจเย็นลงอย่างสุดความสามารถเมื่อหันไปเอ่ยกับหญิงสาวข้างกาย
“นี่คุณหนึ่งรู้ตัวหรือเปล่าว่าแต่ละอย่างที่พูดมานั่นน่ะ มันยิ่งกว่าเป็นการดูถูกผมซะอีก ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในสายตาของคุณหนึ่งผมจะเป็นคนเลวได้ถึงขนาดนั้น เสียแรงจริงๆ ที่ผมสู้อุตส่าห์เป็นห่วงคุณหนึ่ง อดทนดูแลอย่างดีมาหลายปี เพราะเห็นว่าคุณหนึ่งเป็นหลานสาวคนเดียวของคุณย่า แต่คุณหนึ่งให้ค่าผมแค่นี้เอง”
แม้ว่าปฐวีอาจจะเป็นผู้ชายปากร้ายบ้าง แต่เขาไม่ใช่ผู้ชายอารมณ์ร้าย ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางไม่พอใจอย่างรุนแรงของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก น้ำหนึ่งจึงชักจะกลัวขึ้นมา
“หนึ่งไม่ได้คิด พี่พีทต่างหากที่คิด แล้วก็เพราะหนึ่งเชื่อพี่พีท หนึ่งก็เลยมาหาพี่ถึงที่นี่ ตั้งใจจะทำให้คุณย่าเห็นว่าพี่วีน่ะไม่ได้ดีอย่างที่คุณย่าคิด แล้วก็จะเอาคืนกับสิ่งที่พี่วีทำไว้ลับหลังหนึ่งด้วย!”
“ทำ? ทำอะไรไม่ทราบ”
“ก็ทุกอย่างที่ว่ามานั่นแหละ”
พอพูดจบน้ำหนึ่งก็เปิดโทรศัพท์เพื่อค้นหาหลักฐานสำคัญมายันกับปฐวี ซึ่งได้แก่ภาพที่บันทึกหน้าจอข้อความแชตระหว่างปฐวีกับโชติรส
ตอนแรกที่ปฐวีได้เห็นก็อึ้งไปอย่างที่หญิงสาวคาดไว้จริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำหนึ่งกลับไม่ได้พอใจหรือสาแก่ใจอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความผิดหวังลึกๆ เสียด้วยซ้ำ
“นี่เล่นทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ปฐวีเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อไล่อ่านข้อความที่ถูกสร้างขึ้นมาระหว่างเขากับโชติรส เรื่องจะทำให้ทุกคนในกองเกลียดน้ำหนึ่ง จนน้ำหนึ่งทนไม่ไหวไม่ยอมกลับมาถ่ายต่อให้เสร็จ พยายามมองหาอะไรก็ตามที่ผิดปกติจากเรื่องโกหกพวกนี้เพื่อจะได้ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตัวเอง
“ยอมรับมาเถอะ ว่าพี่วีทำจริงๆ”
น้ำเสียงผิดหวังที่อยู่ในส่วนลึกของหญิงสาวทำให้ปฐวีอดแปลกใจไม่ได้ เขานึกว่าน้ำหนึ่งจะพอใจในชัยชนะจอมปลอมของตัวเองเสียอีก
“เอาเถอะ ถึงผมจะพยายามยืนยันยังไงคุณหนึ่งก็คงเชื่อรูปพวกนี้มากกว่าอยู่ดี ทั้งที่ผมไม่มีเบอร์ ไม่มีไลน์อะไรของโชติรสทั้งนั้น เผลอๆ เดินผ่านหน้ากันเค้าอาจจะยังไม่รู้จักผมด้วยซ้ำไป ตอนเรียนมหา’ลัยด้วยกัน คุณหนึ่งเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่เราไม่เจอกันตั้งสองปี อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้นแหละ”
“แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าถ้าผมทำ ผมจะได้อะไรจากเรื่องพวกนี้”
“ก็คงอยากสั่งสอนหนึ่ง เพื่อที่ว่าหนึ่งจะได้ไม่กล้าขัดขวางพี่วีเรื่องสมบัติของคุณย่าน่ะสิ” น้ำหนึ่งรีบตอบทันควันเหมือนท่องมาไว้แล้ว
“คุณหนึ่งเชื่ออย่างนั้นจริงเหรอ เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะมีใครยอมหลงเชื่อเหตุผลที่โคตรจะงี่เง่าพวกนี้ได้ ไม่รู้สึกบ้างเหรอว่ามันฟังไม่ขึ้น นี่ไม่พอคุณหนึ่งยังยอมเล่นละครลิงตามพวกเขา หลักฐานก็ดูจะเมกเอาได้ง่ายๆ อีกต่างหาก”
“พี่วี!” น้ำหนึ่งแทบจะน้ำตาคลอเบ้ากับคำพูดเจ็บแสบของปฐวี แม้แต่คนพูดเองก็ยังรู้สึกได้ว่าออกจะเกินไปสักหน่อย
“ไม่งี่เง่าก็ได้ ผมแค่จะบอกว่ามันเป็นเหตุผลไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่ เหมือน…แถไปเรื่อยเพื่อให้คุณหนึ่งมาสร้างความเดือดร้อนให้ผมมากกว่า”
“นี่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันนักหรอก เหมือนพี่ว่าหนึ่งโคตรงี่เง่านั่นแหละ”
เมื่อเป็นอย่างนั้นปฐวีเลยเลิกพูดแล้วขอให้น้ำหนึ่งเปิดหลักฐานที่ทำท่าว่าเชื่อนักเชื่อหนาขึ้นมาใหม่ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ย่นหัวคิ้วแล้วพึมพำออกมาว่า “ต่อให้ข้อความในรูปนี้มันจะสมจริงแค่ไหน แต่นี่มันไม่ใช่วิธีการพูดของผมสักนิด อย่างน้อยผมก็ไม่เคยใช้คำว่าหลานสาวย่าบุษ หรือเรียกคุณย่าว่าย่าบุษ”
คำว่า ‘หลานสาวย่าบุษ’ ที่เห็นอยู่ในบทสนทนามีเพียงจุดเดียว ขณะที่จุดอื่นคือคุณย่า ทำให้น้ำหนึ่งนิ่งอึ้งไปทันใด เพราะเธอรู้จักคนที่เรียกคุณย่าอย่างนี้อยู่คนหนึ่ง
“นี่ไง ที่บอกว่าหลานสาวย่าบุษต้องโดนอย่างนี้เสียบ้าง ถึงจะรู้สึก”
เมื่อคดีพลิกผันจากหน้ามือไปเป็นหลังมือในพริบตา คนพูดไม่ออกจึงกลับกลายเป็นน้ำหนึ่งแทน
บ้าจริง! ทำไมเธอไม่ฉุกใจคิดบ้างว่าคำนี้มันเป็นคำที่ใครบางคนใช้อยู่หลายครั้ง แต่เป็นคำที่ปฐวีไม่เคยใช้เลยสักครั้ง
“พี่วีคงเตรียมเอาไว้เผื่อถูกจับได้ล่ะสิ เลยวางแผนเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า”
น้ำหนึ่งยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ถึงยังไงคุณหนึ่งก็คงไม่ยอมเชื่อผมสินะ ทั้งๆ ที่คำพูดพวกนี้มันไม่ใช่คำพูดของผมเลยสักนิด แล้วก็ไม่เป็นธรรมชาติอีกต่างหาก แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเกิดว่าคุณหนึ่งมั่นใจนักว่าผมผิด แล้วทำไมต้องวิ่งหนีหน้าตาตื่นออกมาจากบ้านผม ขอให้ผมพาหนีไปหาคุณย่า หรือว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนอีกเหมือนกัน”
ไม่ใช่…น้ำหนึ่งตอบตัวเองได้ทันที ยิ่งกว่านั้นที่เธอหนีมาก็เพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับชายแปลกหน้าที่โผล่มาถึงบ้านปฐวีด้วย
“แล้วนี่จะเอาไงต่อล่ะ ถึงยังไงเราก็คงต้องไปตั้งหลักบ้านคุณย่ากันก่อนล่ะนะ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร หรือว่า…เป็นคนของคุณหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งในแผนเอาคืนผมด้วย?”
“ไม่ใช่” น้ำหนึ่งตอบออกไปได้ในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเป็นพวกไหนกันล่ะ นี่ผมก็พยายามใจเย็นที่สุดแล้วนะ พยายามไม่โกรธเรื่องที่คุณหนึ่งคิดแย่ๆ กับผมสุดๆ แล้วด้วย”
“ก็ได้ๆ หนึ่งล้มเลิกแผนพวกนั้นแล้ว”
พอถึงคราวได้มานั่งถกเถียงกับปฐวี น้ำหนึ่งถึงเพิ่งฉุกใจคิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันช่างน่าสมเพชสิ้นดี ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพีรัชกับคุณแม่พูดกรอกหูอยู่ทุกวันถึงเรื่องที่ว่าปฐวีกำลังฉวยโอกาสหวังจะฮุบสมบัติจากคุณย่าจึงพยายามหาทางปัดเธอออกไปให้พ้นทาง ถ้าไม่ใช่ไปหลงเชื่อว่าปฐวีร่วมมือกับศัตรูคู่แค้นอย่างโชติรสมากลั่นแกล้งเธอ เธอก็คงไม่หน้ามืดตามัวยอมทำตามง่ายๆ
หรือไม่อย่างนั้นเธอก็อาจจะอยากเอาชนะเขาด้วยวิธีการโง่ๆ อย่างเช่นให้เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำหรือไม่ได้ทำก็ช่าง ถึงได้กล้าทำลงไป
“แล้วแผนที่ว่าจะมาทำให้ผมเดือดร้อนนั่นมันคืออะไรกันแน่ บอกผมหน่อยได้ไหม”
“จัดฉากว่าพี่วีลักพาตัวหนึ่งมาทำมิดีมิร้ายน่ะสิ”
“อะไรนะ!”
น้ำหนึ่งได้แต่กัดริมฝีปาก ไม่กล้าหันไปสบตากับปฐวีที่กำลังจ้องเธออย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“ผมเนี่ยนะ จะทำมิดีมิร้ายคุณหนึ่ง”
“แต่หนึ่งไม่รู้เลยว่าพี่พีทจะเล่นเลยเถิดไปถึงตำรวจ เราแค่ตกลงกันว่าจะพาคุณย่ามาดูให้เห็นกับตาว่าพี่วีกักขังหนึ่งเอาไว้ในบ้าน เพื่อ…เพื่อเรื่องอะไรอย่างนั้น”
น้ำหนึ่งจำได้ว่านอกจากตำรวจแล้วยังมีชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวอีกสองคนด้วย ความรู้สึกไม่ไว้วางใจทั้งหลายทำให้หญิงสาวตัดสินใจหนีออกมาจากบ้านโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่โทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋าสตางค์
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้หนุ่มคลั่งรักที่ผมเห็นในข่าวก็…”
หญิงสาวไม่ตอบ นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บใจ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้เธอคิดได้อย่างเดียวว่าอาจจะถูกลูกพี่ลูกน้องอย่างพีรัชหลอกใช้
“ตอนนี้ชื่อเสียงหนึ่งคงป่นปี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว”
“แล้วผมล่ะ ป่านนี้คนเขาไม่คิดว่าผมมันเป็นไอ้โรคจิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วเหรอ ถ้าผมโดนคดีนี่เข้าคุกเห็นๆ เลยนะ”
ถึงแม้จะรับปากไปแล้ว แต่ปฐวีก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดีที่ถูกน้ำหนึ่งทำให้กลายเป็นไอ้โรคจิตไปโดยไม่รู้ตัว
“หนึ่งไม่รู้! ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว พอใจไหม!”
น้ำหนึ่งยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ทุกครั้งที่ปฐวีพาตัวเองออกห่างจากชีวิตของเธอไป มันก็มักจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ส่วนสำคัญของชีวิตหลุดหายไป บ่อยครั้งที่น้ำหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะคิดจะทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด
น้ำหนึ่งเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่ผ่านมาเธอพึ่งพาปฐวีมากแค่ไหน และจนถึงตอนนี้ก็ยังอยากได้เขากลับคืนมาเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ภาพนั้นทำให้อารมณ์เดือดดาลของปฐวีจางหายไปในพริบตา พอชักจะทำอะไรไม่ถูกก็เลยเอื้อมมือไปจับบ่าหญิงสาวไว้แล้วบีบเบาๆ
“เอาเถอะ ไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ ตอนนี้เราคงต้องรีบไปหาคุณย่าก่อน คุณหนึ่งอย่าร้องไห้เลยนะ”
ปฐวีตัดสินใจขับรถออกไปบนท้องถนนอีกครั้งท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังอ่อนจางลงทุกขณะ ระหว่างทางก็ได้แต่เหลือบมองน้ำหนึ่งนั่งร้องไห้กระซิกอยู่บนเบาะนั่งข้างๆ อย่างไม่รู้จะปลอบอย่างไรดี และบรรยากาศน่าอึดอัดเช่นนั้นก็ดำเนินต่อไปจวบจนฟ้ามืดสนิท…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.