บทที่ 2
ต่างบ้านต่างเมือง
หลังออกจากสนามบินอินชอนฉายก็ให้คนขับรถตรงดิ่งมายังคอนโดมิเนียมหรูย่านคังนัมด้วยตั้งใจจะเซอร์ไพรส์มารดา ทว่าเขายืนกดกริ่งอยู่หน้าประตูห้องชุดเกือบห้านาทีแล้ว แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากเจ้าของห้อง โทรศัพท์ไปก็ได้ยินแต่สัญญาณตอบรับอัตโนมัติ
“สงสัยแม่คงยังไม่ตื่น แกลงไปเช็กข้างล่างทีสิวิทยาว่าแม่อยู่รึเปล่า”
ชายร่างเล็กสวมแว่นกรอบเงินผู้เป็นเลขาฯ ส่วนตัวพยักหน้ารับ หายไปครู่หนึ่งก็เดินหน้าถอดสีกลับมา
“คุณนายลีไม่อยู่ครับ เห็นพนักงานข้างล่างบอกว่าคุณนายออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กไปด้วยครับ”
“ไปกับใคร”
“เอ่อ…”
“ใคร!”
“น่าจะเป็นแฟนหนุ่มคนล่าสุดของคุณนายครับ”
ฉายยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ความเดือดดาลเคี่ยวกรำอยู่ในอกส่งให้ดวงหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ มือหนากำแน่นก่อนกระแทกเข้ากับผนังหน้าห้อง
ไม่เข็ดเสียที!
แม่เปลี่ยนแฟนหนุ่มอายุน้อยเป็นว่าเล่น แต่ละคนอยู่ไม่เกินสองเดือนและทุกคนล้วนอายุน้อยกว่าแม่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี
‘แม่ก็แค่เหงาอยากได้คนมาดูแล ถึงยังไงแม่ก็รักฉายที่สุดนะจ๊ะ’
‘คนดูแลอายุคราวลูกเลยนะครับ เด็กกว่าผมอีก’
‘แล้วทีพ่อฉายล่ะ ควงนังเมียน้อยออกหน้าออกตา แถมยังให้นั่งตำแหน่งใหญ่โตในบริษัท ไหนจะพวกตัวเล็กตัวน้อยที่เลี้ยงไว้สี่ห้ารายนั่นอีกล่ะ ถ้าฉายจะบ่นแม่ก็ไปบ่นพ่อเราด้วย’
พูดไม่ถูกหูทีไรแม่เป็นต้องถลึงตา ยกเรื่องพ่อขึ้นมาประชดประชันเสมอ ใครจะคาดคิดว่าความรักหวานชื่นระหว่างหนุ่มไทยกับสาวเกาหลีใต้จะมีอายุเพียงแค่สิบห้าปี เพราะมือที่สามชื่อ ‘อมาวสี’
‘ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเราหลงนังเมียน้อยจนออกหน้าออกตา แม่คงไม่ต้องระเห็จออกมาแบบนี้หรอก’
หลังหย่าร้างแม่บินกลับมาพำนักที่ประเทศบ้านเกิดโดยไม่ต้องเสียเวลาฟ้องหย่าให้ยุ่งยากเพราะคุณปู่ของฉายเป็นเพื่อนกับคุณพ่อของแม่ คุณปู่ชดเชยความรู้สึกผิดด้วยเงินก้อนโต ยังไม่นับสมบัติเดิมที่แม่ได้รับหลังจากคุณตาเสียอีก พวกหนุ่มหน้าอ่อนถึงเกาะแม่ม่ายทรงเครื่องราวกับปลิง
“ข้างล่างบอกรึเปล่าว่าแม่ไปไหน”
“คุณนายสั่งไว้ว่าไปสกีรีสอร์ต อาทิตย์หน้าถึงจะกลับครับ”
นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายวาววับราวกับมีลูกไฟปะทุขึ้นบนแผ่นฟ้าสีดำสนิทนับหมื่นนับพันลูก หากเป็นวันอื่นฉายคงไม่ขุ่นเคืองเท่าวันนี้…วันเกิดของเขา!
แม่ลืมวันเกิดเขาอีกแล้ว ทั้งที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าจะอยู่ฉลองวันเกิดด้วยกัน
แม่เป็นแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ฉายกลับโกรธแม่ได้ไม่นาน อาจเพราะแม่ฝากชีวิตไว้กับการแต่งงาน แต่เมื่อพ่อทรยศ แม่จึงประชดกลับด้วยการควงชายหนุ่มอายุคราวลูก
ฉายพยายามเป็นกาวใจเชื่อมพ่อกับแม่มาตลอด ทว่าสิบกว่าปีมันนานจนเขาชักท้อใจขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
“เอายังไงดีครับท่านรอง จะรอไหมครับ”
“กลับ!”
ปกติเจ้านายผู้บ้าความสมบูรณ์แบบมักนั่งแต่ชั้นเฟิร์สต์คลาส ทว่าเพราะตารางเวลาที่แน่นเอี้ยดและการจองเที่ยวบินอย่างกระชั้นชิดทำให้วิทยาหาที่นั่งได้แค่ชั้นธุรกิจ แต่เจ้านายของเขาก็ยอมเพื่อมาพบแม่ให้ทันวันเกิด หากฉายจะโกรธก็ไม่แปลก
อารมณ์ขุ่นมัวยังเคลือบอยู่บนดวงหน้าหล่อหวาน หลังก้าวออกจากลิฟต์ฉายจึงเปรยเสียงเข้ม
“แกเอากระเป๋าฉันไปเช็กอินที่โรงแรมเลย เดี๋ยวฉันขึ้นแท็กซี่ข้างหน้าเอง”
“ท่านรองจะไปไหนครับ”
“นัมซานทาวเวอร์”
“แล้วจะให้ผมไปรับท่านรองกี่โมงดีครับ”
“ไว้ฉันโทรหาแล้วกัน แกเอากระเป๋าไปเก็บแล้วจะหาซื้อของฝากเมียก็ตามใจ ฉันคงอยู่ข้างบนสักพัก”
วิทยาลอบมองเจ้านายอย่างเห็นใจ ทุกครั้งที่มีปัญหาหนักอกคิดไม่ตกเจ้านายจะขึ้นไปบนนัมซานทาวเวอร์เพื่อครุ่นคิดตามลำพัง ก่อนจะกลับมาพร้อมหนทางแก้ปัญหาเสมอ คราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน
โรงแรมที่กังสดาลพักตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ย่านมยองดง หน้าโรงแรมเป็นจุดจอดรถแอร์พอร์ตบัส ฝั่งตรงข้ามเป็นห้างสรรพสินค้าล็อตเต้ และเดินถัดไปเพียงไม่กี่ก้าวจะพบกับถนนช็อปปิ้งมยองดงอันคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน หลังจากช็อปปิ้งของฝากให้ทางบ้านแล้วเธอก็กลับมาเช็กอินเข้าห้องพัก นอนเกลือกกลิ้งบนเตียงคิงไซส์อย่างไร้จุดหมาย
เธอหมดเปลืองเวลากับอดีตเกือบชั่วโมงในที่สุดก็ขุดตัวเองออกจากเตียง สวมแจ็กเก็ตเนื้อหนาเตรียมตะลอนเที่ยวให้ชุ่มปอดสมกับเงินที่เสียไป
จำได้ว่าครั้งก่อนที่มาเที่ยวเกาหลีใต้กับอัสนีเราพักย่านมยองดงและขึ้นรถบัสจากแถวมยองดงไปไม่กี่ป้ายแล้วข้ามถนนก็เจอลิฟต์ซึ่งนำสู่จุดขึ้นกระเช้าของนัมซานทาวเวอร์ เธอชอบทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาบนลานกว้างด้านบนก่อนขึ้นสู่ตัวหอคอย
แต่วันนี้เธอว่างมากจึงเดินเรื่อยเปื่อยโดยมีกูเกิลแมปนำทาง มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในกระเช้ากระจกทรงสี่เหลี่ยมซึ่งนำผู้โดยสารหลากหลายเชื้อชาติขึ้นสู่นัมซานทาวเวอร์แล้ว อาคารบ้านเรือนลดขนาดเล็กลงเมื่อกระเช้าเคลื่อนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่เดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะนัมซานไม่ต่างจากฝูงมดที่คลานยั้วเยี้ย
ไม่นานกังสดาลก็เคลื่อนตามฝูงชนออกจากกระเช้าสู่ลานกว้างขนาดใหญ่ตรงฐานหอคอยนัมซานซึ่งมีร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก และที่ขายตั๋วขึ้นหอคอยนัมซาน
อากาศวันนี้อยู่ที่ติดลบสามองศาเซลเซียส เวลาลมพัดกรูเข้ามาทีเนื้อตัวจึงหนาวสั่นจนฟันกระทบกันกึกกัก เธอเลยถือโอกาสแวะซื้อกาแฟร้อนก่อนมานั่งพักขาบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมทางเดินพลางทอดสายตามองผืนฟ้ากว้างใหญ่สีครามอีกเกือบครึ่งชั่วโมง
ความร้อนจากกาแฟและเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาไม่อาจต้านทานลมเย็นกลุ่มใหญ่ที่พัดต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่า เธอจึงยอมยกธงขาว ตัดสินใจลงไปข้างล่างดีกว่า
ทว่าระหว่างทางลงไปยังจุดขึ้นลงกระเช้านั้นสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบเห็นบริเวณที่หนุ่มสาวนิยมไปคล้องกุญแจคู่รักเข้าพอดี อัสนีเคยคุกเข่าขอเธอแต่งงานหน้าพวงกุญแจที่เรามาคล้องด้วยกัน
เธอเคยฝันถึงช่วงเวลาขอแต่งงานสุดโรแมนติกและอัสนีก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอจึงยิ้มทั้งน้ำตาพลางยื่นมือไปให้เขาสวมแหวน
‘อีหน้าด้าน!’
เสียงกรีดร้องแหลมดังแทรกห้วงเวลาแสนหวาน ปลุกกังสดาลตื่นจากความเพ้อฝันมาพบความจริงอันขมขื่น
‘มึงไม่เห็นรึไงว่ากูท้องลูกพี่อั๋น ยังหน้าด้านแย่งผัวกูอีก’
แม้เวลาผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน แต่ความเจ็บปวดนั้นยังเสียดแทงอยู่ทุกอณูหัวใจ
ว่ากันว่าหวาดกลัวสิ่งใดให้เผชิญหน้ากับสิ่งนั้น เหตุผลนี้กระมังเธอจึงเดินมาหยุดยืนที่จุดคล้องกุญแจ สอดส่ายสายตาหาแม่กุญแจสีชมพูหวานจนพบ ก่อนเดินไปคว้าก้อนอิฐขนาดเหมาะมือซึ่งวางล้อมโคนต้นไม้แล้วฟาดลงไปดังปั้ก
เสียงกระทบกันของวัตถุทำให้เจ้าหน้าที่วัยกลางคนสองคนแห่กันมาส่งภาษาเกาหลีพลางยกมือชี้หน้าอย่างไม่พอใจ เธอทิ้งอิฐลงกับพื้น สีหน้าตื่นตระหนก รีบยกมือไหว้แล้วสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ
“ฉะ…ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ ขอโทษนะคะ”
“$#A$##@&*”
หญิงสาวมึนตึ้บ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรแม้แต่น้อย
“&*#@##%@!”
“ฉันจะไม่ทำแล้วค่ะ ฉันจะไปแล้วค่ะ ขอโทษค่ะ”
แต่เจ้าหน้าที่ทั้งสองดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่เธอพูดและทำท่าจะเข้ามารวบแขนผู้ก่อเหตุทำลายข้าวของ เธอจึงพยายามเบี่ยงตัวหนี
“อย่าจับฉันส่งตำรวจนะคะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่จะเอาแม่กุญแจนี่ออกค่ะ”
กังสดาลส่งเสียงเครือ น้ำตารื้นขึ้นมากองตรงขอบตาเมื่อเจ้าหน้าที่หน้าดุทั้งสองไม่มีวี่แววใจอ่อน ถ้าถูกจับในต่างบ้านต่างเมืองเธอจะขอความช่วยเหลือจากใครได้
“$@%*&O$฿L#”
เสียงทุ้มนุ่มที่พูดเป็นภาษาเกาหลีดังขึ้นจากทางด้านหลัง เจ้าหน้าที่ทั้งสองตอบกลับเสียงฉุน การสนทนาดำเนินต่ออย่างราบรื่น ครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่สองคนก็ยอมความ แต่ยังไม่วายชี้มือชี้ไม้มาในทำนองที่เดาได้ว่า
‘อย่าทำแบบนี้อีก’
กังสดาลรีบขอโทษขอโพยเป็นภาษาอังกฤษ เจ้าหน้าที่ทั้งสองจึงยอมจากไปแต่โดยดี เธอหันกลับมามองอัศวินขี่ม้าขาวด้วยความตกตะลึง
เขาเป็นผู้ชายเกาหลีที่หน้าตาดีมาก…มากถึงมากที่สุด เธอมั่นใจว่าหากเธอเคยพบเขามาก่อนย่อมไม่มีวันลืมผู้ชายรูปงามหน้าหวานราวกับผู้หญิงคนนี้แน่ แต่เธอไม่เคยเจอเขามาก่อน แล้วเหตุใดประกายบางอย่างในดวงตาคมกริบถึงสื่อว่าเขาเคยพบเธอมาก่อนเล่า
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะคะ”
เธอส่งภาษาอังกฤษให้เขา แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนราวกับเป็นเจ้าของภาษาเสียเอง
“คุณทุบของพวกนั้นทำไม”
“ฉันแค่…ฉันอยากทุบแม่กุญแจที่เคยมาคล้องกับแฟนทิ้งน่ะค่ะ”
“เพิ่งเลิกกับแฟนเหรอ”
“ค่ะ เขานอกใจฉันทั้งที่เรากำลังจะแต่งงานกันด้วยซ้ำ”
“แทนที่จะเอาหินมาทุบแม่กุญแจ เอาไปทุบหัวหมอนั่นยังสะใจกว่า”
คำตอบของชายแปลกหน้าทำให้เธอรู้สึกระแวง จู่ๆ มาแนะนำให้เธอเอาหินไปทุบหัวแฟนเก่า หาคุกให้เธอชัดๆ ถึงเธอจะเกลียดอัสนีเข้ากระดูกดำแต่ก็ไม่อยากหาเรื่องส่งตัวเองเข้าคุกหรอก ความระแวงที่ชายหนุ่มแปลกหน้าบ่มเพาะขึ้นทำให้หญิงสาวรีบกล่าวขอตัว
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะ ขอตัวนะคะ”
กังสดาลรีบหุนหันเดินจากมา จังหวะที่กำลังหยุดยืนหน้าประตูทางขึ้นลงกระเช้าเธอดันเหลือบเห็นเจ้าหน้าที่ชายสองคนนั้นและนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เห็นเธอทำเรื่องน่าอายพากันจ้องเธอเป็นทางเดียว ทำเอาพวงแก้มแดงเรื่อด้วยความอับอาย ไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน กระเช้าก็ยังมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าต้องทนให้พวกเขามองถึงเมื่อไรจึงตัดสินใจเบนเข็มเดินลงบันไดหินแทนแล้วกัน
ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว สู้เดินเล่นไปเรื่อยๆ ดีกว่า เดี๋ยวคงมีจุดให้เธอแวะเรียกแท็กซี่กลับโรงแรมเอง
เสียดายที่หญิงสาวมัวแต่ใจลอยจึงไม่รู้เลยว่าระหว่างเดินลงบันไดมาตลอดทางนั้นเองมีใครบางคนกำลังเดินตามเธออยู่ห่างๆ
เธอคือผู้หญิงที่นอนร้องไห้บนเครื่องบิน แต่เธอคงจำเขาไม่ได้เพราะเอาแต่ร้องไห้และเหม่อลอย พอพบหน้ากันเขาจึงปล่อยให้เธอเผชิญชะตากรรมคนเดียวไม่ได้เลยต้องช่วยไกล่เกลี่ยกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองและรับปากว่าจะดูแลเธออย่างดี
แล้วเขาจะปล่อยคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวลงบันไดไปตามลำพังได้อย่างไร เกิดเธอนึกตัดช่องน้อยแต่พอตัวกระโดดลงจากยอดเขาขึ้นมา เขาคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.