X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7

เนื่องจากเมื่อครู่เนี่ยชิงหลินยัดมันเข้าไปอย่างเร่งรีบ ผลปรากฏว่าพอนั่งลงไปโดยไม่ใส่ใจ วัตถุแข็งกระด้างที่หมดสภาพใช้งานแล้วก็ตั้งทะยานขึ้นมา รวมกับเมื่อครู่นี้นางจ้องมองท่านราชครูด้วยสายตาวิบวับเกินไปสักหน่อย ไม่รู้ว่ายามนี้กลายเป็นภาพที่ดูน่าอับอายเพียงใด

ถึงอย่างไรเนี่ยชิงหลินก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอยู่พอควร ความคิดแวบแรกในหัวนางก็คือ แย่แล้ว ข้าคงไม่เผยพิรุธให้เห็นแล้วกระมัง!

ดังนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืนทันใด แล้วหยิบเสื้อบุนวมตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ มาปกปิดสรีระปลอมท่อนล่างของตนเองไว้ พร้อมกับฝืนพูดออกมาประโยคหนึ่งด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “เราอยากไปห้องน้ำ” แล้วรีบผลุนผลันเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างตำหนักชั้นในทันที

อันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็รีบตามฮ่องเต้น้อยไปติดๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือด นางคอยมองขันทีและนางกำนัลที่เดินผ่านไปมาเป็นระยะโดยไม่อาจพูดอะไรได้ทั้งสิ้น ได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำเท่านั้น

เนี่ยชิงหลินที่อยู่ในห้องน้ำเหงื่อเย็นแตกพลั่กไปทั้งร่าง นางลูบไล้วัตถุเจ้าปัญหานั้นอย่างทะนุถนอม จากนั้นสวมเสื้อคลุมที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์ยื่นส่งมาให้จนเรียบร้อย แล้วจึงนั่งสงบสติอารมณ์บนส้วมที่สะอาดอยู่ครู่หนึ่ง

ถึงแม้อากัปกิริยาเมื่อสักครู่นี้จะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่ท่านราชครูก็ไม่น่าจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรนี่ก็เป็นจุดสงวนส่วนตัว หรือว่าในฐานะขุนนางจะไม่ปล่อยให้ฮ่องเต้วางตัวสง่างามขึ้นมาบ้างเลยหรือไรกัน

เขาคงไม่ให้ข้าถอดกางเกงออกเพื่อตรวจสอบหรอกกระมัง เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่านั่นไม่ใช่นิสัยของเว่ยเหลิ่งเหยา นางได้ ‘ศึกษาเรียนรู้’ กับท่านราชครูมาระยะหนึ่งแล้วก็พอไตร่ตรองได้อย่างคร่าวๆ ว่าถึงแม้ท่านราชครูจะเป็นคนฉลาดมากเล่ห์และโหดเหี้ยม เป็นจอมวางแผนมองการณ์ไกลชิงไหวชิงพริบในราชสำนักเพียงใด แต่พอเป็นเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวันกลับคร้านที่จะพูดมาก ไม่ค่อยจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สักเท่าใดนัก

เนี่ยชิงหลินยิ่งคิดก็ยิ่งปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นพอสมควร พอออกจากห้องน้ำสีหน้าของนางก็สดชื่นแจ่มใสประหนึ่งว่าได้เข้าไปปลดทุกข์มาแล้วจริงๆ

ครั้นเนี่ยชิงหลินกลับเข้าไปยังห้องด้านในอีกทีก็พบว่าท่านราชครูออกไปแล้ว เหลือเพียงช่างภูษาที่รออยู่เท่านั้น เนี่ยชิงหลินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แล้วเรียกช่างภูษาให้มาวัดเสื้อผ้าต่ออย่างมีความสุข

 

ต่อให้ตีเนี่ยชิงหลินตายนางก็คิดไม่ถึงหรอกว่าท่านราชครูที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉู่อวิ้นอยู่ในเวลานี้ในหัวไม่ได้คิดถึงเรื่องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ยึดอำนาจแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็น ‘เรื่องหยุมหยิมตรงเป้ากางเกงของฮ่องเต้’ นั่นล่ะ

พอพ้นจากประตูตำหนักบรรทม ท่านราชครูก็สร่างเมาไปไม่น้อยแล้ว ในเวลานี้เขากำลังเลิกคิ้วหนาหรี่นัยน์ตาหงส์พลางครุ่นคิดไปด้วย ดูจากสภาพเมื่อครู่แล้วไม่เห็นเหมือนคนใช้การไม่ได้เลย! ความจริงยังใช้งานได้ดีด้วยซ้ำ! บางทีอาจแค่ไม่เกิดอารมณ์กับสตรี เพราะพอจ้องมองเขาด้วยสายตาคลั่งไคล้ลวนลามเพียงไม่นาน ร่างกายก็เกิดการตอบสนองเสียแล้ว!

ที่แท้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนผู้มากตัณหาก็มีบุตรชายที่ชมชอบการตัดแขนเสื้อแบ่งลูกท้อ อยู่คนหนึ่งด้วย! ช่างน่าเย้ยหยันเสียจริง! ประวัติศาสตร์อันวุ่นวายของราชสกุลเนี่ยมีครบทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องใดจริงๆ!

เจ้าฮ่องเต้น้อยผู้นี้ก็ช่างอุกอาจไร้ยางอายยิ่งนัก ถึงกับกล้าหมกมุ่นคิดเลยเถิดกับคนเรืองอำนาจอย่างเขาผู้นี้ได้ คราวก่อนที่อยู่บนเตียงอุ่นนั่น ไม่รู้ว่าในหัวของเจ้าปีศาจตัวน้อยนี่จินตนาการถึงเขาอย่างวาบหวามเพียงใด

รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างหล่อเหลาหมดจด ไม่ว่าจะเป็นคิ้วหรือนัยน์ตาก็ชวนมองมากขึ้นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่อีกฝ่ายมิใช่ดรุณีน้อยที่งดงามอรชรอ้อนแอ้น…ขณะที่กำลังคิดอย่างเพลิดเพลิน ฤทธิ์สุราก็พุ่งขึ้นมาอีก ความคิดเขาล่องลอยไปถึงไหนต่อไหนตลอดทาง

ครั้นเดินมาถึงตำหนักฉู่อวิ้น อวิ๋นเฟยก็รอต้อนรับอยู่ที่ประตูก่อนแล้ว ผมดำขลับราวกับหมึกของนางถูกเกล้าเป็นมวยสูง ปิ่นปักผมที่นางเลือกใช้ก็เรียบหรูงดงาม นางแต่งกายด้วยชุดสีแดงซึ่งขับผิวขาวผ่องราวกับหิมะได้เป็นอย่างดี พอนางเห็นเว่ยเหลิ่งเหยา ใบหน้าก็เผยความสะเทิ้นอายออกมาได้อย่างพอเหมาะพอควร ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอยากทะนุถนอม

เมื่อก่อนเว่ยเหลิ่งเหยาชมชอบรูปโฉมที่สง่างามเช่นนี้ของซั่งอวิ๋นชูยิ่งนัก แต่ไม่ว่าอาหารเลิศรสจะอร่อยถูกปากเพียงใด พอถูกคนอื่นชิงตัดหน้ากินไปก่อนแล้ว ทั้งยังทิ้งไว้ข้ามคืนอีกต่างหาก อาหารนั่นก็ย่อมสูญเสียรสชาติไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

อวิ๋นเฟยไม่รู้ว่าเว่ยเหลิ่งเหยาคิดอะไรอยู่ในใจ ตอนที่เกิดการยึดอำนาจในวังนั้นนางก็รู้สึกสับสนวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง

นางยังจำตอนที่เว่ยเหลิ่งเหยากลับมาจากการเฝ้าประจำการที่ชายแดนได้ ภายในงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นในวังโดยฮ่องเต้พระองค์ก่อน นางกลายเป็นพระชายาคนโปรดของฮ่องเต้พระองค์ก่อนไปแล้ว ครั้นมองดูอดีตคนรักโค้งคำนับให้นางซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ก็พลันเกิดความรู้สึกหลากหลายประเดประดังขึ้นในใจ

เดิมทีคิดว่าดวงตาของเว่ยหลาง ชายหนุ่มคนรักต้องแสดงอารมณ์อะไรให้เห็นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ว่าอึ้งงันก็ดีหรือตัดพ้อต่อว่าก็ช่าง นัยน์ตาหงส์คู่งามนั้นกลับสงบนิ่งไม่มีความรู้สึกใดเผยออกมาเลยสักนิด

ในช่วงเวลาหลายปีที่เว่ยเหลิ่งเหยาถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนลงโทษโดยให้ไปประจำการที่ชายแดน ทำให้ชายหนุ่มที่สง่างามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วดูเป็นชายชาตรียิ่งขึ้นไปอีก ชั่วขณะที่นางเห็นเว่ยเหลิ่งเหยา ความรักที่นางเคยมีต่อบุรุษผู้นี้ก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจอย่างสุดที่จะระงับได้ พร้อมกับลอบโมโหมารดาของนางในใจที่สายตาไม่กว้างไกลเสียเลย

นางเป็นบุตรสาวที่เกิดกับอนุของจวนสกุลซั่ง มารดาของนางเป็นอนุ อีกทั้งยังไร้บุตรชาย ดังนั้นการแต่งงานของนางจึงเชิดหน้าชูตามารดาได้เป็นอย่างดี

ในตอนแรกที่เว่ยหลางชายหนุ่มคนรักล่วงเกินผู้มีอำนาจจนถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนตำหนิติเตียนและลงโทษให้ไปประจำการที่ชายแดนนั้น ใช่ว่านางไม่มีความคิดติดตามเว่ยหลางไปร่วมทุกข์ร่วมสุขที่ชายแดนด้วยกันเสียเมื่อใด ทว่าจนใจที่มารดาของนางเอาความตายมาบีบบังคับ และด้วยชื่อเสียงของนางในฐานะ ‘สตรีมากความสามารถ’ จนได้รับความรักความเอาใจใส่จากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ถึงแม้ชาติกำเนิดของนางจะเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุ แต่ก็ได้รับเลือกให้เข้าวัง คงเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตถึงทำให้นางแคล้วคลาดกับคนรักไปเสียได้

จนกระทั่งเว่ยเหลิ่งเหยาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงอย่างพรวดพราด เรืองอำนาจกว่าผู้ใดในราชสำนัก จนในที่สุดได้ก่อการยึดอำนาจนั้น ความเกลียดชังของซั่งอวิ๋นชูที่มีต่อสายตาไม่กว้างไกลของมารดาก็ยิ่งสลักลึกอยู่ในใจจนยากจะลืมเลือน

อย่างไรก็ตามสนมชายาคนอื่นๆ ต่างทยอยถูกต้อนเข้าไปในตำหนักเย็นทีละคน ส่วนนางกลับอยู่ตามลำพังในตำหนักฉู่อวิ้น เสื้อผ้าและอาหารการกินดูเหมือนว่าจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถึงแม้จะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของพี่ชายนาง แต่ก็มองออกได้ว่าเว่ยหลางไม่ถึงกับไร้เยื่อใยต่อนางเสียทีเดียว

จนถึงบัดนี้จวนท่านราชครูยังไม่มีภรรยาเอกเลย นี่แสดงว่าเว่ยหลางยังคงอาลัยอาวรณ์นางอยู่ใช่หรือไม่

ในที่สุดตอนนี้เว่ยหลางก็เต็มใจมาพบนาง ซึ่งก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นว่าความโกรธที่หลงเหลือในใจของเขาได้จางหายไปแล้ว ได้แต่หวังว่าจะสามารถสานต่อความสัมพันธ์กับเขาใหม่อีกครั้ง ต่อให้ต้องกลายเป็นอนุของเขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจ

ครั้นคิดดังนี้นางจึงเข้าไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้มขวยเขิน และเป็นฝ่ายปลดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกของท่านเว่ยโหวออกเองโดยไม่ต้องให้นางกำนัลมาปรนนิบัติรับใช้ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้างนอกอากาศหนาวเย็น ขอเชิญท่านราชครูเข้ามาพักผ่อนในห้องอุ่น ก่อนเถิด”

นางพูดพลางเดินนำท่านราชครูเข้าไปในห้องด้านใน ก่อนรับถ้วยชาที่นางกำนัลด้านข้างถือมาประคองไว้ แล้วยื่นไปตรงหน้าท่านราชครูด้วยตนเอง ราชครูเว่ยรับถ้วยชามาจิบชาหลูซานอวิ๋นอู้** ชั้นดีไปคำหนึ่ง

ราชครูเว่ยกลับกังขาอยู่ในใจ เขาไม่ชอบรสขมมาแต่ไหนแต่ไร แรกเริ่มเดิมทีที่ได้รู้จักกับสตรีนางนี้เขาเพียงทำทีคล้อยตามความชอบของนางไปอย่างนั้นเอง จึงสั่งชาหลูซานอวิ๋นอู้นี้ทุกครั้งไป คิดดูแล้วซั่งอวิ๋นชูคงนึกว่าเขาก็ชอบรสชาตินี้เช่นกัน

เขาเพียงจิบไปคำหนึ่งแล้ววางถ้วยชาลง จากนั้นก็ชายตามองหญิงสาวที่เดินมาประชิดตัวเขาอีกครั้ง กลิ่นฉุนของแป้งชาดฟุ้งลอยมาแตะจมูก ถึงแม้ใบหน้านั้นยังคงความอ่อนเยาว์อยู่ ทว่ากลับสูญเสียความสดใสสง่างามที่เคยมีในตอนนั้นไปตั้งนานแล้ว

“หักกิ่งหลิวทั้งป่าด้วยมือเปล่า เสียงขลุ่ยเคล้านับพันมิอาจถอน…เว่ยหลาง ตอนนั้นที่ท่านไปทำภารกิจที่ชายแดนแล้วทิ้งข้าไว้ตามลำพัง ข้า…ทุกข์ทรมานยิ่งนัก!” พูดจบน้ำตาก็ไหลพรากลงมาไม่ขาดสาย

เว่ยเหลิ่งเหยาอดขมวดคิ้วไม่ได้ กลอนบทนี้เป็นกลอนที่เขียนอยู่ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่ซั่งอวิ๋นชูส่งมาหลังจากเขาทำภารกิจที่ชายแดนแล้ว ในจดหมายไม่กล่าวถึงเรื่องที่มารดานางบังคับให้นางเข้าวังเลยด้วยซ้ำ แต่ชั่วเวลาต่อมานางก็เข้าวังไปแล้ว

เขาในตอนนั้นค่อนข้างเยาว์วัย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าความงามที่แท้จริงและการมีความรู้ความสามารถของสตรีนั้นมีประโยชน์อย่างไร ตอนอยู่ในราชสำนักเขาก็เหนื่อยแทบตายแล้ว ยังต้องมาร่ายกลอนคู่ต่อกับสาวงามอีกหรือไรกัน เช่นเดียวกับตอนนี้เขายุ่งมาตลอดทั้งครึ่งเช้าแล้ว สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่าน้ำแกงรสเลิศและคำพูดจาออดอ้อนนุ่มนวลไพเราะเสนาะหูก็เท่านั้น ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปปลอบโยนหญิงงามเจ้าน้ำตาได้เล่า

สตรีผู้นี้คงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรมากมายในวัง ความสามารถในการอ่านสีหน้า แววตาคน และการปรนนิบัติเอาใจจึงยังสู้ฮ่องเต้ที่ชมชอบตัดแขนเสื้อผู้นั้นไม่ได้ มิน่าเล่า เป็นที่รักใคร่เสน่หาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็สูญเสียความโปรดปรานไปเสียแล้ว!

เขารู้สึกเอือมระอานางขึ้นมาเสียแล้ว อารมณ์กำหนัดเล็กน้อยที่เดิมทีถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์สุราก็พลอยมลายหายไปหมดสิ้น

ถึงแม้นางกับซั่งหนิงเซวียนรองเสนาบดีกรมทหารไม่ได้ถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของจวนสกุลซั่ง เขายังต้องไว้หน้ารักษาความสัมพันธ์ไว้บ้าง หากจะฉกฉวยเอาความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยามแต่สลัดความยุ่งยากที่จะตามมาในภายหลังไม่ได้ก็ออกจะได้ไม่คุ้มเสียอยู่สักหน่อย หญิงงามผู้นี้ต่อให้พราวเสน่ห์เพียงใดก็เป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเชยชมไปแล้ว ทันทีที่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเว่ยเหลิ่งเหยาก็หมดความสนใจลงไปถนัดใจ

ครั้นคิดดังนี้ราชครูเว่ยผู้มีสีหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เขาผลักหญิงงามที่โผเข้ามาในอ้อมแขนออกไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมได้รับการไหว้วานจากท่านรองเสนาบดีซั่งให้มาดูพระชายาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ ได้เห็นว่าพระวรกายของพระชายาแข็งแรงดี กระหม่อมก็โล่งใจแล้ว กระหม่อมยังมีงานในส่วนหน้าที่ต้องสะสางอีก ไม่ขอรั้งอยู่ต่อในตำหนักในนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบราชครูเว่ยก็ลุกขึ้นสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เดินออกจากห้องอุ่นไปโดยคร้านจะสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ด้วยซ้ำ

ราชครูเว่ยรูปร่างสูงใหญ่ ขายาว เดินไม่กี่ก้าวก็พ้นประตูไปแล้ว ต่อให้ซั่งอวิ๋นชูคิดจะรั้งเขาไว้ก็รั้งไม่ทัน น้ำตาไหลอาบแก้มมากขึ้นเรื่อยๆ จนลบเครื่องประทินโฉมที่บรรจงแต่งแต้มมาตลอดทั้งเช้าไปหมดสิ้น

หยวนกงกงหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วเดินตามออกมา หลังจากสวมเสื้อคลุมให้ท่านราชครูแล้วก็ลอบสังเกตสีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายของอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากท่านราชครูจะออกจากวัง ผู้น้อยจะเรียกคนไปเตรียมรถม้านะขอรับ”

ราชครูเว่ยกลับโบกมือ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไปตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เถิด ข้ามีคำพูดบางประการอยากอบรมสั่งสอนฮ่องเต้เสียหน่อย”

หยวนกงกงรีบรับคำทว่าในใจกลับถอนหายใจ เอาแล้วสิ ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ เลยจะไประบายโทสะใส่ฮ่องเต้ผู้เคราะห์ร้ายอีกล่ะสิ!

เว่ยเหลิ่งเหยาย้อนกลับมายังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้

ขันทีที่อยู่หน้าประตูกำลังจะตะโกนว่า ‘ท่านราชครูขอเข้าเฝ้า’ พอถูกจ้องมองด้วยสายตาดุดัน ขันทีน้อยพลันชะงักค้างไปทันใด

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เยื้องย่างประหนึ่งเสือดาวเข้าไปในห้องชั้นในโดยไร้สุ้มเสียง

เมื่อมองผ่านม่านโปร่งเข้าไป เขาก็เห็นเจ้าปีศาจตัวน้อยนั่นกำลังเพลิดเพลินสำราญใจอย่างเต็มเปี่ยมโดยแท้!

ฮ่องเต้น้อยเปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมสีฟ้า มีผ้าพันคอขนกระต่ายพันรอบคอจนทำให้คางของเขาดูเรียวแหลมขึ้นไปอีก แขนของเสื้อคลุมออกจะสั้นเต่อไปสักหน่อย เผยให้เห็นข้อมือกลมกลึงเพรียวบางซึ่งกำลังพลิกเหล็กเสียบในมืออย่างช่ำชองเพื่อย่างแผ่นมันเทศ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คอยหยิบเมล็ดแตงคั่วหอมใส่เข้าปาก ปากก็พร่ำตะโกนเรียก “เฉี่ยวเอ๋อร์ ส่งจานน้ำตาลขาวมาให้ที แล้วส่งสาลี่หิมะเคลือบน้ำตาลมาด้วยหนึ่งถ้วย ประเดี๋ยวกินมันเทศเข้าไปคงได้ฝืดคอแน่!”

หลังตะโกนออกไปแล้วไม่มีคนตอบรับ ฮ่องเต้น้อยจึงเหลียวมามอง ทันใดนั้นก็ตะลึงงันไป หา! เหตุใดท่านพญายมจึงย้อนกลับมาอีกเล่า!

นางรีบซ่อนท่าทางที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเพลิดเพลินทันที แล้วถามหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่าย “ท่านราชครูมาได้จังหวะพอดีเลย ท่านอยากลองชิมมันเทศที่เพิ่งย่างเสร็จสักหน่อยหรือไม่”

ราชครูเว่ยไม่ตอบคำถาม เขาปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกแล้วเอนกายเอกเขนกไปบนตั่งนุ่มตัวโปรดของฮ่องเต้น้อย หางตากวาดมองไปทางเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ซึ่งพออีกฝ่ายไม่ได้รับคำตอบจากเขาก็หันร่างกลับเดินไปในห้องเสียเลย

หลังจากนั้นไม่นานมันเทศหวานโรยน้ำตาลก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา ราชครูเว่ยรับเหล็กเสียบซึ่งมีมันเทศเสียบอยู่มากัดกินอย่างเสียไม่ได้คำหนึ่ง เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาได้กินอาหารป่าอาหารทะเลอันโอชะมาจนชินแล้ว แต่ของกินเล่นแบบชาวบ้านตามชนบทอย่างนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ไม่นานอันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยกถ้วยสาลี่หิมะนึ่งที่เพิ่งเคลือบน้ำตาลเสร็จสองถ้วยเข้ามาส่งให้

เว่ยเหลิ่งเหยามองฮ่องเต้น้อยหยิบพุทราเชื่อมมาคว้านเอาเมล็ดออก จากนั้นใส่ลงไปในน้ำเหมือนคราวก่อน แล้วค่อยยื่นมาให้เขา

“เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ทรงใส่พุทราลงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งที่แล้วที่อีกฝ่ายทำน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คราวนี้สาลี่หิมะเคลือบน้ำตาลโดยตัวมันเองก็หวานเยิ้มอยู่แล้ว เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ใส่พุทราเข้าไปอีก

เนี่ยชิงหลินถูกถามก็อึ้งงันไป “ท่านราชครูไม่ชอบหรือ เมื่อคราวที่แปลงดอกฝูหรงกับดอกเฟิ่งเซียน* บานสะพรั่งในอุทยานหลวงปีนั้น เราเห็นท่านราชครูใส่พุทราลงไปในชามน้ำแกงสร่างเมาเช่นนี้ตอนงานเลี้ยงชมบุปผา เราก็เลยลองทำดูบ้าง มันอร่อยจริงๆ ด้วย แต่หากท่านราชครูไม่ชอบ เราไปเปลี่ยนถ้วยใหม่มาให้ก็สิ้นเรื่อง”

พูดจบนางก็ทำท่าจะเรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์มาเปลี่ยนของหวานถ้วยใหม่ให้ แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงเรียกออกไป ข้อมือของนางก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของท่านราชครูคว้าไว้หมับราวกับที่คีบเหล็ก ดวงตาของราชครูเว่ยทอประกายขณะที่พูดอย่างกำกวม “งานเลี้ยงชมบุปผา? งานที่จัดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสนพระทัยในตัวกระหม่อมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ”

บทที่ 8

เอ่อ นี่มัน…

เนี่ยชิงหลินไม่เข้าใจถึงความนัยลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของราชครูเว่ยไปชั่วขณะ พอคิดๆ แล้วนางก็สรุปเอาว่า จะโต้เถียงจนปากเปียกปากแฉะไปไย มีแต่คำสรรเสริญเยินยอเท่านั้นที่เยียวยาทุกสิ่ง ก่อนกลั่นกรองคำพูดตอบออกไปว่า “ท่วงท่าอันสง่างามของท่านราชครูในตอนนั้นทำผู้คนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหก* ถึงไม่คิดใส่ใจก็ช่างยากยิ่งนัก!”

อันที่จริงคำกล่าวนี้ก็เป็นความสัตย์จริงอยู่ ในตอนนั้นขอเพียงฮ่องเต้พระองค์ก่อนจัดงานเลี้ยงให้เหล่าขุนนางคราใดก็มักทำให้ตำหนักในคึกคักดั่งโรงละครช่วงเทศกาลที่ผู้คนต่างแห่แหนกันมาชมละคร ต้องรู้ด้วยว่าทันทีที่เว่ยเหลิ่งเหยา ‘ผู้รูปงามสูสีพานอัน’ ปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงก็ทำเอาบรรดาสนมชายา องค์หญิง และนางกำนัลทั้งหลายแสดงท่าทางระริกระรี้ไปตามๆ กัน

บุรุษรูปงามมักดึงดูดสายตาคนให้มองไม่รู้เบื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนนางที่อ้วนพีหรือมีหนวดเคราหนาเฟิ้มแต่ผมบางพวกนั้น ท่วงท่าสง่างามในทุกอิริยาบถของเขายิ่งทำให้เจ้าตัวโดดเด่นน่าชื่นชมยิ่งขึ้นไปอีก

เนี่ยชิงหลินจำได้ว่าในงานเลี้ยงชมบุปผาคราวนั้นผู้คนที่มาร่วมงานยังมีจำนวนมากกว่าดอกไม้ในงานเสียอีก ตอนนั้นนางยังตัวเล็กและเตี้ย ทั้งยังเป็นองค์ชายที่ถูกผู้อื่นละเลย จึงได้ที่นั่งค่อนข้างไกลออกไป นอกจากหมวกทรงสูงและศีรษะดำๆ ของเหล่าขุนนางแล้ว ดอกไม้เลื่องชื่อที่สิบปีจะได้ยลสักหนนางก็กวาดตามองไม่เจอเลยด้วยซ้ำ

ในเมื่อมองไม่เห็นดอกไม้ อีกทั้งไม่ชอบมองใบหน้าของพวกชายแก่ที่ดื่มสุราจนหน้าแดงก่ำ เนี่ยชิงหลินย่อมต้องมองไปยังจุดที่สบายตาเป็นธรรมดา ประกอบกับเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้ามาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผา มารดามักพูดอยู่เสมอว่านางไม่มีท่วงท่าของความเป็นชายเอาเสียเลย เช่นนั้นไยมิสู้เรียนรู้ศึกษาท่าทางจากบุรุษรูปงามอย่างเว่ยเหลิ่งเหยาผู้นี้ดีกว่า

เนื่องจากในยามปกติยากนักที่จะได้เจอหน้ากันสักครั้ง ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เนี่ยชิงหลินจะสังเกตเขาอย่างถี่ถ้วน ในเวลานั้นนางรู้สึกเพียงแค่ว่าถึงแม้ท่านราชครูจะดื่มสุราหนักไปสักหน่อย แต่ยามที่ขมวดคิ้วและยกมือขึ้นแตะหน้าผากนั้นก็ช่างโดดเด่นเหลือเกิน ไม่น่าแปลกที่พวงแก้มของเหล่าสตรีในงานจะพากันแดงเรื่อไปตามๆ กัน

จวบจนบัดนี้นางถึงได้รู้ว่ากระทั่งเวลาที่ราชครูเว่ยตวัดดาบสังหารคนก็ยังแฝงความสง่างามอย่างแท้จริง! น่าเสียดายที่ลักษณะท่วงท่าเช่นนี้ต่อให้นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นบุรุษจริงๆ ก็ไม่สามารถเลียนแบบได้!

เฮ้อ ท่านราชครู เหตุใดท่านถึงได้ก่อกรรมทำเข็ญเช่นนี้นะ จะให้หญิงสาวมากหน้าหลายตาในวังลึกเอาหัวใจไปเก็บไว้ที่ใดได้เล่า ชะรอยว่าหากตอนนี้บรรดาหญิงงามในวังได้มาเจอเว่ยพานอันผู้นี้อีกครั้ง เกรงว่าคงได้แต่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจนนัยน์ตาทั้งคู่แดงช้ำเป็นแน่!

ส่วนราชครูเว่ยกลับคิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้น้อยจะยอมรับเรื่องดังกล่าวอย่างไร้ความละอายใจเช่นนี้ ไฟโทสะของเขาก็คุกรุ่นขึ้นในทันใด

ดูพูดเข้า! ตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกอะไรกัน นี่เป็นน้ำเสียงของเด็กหนุ่มเจ้าสำราญที่หยอกเอินหญิงสาวชัดๆ

ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ทำคนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกพลันเคร่งขรึมขึ้นมา จ้องเจ้าเด็กรนหาที่ตายที่อยู่ตรงหน้านี้เขม็ง

ถึงแม้คำพูดของเด็กหนุ่มผู้นี้จะดูเหลาะแหละ ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายกลับดูจริงจัง ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับเปี่ยมด้วยความจริงใจที่รู้สึกได้จริงๆ พร้อมกับมองตอบเขาด้วยสีหน้าสงสัย

หากว่าคนข้างๆ เปลี่ยนเป็นชายไว้หนวดเคราเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา เว่ยเหลิ่งเหยาคงขยะแขยงจนทนไม่ไหว เอามีดฟันให้เนื้อเละในทันทีไปแล้ว! แต่พอคำพูดออกจากปากเด็กหนุ่มผู้นี้ ไฟโทสะที่คุกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อยก็ค่อยๆ บรรเทาเบาบางจนเหลือแต่เพียงความจนใจทำอะไรไม่ถูกแทน

ครั้นมองไปรอบๆ ก็พบว่าตำหนักบรรทมของฮ่องเต้อันใหญ่โตกลับว่างเปล่าดูซอมซ่อเหลือเกิน ชุดลำลองที่ฮ่องเต้น้อยสวมใส่อยู่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดของปีก่อนที่เล็กกว่าขนาดตัวไปแล้ว พอร่างกายเติบใหญ่ขึ้น แขนเสื้อนั่นก็แทบจะหดไปถึงข้อศอก นิยายหลายเล่มที่อยู่บนชั้นหนังสือถูกเด็กน้อยพลิกอ่านไปมาหลายรอบจนหน้ากระดาษม้วนงอไปหลายหน้า อย่าเห็นว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่มีนิสัยกินจุบจิบมีของกินไม่หยุดปากตลอดทั้งวันเป็นอันขาด เพราะของว่างที่เขากินอยู่นี้ไม่เหมาะจะนำมาขึ้นโต๊ะอาหารในครอบครัวเล็กๆ ที่มีฐานะร่ำรวยทั่วไปด้วยซ้ำ! เห็นทีตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มผู้นี้คงไม่เคยได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่หรือเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของผู้ใด

องค์ชายองค์หญิงในตำหนักที่ถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้มีเพียงเนี่ยชิงหลินเท่านั้น แต่ผู้ที่ถูกกดขี่ผลักไสจนมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้แล้วยังคงมีความสุขพึงพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ถึงขั้นว่าหาความสุขใส่ตัวท่ามกลางความทุกข์ได้ เห็นจะมีเพียงคนแปลกประหลาดผู้นี้คนเดียวเท่านั้น

แต่ว่า…ตาไร้แววเกินไปหน่อยแล้ว!

หากเจ้าตัวมีนิสัยชมชอบบุรุษด้วยกันจะลอบไปมีสัมพันธ์กับขันทีน้อยหรือองครักษ์ชั้นผู้น้อยพวกนั้นก็ได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่รู้จักขอบเขต มาหลงรักขุนนางคนสำคัญที่ยึดอำนาจบิดาตนเองมาเช่นนี้!

ต่อให้เป็นสตรีเองก็เถอะ พอได้ใกล้ชิดกับเขานานๆ ก็ยังหวาดกลัวเขาเลย! อย่างน้อยอนุสองสามคนในจวนที่ทะเลาะตบตีกันเพราะความหึงหวงริษยา หลังจากถูกเขาลงโทษอย่างรุนแรงแล้วนั้น แต่ละคนก็กลัวเขาประหนึ่งหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น ตอนกลางคืนขณะที่พวกนางปรนนิบัติรับใช้เขานั้นล้วนสัมผัสได้ถึงการพะเน้าพะนอที่ดูแข็งกระด้างไม่เป็นธรรมชาติ

ใช่ว่าองค์ชายน้อยองค์นี้ไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเขามาก่อนเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่รู้จักคำว่า ‘กลัว’ บ้างเลย! ประหนึ่งลูกกวางน้อยที่เดินเตร็ดเตร่ไปในป่าเขาลำเนาไพรแสนอันตรายตามลำพัง ครั้นเห็นเสือแยกเขี้ยวก็เยื้องย่างเข้ามาโดยไม่สนใจความสูงของท้องฟ้าความหนาของผืนดิน เอากีบเท้าเล็กนุ่มของมันมาลูบๆ ผิวหนังของเสือ

เช่นนี้ก็มองได้ว่าความรักครั้งแรกของเด็กหนุ่มเริ่มขึ้นด้วยการตกหลุมรักศัตรูคู่อาฆาตที่เกลียดชังแว่นแคว้น ทำลายครอบครัวของตนเองเข้า สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย…หากลองพินิจพิจารณาให้ดี ชีวิตแสนสั้นอันน่าสมเพชนี้สามารถนำมาแต่งเป็นบทละครโศกเรียกน้ำตาคนอ่านคนดูได้ดีเลยทีเดียว

เดิมทีราชครูเว่ยคิดจะอบรมตำหนิเด็กหนุ่มไร้ยางอายผู้นี้เสียหน่อยเพื่อยุติความคิดสกปรกน่ารังเกียจของอีกฝ่าย แต่พอหวนคิดอีกทีก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าในหัวของเด็กหนุ่มจะคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปเพียงใด ก็เชื่อได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางกล้าทำเรื่องบัดสีกับเขาเป็นแน่

ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่แอบคิดเหลวไหลเช่นนี้ไปก็ดี อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าสถาปนาฮ่องเต้พระองค์ใหม่อีกพระองค์ที่มีใจคิดกอบกู้สกุลเนี่ยกระมัง พอคิดถึงจุดนี้ราชครูเว่ยก็เก็บคำตำหนิติเตียนที่กำลังจะพ่นออกมากลับเข้าไป

เนี่ยชิงหลินไม่ล่วงรู้ถึงความปั่นป่วนในใจของท่านราชครู เห็นเพียงสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นผ่อนคลายลง ก็รู้ว่าช่วงเวลากดดันของวันนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จนกระทั่งราชครูเว่ยค่อยๆ คลายมือที่จับนางไว้ออกไป เนี่ยชิงหลินก็กุลีกุจอไปสั่งให้อันเฉี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนของหวานถ้วยใหม่มา เนี่ยชิงหลินรับถ้วยมาแล้วยื่นให้ท่านราชครูกินโดยไม่รีรอ

หลังจากที่ราชครูเว่ยระงับอารมณ์โกรธลงไปแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ย่อมมีพระทัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลองในสิ่งใหม่ๆ อยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรพระองค์ก็เป็นพระราชนัดดารุ่นที่สี่ขององค์ปฐมฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจไม่คำนึงถึงหน้าตาของราชวงศ์ หากกระหม่อมได้ยินเรื่องอื้อฉาวอันใดภายในตำหนักบรรทมแห่งนี้ก็อย่าได้ตำหนิที่ราชครูอย่างกระหม่อมจะไม่ไว้พระพักตร์ฝ่าบาท!”

ในวังมีขันทีน้อยหล่อเหลามากมาย อาจมีสักวันที่ฮ่องเต้น้อยไม่สามารถต้านทานต่ออารมณ์ปรารถนา อยากลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ดูบ้างก็เป็นได้ แต่ในเมื่อเขามีความคิดที่จะเก็บอีกฝ่ายไว้ใช้งาน ย่อมไม่อาจปล่อยให้บรรดาอ๋องศักดินาทั้งหลายเหล่านั้นยกเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการยกทัพมาโค่นล้มฮ่องเต้ได้

เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่านางเข้าใจคำพูดเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จึงพูดผสมโรงอย่างเข้าอกเข้าใจ “ท่านราชครูวางใจได้ นับตั้งแต่ที่เราได้เข้าร่วมประชุมราชสำนักก็ได้ยินความทุกข์ทรมานของราษฎรต้าเว่ยที่อดอยากขาดแคลนอาหาร เราก็เริ่มลดปริมาณอาหารในแต่ละวันลงครึ่งหนึ่งแล้ว วันนี้เพราะอดใจไม่ไหวจริงๆ จึงสั่งให้ทางห้องเครื่องนำมันเทศมาให้จำนวนหนึ่ง แต่พอย่างไปแล้วเราก็รู้สึกสำนึกเสียใจเหลือเกินที่ตนเองฟุ่มเฟือยเกินไปสักหน่อย หากเราทำเช่นนี้แล้วเหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ที่อยู่ในปกครองคิดจะทำตามบ้าง คงทำให้ขุนนางลำบากใจเป็นแน่! แต่ก็โชคดีที่ท่านราชครูมาเตือนเราทัน ท่านช่วยแบ่งเบาภาระให้เรามาทั้งวัน อาหารสามมื้อเกรงว่าคงไม่ได้กินตรงเวลา หากมันเทศนี้ตกอยู่ในท้องของท่านก็ไม่นับว่าฟุ่มเฟือยแล้ว”

ราชครูเว่ยออกจะรู้สึกขบขันจริงๆ กับคำพูดหาแก่นสารมิได้ที่ออกมาจากปากของเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ กระนั้นเขายังคงหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางถาม “ฝ่าบาททรงกำลังโอดครวญกับกระหม่อมว่าเสวยไม่อิ่มหรือพ่ะย่ะค่ะ”

นี่จะหาเรื่องจับผิดมากล่าวหากันให้ได้เลยหรือไร เนี่ยชิงหลินเสียใจอยู่บ้างที่วันนี้นางพูดมากเกินไปต่อหน้าท่านราชครู จึงรีบตัดบทเสียตรงนี้ว่า “วันทั้งวันแทบไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเลย จะกินไม่อิ่มได้อย่างไรกัน ท่านราชครูดื่มสุรามาสินะ อยากพักผ่อนบนตั่งอุ่นนี่สักหน่อยหรือไม่”

ราชครูเว่ยรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งหลังได้กินของหวานร้อนๆ เข้าไปจนเต็มท้องก็ทำให้ผ่อนคลายสบายใจยิ่ง ดังนั้นเขาจึงหลับตาแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก

เนื่องจากเมื่อครู่ราชครูเว่ยต้องการอบรมสั่งสอนฮ่องเต้ จึงไม่ให้ใครเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ ส่วนอันเฉี่ยวเอ๋อร์ที่เอาของหวานมาส่งให้พอวางถ้วยแล้วก็ออกไป ตอนนี้ราชครูเว่ยหลับไปแล้ว ยิ่งไม่สะดวกที่จะเรียกผู้อื่นเข้าไปใหญ่ เนี่ยชิงหลินจึงเดินไปที่เตียงมังกรแล้วหยิบผ้าห่มแพรต่วนบุนวมผืนเล็กของตนที่ใช้ห่มเมื่อยามนอนหลับมาผืนหนึ่ง แล้วห่มให้ราชครูเว่ยอย่างแผ่วเบา

จากนั้นนางก็หยิบมันเทศย่างที่เหลือปีนขึ้นไปบนเตียงมังกร ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเคี้ยวหยับๆ พลางใคร่ครวญถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของท่านราชครู รู้สึกตงิดใจอยู่มิวายว่าคำพูดของอีกฝ่ายแฝงนัยลึกซึ้งอยู่ แต่เขากลับไม่พูดให้กระจ่างเสียอย่างนั้น ทำให้นางสับสนงงงวยจริงๆ

เพียงแต่ดูเหมือนว่าราชครูผู้นี้มาที่ตำหนักบรรทมจนติดใจเสียแล้ว อย่างอื่นไม่สำคัญหรอก ติดเพียงท่านเว่ยโหวซึ่งคุ้นชินกับการกินอาหารโอชะเลิศรสมักมาขัดจังหวะอย่างไม่เกรงใจ ทำให้นางต้องเจียดของว่างอันน้อยนิดเหล่านี้ให้อยู่ร่ำไป แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ผู้อื่นทำตัวดีๆ อีก!

ทุกวันนี้นางยังกินอาหารไปพลางต่อว่าตนเองที่ฟุ่มเฟือยเกินไปอยู่เลย! พลันนึกถึงในอดีตตอนที่เรียนอยู่ในห้องหนังสือแล้วต้องทำความเข้าใจบทกลอนที่ว่า ‘หลังประตูสุราเนื้อเหลือกองเน่า ถนนเล่ากระดูกขาวหนาวศพถม’* นั้น ยามนี้นับว่านางเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้แล้ว!

ราชครูเว่ยไม่ล่วงรู้ถึงความขุ่นเคืองใจของฮ่องเต้ เขารู้แต่เพียงว่าผ้าห่มผืนเล็กบนกายเขานั้นเหมือนกับเจ้าของของมัน มีกลิ่นหอมหวานของพุทราเชื่อมเช่นเดียวกัน พอห่มบนตัวแล้วก็รู้สึกอบอุ่นเสียจริง

แต่หลังจากหลับไปได้สักพัก กลิ่นฉุนของควันถ่านก็โชยเข้ามาตลบอบอวลไปทั่วห้องจนราชครูเว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นนั่งทันที

พอเขาลุกขึ้นยืนถึงได้สังเกตเห็นว่าฮ่องเต้น้อยก็หลับอยู่เช่นกัน ผ้าห่มผืนใหญ่ปิดปากและจมูกไว้อย่างมิดชิด เผยให้เห็นเพียงคิ้วเรียวและดวงตาที่หลับพริ้มเท่านั้น ใบหน้าที่หลับอยู่แดงเรื่อเล็กน้อย ช่างเหมือนก้อนแป้งนุ่มๆ หวานละมุนเสียนี่กระไร

ราชครูเว่ยยืนอยู่หน้าตั่งพลางก้มมองลงไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตนโอ้เอ้อยู่ที่นี่มานานพอควรแล้ว จึงขยับตัวยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยแล้วค่อยเดินออกไป

ครั้นเดินไปถึงหน้าประตูวังกำลังจะขึ้นรถม้า จู่ๆ ราชครูเว่ยก็หันกลับมาถามว่า “หยวนกงกง ท่านเป็นหัวหน้าขันทีมานานเพียงใดแล้ว”

หยวนกงกงเห็นว่าท่านราชครูเงียบมาตลอดทาง แต่จู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นมา ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง รีบตอบทันทีว่า “เรียนท่านราชครู ผู้น้อยทำงานในวังมาเกือบสี่สิบปีแล้วขอรับ ต่อมาโชคดีที่ได้ท่านราชครูสนับสนุน มาเป็นหัวหน้าขันทีได้สามปีแล้วขอรับ”

ราชครูเว่ยล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมธรรมดาออกมาจากอกเสื้อ เช็ดปากและจมูกที่เปื้อนเขม่าถ่านดำเล็กน้อย แล้วโยนให้หยวนกงกงที่ยืนอยู่ข้างรถม้า “สามปี? ไม่นานมากแต่ก็ไม่ถือว่าสั้น ธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ในวังนี้เจ้าคงเข้าใจดี คนของกองงานฝ่ายในอู้งานเกียจคร้าน ทำเรื่องหลอกลวงบางอย่างอยู่เบื้องหลัง คนภายนอกเห็นเข้าจะเข้าใจไปว่าข้าผู้เป็นโหวปฏิบัติต่อฮ่องเต้อย่างกดขี่ข่มเหงเอาได้ ข้ารับใช้ที่ไม่ได้เรื่องพวกนั้นก็ไม่ต้องเก็บไว้ ใครสมควรถูกเปลี่ยนออก ถูกลงโทษ หรือถูกโบยให้ตายก็ขอให้หยวนกงกงโปรดพิจารณาจัดการตามเห็นสมควรด้วย…”

พูดจบเขาก็ลดม่านรถม้าลงแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หยวนกงกงถือผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเขม่าดำยืนตากเหงื่อเย็นอยู่ท่ามกลางลมหนาว

วันนี้ลมปีศาจอะไรพัดมาอีกแล้วเล่า หยวนกงกงไม่อาจระบุที่มาของจุดกำเนิดลมนี้ได้ แต่ข้ารับใช้ของกองงานฝ่ายในถูกหางเลขของลมประหลาดนี้พัดกวาดไปเรียบร้อยแล้ว

วันนั้นมีเสียงร้องด้วยเจ็บปวดดังระงมอยู่ในกองงานฝ่ายในระลอกหนึ่ง เสียงแผ่นไม้กระทบกับผิวเนื้อดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มีอยู่เจ็ดแปดคนถึงกับต้องใช้แคร่หามออกไป

ค่ำคืนนั้นเองถ่านสีขาวเนื้อดีสิบกว่ากล่องพร้อมด้วยเตาพกและอุปกรณ์กรองน้ำก็ถูกส่งมายังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องนอนใหม่เอี่ยมบางส่วนที่ถูกส่งมาด้วย หัวหน้ากองงานฝ่ายในที่นำของมาส่งให้อันเฉี่ยวเอ๋อร์โค้งคำนับและอธิบายเป็นการใหญ่ โดยบอกว่าดึกเกินไปสักหน่อย เครื่องเรือนชิ้นใหญ่บางอย่างจะนำมาส่งให้ในวันรุ่งขึ้น ขอแม่นางอันได้โปรดยกโทษให้ด้วย

ตำหนักบรรทมเหมือนถูกสร้างใหม่ในชั่วพริบตา ฮ่องเต้น้อยเอนกายนอนลงไปบนเครื่องนอนที่เพิ่งส่งมา รู้สึกว่าที่นอนหนาที่รองรับร่างกายอยู่นั้นช่างนุ่มน่าสัมผัสจนอยากแทรกตัวลงไปไม่อยากพลิกตัวกลับขึ้นมาเลย

ครั้นเนี่ยชิงหลินนึกถึงอาหารค่ำที่มีหลากหลายอย่างวางอยู่เต็มโต๊ะก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ อาหารอันโอชะที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนั้นเต็มไปด้วยสีสันและรสชาติ เห็นทีว่าบรรดาพ่อครัวในห้องเครื่องไม่ได้ไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนอีกต่อไป ในที่สุดก็ออกทุกข์แล้ว แต่ปริมาณที่มากนั้นกลับทำให้คนตกใจจนไม่กล้าขยับตะเกียบคีบกินตามอำเภอใจ

ราชครูเว่ยเพิ่งตำหนิที่นางฟุ่มเฟือย ข้ารับใช้ใต้อาณัติก็ยังมาทำอะไรแปลกๆ เช่นนี้อีก นี่มิใช่เป็นการยืนยันว่านางประพฤติผิดโทษฐานตะกละตะกลามกินอย่างฟุ่มเฟือยหรือไร

เจ้าสุนัขรับใช้พวกนี้กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว!

เนี่ยชิงหลินสูดกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่อวลในอากาศ แล้วนอนเกลือกกลิ้งไปมาอย่างแสนสบายในผ้าห่มนุ่มพลางถอนหายใจยาว การจะเป็นฮ่องเต้ที่เรียบง่ายสมถะนั้น ที่แท้ก็ยากอย่างนี้นี่เอง!

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: