X
    Categories: With Loveทดลองอ่านเชฟคนนี้มีรักมาเสิร์ฟ!

ทดลองอ่าน เชฟคนนี้มีรักมาเสิร์ฟ! บทที่ 4-บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4 แขกที่เหนือความคาดหมาย

1

เจียงเหมยอิ่งแบล็กลิสต์เบอร์ของหานต้ง

เธอคิดว่าในเมื่อฉีกหน้ากันไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกันอีก

เซียวอิ่นจางไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ

“ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะมีโอกาสที่ทำให้อาการป่วยดีขึ้น อย่าปล่อยโอกาสนี้ไปแค่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเลย”

เจียงเหมยอิ่งขมวดคิ้ว พูดอย่างลำบากใจ “ฉันก็อยากพยายามต่อ แต่พอนึกถึงหานต้งคนหน้าตายไม่เปลี่ยน พูดจาเหมือนคนตกยุค อบรมสั่งสอนคนอื่นเป็นกิจจะลักษณะ ฉันก็อยากจะเอาบะหมี่น้ำสาดหน้าเขาจริงๆ”

เธอพูดอย่างโมโหฟึดฟัด ทำเอาเซียวอิ่นจางกลั้นขำไม่อยู่

เซียวอิ่นจางโบกมือ “อย่าโมโหไปเลยน่า พูดจาอย่างกับเด็กน้อยแน่ะ”

เซียวอิ่นจางลูบศีรษะเธอเบาๆ “เด็กดี”

เจียงเหมยอิ่งถอนหายใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะ…”

ท่าทางของเจียงเหมยอิ่งเหมือนเด็กกำลังโกรธไม่มีผิด เซียวอิ่นจางส่ายหน้าอย่างจนใจ

“อิ่งจื่อ งั้นฉันพนันกับเธอเอาไหม”

“ฮะ?”

“ฉันจะไปช่วยคุยกับหานต้งให้เธอ แล้วให้เขามาขอโทษเธอ เธอก็สงบศึกกับเขาชั่วคราว ให้เขาทำอาหารให้เธอกิน ดีไหม”

เจียงเหมยอิ่งนิ่งเงียบไม่พูดจา

“เธอก็เข้าใจเจตนาของฉัน” เซียวอิ่นจางกดเสียง สบตากับเจียงเหมยอิ่งด้วยแววตาลุ่มลึก เสียงที่อ่อนโยนโน้มน้าวเธอ “ทำให้เขาไม่ขัดขวางเธอที่จะไปกินอาหารที่เขาทำ พยายามสั่งอาหารที่รสอ่อนๆ หน่อย เธอก็จะค่อยๆ ปรับตัวได้ และอาหารการกินจะได้กลับมาเหมือนคนปกติอีกครั้ง”

เจียงเหมยอิ่งกล่าว “ฉันทะเลาะกับเขาถึงขนาดนั้นแล้ว…มันจะได้เหรอ…”

“เพราะงั้นฉันเลยจะไปช่วยคุยให้เธอไง” เซียวอิ่นจางตัดบท

เจียงเหมยอิ่งมองเซียวอิ่นจางอย่างเหม่อลอย

“อิ่งจื่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องให้โอกาสตัวเองนะ ปลุกความกล้าแล้วไปเผชิญหน้ากับมัน” เขาพูดอย่างชัดเจน

เจียงเหมยอิ่งขอบตาแดงเรื่อ เธอกัดริมฝีปากแล้วส่ายหน้า

เซียวอิ่นจางไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นมองขวัญบนศีรษะของเจียงเหมยอิ่ง บริเวณใกล้ๆ หน้าผากของเจียงเหมยอิ่งก็มีขวัญ จึงทำให้ผมหน้าม้าของเธอปัดไปด้านหนึ่ง

ลักษณะนิสัยของคนแบบเธอ มีจิตใจที่อ่อนไหว แต่กลับดื้อดึงมาก

เขาถอนหายใจเบาๆ ลูบผมเจียงเหมยอิ่งและนิ่งเงียบ

 

เจียงเหมยอิ่งไม่ได้ไปร้านบะหมี่โหย่วเจียนแล้ว อันที่จริงเธอก็รู้สึกไม่สบาย

ฟางเข่อเข่อทำไข่ม้วนทูน่าใส่กล่องตามสูตรของตำรวจตัวกลม แบ่งให้เพื่อนร่วมงานที่สนิทกันในบริษัทไปสองคำ

สุดท้ายแล้วก็ยังเหลืออีกครึ่งกล่อง ฟางเข่อเข่อประเคนให้เจียงเหมยอิ่ง “มาเร็ว ท่านปรมาจารย์ลองชิมหน่อยซิว่ารสชาติโอเคไหม”

เจียงเหมยอิ่งหน้านิ่ง ฝืนทนความคลื่นเหียนในใจ ไข่ม้วนดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้มันเลี่ยน แต่ตอนนี้เจียงเหมยอิ่งอารมณ์ไม่ดี อาการป่วยจึงกำเริบรุนแรง

ฟางเข่อเข่อยังไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเธอ คีบไข่ม้วนใส่ปากเจียงเหมยอิ่ง “มา อ้ำ…”

สีหน้าของเจียงเหมยอิ่งพลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เธอรีบลุกขึ้นแล้วปิดปากไว้ วิ่งตรงไปยังห้องน้ำ

“ขอโทษ…แหวะ…”

ฟางเข่อเข่อมองเธออย่างประหลาดใจ ในหัวมึนงง “เธอเป็นอะไรไป…”

เจียงเหมยอิ่งค่อยยังชั่วขึ้น เช็ดน้ำตาตรงหางตาออก แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ “อาจจะ…เป็นหวัดนิดหน่อย…”

ฟางเข่อเข่อมองเธอด้วยความสงสัย แล้วก็กินไข่ม้วนเองจนหมด ส่วนเจียงเหมยอิ่งก็ขอโทษอย่างรู้สึกผิด เธอก้มหน้าส่งข้อความไปหาเซียวอิ่นจาง

 

หมอเซียวคงต้องฝากคุณแล้ว ขอบคุณนะ

 

เธอเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่เพียงแค่ทำร้ายตัวเองเท่านั้น แต่มันยังทำร้ายคนอื่นอีก

อีกอย่าง แม้ว่าเธอจะมอบนามบัตรไปแล้ว แต่ผู้กำกับหลิวก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากหานต้ง เขามักกระวนกระวายใจ และมักเศร้าซึมยามเห็นเจียงเหมยอิ่ง ทำให้จิตใจของเธอได้รับแรงกดดันมหาศาล

2

หานต้งรู้ว่าเจียงเหมยอิ่งคงไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว เขามองนามบัตรสองใบในมือของตัวเอง ใบหนึ่งเป็นของหัวหน้าเจียงเหมยอิ่ง อีกใบหนึ่งมีเบอร์โทรศัพท์มือถือที่คุ้นตาพิมพ์อยู่บนนั้น ซึ่งก็คือเบอร์ที่ทำให้หานต้งค้นพบความเกี่ยวพันอันซับซ้อนระหว่างตนเองกับเจียงเหมยอิ่ง

หานต้งรู้ว่าตนเองถูกลากเข้าแบล็กลิสต์ไปแล้ว เขาติดต่อเจียงเหมยอิ่งไม่ได้ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะติดต่อไปยังเบอร์ที่อยู่บนนามบัตรอีกใบ

“สวัสดีครับ ผมคือหานต้ง ไม่ทราบว่าคุณคือผู้กำกับหลิว หลิวอีหนานใช่ไหมครับ”

หานต้งคิดว่าถ้าตนเองเป็นเจียงเหมยอิ่งก็คงโกรธมากอย่างนี้เหมือนกัน คนที่ไม่เคารพคนอื่นจริงๆ แล้วก็คือตัวเขาต่างหาก

แต่ว่า…เขาอยากเจอเจียงเหมยอิ่งอีกครั้งจริงๆ

ช่วงนี้หานต้งกำลังดูรายละเอียดจากธนาคารที่เขาได้รับการปลดอายัด ลอบดีดลูกคิดรางแก้วในใจ

เดิมทีนี่ก็คือเงินที่เขาหามาด้วยตัวเอง แต่ว่าผูกอยู่กับบัญชีของบริษัท นายท่านหานถึงได้มีสิทธิ์อายัดบัญชีของเขา

ตอนที่มาฝูเฉิงเมื่อสามปีก่อน หานต้งมีแค่บัตรเอทีเอ็มที่พ่อยังไม่เจอพกติดตัวมา ในนั้นมีเงินอันน่าสงสารอยู่แค่ไม่กี่แสน หลังจากเปิดร้านบะหมี่ก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว

ตอนนี้เงินที่เป็นของเขากลับมาแล้ว เขาสามารถขยายกิจการของตัวเองได้ สาขาย่อยเองก็มีงบดำเนินการแล้ว

ยังไม่ถึงช่วงเวลาเร่งด่วน ในร้านจึงไม่ค่อยมีคน หานต้งกำลังคิดบัญชีอยู่ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในร้าน

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าหานต้งอยู่ไหม” เสียงผู้ชายที่ฟังดูอบอุ่นดังมาจากหลังเครื่องคอมพิวเตอร์

เจิ้งหลินเทียนกำลังย้ายขนมจ้าง พอได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นยืน มองผู้มาใหม่แล้วค่อยก้มหน้ามองหานต้งที่กำลังนั่งอยู่ “อาจารย์?”

หานต้งพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินมายังตรงหน้าอีกฝ่าย ตอบอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ ผมหานต้ง ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า”

ผู้มาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง คาดว่าน่าจะสูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร ดูๆ แล้วน่าจะอายุพอๆ กับหานต้ง เส้นผมนุ่มลื่นยาวจนปกคลุมใบหู รูปร่างลักษณะดูมีสง่าราศี สวมแว่นตาไร้กรอบ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจริงใจ แม้เครื่องหน้าจะไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟ็กต์ แต่ก็ยังน่ามอง

เขาล้วงนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือของตนเอง ยื่นให้หานต้งด้วยสองมือ และแนะนำตัวว่า “คุณหาน สวัสดีครับ ผมชื่อเซียวอิ่นจาง”

“ครับ” หานต้งรับนามบัตรมา ก้มหน้ากวาดตามองแวบหนึ่ง

จิตแพทย์? หานต้งขมวดคิ้ว นำอาชีพจิตแพทย์และผู้ชายที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้านี้มาจับเข้าคู่กันอย่างนึกสงสัย

“สะดวก…คุยกันตามลำพังสักครู่ไหมครับ” เซียวอิ่นจางถามด้วยท่าทีนุ่มนวล

ใบหน้าเย็นชาของหานต้งปรากฏความระแวดระวัง เป็นอย่างที่เซียวอิ่นจางคาดไว้ เขาจึงเผยรอยยิ้มเป็นมิตรและพูดเสริม “เรื่องเกี่ยวกับเหมยอิ่งครับ”

ไม่เหนือความคาดหมาย เขาเห็นความยุ่งเหยิงบนใบหน้าหานต้งชั่วขณะ จากนั้นก็เห็นผู้ชายที่เก็บอารมณ์เก่งคนนี้เลิกคิ้วขึ้น

นี่เป็นอารมณ์ของการถูกกระตุ้นให้สงสัย

อาการของผู้ป่วยเป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตให้เปิดเผย นี่คือจรรยาบรรณของอาชีพจิตแพทย์

เซียวอิ่นจางรู้จักใช้ไหวพริบ ภายในร้านบะหมี่ไม่มีพื้นที่เงียบสงบพอที่จะพูดคุยได้ เซียวอิ่นจางจึงเชิญหานต้งไปขึ้นรถของตนเอง กล่าวขออภัยอย่างสุภาพ “ขอโทษนะครับที่รบกวนเวลาค้าขายของคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ไม่ได้ยุ่ง” หานต้งดึงหมวกเชฟที่เหน็บไว้กับสายคาดเอวมาถือไว้ในมือ

เซียวอิ่นจางมองท่าทางของเขาที่จับจ้องบรรยากาศภายในร้านซึ่งอยู่นอกหน้าต่างรถ หานต้งดูกระอักกระอ่วนที่อยู่ในที่เล็กแคบตามลำพังกับเขา

เขายิ้มพลางกล่าวอย่างรู้สึกขอโทษ “ในรถค่อนข้างแคบ ลำบากคุณแล้ว”

หานต้งนิ่งงัน เขาเหลือบมองเซียวอิ่นจางโดยไม่พูดจา เพียงแค่พยักหน้า ลางสังหรณ์บอกเขาว่าผู้ชายคนนี้รับมือยาก ไม่เหมือนกับเจียงเหมยอิ่งและเพื่อนร่วมงานที่ถ่ายทำรายการพวกนั้นของเธอ

แต่ไหนแต่ไรมาหานต้งเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา เปิดเผย และจริงจัง ฐานะทางครอบครัวได้เปรียบมาตั้งแต่ยังเล็ก ที่บ้านเข้มงวดกับเขามากกว่าครอบครัวของคนทั่วไป อีกทั้งยังต้องฝึกทักษะการทำอาหารตั้งแต่เด็ก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูนิ่งขรึมเป็นผู้ใหญ่อย่างทุกวันนี้

หานต้งเก่งกาจในด้านการทำอาหารและการบริหารบริษัท แต่กลับไม่รู้ว่าควรรับมือกับคนที่เชี่ยวชาญการอ่านใจคนอย่างเซียวอิ่นจางอย่างไร

“ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อเซียวอิ่นจาง เป็นจิตแพทย์ของคลินิกจิตเวชถูจางและเป็นเพื่อนกับเจียงเหมยอิ่งครับ”

หานต้งพยักหน้า รู้สึกว่าชื่อคลินิกจิตเวชถูจางนี่คุ้นหูมาก ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะดังในเมืองฝูเฉิง

คนตรงหน้านี่คงจะช่วยออกหน้าแทนเจียงเหมยอิ่ง แต่ทำไมถึงเป็นจิตแพทย์ หานต้งรู้สึกแปลกใจมาก

เขายื่นมือออกไป “ผมหานต้งครับ”

ทั้งสองคนจับมือกันก็นับว่ารู้จักกันแล้ว

“มีธุระอะไรจะคุยเหรอครับ” หานต้งถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขายังต้องไปดูแลลูกค้าอีกเยอะ

เซียวอิ่นจางเม้มปาก ท่าทีสุภาพ “เรื่องเกี่ยวกับอิ่งจื่อ อ้อ เกี่ยวกับเจียงเหมยอิ่งน่ะครับ ก่อนหน้านี้ที่เธอกับคุณมีปัญหากัน”

หานต้งพยักหน้า ในใจคิดว่าเซียวอิ่นจางคนนี้มาช่วยออกหน้าแทนเจียงเหมยอิ่งจริงๆ ด้วย ในเมื่อเขาผิด งั้นก็ควรขอโทษ

“เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเองครับ ผมอยากจะขอโทษเธอมาตลอด แต่ว่าติดต่อเธอไม่ได้”

น้ำเสียงของหานต้งราบเรียบ แต่เซียวอิ่นจางสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งออกมา

เจียงเหมยอิ่งมาหาหานต้งเพื่อขอโทษและมอบนามบัตรมาโดยตลอด ทำให้หานต้งทนรำคาญไม่ไหว แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิเจียงเหมยอิ่งว่าไม่เคารพอาหารจนถึงขั้นสงสัยในความจริงใจของเธอ

เซียวอิ่นจางรู้ว่าการเคลือบแคลงนี้ทำให้เจียงเหมยอิ่งเจ็บปวดมาก ไม่มีใครเคารพอาหารได้มากกว่าเธอแล้ว

เซียวอิ่นจางผงกศีรษะ “คำขอโทษ คุณไปบอกเธอเองดีกว่าครับ ตอนนี้เราจะคุยกันเรื่องอื่น”

หานต้งเงยหน้ามองเขา ในแววตาเจือด้วยความแปลกใจ

เซียวอิ่นจางเคยสืบเรื่องของหานต้ง ครอบครัวของเขาเรียกได้ว่าร่ำรวยทีเดียว ทว่าตั้งแต่เด็กเขาก็อมทุกข์ พูดน้อย ทำจริง เป็นคนที่เชื่อถือได้ และปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ จากบทสนทนาเมื่อสักครู่ หานต้งสุภาพมาก และก็ตั้งใจฟังผู้อื่นพูดอย่างละเอียด เป็นคนที่เอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

เซียวอิ่นจางรู้ดีว่าการที่ตนเองทำแบบนี้เป็นการผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่เจียงเหมยอิ่งไม่ใช่คนอื่น เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เขาเฝ้าทะนุถนอม หวังว่าเธอจะมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีความสุข

“ผมขอให้คุณช่วยอะไรสักอย่างได้ไหมครับ” เซียวอิ่นจางถามหานต้ง

หานต้งขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณบอกมาก่อนสิครับว่าเรื่องอะไร”

“สามารถ…ทำอาหารให้เจียงเหมยอิ่งโดยเฉพาะได้ไหมครับ”

เป็นคำขอที่ประหลาดมาก แม้หานต้งจะไม่ได้คิดว่าเป็นการจาบจ้วง แต่ก็ไม่ได้ตกปากรับคำในทันที เขาถามอย่างนึกสงสัย “เชฟส่วนตัว?”

เซียวอิ่นจางคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เชิงว่าเป็นเชฟส่วนตัวหรอกครับ…เหมือนเป็นนักกำหนดอาหารมากกว่า”

“…” หานต้งมองเซียวอิ่นจางด้วยความกังขา คิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “นักกำหนดอาหาร? สุขภาพของเจียงเหมยอิ่งไม่ดีเหรอครับ”

ในเมื่อหานต้งถามอย่างนี้แล้ว เซียวอิ่นจางคิดว่าต่อไปคงปิดบังไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจหยิบเอากระดาษเอสี่ฉบับสำเนาสองชุดออกมาจากกระเป๋า

เขาบอกหานต้งว่า “คุณอยากรู้ใช่ไหมครับว่าทำไมเจียงเหมยอิ่งไปสั่งอาหารที่ร้านคุณทุกวัน แต่กลับกินแค่คำเดียวแล้วก็ไม่กินอีก”

หานต้งพยักหน้า

เขาสงสัยในตัวเจียงเหมยอิ่งเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจใคร่รู้ในตัวคนคนหนึ่งมากมายขนาดนี้

เซียวอิ่นจางส่งหนังสือสัญญาสองชุดให้กับหานต้งแล้วแนะนำว่า “นี่เป็นสัญญารักษาความลับ ผมเป็นจิตแพทย์ มีเรื่องมากมายที่ผมไม่ควรจะเล่า แต่ว่า…เพื่อเจียงเหมยอิ่ง ผมได้แต่ต้องขอร้องคุณ ดังนั้นผมจะบอกบางเรื่องกับคุณ ถ้าคุณยินดีที่จะช่วย ผมกับเจียงเหมยอิ่งก็รู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่ถ้าคุณไม่ยินดีช่วย ผมหวังว่าคุณจะทำเหมือนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”

นี่เป็นการขอร้องที่เผด็จการและประหลาดมาก หานต้งได้ยินแล้วก็คิ้วขมวด รับหนังสือสัญญามา ข้อตกลงในนั้นเขียนได้รวบรัดเข้าใจง่าย จุดประสงค์ว่าด้วยเรื่องทั้งหมดที่ทั้งสองฝ่ายได้คุยกันในวันนี้ล้วนไม่อนุญาตให้แพร่งพรายออกไป

หานต้งไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม “เกี่ยวกับเจียงเหมยอิ่ง?”

“ครับ”

“ทำไมต้องรักษาความลับ”

เซียวอิ่นจางยิ้ม “เกี่ยวกับ…อาการป่วยของเจียงเหมยอิ่ง”

หานต้งเอ่ย “อาการป่วย?”

เซียวอิ่นจางพยักหน้า “ครับ ภายนอกเธอดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมคิดว่าในฐานะเชฟ คุณก็น่าจะรู้สึกถึงความแปลกแยกระหว่างเจียงเหมยอิ่งกับคนทั่วไปได้นะครับ”

หานต้งขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ย้อนนึกไปถึงความขัดแย้งทุกอย่างในตัวเจียงเหมยอิ่งก็พยักหน้า

เซียวอิ่นจางเม้มปาก น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น “ในฐานะจิตแพทย์ จะต้องรักษาความลับให้กับเธอ แต่ผมคิดว่า…สามารถร่วมมือกับคุณได้ ทำให้อาการป่วยของเธอดีขึ้นไปจนถึงรักษาให้หายขาด ดังนั้นผมจึงร่างสัญญารักษาความลับฉบับนี้มา ผมอยากขอให้คุณช่วยผมครับ”

หานต้งจ้องสัญญารักษาความลับจนเหม่อลอย เนิ่นนานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “ทำอาหารให้เจียงเหมยอิ่งโดยเฉพาะ?”

เซียวอิ่นจางพยักหน้า มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

คนคนนี้เก่งมาก หานต้งนับถือเซียวอิ่นจางจากก้นบึ้งหัวใจ สามารถวางทิฐิลงในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมาขอร้องคนแปลกหน้าให้ช่วยคนไข้ของตนเอง เป็นจิตแพทย์ที่คิดถึงคนไข้ด้วยใจจริง

เขาปฏิเสธอย่างนิ่มนวล “ขอโทษด้วยนะครับ ปกติที่ร้านผมก็ยุ่งมากอยู่แล้ว คงจะไม่มีเวลาไปทำอาหารให้เธอตามลำพังหรอก”

หานต้งไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ แต่เขาไม่มีเวลาจริงๆ อย่าว่าแต่เป็นนักกำหนดอาหารเลย รสชาติที่ถูกปากเจียงเหมยอิ่งเขาก็ไม่รู้ จะให้ไปทำอาหารที่เธอชอบให้เธอคนเดียวโดยเฉพาะก็เป็นการเสียเวลาเกินไปแล้ว

เซียวอิ่นจางรีบอธิบาย “คุณไม่จำเป็นต้องออกมาทำให้เธอเป็นพิเศษหรอกครับ แค่ตอนที่เธอมาสั่งอาหาร คุณพยายามทำให้รสชาติอ่อนลงหน่อยก็พอแล้ว ไม่ว่าเธอจะกินทิ้งกินขว้างหรือไม่ ก็ได้โปรดอย่าต่อว่าเธอเลยนะครับ นี่เป็นสิ่งที่เธอควบคุมไม่ได้”

คำขอนี้นั้นสมเหตุสมผล แต่…กินได้มากน้อยแค่ไหนไม่ใช่ว่าควบคุมเองได้หรอกเหรอ

ในใจเขายังคงเคลือบแคลง “ตกลงว่าเธอป่วยเป็นอะไรกันแน่ ทำไมต้องเป็นผมด้วย” ถึงขั้นจำเป็นต้องให้เขาช่วยเหรอ

นี่ก็หมายความว่าเป็นการตกลงแล้ว

เซียวอิ่นจางไม่ตอบ แต่ใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปที่สัญญารักษาความลับที่อยู่ในมือหานต้ง

หานต้งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็รับปากกาที่เซียวอิ่นจางส่งมาให้ เซ็นชื่อสกุลของตนเองลงไปอย่างบรรจง

เมื่อเห็นลายเซ็นของหานต้ง เซียวอิ่นจางก็แน่ใจแล้วว่าหานต้งคือคนที่ตำหนิเจียงเหมยอิ่งว่ากินทิ้งกินขว้างจริงๆ ลายเซ็นของหานต้งสวยมาก แม้จะเป็นอักษรหวัดแกมบรรจง แต่ก็เป็นระเบียบมาก ดูออกว่าหานต้งเป็นคนที่ทำอะไรจริงจังมาก

เซียวอิ่นจางเซ็นชื่อของตนเองลงไปอย่างพลิ้วไหวทรงพลัง จากนั้นก็ทำเป็นคู่สำเนา ทั้งสองคนต่างก็เก็บไว้คนละหนึ่งฉบับ

เมื่อมีสัญญาใจกันแล้ว เซียวอิ่นจางจึงเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “เจียงเหมยอิ่งป่วยเป็นโรคเบื่ออาหารที่มีสาเหตุจากจิตใจครับ”

ในใจหานต้งพลันเต้นรัว สาเหตุนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่ก็มีเหตุผล

ทันใดนั้นเองความไม่สมเหตุสมผลทั้งหมดในตัวเจียงเหมยอิ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นสมเหตุสมผลขึ้นมา ถ้าหากเป็นเพราะโรคเบื่ออาหาร อย่างนั้นแล้วการที่เธอกินอาหารไม่ลง กินทิ้งกินขว้าง การแสดงออกของเธอที่ดูลำบากใจล้วนได้รับการอธิบายแล้ว

เซียวอิ่นจางเล่าต่อว่า “อันที่จริงอาการของเธอตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว สุขภาพก็ค่อนข้างแข็งแรง แค่มีโรคเบื่ออาหารอยู่อ่อนๆ ตอนที่เป็นหนักๆ เธอผอมจนหนักแค่สามสิบกิโลกรัม เป็นหนังหุ้มกระดูก กินอะไรไม่ลงเลย นิสัยก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัวและกลัวคนแปลกหน้ามาก ถึงขั้นกลัวแสงสว่าง” เมื่อพูดถึงอดีตของเจียงเหมยอิ่ง น้ำเสียงของเซียวอิ่นจางก็เต็มไปด้วยความสงสารและความเจ็บปวด

หานต้งพยักหน้า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าก็ค่อนข้างจะกลัวคนแปลกหน้านะครับ”

เซียวอิ่นจางยิ้ม “อยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็จะดีขึ้นครับ กลัวคนแปลกหน้าก็แค่ตอนเจอกันแรกๆ”

“งั้นทำไมต้องเป็นผมด้วย” หานต้งถามอีกครั้ง

เซียวอิ่นจางยิ้มพลางเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าผมบอกว่าเธอกินได้แค่อาหารที่คุณทำ คุณจะเชื่อไหมล่ะครับ”

หานต้งขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินครั้งแรกเข้าต้องไม่เชื่อแน่ ทว่าชั่วขณะต่อมาจึงนึกย้อนไปถึงท่าทีแปลกๆ แต่ละอย่างของเจียงเหมยอิ่ง ยกตัวอย่างเช่น เจียงเหมยอิ่งจะถามทุกครั้งว่าอาหารนี้เขาเป็นคนทำเองหรือเปล่า

ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ งั้นทุกอย่างก็อธิบายได้แล้ว

“ทำไม” หานต้งยังคงแปลกใจ

เซียวอิ่นจางยิ้มขื่น “ผมไม่รู้เหมือนกัน ผมก็สงสัยว่าอาหารของคุณได้ลงคาถาอาคมอะไรไว้หรือเปล่า”

หานต้งนิ่งเงียบ

“งั้นตอนนี้…ตอนนี้เธอกินอะไรได้บ้างครับ” หานต้งถาม

เซียวอิ่นจางชี้ไปที่อีกฝ่าย “ของที่คุณทำ”

“ครับ?”

เซียวอิ่นจางอธิบายเพิ่มว่า “เมื่อก่อนเธอกินได้แค่อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีของมันและของคาว แต่อาหารที่คุณทำ ดูเหมือนว่าเธอจะพอกินได้บ้าง”

หานต้งพยักหน้า ยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย

“นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมผมต้องมาขอให้คุณช่วย” เซียวอิ่นจางชะงักไป เกิดกลัวว่าหานต้งจะไม่เห็นด้วย จึงรีบเสริมว่า “ผมจะจ่ายค่าตอบแทนให้คุณ”

หานต้งตอบ “…ไม่ต้องหรอกครับ ผมยังติดค้างเธออยู่”

ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ก็ตาม

3

“อิ่งจื่อ คุณหานบอกว่าอยากจะขอโทษเธอ” เซียวอิ่นจางโทรหาเจียงเหมยอิ่งเพื่อแจ้งข่าว “เธอจะไปเอง หรือจะรับโทรศัพท์เขา”

เจียงเหมยอิ่งทั้งประหลาดใจและสงสัย “จริงเหรอ เขาขอโทษเป็นด้วย?”

พ่อครัวห่วยแตกที่หน้าตาย นิสัยแย่ เข้มงวด แถมยังพูดจาไม่น่าฟังคนนั้น ไม่นึกว่าจะขอโทษเธอเป็นด้วย? ตกลงว่าเขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองผิดตรงไหนกันแน่

“อื้ม จริงแท้แน่นอน”

เจียงเหมยอิ่งเงียบไปสักพัก ถึงได้กล่าวแง่งอนเสียงเบา “ฉันไม่ไปหรอก ให้เขาขอร้องฉันสิ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เซียวอิ่นจางก็ฟังออกถึงความใจอ่อนที่อยู่ในน้ำเสียงของเธอ จึงหัวเราะเบาๆ ยิ้มให้กับนิสัยเด็กๆ ของเธอ

เมื่อวางสาย เจียงเหมยอิ่งก็อารมณ์ดีขึ้นมา เหมือนว่าหินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้งอยู่ในใจได้ร่วงลงพื้นแล้ว รู้สึกผ่อนคลายเป็นเท่าตัว

ฟางเข่อเข่อกลับจากไปส่งไฟล์วิดีโอฉบับสำเร็จ ก็พูดกับเจียงเหมยอิ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ “เหมยอิ่ง ผู้กำกับหลิวให้เธอไปหาที่ห้องทำงาน”

เจียงเหมยอิ่งตั้งท่าต่อต้านทันใด “ไม่ไป ไม่ไป!”

ฟางเข่อเข่อผลักเธอออกจากประตูไป “ไปสิ ฉันจะบอกเธอให้นะ ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมากๆ ทั้งๆ ที่วันมะรืนก็จะไปถ่ายทำที่ซีเป่ยกันอยู่แล้ว ตอนนี้หน้าตาอิ่มเอิบอย่างกับถูกลอตเตอรี่ห้าล้าน ฉันบอกเขาว่าฉันจะลาพักร้อนสามวัน เขาก็เอาแต่บอกว่าได้ แถมยังบอกว่าจะจัดคนมารับช่วงต่อทำไฟนอลแทนฉันด้วย”

“…อะไรกันเนี่ย” เจียงเหมยอิ่งไม่เข้าใจ “เขาอารมณ์ดี?”

ถ้าอารมณ์ดีแล้วจะเรียกเธอไปทำไม ดูยังไงก็จะตำหนิเธอแน่ๆ

“อืม ดังนั้นถือโอกาสไปตอนที่เขาอารมณ์ดี รีบไปคุยดีๆ ซะ” ฟางเข่อเข่อผลักเธอออกจากห้องสตูดิโอแล้วโบกมือ “บ๊ายบาย”

เจียงเหมยอิ่งจิตใจไม่สงบ เธอแข็งใจเข้าไปในห้องทำงานของผู้กำกับหลิว เมื่อเผชิญหน้าก็เห็นว่าผู้กำกับหลิวใบหน้าแดงก่ำอย่างที่คิด เขาเห็นเธอก็ตบโต๊ะสามที ทำเอาเธอใจเต้นรัวเหมือนกลอง ตัวสั่นเทา

ท้ายที่สุดก็ได้ยินผู้กำกับหลิวร้องเสียงดังออกมาสามครั้ง “ดี! ดี! ดี!”

“?” เจียงเหมยอิ่งห่อไหล่ก้มหน้า ก่อนเงยขึ้นมามองเขาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าเขาจะโมโหจนหน้ามืดตามัว

ผู้กำกับหลิวเดินเข้ามาหาแล้วตบบ่าเธอ เอ่ยชมว่า “เสี่ยวเจียง! ขอบคุณเธอมากๆ เลย! ช่วยฉันทำการใหญ่ได้สำเร็จแล้วนะ!”

“อะไรนะคะ” เจียงเหมยอิ่งงุนงง

ผู้กำกับหลิวพูดอย่างมีลับลมคมใน “เธอรู้ไหม ต้องขอบคุณเธอ พวกเราถึงเปลี่ยนแผนได้ชั่วคราว”

ทำไมฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำประชดประชัน เจียงเหมยอิ่งลำบากใจมาก “ผู้กำกับหลิว ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”

“เฮ้อ อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยน่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราจะได้ไปถ่ายทำที่สาขาใหญ่ของซานเว่ยฟางเหรอ นั่นเป็นแฟ้มลับสุดยอดของร้านเก่าแก่เลยนะ! พวกเราเป็นรายการแรกที่ได้ไปถ่ายทำที่สาขาใหญ่ของซานเว่ยฟาง! ฉันรายงานเบื้องบนแล้วว่าจะถ่ายทำที่ซานเว่ยฟางก่อน ทำให้ดี ทำเสร็จแล้วก็โปรโมต เรตติ้งจะต้องพุ่งกระฉูดแน่!”

เจียงเหมยอิ่งยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ครุ่นคิดอยู่นานจึงนึกถึงความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว

“ผู้กำกับหลิว…หานต้ง…พูดอะไรกับคุณหรือเปล่าคะ”

ผู้กำกับหลิวพยักหน้า “ใช่ คุณหานต้งติดต่อฉันมาเอง บอกว่าสามารถร่วมมือกับเราได้ อ้อใช่ เขายังฝากฉันบอกเธอว่าถ้ามีเวลาก็ให้ไปเยี่ยมเยียนร้านบะหมี่โหย่วเจียนบ่อยๆ ดูเหมือนว่าพวกเธอสองคนจะถูกชะตากันนะ”

“…”

ไม่ ไม่ถูกชะตาเลยสักนิด

ในที่สุดเจียงเหมยอิ่งก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เพราะติดต่อเธอไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้หัวหน้ามาเป็นกระบอกเสียงแทนสินะ กระบอกเสียงอันนี้ประสิทธิภาพเจ๋งจริงๆ

เพื่อการทำงานแล้ว เจียงเหมยอิ่งก็ต้องแข็งใจไปพบหานต้งที่ร้านบะหมี่โหย่วเจียน

 

ภายในร้านบะหมี่โหย่วเจียน เจิ้งหลินเทียนยกเข่งขนมจ้างเข้ามา ขนมจ้างในช่วงเช้าขายหมดแล้ว พอเห็นว่าขายดี เจิ้งหลินเทียนจึงทำอีกหนึ่งเข่ง

หานต้งกำลังเหม่อลอยอย่างที่หาได้ยาก เจิ้งหลินเทียนจึงร้องตะโกนราวกับได้ค้นพบดินแดนแห่งใหม่ “อาจารย์ คิดอะไรอยู่ครับ!”

เสียงของเจิ้งหลินเทียนดังมาก หานต้งตกใจวูบหนึ่ง แล้วก็นั่งยืดตัวตรงเงยหน้ามองเขา “มีอะไร”

เจิ้งหลินเทียนชี้เข่งที่ใส่ขนมจ้าง “ผมจะไปนึ่งขนมจ้าง”

“ไปสิ”

“อาจารย์ยังทำอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ไหมครับ เมื่อกี้เจอพี่เหมียวที่หน้าประตู เธอถามผมน่ะ” เจิ้งหลินเทียนถาม

หานต้งไม่มีกะจิตกะใจจะทำ สูตรอาหารเจียงเหมยอิ่งเป็นคนคิด ส่วนเขาเป็นคนปรับปรุง ตอนนี้เขาละอายใจต่อเจียงเหมยอิ่ง จึงไม่กล้าแตะต้องสูตรอาหารเหล่านั้น

เขาส่ายหน้า “รอผ่านไปอีกสักพักก็แล้วกัน ถ้าเหมียวเหมี่ยวอยากกิน ฉันทำให้เธอโดยเฉพาะได้”

หานต้งพูดอย่างนี้แล้ว บนใบหน้าเจิ้งหลินเทียนก็พลันปรากฏท่าทีของการซุบซิบนินทา เขายักคิ้ว ยิ้มล้อ “อาจารย์~ คุณกับพี่เหมียว…”

หานต้งมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ อยากฟังดูซิว่าเจิ้งหลินเทียนจะพ่นอะไรที่ไม่ดีออกมา

แต่เจิ้งหลินเทียนยังพูดไม่ทันจบ ประตูร้านก็ถูกคนเปิดเข้ามา

กระดิ่งที่แขวนตรงประตูดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ สองครั้ง เจิ้งหลินเทียนถูกตัดบทสนทนา ทั้งสองคนถูกเสียงนั้นดึงความสนใจไป หันไปมองผู้มาเยือน

หญิงสาวที่รูปร่างผอมบางหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างฝืนทน สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ทันทีที่เห็นหานต้ง เจียงเหมยอิ่งก็เชิดคาง ขณะเดียวกันก็หันหน้าไปอีกทาง ผมสั้นที่ยาวถึงติ่งหูไหวเล็กน้อย ท่าทางเย่อหยิ่งยากรับมือ

“หัวหน้าของฉันให้ฉันมา” เจียงเหมยอิ่งพูดอย่างขอไปที

หานต้งนิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น เจียงเหมยอิ่งเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นครั้งแรก

ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

“ครับ ขอบคุณหัวหน้าของคุณด้วย”

4

“หัวหน้าของฉันให้ฉันมาขอบคุณคุณต่อหน้า”

จริงๆ แล้วไม่ได้มีคำสั่งนี้หรอก ผู้กำกับหลิวได้รับโทรศัพท์จากหานต้ง ก็ขอบคุณทางโทรศัพท์เป็นพันรอบตั้งนานแล้ว

เจียงเหมยอิ่งก็แค่ไม่อยากให้หานต้งรู้ว่าจริงๆ แล้วเธออยากจะมาร้านบะหมี่โหย่วเจียน

หานต้งเห็นท่าทีเขินอายของเธอก็รู้สึกว่าน่ารักนิดหน่อย เขาผงกศีรษะ “ครับ”

พอดูท่าทางจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เจียงเหมยอิ่งก็มองหานต้งอย่างไม่พอใจ แต่กลับเห็นว่าในดวงตาของเขามีรอยยิ้ม เจียงเหมยอิ่งตวัดตามองเขา ยืนอยู่หน้าประตูครู่เดียว ไม่รอให้หานต้งพูดขอโทษ

“ฉันขอตัว” เจียงเหมยอิ่งคิดว่าหานต้งคงไม่มีทางขอโทษหรอก

“อย่าเพิ่งไปครับ” หานต้งรีบร้องเรียกเธอไว้

เจียงเหมยอิ่งจ้องมองเขา

“ไม่กินอะไรสักหน่อยค่อยไปล่ะครับ”

“…” แต่เจียงเหมยอิ่งจะกินอะไรล่ะ

“อีกอย่าง ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”

เจียงเหมยอิ่งนิ่งเงียบ อารมณ์ยุ่งเหยิงบนใบหน้าของเธอแสดงความรู้สึกสั่นคลอนในใจออกมาทั้งหมด

สีหน้าของเธออ่อนลง ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวอย่างฝืนใจ หาที่นั่งนั่งลง “งั้นคุณก็รีบพูดมา”

หานต้งถอนหายใจ “ขอโทษครับ”

เจียงเหมยอิ่งอึ้งไป แผ่นหลังยืดตรงแข็งทื่อ หลุบตาลง

หานต้งนั่งลงตรงข้ามเจียงเหมยอิ่ง ก้มศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าพูดกับเจียงเหมยอิ่งอย่างจริงใจ “ที่ตำหนิคุณว่ากินทิ้งกินขว้าง เป็นความผิดของผมในฐานะที่เป็นเชฟและเจ้าของร้าน ผมรู้สึกผิดกับคุณจริงๆ ขอโทษครับ”

คำว่า ‘ขอโทษ’ ที่เป็นตัวหนังสือเทียบกับที่ได้ยินกับหูตัวเองไม่ได้เลย

เจียงเหมยอิ่งสามารถบล็อกข้อความที่หานต้งส่งมาในเวยป๋อไม่หยุดรวมถึงเบอร์โทรศัพท์ได้อย่างใจดำ แต่เมื่อคนตัวเป็นๆ มาอยู่ตรงหน้าเธอ ใช้สายตาที่จริงใจมองมาที่เธอ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ธรรมดาทว่าจริงใจที่สุดกล่าวขอโทษต่อเธอ…

เจียงเหมยอิ่งชำเลืองมองหานต้งแวบหนึ่ง

อีกทั้งคนที่กล่าวขอโทษคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ…ตรงสเป็กเธอมาก

ทำอย่างไรเธอก็พูดคำว่าไม่ให้อภัยอย่างใจจืดใจดำออกมาไม่ได้!

ดังนั้นเจียงเหมยอิ่งจึงทำได้แค่นิ่งเงียบ

เขากล่าวคำขอโทษต่อ “ที่ผมบอกว่าคุณไม่เคารพอาหาร เข้าใจผิดไปว่าคุณไม่ชอบฝีมือทำอาหารของผม แถมยังสร้างความลำบากให้กับคุณในการทำงานของคุณด้วย ผมรู้สึกผิดกับคุณจริงๆ ขอโทษครับ”

นี่เป็นจุดที่เจียงเหมยอิ่งโกรธที่สุด เดิมทีเธอยังคิดว่าจะสาธยายความผิดของหานต้งออกมาอีกสักหลายประโยค แต่พอหานต้งเอ่ยขอโทษ อารมณ์โกรธของเธอก็พลันมลายหายไป

เจียงเหมยอิ่งรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองให้อภัยอีกฝ่ายง่ายๆ ขนาดนี้ เธอเบะปาก จ้องตาหานต้งตรงๆ

“เพราะสามปีก่อนตอนที่ผมหนีออกจากบ้านไม่ได้จัดการธุระต่างๆ ให้ดี ทำให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณที่ใช้เบอร์มือถือเก่าของผม ผมรู้สึกผิดกับคุณจริงๆ ขอโทษครับ”

เจียงเหมยอิ่งหันขวับไปมองเขา รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณ…” ทำไมแม้แต่เรื่องนี้ก็ขอโทษด้วย

เธออยากจะถามอย่างนั้น แต่คิดว่าถ้าถามไปตนเองก็คงขายหน้าแย่

หานต้งพยักหน้า และทวนอีกครั้งอย่างจริงจัง “ขอโทษครับ”

เจียงเหมยอิ่งยกมือปิดหน้าทันใด ก้มศีรษะลงแล้วถอนหายใจยาวๆ ใบหน้าแดงลามไปถึงใบหู

ขายหน้าชะมัด

ก็แค่ทะเลาะกับหานต้งในไดเร็กต์เมสเสจจึงโพล่งเรื่องเบอร์โทรออกมาเลยตามเลย จริงๆ แล้วเจ้าของคนเก่าไม่ได้ผิดอะไร แต่เธอโชคร้ายเองที่เลือกเบอร์นี้

เธอไม่สงบจิตสงบใจ ใช้ถ้อยคำที่ประสาทเสียที่สุด พิมพ์ต่อกันยาวเป็นแถบ ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์และคำเน้นย้ำเพื่อบ่งบอกถึงความผิดของเขา แถมยังใช้ถ้อยคำต่อว่าต่างๆ นานาที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอเกลียดเขาที่สุดด้วยท่าทีอ่อนนอกแข็งใน

เพราะว่าเธอคุยผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่จำเป็นต้องคุยต่อหน้า ใช้ตัวอักษรพ่นความเคียดแค้นที่มีต่ออีกฝ่าย เจียงเหมยอิ่งคิดว่าตนเองจะไม่ขี้ขลาด แต่เมื่ออยู่ในความเป็นจริง เธอกลับทำไม่ได้เลย

นึกไม่ถึงว่าตอนนี้หานต้งจะมาขอโทษเธออย่างจริงจังจริงๆ เรื่องเบอร์มือถือก็ยังขอโทษ การที่เขาเปลี่ยนเบอร์เป็นเรื่องสุดวิสัย เขาไม่ได้ไปเปลี่ยนเบอร์สำรองที่ธนาคารก็เพราะตอนนั้นสถานการณ์บังคับ เธอเคยรู้มาว่าบัญชีธนาคารของเขาทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็ถูกอายัด เขาเพิ่งออกจากบ้าน ก็คงยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้

เจียงเหมยอิ่งรู้สึกอายจนอยากจะเอาหัวมุดรูจริงๆ

หานต้งเห็นแก้มทั้งสองข้างและใบหูของเจียงเหมยอิ่งแดงเรื่อก็ไม่เข้าใจ

เขาเคาะโต๊ะแล้วถามเจียงเหมยอิ่ง “ไม่เป็นไรนะครับ?”

เสียงที่เหมือนแมลงของเจียงเหมยอิ่งดังลอดออกมาจากระหว่างฝ่ามือประโยคหนึ่ง “คุณ…ทำไมถึงมารยาทดีขนาดนี้นะ…”

มารยาทดีก็ไม่โอเคเหรอ หานต้งงุนงง

เจียงเหมยอิ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างกำหมัดแล้ววางบนหัวเข่าอย่างกังวล เธอเบะปาก ดวงตาทั้งสองข้างมองไปข้างหน้า ใบหูหายแดงลงไปมากแล้ว

เธออธิบายเสียงเบา “ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเจอใครที่ขอโทษฉันอย่างจริงใจขนาดนี้มาก่อน”

คำพูดนี้ทำให้หานต้งแปลกใจ

คนแบบไหนถึงไม่เคยเจอใครที่ขอโทษอย่างจริงใจ

เดินชนคนอื่นก็ต้องพูด ‘ขอโทษ’ ด้วยความตั้งใจจริงสิ คำพูดของเจียงเหมยอิ่งไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

เจียงเหมยอิ่งกลัวการถูกคนต่อว่า และก็หวังว่าจะมีคนเข้าใจ แต่เมื่อคนที่เคยต่อว่าเธอมาขอโทษเธออย่างจริงใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเธอหรือไม่ก็ตาม เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ

เธอไม่รู้ว่าเซียวอิ่นจางมา ‘คิดบัญชี’ กับหานต้งอย่างไร ถึงขั้นทำให้หานต้งพูด ‘ขอโทษ’ เธอมากมายขนาดนี้อย่างสุภาพ เธอสงสัยว่าเซียวอิ่นจางไม่ได้มาคิดบัญชีกับหานต้ง แต่มาทำการแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างที่บอกไม่ได้

เธอย่อมไม่รู้ว่าเซียวอิ่นจางกับหานต้งเซ็นสัญญาที่บอกใครไม่ได้

หานต้งกล่าว “เพราะเป็นความผิดของผมจริงๆ ดังนั้นผมจำเป็นต้องขอโทษคุณ”

หานต้งหัวโบราณ แต่ก็ยืดหยุ่นได้ เขามักจะทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งใจและรอบคอบ การปฏิบัติตัวก็เป็นอย่างนี้

เจียงเหมยอิ่งเกาศีรษะ เธอหน้าแดง และเอ่ยว่า “เอาล่ะๆ ฉันอยากสั่งอาหารค่ะ”

หานต้งพยักหน้า “อยากกินอะไรครับ”

เจียงเหมยอิ่งเหน็บแนม “คุณไม่กลัวฉันกินทิ้งกินขว้าง?”

เธอยังคงข้องใจเขาสินะ หานต้งไม่รู้ว่าควรจะตอบด้วยสีหน้าท่าทางแบบไหน

หานต้งส่ายหน้าแล้วบอกว่า “คุณอยากกินอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”

เจียงเหมยอิ่งเซอร์ไพรส์มาก ดูเหมือนว่าการให้เซียวอิ่นจางออกโรงจะได้ผลเกินไปแล้ว หมอเซียวของเธอช่างเป็นนักเจรจาชำนาญการเสียจริง

หานต้งเห็นท่าทีของเจียงเหมยอิ่งก็รู้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ หลังจากที่ได้รู้อาการของเธอจากทางเซียวอิ่นจาง เขาก็มีความรู้สึกบางอย่าง เหมือนกับว่าจู่ๆ เขาก็ได้แชร์ความลับกับเจียงเหมยอิ่ง ระยะห่างในใจพลันถูกดึงเข้ามาให้ใกล้กัน แม้เจียงเหมยอิ่งจะไม่รู้ว่าเขาได้รู้อาการป่วยของเธอแล้วก็ตาม

เจียงเหมยอิ่งดูเมนูอาหารบนผนังที่อยู่ด้านหลังหานต้ง ไล่ดูชื่อไปทีละเมนู เจียงเหมยอิ่งตัดสินใจได้ก็ยกมุมปากขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจแกมสัพยอก “บะหมี่เนื้อตุ๋นน้ำแดง!”

หานต้งงงงัน เลิกคิ้วขึ้นทันใด

เขาอยากจะหัวเราะ ทว่าต่อหน้าก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างเก้อกระดาก

เป็นผู้หญิงที่เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ

ครั้งนี้หานต้งไม่ได้ปฏิเสธออเดอร์ เขาหยิบสมุดจดออเดอร์เล่มใหม่ออกมาจากลิ้นชักและวาดวงกลมเป็นสัญลักษณ์ไว้ที่หน้าแรกของสมุด จากนั้นก็เชิญเจียงเหมยอิ่งให้นั่งรอก่อน

เขาพลิกหาหน้าที่วาดวงกลมเป็นสัญลักษณ์ไว้ จากนั้นก็จดเมนูที่เจียงเหมยอิ่งสั่งครั้งนี้ไว้ด้านหลัง

เขาเสียบใบสั่งอาหารไว้ในกระเป๋าที่อยู่ตรงหน้าอกของชุดเชฟและผูกสายผ้ากันเปื้อนที่เอวแน่น ดึงหมวกเชฟที่อยู่ข้างเอวออกมาพลางสวมมัน แล้วรีบก้าวเท้าไปยังห้องครัว

“เดี๋ยวก่อน” เจียงเหมยอิ่งรีบเรียกเขาไว้แล้วถาม “นั่น…คุณจะทำเองเหรอ”

หานต้งชะงักฝีเท้า พลันพยักหน้า แล้วก็เข้าไปในครัวโดยไม่บอกกล่าว ตอนแรกที่ยังไม่รู้สถานการณ์ เพียงคิดว่าคำถามของเจียงเหมยอิ่งนั้นแปลกๆ พอตอนนี้เขาเข้าใจดีแล้วก็กลับรู้สึกปวดใจขึ้นมา

ขณะที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ เจียงเหมยอิ่งก็เริ่มรู้สึกผิดในใจอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาขอโทษแล้ว เธอก็ยังคิดจะมาหาเรื่องด้วยอารมณ์โกรธเคืองอีก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองกินบะหมี่เนื้อที่ทั้งเผ็ดทั้งมันทั้งคาวไม่ได้เด็ดขาด

ถึงเวลานั้นก็เสียของเปล่า ไม่รู้ว่าหานต้งจะหัวเราะเยาะเธอในใจอย่างไรบ้าง ตอนนี้ภายนอกหานต้งอาจจะขอโทษเธออย่างสุภาพ แต่ไม่แน่ว่าในใจก็คงแอบเหม็นหน้า

เจียงเหมยอิ่งพิมพ์ข้อความเตรียมจะส่งไปให้เซียวอิ่นจาง ‘พังแล้ว…’

ยังไม่ทันได้กดปุ่มส่ง ม่านของห้องครัวก็ถูกเปิด หานต้งยกของออกมาหลายอย่าง

เจียงเหมยอิ่งยังคงงุนงง หานต้งจัดจานไว้บนโต๊ะ ให้บริการด้วยตัวเองและเริ่มกล่าวแนะนำ “บะหมี่เนื้อวัว ต้นหอม ผักชี พริก”

เจียงเหมยอิ่งกระตุกมุมปาก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสับสน

บะหมี่เนื้อยังคงเป็นบะหมี่เนื้อชามนั้น ทว่าน้ำซุปนั้นใสมาก เส้นบะหมี่ขาวเนียน ด้านบนโปะผักกวางตุ้งไว้ห้าหกชิ้น ใสกระจ่างราวกับหยก ข้างๆ ผักกวางตุ้งมีเนื้อวัวแผ่นบางๆ หกแผ่นจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเหมือนบะหมี่เนื้อที่ปกติชามหนึ่ง ทว่าแค่ดูจืดชืด

เจียงเหมยอิ่งสงสัยว่าเขาแอบลดทอนเครื่องปรุง แต่ดูจืดขนาดนี้ก็ทำให้เธอลอบพรูลมหายใจ

สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจที่สุดคือต้นหอม ผักชี และพริก เครื่องปรุงทั้งสามอย่างถูกแยกใส่ในจานใบเล็กๆ

ความหมายน่าจะประมาณว่า ‘อยากได้รสชาติระดับไหนก็ปรุงเอาเอง’

เจียงเหมยอิ่งเงยหน้ามองหานต้งอย่างงุนงง หานต้งพยักหน้าให้เธอ แล้วก็กลับเข้าครัวไป

แผ่นหลังนั้นราวกับผู้ที่ปิดทองหลังพระ เจียงเหมยอิ่งกระตุกริมฝีปาก สีหน้ายากจะคาดเดา

5

เจิ้งหลินเทียนถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะครับ”

“ให้พื้นที่เธออยู่คนเดียวสักหน่อย จะได้ไม่เครียด”

เครียด? กินบะหมี่มีอะไรต้องเครียดด้วย เจิ้งหลินเทียนแปลกใจ อยากจะยื่นศีรษะออกไปดูเจียงเหมยอิ่งแต่ก็ถูกหานต้งลากกลับเข้ามา หานต้งมองเขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง

เจิ้งหลินเทียนจำต้องเปลี่ยนเรื่องถาม “อาจารย์ เมื่อกี้ทำไมคุณถึงต้องกรองน้ำซุปหลายรอบขนาดนั้นด้วย”

ตอนที่หานต้งทำบะหมี่ชามนี้เขาตั้งใจทำมาก น้ำมันที่อยู่ก้นซุปแทบจะถูกกรองออกไปจนหมด เนื้อวัวและผักกวางตุ้งก็ลวกผ่านน้ำซุปใสเพื่อให้แน่ใจว่ารสชาติจะไม่หายไป นี่เป็นการทดสอบทักษะขั้นพื้นฐานของพ่อครัว เจิ้งหลินเทียนที่อยู่ข้างๆ พยายามจดขั้นตอนลงบนสมุดเล่มเล็กๆ ในขณะที่จดก็ตาเบิกกว้างและอ้าปากค้าง

หานต้งส่ายหน้า ไม่ตอบ

สำหรับคำถามที่อาจารย์ไม่อยากตอบ เจิ้งหลินเทียนรู้ว่าต่อให้ตนเค้นถามอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงปิดปากอย่างว่าง่าย

เจียงเหมยอิ่งที่อยู่อีกด้านก็กำลังตบตีกับความคิดของตัวเอง

หานต้งดูออกแล้วเหรอว่าเธอกินรสชาติแบบไหน รู้ว่าเธอกำลังอวดดี จึงใช้วิธีนี้เพื่อรักษาหน้าเธอให้มากที่สุด

เจียงเหมยอิ่งอดเดาแบบนี้ไม่ได้ รู้สึกจิตใจไม่สงบ กลัวว่าตนเองจะคิดไกลเกินไป แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ความอบอุ่นแผ่เข้ามาในใจเธอ หัวใจพองโตอย่างไม่อาจควบคุมได้

เธอโรยต้นหอมเล็กน้อย เครื่องปรุงอีกสองอย่างยังคงวางเอาไว้ที่เดิมไม่ขยับ

หานต้งรออยู่ในครัวมายี่สิบกว่านาทีแล้ว เจิ้งหลินเทียนตักขนมจ้างอยู่ตรงหม้อใบใหญ่ ถูกไอร้อนรมจนเหงื่อแตกพลั่ก ทั่วทั้งห้องครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมจ้าง

เสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้านดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ สองครั้ง

หานต้งออกมาจากห้องครัว ในร้านก็ไม่มีคนอยู่แล้ว

บนโต๊ะอาหารของเจียงเหมยอิ่งมีบะหมี่เนื้อที่ยังเหลือเท่าเดิมเหมือนไม่ได้แตะเลยสักคำ ทว่าผักกวางตุ้งกลับถูกกินจนหมด เนื้อวัวชิ้นหนึ่งที่อยู่ในนั้นก็ถูกกัดไปครึ่งหนึ่ง

ข้างชามมีขวดเครื่องปรุงทับธนบัตรยี่สิบหยวนไว้ใบหนึ่ง ใต้ธนบัตรยังมีกระดาษโพสต์อิตที่ถูกทับไว้อีกแผ่นหนึ่ง

การพกกระดาษโพสต์อิตติดตัวคือความเคยชินของเจียงเหมยอิ่งที่มีอาชีพเป็นทีมงานฝ่ายกำกับและตัดต่อ

หานต้งหยิบกระดาษโพสต์อิตขึ้นมามอง เห็นตัวหนังสือสวยๆ ที่อยู่บนนั้นแล้วก็อดยกยิ้มไม่ได้

‘ขอบคุณค่ะ อร่อยมาก’

เจิ้งหลินเทียนเข้ามาแอบดูใกล้ๆ กระซิบเบาๆ “อาจารย์ บะหมี่เนื้อสิบแปดหยวนเอง ยังต้องทอนเงินนะครับ”

หานต้งชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ตอบคำ

บทที่ 5 เพื่อนต่างวัยของพ่อคุณ

1

เจียงเหมยอิ่งใช้หูกับไหล่หนีบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ มือหนึ่งหยิบนมเปรี้ยว มือหนึ่งหยิบแก้ว รินนมใส่แก้วพลางคุยกับเซียวอิ่นจางที่อยู่ปลายสาย “อืม วันนี้ฉันไปมาแล้ว”

เซียวอิ่นจางถาม “เขาขอโทษแล้ว?”

“ค่ะ”

“ท่าทีเป็นยังไงบ้าง”

เจียงเหมยอิ่งเม้มปาก สักพักถึงได้พึมพำเบาๆ ว่า “ท่าที…ก็ดีค่ะ” ดีเกินไปต่างหาก

เซียวอิ่นจางหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “งั้นเธอยกโทษให้เขาหรือยังล่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรที่ต้องยกโทษหรือไม่ยกโทษให้นี่…” เธอพูดอย่างไม่พอใจ ท่าทางเย่อหยิ่ง “ถึงยังไงก็โอเคแล้ว”

นี่ก็แสดงว่ายกโทษให้แล้ว เซียวอิ่นจางกำชับเธอ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นถ้ามีเวลาก็พยายามไปบ่อยๆ ของที่เคยกินก่อนหน้านี้ก็ลองอีกครั้ง ดูซิว่ามีความคืบหน้าหรือเปล่า”

เจียงเหมยอิ่งตอบรับ จากนั้นก็ถามอย่างนึกสงสัย “หมอเซียว คุณไปพูดกับเขายังไง ทำไมท่าทีเขาถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนั้น”

เซียวอิ่นจางหัวเราะพลางเอ่ย “ฉันไม่ได้พูดอะไร เขาก็ทบทวนตัวเองอยู่แล้ว ฉันแค่เกลี้ยกล่อมเธอ ให้เธอให้โอกาสเขาได้ขอโทษก็เท่านั้น”

ดังนั้น…ก็อยู่ที่ท่าทีของเธอเองสินะ

เจียงเหมยอิ่งตอบ “อืม…ขอบคุณนะคะหมอเซียว”

“ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก” เซียวอิ่นจางกล่าว “การที่เธอดีขึ้นเรื่อยๆ สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”

“อืม” พูดมากไปก็เป็นการฟุ่มเฟือยเปล่าๆ เจียงเหมยอิ่งตอบเซียวอิ่นจางด้วยเสียงเนิบช้า

เมื่อวางสาย เจียงเหมยอิ่งก็เงยหน้าดื่มนมเปรี้ยวอึกใหญ่ดังอึกๆ เธอหลับตาแล้วพรูลมหายใจยาว ของเหลวเย็นๆ ไหลไปตามทางเดินอาหารลงสู่กระเพาะ เย็นสบายทั่วทั้งท้อง

เจียงเหมยอิ่งลูบพุง พยายามถูชั้นเนื้อหนังให้ร้อน

รสชาติของบะหมี่เนื้อสองคำนั้นที่กินไปเมื่อตอนบ่ายยังติดอยู่ที่ลิ้น หลังจากกลับมาเธอก็ยังคิดถึงรสชาติของมันตลอด

น้ำซุปทั้งกลมกล่อมและไม่มันเลี่ยน หอมอร่อย น้ำซุปไม่เพียงเคี่ยวมาจากกระดูกวัว แต่ยังเพิ่มเนื้อไก่และหอยนางรมมาต้มกับน้ำสต็อกที่เคี่ยวไว้ทั้งคืน รอให้เย็น จากนั้นตักไขมันหนาๆ ที่อยู่ชั้นบนสุดออก เหลือน้ำมันทิ้งไว้ให้พอเหมาะ รักษารสชาติกลมกล่อม จากสูตรพื้นฐานนี้ ซุปที่ทำให้เจียงเหมยอิ่งจะเอาไขมันส่วนเกินออกไปเพื่อให้รสอ่อนลง

หานต้งเป็นคนทำเส้นบะหมี่เองกับมือ กลิ่นแป้งสาลีหอมมาก เหนียวหนึบกำลังดี รสชาติของน้ำซุปที่ซดเข้าไปถึงรสถึงชาติมาก ผักกวางตุ้งพวกนั้นเจียงเหมยอิ่งกินหมดเกลี้ยง คงเพราะเคยชิมไปก่อนหน้านี้จึงคุ้นชินกับมันแล้ว อีกอย่าง ผักกวางตุ้งในครั้งนี้ชุ่มคอกว่าและไม่มันเหมือนครั้งก่อน เธอเตรียมใจพอสมควรแล้ว โน้มน้าวตัวเองให้ค่อยๆ กินทีละนิดจนหมด

และก็เนื้อวัวชิ้นนั้น เจียงเหมยอิ่งกินไปคำเล็กๆ คำหนึ่ง มันอร่อยมากเสียจนเธอไม่กล้ากินเป็นคำที่สอง เธอกลัวว่าถ้าเกิดกินคำที่สองไม่ลงก็อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจตัวเอง

เจียงเหมยอิ่งวางแก้วน้ำลงในซิงก์ ล้างไปพลางหวนนึกถึงรสชาติในแต่ละคำไปพลาง จากนั้นก็วางแก้วบนชั้นวางเพื่อผึ่งให้แห้ง จู่ๆ ในหัวของเธอก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังหงุดหงิดหานต้ง เธอไม่รู้ว่าทำไมไอเดียถึงหายไปหมด

ในตู้เย็นยังมีหัวไช้เท้าเหลืออยู่หนึ่งหัว รวมไปถึงเนื้อวัวหมักห้าเครื่องเทศอีกหนึ่งชิ้น เนื้อวัวเป็นส่วนที่เหลือจากตอนลองหาเมนูใหม่ๆ เมื่อวันก่อน เจียงเหมยอิ่งค้นตู้เย็นสักพักก็พบว่ายังมีมะเขือเทศอีกสองลูกที่แช่ไว้มาหลายวันแล้ว เธอตบมือสองข้าง ฝ่ามือประกบกัน พยักหน้าอย่างจริงจัง และเริ่มลงมือทำซุป

ล้างหัวไช้เท้าให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นเส้นให้ดูเหมือนเส้นหมี่ใสๆ เติมพริกลงไปในน้ำเกลือแล้วลวกในน้ำเดือดห้าวินาที จากนั้นเคี่ยวมะเขือเทศจนกลายเป็นซุปมะเขือเทศ หั่นมะเขือเทศที่เหลืออยู่ครึ่งลูกเป็นแว่นๆ

ขั้นตอนการทำง่ายมาก แทบไม่ต้องใช้น้ำมันสักหยด

สุดท้ายก็นำเส้นหัวไช้เท้าหนึ่งกำมือใส่ลงไปในซุปมะเขือเทศที่เย็นลงแล้ว ใช้เส้นหัวไช้เท้าที่ดูใสแวววาวทำเป็นบะหมี่ผัก จากนั้นก็นำมะเขือเทศหั่นแว่นและเนื้อวัวสไลซ์แผ่นวางซ้อนกันไว้ด้านบน

เจียงเหมยอิ่งถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เรียบเรียงสูตรอาหารสักหน่อย เธอไม่ได้โพสต์ลงบนเวยป๋อโดยทันที แต่ชิมก่อนคำหนึ่ง

รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังพอดี แก้ร้อนได้ดีมาก แต่อากาศก็ยังไม่ได้ร้อนขึ้นเสียทีเดียว ทว่ากินบะหมี่เย็นชามนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลก มันช่วยทำให้เจริญอาหารและยังทำให้รู้สึกสดชื่นได้มาก

เจียงเหมยอิ่งแยกเนื้อวัวไว้ต่างหาก ก่อนจะคลุกเส้นหัวไช้เท้าและมะเขือเทศสดหั่นเข้าด้วยกันแล้วกินเข้าไป เธอกินเนื้อวัวเข้าไปแผ่นหนึ่งก็กินต่อไม่ได้แล้ว

แม้วิธีทำหลักๆ ทั้งหมดจะดูไม่ต่างจากการทำสลัดผัก เป็นอาหารสดที่แสนจะเรียบง่าย แต่เจียงเหมยอิ่งก็พอใจมาก ราวกับกำลังกินเนื้อวัวตุ๋นมะเขือเทศต้นตำรับ

เธอโพสต์เมนูอาหารลงไปแล้ว

 

วันนี้จู่ๆ ก็นึกอยากจะทำบะหมี่ผักเนื้อวัวตุ๋นมะเขือเทศ บะหมี่ผักนี้จริงๆ แล้วเป็นเส้นหัวไช้เท้า กินแล้วสดชื่นมาก ฉันคิดเผื่อสำหรับหน้าร้อนของทุกคน บะหมี่ชามนี้สามารถทำให้เหมือนมีแอร์ในหน้าร้อนได้นะ

 

หลังจากโพสต์เวยป๋อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงเหมยอิ่งก็ไปอาบน้ำในห้องน้ำ

เวยป๋อของหานต้งถูกเจียงเหมยอิ่งแบล็กลิสต์ไว้ เขาเห็นสูตรอาหารที่เจียงเหมยอิ่งโพสต์ล่าสุดก็รู้สึกกังวล เมนูนี้ไม่เหมือนกับอาหารเพื่อสุขภาพตามปกติของตำรวจตัวกลม แต่กลับดูธรรมดาและก็ทำได้สะดวก

เขาใช้เวลาสิบกว่านาทีในการพยายามลองทำตาม รสชาติไม่เลว หานต้งอยากส่งรีวิวอาหารไปให้ แต่ก็จนใจที่ถูกเจียงเหมยอิ่งบล็อก เขาโพสต์คอมเมนต์ไม่ได้

ทำได้แค่รีโพสต์พร้อมกับคอมเมนต์ไว้บนหน้าเวยป๋อของตนเอง ‘รสชาติไม่เลวเลย’ เพื่อชมเจียงเหมยอิ่ง

เมื่อเจียงเหมยอิ่งกลับมา เธอแอบดูเวยป๋อของหานต้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

2

วันต่อมาเป็นวันจันทร์ เจียงเหมยอิ่งเลิกงานแล้วก็รีบไปที่ร้านบะหมี่โหย่วเจียนทันที

ทว่าโชคร้ายที่หานต้งไม่อยู่พอดี

เจิ้งหลินเทียนทำอาหาร ยุ่งตัวเป็นเกลียว พอเห็นเจียงเหมยอิ่งมาก็ทักทายพอเป็นพิธี ก่อนจะพุ่งเข้าไปในครัวและเริ่มทำอาหารอย่างกระตือรือร้น

หวงหรูหรูเสิร์ฟอาหารเสร็จ ก็หยิบสมุดจดออเดอร์ออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ตรงเอว เช็กอาหารที่เสิร์ฟแล้ว จากนั้นก็หันมาพูดกับเจียงเหมยอิ่ง “เถ้าแก่ไปร้านสาขาย่อยที่เมืองมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ”

สาขาย่อย?

เจียงเหมยอิ่งงุนงง ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องที่หานต้งกำลังเตรียมการร้านสาขาย่อยขึ้นมาได้ นับวันร้านบะหมี่โหย่วเจียนก็ยิ่งมีชื่อเสียงในเมืองฝูเฉิงขึ้นเรื่อยๆ ตามความโด่งดังไปทั่วประเทศของรายการทัวร์ชิมทั่วจีนที่อยู่ในช่องของภาครัฐ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข่าวที่ว่าหานต้งเป็นนายน้อยของซานเว่ยฟางที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

การขยายสาขาเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

ทว่าเจียงเหมยอิ่งรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

เปิดสาขาย่อยแล้ว หานต้งจะไปอยู่ที่นั่นหรือเปล่านะ ไม่ใช่ว่าเธอต้องนั่งรถสาธารณะนานกว่าเดิมถึงจะได้เจอหานต้ง…ไม่สิ ได้กินอาหารที่หานต้งทำหรอกเหรอ

ความกังวลบนใบหน้าเจียงเหมยอิ่งฉายชัด

ลูกค้าในร้านเยอะมาก หวงหรูหรูเองก็ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ พอหันมาเห็นเจียงเหมยอิ่งที่ยืนครุ่นคิดอยู่ข้างเคาน์เตอร์ ก็รู้เลยว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่

เรื่องประหลาดๆ อย่างการที่เจียงเหมยอิ่งกินได้แค่อาหารที่เถ้าแก่ทำ เธอก็รู้

หวงหรูหรูแอบปลีกตัวเดินมาหาเจียงเหมยอิ่ง เขียนที่อยู่ลงบนกระดาษจดเมนูแล้วฉีกหน้านั้นยัดใส่มือเจียงเหมยอิ่ง

“สบายใจได้ เถ้าแก่อยู่ที่นี่ค่ะ เจ้าหน้าโง่ที่อยู่ในครัวนั่นจะถูกส่งไปสาขาย่อย” หวงหรูหรูพยักพเยิดกับเจียงเหมยอิ่งพลางกล่าว

เจียงเหมยอิ่งนิ่งงันไปชั่วขณะ แต่ก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอ ฉีกยิ้มอย่างเก้อกระดากแล้วพยักหน้า กล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ถูกคนอื่นมองออกว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ น่าอายชะมัด

หวงหรูหรูโบกมือ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ สาขาย่อยยังขาดเงินทุน แต่ห้องครัวก็คงใกล้จะเสร็จแล้ว เถ้าแก่ลองเตาอยู่ที่นั่น คนสวยไปดูได้นะ”

หวงหรูหรูเลิกคิ้ว ใช้สายตาบอกเป็นนัยให้เจียงเหมยอิ่งดูกระดาษที่ตนยัดให้

เจียงเหมยอิ่งกำกระดาษซึ่งเขียนที่อยู่ของร้านสาขาย่อยเอาไว้ในมือ รู้สึกเหมือนถือเผือกร้อน ฝ่ามือเริ่มร้อนและมีเหงื่อซึม ร้อนไปจนถึงในใจ กระวนกระวายมาก

เธอบอกหวงหรูหรูทีละคำด้วยเสียงแผ่วเบา “เจียงเหมยอิ่ง”

“คะ?” ชั่วขณะนั้นหวงหรูหรูได้ยินไม่ชัด

“ฉันชื่อเจียงเหมยอิ่ง อย่าเรียกฉันว่าคนสวย” เจียงเหมยอิ่งพูดข้างหูหวงหรูหรูอย่างระมัดระวังด้วยเสียงแผ่วเบาทีละคำๆ เสียงของเธอเบามาก แต่ก็หนักแน่นมากเช่นกัน

แน่นอนว่าหวงหรูหรูรู้ชื่อเจียงเหมยอิ่งแล้ว แต่พอได้ยินเธอแนะนำชื่อตัวเองอย่างจริงจัง จึงยิ้มอย่างเบิกบาน

ร้านบะหมี่ที่มีรสชาติของพะโล้และน้ำซุปเก่าเป็นซิกเนเจอร์ น้ำพะโล้เก่าจะต้องต้มก่อนเปิดร้าน หลังจากนั้นจะปิดเตาไฟไม่ได้ จึงต้องการมาตรฐานในการดับเพลิงที่สูงมาก หานต้งเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ตอนรีโนเวตทั้งสองร้านต่างก็ตรวจสอบมาตรการการป้องกันอัคคีภัยให้เรียบร้อยเป็นอันดับแรก

เพื่อให้ทันเวลาเปิดกิจการรอบทดลอง หานต้งจึงไปต้มน้ำพะโล้ก่อน ติดเตาที่อยู่ในห้องครัวทั้งหมดให้ร้อน ตกแต่งโถงร้านและติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกให้เสร็จเรียบร้อย รสชาติอาหารในร้านจะต้องไม่ต่างกันมากเกินไป

เจียงเหมยอิ่งประหลาดใจนิดหน่อย

ตอนที่ตัดต่อรายการทัวร์ชิมทั่วจีนที่เป็นสัปดาห์ของร้านบะหมี่โหย่วเจียน ในนั้นมีฉากที่แนะนำวัฒนธรรมองค์กรของร้านพวกเขาด้วย

เจียงเหมยอิ่งเองรู้สึกสนใจมาก ร้านบะหมี่เล็กๆ ร้านหนึ่งยังมีวัฒนธรรมองค์กรด้วย หานต้งเป็นคนกำหนดการมีอยู่ของวัฒนธรรมองค์กร และนี่ก็เป็นหัวใจหลักในการปฏิบัติตัวของเขาด้วย

จริงๆ แล้วหัวใจหลักนั้นง่ายมาก ก็คือสองประโยคที่ว่า ‘อาหารจะคงอยู่อยู่ที่คน คนจะยิ่งใหญ่อยู่ที่ฟ้า’ จงทำอาหารและรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วยความจริงใจที่สุด

เธอเดินออกมาจากร้านและเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าด้วยจิตใจหลุดลอย นั่งรถไฟฟ้าไปยังเมืองมหาวิทยาลัย

ทำเลสาขาย่อยของร้านบะหมี่โหย่วเจียนหาง่ายมาก ตั้งอยู่ที่ช่วงเยี่ยพาร์กตรงประตูมหาวิทยาลัยบี เจียงเหมยอิ่งกำกระดาษที่เขียนที่อยู่แผ่นนั้นเอาไว้ เมื่อหาร้านสาขาย่อยเจอแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย

เธอควรทักทายหานต้งอย่างไรดี แม้ในเวยป๋อพวกเขาสองคนจะคืนดีกันแล้ว แต่พอมาเจอหน้ากันอีกก็ยังรู้สึกประหม่านิดหน่อย

ตอนนี้เธอยืนอยู่หน้าประตูร้านสาขาย่อย ขณะที่ความรู้สึกกำลังตีกันเองในใจ ก็ได้ยินเสียงของหานต้งดังมาจากข้างหลัง

“เจียงเหมยอิ่ง?”

เจียงเหมยอิ่งตกใจ หันไปเห็นหานต้งยืนอยู่ข้างหลังตนพอดี เขามองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เขาไม่ได้สวมชุดเชฟ แต่สวมชุดลำลองธรรมดาๆ ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนสีซีด เรียบง่าย หล่อเหลา ดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหานต้งที่ไม่ได้สวมชุดเชฟ เจียงเหมยอิ่งใจลอยไปชั่วขณะ

หานต้งถาม “คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับ”

ควรอธิบายอย่างไรดีล่ะ เจียงเหมยอิ่งละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง

เธอคิด แล้วอธิบายเสียงค่อย “ฉันไปที่ร้านบะหมี่ หวง…หวงหรูหรูบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ให้ฉันมาหาคุณ”

ถึงจะโยนความผิดไปให้หวงหรูหรู แต่หานต้งก็เข้าใจแผนการของเจียงเหมยอิ่ง

เขาถามเธอ “หวงหรูหรูบอกคุณว่าวันนี้ผมจะลองเตา?”

“…ค่ะ” เจียงเหมยอิ่งพยักหน้าพลางอธิบาย “ฉันก็แค่คิดว่าในเมื่ออยู่แถวนี้แล้ว ก็ลองมาดูสักหน่อยว่าร้านสาขาย่อยเป็นยังไงบ้าง รถไฟฟ้าห่างกันแค่สองสถานีเองค่ะ”

นับว่าเป็นลูกค้าประจำที่คุ้นที่คุ้นทางดี หานต้งเองก็ไม่เกรงใจแล้ว

เขาเปิดประตูกระจกของร้านแล้วเชิญเจียงเหมยอิ่งเข้าไป ปากก็พูด “เมื่อกี้ไปดูสภาพรอบๆ มา ในเมื่อมาแล้วก็กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยไปเถอะครับ”

ที่เจียงเหมยอิ่งรออยู่ก็คือคำพูดประโยคนี้นี่แหละ แม้จะรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ แต่เมื่อหานต้งวางศักดิ์ศรีลงและกล่าวขอโทษเธอ เจียงเหมยอิ่งก็ไม่ถือทิฐิแล้ว เธอเดินเข้าไปในร้าน ผนังสีครีมใหม่เอี่ยม สะอาดและมีกลิ่นหอม โต๊ะเก้าอี้ยังไม่ได้ซื้อมาจัด แต่ชุดบิลท์อินครบครัน พื้นที่ร้านกว้างกว่าสาขาหลักนิดหน่อย

เจียงเหมยอิ่งเดาได้เลยว่าอนาคตจะต้องขายดีแน่

3

เพิ่งจะเปิดประตูก็ได้กลิ่นหอมหวานเข้มข้น กลิ่นนี้เป็นเหมือนกลิ่นธีมหลักของร้านบะหมี่โหย่วเจียนสาขาหลัก นี่เป็นน้ำพะโล้ที่หานต้งคิดค้นขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จะเคี่ยวโดยไม่ดับไฟตลอดสามปี

น้ำพะโล้ดี จนถึงร้อยปีก็จะติดไฟเคี่ยวอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ก็ได้แค่ตั้งความหวัง

หานต้งเป็นคนที่มีความมานะอดทนไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เขาค้นพบเคล็ดลับของน้ำพะโล้นี้จากในสูตรอาหารต้นตำรับของซานเว่ยฟาง จากนั้นก็ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายก็เพื่อให้กลายเป็นพะโล้เคี่ยวร้อยปีในอนาคต

เขาพาเจียงเหมยอิ่งเข้าไปในครัว แนะนำน้ำพะโล้ที่จะเคี่ยวโดยไม่ดับไฟหม้อเล็กๆ ให้เธอได้รู้จัก

“ขนมาจากร้านเดิมนิดหน่อย จากนั้นก็เพิ่มวัตถุดิบใหม่ แต่รสชาติไม่เปลี่ยนครับ”

เจียงเหมยอิ่งพยักหน้า

หานต้งถามเธอ “ร้านยังตกแต่งไม่เสร็จ ยังไม่มีเมนูอาหาร คุณอยากกินอะไรล่ะครับ ขอแค่มีวัตถุดิบ ผมก็ทำได้หมด”

หานต้งกลัวว่าเจียงเหมยอิ่งจะเลือกไม่ได้ จึงเปิดตู้เย็นให้เธอดู “คุณเลือกเอาสิ”

หานต้งเชื่อมั่นในแววตาของตำรวจตัวกลมเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะทำอย่างไรเจียงเหมยอิ่งก็ละสายตาไปจากเนื้อรมควันที่อยู่ในตู้เย็นไม่ได้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเนื้อที่น่าขยะแขยงแบบนี้แต่กลับไม่มีอาการคลื่นเหียนใดๆ

ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรบ้าง

หานต้งมองตามสายตาเธอไปยังเนื้อรมควัน เขาเป็นคนนำมาเอง เดิมทีคิดว่าจะทำข้าวผัด

หานต้งถาม “ไม่งั้นทำข้าวอบหม้อดินไหมครับ”

เจียงเหมยอิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “…ฉัน…ไม่กินข้าวได้ไหมคะ”

หานต้งเล่นมุกฝืด “งั้นคุณกินหม้อ ผมกินข้าว”

“…” เจียงเหมยอิ่งยกมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มเขินและไม่ให้เสียมารยาท

ในห้องครัวโล่งกว้าง นอกจากเตากับตู้เย็นแล้ว ตรงกลางห้องก็มีโต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้สองตัวจัดวางอยู่

เจียงเหมยอิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องครัว วิวด้านนอกเป็นอีกฝั่งของถนนช่วงเยี่ยของมหาวิทยาลัยบี หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกับร้านสตาร์บัคส์พอดี ชั้นดาดฟ้าขนาดใหญ่จัดโต๊ะเก้าอี้ไว้ยี่สิบกว่าตัว นักศึกษาบางคนก็พกคอมพิวเตอร์มาทำวิทยานิพนธ์บนชั้นดาดฟ้า บ้างก็อภิปรายงานวิจัย บรรยากาศการเรียนเข้มข้น ดูแล้วเหมือนกับพวกชนชั้นนำในอนาคต

เจียงเหมยอิ่งเรียนที่มหาวิทยาลัยสื่อสารมวลชนของปักกิ่ง ต้องแช่อยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ตัดต่อวิดีโอทั้งวัน เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยบี เมื่อเห็นบรรยากาศการเรียนการสอนที่ครึกครื้นแบบนี้จึงรู้สึกอิจฉามาก เธอพูดกับหานต้ง “มหา’ลัยสวยจริงๆ เลยนะคะ”

หานต้งกำลังซาวข้าว เพราะเสียงน้ำดังกว่าเสียงของเจียงเหมยอิ่งจึงได้ยินไม่ชัด เขาปิดก๊อกน้ำแล้วถาม “คุณว่าอะไรนะครับ”

เจียงเหมยอิ่งยักไหล่ ไม่ได้พูดซ้ำ แต่มองไปที่สตาร์บัคส์แล้วกล่าวว่า “ทำไมคุณถึงได้เปิดร้านบะหมี่ล่ะคะ ครอบครัวคุณรวยขนาดนั้น แถมคุณก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวอีก มรดกของพ่อคุณก็ต้องส่งต่อให้คุณอยู่ดี ทำไมถึงออกมาเปิดร้านบะหมี่เล็กๆ แบบนี้ล่ะ”

หานต้งขมวดคิ้วน้อยๆ หันหน้าไปมองเจียงเหมยอิ่ง “ทำไมคุณถึงได้รู้เยอะแยะขนาดนี้”

แม้ว่าเรื่องที่หานต้งเป็นนายน้อยของซานเว่ยฟางจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่ในคำพูดของเจียงเหมยอิ่งเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะรู้จักพ่อของเขาดีทีเดียว

เจียงเหมยอิ่งเปิดโทรศัพท์มือถือ หาข้อมูลผู้ติดต่อที่อยู่ในประวัติการโทรแล้วเอาให้หานต้งดู

หานต้งดูแวบหนึ่ง บนนั้นพิมพ์ไว้ว่า ‘ลูกชายไม่รักดี’

เขากวาดตามองเบอร์โทรแวบหนึ่ง…หานต้งความจำดี ต่อให้ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปี แต่มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่านี่เป็นเบอร์โทรของพ่อตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบอร์นี้ยังเคยโทรมากวนเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน

“ทำไมคุณ…” หานต้งถามอย่างงุนงง

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กุมภาพันธ์ 64)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: