X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 9-10

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 9

ครั้นเนี่ยชิงหลินตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็พบว่าโรงทอผ้าได้ส่งเสื้อคลุมมังกรที่เพิ่งตัดเย็บขึ้นใหม่มาให้แล้ว

การโบยตีที่เกิดขึ้นฉากหนึ่งเมื่อบ่ายวานนี้ทำให้ทุกคนในกองงานฝ่ายในต่างพากันอกสั่นขวัญแขวนด้วยกลัวภัยจะมาถึงตัว โชคดีที่เมื่อก่อนมีแบบปักเสื้อคลุมมังกรเหลืออยู่ไม่น้อย ซึ่งล้วนเตรียมไว้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หัวหน้าผู้ดูแลโรงทอผ้าจึงระดมช่างภูษาฝีมือเยี่ยมที่มีทั้งหมดมาช่วยกันเย็บปักถักร้อยกันตลอดทั้งคืนจนทำเสร็จไปสามตัวแล้วส่งออกมาทันที ส่วนชุดลำลองและเสื้อคลุมแบบอื่นๆ ก็กำลังเร่งตัดเย็บกันมือเป็นระวิงอยู่เช่นกัน

เสื้อคลุมมังกรพอดีตัวนัก เนี่ยชิงหลินมองตนเองในคันฉ่องสำริดบานใหญ่ที่เพิ่งส่งมาใหม่ก็เห็นว่าตนเองมีสง่าราศีของโอรสสวรรค์อยู่เหมือนกัน แต่นางไม่มีคอเสื้อสูงๆ ให้หดคอได้แล้วนี่สิ พอคิดว่านางไม่อาจงีบหลับตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวสายตาใครในท้องพระโรงได้อีก เนี่ยชิงหลินก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

 

ยามร่วมประชุมราชสำนักเช้าฮ่องเต้น้อยผู้สุภาพอ่อนโยนประทับนั่งลงบนบัลลังก์มังกรด้วยแววตามุ่งมั่น ทำให้ราชครูเว่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างบัลลังก์มังกรถึงกับพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

วันนี้ในท้องพระโรงนอกเหนือจากเหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊นับร้อยคนตามปกติแล้ว ยังมีอ๋องศักดินาผู้หนึ่งที่เข้าเมืองหลวงมาร่วมประชุมด้วย คนผู้นี้ก็คือผิงชวนอ๋อง

เขาคือเสด็จอาหกของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่เกิดจากสนมนางหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ที่ดินศักดินาที่ได้รับจึงค่อนข้างเล็ก โดยอยู่ติดกับที่ดินศักดินาอันใหญ่โตอุดมสมบูรณ์ของผิงซีอ๋อง

แม้เทศกาลชมโคมใกล้เข้ามาแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงมักเป็นเครือญาติที่เป็นสตรีและเด็ก อ๋องศักดินาที่เข้าเมืองหลวงก็มีเช่นกัน แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงล่วงหน้าเทศกาลชมโคมเช่นนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นภายในวังหลวง คาดว่าพอถึงเทศกาลชมโคม คนในครอบครัวของอ๋องศักดินาแต่ละสายจะไม่เดินทางเข้าเมืองหลวงแน่เพื่อเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายของขุนนางมักใหญ่ใฝ่สูงที่แย่งชิงอำนาจกันอยู่

ผิงชวนอ๋องเป็นฝ่ายเดินทางเข้าเมืองหลวงล่วงหน้า นี่คือวิธีเคลื่อนไหวแบบใดกัน

ผิงชวนอ๋องรูปร่างผอมเก้งก้างราวกับต้นไผ่เดินอาดๆ เข้าไปร่วมประชุมราชสำนัก ขณะที่เขาโค้งคำนับคารวะฮ่องเต้น้อยอยู่นั้นก็ไอโขลกๆ ไปด้วย

เนี่ยชิงหลินหวั่นใจเหลือเกินว่าเสด็จปู่หกของตนผู้นี้จะไอมากจนอวัยวะภายในบอบช้ำ อาจกระอักเลือดออกมาได้

วันนี้ราชครูเว่ยวางตัวเป็นกันเองเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกรวารี รีบสาวเท้าไปสองสามก้าว เข้าไปประคองผิงชวนอ๋องที่ป่วยกระเสาะกระแสะพร้อมพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “ผิงชวนอ๋อง ท่านป่วยอยู่ เหตุใดต้องมากพิธีถึงเพียงนี้เล่า” เขาหันไปพูดกับข้ารับใช้ “ใครก็ได้มานี่ เอาเก้าอี้มา!”

หลังจากผิงชวนอ๋องเอ่ยขอบคุณและนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นอกเหนือจากการบรรยายสรุปชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรภายใต้การปกครองในแถบผิงชวนของเขาแล้ว เขายังกล่าวขอบคุณราชครูเว่ยที่หาหมอเทวดามาฟื้นฟูรักษาเขา หวังแต่เพียงว่าครั้งนี้หมอที่มีชื่อเสียงในวังจะวินิจฉัยและรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้ดียิ่งขึ้น

ที่แท้อ๋องศักดินาที่ป่วยเจียนตายเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการป่วยนี่เอง บัดนี้กลุ่มขุนนางก็ปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมาทันที

ผิงชวนอ๋องเป็นคนขี้ขลาดไม่กล้าก่อปัญหาใดมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้อ๋องศักดินาคนอื่นๆ ฝ่าฝืนคำสั่งไม่ยอมส่งภาษี แต่ผิงชวนอ๋องกลับส่งภาษีตรงเวลาเสมอ น่าเสียดายที่เขาเป็นอ๋องศักดินาในพื้นที่ที่ยากจน ภาษีที่เขาเก็บได้นั้นน้อยนิด เปรียบเสมือนน้ำถ้วยหนึ่งที่ไม่อาจช่วยดับไฟได้

หลังจากประชุมราชสำนักเสร็จสิ้น เนี่ยชิงหลินนั่งจนรู้สึกปวดหลังไปหมด วันนี้ราชครูเว่ยกลับดูมีชีวิตชีวายิ่ง ทั้งยังแสดงความเมตตาสั่งนางว่าไม่ต้องไปที่ห้องตำราอีก นางสามารถตรงกลับไปยังตำหนักชั้นในได้เลย ไปอยู่เล่นเป็นเพื่อนบุตรชายวัยเยาว์สายตรงของผิงชวนอ๋องสักพักหนึ่ง จะได้ผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดในหมู่ราชวงศ์ด้วยกัน

เนื่องจากร่างกายของผิงชวนอ๋องไม่ดีนัก มีบุตรค่อนข้างช้า เนี่ยจงที่เป็นบุตรชายสายตรงเพียงคนเดียวของผิงชวนอ๋องจึงมีอายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบดี ท่าทางของเด็กน้อยฉลาดเฉลียว ดูแข็งแรง และน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ผมฟูฟ่องถูกมัดเป็นมวยเล็กๆ เกล้าไว้บนศีรษะที่ค่อนข้างโตเล็กน้อย รัดด้วยระฆังทองคู่ ทำให้เกิดดังเสียงกริ๊งๆ เวลาเดิน ร่างกลมตุ้ยนุ้ยอยู่ในเสื้อคลุมปักลายสีทองตัวน้อย มองแวบแรกก็รู้ทันทีว่าเป็นคุณชายน้อยสูงศักดิ์ที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูคนหนึ่ง

หลังจากเขาคารวะฮ่องเต้น้อยภายใต้การชี้แนะของแม่นมแล้วก็พูดเจื้อยแจ้วด้วยเสียงของเด็กน้อยว่า “ได้ยินท่านพ่อบอกว่ากระหม่อมเป็นเสด็จอาเล็กของฮ่องเต้…ถูกต้องหรือไม่”

เนี่ยชิงหลินดึงตัว ‘เสด็จอาเล็ก’ มาอยู่ข้างๆ แล้วลูบแก้มป่องๆ ของอีกฝ่ายพลางเอ่ย “ถึงแม้เสด็จอาจะอายุน้อย แต่ตามศักดิ์แล้วแก่กว่าเราหนึ่งรุ่นจริงๆ”

เมื่อเด็กน้อยได้ยินว่าตนมีศักดิ์แก่กว่าฮ่องเต้ก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขทันที

โชคดีที่ขันทีของกองงานฝ่ายในส่งของเล่นแปลกตาประณีตหลายชิ้นมาให้เมื่อวานนี้ เนี่ยชิงหลินจึงนำมาสร้างความเพลิดเพลินแก่เสด็จอาเล็กได้อย่างเหมาะสม รอจนเสด็จอาเล็กเล่นเหนื่อยแล้ว เนี่ยชิงหลินก็สั่งเมล็ดแตงมาให้กิน เอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จอาเล็กเริ่มเรียนรู้ตัวอักษรหรือยัง”

เสด็จอาเล็กพยักหน้าหงึกๆ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสี่ขวบก็เข้าเรียนฝากตัวเป็นศิษย์มีอาจารย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เนี่ยชิงหลินสุ่มหยิบหนังสือพงศาวดารมาเล่มหนึ่งแล้วเปิดไปหน้าที่มีแผนที่ นางกินเมล็ดแตงพลางชี้คำที่อยู่บนนั้นเพื่อทดสอบซื่อจื่อน้อย

หลังสนทนากันไปสักพัก ฮ่องเต้น้อยก็ถามด้วยรอยยิ้ม “เราอยากทดสอบเสด็จอาเล็กดูสักหน่อยว่ารู้หรือไม่ว่าที่ดินศักดินาของท่านพ่อเจ้าอยู่ที่ใด”

เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ แล้วชี้ไปยังพื้นที่แคบๆ พร้อมพูดว่า “ท่านพ่อบอกว่าต่อไปในภายหน้าพื้นที่พวกนี้ล้วนเป็นที่ดินศักดินาของกระหม่อม!”

เนี่ยชิงหลินมองตามนิ้วมือป้อมๆ ของอีกฝ่ายพลางพยักหน้าและคิดในใจว่าเสด็จอาเล็กโชคดีจริงๆ พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ดีแห่งหนึ่งจริงๆ พื้นที่นั้นมีลักษณะยาวและแคบ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ป้องกันถนนสายหลักได้ ตราบใดที่มีพื้นที่แห่งนี้อยู่ ที่ดินของผิงซีอ๋องที่อยู่ด้านข้างนั่นก็ตกอยู่ในวงล้อมเหมือนตะพาบแก่ในไหที่ถูกเคี่ยวอย่างช้าๆ จนกลายเป็นน้ำแกงบำรุงชั้นดี นางได้แต่หวังว่าน้ำแกงหม้อนี้จะสามารถเคี่ยวให้ร้อนอีกสักหน่อยพอให้ราชครูเว่ยค่อยๆ ละเลียดดื่มมันได้ หาไม่แล้วพอใต้หล้าสงบสุข เนื้อสดแสนไร้ประโยชน์อย่างนางคงต้องถูกตุ๋นในหม้อด้วยเป็นแน่

 

ราชครูเว่ยไม่ทราบถึงความหวั่นวิตกในใจฮ่องเต้น้อยที่เกรงว่าตนเองจะถูกจับไปทำน้ำแกง ในเวลานี้เขากำลัง ‘คัดแยกถ่าน’ สำหรับตุ๋นน้ำแกงตะพาบอยู่ในห้องตำรา

ผิงชวนอ๋องที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมนุ่มๆ ด้วยสีหน้าลังเลอยู่บ้าง “ถึงอย่างไรผิงซีอ๋องก็เป็นหลานชายของข้า ท่านราชครูอยากลงโทษเขาโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง อ๋องอย่างข้าย่อมไม่สะดวกออกความเห็น เสือสองตัวต่อสู้กัน ผู้ชนะย่อมเป็นผู้นำฝูงเป็นธรรมดา แต่หากท่านราชครูขอให้ข้าออกหน้าปิดเส้นทางซึ่งถือเป็นเส้นทางสำคัญของเขา นี่…นี่อาจทำให้คนสกุลเนี่ยดูถูกเหยียดหยามข้าเอาได้!”

เว่ยเหลิ่งเหยาได้ฟังคำพูดปฏิเสธอย่างสุภาพของผิงชวนอ๋องแล้วก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ความกังวลของผิงชวนอ๋อง โหวอย่างข้าย่อมเข้าใจและรู้สึกเห็นใจ แต่ขณะที่ผิงชวนอ๋องใส่ใจกับความรู้สึกของคนสกุลเนี่ย ผิงซีอ๋องกลับชักสีหน้าใส่อย่างไร้ความปรานี เมื่อเร็วๆ นี้มีข้อขัดแย้งมากมายเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินตามเขตแดนของพวกท่าน ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะผิงซีอ๋องบุกรุกครอบงำจนเคยตัว แต่ท่านก็ไม่ได้เฉือนเนื้อนี่! ผิงชวนอ๋อง ท่านเป็นคนยุติธรรมที่ทำเพื่อราษฎรก็จริง แต่ต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงบุตรชายตัวน้อยของท่านด้วย ข้าเห็นว่าผิงซีอ๋องเป็นคนโลภมากยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ละโมบอยากครอบครองที่ดินเท่านั้น แต่ยังเอ็นดูบุตรชายตัวน้อยในจวนท่านด้วย ต้องรู้ด้วยว่าซื่อจื่อที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาไม่มีคนใดที่ใช้การได้เลยสักคน ไหนเลยจะเทียบได้กับเนี่ยจงที่อยู่ภายใต้การดูแลของท่านซึ่งถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีและฉลาดเฉลียวรู้ความ…”

ผิงชวนอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไอโขลกๆ อย่างแรงจนตัวโคลงไปทั้งตัว

เขารู้ว่าคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างราชครูเว่ยผู้นี้ได้วางสายลับไว้ทั่วทุกแห่งในแว่นแคว้นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องอื้อฉาวในกาลเก่าก่อนพรรค์นี้ก็ถูกอีกฝ่ายสืบสาวจนรู้เรื่องราวทุกซอกทุกมุมเพียงนี้ด้วย

ชายาคนปัจจุบันในจวนของผิงชวนอ๋องคือชายาที่เขาแต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่ชายาคนเก่าตายไปด้วยอาการป่วย สตรีเพียบพร้อมจากตระกูลใหญ่ที่มีฐานะชื่อเสียงมาแต่งให้กับเขาสุดท้ายแล้วก็ดูเยาว์วัยเกินไป เขาเองก็ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นเรื่องในห้องหอย่อมไม่ไหวไร้เรี่ยวแรงเป็นธรรมดา

ที่น่าชังคือเมื่อครั้งที่ผิงซีอ๋องยังเป็นซื่อจื่ออยู่ในตอนนั้นได้กระทำการอุกอาจไร้ยางอาย ถึงกับฉวยโอกาสตอนเทศกาลชมโคม ยามที่ในตำหนักของไทเฮาว่างเปล่าไร้ผู้คน ล่อลวงชายาคนใหม่ของเขาไปกระทำเรื่องผิดศีลธรรมจรรยา

ต่อมาถูกไทเฮาจับได้ แต่ก็เพียงดุด่ายกหนึ่งเท่านั้น ใครใช้ให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับน้องห้าของเขาล้วนถือกำเนิดจากไทเฮาด้วยกันทั้งคู่เล่า ผิงซีอ๋องซื่อจื่อนั่นเป็นหลานชายสายตรงของไทเฮาเชียวนะ! เรื่องใหญ่ย่อมกลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย

ทว่าหลังจากชายาที่แต่งเข้ามาใหม่ผู้นั้นกลับจวนแล้วท้องของนางก็ค่อยๆ โตขึ้น ในที่สุดก็ปิดบังไม่ได้อีกต่อไป นางจึงเล่าความจริงทุกอย่างให้ผิงชวนอ๋องฟังอย่างละเอียดลออ

ผิงชวนอ๋องเป็นคนใจดีมีเมตตา ถึงแม้จะโกรธเคืองมากเสียจนอยากจับตัวชายาคนใหม่ที่ทำตัวเหลวไหลผู้นี้ถ่วงลงในบ่อน้ำก็ตามที กระนั้นก็ใจอ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง รอจนนางคลอดบุตรชายแล้วจึงกักขังนางไว้ในหอพระ

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในจวนผิงชวนอ๋องมาโดยตลอด เดิมทีผิงชวนอ๋องคิดจะบีบคอเจ้าเด็กเลือดชั่วนี่ให้ตายไปเสีย แต่พอได้เห็นท่าทางน่ารักและตัวอ้วนจ้ำม่ำของเด็กคนนี้แล้วก็ตัดใจทำร้ายไม่ลง

ที่ตั้งชื่อว่า ‘เนี่ยจง’ นั้นมีนัยเผยให้เห็นถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผิงชวนอ๋องในขณะนั้น แต่เขาก็หวังว่าหลังจากเด็กคนนี้เติบใหญ่ขึ้นคงจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘จง’ ซึ่งหมายถึง ‘ซื่อสัตย์’ ได้ดีกว่าผู้เป็นมารดา พอเด็กค่อยๆ เติบโตขึ้นก็ยิ่งเฉลียวฉลาดน่ารักน่าเอ็นดู ผิงชวนอ๋องก็ยิ่งผูกพันรักใคร่มากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิบัติต่อเด็กน้อยราวกับว่าเป็นบุตรแท้ๆ ของตนเองก็ไม่ปาน

คำพูดของเว่ยเหลิ่งเหยาทิ่มแทงใจผิงชวนอ๋องโดยแท้ เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ได้แต่หวังว่าลูกน้อยในปกครองจะมีความสุขและสืบต่อเชื้อสายวงศ์ตระกูลของเขาต่อไปในภายภาคหน้า หากหลังจากเขาตายไปแล้วผิงซีอ๋องจงใจให้เนี่ยจงรับรู้เรื่องราวหนหลังเพื่อกลับคืนสู่ตระกูล ทำลายชื่อเสียงของเขาให้เสื่อมเสียโดยเปิดเผยให้ผู้คนในใต้หล้ารู้ว่าผิงชวนอ๋องถูกหลานชายสวมหมวกเขียวเข้าให้ นั่นคงเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่อาจยอมรับได้อย่างแท้จริง ต่อให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตเอื้อประโยชน์แก่คนต่างแซ่ก็ต้องให้ผิงซีอ๋องไปสู่ยมโลกก่อนหน้าเขาให้จงได้!

การสนทนาลับในห้องตำราวันนี้จบลงด้วยผลสำเร็จ

ผิงชวนอ๋องร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ในวังหลวงเป็นเวลานาน หลังจากทูลลาฮ่องเต้แล้วก็พาบุตรชายตัวน้อยกลับจวนอ๋องที่เขาพำนักเป็นการชั่วคราว

เว่ยเหลิ่งเหยาเคาะโต๊ะด้วยความพึงพอใจอยู่สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินอาหารเลย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสวยพระกระยาหารแล้วหรือยัง”

หยวนกงกงรีบเรียกขันทีที่อยู่ทางนั้นมาสอบถามอย่างถี่ถ้วนแล้วรายงานว่า “เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงเอาแต่เล่นกับซื่อจื่อน้อยขอรับ เสวยเพียงเมล็ดแตงและของว่างเท่านั้น ยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารขอรับ”

ราชครูเว่ยพยักหน้าแล้วบอกหยวนกงกงว่าอีกสักครู่เขาจะไปที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เพื่อร่วมกินอาหารด้วย

หยวนกงกงรีบสั่งไปยังห้องเครื่องว่าให้เตรียมอาหารที่ราชครูเว่ยโปรดปราน อีกทั้งยังส่งคนไปแจ้งตำหนักบรรทมเพื่อให้คนทางนั้นรีบเตรียมตัวไว้

ครั้นราชครูเว่ยก้าวผ่านประตูใหญ่ของตำหนักบรรทมเข้าไป ฮ่องเต้น้อยก็นั่งตัวตรงรออยู่ในโถงหลักแล้วอย่างหาได้ยากยิ่ง!

หยวนกงกงสั่งให้คนนำอาหารขึ้นโต๊ะ อาหารนานาชนิดถูกยกมาวางบนโต๊ะ ฮ่องเต้และขุนนางได้เพิ่มบทสนทนาอันน่ารื่นรมย์ขึ้นภายในตำหนัก กินอาหารกลางวันด้วยกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียว

พอเริ่มกินอาหาร ราชครูเว่ยถึงสังเกตเห็นนิสัยการกินที่ผิดปกติของฮ่องเต้น้อย ยามปกติอีกฝ่ายก็ดูกินตะกละตะกลามไม่รู้จักพอ แต่พอถึงเวลากินจริงจังกลับคีบอาหารที่ดูน่าอร่อยกินไปเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงไม่แตะต้องมันอีก

ราชครูเว่ยช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อยพลางถาม “ฝ่าบาททรงห่วงกังวลราษฎรที่ตกทุกข์ได้ยากจนเสวยพระกระยาหารไม่ลง หรือทรงไม่คุ้นเคยกับการที่มีกระหม่อมนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ปกติเนี่ยชิงหลินก็กินไม่มากอยู่แล้ว อาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อวานนี้ทำให้ท้องไส้ของนางปั่นป่วนเกินกว่าจะรับไหว รวมกับเมื่อครู่นางเพิ่งกินเมล็ดแตงและของว่างเข้าไป แล้วจะหิวได้ที่ใดกันเล่า

เมื่อได้ยินคำถามของเทพแห่งโรคระบาด* เนี่ยชิงหลินก็รีบตอบไปว่า “ยากนักที่ท่านราชครูจะเจียดเวลามากินอาหารเป็นเพื่อนเรา เราชอบมาก แต่เมื่อครู่เราเพิ่งเล่นกับซื่อจื่อน้อย กินขนมพื้นเมืองที่เขานำติดตัวมาด้วยไปพอควรทีเดียว ยังอืดท้องอยู่เลย ท่าทางจะยังไม่ย่อยดี”

เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้ว ดูผิงชวนอ๋องที่ป่วยกระเสาะกระแสะอย่างนั้น เด็กที่เลี้ยงดูกลับกลมป้อมน่ารักสะดุดตายิ่งนัก แต่เจ้าไข่มุกมังกรที่เลี้ยงในวังหลวงแห่งนี้กลับผอมเหมือนลิงไปได้เสียนี่ ช่างไม่ไว้หน้ากันเลย! รอเทศกาลชมโคมมาถึง เชื้อพระวงศ์และขุนนางทุกคนมารวมตัวกัน เพียงแหงนหน้ามองดูเจ้าลิงผอมตัวนี้ จะให้ข้าผู้เป็นราชครูเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า

ครั้นคิดดังนี้ราชครูเว่ยก็ตะโกนบอกนางกำนัลและขันทีที่อยู่นอกห้องว่า “จากนี้ไปงดของว่างของฮ่องเต้ทั้งหมด ของที่ไม่มีประโยชน์ส่งมาให้น้อยลงสักหน่อย ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเทศกาลชมโคมอาหารมื้ออื่นๆ สองมื้อยกเว้นอาหารเช้าให้ร่วมกินพร้อมกันกับข้า”

ทันทีที่เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดนี้น้ำตาก็แทบจะไหลออกมา หายนะมาเยือนโดยแท้! นางรู้แก่ใจมาตั้งนานแล้วว่าการเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่คิดเลยว่าท่านราชครูจะใจร้ายถึงขนาดมีความคิดที่จะมายุ่มย่ามการฆ่าเวลาอันน้อยนิดของนางเช่นนี้ด้วย

ท่านราชครู ท่านมีเวลาว่างมากนักหรือ พื้นที่น้ำหลากแต่ละแห่งล้วนแห้งหมดแล้ว? ชาวหูตามแถบชายแดนพวกนั้นก็ไม่ก่อเรื่องก่อราวให้ต้องกังวลแล้ว? ตอนนี้เนี่ยชิงหลินกลับปรารถนาให้ผิงซีอ๋องฮึดสู้ขึ้นมาหน่อย น้องชายบนบัลลังก์ผู้นี้จะได้พึ่งพากำลังของญาติผู้พี่พลิกสถานการณ์วิกฤตนี่เสียที!

หลังจากเว่ยเหลิ่งเหยาสั่งการจบก็มองดวงตาที่แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ของฮ่องเต้น้อยด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็คีบเนื้อกวางผัดดอกกุ้ยชิ้นหนึ่งใส่ลงในชามของฮ่องเต้น้อยด้วยตนเองพร้อมพูดโดยไม่ลังเลเลยว่า “ของพวกนั้นจะทำให้อิ่มท้องได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ กินเนื้อนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยลุกจากโต๊ะ!”

บทที่ 10

ท่านราชครูออกคำสั่ง มีเหตุผลอันใดที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นหรือ

เนี่ยชิงหลินหั่นเนื้อกวางชิ้นใหญ่ที่มันเลี่ยนออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ ก่อนจะกลืนมันลงไป นางเพียงรู้สึกเข็ดขยาดอาหารโอชะจานนี้ไปชั่วชีวิตแล้วจริงๆ

ราชครูเว่ยมองคนที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้ที่ทำท่าพะอืดพะอมฝืนกินเนื้อกวางแสนอร่อยนั่นอยู่ ขณะที่เขากำลังจะพูดอบรมสั่งสอน จู่ๆ สายตาก็สังเกตเห็นริมฝีปากสีแดงสดของฮ่องเต้น้อยเคลือบไปด้วยน้ำมันจากเนื้อกวาง ยิ่งทำให้ดูฉ่ำเยิ้มมันวาวกว่าปกติ ตัดกับใบหน้าเรียวเล็กขาวผ่องราวกับหิมะ สอดรับกับนัยน์ตาที่ดูมีชีวิตชีวา…

เขาหรี่ตาหงส์แล้วอดมองแล้วมองอีกไม่ได้พลางค่อนขอดอย่างเย็นชาอยู่ในใจ เป็นเด็กชายก็ควรดูเข้มแข็งห้าวหาญเสียหน่อย แต่กลับนุ่มนวลเช่นนี้ไปเสียได้ ต่อให้เป็นพวกที่ชมชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็เป็นแค่คนนุ่มนิ่มที่อยู่ใต้ร่างผู้อื่นอยู่ดี! บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของต้าเว่ยต้องเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน! ถึงได้ให้กำเนิดลูกหลานที่ผิดเพศเช่นนี้ออกมาได้ ช่างเป็นสัญญาณแสดงถึงความเสื่อมถอยโดยแท้…

ครั้นคิดเช่นนี้ในใจ จู่ๆ เขาก็เกิดนึกอยากเย้าแหย่เด็กหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาทันที หลังจากที่เจ้าไข่มุกมังกรผู้ไม่ได้ดั่งใจนี้ฝืนกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไปได้ในที่สุด ท่านราชครูก็คีบเนื้อที่ติดมันมากกว่าชิ้นแรกขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งแล้วค่อยๆ วางลงไปในชามกระเบื้องที่เพิ่งว่างเปล่า

เนี่ยชิงหลินรู้สึกได้ถึงความเลี่ยนท่วมท้นขึ้นมาในกระเพาะของตน จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้ขุนนางเว่ยทั้งที่กำลังประหลาดใจที่ได้รับความเมตตาจากอีกฝ่าย จากนั้นก็จ้องมองไปยังสิ่งที่อยู่ในชามด้วยความเคารพเต็มเปี่ยมพลางคิดในใจ แยบยลมาก! หากเขาคีบเพิ่มให้อีกสองสามชิ้นล่ะก็ ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพที่เฉลียวฉลาดที่สุดของราชวงศ์ต้าเว่ย พอตรวจดูศพแล้วก็ต้องวินิจฉัยว่า…ที่ฮ่องเต้พระองค์นี้สวรรคตก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ!

เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนที่อดอยากหิวโหยทั่วใต้หล้าต้องพากันชี้นิ้วมาที่เมืองหลวงพร้อมก่นด่าว่า ฮ่องเต้สุนัข! พวกเราหิวโหย แต่เจ้ากลับกินจนท้องแตกตายเสียได้! เป็นแน่แท้

แต่ในเมื่อเป็นของที่ท่านราชครูมอบให้ ต่อให้เป็นเนื้อหมักสุราพิษนางก็ยังต้องกลืนเข้าไปห้ามคายทิ้งเป็นอันขาด!

เพียงแต่การกินเนื้อติดมันชิ้นนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก พอเนี่ยชิงหลินกลืนคำสุดท้ายลงไปได้ ราชครูเว่ยก็กินอาหารเสร็จแล้ว

เนี่ยชิงหลินปรายตามองราชครูเว่ยที่วางตะเกียบลงบนที่วางตะเกียบเนื้อหยกแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่พอเงยหน้ามองขึ้นไปกลับพบว่าใบหน้าที่ทำคนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกของราชครูเว่ยนั้นกำลังมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม…

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชครูเว่ยก็ลุกขึ้นจากไปสะสางงานราชสำนักต่อ

พอกล่าวอำลาส่งผู้มีอำนาจของแคว้นออกไปด้วยความเคารพนอบน้อมแล้ว เนี่ยชิงหลินก็เอามือกุมท้องพลางโบกมือเรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์ให้เข้ามา

อันเฉี่ยวเอ๋อร์จะไม่รู้ถึงอาการป่วยเรื้อรังของเจ้านายตัวน้อยได้อย่างไร ลี่ผินก็ใจร้ายเหลือเกินที่ขอให้เจ้านายตัวน้อยลดปริมาณอาหารที่กินลง สาเหตุของอาการเจ็บป่วยเรื้อรังนี้ก็เกิดจากการกินไม่อิ่มมาตั้งแต่เด็ก พอปวดกระเพาะอาหารขึ้นมา เจ้านายตัวน้อยของนางก็จะเจ็บปวดมากจนถึงกับนอนกลิ้งไปมาทั่วเตียงเลยทีเดียว!

นางช่วยประคองเจ้านายตัวน้อยไปนอนบนเตียงมังกรอย่างระมัดระวัง

เนี่ยชิงหลินกุมท้องของตนที่เหมือนจะแตกออกอยู่รอมร่อพร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ข้าปวดกระเพาะจะแย่อยู่แล้ว เจ้าไปตามหมอหลวงจางที่สำนักแพทย์หลวงมาที!”

ที่เนี่ยชิงหลินเจาะจงเรียกหมอหลวงจางผู้นี้ก็ด้วยเหตุผลบางอย่าง

คนกินอาหารแล้วเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ แต่หากนางซึ่งมีร่างกายเป็นหญิงถูกหมอหลวงที่มีฝีมือการรักษายอดเยี่ยมจับชีพจรตรวจอาการแล้วความจริงถูกเปิดเผยขึ้นมาล่ะก็ นั่นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่!

โชคดีที่เมื่อคราวลี่ผินเข้าวังในตอนนั้นมีชายหนุ่มจากครอบครัวที่เลื่องชื่อในวิชาแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับลี่ผินหลงรักนาง คนผู้นั้นยอมเดินทางออกจากบ้านเกิดและติดตามนางมาตลอดทางจนถึงเมืองหลวง ทั้งยังสอบเข้าทำงานที่สำนักแพทย์หลวงได้ด้วย ถึงแม้เขาไม่อาจอยู่กับหญิงงามที่หมายปองได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่การที่ได้เห็นนางสักครั้งในยามรุ่งสางหรือตอนพลบค่ำ และปลายนิ้วของเขาได้สัมผัสข้อมืออันบอบบางเนียนละเอียดของนางก็นับว่าช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานจากความคิดถึงคะนึงหาของเขาได้

พอนานวันเข้าหมอหลวงจางก็กลายเป็นหมอหลวงประจำตัวของลี่ผิน ตอนที่ลี่ผินได้รับความโปรดปราน คนต่ำต้อยเช่นนี้ไม่โดดเด่นอยู่ในสายตาเท่าใดนัก แต่หลังจากที่นางสูญเสียความโปรดปรานไปแล้วถึงได้ตระหนักว่า ‘คนจริงใจ’ เช่นนี้มีค่าเพียงใด จะมัวรำพันคร่ำครวญถึงชะตาชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของตนเองก็สายเกินไปแล้ว!

เนี่ยชิงหลินก็ได้แต่หวังว่าจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือในวังได้อย่างสงบสุขปลอดภัย โชคดีที่ในการก้าวเดินที่เสี่ยงอันตรายของนางมีหมอหลวงจางคอยช่วยเหลือ จึงทำให้ไร้อันตรายใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงนั้น

เวลาผ่านไปไม่นานคนจากสำนักแพทย์หลวงก็เข้ามาอย่างเร่งรีบพร้อมกับล่วมยาที่สะพายขึ้นหลัง พออันเฉี่ยวเอ๋อร์มองไปก็อุทานขึ้นในใจทันที แย่แล้ว! เหตุใดคนที่มาถึงไม่ใช่หมอหลวงจางเล่า เหตุใดถึงเป็นชายหนุ่มหน้าตาท่าทางซื่อๆ ไปได้

นางให้หมอหลวงหนุ่มผู้นี้รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ก่อนแล้วรีบเข้าไปห้องชั้นใน กระซิบบอกฮ่องเต้น้อยว่า “ฝ่าบาทเพคะ คนที่มาครั้งนี้ไม่ใช่หมอหลวงจาง แต่เป็นหมอหลวงหนุ่มผู้หนึ่งเพคะ…”

เนี่ยชิงหลินปวดกระเพาะจนสุดจะทานทน ปวดเสียจนเหงื่อเย็นเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเป็นแถบบนหน้าผากขาวนวลเนียน พอได้ยินอันเฉี่ยวเอ๋อร์พูดเช่นนี้ หลังจากคลื่นความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาระลอกหนึ่ง นางก็รวบรวมเรี่ยวแรงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า…ไปบอกเขาว่า…เรา…หลับไปแล้ว ให้เขาเขียนเทียบยาระงับอาการปวดไว้…จากนั้นส่งเขากลับไปแล้วกัน”

อันเฉี่ยวเอ๋อร์มองดูเจ้านายตัวน้อยของตนต้องทุกข์ทรมานด้วยความปวดใจ ในใจก็อดต่อว่าด่าทอราชครูเว่ยเจ้าคนสารเลวอย่างดุเดือดเสียยกหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็รีบถอยตัวออกไปแจ้งหมอหลวงหนุ่มตามที่ได้รับคำสั่งมาโดยไม่รีรอ

ไม่คาดคิดว่าหลังจากหมอหลวงก้มศีรษะน้อมรับคำสั่งแล้ว ขณะที่เขาเปิดกล่องยาหยิบพู่กันและหมึกพร้อมกับที่ฝนหมึกออกมานั้นก็หยิบจี้หยกอันหนึ่งออกมาเหน็บไว้ที่เอวของตน

อันเฉี่ยวเอ๋อร์มีสายตาเฉียบแหลม แค่มองปราดเดียวก็จำได้ทันที นี่ไม่ใช่ของรักที่ลี่ผินมอบให้แก่หมอหลวงจางเป็นการส่วนตัวในตอนนั้นหรอกหรือ หมอหลวงจางหวงแหนมันราวกับสมบัติล้ำค่า ทุกครั้งที่มาพบลี่ผินล้วนต้องห้อยไว้ที่เอวของตนเองทุกครั้ง!

ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามทันที “เหตุใดหมอหลวงจางถึงไม่มาเล่า”

ชายหนุ่มรีบตอบโดยไม่รอช้า “เรียนแม่นาง ข้าแซ่จาง นามว่าซื่ออวี้ หมอหลวงจางเฉิงเป็นบิดาบุญธรรมของข้า ท่านผู้เฒ่าป่วยหนักและเสียชีวิตภายในบ้านตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้วขอรับ”

อันเฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ตกใจ หางตาแดงเรื่อทันที ลี่ผินป่วยหนักมานานและจากไปตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทว่าหมอหลวงจางร่างกายแข็งแรงมาตลอด เหตุใดบทจะจากไปก็ปุบปับเช่นนี้เล่า ว่ากันถึงที่สุดแล้วคงเป็นเพราะ ‘ความลุ่มหลง’ นี่ล่ะที่ทำให้เกิดปัญหา เห็นทีคนที่หมดอาลัยตายอยากผู้นั้นคงกลัวว่าลี่ผินที่อยู่ในยมโลกจะเปล่าเปลี่ยวเดียวดายกระมัง จึงได้ติดตามไปอยู่ด้วยกันเช่นนี้…

ชายหนุ่มผู้นั้นเผยสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นกัน ก่อนพูดเสริมว่า “แม้ท่านพ่อจากไปกะทันหัน แต่ท่านก็เป็นห่วงฮ่องเต้ตลอดมา ท่านได้ส่งมอบการตรวจวินิจฉัยชีพจรของฮ่องเต้ที่ผ่านมาทั้งหมดให้ข้าไว้แล้ว และกำชับข้าว่าต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปรนนิบัติดูแลฮ่องเต้เป็นสองเท่าด้วยขอรับ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้อันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็อึ้งงันไปอีกครั้ง หรือหมอหลวงจางบอกความลับเรื่องนั้นกับชายหนุ่มผู้นี้ด้วยแล้ว หมอหลวงอาวุโสเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด คิดดูแล้วหากเขาสามารถกำชับคนผู้นี้ได้อย่างวางใจ แสดงว่าคนผู้นี้ต้องเชื่อถือได้แน่

ดังนั้นนางจึงเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อบอกข้อความดังกล่าวให้แก่เจ้านายตัวน้อยของตนฟังทันที

ผ่านไปสักพักอันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ออกมาเชิญหมอหลวงจางซื่ออวี้เข้าไปด้านใน พอเข้าไปถึงห้องชั้นในจางซื่ออวี้ก็เห็นร่างบอบบางล้ำค่าร่างหนึ่งเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมังกร เขารีบก้มศีรษะลงต่ำเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง แล้วบอกอันเฉี่ยวเอ๋อร์เสียงเบาว่าให้ลดม่านเหนือเตียงมังกรลงมา

ในตอนแรกสองนายบ่าวยังไม่แน่ใจ ครั้นเห็นอาการตอบสนองเช่นนี้ของหมอหลวงจาง พวกนางก็กระจ่างแจ้งแก่ใจทันทีว่าเขาต้องเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดีแน่นอน หาไม่แล้วจะตรวจอาการให้ฮ่องเต้เหตุใดต้องให้ลดม่านลงเหมือนเวลาที่จะตรวจอาการให้เหล่าสนมชายาตำหนักในด้วยเล่า

“ท่านหมอหลวงมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ต้องเคร่งครัดมากพิธีเกินไปนัก เราเป็นบุรุษ ไม่มีข้อห้ามอันใดเหมือนพวกสนมชายาตำหนักใน ท่านมาตรวจชีพจรให้เราเถอะ!” เนี่ยชิงหลินสั่งเรียบๆ

หมอหลวงจางรีบโค้งคำนับทำความเคารพแล้วก้าวสั้นๆ เดินเข้าไปใกล้ พอได้ยินเสียงแหบห้าวเล็กน้อยทว่านุ่มนวลอ่อนโยนของฮ่องเต้แล้ว หัวใจของเขาก็เต้นรัวอยู่บ้าง

ครั้นมือบอบบางล้ำค่าดุจหยกนวลเนียนยื่นมาตรงหน้าหมอหลวงจาง ปลายจมูกของเขาก็ชื้นไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมา ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับผิวหนังเรียบเนียนราวหยกมันแพะ* ซึ่งนุ่มลื่นเสียจนแทบจะหลุดออกมา แม้เพียงสัมผัสเบาๆ อาการชานิดๆ ก็แผ่ซ่านไปตามปลายนิ้ว เขากัดลิ้นไว้พยายามทำใจให้สงบอย่างรวดเร็ว ตั้งหน้าตั้งตาตรวจชีพจรด้วยความระมัดระวังต่อไป

เนี่ยชิงหลินก็กำลังประเมินหมอหลวงจางผู้นี้อยู่เช่นกัน พินิจจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูซื่อๆ ตรงไปตรงมา เขามีนามว่า ซื่ออวี้ น่าจะเป็น อวี้ ที่มีความหมายว่าหยก อักษรตัวเดียวกันกับตัว อวี้ ในชื่อ พานอวี้เอ๋อร์ ซึ่งเป็นนามเดิมของท่านแม่กระมัง

ซื่อ ที่มีความหมายว่า รับใช้ เสียงก็ใกล้กับคำว่า ซือ ที่มีความหมายว่า คิดคำนึง นี่! หมอหลวงเฒ่าจางเฉิงเต็มใจอุทิศทั้งชีวิตรับใช้สตรีที่ไม่อาจแตะต้องได้ ไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต…จะว่าไปชีวิตนี้ของท่านแม่ก็ไม่ได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์หรอก

คนผู้นี้แม้ยังดูอ่อนวัย แต่เขาก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากบิดาบุญธรรมของเขาอย่างแท้จริง หลังจากเนี่ยชิงหลินได้รับการตรวจชีพจรรวมถึงการฝังเข็มครบถ้วนแล้ว อาการปวดกระเพาะก็ทุเลาไปมาก

เนี่ยชิงหลินรู้สึกโล่งใจไม่น้อย นางถามขึ้นว่า “ทักษะของหมอหลวงจางยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ท่านยังดูอ่อนเยาว์มากเมื่อเทียบกับหมอหลวงคนอื่น น่าจะเพิ่งเข้าสำนักแพทย์หลวงสืบทอดต่อจากบิดาได้ไม่นาน เหตุใดพวกเขาถึงยอมให้ท่านมาตรวจเราได้เล่า”

หมอหลวงจางตอบเสียงเบา “อ๋องศักดินาผิงชวนอ๋องที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงป่วยเรื้อรังด้วยโรคที่พบได้ยาก เหล่าหมอหลวงได้รับคำสั่งจากท่านราชครู ให้หมอหลวงอาวุโสทุกท่านไปที่จวนอ๋องเพื่อตรวจดูอาการผิงชวนอ๋องกันหมด กระหม่อมจึงขันอาสามาตรวจพระอาการให้ฝ่าบาทเอง และไม่มีผู้ใดมาแก่งแย่งหน้าที่นี้กับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เนี่ยชิงหลินถึงกับยิ้มน้อยๆ อย่างเข้าใจได้ในทันที สำนักแพทย์หลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้เฒ่ามากเล่ห์! พวกเขารู้ดีถึงความลับและสภาพความเป็นไปในวังแห่งนี้ ฮ่องเต้น้อยประชวร บางทีนี่อาจเป็นผลจากราชครูเว่ยก็ได้ หากมีใครเผลอไปเปิดโปงความจริงที่ซ่อนอยู่โดยไม่ทันระวังระหว่างทำการตรวจรักษาฮ่องเต้เข้า พวกเขาอาจถูกท่านราชครูฆ่าปิดปากเอาได้น่ะสิ!

มีคนอาสามารับเคราะห์แทนเช่นนี้ ยังจะมีใครคิดแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับเขาอีกเล่า

นางคิดอยู่ในใจเช่นนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ ว่า “ต้องมาตรวจรักษาและสั่งจ่ายยาให้เชื้อพระวงศ์ หมอหลวงจางไม่กลัวบ้างเลยหรือ”

จางซื่ออวี้รีบคุกเข่าลงพลางตอบ “เดิมทีกระหม่อมก็เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างถนน โชคดีที่บิดาบุญธรรมเมตตาสงสาร ไม่ให้กระหม่อมต้องหนาวตายอยู่ข้างถนน กระหม่อมสมควรกตัญญูรู้คุณเลี้ยงดูบิดาบุญธรรมเป็นการตอบแทนอย่างสุดกำลังความสามารถ ทว่าจนใจที่บิดาบุญธรรมได้จากไปแล้ว กระหม่อมกลายเป็นเด็กกำพร้าที่โดดเดี่ยวอีกครั้ง จึงได้แต่ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านพ่อ ปกป้องคุ้มครองฝ่าบาทให้ทรงปลอดภัย ต่อให้ต้องสละชีวิตก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ”

เนี่ยชิงหลินรู้สึกอบอุ่นใจทันที พ่อลูกแซ่จางคู่นี้ช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียอมมอบกายถวายชีวิตจริงๆ! ครั้นมองดูจางซื่ออวี้ผู้นี้อีกครั้งนางก็รู้สึกถูกชะตาเขามากขึ้นอีกหลายส่วน

หลังจากทูลลาฮ่องเต้แล้ว ยามหมอหลวงจางออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ จิตใจของเขายังคงงุนงงเล็กน้อย

ถึงแม้ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย แต่ช่วงคิ้วและนัยน์ตาสวยได้รูปนั้นช่างเหมือนกับดอกบัวตูมที่รอเวลาเบ่งบาน แม้ความงามยังไม่เปิดเผยให้เห็นเต็มที่ ทว่ากลิ่นหอมจรุงใจที่ชวนให้ผู้คนหลงใหลก็ดูเหมือนจะล้นออกมาแล้ว

หากรูปโฉมที่โดดเด่นเช่นนี้เจริญวัยเต็มที่จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูเหมือนบุรุษอกสามศอกได้อย่างไรกันเล่า!

เขาอดกังวลแทนฮ่องเต้ไม่ได้จริงๆ จางซื่ออวี้คลึงๆ ปลายนิ้วที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นหอมและความรู้สึกชาซาบซ่านอยู่ เขาเดินไปพลางดื่มด่ำกับทุกอิริยาบถและรอยยิ้มของฮ่องเต้น้อยเมื่อครู่นี้

อนิจจา บนโลกนี้มีคนติดกับความลุ่มหลงเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว…

 

ราชครูเว่ยกว่าจะจัดการงานบ้านเมืองอันหนักอึ้งจนเสร็จสิ้นนั้นก็เป็นเวลาเย็นพอดี

เมื่อตัดสินใจที่จะเชือดไก่ให้ลิงดู เขย่ารังเก่าของผิงซีอ๋องเพื่อข่มขวัญบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจของแต่ละสายแล้ว เขาย่อมต้องตระเตรียมกำลังทหารและกำลังคนให้พร้อมสรรพเป็นธรรมดา เขาจึงจัดงานเลี้ยงให้กับเหล่าแม่ทัพที่มีความสามารถทุกคนในจวนราชครูของเขา ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบกับเขาทั้งสิ้น

ราชครูเว่ยสลัดท่วงท่าสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ในยามปกติของตนทิ้งไป แล้วดื่มสุราจอกใหญ่ไปหลายจอกอย่างถึงไหนถึงกันแทน

เหล่าขุนศึกนักรบกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันร่วมชนจอกร่ำสุราอย่างสนุกสนานครึกครื้น พอดื่มจนเมาได้ที่ จู่ๆ หลี่ว์อวี้ต๋าผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของราชครูเว่ยคนหนึ่งก็เสนอขึ้นว่า “ข้าได้ม้าเหงื่อโลหิตสิบกว่าตัวมาจากซีอวี้ มิสู้คืนนี้มาดวลฝีมือทดสอบฝีเท้าม้าแข่งกันสักครั้งดีหรือไม่ ผู้ชนะก็ได้ม้าไป ส่วนผู้แพ้ต้องกลับจวนไปรับโทษด้วยสุราเก่าหลายไห”

ทันทีที่ความคิดนี้ถูกเสนอออกมา เสียงโห่ร้องตอบรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนเมากลุ่มนี้ก็ดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน เว่ยเหลิ่งเหยาอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในเมืองหลวงมานานมากแล้ว เขาเหนื่อยหน่ายอย่างมากกับการถกเถียงหารือร่วมกับกลุ่มขุนนางเก่ามาตลอดทั้งวัน ถึงอย่างไรในเมืองหลวงก็มีกฎห้ามชาวบ้านออกจากที่พักในยามค่ำคืนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นถนนใหญ่หรือตามตรอกก็ล้วนว่างโล่งเหมาะแก่การแข่งม้าพอดี เขาจึงยิ้มพลางตอบตกลง

คนกลุ่มหนึ่งพากันเดินมาถึงเพิงม้า พอเลือกม้าที่ตนถูกใจได้แล้วก็พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า แต่ละคนมีองครักษ์ติดตามไปด้วยอีกสองสามคน พุ่งทะยานออกจากจวนราชครูเว่ยราวกับพายุหมุนก็ไม่ปาน

เว่ยเหลิ่งเหยาขี่ม้าชั้นดีสีแดงอมน้ำตาลไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ม้าที่มีชื่อเสียงจากซีอวี้ตัวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พอขึ้นควบขี่มันก็วิ่งทะยานประหนึ่งเหินฟ้าถลาลม รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

เสียงกีบม้าวิ่งตะลุยกุบกับๆ เสียงโห่ร้องของคนผสานกับเสียงกู่ร้องของม้าดังสะท้อนก้องกังวานสอดรับกันอย่างไม่ขาดสายท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ

เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการแต่ละแห่ง รวมถึงเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลายในจวนกลับตื่นตระหนกจนนอนไม่หลับกันไปหมด พากันปิดประตูอย่างแน่นหนาพร้อมกับเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวบนถนนสายยาวที่อยู่นอกที่พักของตนด้วยความหวาดผวา หวาดระแวงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกแล้วหรือไม่

จวบจนขบวนม้าวิ่งมาถึงหน้าประตูวังก็เห็นหยวนกงกงยืนอยู่หน้าประตูชะเง้อคอมองอยู่แต่ไกล

เว่ยเหลิ่งเหยาซึ่งขี่ม้านำอยู่หน้าสุดควบม้าเข้าไปใกล้หยวนกงกงแล้วรั้งสายบังเหียนไว้ พร้อมปรายตามองแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “หยวนกงกงยืนรอผู้ใดอยู่ที่หน้าประตูวังหรือ”

หยวนกงกงได้กลิ่นสุราอวลออกมาจากร่างราชครูเว่ย จึงรีบตอบด้วยท่าทางกลัวหงอ “เรียนท่านราชครู เมื่อตอนกลางวันท่านพูดไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะร่วมกินอาหารกลางวันและอาหารเย็นกับฮ่องเต้ ดังนั้นฮ่องเต้กับผู้น้อยจึงรอท่านราชครูอยู่ขอรับ”

พอได้ยินหยวนกงกงพูดเช่นนี้ เว่ยเหลิ่งเหยาถึงคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นจริงๆ จึงโบกมือเป็นการบอกให้เปิดประตูวังโดยไม่ลงจากหลังม้า จากนั้นเขาก็นำกลุ่มแม่ทัพจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหวดแส้ควบม้าห้อตะบึงเข้าไปในวังหลวงอย่างเอิกเกริกท่ามกลางสีหน้าท่าทางตกตะลึงจนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกของหยวนกงกง

ในระหว่างทางนี้เหล่าทหารยามลาดตระเวนผลัดกลางคืนที่ออกตรวจตราอยู่มาพบเข้าก็ถึงกับตื่นตระหนก รีบชักดาบออกมาตั้งท่ารอเป็นอันดับแรก กระทั่งพวกเขาเห็นชัดเจนว่าผู้ที่นำขบวนคือราชครูเว่ยก็รีบเก็บดาบและหลีกทางให้โดยไม่รอช้า

ต่อมาหลี่ว์เหวินป้าผู้บัญชาการใหญ่ก็เปล่งเสียงดังลั่น “ม้าของท่านราชครูมาถึงแล้ว กองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านหน้าทั้งหมดหลีกทางด้วย!”

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตลอดทางนี้ทำเอาคนตำหนักชั้นในโกลาหลปั่นป่วนขึ้นมา

บรรดาขุนพลแม่ทัพของเว่ยเหลิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังล้วนคุ้นเคยกับการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านในสนามรบเป็นอย่างดี เพราะพวกเขาอยู่ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การควบม้าวิ่งพล่านไปทั่ววังหลวงแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน มีเพียงติดตามผู้นำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างเว่ยเหลิ่งเหยาเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถทำเรื่องอุกอาจท้าทายเสี่ยงต่อการประณามหยามเหยียดจากผู้คนในใต้หล้าเช่นนี้ได้!

ฤทธิ์สุราทวีความเข้มข้นขึ้นชั่วขณะหนึ่งจนเลือดในกายสูบฉีดเดือดพล่าน เว่ยเหลิ่งเหยาจึงหวดแส้เฆี่ยนม้าแรงขึ้นไปอีก…

ขณะที่ทั้งคนและม้าวิ่งมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั้น โคมไฟในตำหนักบรรทมก็ถูกจุดจนสว่างไสว ลานด้านในเต็มไปด้วยนางกำนัลบ่าวไพร่ที่คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น แต่ละคนตัวสั่นงันงก ต่างคิดไปว่าราชครูเว่ยผู้นี้กระทำการซ้ำรอยเดิม สร้างฝันร้ายอย่างเหตุการณ์นองเลือดในวังหลวงขึ้นอีกครั้งแล้ว

เนี่ยชิงหลินก็ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน เดิมทีนางกำลังรอราชครูเว่ยมากินอาหารเย็นด้วยกันอยู่ ไม่คิดเลยว่าคนที่มากลับเป็นกองทหารม้าแทนเสียนี่

ช่างเถอะ หายนะใกล้มาถึงแล้ว จะหลบก็หลบไม่พ้นอยู่ดี เนี่ยชิงหลินเดินออกไปด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง อันเฉี่ยวเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านหลังร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ได้แต่กอดขาเนี่ยชิงหลินไว้พร้อมรำพันคร่ำครวญ “ฝ่าบาทเพคะ!”

เนี่ยชิงหลินตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็เดินช้าๆ ตรงไปที่ลานตำหนัก

นางเห็นเพียงราชครูเว่ยนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ ชุดสีดำที่เขาสวมใส่เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่อาบลงมาแล้วยิ่งเผยกลิ่นอายเผด็จการเอาแต่ใจยิ่งนัก

 

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: