บทที่หนึ่ง
ทุกขึ้นสิบห้าค่ำยามพระจันทร์เต็มดวง บรรดาตัวประกันจากแต่ละแคว้นที่อาศัยอยู่ ณ แคว้นเป่ยโม่ต่างมารวมตัวอยู่ทางฝั่งตะวันออกของวังหลวงกันอย่างหนาแน่นเพื่อร่วมถวายพระพรแก่ฮ่องเต้
“ฮ่องเต้ทรงพระเมตตา จึงได้ประทานสุราชั้นดีนี้แด่องค์ชายและองค์หญิง!”
เมื่อเกากงกงพูดจบก็ยกกาที่ทำจากทองขึ้นรินสุราให้แก่องค์ชายและองค์หญิงซึ่งเป็นตัวประกันจากต่างแคว้นด้วยตนเอง
“ถวายพระพรต่อฮ่องเต้เป่ยโม่ ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ตัวประกันแต่ละแคว้นต่างกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง และยกจอกสุราขึ้นดื่มทีเดียวหมดจอก
“ขอเชิญองค์ชายและองค์หญิงทุกพระองค์ทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่ตำหนักเชียนชิวของซินฮองเฮา รอให้ทุกพระองค์เข้าเฝ้าถวายพระพร” เกากงกงกวาดสายตามองทุกคนรอบหนึ่งแล้วจึงหมุนกายเดินนำออกไป
ในตอนนี้ไม่ว่าแต่ละคนจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงจากแคว้นแดนใด เมื่อทุกคนมาถึงยังเป่ยโม่ก็ล้วนเป็นได้เพียงแค่ตัวประกันผู้หนึ่งเท่านั้น เหตุใดยังต้องมีคำพูดสวยหรูและมากมารยาทต่อกันเช่นนี้ด้วยเล่า
องค์หญิงสามแห่งแคว้นหนานฉู่ ฉู่เหลียนเฉิงจ้องเกากงกงเพียงแวบเดียว แล้ววางจอกสุราไว้ในถาดที่ขันทีผู้หนึ่งถืออยู่
“องค์ชาย นี่เป็นสุราที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ โปรดดื่มให้หมดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เหลียนเฉิงเงยหน้ามองขันทีผู้หนึ่งซึ่งกำลังพูดอยู่ตรงหน้าองค์ชายแคว้นตงหลง
ก็ใช่สิ สุราจอกนี้ไม่ดื่มได้หรือ พวกเขาเปรียบเป็นมีดเขียง เราเป็นเพียงปลาและเนื้อแท้ๆ ฉู่เหลียนเฉิงลอบถอนใจเงียบๆ
แม้องค์ชายแคว้นตงหลงจะถลึงตามองขันทีผู้นั้นด้วยความไม่พอใจเพียงใด แต่ก็จำต้องยกสุราจอกนี้ขึ้นดื่มให้หมดอย่างเสียมิได้
จากนั้นองค์ชายและองค์หญิงจากแต่ละแคว้นก็ค่อยๆ เดินไปยังตำหนักเชียนชิว พลางกระซิบกระซาบกันไปตลอดทาง
“มีแต่ผู้คนพูดว่าการแพทย์ของแคว้นหนานฉู่ล้ำเลิศ เหตุใดองค์หญิงแห่งแคว้นหนานฉู่จึงได้ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้…”
“ดูเหมือนการแพทย์ของหนานฉู่นั้นคงจะมีดีแค่ชื่อกระมัง…” ผู้ต่อบทสนทนาเหลือบตามองไปยังคนที่ถูกพูดถึง
ฉู่เหลียนเฉิงที่มีข้ารับใช้อย่างจูเซวียนเอ๋อร์คอยประคองอยู่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า สีหน้ายังคงฉายความอ่อนโยนราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้บ้างว่าองค์หญิงสามแห่งแคว้นหนานฉู่นั้นมีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่ยังเล็ก จริงๆ แล้วอาจอยู่ได้ไม่เกินอายุสิบปี แต่เป็นเพราะอยู่ภายใต้การรักษาของหมอที่มีชื่อเสียงจากที่ต่างๆ ในแคว้นหนานฉู่ ตอนนี้องค์หญิงเหลียนเฉิงจึงมีอายุครบสิบแปดปีแล้ว การแพทย์ที่ดึงชีวิตคนหลบเลี่ยงจากความตายได้เช่นนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการแพทย์ของหนานฉู่ช่วยชีวิตคนจากความตายได้เป็นเรื่องจริงแท้เพียงใด” เสียงจากชายคิ้วคมรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลังจากจบประโยคนั้นฉู่เหลียนเฉิงจึงเหลือบมองผู้พูด แล้วก็ได้พบเข้ากับไป่ซั่งเสียนองค์ชายแห่งแคว้นซีไป่กำลังส่งยิ้มกลับมาให้นาง เป็นรอยยิ้มจริงใจรอยยิ้มเดียวที่นางได้รับนับตั้งแต่มายังแคว้นเป่ยโม่นี้
“ขอบคุณองค์ชายซั่งเสียนเป็นอย่างมากที่ออกปากแทนข้า” ฉู่เหลียนเฉิงให้ข้ารับใช้คนสนิทประคองนางเดินไปด้านข้างของไป่ซั่งเสียน
“พระมารดาขององค์หญิงเหลียนเฉิงเดิมทีก็เกิดในราชวงศ์แคว้นซีไป่ มานับดูแล้วเราทั้งสองจึงต่างถือเป็นญาติห่างๆ กัน องค์หญิงไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
ไป่ซั่งเสียนค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงเพื่อเดินเคียงข้างกับฉู่เหลียนเฉิง
ขณะนั้นมีลมพัดมาวูบหนึ่ง กลีบดอกไม้ปลิวไสว ทั้งได้พัดเอากลิ่นหอมเย็นละมุนจากชุดสีขาวนวลของฉู่เหลียนเฉิงลอยตามลมมาด้วย
แขนเสื้อของชุดฉู่เหลียนเฉิงนั้นบางเบาทั้งพลิ้วสะบัดยามลมพัดผ่าน ร่างกายของนางก็ราวกับจะปลิวไปตามสายลมได้ในทุกขณะ
ไป่ซั่งเสียนเพียงเห็นเงาร่างบอบบางที่เหมือนกับจะถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อของนางก็ยื่นมือออกไปหมายช่วยประคอง
“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณความห่วงใยขององค์ชายซั่งเสียนเป็นอย่างมาก” ริมฝีปากบางของฉู่เหลียนเฉิงกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ
ไป่ซั่งเสียนลดมือลง จมูกยังได้กลิ่นยาอ่อนๆ ที่ลอยมาจากตัวของฉู่เหลียนเฉิง เมื่อเขามองร่างกายอ่อนแอผอมแห้งของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วพูด “เจ้าน่าจะรู้ว่าเหตุใดองค์ชายแคว้นตงหลงจึงไม่ยอมดื่มสุราให้หมด”
ในสุรามียาพิษ นั่นเป็นเรื่องที่ตัวประกันจากทุกแคว้นต่างรู้และระมัดระวังกันเป็นอย่างดี…
“ข้ารู้…แต่ปัญหาจริงๆ นั้นอยู่ที่จอกสุรา หาใช่ที่สุราไม่” สีหน้าของนางนิ่งเรียบไม่เปลี่ยน ดวงตาขาวดำเรียบเฉยคู่นั้นจ้องมององค์ชายแห่งแคว้นซีไป่
ไป่ซั่งเสียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเดินไปข้างกายนางทันที เขาเพียงขยับเข้าใกล้ฉู่เหลียนเฉิงอีกเล็กน้อยเพื่อสะดวกต่อการฟังเสียงที่เบาราวเสียงกระซิบของนาง
“ภายในจอกสุราได้ป้ายยาพิษที่สกัดมาจากต้นโม่เฉา เนื่องจากต้นโม่เฉามีรสชาติขม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้รสสุราขมจนดื่มไม่ได้ ดังนั้นจึงนำรสชาติของต้าชันร้อยปีมากลบรสชาติขมไว้ อีกทั้งต้าชันร้อยปียังดีต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง” ฉู่เหลียนเฉิงมองเห็นแววตาเลื่อมใสฉายชัดออกมาจากดวงตาของไป่ซั่งเสียน จึงนิ่งเฉยแล้วพูดต่อไปว่า “ข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก ทั้งข้ายังศึกษาเกี่ยวกับยาพิษและยารักษาอยู่นานหลายปี จึงนับว่าข้าพอจะมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง”
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้ายังดื่มมัน?” ไป่ซั่งเสียนขมวดคิ้วพร้อมถามออกมา
ข้าไม่ดื่มได้อย่างนั้นหรือ… ฉู่เหลียนเฉิงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป กล่าวแต่เพียงว่า “หลังจากที่พวกเราไปถึงที่ตำหนักเชียนชิวเพื่อแสดงความเคารพแล้ว ซินฮองเฮาจะพระราชทานลูกอมผิงอันให้กับทุกคน พอกินเข้าไปแล้วจะสามารถถอนพิษนี้ออกได้ถึงครึ่งหนึ่ง”
“แล้วพิษอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเล่า”
“คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถกำจัดพิษออกมาได้บางส่วนเองในภายหลัง แต่หากยังดื่มมันทุกๆ เดือน ทุกๆ ปีแล้ว ในที่สุดอายุของคนผู้นั้นก็จะสั้นลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงต้องมีการเปลี่ยนตัวประกันจากต่างแคว้นอยู่บ่อยครั้ง ท่านเองก็รู้ดีว่าในสุรามียาพิษมิใช่หรือ ถึงได้ออกปากเตือนข้า”
“พี่ห้าของข้าอยู่ที่เป่ยโม่ได้ราวๆ ห้าปีก็จากไปด้วยโรค…” เขากำหมัดแน่น โทสะอัดแน่นอยู่ในอก “คนพวกนี้ข่มเหงคนได้อย่างร้ายกาจนัก”
“ใครใช้ให้ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขืนต่อเป่ยโม่ได้กันเล่า” ฉู่เหลียนเฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย
สิบสองแคว้นในใต้หล้านี้ กำลังทหารของเป่ยโม่กลับมีถึงหนึ่งในสามของทหารทั้งหมดจากแผ่นดินทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นมีเจ็ดแคว้นได้ร่วมมือกันสู้รบกับแคว้นเป่ยโม่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะแพ้ราบคาบ ถูกกองทหารของเป่ยโม่สังหารหมู่ไปกว่าสามแสนนาย เลือดนองบนพื้นดินนานถึงสามเดือนก็ยังไม่แห้งเหือดไป
ถึงแม้ชีวิตขององค์หญิงแห่งแคว้นหนานฉู่จะมีค่ามากมายเพียงใด แต่ในตอนที่นางได้ติดตามหมอเทวดาผู้เป็นอาจารย์ของนางไปช่วยดูคนเจ็บที่กองกำลังทหารชาวหนานฉู่ในสนามรบนั้น ชีวิตของนางล้วนเทียบไม่ได้กับทหารหาญที่สิ้นชีพไปในการสู้รบ ยิ่งได้เห็นศพกองซ้อนทับกันประหนึ่งกองภูเขา กระจัดกระจายไปทั่วด้วยตาของตนเอง กลิ่นคาวเลือดและภาพน่าสลดหดหู่ใจในตอนนั้นแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว หากยังคงทำให้นางฝันร้ายเกี่ยวกับมันอยู่บ่อยครั้งจนถึงตอนนี้
หลังจากการสู้รบในครานั้น เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยของแต่ละแคว้น เป่ยโม่จึงบังคับให้ส่งตัวองค์ชายองค์หญิงมาในฐานะตัวประกัน ร่างกายของนางอ่อนแอขี้โรค เดิมทีไม่ควรเป็นนางที่มา หากแต่ผู้ที่จะสามารถสืบราชบัลลังก์แคว้นหนานฉู่ได้มีเพียงองค์หญิงทั้งสามพระองค์ แต่เมื่อเดือนก่อนองค์หญิงรองที่เคยมาเป็นตัวประกันให้เป่ยโม่นานสิบกว่าปีก็เพิ่งจากโลกนี้ไป
“หากสวรรค์มีตา ท้ายที่สุดแต่ละแคว้นบนแผ่นดินนี้อาจมีวันที่ได้รับความยุติธรรม” ไป่ซั่งเสียนกล่าวอย่างมีความหวัง
“ตอนที่กองกำลังทหารจากเจ็ดแคว้นร่วมมือกันต่อต้านเป่ยโม่ มีคนพูดถึงเรื่องความยุติธรรมหรือไม่” ฉู่เหลียนเฉิงส่ายหน้าพลางพูดช้าๆ ว่า “ผู้ชนะเป็นกษัตริย์ ผู้แพ้กลายเป็นผู้ร้าย เป็นเหตุผลที่ไม่เปลี่ยนมาตั้งแต่โบราณกาล คำว่ายุติธรรมนี้มาจากปากของราษฎร สุดท้ายแล้วทั้งท่านและข้าที่ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่กลับช่วยอะไรราษฎรของตนเองไม่ได้ ท่านไม่รู้สึกหรอกหรือว่าพวกเรามิต่างอะไรกับขอทานเลย”
ไป่ซั่งเสียนตกตะลึง มองดวงตาเป็นประกายคู่นั้นบนใบหน้าตอบผอมของนางก็ไม่อาจละสายตาออกไปได้อีก
สตรีที่แคว้นซีไป่ส่วนใหญ่จะมีจิตใจอ่อนโยน ส่วนสตรีจากตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงก็ไม่ค่อยปรากฏกายอยู่ในวงสังคม แต่ราษฎรสองในสามที่เป็นหญิงภายในแคว้นหนานฉู่กลับไม่เหมือนกัน สตรีหนานฉู่นั้นรับผิดชอบทำมาค้าขายไม่ต่างอะไรกับบุรุษ เมื่อเขามองฉู่เหลียนเฉิงที่ร่างกายเหมือนจะอ่อนแอขี้โรค แต่ก็ยังสามารถพูดวิพากษ์วิจารณ์ต่อการปกครองออกมาได้อย่างเฉียบคม ทำให้เขายิ่งรู้สึกนับถือนาง
“ความเห็นของข้าทำให้ท่านตกใจเสียแล้ว โปรดให้อภัยด้วย” ฉู่เหลียนเฉิงเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขาจึงได้โค้งตัวคำนับเพื่อเป็นการขอขมา
“ไม่…” ไป่ซั่งเสียนพึมพำเล็กน้อยแล้วเหลือบมองนางด้วยรอยยิ้ม “ที่องค์หญิงกล่าวมาล้วนมีเหตุผล ข้านั้นมีความสุขอยู่รอบกายแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่านั่นคือความสุข”
ฉู่เหลียนเฉิงยิ้มบางๆ ส่งกลับไป เข้าใจแล้วว่าองค์ชายจากซีไป่ท่านนี้เป็นเช่นที่คนเคยเล่าลือกันว่าเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ มีบุคลิกสุขุมสง่างาม และเพียบพร้อมด้วยมารยาทจริงๆ
“องค์หญิงเหลียนเฉิงเพิ่งมาถึงที่นี่ หากมีเรื่องใดที่ท่านไม่รู้หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับเมืองหลวงก็มาถามกับข้าได้” ไป่ซั่งเสียนกล่าวอย่างมีน้ำมิตร
“ขอบคุณองค์ชายมาก” ฉู่เหลียนเฉิงสังเกตเห็นคนอื่นๆ เดินกันไปไกลแล้ว จึงหยิบกล่องยาออกมาจากถุงผ้าที่นางพกติดกายแล้วรีบวางเม็ดยาลงบนมือเขา “นี่เป็นยาสมุนไพรร้อยชนิด ช่วยขับพิษ ขับลม หากท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากแบ่งปันยาให้ท่าน ยาสมุนไพรร้อยชนิดนี้ปรุงได้ยากมาก หนึ่งปีปรุงได้เพียงยี่สิบเม็ดเท่านั้น องค์ชายโปรดเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วย”
“ของล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าเก็บไว้กินเถอะ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยดี กินบำรุงตนเองให้มากหน่อยจะดีกว่า”
ไป่ซั่งเสียนอยากจะนำเม็ดยาใส่คืนมือของนาง แต่นางกลับก้าวถอยหลังก้าวหนึ่งเอามือไพล่ไปข้างหลัง
“เคยได้ยินว่าองค์ชายซั่งเสียนเป็นผู้มีจิตใจดี มีปัญญาและเฉลียวฉลาด ให้ข้าได้เป็นตัวแทนราษฎรของแคว้นซีไป่ปกป้องชีวิตของท่านเถอะ” นางกล่าวพร้อมกับจ้องมองตาเขาอย่างเปิดเผย
เห็นนางร่างกายอ่อนแอขี้โรค แต่ดวงตาบนใบหน้าของนางคู่นั้นกลับทอประกายสงบเย็นได้อยู่ เขาจึงพลั้งปากพูดออกไป
“ยาล้ำค่าเช่นนี้ เจ้าควรจะเก็บไว้ให้ดีๆ ไม่ใช่หรือ เจ้านี่…ช่างแปลกเสียจริง”
“องค์ชายกับข้าต่างไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน แต่วันนี้ท่านกลับออกตัวโต้แย้งกับองค์ชายแคว้นอื่นเรื่องที่ร่างกายข้าอ่อนแอเช่นกัน…มิใช่หรือไร”
ทั้งคู่มองตากันพร้อมหัวเราะออกมา ระหว่างที่เดินไปพวกเขาต่างได้พูดคุยหัวเราะผ่อนคลาย ราวกับเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน
ครั้นเมื่อระยะทางไปตำหนักเชียนชิวเหลืออีกเพียงไม่ถึงร้อยก้าว ฉู่เหลียนเฉิงก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมา “เครื่องหอมนี่กลิ่นออกจะแรงเกินไปหรือไม่”
ไป่ซั่งเสียนลองหายใจเข้าลึกๆ ก็ถึงกับต้องรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูก “มันหอมเกินไปจริงๆ”
“แม้เป่ยโม่มั่งคั่ง แต่กำยานกับกลิ่นชะมดก็ไม่จำเป็นต้องใช้มากขนาดนี้” นางหลับตาลง ตั้งใจสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ
“แค่ดมเจ้าก็แยกออกแล้วหรือว่าเป็นกลิ่นอะไร” เขาทำตาโต
“มีกลิ่นของกำยานกับหญ้าอ้ายเฉ่า…” ฉู่เหลียนเฉิงพยายามแยกกลิ่น แต่กลับรู้สึกว่ากลิ่นหอมรุนแรงเช่นนี้เหมือนกับกำลังกลบกลิ่นอะไรบางอย่างอยู่
“ขออนุญาตบังอาจถาม ชื่อรองขององค์หญิงเหลียนเฉิงคือหม่าอี่ใช่หรือไม่”
ไป่ซั่งเสียนเห็นนางยิ้มจนตาโค้งกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวก็พลันหัวเราะออกมา
หลังจากที่เดินไปได้สักพัก เหล่าองครักษ์ที่เดินตามตัวประกันมาก็ถูกกันให้ออกไป เหลือเพียงคนกลุ่มนี้ไว้ภายใต้ ‘ความคุ้มกัน’ ของขันที เมื่อพวกองค์หญิงองค์ชายเดินมาถึงชานบันไดตำหนักเชียนชิวต่างก็ถูกจัดเรียงให้ยืนเป็นแถว
ฉู่เหลียนเฉิงกับไป่ซั่งเสียนยืนอยู่ด้วยกัน ประสานมือโค้งตัวลงแล้วพูดพร้อมเพรียงกันว่า
“ขอฮ่องเต้เป่ยโม่มีพระพลานามัยแข็งแรง”
ขณะที่ฉู่เหลียนเฉิงกำลังโค้งตัวลงนั้น นางกลับได้กลิ่นที่ทำให้ขนลุกขนพอง กลิ่นที่แม้ในความฝันนางก็ไม่อาจลืมไปได้ นางตัวสั่นน้อยๆ ได้ยินเหล่าองค์ชายองค์หญิงแถวข้างหน้าพูดเสียงกระซิบว่า
“ได้ยินว่าฮ่องเต้เป่ยโม่ไม่ได้ออกมาว่าราชการถึงสามวันแล้ว ใครเข้าไปถวายความเคารพก็ไม่ยอมออกมา ไม่แน่ว่าสุขภาพฮ่องเต้อาจจะ…”
“ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เรามาถวายพระพร ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงออกมา เจ้าอย่าพูดจาเดาสุ่มมั่วๆ…”
เมื่อเดือนที่แล้วฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะปรากฏกายออกมา แต่ในตอนนั้นที่ตำหนักเชียนชิวกลับไม่มีกลิ่นที่ทำให้นางหวาดกลัวเช่นนี้ ฉู่เหลียนเฉิงลองกดจุดเหอกู่บนมือของนาง พยายามทำหัวให้โล่งแล้วลองสูดดมกลิ่นอีกครั้ง ถ้าหากกลิ่นหอมรุนแรงที่โชยเข้าจมูกเป็นแบบที่นางคิดไว้จริงๆ…เช่นนั้นแคว้นเป่ยโม่จะต้องเกิดความวุ่นวายเป็นแน่!
“ขอบใจองค์ชายองค์หญิงทุกแคว้นเป็นอย่างมาก เราสุขสบายดี พวกเจ้ากลับไปกันเถอะ” เสียงเบาๆ ดังออกมาจากตำหนักเชียนชิว
“ส่งเสด็จองค์ชายและองค์หญิงทุกแคว้นกลับตำหนัก” เกากงกงประกาศเสียงดังฟังชัด
เมื่อทุกคนลุกขึ้นเดินกลับออกไปกันหมดแล้ว ฉู่เหลียนเฉิงจึงค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา นางในตอนนั้นใบหน้าซีดเผือด หน้าผากปรากฏเม็ดเหงื่อเป็นจุดๆ
ไป่ซั่งเสียนสังเกตเห็นท่าทีเหมือนคนป่วยของนาง จึงรีบยื่นมือไปประคองร่างผอมบางไว้
ฉู่เหลียนเฉิงไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนางตัวสั่นจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ให้ข้าตามหมอหลวงมาดูอาการเจ้าสักหน่อยเถอะ” ไป่ซั่งเสียนถามพลางมองสำรวจใบหน้าซีดเซียวของนางอย่างเป็นห่วง
“ร่างกายข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอร้องท่าน” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่หน้าผาก
“ว่ามาสิ”
“คืนนี้องค์ชายใหญ่ของเป่ยโม่ เฮยทั่วเทียน จะกลับมาจากชายแดนทางเหนือ และจะเชิญตัวประกันแต่ละแคว้นเข้าร่วมงานเลี้ยง องค์ชายจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่” นางถามเสียงเบาพร้อมกับกำเสื้อคลุมผ้าไหมบริเวณมือของเขาแน่น
“เจ้านั่งลงก่อนค่อยว่ามาเถอะ” เห็นริมฝีปากไร้สีเลือดของฉู่เหลียนเฉิง ไป่ซั่งเสียนจึงรีบประคองนางเดินออกจากตำหนักเชียนชิวเพื่อหาที่นั่งพักสักครู่
“องค์หญิงทรงไม่สบายหรือเพคะ” จูเซวียนเอ๋อร์ข้ารับใช้ของฉู่เหลียนเฉิงเห็นดังนั้นก็รีบเร่งเดินเข้ามาหา
ฉู่เหลียนเฉิงส่ายหน้าปรามจูเซวียนเอ๋อร์ว่าอย่าเพิ่งเข้ามา นางหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาจากถุงผ้าแล้วกลืนลงไป หลังจากหายใจเข้าออกช้าๆ เพียงครู่ก็เงยหน้าจ้องไป่ซั่งเสียนแล้วเอ่ยถาม
“ข้ากับองค์ชายใหญ่ไม่เคยพบหน้ากันสักครั้ง แต่ท่านได้อยู่ที่เป่ยโม่มาหนึ่งปีแล้วน่าจะรู้จักเขา ข้าจึงอยากรบกวนท่านช่วยแนะนำให้ข้าได้เข้าพบองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่”
“เจ้า…” เฮยทั่วเทียน องค์ชายใหญ่แห่งเป่ยโม่นั้นสูงใหญ่สง่างาม ผึ่งผายโดดเด่น เป็นชายที่เหล่าสตรีราชนิกุลทั้งหลายต่างหมายปองเป็นสามี เขาคาดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ฉู่เหลียนเฉิงก็มีความคิดเช่นนั้น
“ข้าร่างกายอ่อนแอ ชีวิตนี้ไม่มีความคิดเรื่องแต่งงาน” สีหน้าของนางไม่มีเปลี่ยน ตอบคำถามของไป่ซั่งเสียนที่ปรากฏอยู่บนหน้าด้วยความสงบ จ้องมองเข้ามาที่ตาเขานิ่งๆ
“เช่นนั้นเหตุใดจึงอยากให้ข้าช่วยแนะนำเจ้าเล่า”
เฮยทั่วเทียน องค์ชายใหญ่แห่งเป่ยโม่เกิดจากฮองเฮาองค์ก่อนซึ่งมาจากสกุลเหวย สกุลเหวยนั้นมีความซื่อสัตย์ เป็นขุนนางที่มีความสามารถ ผู้นำทางทหารที่มีชื่อเสียงล้วนมาจากสกุลเหวยทั้งสิ้น เมื่อเฮยทั่วเทียนอายุครบสิบปีก็ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นไท่จื่อ แต่พอเขาอายุได้สิบสามปีเหวยฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรครุมเร้า ตอนเขาอายุสิบสี่ปีสนมคนโปรดอย่างซินซื่อ ก็ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮา นางต้องการแต่งตั้งลูกชายของตนเอง เฮยต๋าเทียนหรือองค์ชายสามขึ้นเป็นไท่จื่อแทน ดังนั้นเมื่อเฮยทั่วเทียนอายุครบสิบแปดปีแม้ไม่ถูกปลดจากตำแหน่งแต่ก็ถูกฮ่องเต้เป่ยโม่มองข้ามไม่สนใจกับตำแหน่งไท่จื่อของเขาอีกต่อไป ทั้งไม่สนใจเสียงคัดค้านจากคนส่วนใหญ่ ส่งเฮยทั่วเทียนไปเป็นเสนาธิการทัพอยู่ชายแดนทางใต้ของเป่ยโม่
ในปีนั้นเป็นปีที่ยากลำบากของเฮยทั่วเทียน เขากับท่านลุงแม่ทัพเหวยเหมินได้นำทัพเข้าสู้รบกับทั้งเจ็ดแคว้น จากนั้นมาเขาจึงกลายเป็นเทพนักรบแห่งกองทัพเป่ยโม่
“ข้าเคยได้ยินว่าองค์ชายใหญ่เคยเดินทางไปทั่วแผ่นดิน จึงอยากถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแคว้นหนานฉู่จากเขาเท่านั้น” ฉู่เหลียนเฉิงรู้ดีแก่ใจว่าคำพูดพวกนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ทั้งภาวนาให้ไป่ซั่งเสียนที่แม้รู้ว่านางบ่ายเบี่ยงคำตอบก็ยังรับนางเป็นสหายอยู่
ไป่ซั่งเสียนจ้องนางเพียงครู่ บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่ยังคงพูดต่อไป “ข้าจะช่วยแนะนำให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยองค์ชายซั่งเสียน” ฉู่เหลียนเฉิงก้มตัวคำนับ
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ขอเพียงคราวหลังเจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ ที่ชีวิตข้าสามารถอยู่ต่อได้นานอีกสักหน่อยนี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณของเจ้า พวกเราตอนนี้จึงนับว่าได้ร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว” ไป่ซั่งเสียนพูดพลางหัวเราะ
ฉู่เหลียนเฉิงเองก็พลันหัวเราะออกมาด้วย รอยยิ้มนั้นทำให้ผิวที่ขาวซีดจนแทบสว่างของนางมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่ริมฝีปากยังขึ้นสีอ่อน กอปรกับความฉลาดหลักแหลมมีไหวพริบ ทั้งหมดนั้นล้วนทำให้ไป่ซั่งเสียนละสายตาไปจากนางไม่ได้เลย
คืนงานเลี้ยงของเฮยทั่วเทียนองค์ชายองค์โตของฮ่องเต้เป่ยโม่ถูกจัดขึ้นที่ป่าร้อยบุปผาซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวังหลวง และในช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกอิงฮวากำลังผลิบานงามสะพรั่ง และยังมีโคมไฟสีแดงนับร้อยแขวนอยู่ข้างๆ ต้นอิงฮวา ช่วยขับให้สีชมพูของดอกอิงฮวายิ่งงดงามและอ่อนหวานมากขึ้น
เฮยทั่วเทียนสวมชุดคลุมสีดำปักลายเมฆคู่สลับสี บนศีรษะประดับด้วยเกี้ยวทอง มีกระบี่เหน็บอยู่บนสายรัดเอวซึ่งมีสีเดียวกับชุด กำลังกวาดสายตามองตัวประกันต่างแคว้นตรงหน้า
งานเลี้ยงทุกๆ ปีล้วนมีเสด็จพ่อเป็นประธาน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วกลับกลายเป็นองค์ชายสามเฮยต๋าเทียนมาแทน แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าเหตุอันใดหน้าที่นี้จึงตกมาอยู่ที่เขาเสียได้ กล่าวกันว่าเพราะเขาเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน จึงให้มางานนี้เพื่อให้เขาได้สานสัมพันธไมตรีกับองค์ชายองค์หญิงจากแต่ละแคว้น
ซินฮองเฮาน่ะหรือพยายามช่วยให้ข้าได้มีสัมพันธ์อันดีกับแคว้นอื่น!
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสด็จพ่อไม่ได้ออกว่าราชการ แต่ครั้งนี้ดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนสอดแนมของเขาที่แฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ได้นำข่าวเรื่องจยาผิงโหว พี่ชายของซินฮองเฮานำทัพจากชายแดนกลับสู่วังหลวงมารายงานกับเขาแล้ว
คิดๆ ดูแล้วหลายวันมานี้เขาไปที่ตำหนักเชียนชิวเพื่อขอเข้าเฝ้า แต่กลับไม่เคยได้พบหน้าเสด็จพ่อหรือได้พูดคุยกันเลยสักคำ ยังดีที่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงได้เข้าไปถวายการตรวจให้เสด็จพ่อทุกวัน หากเกิดเหตุอะไรขึ้นจริงๆ ซินฮองเฮาคงไม่กล้ากำเริบเสิบสานถึงกับปิดบังความจริงขนาดนั้น
เพียงแต่ร่างกายของเสด็จพ่อทรุดโทรม เมื่อคิดดูก็คงเหลือเวลาไม่มากแล้ว ซินฮองเฮาจึงได้เริ่มจัดแจงให้จยาผิงโหวนำทัพมาทางตะวันตกแล้วคิดใช้แผนบีบบังคับให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ นางเริ่มเดินหมากได้ คิดว่าเขาจะทำเช่นเดียวกันไม่ได้อย่างนั้นหรือ ท่านลุงแม่ทัพเหวยเหมินมีกองทหารจากชายแดนทางใต้อยู่สามแสนนาย ทหารจากกองกำลังรักษาวังอีกสามหมื่นนายซึ่งต่างก็มีคนสนิทของเหวยฮองเฮาเป็นผู้นำ หากสกุลซินอยากลองสั่นคลอนใต้หล้า เกรงว่าจะต้องเพิ่มแรงให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย
เฮยทั่วเทียนยกจอกเหล้าขึ้นดื่มหมดภายในจอกเดียว พร้อมกับเมินเฉยต่อสายตาชื่นชมจากผู้คนตรงหน้า
“องค์ชายทั่วเทียน” ไป่ซั่งเสียนก้าวเท้าออกมาพร้อมคำนับ
“องค์ชายซั่งเสียน” เฮยทั่วเทียนวางจอกเหล้าลง “ช่วงนี้สบายดีหรือ”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฉู่เหลียนเฉิงที่ยืนห่างจากไป่ซั่งเสียนเพียงไม่กี่ก้าวก็กำลังมองไปทางองค์ชายใหญ่ของฮ่องเต้เป่ยโม่
ใต้หล้าในยามนี้มีชายหนุ่มรูปงามหลายคนงดงามราวหญิงสาว แทบแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง เดิมทีนางคิดว่ารูปโฉมของเฮยทั่วเทียนจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นน่าจะโดดเด่นเป็นสง่าดั่งเทพชั้นฟ้า ไม่คาดคิดเลยว่าการพบเจอกันในวันนี้เขากลับต่างจากที่นางคิดไปมาก บุรุษเบื้องหน้านั้นมีดวงตาคมดุจเหยี่ยว ใบหน้าเย็นชา ดวงตาใต้คิ้วเข้มของเขาฉายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ออกมา ทั้งแฝงกลิ่นอายของกษัตริย์ที่น่าเกรงขามไว้ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ที่ได้พบเจอมิอาจละสายตาไปได้
“…ข้าขอแนะนำท่านให้รู้จักกับองค์หญิงสามฉู่เหลียนเฉิงแห่งแคว้นหนานฉู่” ขณะที่ไป่ซั่งเสียนกำลังแนะนำอยู่นั้นเขาก็หันหน้าไปทางฉู่เหลียนเฉิง
“คารวะองค์ชายเฮยทั่วเทียน” ฉู่เหลียนเฉิงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวพร้อมประสานมือคารวะ
เฮยทั่วเทียนมองไปยังหญิงสาวรูปร่างผอมเจ้าของชื่อที่เขาสังเกตได้ถึงอาการที่มองเขาจนนิ่งงันตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว สีหน้าเขาไม่เปลี่ยน พลันเอ่ยถามนิ่งๆ “องค์หญิงเหลียนเฉิงดูท่าทางอ่อนเพลีย ให้ข้าตามหมอหลวงมาดูอาการท่านสักหน่อยดีหรือไม่”
“องค์ชายอาจแคลงใจว่าการแพทย์ของหนานฉู่นั้นชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เหตุใดตัวข้าจึงดูอ่อนแอเช่นนี้” ฉู่เหลียนเฉิงสบตาเฮยทั่วเทียนด้วยความสงบ
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น องค์หญิงอย่าทรงคิดมากเลย”
ถ้าองค์หญิงแห่งหนานฉู่จะตาย ก็มิได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลยสักนิด
ฉู่เหลียนเฉิงไม่คิดว่าเฮยทั่วเทียนจะไม่ใส่ใจในคำพูดของนาง จึงทำได้เพียงฝืนพูดต่อไปว่า “แท้จริงแล้วการแพทย์ของหนานฉู่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนตื่นใจยิ่งนัก เพราะเพียงแค่จับชีพจรก็จะสามารถรู้ถึงชะตาชีวิตได้”
หลังจากที่เฮยทั่วเทียนยกจอกขึ้นมาดื่ม ดวงตาคมดุจพญาอินทรีนั้นสบสายตาเข้ากับนางพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน”
“หากองค์ชายทรงอนุญาต โปรดให้ข้าตรวจชีพจรท่านดูได้หรือไม่”
“หากเป็นโชคชะตาย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลง หากเปลี่ยนแปลงได้ นั่นไม่อาจเรียกว่าโชคชะตา” หลังจากเฮยทั่วเทียนลอบมองหญิงสาวร่างกายอ่อนแอที่ทั้งใบหน้า ตา จมูก ปากยังเป็นเครื่องหน้าที่ใสสะอาดราวกับเพิ่งล้างหน้ามา เขาพลันคิดในใจว่านางนั้นช่างไม่รู้จักเจียมตนเอาเสียเลย จึงเอ่ยปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ไม่ต้องหรอก”
“โชคชะตานั้นเป็นเพียงโอกาส หากว่ามีโอกาสที่ดีรออยู่ข้างหน้าแต่คนเราไม่รู้จักคว้าไว้ ก็เหมือนกับการฝืนโชคชะตา จุดจบอันน่าเศร้าอาจได้เห็นกันในไม่ช้าไม่เร็วนี้” ฉู่เหลียนเฉิงเอ่ยแฝงความนัย
เฮยทั่วเทียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของนาง เขาพบแต่เพียงความไม่ยินดียินร้ายภายในแววตาน่าเกรงขามคู่นั้น เขาเผลอเหลือบไปมองร่างของนางอยู่หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่านางผอมจนแทบจะเห็นกระดูก แต่แววตากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ เขาไม่เคยพบเจอหญิงสาวนางใดใช้สายตาแบบนั้นมองมาที่เขาเลยสักครา
“เพิ่มที่นั่งข้างๆ ข้าที่หนึ่ง” เฮยทั่วเทียนหันไปเอ่ยกับขันที พลางผายมือไปด้านข้างตนเองเล็กน้อย “เชิญ”
ฉู่เหลียนเฉิงไม่ใส่ใจต่ออากัปกิริยาเหยียดหยามของเฮยทั่วเทียน เพียงส่งยิ้มขอบคุณไปให้ไป่ซั่งเสียน แล้วจึงยกชายกระโปรงเดินไปนั่งบนที่นั่งที่เพิ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้
หลังจากไป่ซั่งเสียนมองนางเพียงครู่หนึ่งจึงล่าถอยออกมา
เฮยทั่วเทียนมองฉู่เหลียนเฉิงซึ่งกำลังหย่อนกายลงนั่ง ภายใต้แสงเทียนในยามราตรี อาภรณ์สีขาวนวลบนร่างของนางตัดกับแสงเทียนและสีชมพูของดอกอิงฮวาในยามค่ำคืน ขับให้นางช่างดูสดใสยิ่งนัก
เขาไม่รู้ว่าฉู่เหลียนเฉิงกำลังพยายามทำอะไร เพียงแต่มองจากใบหน้าธรรมดากับกลิ่นยาเย็นๆ บนกายนางแล้ว เขาก็รู้สึกอีกครั้งว่านางนั้นช่างไม่เจียมตนเสียจริงๆ
“คารวะให้ท่านหนึ่งจอก” เฮยทั่วเทียนก้มหน้าลงพร้อมยกยิ้มให้นาง ดวงตาดำขลับจับจ้องดวงตาของนางไว้นิ่ง
ฉู่เหลียนเฉิงมองใบหน้ายิ้มแย้มของเขา ในอกพลันหายใจติดขัด โรคเดิมของนางแค่แสดงอาการออกมาเท่านั้น นางค่อยๆ ควบคุมจังหวะการหายใจแล้วจึงยิ้มกลับไปตอนที่ยกจอกเหล้ามาใกล้กับปากพร้อมกับใช้ระดับเสียงที่เขาและนางได้ยินกันเพียงสองคนว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะทูลองค์ชาย โปรดให้เริ่มการแสดงเถิด”
เฮยทั่วเทียนลอบมองท่าทีที่นิ่งสงบของนางอย่างไม่ไว้ใจ หลังจากนั้นจึงให้เหล่าขันทีถอยออกไป ดนตรีจึงได้เริ่มบรรเลงขึ้นมาจากทั้งสองฝั่ง นางรำร่ายรำอ่อนช้อยงดงามดั่งดอกอิงฮวาที่ร่วงหล่นลงมา เป็นที่น่าประทับใจยิ่ง
“ว่ามาสิ” เฮยทั่วเทียนว่าพร้อมยกจอกเหล้าขึ้นมาที่ปากส่วนสายตามองการแสดงร่ายรำตรงหน้า
“ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายโปรดสงวนท่าทีไว้ อย่าได้แสดงอาการอันใดออกมา” ฉู่เหลียนเฉิงแสร้งยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่ม พลางพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว”
เฮยทั่วเทียนเงยหน้ายกจอกเหล้าดื่มจนหมด ขันทีเตรียมที่จะเข้ามาเติมเหล้าให้แต่เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ถอยไป
“เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าจะตรวจชีพจรให้ข้า” เฮยทั่วเทียนวางแขนลงบนโต๊ะแคบๆ
“ขอบพระทัยองค์ชายที่เชื่อใจข้า” ฉู่เหลียนเฉิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้มือหนึ่งจับชีพจร
“เจ้ารู้ได้เช่นไร” เฮยทั่วเทียนแทบไม่ขยับปากพลางถามขึ้นมา
“วันนี้ข้าไปที่ตำหนักเชียนชิว เห็นรถม้าอยู่ด้านนอก แม้จะได้กลิ่นหอมในบริเวณรอบๆ นั้นแต่มันกลับกลบกลิ่นน้ำยาแช่ศพไว้ไม่ได้เลย หากรถม้ายังอยู่ในตำหนักเชียนชิว ใครกันที่กล้าซ่อนศพไว้ข้างใน ซึ่งก็มีเพียงข้อสันนิษฐานเดียว…” ฉู่เหลียนเฉิงแสร้งหลับตา ตั้งใจตรวจชีพจร
“พวกเขากำลังปิดบังข่าวการตายของเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ” เฮยทั่วเทียนสอดมือลงไปใต้โต๊ะแล้วกำหมัดแน่น
“หรือท่านจะลองสืบดูเองก็ได้” นางช้อนสายตาขึ้นมองเขา
เฮยทั่วเทียนเม้มริมฝีปาก ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจยาผิงโหวต้องเร่งนำกองทัพกลับเมืองหลวง เหตุใดที่ในงานเลี้ยงคืนนี้เฮยต๋าเทียนไม่ได้มาปรากฏตัวขึ้น
“ถ้าหากข่าวของเจ้ามันผิดเล่า…” ดวงตาดำขลับของเขาจ้องเขม็งมาที่นางราวกับจะฆ่ากันให้ตายเดี๋ยวนั้น
ฉู่เหลียนเฉิงกำมือแน่น พยายามไม่แสดงอาการหวั่นเกรงต่อสายตาเย็นเยียบของเขา
“แม้จะผิดพลาด ท่านก็ทำได้เพียงแค่เชื่อใจข้าแล้ว พระปรีชาสามารถขององค์ชายนั้นล้วนเป็นที่รู้กันดีในใต้หล้า ในตอนนั้นเพราะฮ่องเต้เสี่ยงถูกเหล่าขุนนางต่อต้าน จึงได้ไม่กล้าปลดท่านออกจากตำแหน่งไท่จื่อแต่กลับเลือกส่งท่านไปยังชายแดนแทนนั้น ใช่ว่าท่านจะไม่รู้เหตุผลนี้ แต่หากวันหนึ่งซินฮองเฮาสามารถซื้อใจทุกคนและส่งให้องค์ชายสามเป็นฮ่องเต้ได้ หรือหากฮ่องเต้ทรงทิ้งราชโองการไว้ว่าให้องค์ชายสามสืบทอดบัลลังก์ และมีเหล่าขุนนางที่ไม่ศรัทธาในตัวท่านสนับสนุนเขา ท่านคงทำได้แค่ตั้งกองทัพมาก่อกบฏ ซึ่งไม่ช้าหรือเร็วก็จำเป็นต้องทำอยู่ดี”
พูดจบนางก็ยิ้มแย้มและพูดถึงสภาพชีพจรของเขาแล้วจึงชักมือที่ตรวจชีพจรกลับ
เฮยทั่วเทียนมองสีหน้าและท่าทีที่นิ่งสงบของนางก็รู้สึกประทับใจ ในตอนที่เขาจงใจขู่ให้หวาดกลัวนั้นน้อยคนนักที่จะไม่รู้สึกเกรงกลัว
“เหตุใดเจ้าจึงช่วยข้า”
“ช่วยท่านก็เหมือนกับได้ช่วยตัวข้าเองด้วย”
“บุญคุณไม่ลืม ขอไม่ไปส่ง”
เฮยทั่วเทียนพูดจบ ฉู่เหลียนเฉิงก็ลุกขึ้นคำนับ แล้วจึงเดินไปหาไป่ซั่งเสียนที่คอยจับตามองพวกเขาทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
องค์ชายใหญ่จิบเหล้ามองการแสดงแสร้งทำเหมือนไม่มีเรื่องอันใดผิดแปลก หลังจากคิดวางแผนภายในใจว่าเขาจะเกณฑ์คนและม้ามาภายในหนึ่งคืนนี้ได้อย่างไรแล้วจนเสร็จสิ้น จึงเรียกให้ขันทีเข้ามาเติมสุรา และแอบส่งต่อเรื่องนี้อย่างลับๆ แก่เสนาบดีฝ่ายซ้าย สมุหกลาโหม หัวหน้ากองกำลังรักษาวังและหัวหน้าทหารสำนักราชวัง
จากนั้นครึ่งชั่วยามวังหลวงก็ถูกโอบล้อมไปด้วยองครักษ์หลวงที่สวมชุดดำทั้งตัวกับชุดเกราะเต็มยศกว่าหมื่นนาย ป้องกันประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ ไม่ให้ใครเล็ดลอดเข้ามาได้ บริเวณที่ใกล้กับวังหลวงมากที่สุดยกให้เป็นหน้าที่ของโม่ชิงคนที่เฮยทั่วเทียนไว้ใจให้เป็นผู้ส่งสารลับและยกกองทัพกว่าสองหมื่นนายมุ่งหน้ามารวมตัวกันที่ด้านนอกคูเมืองของวังหลวง นอกจากนี้ยังมีม้าเร็วที่นำคำพูดของเฮยทั่วเทียนมุ่งไปทางชายแดนทางใต้ให้นำกองกำลังทหารมาเสริม
จึงกล่าวได้ว่าในคืนดึกสงัดทว่าผู้คนมิอาจหลับใหล…
ยามสามกองกำลังรักษาวังกว่าสามร้อยนายค่อยๆ กระจายตัวไปรอบบริเวณประตูทางออกของตำหนักเชียนชิวในทุกจุดกันอย่างเงียบเชียบ
เฮยทั่วเทียนสวมเครื่องแบบทหาร หมวกเหล็กและเสื้อเกราะสีดำ ดวงตาเยียบเย็นสะท้อนกับแสงจันทร์ยืนแผ่รังสีอำมหิตอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก ฟางกัง แม่ทัพกองกำลังรักษาวังมีสีหน้าขึงขังยืนอยู่ด้านข้างของเฮยทั่วเทียน
ที่หน้าตำหนักมีขันทีกว่าสิบคนและทหารที่จงรักภักดีต่อซินฮองเฮายืนประจันหน้าอยู่ พอทุกคนได้เห็นศึกในครั้งนี้ก็ว้าวุ่นเคร่งเครียดจนอยากเข้าไปกราบทูลผู้ที่อยู่ด้านใน
เฮยทั่วเทียนยกมือขึ้นให้สัญญาณแก่กองกำลังรักษาวังให้รีบเคลื่อนกำลังออกมา
“เจ้าโจรโอหัง! ยังไม่รีบไสหัวออกไปจากตำหนักเชียนชิวกันอีก” เฮยทั่วเทียนตะโกนเสียงดังฟังชัด
“เจ้าโจรโอหัง! ยังไม่รีบไสหัวออกไปจากตำหนักเชียนชิว!”
กองกำลังรักษาวังประสานเสียงตะโกนพลางเคลื่อนทัพพร้อมอาวุธในมือไปข้างหน้า ราวกับทำให้ตำหนักเชียนชิวทั้งตำหนักสั่นสะเทือน
“ใครกันที่มันบังอาจ! แน่มากที่กล้ามาก่อกวนฮ่องเต้” ในตำหนักมีคนตะโกนออกมา
“ได้ยินว่ามีโจรล้อมบีบบังคับฮ่องเต้ พระองค์ได้โปรดเสด็จออกมา ให้กระหม่อมได้สบายใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฟางกังตอบเสียงดัง
ภายในวังหลวงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้มีเสียงตอบกลับออกมา
“บังอาจ!”
พอเฮยทั่วเทียนได้ยินว่าเป็นเสียงของเสด็จพ่อก็ขมวดคิ้วเข้ม
ฟางกังหันไปมองทางองค์ชายด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เสด็จพ่อ ท่านสุขสบายดีหรือไม่” เฮยทั่วเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“เรา…เราสบายดี เจ้ายังไม่ถอยไปอีกหรือ เราเป็นคนที่พวกเจ้าอยากจะเข้าพบก็เข้าพบได้อย่างนั้นหรือ!”
ตอนนี้เองที่เฮยทั่วเทียนได้ยินน้ำเสียงคนที่พูดอยู่กำลังสั่นเครือ เขารู้ได้ในทันทีว่ามีคนสวมรอยเป็นเสด็จพ่อ หากน้ำเสียงไม่สั่นก็คงเลียนแบบได้สมบูรณ์จนเขาเกือบหลงเชื่อแล้วจริงๆ
เฮยทั่วเทียนหันไปบอกฟางกัง “นั่นไม่ใช่เสียงเสด็จพ่อข้า”
“องค์ชายแน่ใจหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฟางกังถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตาสีดำเยียบเย็นของเฮยทั่วเทียนนั้นจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่มั่นคง “หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะบุกเข้าไปช่วยเสด็จพ่อข้างใน โทษเป็นโทษตายนี้ข้าขอรับผิดชอบไว้เอง”
ฟางกังมิได้มองคนผู้นี้ในฐานะองค์ชายใหญ่ เขามองเพียงความดีความชอบจากการได้รบเพื่อเป่ยโม่เท่านั้น อีกทั้งพวกเขานับเป็นมิตรสหายที่ร่วมผ่านศึกสงครามมาด้วยกันจึงเลิกคิ้วพูดว่า “ผู้คนมากันที่นี่หมดแล้ว กองหนุนก็คงต้องให้องค์ชายเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียว!”
เฮยทั่วเทียนยกยิ้มมุมปาก ชักกระบี่คมออกจากฝักเป็นแสงสว่างวาบ “ช่วยฮ่องเต้!”
“ช่วยฮ่องเต้!” ฟางกังตะโกนสุดเสียง ยกแขนขวาขึ้นมาเป็นสัญญาณให้คนข้างหลัง
“ช่วยฮ่องเต้!” กองกำลังรักษาวังในชุดสีดำตะโกนพร้อมเพรียง ทหารกว่าร้อยนายก้าวเดินไปข้างหน้าเรียงกันดุจกำแพงเหล็กกล้า ประชิดประตูตำหนักเชียนชิว
ประตูตำหนักสีทองสลับแดงนั้นขวางอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกทหารกองกำลังรักษาวังเปิดออกได้
เฮยทั่วเทียนและฟางกังใช้กระบี่ยาวในมือต่อสู้ทั้งจากทางด้านหน้าและด้านหลังเพื่อเข้าไปในตำหนัก องครักษ์กว่าร้อยนายที่เฝ้าตำหนักเชียนชิวเข้ามาด้านในประหนึ่งน้ำที่หลากทะลัก
“ตอนนี้ในตำหนักเชียนชิวราวกับสมรภูมิสงคราม หากพูดว่าไม่มีอะไร ใครจะเชื่อเล่า!” เฮยทั่วเทียนยิ้มเยือกเย็น พร้อมใช้กระบี่ในมือสังหารคนไปอีกหลายชีวิต
สายตาของเฮยทั่วเทียนจับจ้องไปยังเงาของขันทีที่กำลังคิดจะหลบหนีออกไป จากนั้นจึงได้ส่งสายตาไปยังฟางกังแล้วทั้งคู่ก็เดินหน้าไปพร้อมกัน
“เสด็จพ่อ ลูกมาช่วยท่านช้าไป!” เฮยทั่วเทียนร้องออกมา
“ฝ่าบาท!” ฟางกังตะโกน
ยามนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน “บะ…บังอาจ…ยะ…ยังไม่รีบถอยไปอีก!”
“เจ้าชั่วช้าบังอาจยิ่งนักมาสวมรอยเป็นเสด็จพ่อ! โทษมหันต์เช่นนี้ถูกสับเป็นหมื่นชิ้นก็ยังไม่พอ!” เฮยทั่วเทียนตะโกนเสียงดัง กระบี่ยาวในมือตวัดฆ่าคนที่พยายามขวางอยู่เบื้องหน้าไม่หยุด
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งผสมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคนที่ถูกกระบี่ตวัดผ่านร่างกายดังไปทั่วตั้งแต่โถงด้านนอกไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ด้านในตำหนัก
องครักษ์กับขันทีในตำหนักไม่มีใครมีชีวิตรอดสักคน ฟางกังและกองกำลังรักษาวังค่อยๆ ตีฝ่าไปถึงประตูชั้นใน เฮยทั่วเทียนถือกระบี่เดินเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมฉุนพร้อมกับกลิ่นเหม็นคละคลุ้งตีเข้ามาพร้อมกัน
เขายกแขนเสื้อคลุมขึ้นมาปิดจมูกด้วยเกรงว่ากลิ่นนี้อาจจะเป็นยาพิษแล้วค่อยเดินต่อไป จึงได้พบที่มาของกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนนั้น
เสด็จพ่อของเขานอนเหยียดกายอยู่บนเตียง ใบหน้าเขียวช้ำ มีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด* เสื้อคลุมมังกรเปียกชุ่มไปด้วยน้ำยาแช่ศพ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา
ขันทีผู้หนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นหมอบกราบขอร้องให้ประทานอภัยซ้ำๆ
“ฝ่าบาทโปรดฟื้นขึ้นมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ! โปรดฟื้นคืนชีพด้วยเถิด!”
“เป็นเจ้าที่สวมรอยปลอมเสียงเป็นเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ!” เฮยทั่วเทียนวางกระบี่ไว้ที่คอของขันทีผู้นั้น
“กระหม่อมได้รับพระบัญชามาจากฮองเฮาและองค์ชายสาม…”
“โอหัง!” ฟางกังยกกระบี่ขึ้นหมายจะตัดหัวของชายผู้นั้น
เกร๊ง! เฮยทั่วเทียนยกกระบี่ขึ้นขวางฟางกัง
“หากเจ้าสารภาพความจริงเรื่องที่สมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮาและองค์ชายสามโดยละเอียด สภาพศพของเจ้าจะอยู่ครบถ้วน” เฮยทั่วเทียนกล่าว
“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย! หลายครั้งที่กระหม่อมคิดอยากจะหลบหนีไปแจ้งข่าวให้แก่พระองค์ แต่เกากงกงเอามีดมาจี้คอแล้วข่มขู่กระหม่อม…”
“พูดมากจริง อยากให้ข้าสั่งประหารเจ้าด้วยรถม้าแยกร่างหรือ!”
ใบหน้าขันทีพลันซีดเผือด ตัวสั่นพูดจาแทบจะไม่เป็นคำ ทำเพียงแค่หมอบโขกศีรษะร้องขอชีวิต
เฮยทั่วเทียนให้กองกำลังรักษาวังคุมตัวขันทีผู้นี้ไป แล้วหันหน้าที่ปราศจากอารมณ์ของตนมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเสด็จพ่อที่ตายตาไม่หลับ ใบหน้าอืดบวมอยู่บนเตียงแกะสลักสีทองเก่าแก่
ด้วยหลงใหลในกามารมณ์ ริษยาชื่อเสียงของลูกชาย กลัวข้าจะแย่งชิงตำแหน่งของท่าน และเพราะต้องการรวมแผ่นดินไว้จึงไม่กล้าทำให้อาจารย์ที่ชายแดนใต้ไม่พอใจ ส่งข้าไปเป็นแม่ทัพ บอกให้ข้าเอาดีทางด้านแม่ทัพตามรอยสกุลเหวย แต่ท่านคงคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะถูกใช้เป็นหนึ่งในหมากของแผนการแล้วต้องมาจบชีวิตลงในตำหนักเชียนชิวเช่นนี้ แม้แต่ศพก็ไม่มีใครมาจัดการดูแล
“พวกลิ่วล้อที่เหลือจับมาได้หมดหรือยัง” เฮยทั่วเทียนละสายตาจากร่างบวมอืดของเสด็จพ่อแล้วหันไปถามฟางกัง
“ด้วยความสามารถของคนของข้าแล้ว น่าจะใกล้เรียบร้อย…” ฟางกังยังพูดไม่ทันจบ ลูกน้องของเขาก็เข้ามา
“รายงานท่านแม่ทัพ! เพิ่งจับฮองเฮา องค์ชายสาม และเกากงกงที่กำลังจะหลบหนีออกไปทางประตูด้านหลังได้ขอรับ” ทหารคุมตัวทั้งสามคนมาข้างหน้า แล้วบังคับพวกเขาให้คุกเข่าลงตรงหน้าเฮยทั่วเทียน
เฮยทั่วเทียนชักกระบี่ออกมาบั่นคอเกากงกงทันที
ซินฮองเฮาเบิกตากว้างกรีดร้องเสียงดังเมื่อมองเห็นหัวของเกากงกงที่กลิ้งมาอยู่ตรงหน้า พยายามกระถดร่างถอยหลังหนี
“ซินซื่อ เจ้าจะยอมรับโทษที่บังอาจสังหารฮ่องเต้หรือไม่!” เฮยทั่วเทียนดวงตาเหมือนมีประกายไฟออกมาพร้อมถามเสียงเย็น
“ฮ่องเต้ไม่ได้สวรรคตเพราะข้า! ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารแล้วก็ล้มลง พวกข้ายังไม่ทันตามหมอหลวง ลมหายใจของฝ่าบาทก็หมดไปเสียแล้ว…” ซินฮองเฮามีสีหน้าตื่นตระหนก ปิ่นดอกไม้ที่ปักอยู่บนผมยุ่งเหยิงไหวไปมา น้ำตาไหลอาบแก้มไปทั่วดวงหน้างามของนาง
“ซินซื่อผู้ร้ายกาจ และลูกชายชั่วเฮยต๋าเทียนร่วมกันปกปิดเรื่องการสวรรคตของฮ่องเต้ ทำเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่!” เฮยทั่วเทียนตะคอกถามอีกครั้ง น้ำเสียงทรงอำนาจเกรี้ยวกราดทำให้ซินฮองเฮาตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งบนพื้น
“ก่อนเสด็จพ่อจะสวรรคตได้มีราชโองการ ให้ข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้!” เฮยต๋าเทียนจ้องเขาด้วยสายตารวดร้าว
“ราชโองการ? เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้ากับแม่สองคนที่ปลอมแปลงมันขึ้น…” เฮยทั่วเทียนพูดเสียงเย็นพร้อมหันไปทางฟางกัง
ฟางกังไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักกระบี่ออกมาแทงทะลุหน้าอกองค์ชายสามสิ้นลมภายในดาบเดียว
“ข้าขอเป็นตัวแทนฟ้าดินกำจัดคนชั่ว องค์ชายสามปิดบังเรื่องฮ่องเต้สวรรคต อีกทั้งลอบสังหารองค์ชายใหญ่!” ฟางกังพูดเสียงดัง
“ลูกชายข้า!” ซินฮองเฮารีบใช้มือและเข่าคลานไปข้างหน้า โอบกอดศพลูกชายไว้ไม่ยอมปล่อย
“ทหาร! คุมตัวนางไปคุกหลวง!” เฮยทั่วเทียนใช้สายตาเยียบเย็นมองสตรีที่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ทำร้ายและฆ่าแกงคนที่จงรักภักดีต่อเขาไปนับไม่ถ้วน
ซินฮองเฮาถูกทหารกองกำลังรักษาวังลากตัวออกไป นางตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าจะต้องได้ชดใช้!”
เฮยทั่วเทียนยิ้มเย็น เก็บกระบี่ในมือลงฝัก เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองตำหนักเชียนชิวอีก
หลังจากนั้นขุนนางที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง ข่าวอันน่าตกตะลึงที่มีขันทีปลอมเสียงเป็นฮ่องเต้ถูกปล่อยออกไป อีกทั้งภาพน่าหดหู่ภายในตำหนักเชียนชิว ล้วนทำให้ทุกคนเข่าอ่อนลมจับกันถ้วนหน้า แต่กระนั้นก็ยังพากันเร่งรีบไปที่ตำหนักของเฮยทั่วเทียนไม่ได้หยุด เนื่องจากแผ่นดินไม่อาจไร้ฮ่องเต้แม้เพียงคืนเดียว จึงถวายพระพรขอให้องค์ชายใหญ่สืบราชบัลลังก์ต่อไป แล้วจึงค่อยเลือกวันมงคลเพื่อจัดพิธีราชาภิเษกขึ้น
คืนนั้น ฉู่เหลียนเฉิงซึ่งกำลังคาดเดาสถานการณ์ภายในวังไปต่างๆ นานาจนทำให้ตนเองนอนไม่หลับ ภายในหัวเป็นภาพวนเวียนถึงตอนที่ตนกำลังวัดชีพจรให้เฮยทั่วเทียนที่งานเลี้ยงดอกอิงฮวา
ตอนนั้นนางได้บอกเรื่องราวอันน่าตกใจขนาดนั้น แต่ชีพจรของเขากลับเต้นแรงขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วจึงค่อยกลับมาสงบอย่างเดิมเช่นเดียวกับสีหน้าของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักนิดตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นได้ชัดเจนว่าเขามีความสุขุมลุ่มลึกมากเพียงใด
หรือบางทีเขาอาจจะคาดการณ์ได้ว่าจะต้องมีวันนี้ เขาจึงพร้อมจัดการให้เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมเพียงแค่รอเวลาและโอกาสก็เท่านั้น
แม้บุรุษผู้นั้นจะวางตัวเป็นองค์ชาย ครั้นถึงยามที่เขาไร้น้ำใจก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเมตตาใดๆ เหมือนในปีนั้นที่มีการต่อสู้กับเจ็ดแคว้น ตัวเขาเป็นถึงแม่ทัพเป่ยโม่ ได้ประหัตประหารผู้คนไปกว่าร้อยกว่าพันชีวิต ฉายาเทพแห่งสงครามของเขานั้นจึงขจรขจายไปอย่างรวดเร็ว หากตอนนี้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เรื่องที่ทุกแคว้นในใต้หล้าต่างหวาดกลัวคงจะกลายเป็นเรื่องจริง
ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง
ตั่ง ตั่ง ตั่ง…
เสียงตีระฆังจากวังหลวงสิบสองครั้งดังมาไกลๆ แสดงถึงงานศพของราชวงศ์
ฉู่เหลียนเฉิงยันตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้เสียงได้ดังเข้ามาในห้อง ลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดพาความหนาวเย็นมาเล็กน้อย ทำเอาร่างกายบอบบางหนาวสั่น นางเดินไปหยิบผ้าคลุมมาคลุมไหล่อย่างยอมรับในชะตาชีวิตตนเอง เพราะหากถูกความเย็นมากเข้า นางคงได้รู้สึกวิงเวียนไปอีกหลายวัน
ชีวิตและร่างกายของนางเป็นเช่นนี้จึงไม่คาดหวังอะไรมากมาตั้งแต่แรก ขอเพียงแค่รักษาโอกาสของตนเองและคนรอบกายเอาไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นหนานฉู่ผู้เป็นพี่สาวของนางนั้นก็เห็นนางเป็นดั่งหนามขวางหูขวางตามาตลอด ที่นางยังมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าสวรรค์ปรานีมากแล้ว
อีกทั้งฟ้ายังประทานความโชคดีในครั้งนี้ ยืดชีวิตให้นางได้เตือนเรื่องฮ่องเต้เป่ยโม่สวรรคตแก่เฮยทั่วเทียน หวังเพียงแต่ว่าหลังจากนี้เฮยทั่วเทียนจะไม่ลืมบุญคุณของนางในครั้งนี้ ปล่อยให้นางได้มีทางเดินในการตั้งหลักและสร้างชีวิตของตนเองบ้างก็พอ
บทที่สอง
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ซินฮองเฮาได้รับโทษตัดหัวเสียบประจาน ส่วนจยาผิงโหวพี่ชายของนางก็ได้รับโทษรถม้าแยกร่างจากข้อหาสมรู้ร่วมคิด คนสกุลซินที่รับราชการหรือขุนนางชั้นเฟิง ทั้งหมดถูกถอดยศและขับไปอยู่ชายแดน
ในวันที่ประกาศความผิดของสกุลซิน มีราษฎรมากมายคอยสาปแช่งพวกเขา ส่วนเฮยทั่วเทียนนั้นกลับได้รับความไว้วางใจอย่างล้นหลาม สนับสนุนให้เขาได้ขึ้นครองราชย์
วันงานพิธีราชาภิเษกของเฮยทั่วเทียน ฉู่เหลียนเฉิงและเหล่าตัวประกันจากแต่ละแคว้นรวมถึงขุนนางข้าราชบริพารของแคว้นเป่ยโม่ทุกคนต่างเข้าร่วมพิธีโดยยืนเรียงแถวอยู่นอกท้องพระโรง ราชองครักษ์สวมชุดเกราะสีดำยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอยู่ทั้งสองฝั่งตรงทางเข้าด้านหน้าตำหนัก
“ฮ่องเต้เสด็จ!” ขุนนางผู้ดำเนินพิธีประกาศ
ฉู่เหลียนเฉิงเงยหน้าขึ้น มองเห็นเขาจากที่ไกลๆ
บนศีรษะของเฮยทั่วเทียนสวมมงกุฎหยกขาวห้อยระย้าสิบสองสาย ใส่เสื้อคลุมสีทองปักสิบสองลายมงคล เดินมาอย่างสง่าผ่าเผย ภายใต้มงกุฎหยกขาวคือใบหน้าผู้เป็นมังกรที่หล่อเหลายิ่งกว่าบุรุษผู้ใดในใต้หล้า
ผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นดั่งวีรบุรุษกระมัง ฉู่เหลียนเฉิงได้แต่ลอบตรึกตรองอยู่ในใจตนเอง
จังหวะก้าวเดินของเฮยทั่วเทียนนั้นรวดเร็วมาก ทุกที่ที่เดินผ่านผู้คนล้วนไม่กล้าสบตาตรงๆ ทั้งพยายามก้มหัวลงหลุบตามองต่ำ รอจนกระทั่งเสียงกระบี่ที่เหน็บไว้ข้างเอวกับเสียงจังหวะย่างก้าวค่อยๆ ห่างออกไปแล้ว ยามฉู่เหลียนเฉิงเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นว่าเขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรภายในท้องพระโรงแล้ว
ดนตรีสรรเสริญเริ่มบรรเลงขึ้น ข้าหลวงผู้ดำเนินพระราชพิธีนำข้าหลวงขุนนางกว่าร้อยคน รวมทั้งคนที่เข้าร่วมเฉลิมฉลองพิธีเข้าสู่ตำหนักไท่จี๋เพื่อเข้าเฝ้าตามลำดับ
เมื่อมาถึงคราวของตัวประกันจากแต่ละแคว้น ฉู่เหลียนเฉิงโค้งตัวคารวะและพูดพร้อมกับตัวประกันแคว้นอื่นๆ ว่า
“ขอให้ฮ่องเต้เป่ยโม่ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
เฮยทั่วเทียนเร่งกวาดสายตามองเหล่าตัวประกันอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาหยุดจ้องบนใบหน้าฉู่เหลียนเฉิงเพียงชั่วครู่แล้วจึงมองผ่านไปอย่างเฉยเมย
ในตอนที่เขาใช้สายตาเย็นชากวาดมองมาหยุดอยู่ที่ฉู่เหลียนเฉิง ใจของนางก็กระตุกเล็กน้อย
นางกำลังรอคอยขั้นตอนต่อไปของเขา ที่ได้ออกปากเตือนเขาไปเพื่อให้มั่นใจได้ว่าในอนาคตแคว้นเป่ยโม่จะมีฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาด แต่ไม่ใช่ว่านางจะไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจากเขา
ฉู่เหลียนเฉิงรู้ดีว่าเขาไม่มีทางลืมเรื่องราวที่นางได้ออกปากเตือนไป ด้วยก่อนหน้านี้เขาได้ให้คนส่งชุดพิธีการของแคว้นหนานฉู่พร้อมกับปิ่นปักผมซึ่งประดับด้วยไข่มุกและอัญมณีที่เข้ากันกับชุดมาให้ เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะรู้เรื่องสภาพความเป็นอยู่ของนางทุกอย่างแล้ว ถึงแม้นางจะมีฐานะเป็นถึงองค์หญิง แต่เป็นเพราะถูกองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นพี่สาวของนางผลักไสกีดกันมาตลอด ความเป็นอยู่ทุกอย่างของนางจึงนับได้ว่าลำบาก…
ความคิดของฉู่เหลียนเฉิงยังคงตีกันยุ่งเหยิง จนกระทั่งถูกนำทางออกมาจากตำหนักไท่จี๋พร้อมกับกลุ่มตัวประกันคนอื่น จนเดินมาถึงงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นฝั่งทิศตะวันตกของวังสุ่ยเฉวียน
เมื่อเข้าไปภายในวังสุ่ยเฉวียน การแสดงร่ายรำก็ได้ดำเนินไปแล้ว เหล่าขันทีจึงได้ประกาศว่า “ฮ่องเต้ขอให้ทุกท่านพักผ่อนดื่มฉลองกันอย่างเต็มที่ ร่วมสนุกกันได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ”
ฉู่เหลียนเฉิงและไป่ซั่งเสียนนั่งห่างกันประมาณสองที่นั่ง และเนื่องจากไม่อยากเอาแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องของเฮยทั่วเทียน นางจึงได้ขอร้องให้ไป่ซั่งเสียนเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวเมื่อครั้งเขายังเป็นเด็ก แน่นอนว่านางพูดเสริมไปเพียงไม่กี่ประโยค หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องราวที่นางเคยไปเก็บสมุนไพรกับท่านอาจารย์หมอเทวดา เมื่อคุยกันอย่างออกรสทั้งคู่จึงได้ลืมกินอาหารไปเสียสนิท จนกระทั่งจูเซวียนเอ๋อร์ข้ารับใช้ของนางเข้ามาเตือนให้นางกินอาหาร พอฉู่เหลียนเฉิงนึกขึ้นได้อาหารบนโต๊ะก็เย็นชืดไปเสียแล้ว
“องค์หญิง ซุปนี่ยังอุ่นอยู่ ท่านเสวยตอนที่กำลังอุ่นอยู่เถิดเพคะ อาหารที่เย็นไปแล้วพวกนี้อย่าเสวยเลย” จูเซวียนเอ๋อร์หยิบถ้วยซุปส่งให้ฉู่เหลียนเฉิง
ไป่ซั่งเสียนมองฉู่เหลียนเฉิงที่กำลังดื่มซุปไปเพียงไม่กี่อึกแล้วไม่กินอย่างอื่นอีกเลยอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าข้าเอาแต่ใจหรอก แต่เป็นเพราะธาตุในร่างกายข้า จึงกินอาหารที่เย็นแล้วไม่ได้” ฉู่เหลียนเฉิงเห็นสีหน้าของไป่ซั่งเสียนแปลกไปจึงได้ออกปากอธิบาย
“ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าเคยตามท่านอาจารย์ของเจ้าลุยป่าลุยเขามาก่อน จึงไม่นึกสงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงผอมเหลือแต่กระดูกเช่นนี้” ช่วงนี้ไป่ซั่งเสียนคุ้นเคยกับนางเสียจนเวลาพูดจาจึงไม่ต้องมีพิธีรีตอง
“น้องสาว เจ้าทำให้ข้านึกได้ว่าตอนที่จะหาสตรีมาแต่งงานด้วยต้องหาคนที่รูปร่างมีน้ำมีนวลมีเนื้อมีหนังเสียหน่อย เพราะแสดงถึงความกินดีอยู่ดี มีฐานะดีของนางใช่หรือไม่” ฉู่เหลียนเฉิงได้ยินก็หัวเราะตาม
ไป่ซั่งเสียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับจ้องมองนาง
“ที่จวนข้าจ้างพ่อครัวมาใหม่ อีกสักพักไปกินอะไรที่จวนข้ากันเถอะ ข้าจะได้ให้คนล่วงหน้าไปบอกพ่อครัวให้เตรียมตัว…”
“องค์หญิงเหลียนเฉิง ฮ่องเต้ให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าองค์หญิงแคว้นหนานฉู่และกล่าวขึ้น
ฉู่เหลียนเฉิงมองหน้าขันทีผู้นั้นแล้วพยักหน้าลงน้อยๆ นางยังนึกว่าเฮยทั่วเทียนจะเรียกให้นางเข้าเฝ้าหลังจากงานเลี้ยงเลิกเสียอีก แต่ว่าเข้าเฝ้าเร็วหน่อยก็ดี นางจะได้ไม่ต้องเอาแต่คิดวนเวียนไปมาเช่นนี้
“องค์หญิง เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเห็นนางไม่ได้ขยับตัวจึงได้ส่งเสียงเร่งเบาๆ
“ไว้ค่อยนัดวันที่จะไปเยี่ยมจวนขององค์ชายกันวันหลังนะเพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงกล่าวกับไป่ซั่งเสียนช้าๆ แล้วให้จูเซวียนเอ๋อร์ประคองไป
แม้ไป่ซั่งเสียนจะแปลกใจกับท่าทีที่นิ่งสงบของนางราวกับรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้เป่ยโม่จะเรียกให้นางเข้าเฝ้า แต่เขากลับไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าว่ารับรู้
เมื่อฉู่เหลียนเฉิงค่อยๆ เดินออกไปจากงานเลี้ยง นางทิ้งเสียงพูดคุยของผู้อื่นไว้เพียงเบื้องหลัง
“ฮ่องเต้เป่ยโม่คงไม่ได้สนใจในตัวฉู่เหลียนเฉิงหรอกใช่หรือไม่”
“นางมีอะไรให้น่าสนใจกัน! นางมีอะไรดีอย่างนั้นหรือ เดิมฮ่องเต้เป่ยโม่ไม่ได้ชายตามองนางเลยสักนิด เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ไม่ต้องพูดถึง อาจเป็นเพราะครั้งนั้นในคืนงานเลี้ยงดอกอิงฮวาที่นางตรวจชีพจรให้เขาแล้วได้พูดอะไรบางอย่างไป…”
ไป่ซั่งเสียนขมวดคิ้วแล้วนึกย้อนไปถึงตอนที่อยู่ตำหนักเชียนชิว ท่าทางของฉู่เหลียนเฉิงที่ขอร้องให้เขาช่วยแนะนำนางให้ได้รู้จักกับเฮยทั่วเทียน อาจเป็นไปได้ว่าตอนนั้นนางรู้ข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับตำหนักเชียนชิว…
“พวกเจ้าอย่าได้มองข้ามรูปร่างธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรให้น่าสนใจของนาง แท้จริงแล้วกลับเตรียมการมาไว้หมดแล้ว ดูชุดสีขาวที่นางสวมใส่สิ มองผ่านๆ อาจดูไม่น่าสนใจแต่กลับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอดไม่ได้ที่จะกลับไปมองอีกครั้ง ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าอาภรณ์ที่นางกำลังสวมใส่อยู่ทำมาจากผ้าไหมเนื้อดี แล้วกระดุมเงินบนชุดนั่นยังมีลวดลายดอกไม้อีก หากไม่สังเกตให้ดี ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าราคาแพงยิ่งกว่าพันตำลึง…”
“ฟังเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าจี้หยกลายกุหลาบที่นางใส่วันนี้ก็เป็นของชั้นดี ดูท่าจะจงใจแต่งมาเพื่อรอเข้าเฝ้า”
ไป่ซั่งเสียนมองตัวประกันที่จับกลุ่มล้อมวงคุยกันอยู่เพียงแวบเดียว เขารู้สึกว่าคำพูดที่พวกนั้นกำลังนินทาเรื่องอาภรณ์ที่ฉู่เหลียนเฉิงสวมใส่อยู่นั้นให้ความรู้สึกเดียวกันกับที่เขามีต่อนาง
ร่างกายของนางอ่อนแอ ซูบผอมมากจริงๆ หากมองผ่านๆ อาจดูไม่น่าสนใจ แต่เครื่องหน้าทั้งห้าของนางนั้นงดงามรับกับใบหน้าเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดการจายังแสดงถึงความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง อดไม่ได้ที่จะหยุดสายตาไปมองที่นางจริงๆ
เฮยทั่วเทียนคงจะ…มองเห็นถึงความจริงในข้อนี้จึงได้เรียกให้นางไปเข้าเฝ้ากระมัง
ไป่ซั่งเสียนขมวดคิ้วยกจอกขึ้นดื่มซ้ำๆ พลางมองไปทางประตูวังเป็นระยะ หวังเพียงว่าให้นางรีบกลับมา แต่จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลงก็ยังไม่เห็นแม้แต่นางหรือเฮยทั่วเทียนมาปรากฏตัว
“ฝ่าบาท องค์หญิงเหลียนเฉิงจากแคว้นหนานฉู่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีซย่าหล่างรายงานอย่างนอบน้อมอยู่หน้าประตูวังจื่อจี๋
“อืม” เฮยทั่วเทียนส่งเสียงตอบรับขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว สายตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับฎีกาตรงหน้า
เนื่องจากสถานการณ์เป็นใจ วันนั้นที่ได้ทราบข่าวว่าเสด็จพ่อสวรรคต เขาต้องขึ้นครองบัลลังก์ต่อทันที การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันนี้เป็นการประกาศศักดา เพียงเพื่อหาสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุขในหมู่ผู้คนและเหล่าขุนนาง แม้เรื่องที่เขาขึ้นครองบัลลังก์จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความยินดียินร้ายใดๆ เนื่องจากเขายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าจะต้องทำ เช่นว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับฎีกาที่กองสูงเหมือนภูเขานี้ และ…
ยังมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่สำคัญ…สิ่งที่ติดค้างกับคนผู้หนึ่ง
เฮยทั่วเทียนได้ยินเสียงประตูเปิดออก เสียงฝีเท้าของขันทีและเสียงก้าวเท้าที่แทบจะไม่ได้ยินอีกหนึ่งคู่มาพร้อมกับเสียงของชายแขนเสื้อที่ดังขึ้นขณะเดินเข้าประตูมา
เขามองไปทางฎีกาที่อยู่ทางซ้ายของตน ย้อนคิดไปถึงตอนที่อยู่สำนักบัณฑิตหลวงและยังเป็นไท่จื่ออยู่ เขาหวังว่าในอนาคตตนเองจะสามารถจัดการฎีกาที่มาจากผู้มีความรู้ความสามารถจากแต่ละแคว้นได้ เฮยทั่วเทียนจ้องมองอย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ซย่าหล่างมองฮ่องเต้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วจึงมองไปทางองค์หญิงเหลียนเฉิงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาจ้องมองไปข้างหน้า ไม่ส่งเสียงอยู่อย่างนั้น เป็นเช่นนี้ไม่มีสิ้นสุด
ซย่าหล่างเมียงมองอีกสักพักก็เห็นฝ่าบาทกำลังขมวดคิ้วเข้ม เขาจึงได้รีบเอ่ยว่า “องค์หญิงเหลียนเฉิงเสด็จมาถึงแล้ว พวกเจ้านางในถอยออกไปก่อน”
เฮยทั่วเทียนวางฎีกาที่ตรวจเสร็จแล้วลง จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางฉู่เหลียนเฉิง “ในเมื่อเจ้ามาถึงแล้ว เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงเล่า”
“เกรงว่าหม่อมฉันจะไปรบกวนความคิดของฝ่าบาท” ฉู่เหลียนเฉิงค่อยๆ ก้มลงคารวะ ตัวของนางสวมจี้หยก ปิ่นไข่มุก แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เลยสักนิด “ฉู่เหลียนเฉิงขอถวายความยินดีต่อการครองราชย์ของฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ”
เฮยทั่วเทียนใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง และกำลังประเมินสีผมที่ดำขลับ ผิวที่ขาวมาก และดวงตาที่ไม่เหมือนใครคู่นั้นของฉู่เหลียนเฉิงอย่างไม่วางตา
“เจ้าอยากได้รางวัลเป็นอะไร บัลลังก์ของหนานฉู่หรือ” เฮยทั่วเทียนจ้องเข้าไปในตาของนาง
“หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจแบกรับความทุกข์ระทมของราชบัลลังก์ได้”
ราชบัลลังก์เป็นสิ่งระทมทุกข์อย่างนั้นหรือ
เฮยทั่วเทียนยิ้มหยัน ซึ่งท่าทีไม่แยแสเช่นนั้นยิ่งเพิ่มความเย็นชาแก่เขาเข้าไปอีก
“เช่นนั้นเจ้าต้องการอะไร”
“ส่งตัวประกันจากแต่ละแคว้นกลับเพคะ”
สีหน้าของเฮยทั่วเทียนยังคงสงบเยือกเย็น แต่สายตากลับเคร่งขรึมขึ้น เขาจับจ้องไปที่พวงแก้มทั้งสองของนางซึ่งส่องประกายรับกับแสงเทียน
“ส่งตัวประกันกลับแล้วเราได้ประโยชน์อันใด”
“เป่ยโม่กักตัวประกันจากแต่ละแคว้นไว้ เพียงเพื่อไม่ให้แต่ละแคว้นได้เดินหมาก หากฝ่าบาทมีใจที่จะรบกับแต่ละแคว้นอยู่แล้ว ชีวิตของตัวประกันเหล่านั้นจะมีประโยชน์อันใด” เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้องมา นางจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลมหายใจเข้าออกของตนเองให้สงบมั่นคง
“แม้ว่าจะไม่ให้แต่ละแคว้นได้เดินหมาก แล้วเหตุใดเราต้องกำจัดหมากเพราะเจ้ากัน”
“เพราะฝ่าบาททรงปรารถนาจะดำรงซึ่งมนุษยธรรม ให้ใต้หล้าได้ประจักษ์ถึงน้ำพระทัยอันกว้างใหญ่ที่พระองค์มีต่อแคว้นต่างๆ”
เฮยทั่วเทียนยกยิ้ม ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้นางเพียงตั้งใจกล่าวถึงความมีมนุษยธรรมของเขาหรือคาดเดาถูกว่าเขาเองก็มีแผนการอยู่ลึกๆ เขาอยากขยายอาณาเขตเป่ยโม่ เพราะเหตุนี้จำต้องได้รับการยอมรับจากใจจริงของแต่ละแคว้นด้วยเช่นกัน
เขาจ้องมองดวงตานิ่งเรียบของนาง หลังจากใช้นิ้วเรียวยาวเคาะเพียงไม่กี่ครั้งจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าอยากกลับหนานฉู่?”
“ไม่เพคะ” พี่สาวคนโตของนางตอนนี้ได้ขึ้นเป็นองค์หญิงรัชทายาทแล้ว หากนางกลับแคว้นก็เหมือนพาตนเองเดินเข้าไปสู่ทางตัน
“พูดจุดประสงค์ของเจ้ามาเถอะ อย่าทำให้เราเสียเวลา!” เฮยทั่วเทียนตบโต๊ะเสียงดัง
ทว่านางไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ ทำเพียงแค่หายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น
“เมื่อครั้งที่ฝ่าบาทยังเป็นไท่จื่อทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นจนเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง ฝ่าบาททรงเป็นตัวแทนร่างนโยบายสำคัญ ตอนนี้ใต้เท้าเฉิงแห่งสำนักบัณฑิตหลวงก็ได้ถวายงานเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายของพระองค์ เป็นที่ประจักษ์ได้ว่าฝ่าบาทยังเลือกคนที่มีความสามารถไว้ใช้งานไม่มีเปลี่ยน” ฉู่เหลียนเฉิงจ้องเฮยทั่วเทียนไม่วางตา “ครั้งนี้ขอฝ่าบาทได้โปรดแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นที่ปรึกษาแห่งสำนักบัณฑิตหลวงด้วยเถิดเพคะ”
“ตัวเจ้าเป็นองค์หญิงจากหนานฉู่ แต่กลับมีความคิดอยากเป็นที่ปรึกษาเป่ยโม่ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาแอบแฝงอยู่” เฮยทั่วเทียนแค่นยิ้ม
“องค์หญิงที่ไร้อำนาจในมือและใช้ชีวิตทั่วไปได้ยากลำบากองค์หนึ่งเพียงแค่ต้องการตำแหน่งขุนนางเล็กๆ เพื่อตั้งตัวได้เท่านั้นเพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงอธิบายความต้องการอันจริงแท้ของตนเอง
นัยน์ตาของเฮยทั่วเทียนนั้นล้ำลึก เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าเคยส่งคนไปสืบข่าวเมื่อไม่นานมานี้ หนานฉู่จงใจต้อนให้ฉู่เหลียนเฉิงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่นางมาถึงเป่ยโม่ได้นั้นเป็นเพราะได้รับเงิน ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับที่มารดาทิ้งไว้ให้บางส่วน และความช่วยเหลือจากลุงที่หนานฉู่ นางจึงได้มีข้าวของที่จำเป็นอยู่ในจวนของตัวประกันหนานฉู่…
“หากเจ้าขอให้มีชีวิตที่ร่ำรวย เราสามารถประทานเงินทองมากมายมหาศาลให้เจ้าได้ รับรองว่าชั่วชีวิตเจ้านี้ไม่ต้องกังวลต่อสิ่งใด”
“เงินทองอาจทำให้หม่อมฉันไม่ต้องมีเรื่องกังวลใจใดๆ ไปชั่วชีวิต แต่หม่อมฉันกลับไม่ได้ทำประโยชน์อันใดแก่ผู้คนอีกหลายหมื่นหลายแสนคน”
เฮยทั่วเทียนเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด และมองไปยังร่างกายอ่อนแอใต้อาภรณ์ที่เขาส่งให้เป็นของขวัญ
“เจ้ามีความสามารถอะไรที่ถือเป็นประโยชน์ต่อกิจราชการ”
“โปรดให้หม่อมฉันวางนโยบายที่จะทำให้แคว้นเป่ยโม่มีความมั่งคั่งและสงบสุข”
“คำพูดเช่นนี้พวกนักปราชญ์ก็พูดกันได้” มุมปากทั้งสองข้างของเขายกยิ้มเล็กๆ แต่ดวงตากลับสะท้อนความดุดันเยียบเย็นออกมา เราจะเชื่อตัวประกันจากต่างแคว้นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน!
ฉู่เหลียนเฉิงหยัดตัวยืนตรง จ้องกลับไปโดยไม่หลบสายตาพร้อมตอบคำถาม
“ปกติแล้วเหล่านักปราชญ์ไม่กล้ากราบทูลฝ่าบาท เป่ยโม่สุขสงบมานานแล้ว เศรษฐีร่ำรวยยิ่งขึ้น คนยากจนก็จนยิ่งขึ้น ใต้หล้าไม่มีศึกสงครามมานาน ราษฎรก็ไม่มีโอกาสผันตัวเข้าไปอยู่ในกองทัพ แผ่นดินแคว้นเป่ยโม่ก็ไม่นับว่าอุดมสมบูรณ์ ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่เพาะปลูกยังได้ผลผลิตเพียงน้อยนิด แม้พวกเขาจะจ่ายภาษีน้อยกว่าเหล่าพ่อค้า แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ยามที่ราษฎรเริ่มหิวโหยก็อาจเกิดวิกฤตขึ้นมาได้”
เฮยทั่วเทียนฟังคำพูดเหล่านี้ ดวงตาฉายแววเย้ยหยันอย่างยิ่งยวด เขายืดตัวโน้มไปข้างหน้าแล้วถามว่า “เจ้ามีแผนรับมืออย่างไร”
“ขอฝ่าบาททรงโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันอยู่สำนักบัณฑิตหลวงด้วยเพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงยอบกายคารวะอีกครั้ง
เฮยทั่วเทียนมองผมสีดำดุจน้ำหมึกของนาง ช่างมีความถือตัวสมเป็นองค์หญิงจริงๆ หากเป็นคนทั่วไปเวลานี้คงต้องรีบบอกแผนการอันเยี่ยมยอดของตนเองออกมาอย่างไม่ขาดปากแล้ว
“อยากเข้าสำนักบัณฑิตหลวงเช่นนี้แล้วเหตุใดจึงขอร้องให้เราปล่อยตัวประกันจากแต่ละแคว้นก่อนเล่า”
“เพื่อให้ฝ่าบาทได้รับเสียงชื่นชม ดีต่อการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง” คำพูดนั้นแม้เป็นการคาดเดา แต่กลับพูดความปรารถนาสูงสุดของเหล่าราชวงศ์แต่ละแคว้นออกมาได้อย่างมั่นใจ ซึ่งนางคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เขามีโอกาสมากกว่าผู้ใด
จิตใจภายในของเฮยทั่วเทียนสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย เขาถามต่อไปอีก
“เจ้าเป็นคนหนานฉู่ เหตุใดจึงอยากช่วยเป่ยโม่”
“หม่อมฉันอยากตั้งตัว อีกทั้งอยากเป็นราษฎรในแคว้นที่มั่งคั่ง มีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่”
“ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่?” ที่แท้นางก็เป็นคนประจบสอพลอ คำพูดเมื่อครู่คงเป็นเพียงแค่การยกยอเขาเท่านั้น “เราเพิ่งได้ขึ้นครองบัลลังก์ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเราจะเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่ได้กัน”
“หากฝ่าบาทมิใช่ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่คงส่งคนให้ไปฆ่าปิดปากหม่อมฉันเสียนานแล้ว ตัวประกันคนหนึ่งสังเกตเห็นเรื่องใหญ่โตภายในวังเช่นนี้ ช่างไม่ควรเก็บไว้อย่างยิ่ง” ฉู่เหลียนเฉิงก้มยอบกายคารวะอีกครั้งเพื่อแสดงความเคารพ
เขาไม่ตอบอะไร ฉู่เหลียนเฉิงก็ยังคงก้มตัวคารวะต่อไป จนกระทั่งเข่าทั้งสองข้างเริ่มสั่นเพราะสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีของนาง แล้วจึงได้ยินเขาเอ่ยปากพูด
“นั่งสิ”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” นางค่อยๆ หยัดกายตรงแล้วนั่งลง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาน้อยๆ
เขาเห็นว่าแม้ร่างกายของนางจะอ่อนแอมาก แต่กลับมีลำคอขาวและผิวเนียนใสละเอียด เมื่อต้องแสงเทียนผิวขาวก็เปล่งประกายออกมาราวกับผ้าไหมชั้นดีที่เขาได้ส่งไปให้นาง
สำหรับเขาแล้วสตรีนับเป็นความรื่นเริงใจอย่างหนึ่ง และหากปล่อยตัวทำตามความต้องการของร่างกายก็ถือเป็นความสำราญใจอย่างหนึ่งเช่นกัน แม้เขาไม่ได้ลุ่มหลงมัวเมาในนารี แต่เรื่องของชายหญิงนั้นก็มีประสบการณ์ไม่น้อยจริงๆ เพียงแต่…เขาพบเจอหญิงสาวมามาก แต่นางกลับเป็นสตรีใจกล้าและสติปัญญาดีคนแรกที่ดึงความสนใจของเขาไปได้
เฮยทั่วเทียนโน้มตัวไปข้างหน้า ฉุดแขนของนางที่นั่งอยู่ขึ้นมา
นางไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่คาดว่าร่างบางอรชรของนางจะโถมเข้าไปสู่อ้อมกอดเขาทั้งตัว ใบหน้านางติดอยู่กับกล้ามหน้าอกของเขา
ฉู่เหลียนเฉิงอยากหลุดออกมาจากอ้อมกอดนี้จึงพยายามขัดขืน
เขากดไหล่นางไว้เป็นเชิงไม่อนุญาต
เฮยทั่วเทียนก้มมองดวงหน้าที่ปราศจากความเกรงกลัวของนาง เขาหรี่ตาลงพลางใช้มือจับปลายคางเย็นเฉียบของนางไว้แน่น
การทำให้สตรีผู้หนึ่งหัวใจสั่นไหวจะยากสักเท่าไหร่กัน!
นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของเขา สูดดมกลิ่นชะมดผสมกับกลิ่นดอกจื่อหลันบนกายเขา หัวคิ้วพลันปรากฏรอยย่นขึ้นทันที นี่เขากำลังเข้าใจเจตนานางผิดไปใช่หรือไม่
“เจ้าไม่ควรเข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตหลวง เราจะกำหนดวันแล้วสู่ขอไปทางหนานฉู่เพื่อแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนม” ลมหายใจของเขาเฉียดผ่านมุมปากของนาง
“ไม่!”
นางเบิกตาโพลงพลางใช้มือข้างหนึ่งดันหน้าอกเขาไว้
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!”
เฮยทั่วเทียนเปลี่ยนไปจับชายเสื้อของนาง แล้วดึงให้มาประจันหน้ากันอย่างง่ายดาย ตาทั้งสองคู่สบประสานกัน
บนตัวนางมีกลิ่นยาหอมโชยออกมา กลิ่นนั้นสั่นคลอนความเหนื่อยล้าของเขาได้อย่างน่าประหลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้นางถอยออกไป ยังคงให้นางกึ่งคุกเข่ากึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าเขา
“ฝ่าบาทได้โปรดอย่ารับองค์หญิงไร้มารยาทอีกทั้งขี้โรคคนหนึ่งไว้เลยเพคะ นั่นเป็นการขวางทางคนอื่นที่มีความสามารถ” นางมองหน้าเขา รู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นเร็วขึ้น จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก
“ไร้มารยาท? เจ้านี่ช่างรู้จักข้อบกพร่องของตนเองดีเสียจริง” เฮยทั่วเทียนจับปลายคางเนียนนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมา
หัวใจของฉู่เหลียนเฉิงบีบแน่น ทันใดนั้นก็รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ นางคิดว่านี่เป็นอาการโรคเก่าที่กำลังกำเริบ แต่ตอนนี้นางถูกเขาต้อนเสียจนมุม จึงทำได้แค่พยายามปิดบังอาการไว้ให้มากที่สุด
“เมื่อเทียบกับหม่อมฉันแล้วฝ่ายในของฝ่าบาทล้วนงดงามกันทุกนาง แต่คนที่เป็นขุนนางทั้งยังกล้าพูดตรงไปตรงมาแบบหม่อมฉันนั้นกลับมีเพียงผู้เดียว หากให้หม่อมฉันเป็นสนมของฝ่าบาท มีใจชอบพอต่อฝ่าบาท รักเดียวใจเดียว คอยคิดแต่เพียงจะทำอย่างไรจึงจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ยิ่งเรื่องของซินฮองเฮาก็เพิ่งจะเกิดขึ้น ฝ่าบาทยังจะทรงอนุญาตให้ฝ่ายในยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกหรือเพคะ เรื่องนี้คิดอย่างไรก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวฝ่าบาทและตัวหม่อมฉันสักนิด”
เฮยทั่วเทียนไม่ตอบอะไร ดวงตาดำขลับจ้องฉู่เหลียนเฉิงเขม็ง เมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของนางจึงปล่อยแขนให้นางได้นั่งลง
ฉู่เหลียนเฉิงผ่อนลมหายใจ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แท้จริงแล้วด้วยปัญหาสุขภาพ นางจะเหนื่อยมากไปไม่ได้และหิวมากก็ไม่ได้ หากเขาได้รู้ปัญหาเรื่องนี้คงไม่ยอมให้นางได้เข้าเป็นขุนนาง
“เป่ยโม่ของเราไม่ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางหญิง แม้ขุนนางหญิงจะมีไม่มากเช่นแคว้นหนานฉู่ แต่สำหรับในสำนักบัณฑิตหลวงของเรากลับไม่เคยมีขุนนางหญิงมาก่อน”
“สำนักบัณฑิตหลวงเริ่มก่อตั้งเพื่อฝ่าบาทเมื่อครั้งยังเป็นไท่จื่อ ทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น และเรื่องที่หม่อมฉันจะเข้าสำนักบัณฑิตหลวงจะทำให้ผู้คนได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี จากแคว้นใด เป็นใคร สูงหรือต่ำล้วนทำคุณแก่เป่ยโม่ได้ทั้งสิ้น”
เฮยทั่วเทียนหยักยิ้มมุมปาก เขาไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อน นางไม่ต้องการเป็นที่โปรดปรานของเขา แต่กลับอยากใช้ความสามารถของตนเองพัฒนาประเทศและส่งเสริมการทหาร แล้วนางมีความสามารถเช่นนั้นหรือ
เขาพบว่าภายในใจตนเองมีความคาดหวังอยู่ หลังจากสังเกตนางอย่างละเอียดอีกครั้งก็บอกกับนางว่า “เจ้าถอยไปก่อนสักครู่”
“เพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงคารวะแล้วหมุนตัวเดินห่างไป
“เตรียมเกี้ยวส่งองค์หญิงเหลียนเฉิงกลับ” เฮยทั่วเทียนมองร่างกายผอมกะหร่องของนางแล้วจึงตะโกนบอก
“พ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างขันทีที่อยู่ด้านนอกประตูขานตอบรับ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะฝ่าบาท” ฉู่เหลียนเฉิงหมุนตัวกลับไปคารวะอีกครั้ง
คนที่สามารถนั่งเกี้ยวภายในวังหลวงได้ นอกจากฮ่องเต้แล้วก็มีขุนนางที่มีอำนาจ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้นางคงยากเลี่ยงเสียงนินทาที่จะตามมาในภายหลังได้ แต่ฉู่เหลียนเฉิงในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะแก้ตัว เพราะขาทั้งสองข้างของนางอ่อนล้าแล้ว และพละกำลังทั้งร่างกำลังจะหมดไป อาจเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อฉู่เหลียนเฉิงมาถึงนอกประตูวัง ก็ล้วงยาลูกกลอนจากถุงผ้ามาใส่ปากทันที
ซย่าหล่างเห็นมือที่ถือเม็ดยาของนางกำลังสั่นเทา จึงตะโกนบอกให้ขันทีคนอื่นเตรียมตัว แล้วเขาค่อยกลับเข้าวังไปอีกรอบ
“ถึงเวลาที่องค์หญิงต้องเสวยพระกระยาหารแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมอาหารให้นางกินระหว่างทาง จะได้ไม่มีปัญหาอะไรกับคนป่วยใกล้ตาย” เฮยทั่วเทียนยิ้มออกมา
ซย่าหล่างได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เร่งรุดไปดูแล ในใจจดจำองค์หญิงเหลียนเฉิงไปได้โดยปริยาย
เฮยทั่วเทียนลุกขึ้นยืน หยิบเอาสมุดจดรายชื่อประวัติตัวประกันของแต่ละแคว้นออกมา อ่านประวัติของฉู่เหลียนเฉิงโดยละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็ดีดนิ้วเรียกองครักษ์ส่วนพระองค์มา ให้พวกเขาสืบประวัติของฉู่เหลียนเฉิงมาอย่างละเอียดและถูกต้อง เพราะแต่ไหนแต่ไรคนที่เขาสงสัยจะไม่เรียกใช้งาน คนที่เขาจะใช้งานต้องไม่น่าสงสัย
“เนื่องจากองค์หญิงฉู่เหลียนเฉิงแห่งหนานฉู่มีความสามารถโดดเด่น ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งแต่งตั้งให้องค์หญิงเป็นผู้ช่วยอาลักษณ์ และให้เข้าวังเพื่อรับตำแหน่งทันที”
สิบวันให้หลัง ฉู่เหลียนเฉิงซึ่งรับบัญชาอยู่ที่จวนตัวประกันหนานฉู่ยังคงตกตะลึงเสียจนสติยังไม่คืนมาเต็มที่
ตำแหน่งผู้ช่วยอาลักษณ์นี้เป็นตำแหน่งข้าหลวงใกล้ชิดฮ่องเต้ ในตอนที่ฮ่องเต้กำลังพิจารณาฎีกาต่างๆ ก็จำเป็นต้องเรียบเรียง คัดลอก และร่างราชโองการออกมา ในตอนนี้ฮ่องเต้กำลังพยายามทดสอบว่านางมีความสามารถจริงหรือไม่ ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่านางมีความสามารถ แต่การเอาตัวประกันจากต่างแคว้นไว้ใกล้ตัวเช่นนี้…เขาไม่กังวลใจเลยหรือไรนะ
นางเดาความคิดของเขาไม่ออกจริงๆ
“กระหม่อมซย่าหล่าง จากนี้ไปหากองค์หญิงเหลียนเฉิงมีเรื่องอันใด บอกกระหม่อมได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างยิ้มให้นางและคารวะ
ฉู่เหลียนเฉิงมองใบหน้าดูดีหมดจดและเฉลียวฉลาดของขันทีผู้นี้จึงส่งยิ้มบางๆ พลางเอ่ยตอบกลับไป
“ขอบคุณท่านมาก”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ทรงประทานอาหาร ยา และชุดผ้าไหมให้ท่าน กระหม่อมจะให้คนในจวนขององค์หญิงไปตรวจสอบดู อีกทั้งฮ่องเต้รับสั่งให้ท่านรีบเข้าวัง รถม้ารออยู่ทางด้านนอกแล้ว องค์หญิงโปรดเตรียมตัวเข้าเฝ้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างกล่าวรายงานจนครบถ้วน
ฉู่เหลียนเฉิงกลับไปที่ห้อง เพราะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ นางจึงสวมชุดผ้าไหมสีนวลตัวเดียวกันกับที่นางใส่ในพิธีราชาภิเษกของเฮยทั่วเทียน เสื้อผ้าราคาแพงที่สุดที่นางมีอยู่ก็มีเพียงชุดนี้ที่เขาพระราชทานให้เท่านั้น โชคดีที่หลังจากได้รับตำแหน่งทางราชการ นางก็จะมีชุดขุนนางไว้ใส่ มีเงินเดือนไว้เก็บ รวมไปถึงรางวัลที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เช่นนั้นแล้วสถานการณ์ความเป็นอยู่ที่ลำบากในตอนนี้ก็จะดีขึ้นทั้งหมด
นางหวังเพียงแต่ว่าตำแหน่งผู้ช่วยอาลักษณ์นี้จะกำหนดนโยบายที่มีประโยชน์กับความเป็นอยู่ของราษฎรได้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเสียดายมากหากนางต้องตายไป หลังจากความหวังสูงสุดในชีวิตนางได้เป็นจริงไปแล้ว
จูเซวียนเอ๋อร์กำลังช่วยฉู่เหลียนเฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางเอ่ยขึ้นมาพร้อมดวงตาแดงก่ำ “ในที่สุดองค์หญิงก็ทำสำเร็จแล้วเพคะ”
“ใช่แล้ว หลังจากนี้พวกเราก็จะกินอิ่มได้ทุกมื้อ แม้แต่ตัวข้าเองยังอยากจะร้องไห้ออกมาเลย”
ตัวตนขององค์หญิงผู้นี้แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย สิ่งที่นางต้องการในชีวิตมีไม่มาก เพียงได้เลี้ยงดูตนเองดูแลคนรอบข้าง และจะดีที่สุดหากได้ช่วยเหลือคนอื่น เพียงเท่านี้นางก็พอใจมากแล้ว…
“หลังจากที่องค์หญิงเข้าวังแล้วจะได้กินอิ่ม ร่างกายจะได้มีน้ำมีนวลขึ้น ต้องงดงามยิ่งขึ้นเป็นแน่เพคะ” จูเซวียนเอ๋อร์เอ่ย
“พอมีน้ำมีนวลขึ้นก็ใช่ว่าข้าจะงามดั่งเทพธิดาเสียหน่อย ข้าก็ยังต้องใช้ชีวิตแบบนี้จนเจ้าเลี้ยงข้าไม่ไหวนั่นแหละ”
ฉู่เหลียนเฉิงลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางพลางมองตนเองในกระจก แม้ใบหน้าดูหมดจดงดงาม แต่กลับดูซูบผอมเกินไป โชคยังดีที่ชุดนี้มีหลายชั้นจึงพออำพรางหุ่นผอมแห้งของนางไว้ได้บ้าง จูเซวียนเอ๋อร์ค่อยๆ เกลี่ยชาดบนแก้มให้นาง จึงทำให้สีหน้าซีดเซียวนี้ดีขึ้นมาจากเดิมเล็กน้อย
“ยาลูกกลอนเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วใช่หรือไม่” ฉู่เหลียนเฉิงผินหน้าไปถาม
“เรียบร้อยแล้วเพคะ ท่านจำเป็นต้องพึ่งยาพวกนี้ในการดำรงชีวิต หม่อมฉันจึงจัดการนำมันใส่ไว้ในเหอเปาเรียบร้อยแล้ว เพราะหม่อมฉันกังวลว่าองค์หญิงจะยุ่งจนลืมกินมันไป”
“เจ้าวางใจเถอะ แม้ข้าจะยุ่ง แต่ชีวิตข้า ข้าก็ต้องดูแลอยู่แล้ว”
ฉู่เหลียนเฉิงหยิบยาบำรุงเม็ดสีขาวขึ้นมาหนึ่งเม็ดหยิบใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามลงไป จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องโถง มีซย่าหล่างส่งขึ้นรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังวังหลวง
จวนของตัวประกันจากแต่ละแคว้นล้วนถูกจัดให้อยู่ในเขตวังหลวงชั้นนอกสุด เมื่อเทียบกับจวนของเหล่าขุนนางชั้นอ๋องและโหวแล้วนับว่าใกล้วังหลวงกว่า จวนของฉู่เหลียนเฉิงห่างจากตำหนักชั้นในไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางสองเค่อก็มาถึง ทั้งนางยังมีเวลาให้งีบหลับบนรถม้าได้จนเข้าสู่ตำหนักชั้นใน
หน้าเขตพระราชฐาน ทุกคนล้วนต้องลงจากรถ ดังนั้นซย่าหล่างจึงลงมาเปิดประตูรถม้าก่อน แล้วค่อยเดินไปพร้อมกับฉู่เหลียนเฉิง
ฉู่เหลียนเฉิงเดินอยู่บนทางเดินระหว่างตำหนัก จึงเห็นว่าที่นี่มองเห็นทัศนียภาพที่มีน้ำพุ สายน้ำคดโค้งล้อมรอบ ตรงโค้งข้างหน้าก็มีดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกอยู่ เดินเลยไปอีกสักหน่อยก็เป็นทะเลสาบสีเขียวมรกตอยู่ใกล้กับต้นหยาง ในตอนนั้นนางรู้สึกผ่อนคลายจิตใจเบิกบาน นึกถึงฮ่องเต้เป่ยโม่องค์ก่อนที่ใช้ใจครุ่นคิดอย่างหนักเพราะซินฮองเฮา มีข่าวลือว่าทางเดินนี้ถูกสร้างขึ้นมาก็เพราะอยากเอาใจนางที่ไม่ชอบโดนแสงแดดและอยากมองเห็นทิวทัศน์ที่งดงามนี้เท่านั้น
“ด้านหน้าองค์หญิงก็เป็นวังจื่อจี๋แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างพูดกับฉู่เหลียนเฉิงที่เดินอย่างสบายอกสบายใจราวกับมาเดินทอดน่องเฉยๆ
ฉู่เหลียนเฉิงพยักหน้ารับ
“จากนี้ไปองค์หญิงจะต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทเสมอ มีเรื่องใดที่ท่านต้องการคำแนะนำหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“บอกเจ้าตามตรง” ฉู่เหลียนเฉิงหยุดก้าวเดิน มองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าปล่อยให้ตนเองหิวไม่ได้”
ซย่าหล่างเบิกตาโต อยากหัวเราะแต่กลับอดทนไว้
“หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ฝ่าบาทก็เอาแต่ยุ่งจนลืมเสวยพระกระยาหารไปเสีย…เอาเช่นนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเตรียมของว่างไว้ หากองค์หญิงรู้สึกหิวขึ้นมาก็เดินออกมาขยิบตาให้ กระหม่อมจะเร่งนำมาถวายทันที”
“ความคิดนี้…แม้ว่าจะดีแต่คงไม่เหมาะ” ฉู่เหลียนเฉิงนึกภาพตนเองเหมือนเจ้าหนูที่แอบย่องออกไป แล้วหลบฮ่องเต้เพื่อกินของว่างอยู่ตรงมุมห้อง จึงอดไม่ได้ที่นางจะส่ายหน้าออกมา
“ขอกราบทูลความจริง กระหม่อมก็…คิดเช่นนั้นเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างยิ้มฝืดๆ ออกมา
ทั้งคู่ต่างมองตากันแล้วก็ทนไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา รอจนกระทั่งขันทีที่หน้าวังจื่อจี๋มาต้อนรับทั้งสองคน ทั้งคู่จึงได้กลับมาทำตัวสำรวมเช่นเดิม
“ฝ่าบาท…องค์หญิงเหลียนเฉิงเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างยืนอยู่ด้านนอกตำหนักพูดเสียงดังฟังชัด
“อืม”
“ฝ่าบาทน่าจะอยู่ห้องทรงพระอักษรที่อยู่ทางด้านหลังพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างเปิดประตูให้นางแล้วก็ไม่ได้เดินตามเข้ามาอีก
ฮ่องเต้เป็นคนรักความสงบเงียบ ที่วังจื่อจี๋นี้นอกจากผู้ที่ถูกเรียกแล้วใครก็เข้าไปไม่ได้ และเป็นเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงต้องคอยเตือนให้ฝ่าบาทเสวยพระกระยาหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ด้านนอก บางครั้งพูดไปเสียหลายครั้ง ฝ่าบาทก็ไม่แม้แต่ส่งเสียงตอบกลับมา
ฉู่เหลียนเฉิงค่อยๆ ก้าวเข้าไปในตำหนักซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เฮยทั่วเทียนเคยเรียกให้นางมาเข้าเฝ้าเมื่อครั้งก่อน ยามนี้ยังเห็นว่าในนั้นมีเตียงยาวตั้งติดกับหน้าต่างและตู้หนังสืออีกนับไม่ถ้วน กลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณาลอยออกมาจากเตาเครื่องหอมทองลายหัวสัตว์
ฉู่เหลียนเฉิงอดทนต่อความรู้สึกอยากจะสำรวจหนังสือไว้ แล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปภายในห้อง ภาพตรงหน้าคือเฮยทั่วเทียนซึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยฎีกา
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันเข้ารับราชการเพคะ” นางก้าวไปข้างหน้าแล้วโค้งคารวะ
“คุกเข่าคารวะ” เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ฉู่เหลียนเฉิงตัวชาวาบ
“เจ้าเข้ามารับราชการภายใต้เป่ยโม่ของเรา ยังคิดว่าตนเองเป็นองค์หญิงแห่งหนานฉู่อีกอย่างนั้นหรือ” เฮยทั่วเทียนมองนางนิ่งเฉย
ฉู่เหลียนเฉิงคุกเข่าลงกับพื้นทันที คารวะอยู่ในท่าหมอบคลาน “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าเหมาะสมแล้ว หากเจ้าจัดการเรื่องขุนนางข้างกายเราได้เรียบร้อย หลังจากนั้นเราจะอนุญาตให้เจ้าเข้าสำนักบัณฑิตหลวง”
“หม่อมฉันจะคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่เอาเปรียบความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงลุกขึ้นยืน
“คิดอย่างถี่ถ้วนนั้นไม่จำเป็นหรอก แค่เจ้าอย่ามาตายตรงหน้าเราก็พอ” เฮยทั่วเทียนหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งม้วนแล้วส่งมันมาให้กับนางพร้อมกับพูดว่า “เจ้าอ่านดูสิ”
ฉู่เหลียนเฉิงยื่นมือออกไปรับมาไว้ ในนั้นล้วนมีชื่อคนที่นางสนิทชิดเชื้อและคนใกล้ตัว ทั้งท่านลุง ท่านป้า น้องสาว ยังมีจูเซวียนเอ๋อร์ข้ารับใช้และคนอื่นๆ อีก
“มีผู้ใดตกหล่นหรือไม่” เขาเอียงตัวแล้วเอนไปข้างหลังพิงเบาะไหมทอง
ฉู่เหลียนเฉิงขมวดคิ้ว
“เจ้าไม่ใช่คนเป่ยโม่ ยามที่ทำงานแทนเรา ก็ขอให้นึกถึงคนอื่นให้มาก”
“ฝ่าบาทใช้คนใกล้ตัวมาข่มขู่หม่อมฉันอย่างนั้นหรือ…”
“เจ้ามีฐานะเป็นตัวประกัน คนหนานฉู่เหล่านั้นถือเป็นหมากไว้ควบคุมไม่ให้เจ้าทำอะไรบุ่มบ่าม หากข่าวที่เจ้าเข้ารับราชการที่เป่ยโม่แพร่งพรายออกไป พวกเขาจะใช้ชีวิตสงบสุขได้อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เราจึงได้ส่งคนไปรับตัวพวกเขามาที่เป่ยโม่อย่างลับๆ แล้ว”
ฉู่เหลียนเฉิงจ้องมองดวงตาดำขลับราวกับสีน้ำหมึกของเขา ให้รู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายในอก แล้วคุกเข่าลงทั้งสองข้าง โขกศีรษะแรงๆ สามที
“ฉู่เหลียนเฉิงจะทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเพคะ”
ในภายภาคหน้าเมื่อนางได้รับมอบหมายให้ทำงานก็ต้องทำออกมาให้ดี ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดได้เลย เพราะคนใกล้ตัวของนางล้วนอยู่ในกำมือของเฮยทั่วเทียนแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังอยู่ในสายตาของนาง เฮยทั่วเทียนเองก็ไม่ได้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหมือนพี่ใหญ่ของนางที่คิดจะฆ่าจะแกงใครล้วนแต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์
“เจ้าเหมาะสมที่สุดแล้วกับความคิดนี้ของเรา” เขาพยักหน้าไปข้างๆ โดยไม่แยแส “นั่งลง แล้วร่างราชโองการจากเรา”
ฉู่เหลียนเฉิงนั่งลงอีกฝั่ง เริ่มจรดปลายพู่กันตามคำพูดของเขา ระหว่างที่ตวัดปลายพู่กันไปมาก็นำเอาคำสั่งทุกคำจากฮ่องเต้มาทวนซ้ำในหัวอีกรอบ อดไม่ได้ที่จะให้กำลังใจตนเองเงียบๆ
เขาสามารถแนะนำ ทั้งเข้าใจความรู้สึกของราษฎร และใช้อำนาจต่อสู้เพื่อราษฎร เป่ยโม่มีฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มีแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่แคว้นนี้
ฉู่เหลียนเฉิงก้มหน้าขีดเขียนไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนกระทั่งนางหรี่ตาแล้ววางพู่กันลงเพื่อจะฝนแท่งหมึก ร่างกายกลับรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา นางจึงฉุกคิดถึงอาการเวียนหัวตาลายของตนขึ้นมาได้ และเห็นว่ามือของนางกำลังสั่นอยู่จริงๆ
“จุดตะเกียงน้ำมัน” เฮยทั่วเทียนออกคำสั่ง
ซย่าหล่างเดินนำข้ารับใช้ไม่กี่คนเข้าไปข้างใน ห้องทรงพระอักษรมีเทียนไขที่วางอยู่บนเชิงเทียนหลายก้าน ซึ่งครู่หนึ่งหลังจากจุดตะเกียงแสงก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง
“ฝ่าบาทจะเสวยพระกระยาหารหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างทูลถาม
“ยังไม่ต้อง”
ฉู่เหลียนเฉิงกลับสูดลมหายใจเข้าทันทีที่ได้ยินคำตอบ อาจเป็นเพราะเสียงดังเกินไป ตาคมของเฮยทั่วเทียนจึงได้มองมาที่นาง
“เจ้าหิวแล้ว?”
“หิวมาก” นางพยักหน้ารับแล้วเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเขา จึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้นางกำลังพูดอยู่กับฮ่องเต้
เป็นเพราะเหนื่อยล้าแท้ๆ ข้าถึงได้ลืมกฎข้อห้ามไปเสียสิ้น
นางตัวสั่น ใบหน้าพลันซีดเผือด รีบคารวะเขาพลางกล่าว “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย หม่อมฉันไม่กล้าทูลเรื่องเท็จกับฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อสักครู่เฮยทั่วเทียนได้เห็นนางเขียนราชโองการไปหลายฉบับ ต้องยอมรับจริงๆ ว่านางเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ สำนวนการเขียนเรียบร้อยอ่านง่ายคงไว้ซึ่งมารยาท ตัวหนังสือสวยงามหนักแน่น มือซ้ายของนางคงเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน พอยามเขียนตัวหนังสือเล็กๆ จึงต้องใช้แรงมากเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีอาลักษณ์อยู่สองคนที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ แต่ไม่ได้เอาใจใส่ในงานเช่นเดียวกับที่นางทำ
“ใครก็ได้เข้ามาหน่อย ยกสำรับมาให้นางที” เฮยทั่วเทียนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง “เจ้ากินเสร็จแล้วก็ไปได้”
“เพคะ”
แค่นี้หรือ ข้าไม่ถูกตำหนิหรือ
ฉู่เหลียนเฉิงค่อยๆ เหลือบตามอง กลับเห็นซย่าหล่างที่กำลังตกตะลึงตาโตอ้าปากค้างจ้องมองแผ่นหลังของฮ่องเต้อยู่เช่นกัน
นางค่อยๆ ก้มหน้าลง เผลอลูบคอตนเองโดยไม่รู้ตัว สวรรค์เมตตาไว้ชีวิตน้อยๆ ของนางแล้ว
“องค์หญิงเหลียนเฉิง โปรดเชิญทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างนำนางมาที่โต๊ะยาวตรงห้องด้านนอกซึ่งเป็นห้องที่ฝ่าบาทไว้ใช้พักผ่อนเสวยพระกระยาหาร โดยเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่งคอยดูแลนางอย่างใส่ใจระมัดระวัง
ฉู่เหลียนเฉิงเห็นซย่าหล่างที่คอยดูแลนางอย่างขยันขันแข็งแล้ว คิดว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่
ฝ่าบาทจะมาเกิดสนใจในตัวข้าได้อย่างไรเล่า…
แต่ว่าหากความเข้าใจผิดของผู้อื่นมีประโยชน์ต่อนางแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปอธิบายให้เสียเวลา ฉู่เหลียนเฉิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเพราะกำลังคาดหวังถึงอาหารมื้อนี้
อีกไม่นานก็จะได้กินอาหารให้อิ่มแล้ว
รอเพียงไม่นานขันทีก็นำสำรับหลายอย่างเข้ามา แต่ละอย่างนั้นล้วนละเอียดประณีต
ฉู่เหลียนเฉิงรอให้เหล่าขันทีออกไป จึงได้หยิบยาออกมากินหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กินอาหารด้วยความยินดีปรีดา ในวันพิธีราชาภิเษกของเฮยทั่วเทียนที่วังสุ่ยเฉวียนวันนั้นนางไม่ได้ชิมอาหารเลิศรสสักอย่างเดียว วันนี้มีโอกาสนางน่าจะห่ออาหารเหล่านี้กลับจวนไปให้หมดเสียจริง
เป่ยโม่แข็งแกร่งมาหลายปี อาหารในวังหลวงย่อมยอดเยี่ยมเป็นธรรมดาไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ ของหวาน ของคาวล้วนมีผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ เช่น วงแหวนล้อมกุ้งจานนี้รสชาติดีเยี่ยม แตงกับตัวกุ้งตัดกันระหว่างสีเขียวกับสีแดง เป็นที่พึงพอใจแก่ดวงตาที่ได้เห็นและปากที่ได้ลิ้มรสเข้าไป อีกจานหนึ่งคือหอยเป๋าฮื้อตุ๋นซอส เป็นอาหารตามฤดูกาล ใช้วัตถุดิบอย่างน้อยสิบชนิด ดังนั้นเมื่อกินเข้าไปถึงแม้จะเป็นรสชาติของหอยเป๋าฮื้อ แต่กลับมีรสชาติของอาหารป่าและอาหารทะเลออกมาด้วย
นางไม่ชอบกินอาหารที่อื่นเพราะง่ายต่อการเผยด้านตะกละของนางออกมา ทุกครั้งที่อยู่ในงานเลี้ยงข้างนอก เพื่อรักษาคำว่า ‘องค์หญิง’ จึงไม่อาจดื้อดึง แต่ตอนนี้ในห้องทรงพระอักษรมีเพียงนางกับอาหารเลิศรสบนโต๊ะนี้เท่านั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าตาของตนเองอีก
เมื่อกินไปได้สักพัก หลังจากลิ้มรสอาหารทุกอย่างจนครบ นางก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ อยากขอให้ซย่าหล่างนำอาหารที่เหลือเหล่านี้ห่อกลับไปให้เซวียนเอ๋อร์ลองชิมดูบ้าง
“ดูท่าแล้วมื้อค่ำนี้ไม่เลวเลย”
ฉู่เหลียนเฉิงตกใจยืดร่างขึ้นสุดตัว เบิกตาโตมองไปที่เฮยทั่วเทียนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำลายเมฆสีเงิน รูปโฉมโดดเด่น ไม่มีสีหน้าโกรธแต่อย่างใด รูปลักษณ์ของเขายังให้รู้สึกน่าเกรงขาม
สวรรค์! ฝ่าบาทมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ฉู่เหลียนเฉิงลุกขึ้นด้วยความลุกลี้ลุกลน รีบก้มตัวคารวะ “หม่อมฉันไม่ทันได้สังเกต…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” เฮยทั่วเทียนโบกมือแล้วนั่งลงตรงหน้านาง
แต่ไหนแต่ไรเมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาสตรีเขาจะวางตัวสบายๆ ได้เสมอ เพราะสิ่งที่พวกนางคาดหวังจากเขาค่อนข้างเดาได้ไม่ยาก เพียงหวังให้ได้รับความโปรดปรานจากเขาเท่านั้น
ทว่าหลังจากที่เขาขึ้นครองราชย์แล้วได้ประกาศให้ฝ่ายในทุกคนมียศเท่ากัน ไม่มีการแต่งตั้งสนม อีกทั้งหญิงสาวที่เข้าวังก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรีหรือชนชั้นสูง ด้วยเหตุนี้สกุลดังและมั่งคั่งทั้งหลายจึงล้วนปวดหัวไปตามกัน พวกเขากุลีกุจอหาญาติห่างๆ ที่มีหน้าตาสะสวยส่งเข้าวัง แค่ความสัมพันธ์เพียงชั่วคืนก็นับว่ายุ่งเหยิงมากแล้ว เขายังเกรงว่าจะมีคนจากฝั่งตรงข้ามที่แสดงออกมาว่าต้องการไต่ไปให้ถึงตำแหน่งสูงในราชวงศ์ด้วย เขาจึงตัดสินใจไม่แต่งตั้งใครขึ้นมาในตอนนี้
“เหตุใดตอนที่เจ้ากินอาหารถึงได้…” เฮยทั่วเทียนนึกไปถึงสีหน้าเบิกบานใจตอนที่นางเห็นอาหารตรงหน้าเมื่อครู่ ไม่อาจเข้าใจความคิดของหญิงสาวผู้นี้ได้จริงๆ
ฉู่เหลียนเฉิงยืนขึ้นด้วยความมึนงง อยากจะใช้คำพูดที่เหมาะสมพูดออกไป แต่เป็นเพราะกินอิ่มมาก ความคิดนางยามนี้ตื้อไปหมดจึงได้พูดโพล่งออกไป
“มีอาหารให้กิน แน่นอนว่าต้องมีความสุข นับว่าไม่มีความสุขใดมาเทียบได้เพคะ”
เฮยทั่วเทียนมองนางอีกครา เห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่ออาหารบนโต๊ะของนางแล้วจึงได้ปล่อยให้สีหน้าเคร่งขรึมของตนเองอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
องค์หญิงสามแคว้นหนานฉู่แม้จะเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าจิตใจดี เฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ และมีคุณธรรม แต่แท้จริงแล้วนางยังเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ในบรรดาราชนิกุลนอกจากโม่ชิงที่เคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาจนสนิทกันตั้งแต่เยาว์วัยกับฟางกังแม่ทัพกองกำลังรักษาวังแล้วก็ไม่มีใครกล้าวางตัวตามสบายต่อหน้าเขาอีก
“เจ้ากินต่อสิ” เฮยทั่วเทียนมองนางแวบเดียว “นั่งลงแล้วกินให้หมดเถอะ”
ซย่าหล่างนำคนเดินเข้ามาจัดวางอาหารชั้นเลิศถวายฮ่องเต้ เฮยทั่วเทียนใช้เวลาไม่นานก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้สังเกตนางที่กำลังเบิกตาโพลงจ้องมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม ท่าทางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ฟุบหลับลงไป
ฉู่เหลียนเฉิงรู้สึกเสียใจขึ้นมาในภายหลังจริงๆ ที่นางกินอาหารเหล่านี้ไปช้ามาก จึงไม่ทันได้รีบกลับไปพักผ่อนที่จวนของนางให้เร็วกว่านี้
“เล่าข้อเสนอต่อเป่ยโม่จบ เจ้าก็กลับไปได้” เฮยทั่วเทียนวางตะเกียบลงแล้วมองนางนิ่งๆ
นางไม่ปฏิเสธ ทั้งยังเบิกตากว้างหลังฟังคำของเขาจบ พริบตาเดียวนางก็ตั้งสติได้ ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตหลวง นางจึงได้เขียนแผนการไว้หนึ่งอย่าง ตอนนี้เมื่อไม่ได้ตรึกตรองใดๆ ก็พูดโพล่งออกไปไม่แม้แต่จะหยุดคิด
“แผ่นดินเป่ยโม่ครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ทรัพยากรย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้จะมีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่กว่าร้อยปีในการควบคุมกำลังทหาร ยึดความดีความชอบทางทหารเป็นหลักแล้วประทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ ถือจำนวนหัวศัตรูเป็นรางวัล พยายามอย่างที่สุดเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางทหารและความสำเร็จต่อเป่ยโม่ เช่นที่หม่อมฉันเคยได้ทูลไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่สิ่งที่ราษฎรชาวเป่ยโม่ต้องการอย่างแท้จริงกลับเป็นเพียงความสงบสุขและการได้กินอิ่มท้อง หากเพื่อจะให้เกิดความสงบสุขและราษฎรได้กินอิ่มท้องขึ้นมานั้น พื้นที่ของเป่ยโม่ก็ควรมีการขุดคลองทดน้ำเข้านาขึ้นเพคะ”
“ขุดคลอง คำนี้เจ้าพูดออกมาง่ายดายเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าการขุดคลองต้องใช้กำลังแรงกายและปัจจัยจากราษฎรไปเท่าไหร่ ถ้าต้องใช้เวลานานถึงสิบปี ทั้งแคว้นจะพบเจอกับความรุ่งเรืองได้อย่างไร” เฮยทั่วเทียนโน้มตัวไปข้างหน้าจ้องนางเขม็ง
“หากเพื่อราษฎรแล้ว เวลาสิบปีจะเป็นไปมิได้เชียวหรือ หลังจากสิบปีฝ่าบาทก็ประสบความสำเร็จไปอีกร้อยปี ถือเป็นคุณไปอีกพันปีเพคะ” น้ำเสียงของนางก้องกังวาน สบตากับเขาโดยปราศจากความหวาดกลัวใดๆ
“แคว้นเป่ยโม่ของเรายังขาดคนมีฝีมือในการขุดคลอง”
“แคว้นเหลียงมีฝีมือทางด้านการสร้างสะพานทำถนน แต่เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นเป่ยโม่กับซีไป่จึงถูกคุกคามจากทั้งสองแคว้นมาตลอด ไม่มีทางแข็งแกร่งมั่งคั่งขึ้นมาได้เลย หากฝ่าบาทส่งคนให้ไปโน้มน้าวแคว้นเหลียง ขอเพียงแค่พวกเขาช่วยเป่ยโม่สร้างคลอง เป่ยโม่ก็จะไม่ก่อสงครามกับแคว้นเหลียงอีก เช่นนี้แล้วเหตุใดแคว้นเหลียงจะไม่ช่วยกันเล่าเพคะ”
เฮยทั่วเทียนไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงแค่มองดวงตาใสคู่นั้นของนางนิ่งๆ เท่านั้น
ฉู่เหลียนเฉิงคาดเดาอารมณ์จากสีหน้าของเขาไม่ออก หวังแต่ว่าเขาจะได้ยินคำกล่าวของนาง สร้างประโยชน์เพื่ออีกหนึ่งร้อยปีภายหลังแก่ราษฎร ดังนั้นนางจึงรีบลุกจากเบาะที่นั่ง ยืดตัวแล้วคารวะ
“ตอนที่หม่อมฉันเป็นขุนนางของฝ่าบาท หม่อมฉันก็ถือเป่ยโม่เป็นแคว้นตนเองแล้ว หากฝ่าบาทเคลือบแคลงใจในความภักดี ก็โปรดประทานยาพิษดั่งเช่นเมื่อครั้งที่หม่อมฉันยังเป็นตัวประกันเถิดเพคะ”
“เจ้าคิดว่าร่างกายเจ้าเป็นเช่นนั้นจะรับยาพิษได้เสียเท่าไหร่กัน”
ฉู่เหลียนเฉิงยิ้มออกมากับคำพูดของเฮยทั่วเทียน ช่างโชคดีที่ได้เจอกับฮ่องเต้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตคน ฮ่องเต้เช่นนี้ย่อมต้องนึกถึงราษฎรอย่างแน่นอน
“เจ้าไปได้แล้ว” เฮยทั่วเทียนเอ่ย
ฉู่เหลียนเฉิงทูลลา หันหลังออกจากวังจื่อจี๋ไป แต่ในสมองกลับยังคงนึกถึงท่าทางของเฮยทั่วเทียน
ตอนที่นางพูดถึงเรื่องขุดคลองทดน้ำขึ้นมา สีหน้าเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ และก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร หรือเขาอาจเคยใคร่ครวญถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
นางตัดสินใจว่าหลังจากกลับออกมาจะเข้าไปเยี่ยมเยียนทหารเรือที่มีชื่อเสียงของเป่ยโม่ซึ่งอยู่ในวังเสียหน่อย หารือกับพวกเขาอย่างละเอียดแล้วค่อยเขียนข้อดีข้อเสียของการสร้างคลอง ให้การสร้างคลองทดน้ำนี้เป็นผลดีต่อราษฎรไม่ใช่รบกวนการทำงานของพวกเขา
เวลาที่นางจะทำอะไรบางอย่างมักมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ ฮ่องเต้ที่ทำงานในวังนั้นจิตใจต้องกว้างขวาง เพราะหากงานของนางราบรื่นก็จะเป็นผลดีต่อราษฎรส่วนรวม ชีวิตนี้ก็ถือว่ามีค่าไม่เสียแรงอาจารย์ที่ได้สอนสั่งนางแล้ว นางไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด ถึงแม้ชีวิตจะถูกลิขิตให้อยู่ได้ไม่นาน แต่การได้พบเจอกับฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว…
บทที่สาม
วันต่อมา ตอนที่ฉู่เหลียนเฉิงมาถึงวังจื่อจี๋ เฮยทั่วเทียนกำลังปรึกษากับเหล่าขุนนางที่ตำหนักเหวินเฟิ่งจึงให้ซย่าหล่างพานางไปห้องทรงพระอักษรแล้วจัดการคัดลอกคำสั่งของเขาไปก่อน
นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาจึงได้ยอมให้นางรับหน้าที่นี้ ฮ่องเต้ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทุกฝ่ายอำนาจไม่มีการโยงใยกัน นางซึ่งเป็นตัวประกันจากต่างแคว้นก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นนางยังถูกจับตาและตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากเฮยทั่วเทียนมาแล้ว ยากที่จะหนีรอดจากเงื้อมมือของเขาได้
หากไม่ใช้ข้าทำงานแล้วจะเป็นใครไปได้อีกเล่า…
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ฉู่เหลียนเฉิงได้มีโอกาสพบฮ่องเต้เพียงบางครั้งบางคราเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่นางจะเจอกับซย่าหล่างมากกว่า ทั้งสองคนมักปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องอาหาร นางพูดถึงอาหารอร่อย รวมไปถึงว่าเคยติดตามหมอเทวดาชื่อดังของหนานฉู่มาหลายปีจึงค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารที่บำรุงร่างกาย ทุกครั้งที่พูดถึงหน้าตาของอาหาร ซย่าหล่างมักจะนำไปบอกต่อให้พ่อครัวในวังทำ ซึ่งหน้าตาของอาหารก็ออกมาได้ค่อนข้างคล้ายคลึง ทำให้นางอยากกินอาหารและของหวานที่ทั้งให้ความอร่อยและบำรุงร่างกายทีเดียวพร้อมกันนี้เสมอ เพียงเท่านี้นางก็พอใจกับชีวิตมากแล้ว
ซย่าหล่างลอบบอกฉู่เหลียนเฉิงว่าเมื่อวันก่อนพ่อครัวในวังได้นำของหวานที่นางบอกทุกอย่างขึ้นถวายฮ่องเต้ ฝ่าบาทที่ปกติไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารการกินไม่เพียงถามหลายครั้งว่าทำมาจากอะไรบ้าง ยังสั่งให้คนนำของหวานหลายอย่างไปส่งยังตำหนักองค์ชายสองที่ล่วงลับไปแล้วเพื่อประทานให้แก่ ‘เฮยหลิงหลง’ ลูกสาววัยห้าขวบขององค์ชายสอง แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็ประทานรางวัลให้แก่พ่อครัวในวังเช่นกัน เหตุนี้พ่อครัวจึงมักมาถามนางเกี่ยวกับอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ
เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นเช่นนี้ แม้ฉู่เหลียนเฉิงจะเหนื่อยกายเพียงใดนางก็ยินดีที่จะร่วมมือด้วย ถึงแม้ความจำในสมองนางจะจำได้เพียงจำกัด แต่ปัญญาของบรรพบุรุษนั้นมีไม่จำกัดสักนิด อาหารที่ปรากฏอยู่ภายในหนังสือเก่าแก่เหล่านั้นก็ได้แต่รอให้นางไปศึกษาดูแล้ว
และแม้นางจะยังไม่รู้ว่าเฮยทั่วเทียนคิดอย่างไรเกี่ยวกับการขุดคลองทดน้ำที่นางได้พูดไป แต่กระนั้นนางก็ยังมีงานอื่นมากมายที่ต้องทำ ทั้งรู้สึกว่าตนเองยังมีประโยชน์ต่อฮ่องเต้ผู้เก่งกาจ จึงตั้งอกตั้งใจในตอนที่เขียนสาส์นไปโดยปริยาย รวมไปถึงเรื่องอาหารการกินในวังหลวงที่ดีมาก จนสุดท้ายทำให้นางที่แต่เดิมผอมบางเริ่มมีแก้มกลมขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้นอกจากเป็นห่วงท่านลุงและครอบครัวซึ่งอยู่ระหว่างทางจากหนานฉู่มาที่เป่ยโม่แล้ว นางก็หาได้มีเรื่องให้กังวลใจอีกจริงๆ
บางทีอาจยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเป็นห่วงคือเมื่อใกล้ช่วงชิงหมิง พิษในตัวของนางมักจะแสดงอาการกำเริบออกมา อีกทั้งเมื่อวานฝนก็ตกตลอดทั้งวัน พอนางออกจากวังเดินขึ้นสะพานไม่ทันได้ระวังจึงทำให้ทั้งรองเท้าและถุงเท้าเปียกชุ่มน้ำฝนที่ตกค้างบนพื้นเข้า ไอเย็นในตอนนั้นเริ่มแผ่ลามจากฝ่าเท้ากระจายขึ้นไปทั่วตัว ระหว่างทางกลับบ้านนางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งกาย เซวียนเอ๋อร์รีบเตรียมน้ำอุ่นให้นางได้ลงไปแช่ แล้วยังต้มน้ำขิงไว้ให้ดื่ม แต่เช้าวันรุ่งขึ้นนางก็ยังคงรู้สึกเวียนหัว แขนขารู้สึกเย็นจนแข็งไปหมดอยู่ดี
นางกินยาต้านหนาวหลังจากนั้นก็พักผ่อนให้มาก เพียงแต่นางได้เป็นขุนนางกินเงินเดือน หลังพักผ่อนไปชั่วครู่จึงยังคงต้องเข้าวังไปจัดการภาระงาน อย่างไรก็ตามปกติแล้วหากเมื่อเลยเวลาบ่ายไปแล้วฮ่องเต้ยังไม่ได้เสด็จมาที่วังจื่อจี๋ ก็หมายความว่าพระองค์จะไม่เข้ามาอีกแล้ว ยามนี้นางจึงกลับจวนได้เร็วขึ้นจากเดิมนิดหน่อย
ฉู่เหลียนเฉิงหยิบยาบำรุงออกมาจากอกเสื้อแล้วกลืนเข้าไปหนึ่งเม็ด หลังจากที่นางได้ฝืนควบคุมขาที่กำลังสั่นและปวดเล็กน้อยอยู่ภายในกายตลอดเวลาที่ทำงาน
นางยกมือขึ้นนวดเปลือกตาและตัดสินใจว่าจะคัดลอกหน้าสุดท้ายที่ใกล้เสร็จแล้วนี้ให้เรียบร้อย นางจะได้รีบกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อนพิษจะกำเริบขึ้นมา
สภาพร่างกายในวันนี้คงทนได้อีกไม่นานแล้ว…
สำหรับตำแหน่งผู้ช่วยอาลักษณ์ของฉู่เหลียนเฉิงนี้ เฮยทั่วเทียนบอกได้ว่านางทำงานได้เป็นที่น่าพอใจ
นางไม่พูดมาก ทั้งทำงานอย่างขะมักเขม้นและรู้หน้าที่ดี ส่วนเรื่องการพบปะผู้คนในหลายปีมานี้ เป็นเพราะสุขภาพร่างกายของฉู่เหลียนเฉิงไม่เหมือนกับผู้อื่น แม้เทียบเชิญไปงานต่างๆ จะมีมาไม่ได้ขาด แต่นางมักจะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ก็ยังคงมีมิตรภาพอันดีกับไป่ซั่งเสียน
อีกทั้งนางเป็นผู้ที่มีความคิดที่ว่องไวมาก ทุกครั้งที่เขาเลือกฎีกาเล่มเล็กๆ ออกมาจำนวนหนึ่งให้นางกลับไปพิจารณาดู ฉู่เหลียนเฉิงมักจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเขาก็จะได้รับคำตอบจากนางแล้ว ที่ยอดเยี่ยมไปกว่านั้นคือเรื่องขุดคลองทดน้ำ เขาเพิ่งจะเอ่ยปากบอกให้นางไปเขียนข้อดีข้อเสียมา ดวงตาของอีกฝ่ายพลันเป็นประกายแล้วหยิบม้วนกระดาษที่นางเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากอกเสื้อ ความยาวสิบกว่าหน้า ตัวหนังสือประณีตเรียบร้อย นำเอาข้อดีข้อเสียมาแจกแจงไว้ทั้งหมด
“ภายในสมองขององค์หญิงเหลียนเฉิงผู้นี้ใส่อะไรไว้บ้างนะ การทำให้แคว้นเป่ยโม่ของพวกเราร่ำรวย ราษฎรอยู่อย่างสงบสุขเกี่ยวกับนางอย่างไร…เหตุใดนางจึงได้มีความเห็นอะไรมากมายเช่นนี้” วันนี้ที่ตำหนักอู่หวงหลังจากที่แม่ทัพโม่ชิงได้อ่านสาส์นที่เฮยทั่วเทียนให้เขาจนจบจึงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“หรือว่านางจะทำให้เราตายใจต่อหนานฉู่อย่างไม่ต้องสงสัย หรือนางมีความคิดอย่างอื่นที่ทำให้เราคาดไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนทั่วไป” เฮยทั่วเทียนหยิบจดหมายลับอีกหนึ่งฉบับเกี่ยวกับชีวิตของฉู่เหลียนเฉิงออกมาส่งให้โม่ชิง
ในจดหมายลับพูดถึงเรื่องแม่ของฉู่เหลียนเฉิง ซึ่งเสียสติไปเพราะไม่ได้รับความโปรดปราน ต่อมาจึงถูกคุมตัวไปอยู่ในตำหนักเย็น จนกระทั่งเสียชีวิตที่นั่น ถึงแม้ตัวของฉู่เหลียนเฉิงจะมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมและพรสวรรค์ แต่ยามนางอยู่ที่หนานฉู่กลับไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย ส่วนใหญ่นางต้องพึ่งพาท่านลุงที่เป็นหมอคอยดูแล อีกทั้งเคยถูกนับว่าเป็นศิษย์อยู่ในสำนักศึกษาที่โจมตีราชวงศ์ด้วยคำพูดหยาบคายจนเกิดคดีความขึ้น นางถูกจับเข้าไปสอบปากคำในคุก ต่อมายังถูกบังคับให้กินยาพิษเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ถ้าหากตอนนั้นที่หนานฉู่ไม่ได้มีหมอเทวดาคอยดูแลนางอยู่ใกล้ๆ เกรงว่านางคงจากโลกนี้ไปนานแล้ว
“องค์หญิงเหลียนเฉิงผู้นี้ได้รับความทุกข์ยากเหลือเกิน เมื่อก่อนข้ายังเคยได้ยินข่าวที่นางติดตามหมอเทวดาไปทั่ว แต่ไม่เคยรู้เลยว่านางที่เป็นถึงองค์หญิงผู้หนึ่งแต่กลับได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมถึงขนาดนี้เลยจริงๆ” โม่ชิงอ่านจดหมายลับจบแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันเบา
“ก็เพราะนางเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนั้น นางในตอนนี้จึงได้มีความสบายใจบางอย่างที่คนอื่นไม่มี”
ตอนนี้ยามที่เฮยทั่วเทียนนึกถึงนาง เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหน้าตาของนางยิ่งใสกระจ่างอยู่ในความคิดเขามากขึ้น เขาเคยชินแล้วกับการที่มีนางนั่งทำงานอยู่อีกฝั่งหนึ่ง บางคราเขาก็สั่งให้นางกินอาหารร่วมกัน เป็นเพราะนางมักจะเริงร่าเพลิดเพลินกับอาหารอยู่เสมอ เขามองนางไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ตนเองกินอาหารได้มากขึ้นกว่าปกติด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วการที่เคยผ่านความยากลำบากมาจึงทำให้เข้าใจได้ถึงความสุข เช่นนางและเขากระมัง
“นางเป็นคนมีความสามารถ หลังจากที่ข้าได้รู้จักนางมาสักระยะหนึ่งก็ตั้งใจจะให้นางเข้าสำนักบัณฑิตหลวง” เฮยทั่วเทียนกล่าว
“เช่นนั้น…ข่าวที่เพิ่งจะได้รับมาจากหนานฉู่ ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบอะไรกับนางหรือไม่…”
“ให้คนไปบอกฉู่เหลียนเฉิง”
“ฝ่าบาทจะบอกนางอย่างนั้นหรือ!” โม่ชิงประหลาดใจ
“ความลับเกี่ยวกับราชนิกุลหนานฉู่จงปิดให้มิด อย่าได้พูดถึง ส่วนเรื่องอื่นไม่ช้าก็เร็วนางก็จะรู้เองอยู่ดี อีกทั้งยามนี้นางได้เป็นขุนนางของเป่ยโม่แล้ว ล้วนต้องทุ่มเทความคิดและจิตใจให้มั่นคงกับเป่ยโม่ต่อไป” หากนางไม่ผ่านด่านนี้ไปก็นับว่านางไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าสำนักบัณฑิตหลวง นี่เป็น…
บททดสอบที่เขามอบให้นาง!
ฉู่เหลียนเฉิงที่เดิมทีวางแผนว่าจะกลับจวน แต่ก่อนที่จะออกจากวังจื่อจี๋ก็ได้รับคำสั่งเรียกนางเข้าเฝ้า ระหว่างที่กำลังเร่งรีบอยู่นั้นนางก็หยิบยาบำรุงขึ้นมากินมากกว่าเดิมอีกหนึ่งเม็ด ภาวนาอย่าให้ฮ่องเต้มีเรื่องอะไรสำคัญที่ต้องพูดคุยเลย
เดิมทีระยะทางแค่นี้นับว่าไม่ไกลนัก แต่เป็นเพราะร่างกายฉู่เหลียนเฉิงไม่เหมือนผู้อื่น นางจึงต้องใช้เวลาเดินมากกว่าผู้อื่นเป็นเท่าตัว เมื่อเดินเข้าไปในตำหนักอู่หวงใบหน้าของนางก็ขาวซีด แขนขาเย็นเฉียบ อากาศเย็นได้เสียดแทรกเข้าไปในเนื้อผิว ทั้งเนื้อตัวก็พลันสั่นขึ้นมา
ฉู่เหลียนเฉิงหยิบผ้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากสิ้นเสียงขันทีเรียกนางเข้าตำหนักแล้วจึงทำความเคารพต่อหน้าเฮยทั่วเทียน
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธี” เฮยทั่วเทียนมองที่ริมฝีปากปราศจากสีเลือดของนาง
โม่ชิงยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเขามองนางใกล้ๆ เช่นนี้ก็ไม่ประหลาดใจเรื่องอายุและสุขภาพอ่อนแอของฉู่เหลียนเฉิงสักนิด
ใบหน้าก็ไม่มีสีเลือด รูปร่างที่เหมือนลมพัดมาก็ปลิวได้ จะทำงานอะไรได้อย่างนั้นหรือ
“เอาจดหมายลับฉบับนั้นให้นาง” เฮยทั่วเทียนว่า
หรือควรจะตามหมอหลวงมาก่อนดี ป้องกันไว้เผื่อหลังจากนางได้อ่านจดหมายแล้วอาการเจ็บป่วยอาจกำเริบขึ้นมาจนเจ้าตัวเป็นลม โม่ชิงแอบบ่นอยู่ภายในใจแต่ก็ยังนำจดหมายลับส่งให้ฉู่เหลียนเฉิงถึงมือ
ฉู่เหลียนเฉิงซึ่งมองตรงไปข้างหน้าตลอดตอนนี้เพิ่งสังเกตรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของเฮยทั่วเทียน
“ขอบคุณท่านแม่ทัพโม่” ฉู่เหลียนเฉิงรับมาไว้ด้วยสองมือ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร” โม่ชิงมองนัยน์ตาสุกใสของนางที่แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเป็นกังวล
“แม่ทัพหนุ่มที่ทำงานให้ฝ่าบาทราวกับเป็นมือขวา อีกทั้งสามารถพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาได้ต่อหน้าพระพักตร์ ท่าทางสงบเยือกเย็นเช่นนี้ ต้องเป็นตำแหน่งของท่านแน่”
“ถึงข้าพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาได้อย่างเต็มที่ต่อหน้าฝ่าบาท หรือมีท่าทางสงบเยือกเย็น แต่บางทีอาจจะไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวก็ได้ที่เป็นอย่างนี้” โม่ชิงว่า
ฉู่เหลียนเฉิงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เพียงอยากรีบอ่านจดหมายนี้ให้จบ แล้วรีบกลับจวนของนางให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้
เพียงแต่เมื่อฉู่เหลียนเฉิงเปิดม้วนกระดาษออกมานางก็ต้องตกใจเสียจนร่างซวนเซ ไม่สามารถทรงตัวให้ยืนตรงได้อีกต่อไป
‘ฉู่อิงตาน องค์หญิงองค์โตหนานฉู่บีบบังคับให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์ ใช้ข้อหากบฏโดยไร้หลักฐานมาสังหารหมู่ฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงขุนนางมีชื่อและสกุลอื่นกว่าร้อยคน ผู้บริสุทธิ์กว่าพันคนถูกสังหารด้วยธนูจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองต้าเคิง เปลวไฟที่เผาร่างไร้วิญญาณตลอดสามวันก็ยังไม่มอด’
“อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ” โม่ชิงพูดขึ้นเบาๆ
ฉู่เหลียนเฉิงส่ายหน้าไม่ขยับไปไหน นางร้องไห้ไม่ออก เพียงกำหมัดแน่น พยายามพูดออกมาด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
“เป็นโชคดีที่หม่อมฉันคาดการณ์ได้ล่วงหน้าจึงได้มาขอพึ่งพาฝ่าบาท”
เฮยทั่วเทียนเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตาของนาง เป็นน้ำตาที่ไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปล่อยให้ไหลลงมาเสียที
“ที่ซึ่งมีฮ่องเต้เปี่ยมเมตตาก็คือแคว้นของหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันสงสารเหล่าราษฎรของหนานฉู่” มือของฉู่เหลียนเฉิงกำจดหมายลับแน่น ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงที่พื้นต่อหน้าเฮยทั่วเทียน “ฝ่าบาทได้โปรดช่วยราษฎรหนานฉู่ให้พ้นจากความทุกข์ยากด้วยเถิดเพคะ!”
“ช่วยอย่างไร” เฮยทั่วเทียนเอ่ยถาม
“ยึดหนานฉู่มาเป็นเมืองขึ้นของเป่ยโม่” ฉู่เหลียนเฉิงโขกศีรษะให้แก่เฮยทั่วเทียนหนึ่งที
เฮยทั่วเทียนกับโม่ชิงลอบสบตากัน
“จะยึดมาอย่างไร” โม่ชิงเอ่ยปากถามต่อ “ราษฎรชาวหนานฉู่แม้ไม่น่าจะเกินแสนคน แต่เมื่อเทียบกับราษฎรในเมืองหลวงของเป่ยโม่แล้วจำนวนแทบจะใกล้เคียงกัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือเขตแดนทางเหนือของแคว้นหนานฉู่ติดกับเป่ยโม่ ทางตะวันตกติดกับซีไป่ ถ้าเราเข้าโจมตีหนานฉู่ ซีไป่จะไม่ฉวยโอกาสส่งทหารมาโจมตีเราอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันได้ยินว่าซีไป่ตอนนี้มีฝนตกหนักมาร่วมเดือนแล้ว ราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ฮ่องเต้แคว้นซีไป่กลับยังคงสังสรรค์อยู่ทุกคืน ขอเพียงฝ่าบาทไม่เป็นกังวลเรื่องเงินทอง ส่งท่านทูตไปให้สินบนบรรดาขุนนางใหญ่ที่แคว้นซีไป่ ให้พวกเขาอ้างเรื่องแคว้นประสบอุทกภัยเป็นเหตุผลในการไม่ยกทัพ ขัดขวางคนที่จะส่งทัพมา…”
“เจ้าเงยหน้าขึ้น” เฮยทั่วเทียนมองใบหน้าที่ขาวซีดอีกทั้งริมฝีปากสั่นระริกของนางไม่วางตา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังพูดคือแผนการทำลายหนานฉู่”
“ระหว่างแคว้นกับแคว้นมีเขตแบ่งแยก แต่ชีวิตกับชีวิตล้วนไม่มีแบ่งแยก หม่อมฉัน…หวังว่าราษฎรของหนานฉู่จะดำเนินชีวิตได้อย่างดี…” ฉู่เหลียนเฉิงยืนขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดจุดเหอกู่ หวังเพียงว่าจะข่มเลือดลมที่ตีขึ้นมาถึงคอไว้ได้สักครู่
เฮยทั่วเทียนจับจ้องดวงตาของฉู่เหลียนเฉิง อยากให้ตนเองเดาออกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงจากใบหน้าของนาง
“เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่” โม่ชิงทนไม่ไหวพูดออกมาด้วยเสียงแผ่ว
“ราษฎรหนานฉู่ได้กินดื่มอิ่มท้อง มีชีวิตสงบสุขราบรื่นมั่นคง” ตัวของนางเริ่มโอนเอน กดปลายนิ้วไปที่จุดเหอกู่อย่างแรง นางรู้สึกเจ็บเสียจนในที่สุดก็มีสติขึ้นมา
“เช่นนั้นเจ้ายังจะให้เราส่งทหารไป?” เฮยทั่วเทียนถามด้วยท่าทางมั่นคง
“กองทหารหนานฉู่อ่อนแอ หากกองกำลังของฝ่าบาทโจมตีเข้าไป บางทีอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เอาชนะหนานฉู่ได้โดยง่าย แต่หากหนานฉู่ยอมสวามิภักดิ์ กองทหารของฝ่าบาทก็ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ จำนวนคนเสียชีวิตที่รบแพ้ของหนานฉู่แน่นอนว่าย่อมน้อยกว่าวิญญาณที่ถูกราชนิกุลประหัตประหารเสียอีก อีกทั้งวันที่ฝ่าบาทเข้ายึดเมืองโดยใช้เมตตากรุณาก็จะได้รับความเชื่อใจจากราษฎรของหนานฉู่ ขอเพียงคนหนานฉู่มีชีวิตที่สุขสบายกว่าทุกวันนี้ เหตุใดใจของราษฎรจะไม่ยอมศิโรราบแก่ฝ่าบาทเล่าเพคะ!”
เฮยทั่วเทียนจ้องหยาดเหงื่อบนหน้าผากกับสีหน้าท่าทางอดทนต่ออาการป่วยของนางจึงขมวดคิ้วเข้มพร้อมกับรับสั่งเบาๆ
“เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”
“เพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยกายที่สั่นเทาแล้วค่อยหมุนตัวเดินออกมา แต่เพียงก้าวที่สองนางก็หายใจหอบจนเดินต่อไม่ไหว
ฉู่เหลียนเฉิงไอออกมา เมื่อไอออกมาแล้วก็หยุดมันไม่ได้ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปากระหว่างที่กลิ่นเลือดคละคลุ้งอยู่ภายใน นางจึงรู้ตัวว่าตอนนี้พิษได้กำเริบแล้ว
ถ้าหากฝ่าบาทรู้ว่าสุขภาพของนางแย่กว่าที่เขาคิดเป็นเท่าตัว งานราชการนี้นางจะยังได้ทำอีกหรือ เขาจะยังกล้ามอบตำแหน่งที่สำคัญนี้ให้นางอย่างนั้นหรือ…
ฉู่เหลียนเฉิงนึกอยากเร่งฝีเท้าแต่พิษร้ายกลับสำแดงไวยิ่งกว่า ขาทั้งสองข้างกับความคิดของนางไม่ได้ทำตามคำสั่งอีกต่อไป นางหยิบยาชุ่ยเซียนใส่ในปากพร้อมกับที่เข่าทั้งสองข้างอ่อนแรงล้มลง ร่างกายเซไปข้างหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ใครก็ได้เข้ามา! พานางไปที่วังจื่อจี๋และตามหมอหลวงมาโดยเร็ว!”
ก่อนจะล้มลงกับพื้นนางได้ยินฝ่าบาทพูดเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองน้อยๆ
เฮยทั่วเทียนมองฉู่เหลียนเฉิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงยาว ใบหน้าไร้สีเลือด ลมหายใจอ่อนแรงดุจคนตายไปแล้ว
“ภายในร่างกายขององค์หญิงเหมือนว่าจะมีพิษสะสมอยู่ อวัยวะห้ากลั่นหกกรองขององค์หญิงเทียบกับคนปกติทั่วไปแล้วอ่อนแอกว่า ยิ่งได้รับลมหนาวเข้าไปจึงได้วิงเวียนจนถึงตอนนี้ เมื่อครู่เพิ่งได้รับยาขับพิษเข้าไป หลังจากหนึ่งชั่วยามอาจได้สติขึ้นมา หลังจากนี้จำเป็นต้องทั้งขับพิษไปด้วย ทั้งบำรุงเลือดลมเสริมไปด้วย หลีกเลี่ยงการพักผ่อนไม่เพียงพอ และอย่าให้องค์หญิงมีเรื่องที่กังวลพระทัยอีกพ่ะย่ะค่ะ…” หมอหลวงกล่าวถึงอาการอย่างละเอียด
“หากไม่บำรุง ไม่ใส่ใจ ไม่พักผ่อนเล่า” เฮยทั่วเทียนเอ่ยถาม
หมอหลวงมองสีหน้าเคร่งขรึมของฝ่าบาท เหงื่อกาฬออกเต็มแผ่นหลัง องค์หญิงเหลียนเฉิงไม่เพียงร่างกายซูบผอมอย่างมาก ทั้งยังรับราชการอยู่ ร่างกายของนางย่อมต้องป่วยไข้
แต่ยามนี้องค์หญิงอยู่ภายในวังของฝ่าบาท น่าจะเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องทางใจของฝ่าบาทไม่มากก็น้อย เขาควรให้ความสำคัญกับคำตอบนี้สักหน่อย
“กราบทูลฝ่าบาท หากองค์หญิงได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ อาจจะมีอายุยืนยาวไปอีกสิบปี”
สิบปี? เฮยทั่วเทียนเม้มปาก สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของนาง กล่าวออกไปโดยไม่กะพริบตาว่า
“พวกเจ้าถอยออกไปให้หมดก่อน เคี่ยวยาเสร็จแล้วคอยนำเข้ามา”
รอจนกระทั่งเหลือเพียงพวกเขาสองคน เฮยทั่วเทียนจึงนั่งลงบนขอบเตียงและมองนาง
ฉู่เหลียนเฉิงอายุน้อยมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้จึงได้เป็นที่รู้จักไปทั่วในหนานฉู่ แม้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ แต่ยังคงได้รับความเคารพรักจากเหล่าราษฎร ผู้คนล้วนกล่าวว่านางรักราษฎร รักสัตว์ ไม่มีการถือตัวว่าตนเป็นราชนิกุล ทั้งบรรเทาความทุกข์ยาก และรับฟังความคิดเห็นของราษฎร เมื่อนางออกไปข้างนอกก็มักจะได้รับการต้อนรับและเสียงตะโกนให้กำลังใจจากราษฎรที่มารอกันแน่นขนัดอยู่ทั้งสองข้างทาง ความสามารถยอดเยี่ยมนี้ของนางได้สั่นคลอนใต้หล้า หลายปีก่อนเป็นเพราะฮ่องเต้หนานฉู่ได้หลงเชื่อคำใส่ร้ายขององค์หญิงใหญ่ คิดว่าฉู่เหลียนเฉิงยุยงให้เหล่าบัณฑิตในสำนักศึกษาวิจารณ์การเมือง นางจึงถูกจับไปทรมาน หลังจากผ่านเรื่องนี้มาหลายปีทั้งฮ่องเต้หนานฉู่ และองค์หญิงใหญ่ก็ยังคงรู้สึกระแวงต่อฉู่เหลียนเฉิงเช่นเดิม จึงได้ส่งนางมาเป็นตัวประกันที่เป่ยโม่ อีกทั้งตั้งใจตัดขาดนางจากชีวิตของพวกเขา
เพียงแต่เขาคิดว่าเรื่องที่นางถูกบังคับให้กินยาพิษอาจเป็นเพียงข่าวลือ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กล้าที่จะเสนอตัวเข้ารับตำแหน่งเช่นนี้…เขารู้แต่แรกแล้วว่าแม้สุขภาพนางจะอ่อนแอ แต่นางก็ยังมีประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก เพราะการที่เขาคิดจะยึดหนานฉู่นั้นไม่นับเป็นเรื่องยากอะไร แต่หากจะกำราบสักแคว้นหนึ่งให้ยอมศิโรราบและทำให้ราษฎรเกิดความสงบสุขขึ้นได้นั้นกลับต้องมีแผนการที่ดี
เขาตั้งใจจะยึดหนานฉู่มาเป็นส่วนหนึ่งของเป่ยโม่ให้ได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้นำคนหนึ่งซึ่งจงรักภักดีต่อเป่ยโม่อีกทั้งสามารถทำให้ราษฎรในแคว้นนั้นสงบไม่ลุกขึ้นมาสู้กับเป่ยโม่ได้ด้วย และเขาคิดว่าฉู่เหลียนเฉิงจะเป็นคนผู้นั้น
แต่แผนการนี้ยังไม่ทันได้เริ่ม นางกลับล้มลงเสียแล้ว
เขาไม่ชอบให้เกิดเรื่องที่เกินกว่าเขาจะควบคุมมันได้ และนาง…ไม่เคยอยู่ในการควบคุมของเขาได้เลย
เฮยทั่วเทียนจ้องมองนาง ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปทดสอบลมหายใจของนาง
ลมหายใจแม้อ่อนแรงแต่ถือว่ายังไม่ตาย
ตอนที่ตนเองดึงมือกลับไม่ทันได้ระวังนิ้วจึงกวาดไปโดนแก้มของนางเข้า สัมผัสเนียนนุ่มดุจผ้าไหมนั้นทำเขาตกใจ เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบใบหน้านางอย่างไม่อาจควบคุมได้
ฝ่ายในมีสตรีมากมาย แต่สตรีผู้ใดก็ไม่มีใครมีผิวใสดุจน้ำบริสุทธิ์ ผิวที่เยียบเย็นราวสายน้ำเช่นนี้ที่เขานึกออกก็มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
เขาออกแรงเพิ่มอีกนิดหน่อย รู้สึกว่าผิวเนียนนุ่มของนางทำให้ปลายนิ้วเขารู้สึกชาขึ้นมา
นางย่นคิ้ว พึมพำเบาๆ เสียงของนางเยียบเย็นเหมือนกับตัว
เฮยทั่วเทียนขมวดคิ้ว พบว่าตนเองใจสั่นเล็กน้อย นิ้วยาวไล้ไปตามใบหน้าและลำคอของนางอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นจึงออกแรงขึ้นอีก ส่วนที่ปลายนิ้วของเขาลากผ่านล้วนขึ้นเป็นรอยยาวสีชมพูราวกับกลีบของดอกอิงฮวา
“…ข้าไม่เป็นไร” นางพูดโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
เฮยทั่วเทียนมองหญิงสาวคนนี้ที่เห็นว่าเป็นอะไรชัดๆ เพียงครู่คิ้วเข้มก็ขมวดแน่น
นางป่วยมาหนักและนานเท่าไหร่แล้วกันแน่ถึงได้มีความคิดไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง ยังไม่ทันจะได้สติดี ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมานางก็รีบพูดว่า ‘ข้าไม่เป็นไร’ แล้ว!?
ปลายนิ้วปัดผ่านริมฝีปากไร้สีเลือดของนาง ดวงตาดำขลับจับจ้องบนแพขนตาที่สั่นไหวน้อยๆ ของนางนิ่งงัน
นางลืมตามองด้วยสายตาที่ยังจับภาพได้ไม่ชัด ยังคงไม่ได้สติคืนมา
“ข้าไม่เป็นไร” ฉู่เหลียนเฉิงขยับริมฝีปาก สัมผัสถูกนิ้วมือของเขาเข้าพอดี
นัยน์ตาเขาเกิดประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบชักมือกลับ
นางลืมตาขึ้นทันทีเพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าคนตรงหน้านางแท้จริงคือฮ่องเต้เป่ยโม่ มิใช่ข้ารับใช้ที่ดูแลนางเป็นประจำ
ฉู่เหลียนเฉิงพยายามอย่างยิ่งที่จะยันตัวขึ้นคารวะ แต่พยายามแล้วนางก็ทำไม่สำเร็จจริงๆ จึงทำได้เพียงแค่พูดด้วยเสียงสั่น “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันไร้มารยาท ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ แต่หน้าที่ที่หม่อมฉันได้รับมาจะไม่มีทางให้สิ้นเปลืองเบี้ยหวัดของฝ่าบาทเลยเพคะ”
“สุขภาพเจ้าเป็นเช่นนี้ยังจะทำอะไรได้อีก” เขาใช้สายตาเย็นชามองนาง
“ที่ทำได้นั้นมีมากมาย ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมองแล้วหม่อมฉันก็ยังใช้การได้ ร่างกายก็ยังขยับได้ ยังถือว่าทำได้อีกมาก…” เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสุขภาพของนางไม่ได้แย่ขนาดนั้น จึงได้ฝืนตัวเองอยู่หลายครั้งจนท้ายที่สุดนางก็ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างทุลักทุเล
“เจ้านอนลงไปเถอะ” เฮยทั่วเทียนดันไหล่ของนางให้นอนลงกับหมอน
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” นางพ่นลมหายใจออกยาวๆ มือน้อยจับผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมมองเขา ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับนาง
เขามองนางที่มีผมสีดำดุจน้ำหมึกกระจายล้อมกรอบดวงหน้าขาวราวหิมะ ใบหน้านางซูบตอบจนน่าตกใจ แต่ดวงตาสดใสคู่นั้นกลับทำให้คนที่ได้มองละสายตาไม่ได้
“ฝ่าบาท…” นางถูกจ้องเสียจนไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงหายใจ
“เจ้าถูกพิษอะไรมา เหตุใดจึงไม่บอกเรา” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พิษชนิดนี้ชื่อว่าอิ่นโอว เมื่อตอนหม่อมฉันอายุได้สิบสองปีถูกบังคับให้กินยาพิษเข้าไป อาจารย์หมอเทวดาของหม่อมฉันเป็นพวกหลงใหลเกี่ยวกับยา ไม่มีสักวันที่เขาจะไม่คิดค้นยาถอนพิษ แต่ฤทธิ์ของมันไม่มีทางที่จะขับออกมาได้ทั้งหมด ทุกปีจะมีอาการกำเริบขึ้นหนึ่งครั้ง เมื่ออาการกำเริบหม่อมฉันก็จะกินยา แต่พักผ่อนเพียงไม่กี่วันอาการก็ดีขึ้นเองเพคะ” นางจงใจปกปิดผลสุดท้ายของพิษร้ายโดยการไม่พูดถึง เพียงแค่พูดต่อเบาๆ ว่า “แต่ก็เป็นโชคดีที่หม่อมฉันถูกพิษ เพราะอาจารย์หมอเทวดาได้ให้หม่อมฉันทดลองกินยาอีกหลายขนาน ทั้งพาหม่อมฉันขึ้นเขาลงห้วย ตระเวนกันไปทั่วหล้า จึงทำให้หม่อมฉันได้หนีออกมาจากการต่อสู้ภายในวังได้ ส่วนเหตุผลที่หม่อมฉันไม่พูดถึงให้ฝ่าบาทรับรู้นั้น…”
“กลัวว่าเราจะไม่ให้เจ้ารับราชการด้วยเหตุผลนี้”
นางพยักหน้า หลุบตาลง และหลบสายตาของเขา
“เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ” เขาจับปลายคางของนางให้เงยใบหน้าขึ้น
“กลัวเพคะ กลัวที่สุดคือการตายไปพร้อมกับความหิวโหย”
เฮยทั่วเทียนหัวเราะออกมาแต่ก็เป็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
ฉู่เหลียนเฉิงมองเขา ภายในอกที่บีบรัดพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอยู่บนเตียงเดียวกับฮ่องเต้รูปงามเพียงสองต่อสอง แม้นางจะบริสุทธิ์ใจ แต่ความคิดอีกด้านของตนเองกลับเห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดเช่นนี้
จิตใจที่หมกมุ่นทุกคนล้วนมีอยู่แล้ว ข้าแค่ป่วยเท่านั้นแต่ไม่ได้ตายนี่นา
“เจ้าพักผ่อนเถอะ” เขาพลันลุกขึ้นยืน
“หม่อมฉันค่อยกลับไปพักที่จวนดีกว่าเพคะ”
เขาหันกลับมาจ้องนางเขม็ง ขมวดคิ้วเข้ม ท่าทางไม่พอใจในคำตอบ จนผู้ที่ถูกมองเกิดความครั่นคร้าม
“หม่อมฉันจะรีบพักผ่อนเดี๋ยวนี้เพคะ” แม้เปลือกตาของฉู่เหลียนเฉิงจะปิดลง แต่มือข้างหนึ่งยังจับอยู่บนหน้าท้อง ตื่นขึ้นมาแล้วนางก็รู้สึกเหมือนจะหิวขึ้นมานิดๆ
“เราจะให้คนนำอาหารมาให้”
นางรีบพยักหน้ารัวๆ อีกทั้งใบหน้าแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เฮยทั่วเทียนยกยิ้มมุมปาก และพบว่าตนเองกำลังก้าวเข้าไปใกล้นางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เขาพลันได้สติ สีหน้ากลับมาเคร่งขรึม ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
วันแรกที่เขาออกว่าราชการ เขาได้บอกกับตนเองไว้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสตรีคนใดก็ได้ในใต้หล้า แต่เขาจะไม่มีทางให้สตรีคนไหนมามีผลกระทบต่อเขา ฝ่ายในก็อย่าได้คิดจะมายุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองแม้เพียงเล็กน้อย เขาเชื่อมั่นว่าไม่มีทางที่สตรีคนไหนจะมาทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจนี้ไปได้
ฉู่เหลียนเฉิงมีซย่าหล่างคอยดูแลระหว่างกินอาหาร ดื่มยาหมดเขาก็ให้หมอหลวงมาจับชีพจรนางอีกครั้ง หลังจากหมอหลวงบอกเล่าเกี่ยวกับพิษในตัวนางและส่วนผสมของยาทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว เดิมทีนางอยากพักผ่อนอยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่แล้วค่อยกลับจวน ทว่าคิดไม่ถึงว่าเมื่อหลับตาลงแล้วนางก็หมดแรงหลับไปเลยทันที ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะ…
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.