บทที่ 5
หลังจากส่งเว่ยเหลิ่งเหยาออกไปแล้ว เนี่ยชิงหลินถึงได้ยืนพิงกรอบประตูพลางระบายลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก
อันเฉี่ยวเอ๋อร์รีบเดินไปหยิบเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกมาสวมให้เจ้านายตัวน้อย ด้วยกังวลว่านางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นมายืนตากลมเช่นนี้จะจับไข้ไม่สบายเอาได้ง่าย
พอกลับเข้ามายังห้องชั้นในและเหลือกันเพียงสองคนแล้วนั้น อันเฉี่ยวเอ๋อร์จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เขาโมโหอะไรมาถึงได้วิ่งมาระบายโทสะถึงที่นี่”
เนี่ยชิงหลินส่ายศีรษะแล้วจ้องมองหิมะสีขาวนอกหน้าต่าง พอออกจากภวังค์นางก็หันกลับมาถามทันทีว่า “เมื่อเร็วๆ นี้มีคนนอกตำหนักบรรทมติดต่อเจ้าบ้างหรือไม่”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างลังเล “น่าจะ…ไม่มีกระมังเพคะ”
ทว่าความลังเลของอีกฝ่ายกลับไม่รอดพ้นสายตาของเนี่ยชิงหลินไปได้ ฮ่องเต้น้อยถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วพูดต่อ “ตอนนี้คนที่ปรารถนาให้ฮ่องเต้ล้มป่วยมากที่สุดไม่ใช่ท่านราชครูหรอก แต่เป็นพวกท่านอาของข้าต่างหาก เจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น จะพูดอะไรก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว ไม่ว่าผู้อี่นให้ของอะไรแก่เจ้าก็ห้ามรับไว้ ด้ายเส้นเดียวก็ไม่ได้! มิเช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าคงได้ตายโดยไร้ที่กลบฝังเป็นแน่”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์หน้าแดงทันที นางรีบคุกเข่าลงโดยพลัน “ฝ่าบาทโปรดทรงยกโทษให้ด้วยเพคะ คือ…คือว่า…ตอนที่หม่อมฉันรับฉลองพระองค์กันหนาวตัวนั้นมา หม่อมฉันได้พูดคุยสัพเพเหระกับอู๋ขุยทหารองครักษ์ที่เฝ้าตำหนักก่วงเอินของพวกเราด้านนอก ต่อไปหม่อมฉันไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้วเพคะ!”
ถึงแม้เนี่ยชิงหลินอายุยังน้อย แต่ยามปกติก็ได้อ่านนิยายเกี่ยวกับยอดบุรุษกับโฉมงามมาไม่น้อย การที่นางกำนัลในวังกับทหารองครักษ์จะมีใจให้กันก็มีจำนวนไม่น้อย อันเฉี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้มีอายุสามสิบปีแล้ว จะมีอารมณ์รักๆ ใคร่ๆ ระหว่างหนุ่มสาวก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
เนี่ยชิงหลินไม่ถามอะไรเพิ่มอีก กลับยื่นมือไปประคองอันเฉี่ยวเอ๋อร์ขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องมาติดตามฮ่องเต้ไร้ประโยชน์อย่างข้า หากเจ้าอยู่กับเจ้านายที่มีความสามารถคงได้แต่งงานกับคู่ครองที่ดี ได้ออกจากวังไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว ไม่ต้องมาสูญเสียช่วงเวลาวัยเยาว์ภายในวังอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้”
คำพูดดังกล่าวทำอันเฉี่ยวเอ๋อร์ขอบตาแดงเรื่อทันที นางได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสเช่นนี้มิเป็นการฆ่าหม่อมฉันให้ตายหรืออย่างไรเพคะ ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงเหมือนถูกจับย่างบนกองไฟอันร้อนระอุนี่อยู่ ในวังใหญ่โตแห่งนี้จะพึ่งพาใครก็ไม่ได้ ต่อให้ฝ่าบาททรงทุบตีหม่อมฉันให้ตาย หม่อมฉันก็ไม่มีความคิดที่จะละทิ้งพระองค์ไปเลยนะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ!”
เนี่ยชิงหลินจะไม่รู้ถึงความจงรักภักดีของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน หลังพูดปลอบใจอยู่สักพักจนฮ่องเต้น้อยสบายใจขึ้นแล้ว สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองนายบ่าวก็คลี่คลายลงได้ในที่สุด
ขณะที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์เก็บกวาดข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น นางก็คอยสังเกตเจ้านายของตนไปด้วยพร้อมรู้สึกขมขื่นในใจ หากลี่ผินไม่ก้าวเดินผิดตั้งแต่แรกจะดีสักเพียงใด องค์หญิงในวัยสิบห้าที่กำลังเป็นสาวสะคราญคงจะได้หมั้นหมายแต่งงานกับคู่ครองที่เหมาะสมกันแล้ว หากนางได้สามีที่ซื่อสัตย์มีเมตตากรุณา ไม่แน่อาจอยู่ห่างจากการแย่งชิงอำนาจภายในวังหลวงนี้ก็ได้ ไหนเลยจะประสบเภทภัยเฉกเช่นทุกวันนี้เล่า! เฮ้อ ชะตากรรมของข้าและผู้เป็นนายล้วนถูกลิขิตไว้แล้วกระมัง ชาตินี้คงไร้วาสนาได้แต่งงานแล้วสินะ!
วันรุ่งขึ้นหลังจากหิมะตกก็เป็นวันที่อากาศหนาวจัดอย่างแท้จริง เดิมทีเนี่ยชิงหลินคิดไปเองว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมราชสำนักแล้ว จึงซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบนเตียงฆ่าเวลาพร้อมกับค่อยๆ ละเลียดกัดกินพุทราเชื่อมที่เหลืออยู่ครึ่งจานไปจนหมด
คิดไม่ถึงว่าจะมีรถม้าจากสำนักราชยานมาจอดรออยู่ที่หน้าประตูตำหนักเสียอย่างนั้น ขันทีที่ปรนนิบัติรับใช้ในที่ประชุมราชสำนักวิ่งกระหืดกระหอบมาถ่ายทอดคำพูดของท่านราชครูว่าให้ฮ่องเต้น้อยเตรียมตัวให้พร้อมโดยเร็วเพื่อไปเข้าร่วมประชุมราชสำนัก
ความคิดปุบปับชั่วแล่นของท่านราชครูทำเอาตำหนักบรรทมโกลาหลทันที หลังจากเนี่ยชิงหลินล้างหน้าล้างตาอย่างเร่งรีบแล้ว ยังไม่ทันได้สวมพระมาลาและสายคาดเอวให้เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ นางก็ก้าวพรวดพราดขึ้นไปบนรถม้าแล้ว
รถม้ารีบเคลื่อนไปโดยไม่หยุดพัก ยังดีที่มาถึงทันเวลา ขณะที่เพิ่งนั่งลงบนบัลลังก์มังกร เสียงตีกลองที่ประตูอู่เหมินก็ดังขึ้น ขุนนางต่างทยอยเข้ามาในลานกว้างหน้าตำหนัก จนกระทั่งเหล่าขุนนางนับร้อยเดินเรียงแถวเข้าท้องพระโรงกันไปแล้ว ราชครูเว่ยถึงค่อยเยื้องย่างออกมาจากห้องโถงด้านข้าง หลังถวายบังคมฮ่องเต้แล้วจึงค่อยนั่งลงบนเก้าอี้มังกรวารีประจำตำแหน่งของตน
ต่อมาก็เป็นช่วงเวลาออกว่าราชกิจของบ้านเมืองอันยาวนาน โดยปกติแล้วเนี่ยชิงหลินอยู่แต่ในวังชั้นในไม่ได้ยินเรื่องราวอะไรมากมายถึงเพียงนี้ บัดนี้พอได้ฟังรายงานจากทั้งขุนนางบุ๋นและขุนนางบู๊สักพักหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าแต่ละเรื่องนั้นไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กล้วนแต่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น มีทั้งพื้นที่แถบนี้แห้งแล้งจนราษฎรทั้งอำเภออดตาย พื้นที่แถบนั้นน้ำหลากจนผู้คนจำนวนมากต้องลี้ภัยออกมา บ้างก็มีชาวหูบางเผ่าตามแถบชายแดนก่อความไม่สงบอีกแล้ว…
ฟังไปเรื่อยๆ จิตใจของเนี่ยชิงหลินก็ค่อยๆ สงบลง เมื่อวานนี้เนื่องจากถูกท่านราชครูมาหาเรื่องโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอานางไม่ได้นอนไปครึ่งค่อนคืน ได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง อีกทั้งเพราะกินอาหารไม่อิ่มมาโดยตลอด รวมถึงมีภาวะเลือดและลมพร่องมาตั้งแต่เกิด เมื่อความง่วงงุนมาเยี่ยมเยือน แม้แต่เทพเจ้าที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่อาจต้านทานนางได้
ดังนั้นเนี่ยชิงหลินจึงหดคอเข้าไปในเสื้อคลุมมังกรตัวใหญ่เทอะทะ นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางหรี่ตาเตรียมงีบหลับสักตื่นหนึ่ง ระหว่างที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นนางก็คิดไปพลางๆ ว่า บัลลังก์มังกรใต้บั้นท้ายข้านี้มีอะไรน่านั่งนักนะ ราชครูผู้นี้ก็ปลงไม่ตกแท้ๆ เสด็จพ่อต่างหากที่โชคดีได้หลบไปเสวยสุขอยู่เบื้องล่างแล้ว ได้แต่หวังว่าเหล่าสนมชายาคนโปรดสองสามคนนั้นที่ท่านราชครูสั่งฆ่าทิ้งตั้งตอนแรกยังคงงามพริ้งอยู่ อย่าปล่อยเสด็จพ่อผู้มักมากในตัณหาราคะต้องหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่ที่นั่นคนเดียวก็แล้วกัน…
ในที่สุดการประชุมราชสำนักก็สิ้นสุดลงเสียที เนี่ยชิงหลินฝันไปหลายตลบแล้ว จนกระทั่งขันทีเปล่งเสียงตะโกนขึ้นว่า “เลิกประชุมได้!” นางจึงงัวเงียตื่นขึ้นมา
คราวนี้ถึงได้ตระหนักว่าท่านราชครูซึ่งเอี้ยวตัวมาอยู่ก่อนแล้วกำลังปรายนัยน์ตาหงส์ของเขามองนางอยู่
เว่ยเหลิ่งเหยาเองก็เพิ่งเกิดความคิดปุบปับเมื่อตอนตื่นนอนตอนยามอิ๋น ของเช้าวันนี้ โดยให้เรียกฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ร่วมประชุมราชสำนักด้วย
ถึงแม้ผิงซีอ๋องจะเป็นคนชั่วช้าสารเลว แต่เขาก็ได้เตือนสติราชครูเว่ยไว้ว่า…แม้สถานการณ์บ้านเมืองจะสงบแล้ว แต่แผ่นดินที่งดงามแห่งนี้เบื้องหน้ายังคงเป็นคนสกุลเนี่ยปกครองอยู่ดี
ฮ่องเต้น้อยถึงแม้จะเป็นเพียงเครื่องประดับ แต่มารยาทตามราชประเพณีระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางที่ปรากฏต่อหน้าธารกำนัลยังคงต้องดำเนินไปตามครรลอง ถึงอย่างไรตอนนี้แว่นแคว้นก็ยังไม่มั่นคง เผชิญทั้งศึกในและศึกนอก การสนับสนุนเจ้าเด็กน้อยแซ่เนี่ยผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นการให้ลูกกลอนสงบใจแก่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยเท่านั้น แต่ยังสามารถอุดปากผู้คนในใต้หล้าได้อีกด้วย
นอกจากนี้ราชครูเว่ยยังเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าอายุสิบห้าก็ไม่นับว่าเด็กแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กน้อยนี่จะมีท่าทีอย่างไรเมื่อมาเข้าร่วมประชุมราชสำนักเป็นครั้งแรก
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเสียงกรนเบาๆ ก็เป็นคำตอบอันแสนกระจ่างแก่ราชครูเว่ยแล้ว
หากเลือกราษฎรต้าเว่ยธรรมดาสักคนหนึ่งซึ่งมีใจรักบ้านเมือง พอได้ยินรายงานในฎีกาแล้วล้วนต้องเดือดเนื้อร้อนใจเป็นกังวลร้อนในจนมีตุ่มแผลพุพองผุดขึ้นที่มุมปากไปแล้ว แต่เหลนรุ่นที่สี่ขนานแท้แห่งราชวงศ์ต้าเว่ยผู้นี้ช่างงามหน้านัก กลับผล็อยหลับไปในทันทีเสียนี่
โชคดีที่เหล่าขุนนางอยู่ห่างจากบัลลังก์มังกรค่อนข้างไกล ท่านั่งของฮ่องเต้น้อยก็แปลกประหลาด คอเสื้อคลุมมังกรที่กว้างบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ถึงได้ไม่ถูกขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่เบื้องล่างจับพิรุธเอาได้
ราชครูเว่ยมองฮ่องเต้น้อยที่ผล็อยหลับจนแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ นัยน์ตาปรือปรอย แล้วก็อดที่จะแค่นฮึอย่างเย็นชาออกมาคราหนึ่งไม่ได้
เสียงแผ่วเบานี้ทำให้เด็กน้อยนั่นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที รีบเหยียดแขนออกแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปาก พอพบว่าไม่มีคราบน้ำลายไหลย้อยจึงค่อยโล่งอก
อาโต่วที่หนุนไม่ขึ้น! ถึงแม้เว่ยเหลิ่งเหยาจะลอบถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่ายในใจ แต่ภายนอกเขายังคงต้องรักษามารยาทต่อหน้าธารกำนัลอยู่ดี
ถึงแม้โอรสสวรรค์ที่มีพระชนมายุสิบห้าพรรษาจะยังไม่สามารถออกว่าราชการด้วยตนเองได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้วิธีการปกครองบ้านเมืองจากขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนคนสำคัญ ทุกวันต้องอุดอู้อยู่ในห้องตำราเป็นเวลาหลายชั่วยาม นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นหลังจากเลิกประชุมราชสำนักและกินอาหารกลางวันอย่างเร่งรีบแล้ว ฮ่องเต้น้อยก็ถูกราชครูเว่ยพาตัวไปที่ห้องตำราทันที
ห้องตำราอันโอ่โถงได้รับการเคลื่อนย้ายข้าวของจัดวางใหม่ตามความต้องการของท่านราชครู ข้างโต๊ะไม้หนานมู่ ขลิบทองขนาดใหญ่ของท่านราชครูมีเก้าอี้เพิ่มมาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นั่งของเนี่ยชิงหลินนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นานขุนนางเก่าแก่หลายคนก็เข้ามารายงานเรื่องสำคัญต่างๆ ครั้นเห็นท่าทางของฮ่องเต้น้อยที่อ่านฎีกาอย่างเอาจริงเอาจัง แววตาของพวกเขาต่างก็เป็นประกาย รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมาบ้าง จึงรายงานราชกิจต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
เนี่ยชิงหลินนั่งไปได้สักพักหนึ่ง หลังจากมองดูขุนนางอาวุโสหลายคนเดินเข้าเดินออกห้องตำราทีละคนเพื่อรายงานเรื่องราชกิจปลีกย่อยต่อท่านราชครูแล้ว นางพลันรู้สึกว่าการที่ตนมานั่งเป็นไม้ประดับเช่นนี้ก็พอเป็นประโยชน์พอควรแล้ว ครั้นเหลือบไปเห็นเตียงนุ่มในห้องชั้นในของห้องตำราซึ่งดูน่านอนมาก นางจึงถามท่านราชครูด้วยเสียงแผ่วเบาว่าขอให้ตนเข้าไปในห้องชั้นในเพื่ออ่านจื่อซู สักพักได้หรือไม่
เว่ยเหลิ่งเหยากำลังยุ่งอยู่กับการอ่านและให้คำแนะนำบนฎีกาที่ยื่นมา จึงคร้านจะสนใจฮ่องเต้น้อยไปชั่วขณะหนึ่ง เพียงโบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้นางเข้าไปได้
เนี่ยชิงหลินเดินไปถึงหน้าชั้นวางหนังสือพลางกวาดตามองรอบหนึ่ง บรรดาหนังสือที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นจนละลานตาไปหมดนั้นไม่มีเล่มที่นางต้องการเลย ในห้องตำราของเชื้อพระวงศ์หาเรื่องเกี่ยวกับยอดบุรุษกับโฉมงามได้ยากเย็นนัก หลังจากค้นหาตรงนั้นตรงนี้อยู่เป็นนาน ในที่สุดนางก็จำต้องเลือกเอาบันทึกการเดินทางมาเล่มหนึ่ง ซึ่งบอกเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสถานที่ต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ พอให้นางอ่านฆ่าเวลาได้บ้าง
เนี่ยชิงหลินหนีบหนังสือไว้ใต้วงแขนแล้วถอดรองเท้า ขึ้นไปบนเตียงอันอบอุ่น นอนคว่ำอ่านหนังสือไปได้สักพักหนึ่ง เนื่องจากวันนี้ทั้งวันนางยังไม่ได้พักผ่อนจริงจังเลย อาหารกลางวันในท้องก็ยังย่อยไม่เสร็จดี สมองของนางล้าเสียเหลือเกิน แม้จะพยายามฝืนลืมตาเต็มที่ แต่ก็สะลึมสะลือแล้วผล็อยหลับไปจนได้
ส่วนราชครูเว่ยทางนั้นตรวจฎีกามาครึ่งค่อนวันแล้ว ในที่สุดเขาก็สะสางจนเสร็จ ทว่าตัวเขาเองออกจะง่วงงุนอยู่สักหน่อย รับรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปมากแล้ว อีกสักครู่เขาก็ต้องไปตรวจค่ายเพี่ยวฉีที่นอกเมือง หากจะกลับไปพักผ่อนที่จวนราชครูแล้วค่อยออกมาใหม่ก็ดูอ้อมไปอ้อมมาไกลกว่าเดิม มิสู้พักอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวแล้วค่อยออกเดินทางจากวังตรงไปเลยดีกว่า
ครั้นคิดดังนี้เขาจึงสั่งไม่ให้องครักษ์และข้ารับใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกห้องเข้ามาข้างใน จากนั้นเขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปยังห้องชั้นใน
ด้วยพระราชประสงค์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เตียงอุ่นในห้องชั้นในนี้จึงกว้างใหญ่มาก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนแต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่ค่อยกระตือรือร้นในการดูแลราชกิจสักเท่าใดนัก เขามักเรียกสนมชายาสองสามคนมาเสพสมบำเรอกามบนเตียงอุ่นในห้องชั้นในนี้ตอนกลางวันแสกๆ อยู่เป็นนิจ
บัดนี้เครื่องนอนบนเตียงหลังนี้ล้วนเปลี่ยนใหม่หมดโดยกองงานฝ่ายใน เครื่องนอนทำจากผ้าไหมเนื้อดีบุด้วยขนห่านเนื้อละเอียดซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นทางใต้ที่ส่งมาให้ เมื่อเอนกายลงนอนไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัสหรือระดับความนุ่มล้วนทำให้คนสบายผ่อนคลายยิ่งนัก ดังนั้นราชครูเว่ยจึงตัดสินใจเก็บเตียงอุ่นหลังใหญ่นี้เอาไว้
เห็นทีฮ่องเต้น้อยคงไม่มีข้ารับใช้คอยดูแลกระมัง เขาถึงได้นอนโดยไม่ถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับออกสักชิ้น เสื้อคลุมมังกรตัวใหญ่เทอะทะพันรอบตัวนอนหลับสนิท ทั้งยังเหยียดแขนเหยียดขาแผ่หลาอยู่บนเตียงอุ่น ดูท่าจะหลับลึกจนปลุกไม่ตื่นแน่ เว่ยเหลิ่งเหยาเป็นคนที่ ‘ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย’ มาโดยตลอด แต่กลับไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้งคนจนทำลายความรื่นรมย์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่นี้นับว่าประพฤติตนรู้ความ ทั้งยังเชื่อฟังมาโดยตลอด การให้รางวัลเขาด้วยการนอนหลับอย่างเป็นสุขสักตื่นหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยนัก พอคิดดังนี้ราชครูเว่ยจึงคลายแถบรัดเอว ถอดชุดราชสำนักออกโดยไม่ถอดรองเท้า แล้วพลิกตัวขึ้นไปบนเตียงอุ่น
ขณะที่นอนอยู่บนเตียง กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกายก็โชยมาแตะจมูก ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นแป้งชาดผัดหน้าของบรรดาอนุภรรยาในจวนราชครูเหล่านั้น ร่างกายของฮ่องเต้น้อยกลับหอมละมุนประหนึ่งกลิ่นหอมหวานของพุทราเชื่อมอย่างไรอย่างนั้น
ราชครูเว่ยพลิกกายปรับท่านอนให้สบายตัวขึ้น แล้วค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ฮ่องเต้น้อย
เด็กคนนี้ค่อนข้างผอมทีเดียว ทว่าร่างกายกลับนุ่มนิ่ม พอได้แอบอิงใกล้ๆ ก็เหมือนกับได้พิงหมอนดีๆ ใบหนึ่ง เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกว่าเปลือกตาของตนหนักไม่น้อย พอรู้สึกตัวอีกทีจมูกของเขาก็สัมผัสได้เพียงกลิ่นหอมละมุนจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่เจ้าของลมหายใจยาวสม่ำเสมอผู้นี้ที่กำลังหลับอย่างสบาย ดังนั้นเขาจึงเหยียดแขนยาวออกไปทำตามใจปรารถนา รวบตัวร่างนุ่มอบอุ่นนั่นเข้ามาในอ้อมแขนเสียเลย
รอให้งานบ้านงานเมืองคลี่คลายลง ในจวนก็ควรจะเพิ่มหญิงสาวสักหน่อยแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นให้หัวหน้าผู้ดูแลจวนเลือกสาวแรกรุ่นเข้ามาสักหน่อย คนที่ดูอ่อนวัยไม่ประสีประสาคงสร้างความรู้สึกแปลกใหม่…น่าจะดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเป็นพิเศษ…
บทที่ 6
การนอนของฮ่องเต้น้อยในครั้งนี้ออกจะหลับเพลินอยู่สักหน่อย ที่นอนนุ่มที่รองรับตัวนางอยู่ช่างเป็นของดีเสียจริง! หากมิใช่ว่าถูกอะไรกดทับร่างจนหายใจไม่ออก รับรองได้ว่านางต้องนอนอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอนนุ่มนี้ต่ออีกสักพักหนึ่งเป็นแน่
นางหลับนานเกินไปหน่อยจนรู้สึกว่าใบหน้าอ่อนเปลี้ยอยู่บ้าง กว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงคืบ ชั่วขณะนั้นยังสับสนคิดว่าตนคงกำลังฝันอยู่
ครั้นดึงสติคืนมาได้และประจักษ์ว่าผู้ที่หลับตาอยู่นี้คือผู้ใด เนี่ยชิงหลินถึงกับแข็งค้างไปสักพักหนึ่ง กว่าจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
ได้เห็นท่านราชครูในชุดหรูหราคาดแถบรัดเอว สวมหมวกขุนนางอย่างสง่างามจนชินตา จู่ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นพญายมที่มีชีวิตสวมเพียงเสื้อตัวในซึ่งคอเสื้อแบะออกเล็กน้อยนอนหลับอยู่ข้างกายตนเช่นนี้ แค่คำว่า ‘ตกตะลึง’ นี้คงไม่เพียงพอแล้ว!
เนี่ยชิงหลินเห็นว่าคนผู้นี้นอนหลับลึก นัยน์ตาหงส์ปิดสนิท ขนตาหนาเป็นแพ ถึงกระนั้นคิ้วเรียวยาวก็ยังคงขมวดมุ่นอยู่ ราวกับว่ากำลังตัดศีรษะใครสักคนที่โชคร้ายในความฝัน ท่อนแขนแข็งแกร่งราวกับเหล็กข้างหนึ่งกดทับบนเอวของนางอย่างแน่นหนา มิน่าเล่า เมื่อครู่นี้ข้าถึงได้หายใจไม่ออก
เมื่อก่อนตอนที่แอบอ่านนิยาย พออ่านถึงตอนสำคัญที่ยอดบุรุษกับโฉมงามขึ้นเตียงกัน ต่อจากนั้นเตียงก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ที่มาของเสียงเอี๊ยดอ๊าดนั่นล้วนถูกม่านหนาหนักบังไว้เสียมิดชิด ที่เหลือก็ได้แต่อาศัยจินตนาการอันอ่อนด้อยของตนเองเติมเต็มเอาเท่านั้น
แต่บัดนี้ร่างกายล่ำสันบึกบึนที่บางส่วนเสื้อผ้าปกปิดได้ไม่มิดชิดปรากฏให้เห็นตรงหน้าของนาง พอมองตามรอยแยกตรงสาบเสื้อเข้าไป…กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ นั่นช่างดูแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งนัก
นี่คือความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรีสินะ! เป็นเพราะท่อนแขนแข็งแกร่งทรงพลังออกแรงเขย่านี่เอง มิน่าเล่า เตียงถึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดได้!
เนี่ยชิงหลินขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ ทว่าความคิดในหัวกลับล่องลอยไปชั่วครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวก็คิดว่าตอนนั้นมารดาของนางคิดอย่างไรกันถึงได้ให้นางสวมรอยเป็นพี่ชายของตนที่ตายไปก่อนวัยอันควร ยามนางเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ แต่กล้ามเนื้อที่บุรุษมีกันยังไม่โตเต็มที่ควรทำอย่างไรดี ประเดี๋ยวก็คิดว่านางควรผลักท่อนแขนของท่านราชครูออกไปแล้วลุกขึ้นก่อนดีหรือไม่ ไม่รู้ว่านิสัยการนอนของท่านราชครูเป็นอย่างไร จะหงุดหงิดเมื่อมีอะไรไปสะกิดปลุกให้ตื่นขึ้นมาหรือไม่
ขณะที่เนี่ยชิงหลินสองจิตสองใจอยู่นี้เอง ราชครูเว่ยก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เว่ยเหลิ่งเหยาเป็นคนนอนหลับไม่ลึกมาแต่ไหนแต่ไร ยากนักที่วันนี้เขาจะหลับอย่างสบายใจรวดเดียวเช่นนี้ได้
ตอนที่ฮ่องเต้น้อยในอ้อมแขนของเขาตัวแข็งทื่อ เขาก็ตื่นแล้วเช่นกัน ขุนนางเข้มแข็งแต่ฮ่องเต้อ่อนแอ เขาไม่ได้เตะเจ้าเด็กหนุ่มนี่ตกเตียงเสียหน่อย การปล่อยให้อีกฝ่ายได้นอนร่วมเตียงกับขุนนางของตนเองนับว่าเป็น ‘เรื่องราวดีๆ’ ตอนหนึ่งของขุนนางทรงคุณธรรมเชียวนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยจะมีอาการตอบสนองอย่างไร ใครจะไปรู้ว่าคนในอ้อมแขนตื่นตั้งนานแล้วกลับเอาแต่นอนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัวสักนิดเลยด้วยซ้ำ
เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อยก็เห็นว่าดวงตากลมโตของฮ่องเต้น้อยในอ้อมแขนเบิกกว้าง มองลอดเข้าไปในสาบเสื้อของเขาที่แบะออกด้วยสายตาหลุกหลิก
เว่ยเหลิ่งเหยาขบขันอยู่ในใจ เหตุใดเขาถึงลืมไปว่าฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้เป็นคนที่ส่วนนั้นใช้การไม่ได้ อายุสิบห้าหากเป็นองค์ชายองค์อื่นๆ ป่านนี้คงมีนางกำนัลที่รอบรู้มาปรนนิบัติรับใช้ ช่วยปลดปล่อยความต้องการส่วนตนให้ตั้งแต่แรกแล้ว
ว่ากันว่าองค์ชายน้อยองค์นี้ไม่ว่าจะท่วงท่าอันใดก็ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น ข่าวลือนี้ยังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งในและนอกวังหลวงเพียงชั่วข้ามคืน เป็นที่อับอายขายหน้าแก่ราชสกุลเนี่ยยิ่งนัก
เด็กคนนี้จ้องข้าโดยไม่ละสายตาเช่นนี้ คงจะอิจฉาในร่างกายสมเป็นบุรุษของข้าล่ะสิ
ครั้นคิดดังนี้เขาก็เกิดอยากหยอกเย้าอีกฝ่ายขึ้นมา จึงพูดชิดใบหูอันบอบบางของฮ่องเต้ว่า “อยากให้กระหม่อมถอดชุดให้ฝ่าบาททอดพระเนตรจนกว่าจะสาแก่ใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“หา?” เนี่ยชิงหลินยังไม่ทันได้ตั้งสติ นางอ้าปากเล็กน้อยพร้อมมองท่านราชครูด้วยความตกตะลึง ถึงได้สังเกตเห็นแววตายั่วเย้าของอีกฝ่าย ฮ่องเต้น้อยกระอักกระอ่วนใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสงบสติลงได้ จากนั้นจึงมองเขาด้วยสีหน้าชื่นชมพลางพูดจายกยอปอปั้นว่า “กระดูกของท่านราชครูช่างแข็งแกร่งน่าทึ่งยิ่งนัก สมกับเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่ท่านคือเสาหลักของแว่นแคว้น หากอีกหน่อยเราเติบโตแข็งแกร่งเหมือนกับท่านราชครูได้ก็ดีน่ะสิ”
ช่วงเวลาพักผ่อนหย่อนใจระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางพลันหายวับไปกับอากาศด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำที่กล่าวมานี้ เว่ยเหลิ่งเหยาหยัดยืดกายลุกขึ้นด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ถึงแม้ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้จะประพฤติตนรู้ความและเชื่อฟังก็จริง ทว่าเขาช่างอาภัพกับคำว่า ‘เติบโต’ นั่นนัก รอให้บ้านเมืองสงบมั่นคงก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเด็กนี่จะเป็นราชสกุลเนี่ยคนสุดท้ายที่เป็นเครื่องเซ่นสังเวยสำหรับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้า
หลังราชครูเว่ยแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกจากวังหลวงไป
ฮ่องเต้น้อยตั้งสติได้แล้วก็พึงพอใจอย่างยิ่ง ในที่สุดภารกิจของวันนี้ก็เสร็จไปอีกหนึ่งวันแล้ว นางสามารถปลีกตัวกลับไปยังตำหนักบรรทมได้เสียที
หลังหิมะตกลงมาอากาศก็ดีทีเดียว แม้ยามค่ำคืนจะมืดเร็วอยู่บ้าง แต่เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่าควรเดินเล่นออกกำลังให้เลือดลมไหลเวียนสักครู่หนึ่งจะดีกว่า นางจึงไม่ได้ขึ้นรถม้า ขันทีและองครักษ์ที่เดินตามหลังอยู่สองสามคนเดินช้าๆ ตามเสด็จกลับตำหนักบรรทมด้วย พอเดินมาถึงสวนดอกไม้ด้านหลังห้องตำรา นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นปิ่นปักผมสีทองระย้าอยู่เบื้องหน้า ซึ่งพัดกลิ่นหอมจรุงลอยตามลมมาด้วย
ครั้นมองไปก็เห็นหญิงงามใต้แสงจันทร์ สตรีในชุดกระโปรงแดงมีแสงจันทร์อาบไล้ไปทั่วร่าง ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียนี่กระไร
ทว่ายามที่หญิงงามนางนั้นมองเห็นเนี่ยชิงหลินกลับไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าผิดหวังเอาไว้ได้ ได้แต่ย่อกายถวายพระพรให้ฮ่องเต้ตามมารยาทเท่านั้น
หญิงงามผู้นี้คืออวิ๋นเฟยแห่งตำหนักฉู่อวิ้น เป็นน้องสาวของซั่งหนิงเซวียนรองเสนาบดีกรมทหารคนปัจจุบัน นามเดิมของนางก่อนออกเรือนคือซั่งอวิ๋นชู นางมีชื่อเสียงในฐานะสตรีมากความสามารถในหมู่สตรีชั้นสูงในเมืองหลวง
บทกวี ‘หักกิ่งหลิวยามสนธยา’ ของสตรีผู้นี้เป็นที่โจษจันแพร่หลายไปทั่วเมืองหลวงในช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนต่างแย่งกันคัดลอกไว้ ทำให้กระดาษในเมืองหลวงราคาสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นตามเสียงเล่าลือที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ขณะที่สตรีผู้นี้ยังไม่ได้ออกเรือน นางเคยมีใจรักอันบริสุทธิ์งดงามกับราชครูเว่ยซึ่งในขณะนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักอยู่ช่วงเวลาหนึ่งด้วย
แม้ทั้งคู่จะเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ครองคู่กันเสียที ต่อมาเว่ยเหลิ่งเหยาไปประจำการชายแดนในฐานะแม่ทัพผู้ตรวจการ ขณะที่แม่นางซั่งสตรีมากความสามารถก็เข้าวังไปกลายเป็นพระชายา ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจึงจบลงอย่างค้างคาเช่นนี้
อย่างไรก็ตามเนี่ยชิงหลินจำได้แม่นยำว่าในวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในวังหลวง บรรดาองค์ชาย ฮองเฮา สนมชายา รวมถึงนางกำนัลทั้งหมดต่างก็มารวมตัวกันที่ท้องพระโรง ขาดเพียงอวิ๋นเฟยผู้นี้คนเดียวเท่านั้น ดูไปแล้วท่านราชครูผู้มีสีหน้าเย็นชาเสมอก็เป็นคนที่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา คนหนึ่งเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็ไม่ปล่อยให้หญิงงามน่าทะนุถนอมต้องตกนรกทั้งเป็น ไม่อาจให้ไปอยู่ในเหตุการณ์ที่น่ากลัวจนปัสสาวะราดกางเกงได้
อากาศหนาวเย็นออกปานนี้ เหตุใดอวิ๋นเฟยถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้นั้นเนี่ยชิงหลินกลับกระจ่างแจ้งดี เมื่อคิดได้ว่ายามปกติท่านราชครูมักเดินผ่านสวนดอกไม้ด้านหลังเพื่อใช้เป็นทางลัดกลับจวนของตนเอง แต่วันนี้ท่านราชครูจะไปที่ค่ายเพี่ยวฉีของแม่ทัพผู้ตรวจการ จึงออกทางประตูหลักที่อยู่ด้านหน้าแทน ทำให้คลาดกับหญิงงามที่อุตส่าห์เฝ้ารอคอยอยู่เป็นนานผู้นี้ไป
เพียงแต่อวิ๋นเฟยผู้นี้ก็ช่างไม่สงวนท่าทีเอาเสียเลย กระดูกของฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำ นางก็รีบสานต่อความสัมพันธ์กับคนรักเก่าอีกครั้งอย่างแทบอดใจรอไม่ไหวถึงเพียงนี้เชียว
เสด็จพ่อ พระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องล่างรู้สึกได้ถึงแรงกดทับบนพระมาลาเขียว ที่ทรงสวมอยู่หรือไม่
แม้เนี่ยชิงหลินในใจคิดเช่นนี้ ทว่าต่อหน้ากลับพูดด้วยความเคารพว่า “อวิ๋นเฟยออกมาเดินเล่นตอนพลบค่ำ ต้องสวมเสื้อผ้าให้มากสักหน่อย เราขอตัวเดินไปก่อน”
พอพูดจบเนี่ยชิงหลินก็รีบยกชายเสื้อคลุมมังกรขึ้นและออกจากสถานที่ที่ก่อให้เกิดเสียงติฉินนินทาได้ง่ายแห่งนี้ไปโดยเร็ว แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงพระชายาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ด้วยบารมีและความโปรดปรานของท่านราชครู อวิ๋นเฟยผู้นี้ต่างหากคือผู้ที่น่าเคารพยำเกรงตัวจริงแห่งตำหนักในของวังหลวงนี้ ส่วนตนเป็นเพียงฮ่องเต้ในนาม เป็นลิงค่างตัวปลอม ในวังหลวงมี ‘พระพุทธองค์’ ให้กราบไหว้ไม่หมดไม่สิ้นโดยแท้!
เรื่องลับที่ว่าท่านราชครูสวมพระมาลาเขียวให้แก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก่อนน่าจะดีกว่า!
น่าเสียดายที่ไม่ว่าเนี่ยชิงหลินจะแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเพียงใดก็ยังมีเรื่องที่หลบเลี่ยงไม่พ้นอีกจนได้ การประชุมราชสำนักเช้าในทุกๆ วันอย่างนี้กลายเป็นกิจวัตรอันน่าเหนื่อยหน่ายไปแล้ว กระนั้นนางก็มีวิธีจัดการในแบบของตนเองเช่นกัน โดยหดศีรษะลงไปในคอเสื้อคลุมมังกรแล้วลอยละล่องสู่ห้วงนิทราทันที
พอบ่อยครั้งเข้าราชครูเว่ยก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไป มิใช่ว่าเขามีจิตใจของความเป็นอาจารย์ที่เข้มงวด ทนเห็นความไม่เอาไหนของฮ่องเต้น้อยไม่ได้จริงๆ อะไร แต่เป็นเพราะอีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลชมโคมของราชวงศ์ต้าเว่ยแล้วต่างหาก เมื่อถึงเวลานั้นบรรดาอ๋องศักดินาและเชื้อพระวงศ์จากที่ต่างๆ จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เป็นการรวมตัวกันของคนในราชสกุลเนี่ยอย่างหาได้ยาก
หากฮ่องเต้น้อยที่เขาประคับประคองอยู่ยังคงสวมเสื้อคลุมมังกรที่ใหญ่เทอะทะไม่เหมาะกับตัว เอาแต่หดศีรษะอยู่ในกระดองเต่าระหว่างงานเลี้ยงเช่นนี้ นั่นคงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเว่ยเหลิ่งเหยาอับอายขายหน้าเป็นแน่แท้ ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งต่อกองงานฝ่ายในที่ละเลยหน้าที่อย่างเฉียบขาดให้ตัดเย็บฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้เป็นการด่วน
ขึ้นครองบัลลังก์มานานเพียงนี้ ในที่สุดเนี่ยชิงหลินก็ได้ตัดเสื้อผ้าใหม่ที่เหมาะกับตัวเสียที!
เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองในชีวิตของการเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดที่แสนจืดชืดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อช่างภูษาที่ส่งมาจากโรงทอผ้าจะทำการวัดตัวฮ่องเต้น้อยนั้น อันเฉี่ยวเอ๋อร์ซึ่งอยู่ในห้องชั้นในก็กระซิบถามเนี่ยชิงหลินว่า “ฝ่าบาทเพคะ อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาวัดขนาดฉลองพระองค์แล้ว จะทรงสวม ‘ของสิ่งนั้น’ ด้วยหรือไม่เพคะ”
‘ของสิ่งนั้น’ ที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์พูดถึงคือวัสดุแท่งที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเมื่อครั้งที่ลี่ผินยังมีชีวิตอยู่ เหมือนว่าตัววัสดุทำจากยางไม้พิเศษชนิดหนึ่งจากหนานเจียง พอใส่สีแล้วจะมีผิวสัมผัสนุ่มเหมือนผิวหนังของคนอย่างไรอย่างนั้น หลังจากผ่านการแกะสลักโดยช่างฝีมือที่มีความชำนาญ มันก็มีรูปร่างเหมือนอวัยวะท่อนล่างส่วนนั้นของเด็กหนุ่มทุกประการ
ตอนนั้นขณะที่นางกำนัลมาให้ความกระจ่างในเรื่องต่างๆ แก่เนี่ยชิงหลิน ลี่ผินก็ได้ติด ‘เจ้าแท่งนั้น’ ไว้บนสรีระของเนี่ยชิงหลินแล้ว และได้วางยาลับแก่นางกำนัลผู้นั้นซึ่งมีผลทำให้สติเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้อีกต่อไป
โชคดีที่หลังจากเรื่อง ‘ความเป็นชายบกพร่อง’ ได้แพร่สะพัดออกไปก็ช่วยประหยัดเวลาที่จะหมดไปกับเรื่องหยุมหยิมที่ตามมาทั้งหลายได้มากพอดู
ทว่าตอนที่ช่างภูษามาวัดขนาดเสื้อผ้านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องเข้ามาใกล้ตัวอยู่ดี หากมองพิรุธโครงสร้างสรีระตรงเป้ากางเกงออกคงไม่เป็นการดีแน่ เนี่ยชิงหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
แต่พออันเฉี่ยวเอ๋อร์เปิดกล่องที่ซ่อนไว้ออกมานางก็ถึงกับชะงักค้างอยู่บ้าง เวลานั้นช่างฝีมือที่ทำเจ้าแท่งชิ้นนี้เคยกำชับไว้ว่าตอนเก็บรักษาต้องใส่น้ำลงไปเล็กน้อยเพื่อให้มันชุ่มชื้น ก่อนหน้านี้อันเฉี่ยวเอ๋อร์เก็บวัตถุชิ้นนี้ด้วยความใส่ใจระมัดระวัง ดูแลรักษาอย่างดีมาโดยตลอด แต่หลายวันมานี้ในวังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำเอานางวุ่นวายไม่น้อย ไหนเลยจะมีเวลาไปใส่ใจสิ่งนี้ได้ พอจะหยิบมาใช้ เพียงเปิดออกดูก็เห็นมันแห้งแข็งไปสักหน่อยเสียแล้ว
ตอนนี้ช่างภูษาก็มารออยู่ที่ด้านนอกตำหนักแล้ว เพราะหลังจากวัดตัวของฮ่องเต้แล้วเขายังต้องไปที่ห้องตำราเพื่อวัดตัวให้ท่านราชครูต่ออีก เวลาค่อนข้างกระชั้นชิดพอควร
เนี่ยชิงหลินดูแล้วไม่มีวิธีอื่นนอกจากจำต้องถูไถใช้มันไปก่อน จึงเร่งอันเฉี่ยวเอ๋อร์ให้รีบยัดเจ้าแท่งนั้นเข้าไปในกางเกงของตนโดยไว
เมื่อช่างภูษาเดินเข้ามาเพื่อวัดตัว เขาก็ขอให้ฮ่องเต้ถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกให้หมดจนเหลือแต่ฉลองพระองค์ตัวบางข้างในเท่านั้นเพื่อทำการวัดขนาด
เนี่ยชิงหลินแต่งตัวเป็นเด็กชายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย จึงไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างชายหญิงมากนัก กอปรกับนางสวมผ้ารัดอกอยู่ข้างใน อีกทั้งผ้าของชุดสำหรับฤดูหนาวก็หนาพอควร ไม่มีส่วนใดที่โผล่ออกมา จึงให้ช่างภูษาวัดตัวด้วยท่าทีผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
แต่เพิ่งวัดความยาวแขนเสื้อเสร็จ เว่ยเหลิ่งเหยาก็สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาในตำหนักแล้วพูดกับช่างภูษาว่า “มานี่ มาวัดตัวให้ข้าก่อน!” พูดจบเขาก็ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนั่งรออยู่ข้างๆ
ที่แท้เขาเพิ่งได้รับรายงานลับมาเมื่อครู่นี้เอง สายลับที่ส่งไปผิงซีในที่สุดก็ส่งสารกลับมา เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจเขาเนิ่นนานก็คลายลงเสียที เขาย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา จึงดื่มสุราไปสองสามจอกระหว่างอาหารกลางวัน
ในระหว่างอาหารกลางวันนั้นนางกำนัลของอวิ๋นเฟยได้นำจดหมายมาส่งให้เขาด้วยตนเอง ราชครูเว่ยกวาดตาอ่านผ่านๆ อย่างคร้านจะใส่ใจอยู่แวบหนึ่ง ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า
‘ผู้เฒ่าจันทราไร้ความเมตตา โศกาอาดูรไปชั่วชีวี ปรารถนาพบหน้าท่านอีกสักครั้ง’
อะไรทำนองนี้…
อันที่จริงจดหมายทำนองนี้ใช่ว่าอวิ๋นเฟยไม่เคยส่งให้มาก่อน เพียงแต่ถ้อยคำไม่ได้เน้นย้ำเปิดเผยโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้เท่านั้นเอง
เดิมทีเว่ยเหลิ่งเหยาก็เพิกเฉยต่ออวิ๋นเฟยมาโดยตลอด ถึงแม้ซั่งอวิ๋นชูจะเป็นสตรีมากความสามารถ แน่นอนว่าเขาเองก็เคยชื่นชมนางมากๆ มาก่อน แต่สุดท้ายแล้วนางก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนและไปเลือกฮ่องเต้ไม่เอาไหนพระองค์นั้นแทน เดิมทีเขาก็เป็นคนเฉยเมยเย็นชาอยู่แล้ว ความรู้สึกเสน่หาซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จึงจางหายไปอย่างปุบปับด้วยประการฉะนี้
ตอนนี้หากไม่ใช่เพราะซั่งหนิงเซวียนพี่ชายของซั่งอวิ๋นชูเป็นขุนนางคนสำคัญที่เขาต้องพึ่งพาอาศัยอย่างมากแล้วล่ะก็ เขาจะต้องไว้หน้าให้เกียรติหญิงสาวผู้นั้นด้วยอย่างนั้นหรือ
แต่การกอบกู้ศักดิ์ศรีหน้าตาของตนคืนมาต่อหน้าหญิงสาวที่ใจโลเลได้ใหม่ลืมเก่าทิ้งตนไปนั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าเบิกบานใจเสียจริง สาวงามในวัยงดงามเพริศแพร้วที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ถึงแม้จะสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะต้อนรับนางกลับจวนเสียหน่อย แค่เอาไว้เป็นเพียงของเล่นคลายความเบื่อหน่ายจะเป็นไรไป
ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสที่มึนเมาด้วยฤทธิ์สุราเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักใน ขณะที่เดินผ่านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ หยวนกงกงที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยเตือนเขาเสียงเบาว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งกินอาหารเสร็จ คนที่โรงทอผ้าส่งมาไม่กล้ารบกวนเขา จึงขอไปวัดตัวให้ฮ่องเต้น้อยก่อน ในเมื่อเขาจะไปหาอวิ๋นเฟย ค่อยให้ช่างภูษาไปวัดขนาดตัวที่จวนของท่านราชครูในตอนค่ำแทนดีหรือไม่
เว่ยเหลิ่งเหยาโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น แล้วจึงเดินวกกลับเลี้ยวเข้าไปในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้น้อยเสียเลย
คนที่โรงทอผ้าส่งมาก็เป็นคนหัวไว พอเห็นท่านราชครูเอ่ยปากพูดเช่นนี้แล้วก็รีบผละมือจากท่อนแขนของฮ่องเต้น้อย ก่อนกระวีกระวาดเข้ามาวัดตัวท่านราชครูโดยไม่รอช้า
เนี่ยชิงหลินได้แต่หดมือแล้วค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้รอต่อไป นางเองก็มองออกว่าท่านราชครูดูมึนเมาอยู่บ้าง บางทีเขาอาจจะร้อนเพราะฤทธิ์สุราจึงถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่ยี่หระ ครั้งที่แล้วนางเห็นเพียงวับๆ แวมๆ ผ่านชายสาบเสื้อเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมองเห็นอย่างชัดเจนจริงๆ
เสื้อผ้าที่ท่านราชครูสวมใส่ทำให้เขามีกลิ่นอายดุจเทพเซียน นอกจากเสื้อผ้าแล้ว รู้สึกว่าท่อนแขนของเขายังแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งกว่าแขนขององครักษ์ยอดฝีมือในวังหลวงเสียอีก!
ยามที่ท่อนแขนล่ำสันที่ว่านี้กวัดแกว่งดาบอยู่นั้น คนที่รับคมดาบจะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่ ก็ไม่รู้ว่าต่อไปในวันหน้าเขาจะมอบสุราพิษให้นางหนึ่งจอกหรือยกดาบฟันฉับลงมาแทนกันแน่
ขณะที่สายตากำลังมองแผงอกของท่านราชครูอย่างเพลินตาอยู่นั้น จู่ๆ เนี่ยชิงหลินก็สังเกตเห็นว่านัยน์ตาหงส์ของท่านราชครูหรี่ลงโดยพลัน จากนั้นก็มองดูนางอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง
เนี่ยชิงหลินมองตามสายตาของท่านราชครูลงไปจนถึงเป้ากางเกงของตนเอง…
เจ้าแท่งปลอมนั่นราวกับกำลังซุกซนอยู่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.