X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3

เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ชั่วขณะ พยายามประเมินความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนตอบอย่างระมัดระวังว่า “เราสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก เลยเข้าเรียนล่าช้าอยู่บ้างเมื่อเทียบกับเสด็จพี่คนอื่นๆ ตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็เคยตำหนิเราอยู่เนืองๆ ว่าประพฤติไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น หากเรากระทำการสิ่งใดที่เป็นการเสียมารยาทลงไป ขอเว่ยโหวได้โปรดชี้แนะด้วยโดยไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ต่อไปเราจะใส่ใจและระมัดระวังให้มากขึ้น”

ไม่รู้ด้วยเหตุใดเสียงเด็กหนุ่มซึ่งออกจะแหบแห้งกลับเจือด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวานแบบเด็กๆ เขาพูดด้วยสำเนียงของคนเมืองหลวงที่ฟังแล้วติดจะแข็งๆ อยู่สักหน่อยก็จริง แต่พอพูดไปเรื่อยๆ กลับมีสำเนียงพูดภาษาถิ่นอู๋ อันนุ่มนวลอ่อนหวานแถบเจียงหนาน เจืออยู่ในถ้อยคำพวกนั้นด้วย เมื่อมากระทบโสตประสาทแล้วก็รู้สึกเสนาะหูไปชั่วครู่หนึ่ง

เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ราชสกุลเนี่ยมักให้กำเนิดเพียงบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร ตัวอย่างเช่นฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่มีคิ้วดก หนวดเคราหนาครึ้ม รูปร่างล่ำสันบึกบึน ทว่ารูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทางขององค์ชายสิบสี่กลับละม้ายคล้ายคลึงกับลี่ผินซึ่งมาจากทางเจียงหนานเสียนี่ กอปรกับร่างกายปวกเปียกเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องของความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งลูกกระเดือกก็ไม่ยื่นออกมาให้เห็นเด่นชัด ลำพังเพียงฟังเสียงอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นชายหรือหญิง

เดิมทีคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เกรงว่าให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้อาจสร้างปัญหาในภายภาคหน้าได้ ท้ายที่สุดเจตนาสังหารที่เพิ่งเกิดขึ้นของราชครูเว่ยก็ดับมอดลงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนนี้

ด้วยลักษณะคลุมเครือจะหญิงก็มิใช่จะชายก็ไม่เชิงเช่นนี้ ต่อให้ผลักดันเขาขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดก็คงเป็นเรื่องยากที่จะครองใจอาณาประชาราษฎร์ได้

ครั้นคิดดังนี้เว่ยเหลิ่งเหยาก็คร้านจะเสียเวลาสนทนาเรื่องเหลวไหลกับเจ้าเด็กไร้ค่าที่ต้องตายอยู่วันยังค่ำผู้นี้อีกต่อไป เขานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนรถม้าโอ่โถงในขบวนเสด็จพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ท่าทีครุ่นคิดลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เนี่ยชิงหลินขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า หลังทบทวนความเคร่งเครียดของตนเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าดูไม่สมจริงมาก จึงขดตัวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก แสดงท่าทีประหนึ่งน้อมรับการสั่งสอนออกมาให้เห็น

เป็นดังคาด หลังจากแสดงท่าทางระมัดระวังตัวอย่างยิ่งยวด พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเต็มที่

โดยปกติหลังจากประกอบพิธีเซ่นไหว้แล้ว ขุนนางทั้งหลายมักนำอาหารและเนื้อสัตว์ในพิธีเซ่นไหว้มาแบ่งปันกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อเอากลับบ้านไป

การแบ่งปันอาหารและร่วมถวายพระพรต่อราชวงศ์ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเสมอหลังจากการสักการะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

ขุนนางคนโปรดคนใดที่โชคดีกำลังจะมาเยือน ขุนนางคนใดที่กำลังตกต่ำ ขอเพียงมองดูขนาดของชิ้นเนื้อและจำนวนขนมในกล่องอาหารเพียงปราดเดียวก็ประจักษ์แล้ว

ทว่าวันนี้ขุนนางทั้งหลายเหล่านี้พอเสร็จจากการร่วมพิธีอย่างเป็นทางการแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับผึ้งแตกรัง

น้ำหมึกบนภาพวาดของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่สวรรคตไปอย่างน่าอเนจอนาถยังไม่ทันแห้งดีเลยด้วยซ้ำ! เครื่องเซ่นไหว้บูชาที่วางอยู่เบื้องหน้าภาพวาดของอัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคืองของผู้คน ชะรอยว่าการกินอาหารพวกนั้นเข้าไปคงไม่นำมาซึ่งพรอำนวยชัยใดๆ เป็นแน่แท้ รังแต่จะนำมาซึ่งโชคร้ายไปตลอดครึ่งชีวิตที่เหลืออย่างช่วยไม่ได้ต่างหาก

กระนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับไม่สนใจเรื่องภูตผีเทพเจ้า เอาแต่จับตาดูเนื้อย่างสีแดงสดมันวาวชิ้นนั้นตั้งนานแล้ว ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีฮ่องเต้ก็สั่งให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายหยิบเนื้อที่ปรุงสุกร้อนๆ และอาหารจานร้อนปรุงใหม่นำกลับไปยังตำหนักบรรทมด้วย

ต้องรู้ด้วยว่าช่วงไม่กี่วันมานี้อาหารของฮ่องเต้พระองค์ใหม่นี้ค่อนข้างจืดชืดออกไปทางอาหารมังสวิรัติอยู่บ้าง

ไม่รู้ว่าพวกคนครัวในห้องเครื่องต่างไว้ทุกข์ให้กับฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรืออย่างไร รสชาติอาหารถึงทำออกมาไม่ได้เรื่อง ปรุงสุกไม่ทั่วถึง หลังจากกินไปหลายมื้อติดต่อกัน กว่านางจะคีบเจอเนื้อสัตว์สักชิ้นในจานผักสดก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ต้องค่อยๆ ละเลียดเคี้ยวอย่างอดทนถึงสามารถกลืนลงคอจนหมดเกลี้ยงได้ในเพียงชั่วไม่กี่อึดใจ

เนี่ยชิงหลินทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง ฮ่องเต้พระองค์นี้ปลอดโปร่งโล่งใจสู้องค์ชายที่ถูกละเลยในตอนแรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ในช่วงหลายปีที่มารดาเจ็บป่วยมีโรครุมเร้าอยู่นั้น ความปรารถนาที่จะชิงดีชิงเด่นของมารดาก็พลอยจืดจางลงไปด้วย ทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นมาก ถึงขนาดที่ว่านางสามารถสร้างเตาเล็กๆ สำหรับตนเองไว้ตรงมุมหนึ่งในลานเล็กๆ ของตำหนักลึกในพระราชวังด้วย

ประการแรกทำให้การปรุงยาต้มให้มารดาเป็นเรื่องสะดวกขึ้น ไม่จำเป็นต้องทนมองสายตาเหยียบย่ำดูแคลนของข้ารับใช้พวกนั้น ประการที่สองนางยังสามารถทำอาหารอร่อยๆ บางอย่างที่ถูกปากตนเองได้ด้วย

อันเฉี่ยวเอ๋อร์เป็นข้ารับใช้ที่ลี่ผินพามาจากครอบครัวทางฝั่งมารดา ซึ่งอีกฝ่ายมีฝีมือทำอาหารไม่เลวเลยทีเดียว

ลี่ผินถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า ตระกูลฝั่งมารดาของนางมีหอสุราที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในแถบเจียงหนาน ตอนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้นั้น ไม่มีอาหารการกินใดที่นางไม่ได้ลิ้มลอง ทุกอย่างรวมทั้งอาหารและข้าวของเครื่องใช้ล้วนพิถีพิถันสมบูรณ์พร้อมเป็นที่สุด

ต่อมาเมื่อความรักใคร่โปรดปรานจืดจางไปจนไม่เหลือแล้ว อย่างอื่นยังพอทนได้ แต่ด้านอาหารการกินนี่สิที่ทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ

อุปนิสัยใจคอของเนี่ยชิงหลินไม่เหมือนลี่ผินเสียทีเดียว แต่ลิ้นรับรสอันละเอียดอ่อนนี้เป็นสิ่งที่นางได้รับสืบทอดจากมารดาโดยตรง กอปรกับเนี่ยชิงหลินต้องแต่งกายเป็นบุรุษ ลี่ผินกลัวว่าบุตรสาวจะกินมากเกินไปและเจริญเติบโตเร็วเกินไปจนเผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของความเป็นสตรีออกมา ดังนั้นที่ผ่านมาลี่ผินจึงอนุญาตให้บุตรสาวกินอาหารเพียงห้าส่วนแค่พออิ่มเท่านั้น

ในเมื่อไม่อาจบรรลุปริมาณอาหารที่กินได้ คุณภาพอาหารอันยอดเยี่ยมจึงเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งยวด

ถึงแม้เนี่ยชิงหลินมิใช่คนอมทุกข์มาตั้งแต่เกิด แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของตนคงไม่ยืนยาวนัก หากจะวัดชีวิตอันแสนสั้นนี้ด้วยอาหารสามมื้อ ต่อให้เป็นเวลาเพียงหนึ่งปีก็สามารถยืดออกไปได้ยาวพอดูเลยทีเดียว ประหนึ่งดึงเส้นบะหมี่ยาวอย่างไรอย่างนั้น

ฮ่องเต้น้อยรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีความสามารถเช่นราชครูเว่ยที่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ จึงทำเพียงกินอาหารแต่ละมื้ออย่างจริงจังเท่านั้นถึงจะสร้างขวัญกำลังใจให้ตนเองเป็นหุ่นเชิดที่ดีได้

ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ในด้านอาหารและเครื่องมือใช้สอยต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อนตอนนางอยู่ที่ตำหนักก่วงเอิน และที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่ไม่มีเตาขนาดเล็ก

โชคดีที่ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนแล้ว กองงานฝ่ายในได้ส่งเตาถ่านมาให้ หากปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำมาใช้อุ่นอาหารได้สะดวกดีเลยทีเดียว

 

วันรุ่งขึ้นหลังการสักการะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หิมะแรกของต้นฤดูหนาวก็ตกลงมา

เนี่ยชิงหลินตื่นแต่เช้า อาบน้ำสวมอาภรณ์อย่างพิถีพิถัน เกล้ามวยผมสวมพระมาลาเรียบร้อยแล้ว นางก็รวบแขนเสื้อขึ้นเพื่อรอขึ้นรถม้าไปร่วมประชุมราชสำนัก แต่หลังจากยืนอยู่สักพักหนึ่งกลับไม่มีทีท่าว่ารถม้าของฮ่องเต้จากสำนักราชยานจะมาถึง

ต่อมาหลังจากที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์สั่งให้ขันทีน้อยไปเร่ง ถึงได้มีขันทีอาวุโสคนหนึ่งเดินมาอย่างเกียจคร้าน แล้วถ่ายทอดคำสั่งของราชครูเว่ยให้ทราบ โดยบอกว่า “อากาศหนาวและทางลื่น อาจไม่ปลอดภัยต่อพระพลานามัยของฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้จึงไม่จำเป็นต้องเสด็จไปร่วมประชุมราชสำนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เห็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่อยู่ในสายตา! หากเปลี่ยนเป็นโอรสที่ดีองค์อื่นๆ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนคงจะหดหู่เศร้าหมองอย่างยิ่ง และก่นด่าราชครูเว่ยในความทะเยอทะยานใจคอโหดร้ายเลี้ยงไม่เชื่องของอีกฝ่ายเป็นแน่แท้

แต่เนี่ยชิงหลินกลับไม่สะทกสะท้าน นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทางการออก ถอดพระมาลา เปลี่ยนมาสวมเสื้อบุนวมแนบตัวครึ่งท่อนที่ค่อนข้างเก่า แล้วมานั่งอ่านนิยายอยู่หน้าเตาถ่านแทน

พออ่านถึงตอนยอดบุรุษกับโฉมงามกำลังกินขนมไหว้พระจันทร์และดื่มสุราดอกกุ้ย ใต้แสงจันทร์อยู่นั้น เนี่ยชิงหลินก็เดินไปนอนอ่านหนังสือต่อบนเตียงนุ่มหลังม่าน พอขยับตัวจนแผ่นไม้ของเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดนางจึงเงยหน้าขึ้น ฉับพลันก็พบว่าดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกไปแล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าท้องของตนออกจะเบาโหวงอยู่สักหน่อย

นางจึงเรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์เข้ามา ให้แล่เนื้อค้างคืนก้อนนั้นเป็นชิ้นบางๆ แล้วคีบเนื้อจุ่มลงไปในไหสุราบ่มที่ใช้ในพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เพื่อหมักเนื้อไว้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคีบเนื้อชิ้นบางใส่เข้าไปในหมั่นโถวซึ่งหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาประกบเข้าด้วยกัน ก่อนจะวางลงบนจานทองแดงเหนือเตาถ่านเพื่อย่างไฟอ่อนๆ สักพักหนึ่ง กระทั่งหมั่นโถวทั้งสองด้านเป็นสีน้ำตาลทอง หมั่นโถวไส้เนื้อนี้ก็จะกรอบนอกนุ่มใน สุราบ่มรสชาติกลมกล่อมที่ซึมเข้าไปในเนื้อช่วยให้เนื้อรักษาความชุ่มฉ่ำอยู่ในหมั่นโถวได้ พอกัดเบาๆ ไปคำหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นหืนของเนื้อค้างคืนเท่านั้น แต่ยังมีรสชาติสดใหม่อร่อยนุ่มละมุนลิ้นติดปากอีกด้วย

ขณะที่เนี่ยชิงหลินกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยไปได้สองคำ จู่ๆ ขันทีน้อยที่หน้าประตูก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ราชครูเว่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็เลิกม่านประตูเดินเข้ามายังตำหนักชั้นใน

ด้านนอกหิมะตกหนัก ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ บนไหล่ของเขายังมีเกล็ดหิมะตกใส่อยู่หนาเตอะ ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ของเขาเย็นเยียบราวกับถูกฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง

ในใจราชครูเว่ยเต็มไปด้วยไฟสุมทรวงจากการประชุมราชสำนัก พอเลิกประชุมเขาก็แวะมาดูความเคราะห์ร้ายของเจ้าฮ่องเต้น้อยนี่เสียหน่อย เดิมทีคิดว่าวันนี้ไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่เข้าประชุมราชสำนัก ป่านนี้อีกฝ่ายคงหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในตำหนักเป็นแน่ ไม่คิดเลยว่าพอเข้าไปถึงตำหนักชั้นในกลับได้เห็นฉากที่แตกต่างออกไปจากที่คาดไว้โดยสิ้นเชิง

เครื่องเรือนอันล้ำค่าในตำหนักชั้นในถูกกองงานฝ่ายในที่เข้าใจสถานการณ์รื้อออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ตำหนักชั้นในว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยของความฟุ่มเฟือยใดที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งไว้ให้เห็น แม้แต่เตาถ่านสำหรับให้ความอบอุ่นก็หาใช่ถ่านสีขาวที่ใช้ในวังไม่ กลับเป็นถ่านสีดำที่มีกลิ่นและปล่อยควันโขมง

แต่หุ่นเชิดตัวน้อยนั่นก็ดูพออกพอใจเสียจริง เขานั่งกอดผ้าห่มอยู่บนตั่งนุ่มข้างเตียง ข้างเท้ามีเตาวางอยู่ ด้านบนของเตานั้นมีปล่องควันที่ทำขึ้นจากแจกันดอกไม้ทองแดงตัดก้นแจกันหลายใบมาประกอบกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ทำขึ้นเองเพื่อส่งควันดำหนาทึบออกไปนอกหน้าต่าง

บนโต๊ะน้ำชาเล็กๆ ข้างตั่งนุ่มมีเมล็ดแตงจานหนึ่งที่เก็บมาจากโต๊ะบูชาเมื่อวานนี้วางอยู่

วันนี้เด็กหนุ่มร่างผอมเพรียวสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายครึ่งท่อนที่ค่อนข้างเก่า ท่อนล่างสวมกางเกงขายาวที่มีสีเทาควันครึ่งบนของตัวกางเกง สวมรองเท้าขนกระต่ายสีขาวซึ่งปกปิดฝ่าเท้าครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นข้อเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้างที่ขาวราวกับหยกแกะสลักจนออกจะแสบตาอยู่บ้าง

มีท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านที่ใดกัน แสนจะผ่อนคลายสบายใจเสียเหลือเกินนี่!

ของเซ่นไหว้นี้เป็นของอัปมงคลจริงๆ ด้วย! เพิ่งเอาของเข้าปากก็นำตัวพญายมมาเสียแล้ว เนี่ยชิงหลินไม่คาดคิดว่าราชครูเว่ยจะบุกเข้ามาในตำหนักกะทันหัน นางรีบดึงผ้าห่มมาปิดทรวงอก ปรับลมหายใจเล็กน้อย แล้วยิ้มให้เว่ยเหลิ่งเหยาพลางเอ่ยว่า “ท่านเว่ยโหวกินอะไรมาหรือยัง”

เว่ยเหลิ่งเหยาปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกโดยไม่สนใจคำทักทายแบบไม่มีพิธีรีตองของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เขาสาวเท้าไปสองสามก้าวจนเดินไปถึงตั่งนุ่มพลางมองฮ่องเต้น้อยที่ยังคงเอนกายอยู่บนตั่งอย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทสำราญพระทัยดีนี่พ่ะย่ะค่ะ ควรให้ผิงซีอ๋องพระเชษฐาของฝ่าบาทมาเห็นเสียหน่อยว่ากระหม่อมปฏิบัติต่อฝ่าบาทไม่ดีที่ใดกัน”

พูดจบก็โยนฎีกาเล่มหนึ่งใส่หน้าของเนี่ยชิงหลิน

เนี่ยชิงหลินเจ็บแก้มอยู่สักหน่อยจากการถูกฎีกากระแทกใส่ นางค่อยๆ ยืดตัวขึ้นนั่งตรงแล้วลุกขึ้นจากตั่งนุ่ม กระชับเสื้อบุนวมแนบตัวให้แน่นขึ้น แล้วหยิบฎีกาขึ้นมากวาดตาอ่านดูสองสามรอบก็เข้าใจความหมายโดยรวมทันที

ผิงซีอ๋องเนี่ยผูเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากชายาเอกของพระอนุชาคนที่ห้าของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาได้รับการสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา อีกทั้งยังเป็นท่านอ๋องที่ได้รับที่ดินศักดินาใหญ่ที่สุด และมีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาองค์ชายที่เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน

เนี่ยชิงหลินเคยเห็นหน้าค่าตาเนี่ยผูมาก่อนสองสามครั้งตอนรวมญาติของตระกูล แต่ผิงซีอ๋องผู้นี้ไม่น่าจะจำนางได้ว่าคือคนใด

แต่ในฎีกาที่ยื่นมานี้ดูเหมือนว่าเขามีความสนิทสนมแน่นแฟ้นกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่เสียเหลือเกิน ความโดยรวมมีอยู่ว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้เขียนสารถึงเขาซึ่งเป็นญาติผู้พี่เป็นการส่วนตัว โดยกล่าวหาราชครูว่าโหดร้ายกดขี่ข่มเหงต่างๆ นานา บัดนี้ราชครูบีบบังคับโอรสสวรรค์เพื่อบงการเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ ได้แต่หวังว่าพี่น้องในราชวงศ์ทุกท่านจะรีบกำจัดคนชั่วที่อยู่รอบตัวฮ่องเต้ และช่วยฮ่องเต้พระองค์ใหม่ให้พ้นจากภัยอันตรายโดยเร็วที่สุด

เนี่ยชิงหลินอ่านไปได้ไม่กี่บรรทัดเปลือกตาของนางก็เริ่มกระตุกริกๆ พี่ชายหนอพี่ชาย พวกเราล้วนแซ่เนี่ยเหมือนกัน เหตุใดต้องทำร้ายกันเองด้วยเล่า!

ข้ออ้างนี้ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ต่อให้นางมีใจคิดขอความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อทวงความชอบธรรมให้สกุลเนี่ย แต่บัดนี้วังหลวงได้เปลี่ยนเป็นของคนแซ่เว่ยแล้ว เหตุใดต้องพูดถึงการส่งสารไปให้ด้วย ในเมื่อลมหายใจของฮ่องเต้พระองค์นี้ยังไม่อาจเล็ดลอดออกนอกตำหนักไปได้เลย

เนี่ยผูผู้นี้อาศัยว่าตนมีกำลังทหารและกองทัพม้าที่แข็งแกร่ง ในขณะที่เว่ยเหลิ่งเหยายังไม่สามารถโยกย้ายอ๋องและพวกชนชั้นสูงได้โดยพลการ เนี่ยผูจึงถือโอกาสปฏิเสธที่จะส่งมอบบรรณาการให้โดยอ้างว่าเจ็บปวดใจไปกับญาติผู้น้องผู้เป็นฮ่องเต้ของตน จากนั้นก็ทุบตีเจ้าหน้าที่ที่ทางราชสำนักส่งตัวมารับของบรรณาการประจำปีจนปางตายแล้วโยนตัวเขาออกไปนอกเมือง

นี่เป็นการแสดงอำนาจให้เว่ยเหลิ่งเหยาเห็นสักคราหนึ่ง คิดจะยึดทรัพย์สินของเนี่ยผูน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก!

เว่ยเหลิ่งเหยาก็รู้ทันความคิดสกปรกอันน่ารังเกียจของเนี่ยผูเช่นกัน เขาย่อมไม่สนใจสิ่งที่ฮ่องเต้ไร้ประโยชน์พระองค์นี้ทำลงไปเป็นธรรมดา

แต่เมื่อเนี่ยผูเริ่มทำเช่นนี้แล้ว บรรดาอ๋องและชนชั้นสูงทั่วทุกหนแห่งก็ต้องเอาเป็นเยี่ยงอย่างแน่นอน หากวันนี้เก็บบรรณาการรายปีไม่ได้ ทหารที่ประจำการอยู่ตามชายแดนเมืองหลวงคงต้องหิวโซเป็นแน่แท้

ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ถูกฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยผู้ไร้ความสามารถพระองค์ก่อนทำเสียหายยับเยินไปแล้วกว่าครึ่ง จากนี้จะเดินหมากที่เพลี่ยงพล้ำไปแล้วอย่างไรดี หากมิใช่เพราะขุนนางเจ้าเล่ห์มีความสามารถอยู่บ้าง คงพลิกหมากที่หมดทางสู้ไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ไม่ได้จริงๆ

คิดดูแล้วตอนนั้นที่ลงมือสังหารฮ่องเต้ผู้โง่เขลานั่น เขาน่าจะฟันดาบลงไปให้เจ็บปวดอีกสักสองสามฉับก็ดี ไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายลงไปเสวยสุขในนรกง่ายๆ เช่นนี้เลย

เมื่อครู่หลังจากเว่ยเหลิ่งเหยาเลิกประชุมราชสำนักแล้วก็ไม่ได้ขึ้นรถม้า กลับสาวเท้าเดินเอื่อยๆ อยู่ในวังมาครึ่งค่อนวัน เขาคิดหาวิธีตอบโต้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ประจวบเหมาะว่าเดินมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้พอดี ไฟโทสะคุกรุ่นที่มีต่อฮ่องเต้ผู้โง่เขลาพระองค์ก่อนซึ่งสุมอยู่ในอกของเขาจึงระบายใส่โอรสผู้เคราะห์ร้ายได้พอดี ซึ่งก็นับว่าไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว

หลังจากเนี่ยชิงหลินกระจ่างในต้นสายปลายเหตุแล้ว นางก็สังเกตสีหน้าของเว่ยเหลิ่งเหยาอีกครา รู้แก่ใจดีว่าสถานการณ์ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือเอาเสียเลย! เมื่อเห็นเว่ยเหลิ่งเหยานั่งลงบนตั่งนุ่มที่นางเอนกายอยู่ก่อนหน้านี้ นางจึงถามขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวังว่า “ท่านราชครูหิวหรือยัง อยากลองชิมหมั่นโถวไส้เนื้อที่เพิ่งย่างเสร็จสักหน่อยหรือไม่”

บทที่ 4

พูดตามตรง ท่านราชครูหิวจริงๆ เขาต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปประชุมราชสำนัก จากนั้นใช้เวลาตลอดเช้าเพื่อสะสางงานราชกิจที่กองสุมมานานแล้วของราชสำนักต้าเว่ย แล้วเดินฝ่าลมหนาวอยู่สักพัก อาหารเช้าของเขาคือได้กินเพียงโจ๊กไก่ผสมโสมไปไม่กี่คำอย่างเร่งรีบ ซึ่งคงย่อยหมดไปตั้งนานแล้ว ทว่าในเมื่อตั้งใจจะกำราบเจ้าฮ่องเต้น้อยผู้ไม่ประสีประสาพระองค์นี้แล้ว เขาย่อมไม่แยแสหมั่นโถวค้างคืนไม่กี่ลูกพวกนั้นเป็นธรรมดา เพียงแค่เขาสะบัดมือขึ้นครั้งหนึ่ง ถาดทองแดงที่มีหมั่นโถววางอยู่บนนั้นก็ร่วงลงไปที่พื้นทั้งหมด

ถาดทองแดงร่วงลงส่งเสียงดังเคร้งคร้าง มันกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นหลายตลบจนหยุดอยู่ที่หน้าประตู

นางกำนัลและขันทีที่อยู่นอกประตูต่างพากันกลัวหงอไม่กล้าหายใจดังไปตามๆ กัน ด้วยเกรงว่าท่านราชครูผู้เกรี้ยวกราดจะได้ยินเข้า

ในใจของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ยิ่งหวั่นวิตกขึ้นไปอีก เจ้าคนร้ายกาจผู้นี้! แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ยังหวาดกลัวเขาอยู่หลายส่วน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะคิดขุดรากถอนโคนกำจัดเขาให้สิ้นซากไปเสียจนเกิดเรื่องร้ายถึงแก่ชีวิตตามมา

เด็กคนนั้นอายุเท่าใดกันเชียว บัดนี้ถือว่าเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาแล้ว นี่ยังมาถูกพญายมที่มีชีวิตผู้นั้นจงใจหมิ่นเกียรติเหยียดหยามให้อับอายอีก พอคิดถึงตรงนี้แล้วนางก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป

เนี่ยชิงหลินขยุ้มชายเสื้อไว้ นางประหนึ่งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ รับรู้ได้ถึงไฟโทสะที่ลามเลียนางให้ร้อนระอุ นางลอบเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าท่าทางอันเย็นชาของท่านราชครู ทันใดนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเดินย่องก้าวข้ามอาหารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแล้วเขย่งตัวไปหยิบพุทราแดงจานหนึ่งออกมาจากในตู้ที่อยู่ข้างๆ ใช้ช้อนคันเล็กที่วางอยู่ด้านข้างคว้านเมล็ดพุทราออกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ใส่พุทราลงไปในชามเล็กๆ ใส่น้ำแกงธัญพืชเนื้อข้นที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์เคี่ยวเสร็จแล้วคลุกเคล้าลงไปให้เข้ากันจนได้น้ำแกงข้นพุทราเชื่อมออกมาหนึ่งชาม

จากนั้นนางก็ยกชามน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมยื่นไปตรงหน้าราชครูพร้อมพูดเสียงอ่อน “หมั่นโถวแข็งไปหน่อยอาจทำให้ระคายกระเพาะได้ อันนี้กำลังดีเลย แค่อาจจะร้อนไปบ้าง ตอนดื่มท่านก็ค่อยๆ ดื่มแล้วกัน”

ว่าไปแล้วท่าทีของฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้อยู่เหนือความคาดหมายของราชครูเว่ยไม่น้อย

นี่เป็นพฤติกรรมของเด็กที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยล่ะสิ! ทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองแล้วนำของกินที่ตนเองชอบออกมาให้เพื่อปลอบโยนเอาใจคนเขาสักหน่อย

แต่เขาก็ช่างไม่รู้จักดูเลยว่าคนที่ตนเองพยายามปลอบโยนเอาใจอยู่นั้นคือใคร!

หลังคลุกคลีอยู่กับสถานที่แสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศมาเป็นเวลานาน พบเห็นการติดสินบนด้วยเครื่องประดับงดงามมานักต่อนักจนเคยชินเสียแล้ว การที่ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้แหวกขนบไม่ดำเนินรอยตามวิถีเดิมจึงสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้จริงๆ เนิ่นนานมากแล้วที่ไม่มีใครใช้วิธีการไร้เดียงสาเช่นนี้เพื่อประจบเอาใจราชครูเว่ยผู้มีอำนาจล้นฟ้า ความโกรธอันรุนแรงของเว่ยเหลิ่งเหยาถูกระงับไว้ด้วยน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมที่ฮ่องเต้ ‘ปรุงเองกับมือ’ ชามนี้

ท่อนแขนเรียวเล็กของเนี่ยชิงหลินที่ยกขึ้นประคองชามอยู่นานเริ่มสั่นเล็กน้อย นางลอบมองใต้เท้าโหวแซ่เว่ยผู้นี้ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังบ่มเพาะความคิดใดอยู่ พร้อมกับสาปแช่งความผิดพลาดของตนเองเงียบๆ น้ำที่ใช้ชงชานี้เพิ่งต้มเสร็จ หากถูกปัดจนพลิกคว่ำอีกล่ะก็ คราวนี้ข้าต้องโดนลวกจนเกิดตุ่มพุพองขึ้นแน่ ไม่รู้ว่าในล่วมยาของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ยังมียาขี้ผึ้งเสลดพังพอน* เหลืออยู่หรือไม่ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากขอยากับทางสำนักแพทย์หลวงเห็นทีว่าคงจะลำบากยากเย็นเอาการเลยทีเดียว…

ขณะที่เนี่ยชิงหลินกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จานรองชามที่ถืออยู่ในมือก็เบาไปทันใด ที่แท้ท่านราชครูก็หยิบน้ำแกงชามนั้นนั้นไปจริงๆ ทว่าเขายังไม่ได้ยกกิน เพียงหรี่ตามองพุทราเชื่อมที่ลอยวนไปมาอยู่ในชามใบนั้น

เนี่ยชิงหลินราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงผละมานั่งลงข้างกายท่านราชครูโดยไม่ได้รับชามกลับมา นางกลับจับมือของท่านราชครูไว้พลางโน้มใบหน้าเข้าไปชิดชามแล้วจ่อริมฝีปากกับขอบชาม นางจิบไปคำใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “อุ่นกำลังดี ท่านราชครูกินได้แล้ว”

แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยเหลิ่งเหยาไม่กินอาหารนอกบ้านส่งเดช รอบด้านรายล้อมไปด้วยศัตรูตัวฉกาจทุกหนทุกแห่ง ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจำต้องป้องกันระวังคนวางยาพิษไว้ก่อน เมื่อครู่นี้ก็ถูกคำพูดอันอ่อนโยนของฮ่องเต้น้อยทำเอาเขาติดกับไป เห็นเจ้าเด็กนั่นใบหน้าแดงระเรื่อ ตอแยไม่หยุดหย่อน กอปรกับกิริยาท่าทางตอนตระเตรียมน้ำแกงก็ไร้เดียงสาน่ารักยิ่งนัก ดูมีความซุกซนละม้ายน้องชายตัวน้อยเด็กข้างบ้านอยู่สักหน่อย เหมือนภูตผีมาดลใจไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เขารับน้ำแกงชามนั้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่พอถืออยู่ในมือแล้วก็ออกจะหงุดหงิดรำคาญใจ เพียงแต่ยังไม่ได้โยนชามออกไปเท่านั้น

เจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ดูเหมือนคนโง่งมนั่นกลับฉลาดขึ้นมาในเวลานี้ เข้าใจความกังวลของเขาเสียด้วยถึงกับมาลองชิมอาหารด้วยตนเอง

แท้ที่จริงแล้วเว่ยเหลิ่งเหยาเอาดีทางบู๊มาตั้งแต่ต้น ต่อมาแม้จับพลัดจับผลูได้ดีทางบุ๋น แต่ลึกๆ แล้วยังคงมีนิสัยเฉกเช่นผู้ฝึกฝนเล่าเรียนวิทยายุทธ์อยู่ในสายเลือด อีกทั้งต่อมาเขายังได้ไปทำหน้าที่เป็นแม่ทัพผู้ตรวจการประจำชายแดนอยู่หลายปี อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจในรายละเอียดหยุมหยิมต่ออาหารการกินและชีวิตประจำวันมากสักเท่าใดนัก

หากฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้แสดงความขุ่นเคืองออกมาสักหน่อย หรือร้องไห้สะอึกสะอื้นโวยวายว่าตนได้รับความอยุติธรรมให้เห็นบ้าง ย่อมต้องสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่ราชครูเว่ยจนเขามอบบทลงโทษให้ฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นแน่แท้ แต่ในยามที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผชิญหน้ากับการถูกลบหลู่เกียรติจนได้รับความอัปยศอดสูเหลือจะกล่าวเช่นนี้ เจ้าตัวกลับยอมรับสภาพได้อย่างไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังแสดงอากัปกิริยางกๆ เงิ่นๆ อีกต่างหาก นี่เหมือนกับการออกหมัดลงบนฝ้าย นี่เอง ทำให้หมดสนุกจริงๆ

ในเมื่อฮ่องเต้น้อยเป็นฝ่ายขจัดความหวาดระแวงของเขาออกไปก่อนแล้ว อีกทั้งเขาก็หิวจนท้องกิ่วจริงๆ ราชครูเว่ยจึงไม่เกรงใจ ดื่มน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมหอมหวานชามนั้นรวดเดียวจนเกลี้ยง

ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ใช่ตั้งใจหรือไม่ เมื่อก่อนเว่ยเหลิ่งเหยาชื่นชอบรสชาติของพุทรายิ่งนัก มักเอาพุทรามาชงน้ำเสมอ เพียงแต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องต่างๆ มากมายที่เขาต้องทุ่มเททั้งกายและใจลงไป กิจวัตรหลายอย่างของเขาก็พลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่เมื่อขบคิดดูแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า

จวบจนเนี่ยชิงหลินสังเกตเห็นว่าขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนสำคัญผู้นี้ท้องอุ่นขึ้นมาแล้ว ดูคลายความหงุดหงิดลงไปได้พอควร จึงพูดเสียงอ่อนว่า “เนี่ยผูผู้นั้น…เรากลับจำเขาไม่ค่อยได้แล้ว จำได้เพียงว่าตอนที่เราอายุแปดขวบ เขาที่ยังเป็นซื่อจื่อ มาที่วังพร้อมกับบิดาผิงซีอ๋องเพื่อถวายพระพรต่อไทเฮาในขณะนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาเขาพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรพูดในตำหนักบรรทมของไทเฮา ถือเป็นการเสียมารยาท จึงถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนขับไล่ไป หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอญาติผู้พี่ผู้นี้สักเท่าใด ยากนักที่ผิงซีอ๋องจะจำเราได้ แต่ดูเหมือนว่านิสัยที่ชอบพูดจาเหลวไหลนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย…” เจ้าตัวกล่าวจบท่าทางก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก

ครั้นได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องเต้น้อยแล้ว ท้องของเว่ยเหลิ่งเหยาที่เพิ่งอุ่นขึ้นมาก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง

ขณะที่เว่ยเหลิ่งเหยาพักผ่อนบนตั่งนุ่มอยู่นั้น จู่ๆ ในใจก็เต้นโครมครามจนอดเหลือบมองฮ่องเต้น้อยซึ่งเขาดูถูกดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้อีกครั้งไม่ได้ บนใบหน้าเรียว ดวงตากลมโตอบอุ่นเจิดจ้าสดใสเผยความไร้เดียงสาออกมา คำพูดที่เอ่ยออกมาประหนึ่งคำพูดของเด็กน้อยที่โพล่งโดยไม่พะวักพะวนต่อสิ่งใดทั้งสิ้น

แต่เหตุการณ์ในอดีตที่เจ้าเด็กผู้นี้เอ่ยถึงโดยไม่ตั้งใจนั้นได้เตือนใจเขาอย่างแท้จริง

เว่ยเหลิ่งเหยามีคนคอยเป็นหูเป็นตามากมายในวัง ย่อมรู้เรื่องราวลับๆ พวกนี้เป็นธรรมดา เจ้าเนี่ยผูนั่นเป็นคนอุกอาจไร้ยางอายโดยแท้ ตอนนั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสที่อ๋องศักดินาแต่ละคนเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ร่วมหลับนอนกับชายาอ๋องศักดินาสักคนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ในตำหนักบรรทมของไทเฮา…

เดิมทีนั่นเป็นเรื่องเก่าน่าบัดสีที่ไม่ควรเอ่ยถึงในที่แจ้ง แต่หลังจากที่มันถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้ชวนนึกถึงเช่นนี้ เว่ยเหลิ่งเหยาก็เกิดความคิดขึ้นในใจ เจ้าผิงซีอ๋องผู้นี้กล้าฉีกหน้าข้าเว่ยเหลิ่งเหยาอย่างนั้นรึ หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้ผิงซีอ๋องทั้งตระกูลสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสีย!

ด้วยความคิดชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ในใจ เว่ยเหลิ่งเหยาจึงไม่มีเวลาว่างมาต่อปากต่อคำกับฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้อีกต่อไป แม้แต่ประโยคที่ว่า ‘กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ’ เขายังคร้านที่จะพูด เพียงเตะหมั่นโถวที่กระจัดกระจายบนพื้นให้พ้นทางแล้วเดินจากไป

หยวนกงกงซึ่งเดินตามเว่ยเหลิ่งเหยามาตลอดทางแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม เดิมทีคิดว่าในไม่ช้าคงต้องได้ยินฮ่องเต้น้อยร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตาเป็นแน่ ในใจเขากลัดกลุ้มนัก!

วันนี้ในการประชุมราชสำนัก ราชครูเว่ยได้ตัดศีรษะขุนนางสำนักตรวจการที่มาพูดขอความเห็นใจให้ผิงซีอ๋องอย่างไร้ความปรานีไปแล้ว ขุนนางผู้นั้นทั้งที่เป็นขุนนางเก่าแก่มายี่สิบปี วันนี้กลับถูกถอดหมวกออกแล้วโดนลากตัวไปประหารที่ประตูอู่เหมิน* เสียแล้ว

พอเลิกประชุมราชสำนัก หยวนกงกงที่ยืนอยู่ด้านข้างย่อมเห็นสีหน้าโกรธขึ้งที่ยังไม่จางหายไปของท่านราชครูได้อย่างชัดเจน ตอนที่เดินย่ำอยู่บนหิมะตั้งนานนั้นท่านราชครูยังโกรธจนควันออกหู ทำเอาบรรดาองครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เพื่อพูดคุยด้วยสักคนเดียว

จนกระทั่งราชครูเว่ยเดินเลี้ยวมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้น้อย หยวนกงกงถึงกับลอบรำพึงในใจ แย่แล้ว เด็กคนนี้คงหนีไม่พ้นแน่แล้ว

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นข้ารับใช้เก่าแก่ในวัง องค์ชายสิบสี่องค์นี้ไม่เคยวางท่าโอ้อวดตนภายในวังหลวงอันโอฬารแห่งนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลี่ผินมีนิสัยร้ายกาจ จิตใจทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นได้นำมาซึ่งความอิจฉาริษยาของผู้คนมากมาย เมื่อตอนที่องค์ชายสิบสี่ยังเด็กก็ได้รับผลกระทบจากมารดาของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว ต่อมาพอองค์ชายโตขึ้นหน่อยก็ราวกับว่าในวังหลวงไม่มีเขาผู้นี้อยู่ ใครๆ ก็จำเขาไม่ได้แล้ว

คิดดูแล้วเด็กคนนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนทั้งหลายในวังที่ขาดอิสระ ไม่อาจจัดการชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ ต้องทุกข์ระทมขมขื่นจากความพ่ายแพ้ของราชวงศ์ ตอนนี้ยังมาถูกผลักขึ้นสู่ตำแหน่งนี้อีก ค่อนข้างน่าสงสารเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาแห่งความยุ่งเหยิงนี้ทุกคนต่างก็สนใจแต่เรื่องของตนเอง ไหนเลยจะมีเวลาเหลือให้ไปเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีก พวกเขาทำได้เพียงมองดูวัชพืชไร้รากถูกเหยียบย่ำบดขยี้ด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ เท่านั้น

แต่ใครจะคิดว่าในตำหนักนอกจากเสียงถาดที่ร่วงหล่นดังเคร้งคร้างคราหนึ่งนั่นแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก และผ่านไปอีกสักพักหยวนกงกงก็เห็นราชครูเว่ยเดินออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย จากนั้นก็เดินออกจากวังไปโดยไม่หันศีรษะกลับมามอง

หยวนกงกงปาดเหงื่อเย็น ก่อนหันกลับไปมองฮ่องเต้น้อยที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก มองส่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนพลางอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า ในตำหนักลึกของวังหลวงมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอยู่ อาจดูไม่โดดเด่นสะดุดตา แต่ไม่แน่อาจเป็นคนมีพรสวรรค์ก็เป็นได้!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: