X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 80-81

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 80

“กระหม่อมชิวหมิงเยี่ยนคารวะฮองเฮา คารวะองค์หญิงหย่งอันพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากที่ใต้เท้าชิวทำความเคารพคนทั้งสองแล้วก็ยืดตัวตรงพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขึงขัง “อันที่จริงการที่ฮองเฮาและเหล่าสตรีฝ่ายในชมการแสดงงิ้วในยามว่างเพื่อผ่อนคลายหาใช่เรื่องที่กระหม่อมสมควรจะพูดมากนัก แต่โรงละครอยู่ใกล้ท้องพระโรงเหลือเกิน ขณะที่พวกพระองค์ชมการแสดงอยู่นั้น บรรดาข้าราชสำนักในส่วนหน้าก็พลอยเพลิดเพลินไปด้วยตลอดทั้งเช้า ยามนี้ท่านราชครูกำลังบัญชาการรบอยู่ที่แนวหน้า พวกพระองค์กลับมาชมละครอยู่ในตำหนักในเช่นนี้ เกรงว่า…จะไม่เหมาะสมกระมังพ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นฮองเฮาได้ฟังดังนี้ก็พลันตื่นตระหนกทันที ครั้นนึกถึงว่าสามียังนอนป่วยอยู่บนเตียง แต่นางกลับมาชมการแสดงงิ้วอยู่ที่นี่เสียได้ก็ตำหนิตนเองด้วยความรู้สึกละอายใจมากจนสองข้างแก้มแดงระเรื่อไปหมด “สิ่งที่ใต้เท้าชิวกล่าวมานั้นถูกต้องยิ่งนัก ต่อไปข้าจะออกคำสั่งให้ตำหนักในงดเว้นการแสดงฟุ้งเฟ้อเหล่านี้เสีย…”

ชิวหมิงเยี่ยนปากก็เอ่ยวาจา “ขอบพระทัยฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ทว่าหางตากลับชำเลืองไปทางองค์หญิงหย่งอันที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยนสงบเสงี่ยม นางค้อมศีรษะน้อยๆ อย่างนอบน้อม ถึงแม้ได้ยินเขาเอ่ยปากตำหนิออกมาก็มิได้เผยความหยิ่งยโสในฐานะองค์หญิงของราชวงศ์ให้เห็นเลยสักนิด นี่คือความสุภาพอ่อนน้อมเฉกเช่นสตรีตัวน้อยพึงมี ซึ่งแตกต่างจากโอรสสวรรค์ผู้เป็นพี่ชายที่ซ่อนคมไว้ในรอยยิ้มและมีวาจาคมคายเชือดเฉือนโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่เสิ่นฮองเฮาพูดจบก็พาองค์หญิงหย่งอันผู้เป็นน้องสามีกลับไปยังตำหนักใน หยวนกงกงที่ตามเสด็จอยู่ด้านหลังยังไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับก้าวมาข้างหน้าพร้อมกล่าวทักทายใต้เท้าชิวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าชิว ผู้น้อยขอคารวะท่านขอรับ”

ใต้เท้าชิวพยักหน้ารับโดยไม่รู้ว่าหัวหน้าขันทีแห่งฝ่ายในมีเรื่องอันใดต้องการพูดกับเขา “คำพูดของใต้เท้าชิวเมื่อครู่นี้ ผู้น้อยจะจดจำให้ขึ้นใจเลยทีเดียว เพียงแต่…ก่อนที่ท่านราชครูจะออกเดินทางไปนั้นได้กำชับผู้น้อยเอาไว้โดยย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าปล่อยให้องค์หญิงทรงรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอันขาด ดังนั้นผู้น้อยจึงเชิญคณะงิ้วมาแสดงในวันนี้ ซึ่งไปรบกวนความสงบในที่ประชุมราชสำนักเข้าจนได้ ผู้น้อยเองก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ ขอใต้เท้าชิวโปรดยกโทษให้ด้วยขอรับ แต่เมื่อครู่ที่ใต้เท้าพูดออกไปโดยไม่ถนอมน้ำใจและไม่ไว้หน้าองค์หญิงเช่นนั้น หากทำให้องค์หญิงขุ่นเคืองพระทัยขึ้นมา งานของผู้น้อยที่ได้รับมอบหมายมาก็จะยิ่งยุ่งยากลำบากเข้าไปใหญ่น่ะสิขอรับ! เช่นนี้ดีหรือไม่…ต่อไปหากใต้เท้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะไม่ควรก็มาบอกกล่าวให้ผู้น้อยทราบก่อนดีกว่า ผู้น้อยจะพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วนอย่างแน่นอน แต่จะตรงเข้ามาพูดต่อว่าต่อหน้าองค์หญิงเช่นนี้คงไม่ดีขอรับ ไม่อย่างนั้นพอท่านราชครูกลับมาและเห็นว่าองค์หญิงซูบผอมลงไปต้องไม่ชอบใจแน่ๆ ผู้น้อยก็จะถูกตำหนิเอาได้น่ะสิขอรับ!”

ชิวหมิงเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ท่านราชครูถึงกับต้องกำชับเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ไว้เชียวหรือ แต่พอตรองดูก็เห็นว่าหยวนกงกงคงไม่กล้าอ้างชื่อติ้งกั๋วโหวมาเป็นโล่กำบังตนเองหรอก

หลังหยวนกงกงโค้งคำนับและจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตาแล้วนั้น ชิวหมิงเยี่ยนกลับยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อน ท่านราชครูท่านรู้สึกอย่างไรกันแน่ถึงได้โปรดปรานองค์หญิงหย่งอันผู้มีหน้าตาเหมือนฮ่องเต้ราวกับคนคนเดียวกันถึงเพียงนี้

ในจิตใจของชิวหมิงเยี่ยน ราชครูเว่ยเปรียบเสมือนแผ่นศิลาอันมั่นคงยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้ สำหรับเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่มีปณิธานทุกคน การมีเป้าหมายให้เคารพนับถือย่อมเป็นสิ่งที่ดี เขาชิวหมิงเยี่ยนช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องชื่นชมวีรบุรุษของราชวงศ์ก่อนๆ ตามหนังสือประวัติศาสตร์หรือเหล่าผู้กล้าที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการเหมือนคนอื่นๆ เรื่องเล่าขานของราชครูเว่ยผู้มีตัวตนจริงอยู่ที่นั่นแล้ว กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่บุรุษหนุ่มผู้มีปณิธานทุกคนของต้าเว่ย อีกทั้งยังทำให้คนที่กำลังเตรียมตัวสอบขุนนางอย่างเขาในขณะนั้นแน่วแน่ที่จะดำเนินชีวิตตามความปรารถนาของตนเอง ถึงขั้นโกนผมและหนีออกจากบ้านไปเข้าร่วมกับกองทัพธงดำที่โม่เป่ย* และเมื่อครอบครัวของเขาประสบเคราะห์กรรมก็เป็นท่านราชครูผู้นี้ที่ยืนหยัดต่อสู้กับการคุกคามข่มเหงของเสนาบดีหรงผู้ชั่วช้าเหิมเกริม กลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยให้เขามีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

ราชครูเว่ยจึงเป็นเสมือนดาวฤกษ์ที่ส่องแสงนำทางให้กับชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ของเขา การที่สามารถช่วยวีรบุรุษอย่างราชครูเว่ยให้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตที่ชิวหมิงเยี่ยนยึดมั่นไม่มีวันลืมเลือน

ทว่าตอนนี้ปณิธานของท่านราชครูยังไม่บรรลุผล แต่เจ้าตัวกลับดูเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขเสน่หาของสตรีไปเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้ชิวหมิงเยี่ยนอดหวาดระแวงและวิตกกังวลอยู่ลึกๆ ในใจไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์นั่นมีเจตนาร้ายวางแผนให้น้องสาวแท้ๆ ของตนเองมาล่อลวงท่านราชครูให้ลุ่มหลงเข้า

คำพูดของชิวหมิงเยี่ยนได้เตือนสติเสิ่นฮองเฮาให้มุ่งมั่นที่จะเป็นฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมให้จงได้ นางตั้งใจว่าจะไม่สร้างภาระให้แก่สามีซึ่งเผชิญสถานการณ์อันยากลำบากในราชสำนักอยู่แล้วเพิ่มอีกเป็นอันขาด เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นของนางเริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้งในทันใด

ฮ่องเต้ประชวรหนัก ไม่ปรารถนาให้นางติดโรคไปด้วย จึงไม่อาจปรึกษาหารือด้วยได้ นางจึงเชิญองค์หญิงหย่งอันมาหารือเพื่อระดมนางกำนัลและบรรดาสมาชิกสตรีของครอบครัวขุนนางมาที่วังเพื่อช่วยกันเย็บรองเท้าผ้าให้กับเหล่าทหารที่อยู่แนวหน้า

รองเท้าผ้าดังกล่าวนี้โดยทั่วไปจะต้องผ่านฝีมือการเย็บปักของบรรดาสตรีสูงศักดิ์สิบกว่าคน คุณภาพงานฝีมืออาจไม่แข็งแรงทนทานมากนัก แต่รองเท้าที่ผ่านการให้พรจากสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้จะเพิ่มกำลังใจเสริมสร้างความฮึกเหิมมั่นใจให้มากขึ้นในยามออกศึกได้อย่างแน่นอน ต่อให้ต้องเสียท่าพ่ายแพ้ก็สามารถวิ่งหนีได้อย่างรวดเร็วราวกับเหินบนยอดหญ้า

การทำ ‘รองเท้าอวยพร’ เช่นนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของต้าเว่ยในยามทหารออกศึก ดังนั้นพอเสิ่นฮองเฮาเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา องค์หญิงหย่งอันย่อมไม่อาจคัดค้านได้เป็นธรรมดา เสิ่นฮองเฮาจึงเขียนเทียบเชิญด้วยความตื่นเต้นยินดี แต่เทียบเชิญที่จะส่งออกไปนั้นกลับถูกหยวนกงกงขัดขวางไว้ด้วยคำพูดประโยคเดียวว่า “ราชครูเว่ยกำชับไว้ว่าให้ฮองเฮาประทับรักษาพระวรกายอยู่แต่ในวังให้ดี ไม่ควรพบปะกับเหล่าสตรีนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”

นั่นทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลวไม่เป็นท่า

สุดท้ายเสิ่นฮองเฮาก็จนปัญญา ได้แต่กำชับองค์หญิงหย่งอันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ช่วยต้อนรับบรรดาแขกสตรีแทนนาง

 

ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้ร่วมทำงานฝีมือกับบรรดาสตรีจากตระกูลขุนนางแต่ละจวนในราชสำนัก เนี่ยชิงหลินจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ตนร่วมทำโคมกับบรรดาสตรีในช่วงเทศกาลโคมไฟคราวนั้น นางยังเป็นเพียงเครื่องประดับในห้องโถงที่ไร้คนสนใจถามไถ่ทุกข์สุขอยู่เลย ได้แต่นั่งมองบรรดาฮูหยินทั้งหลายแข่งขันชิงไหวชิงพริบกันอย่างเพลิดเพลิน ช่างเป็นเรื่องน่าสนุกโดยแท้ แต่ครั้งนี้นางกลับกลายเป็นตัวเอกในหมู่บรรดาสตรีไปเสียนี่ เพียงชั่วพริบตาประหนึ่งดวงเดือนถูกรายล้อมด้วยหมู่ดาราก็ไม่ปาน ช่างน่าอึดอัดจริงเชียว

อย่างเช่นตอนนี้นางรับเข็มมาจากสาวใช้ซึ่งร้อยด้ายเตรียมไว้ให้แล้ว แต่เย็บพลาดไปหนึ่งฝีเข็ม ทำให้บิดเบี้ยวไปจนเกิดเป็นเส้นโค้งแปลกประหลาดบนผิวรองเท้า ฮูหยินของรองเสนาบดีกรมพิธีการถึงกับเบิกตากว้างทันที พร้อมขยับริมฝีปากอวบอูมพูดขึ้นว่า “องค์หญิงทรงฉลาดหลักแหลมนักเพคะ ลายนี้แปลกใหม่ ไม่ดูทื่อๆ เหมือนลายปักของพวกเราเลย เห็นทีต้องขอเรียนรู้จากองค์หญิงให้มากเข้าไว้แล้วเพคะ!”

ฮูหยินคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ต่างพากันชะเง้อชะแง้มามองดู พอเห็นฝีเข็มที่แตกแถวไม่ได้เรื่องนั่นกลับพากันพยักหน้าชมเชยกันยกใหญ่ว่า “ใช่เลยเพคะ! ดูหรูหราสง่างามยิ่งนัก พวกเราทำตามแบบขององค์หญิงบ้างดีกว่า…”

เมื่อมองดูรอยเย็บที่บิดเบี้ยวบนรองเท้าคู่แล้วคู่เล่าพวกนั้น เนี่ยชิงหลินก็ได้แต่คร่ำครวญในใจ เหล่าทหารกล้าแนวหน้าทั้งหลายเอ๋ย องค์หญิงอย่างข้าทำผิดต่อพวกเจ้านัก ยามออกรบบุกตะลุยข้าศึกขออย่าให้พื้นรองเท้าหลุดออกมาเป็นพอด้วยเถิด!

หลังจากสรรเสริญเยินยอกันไปยกหนึ่งแล้ว บรรดาฮูหยินก็เริ่มพูดคุยถึงสถานการณ์การรบในดินแดนทางใต้ จะว่าไปแล้วฮูหยินเหล่านี้กลับรู้เรื่องราวมากกว่าเนี่ยชิงหลินที่อยู่ในวังเสียอีก

อย่างน้อยที่สุดเนี่ยชิงหลินก็ได้รู้ข่าวอาการบาดเจ็บของราชครูเว่ยจากปากของฮูหยินผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้นี่เอง

ครั้นฮูหยินของรองเสนาบดีกรมพิธีการเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ราชครูเว่ยถูกงูพิษกัดอย่างสมจริงสมจังว่าโชคดีที่องค์หญิงแห่งหนานเจียงซึ่งร่วมเดินทางไปกับกองทัพด้วยในฐานะผู้นำทางช่วยชีวิตราชครูเว่ยไว้โดยใช้ปากดูดพิษออกมาอย่างกล้าหาญไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองเลยนั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันมองไปที่องค์หญิงหย่งอันซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานโดยไม่ได้นัดหมาย

ฮูหยินรองเสนาบดีกรมพิธีการพลันรู้ตัวว่าตนเองเผลอหลุดปากพูดออกไป จึงรีบสงบปากสงบคำเตรียมเปลี่ยนเรื่องพูด ทว่าก็มีบางคนที่ไม่รู้กาลเทศะ พอฟังถึงตอนสำคัญแล้วหยุดไปเช่นนั้นก็ทำให้ค้างคาใจอย่างมาก จึงโพล่งถามขึ้นมาว่า “ท่านราชครูบาดเจ็บตรงที่ใดหรือ”

มีคนพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า “ได้ยินว่า…บาดเจ็บที่โคนขานะ…”

เข็มในมือของบรรดาฮูหยินต่างชะลอลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดตามไปด้วย ท่านราชครูผู้สง่างามปานประดุจเทพเซียนถลกชายชุดขึ้นเผยให้เห็นต้นขาที่แข็งแกร่งเปลือยเปล่า ไอร้อนแผ่ออกมาจากท่อนขากำยำที่ถ่างแยกออก และองค์หญิงผู้เลอโฉมที่งดงามทรงเสน่ห์เย้ายวนก็คลานไปที่ลำตัวท่อนล่างของท่านราชครูแล้วก็ดูดไปทีละคำๆ…

ชั่วขณะนั้นเองฮูหยินหลายคนถึงกับเคลิบเคลิ้มใจลอยจนเข็มแทงเข้าที่นิ้ว ทำเอาสะดุ้งจนร้องอุ๊ยออกมาอย่างลืมตัวไปตามๆ กันเลยทีเดียว

เนี่ยชิงหลินรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ที่แท้หาใช่นางคนเดียวไม่ที่เผลอซุ่มซ่าม นางไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เพียงแอบดูดนิ้วที่ถูกเข็มทิ่มจนเลือดซิบออกมาเงียบๆ จากนั้นส่งรองเท้าใส่มือนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ “งานของข้าชิ้นนี้เกือบเสร็จแล้ว ที่เหลือเจ้าก็จัดการต่อให้เรียบร้อยแล้วกัน” พูดพลางก็เตรียมลุกขึ้นกลับไปพักผ่อนที่ตำหนัก

ในเวลาเดียวกันนี้เองก็ได้ยินฮูหยินของรองเสนาบดีกรมทหารเอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้เพราะท่านราชครูได้รับบาดเจ็บนี่เอง มิน่าเล่าแนวหน้าถึงได้พ่ายแพ้ติดๆ กัน…”

เนี่ยชิงหลินซึ่งกำลังจะลุกขึ้นยืนชะงักกึกทันใด คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ที่แท้คำพูดของใต้เท้าชิวที่ว่าสถานการณ์การสู้รบในแนวหน้ากำลังตึงเครียดนั้นเป็นเรื่องจริง มิใช่คำขู่ลอยๆ เพื่อหลอกให้คนในตำหนักในหวาดกลัวสินะ

 

ราชครูเว่ยพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้งจริงๆ พอพูดถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้ ในใจเขาก็รู้สึกอึดอัดน่าโมโหยิ่งนัก

เรือรบของเป่ยเจียงนั้นมีประสิทธิภาพดีเกินไปแล้ว! เรือรบที่แข็งแกร่งลำนี้ล่องในแม่น้ำสายใหญ่หรือทะเลกว้างได้อย่างราบรื่นราวกับพยัคฆ์ติดปีก ทว่าหนานเจียงกลับเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง เรือรบที่ไม่ค่อยคล่องตัวเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนมังกรมีเขาเกยหาดตื้น* แต่หากเปลี่ยนไปใช้แพไม้ไผ่แบบที่ทหารในหนานเจียงใช้กัน ทหารจากเป่ยเจียงส่วนใหญ่กลับควบคุมการทรงตัวกันไม่ค่อยอยู่และรักษาสมดุลได้ไม่ดีพอ ทำให้ไม่สามารถหันหัวเรือให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วบนผืนน้ำได้เลย

ราชครูเว่ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดฉับไว สั่งให้ทหารถอนกำลังจากการสู้รบทางน้ำทันที ทว่าหนานเจียงอ๋องที่ชนะศึกสองครั้งติดต่อกันกลับฮึกเหิมลำพองใจอย่างหาใดเปรียบ รุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เข้ายึดเมืองชายแดนได้อีกสองเมืองจนสามารถเชื่อมต่อกับอาณาเขตของหลิ่งหนานอ๋องได้อย่างเป็นทางการ

ส่วนหลิ่งหนานอ๋องเมื่อประเมินสถานการณ์และลองชั่งน้ำหนักในใจดูแล้ว คาดว่าเว่ยเหลิ่งเหยาพยัคฆ์ร้ายแห่งพสุธาผู้นี้ต้องปราชัยอย่างยับเยินต่อหนานเจียงในการสู้รบทางน้ำครั้งนี้เป็นแน่แท้ จึงเปลี่ยนจุดยืนและแสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าร่วมฟื้นฟูต้าเว่ย และออกประกาศว่าเว่ยเหลิ่งเหยาเป็นทรราชที่ก่อการกบฏ และเขาหลิ่งหนานอ๋องจะเป็นผู้กำจัดหัวหน้าโจรกบฏเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ต้าเว่ย!

ดังนั้นทหารของหลิ่งหนานอ๋องจึงได้เข้าร่วมต่อสู้โรมรันกับกองทัพต้าเว่ยด้วย ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารจากหนานเจียงยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นในชั่วพริบตา แม้อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านราชครูจะยังไม่หายดี แต่ความกระวนกระวายใจของเขากลับมีมากกว่าจนกลบความเจ็บปวดบนร่างกายไปเสียสิ้น

ถึงแม้เนี่ยชิงหลินจะไม่ได้ฟังเรื่องราวที่แท้จริงครบถ้วนจากบรรดาฮูหยินเหล่านั้น แต่ด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมรอบคอบของนางก็สามารถประมวลสถานการณ์ด้วยตนเองได้เกือบทั้งหมดแล้ว นางเดินกลับตำหนักเฟิ่งฉูด้วยใจที่หนักอึ้งเต็มไปด้วยความครุ่นคิดวิตกกังวล

ขณะที่เดินผ่านริมทะเลสาบนางสังเกตเห็นว่าดอกบัวในทะเลสาบได้เลยช่วงเวลาเบ่งบานไปแล้ว บางดอกเหี่ยวเฉาแล้วด้วยซ้ำ มีเรือลำเล็กในวังล่องไปมาอยู่ในทะเลสาบ กำลังช้อนเก็บซากดอกบัวใบบัวที่เหี่ยวเฉาขึ้นจากน้ำ

เนี่ยชิงหลินรู้สึกวุ่นวายใจ แต่ไม่ได้รีบร้อนกลับตำหนัก นางรู้สึกว่าข้ารับใช้ที่กำลังทำงานเก็บดอกบัวนั้นดูน่าสนใจมาก นางจึงหยุดเดินและยืนชมอยู่ตรงนั้น

เรือลำนั้นดูแตกต่างจากที่เนี่ยชิงหลินเคยเห็นในวังมาก่อน ตัวเรือมีเถาวัลย์ประหลาดพันอยู่โดยรอบ ข้ารับใช้บนเรือเดินข้ามไปมาระหว่างเรือกับศาลากลางน้ำที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ ตัวเรือชนกับเสาหินอยู่หลายครั้ง แต่เรือลำน้อยเหมือนกับมีมือใหญ่รั้งดึงไว้อย่างแน่นหนา ตัวเรือไม่โคลงเคลงเสียหลักเลยแม้แต่น้อย

เนี่ยชิงหลินมองดูอยู่สักพักก็เกิดความคิดขึ้นมาทันที นางสั่งให้ซั่นหมัวมัวเรียกข้ารับใช้ที่กำลังช้อนเก็บใบไม้และดอกบัวเน่าในน้ำให้ขึ้นฝั่งมาแล้วถามว่า “เรือน้อยลำนี้เหตุใดถึงต้องผูกกิ่งไม้ไว้ด้วย”

ข้ารับใช้คนนั้นได้ยินคำถามขององค์หญิงหย่งอันแล้วก็ไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรผิดลงไป จึงรีบละล่ำละลักตอบทันที “ทูลองค์หญิง หลายปีก่อนพอถึงช่วงเวลานี้ทีไรทะเลสาบจะมีลมแรงตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ เรือเล็กที่ใช้งานต้านแรงลมไม่ไหวมักถูกลมพัดคว่ำอยู่เสมอ กระหม่อมนึกถึงวิธีหนึ่งที่ใช้ในบ้านเกิดขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงได้ไหว้วานให้คนไปนำเถาลอยน้ำสองสามมัดจากบ้านเกิดมาพันรอบตัวเรือไว้เพื่อถ่วงน้ำหนักให้กับเรือไม่ให้พลิกคว่ำได้ง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ”

“เถาลอยน้ำ? ฟังจากชื่อแล้วเรือนั่นจะล่องไปได้อย่างคล่องตัวหรือ” เนี่ยชิงหลินถามอย่างกังขา

“ทูลองค์หญิง นี่ก็คือจุดเด่นของเถาลอยน้ำพ่ะย่ะค่ะ เถาวัลย์นอกจากจะอุ้มน้ำได้ดีแล้ว ตัวเถาวัลย์ยังมีน้ำหนักเบามาก สามารถลอยในน้ำได้และเคลื่อนที่บนผิวน้ำได้อย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ…”

แม้ท่านราชครูจะใช้พิราบสื่อสารส่งสารมาให้อยู่บ่อยครั้ง กระนั้นองค์หญิงหย่งอันกลับไม่เคยตอบสารอีกฝ่ายเลยสักฉบับ ทว่าไม่กี่วันต่อมานางกลับจรดพู่กันเขียนสารถึงท่านราชครูด้วยตนเองอย่างหาได้ยากนัก พร้อมส่งกิ่งไม้แปลกๆ มัดหนึ่งไปยังค่ายทหารหลักในหนานเจียงด้วยเลย

เวลานั้นองค์หญิงฉี่เคอกำลังประคองยาสมานแผลไว้ในมือ เตรียมตัวที่จะไปเปลี่ยนยาใส่แผลให้กับท่านราชครูซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ขาอยู่

เมื่อไม่กี่วันก่อนราชครูเว่ยถูกงูพิษที่กองทหารงูของหนานเจียงเลี้ยงไว้กัดเข้าโดยไม่ทันระวัง โชคดีที่องค์หญิงฉี่เคอและหลี่ว์อวี้ต๋าร่วมออกสำรวจพื้นที่บนภูเขากับท่านราชครูด้วยพอดี ตอนที่องค์หญิงฉี่เคอเข้าไปตรวจดูบาดแผลนั้น นางร้อนใจยิ่งนัก เตรียมจะใช้ปากของตนดูดพิษออกให้ แต่กลับถูกราชครูเว่ยผลักออกไปและสั่งให้หลี่ว์อวี้ต๋าที่อยู่ข้างๆ มาดูดพิษให้แทน

เพื่อความปลอดภัยของแม่ทัพใหญ่ หลี่ว์อวี้ต๋าย่อมเต็มใจอุทิศริมฝีปากอันบริสุทธิ์ของตนดูดพิษออกให้เป็นธรรมดา

เพียงแต่ขณะที่ทำการดูดพิษนั้นหลี่ว์อวี้ต๋าต้องคุกเข่าลงตรงระหว่างขาของท่านราชครู ร่างกำยำล่ำสันของตนย่อตัวลงไป ได้ยินเสียงท่านราชครูหายใจหอบครางเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดจากการถูกงูพิษกัด ทั้งยังถูกตนดูดพิษอย่างต่อเนื่องจนท่านราชครูถึงกับสะดุ้งอีกต่างหาก ภาพที่แจ่มชัดคาตาเช่นนี้เป็นภาพแห่งช่วงเวลาที่ในชั่วชีวิตนี้แม่ทัพหลี่ว์ผู้ห้าวหาญแห่งกองทัพธงดำไม่อยากหวนนึกถึงอีกเลยจริงๆ

เมื่อทหารนายอื่นๆ มาถึงก็แอบถามกันใหญ่ว่าผู้ใดเป็นผู้รักษาบาดแผลให้ท่านราชครู หลี่ว์อวี้ต๋าได้แต่อ้อมแอ้มตอบไปว่าเป็นองค์หญิงฉี่เคอ ในเมื่อมีเพียงสามคนเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาคงไม่วิ่งโร่ไปถามองค์หญิงฉี่เคอหรือท่านราชครูซึ่งๆ หน้าหรอกกระมัง เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้กลับทำให้บรรดาทหารทั้งหลายในกองทัพที่ปกติขาดแคลนสตรีอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เริ่มคิดเตลิดไปไกล รู้สึกว่าองค์หญิงแห่งหนานเจียงองค์นี้กับท่านราชครูน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างต่อกันแล้วก็เป็นได้

ส่วนองค์หญิงฉี่เคอเมื่อได้ยินข่าวลือดังกล่าว จิตใจของนางก็หวานชื่นทันที ยิ่งได้ใช้เวลาร่วมกับราชครูเว่ยนานเท่าใด นางก็ยิ่งหลงใหลในเสน่ห์ของชายหนุ่มผู้เย็นชาหล่อเหลาผู้นี้มากขึ้นเท่านั้น เดิมทีนางคิดว่าอนุของราชครูเว่ยจะต้องงดงามปานดอกไม้แรกแย้ม ทว่าเมื่อนางได้เจอนายหญิงสามของจวนราชครูเว่ยในเมืองหลวงวันนั้นแล้วถึงได้ประจักษ์ว่าอีกฝ่ายก็งดงามอยู่หรอก แต่ก็ยังเทียบกับนางไม่ได้อยู่ดี ต่อมานางก็เที่ยวสืบข่าวจนรู้ว่านายหญิงสามผู้นี้อ่อนโยนมาก ตรงใจท่านราชครูเป็นอย่างยิ่ง หากสตรีธรรมดาๆ เช่นนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในจวนราชครูเว่ยได้ แล้วเหตุใดนางผู้ที่เหนือกว่าทั้งหน้าตาและความสามารถจะทำไม่ได้เล่า ชั่วขณะนั้นความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะขององค์หญิงฉี่เคอก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

เหตุผลที่ท่านราชครูไม่เต็มใจยอมรับนาง ส่วนหนึ่งน่าจะด้วยฐานะของนางเป็นแน่แท้

องค์หญิงฉี่เคอได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าขอเพียงท่านราชครูพิชิตหนานเจียงได้สำเร็จ นางก็เต็มใจที่จะสละบัลลังก์หนานเจียงอ๋องซึ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมนี้เสีย ยินยอมพร้อมใจเข้าจวนราชครูเว่ยไปเป็นอนุคนหนึ่งเพื่อแสดงความรักความจริงใจของนางที่มีต่อเขา

ท่านราชครูที่ขจัดข้อกังขาในเรื่องฐานะของนางออกไปได้แล้วต้องยอมรับนางอย่างแน่นอน! สำหรับองค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้นั้น…องค์หญิงฉี่เคอกลับไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิด รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายไม่เลวเลย เหมือนกับพี่ชายที่เป็นฮ่องเต้นั่นล่ะ ทำให้คนเห็นแล้วอดทึ่งตะลึงในความงามไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่สถานะขององค์หญิงหย่งอันนั้นน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งกว่านางที่เป็นองค์หญิงแห่งหนานเจียงเสียอีก แล้วท่านราชครูผู้มีปณิธานหมายมาดจะปกครองใต้หล้าจะรักองค์หญิงหย่งอันอย่างจริงใจได้อย่างไรกัน

บุรุษเช่นเว่ยเหลิ่งเหยานี้ก็เหมือนภูผาสูงเสียดฟ้าไกลเกินเอื้อม ไม่มีสตรีคนใดคู่ควรที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้เลย แต่นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์สง่างามแห่งหนานเจียง อายุสิบสามปีก็ช่วยบิดาดูแลบ้านเมืองแล้ว ประสบการณ์และกลยุทธ์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ผู้ใดก็ว่าได้ แล้วองค์หญิงแห่งต้าเว่ยที่ผอมกะหร่องดูเหยาะแหยะผู้นั้นจะคู่ควรกับบุรุษผู้สง่าผ่าเผยเช่นนี้ได้หรือ ครั้นคิดดังนี้องค์หญิงฉี่เคอก็ยิ่งทวีความมั่นใจในตนเองขึ้นไปอีก จึงสงวนท่าทีหยิ่งผยองอวดดีของตนเอาไว้และเริ่มเลียนแบบนายหญิงสาม ฝึกปรือความอ่อนโยนเอาใจใส่ในการดูแลชีวิตประจำวันของราชครูเว่ยให้มากขึ้น

ราชครูเว่ยกลับหงุดหงิดอยู่สักหน่อย จึงปัดมือทั้งสองข้างขององค์หญิงฉี่เคอที่ยื่นมาให้พ้นตัวไปด้วยความรำคาญ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ยังต้องพึ่งพาองค์หญิงฉี่เคอในการประสานงานกับชนเผ่าต่างๆ ในหนานเจียงแล้วล่ะก็ เขาก็อยากจับนางโยนออกไปนอกกระโจมให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ

ขณะที่ราชครูเว่ยกำลังจะหมดความอดทนและเตรียมลงมือทำอะไรบางอย่างอยู่นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ได้รับสารจากกั่วเอ๋อร์ซึ่งทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย หลังจากสั่งให้องค์หญิงฉี่เคอออกไปอย่างเฉยเมยเย็นชาแล้ว เขาก็คลี่สารฉบับนั้นออกดู เจ้ากั่วเอ๋อร์ผู้นี้เพียงวาดภาพเรือเล็กรูปทรงแปลกประหลาดมาลำหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเรือจู่โจมขนาดย่อมที่เรียกว่า ‘เรืออาชาแดง’ ลักษณะเด่นของเรือรบประเภทนี้คือแล่นได้เร็วประดุจม้าที่วิ่งบนแผ่นดินเลยทีเดียว

ราชครูเว่ยนึกขันในใจ กั่วเอ๋อร์ช่างอยู่ไม่สุขเสียจริง อยู่ว่างๆ ในตำหนักไม่ได้เลย อุตส่าห์คิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกจนได้ หลายวันมานี้เขาก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องการสู้รบทางน้ำทั้งวันทั้งคืน เหตุใดจะไม่นึกถึงการใช้เรืออาชาแดงได้เล่า

แต่ถึงแม้เรือที่ว่านี้จะแล่นได้เร็วมากก็จริง ทว่าข้อเสียของมันก็ชัดเจน ซึ่งก็คือตัวเรือมีลักษณะชัน ไม่ทนต่อแรงกระแทก ทหารชาวหมานจากหนานเจียงพวกนั้นเชี่ยวชาญในการต่อสู้ทางน้ำอย่างกับอะไรดี หากปะทะกันบนเรือยังพอรับมือได้ แต่หากลงน้ำแล้วล่ะก็ ทหารของต้าเว่ยคงเหมือนหมาป่าจอมพลังที่พลัดตกลงไปท่ามกลางฝูงฉลามในน้ำ ซึ่งสภาพย่อมไม่ต่างอะไรกับการตายโดยไร้ที่ฝังศพเป็นแน่แท้ ดังนั้นเรือที่ว่านี้จึงถูกราชครูเว่ยปัดทิ้งออกไปจากความคิดอย่างรวดเร็ว

แต่ขณะที่เขากำลังจะวางแผ่นกระดาษลงนั้น จู่ๆ ก็เอะใจขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างพันอยู่รอบเรืออาชาแดงในภาพวาดนี้…

พอเห็นดังนี้เขาจึงลุกขึ้นยืนพินิจดูเถาวัลย์ที่ผู้ส่งสารรีบควบม้าโดยไม่หยุดพักนำมาส่งให้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นพืชชนิดใด จึงสั่งให้ทหารนำเถาวัลย์นี้ไปพันไว้รอบกราบเรือตามภาพวาด จากนั้นจึงนำเรือลงน้ำ

ขณะที่ทหารเคลื่อนเรือลำเล็กอยู่นั้นมีลมกระโชกแรงพัดมาระลอกหนึ่ง เรืออาชาแดงลำอื่นโคลงเคลงไปมาเล็กน้อย มีเพียงเรือที่พันด้วยเถาวัลย์ลำนั้นเท่านั้นที่แล่นอยู่ในน้ำได้อย่างมั่นคง

ราชครูเว่ยดวงตาเป็นประกายทันที สั่งให้ทหารอีกนายคุมเรืออาชาแดงไปชนเรือลำใหญ่ ปรากฏว่าหลังจากที่เรือทั้งสองลำชนกัน เรือลำเล็กก็กระดอนกลับอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงลอยตัวอยู่ในน้ำได้อย่างมั่นคง ขณะนี้แม้แต่เหล่าทหารทั้งหลายและองค์หญิงฉี่เคอที่ยืนดูอยู่ริมฝั่งแม่น้ำต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน นัยน์ตาของแต่ละคนฉายแววตื่นเต้นยินดี ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าวิธีการที่ราชครูเว่ยคิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน!

ราชครูเว่ยเพียรระงับความตื่นเต้นในใจไว้พลางมองตัวอักษรเล็กๆ ที่เขียนต่อจากใต้ภาพว่า

 

สิ่งนี้เรียกว่า เถาลอยน้ำเป็นพืชเฉพาะถิ่นของหมู่บ้านอีซานที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำปี้สุ่ยทางตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะนี้แม้จะพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปแล้ว แต่คนในท้องถิ่นนิยมใช้มันในการสร้างบ้านเรือนลอยน้ำ หากท่านราชครูเห็นว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถส่งคนไปที่นั่นเพื่อรื้อถอนบ้านเรือนและเก็บรวบรวมมาใช้ได้

 

พออ่านถึงตรงนี้คนเขียนดูเหมือนจะหยุดเขียนไปสักพักใหญ่ น้ำหมึกหยดหนึ่งหยดลงบนกระดาษและถูกกลบทับด้วยผงสีเหลืองอย่างประณีต ก่อนจะเขียนต่อบนรอยด่างนั้นว่า

 

ได้ยินว่าท่านราชครูได้รับบาดเจ็บ จึงขอมอบยาทาแก้พิษงูให้หนึ่งตลับ หากบาดแผลได้รับการรักษาดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นภายภาคหน้าได้ตามต้องการ

 

ราชครูเว่ยนั่งอ่านจดหมายอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับเคาะโต๊ะไปพลางๆ แล้วหยิบตลับยาใบเล็กนั่นขึ้นมา พอเปิดฝาออกก็เห็นยาขี้ผึ้งเนื้อเนียนเงางามดุจหยกอยู่ในนั้น ผิวเนื้อของมันเรียบเนียนเสียจนเขาไม่อยากเอานิ้วไปสัมผัสแตะต้องจนทำลายความเรียบเนียนนั้นให้เสียหายเลย

ความจริงใจของกั่วเอ๋อร์น้อยก็เหมือนยาขี้ผึ้งเนื้อนุ่มเนียนที่อัดแน่นอยู่ในตลับยาใบนี้ ไม่มีทางแสดงออกมาอย่างเปิดเผย แต่หากจะบังคับให้ต้องควักออกมากลับทำให้คนรู้สึกใจอ่อนจนทำไม่ลง…

บทที่ 81

เว่ยเหลิ่งเหยาได้แต่รำลึกถึงความอ่อนโยนของกั่วเอ๋อร์น้อยอยู่ในค่ายทหารได้เพียงเสี้ยวอึดใจเท่านั้น

ในวันนั้นเองราชครูเว่ยได้ส่งคนสนิทสองสามคนกับทหารกลุ่มหนึ่งรีบรุดไปที่หมู่บ้านอีซาน ในเวลาเดียวกันก็สั่งการกองหนุนให้ระดมกำลังจากโรงช่างหลายแห่งในตำบลและอำเภอใกล้เคียงเร่งสร้างเรืออาชาแดงจำนวนมากภายในห้าวัน

ไม่กี่วันต่อมาคนสนิทพร้อมทหารที่ส่งไปก็ควบรถม้ารอนแรมกลับมาถึงค่ายใหญ่อย่างเหนื่อยล้า ส่วนเรืออาชาแดงก็สร้างเสร็จไปแล้วหนึ่งพันกว่าลำ ราชครูเว่ยเห็นเถาลอยน้ำจำนวนมากที่ทหารนำกลับมาที่ค่ายแล้วก็คัดเลือกช่างต่อเรือที่มากประสบการณ์หลายคนมาทำการทดลองอย่างลับๆ กับเรืออาชาแดงสิบลำเพื่อดูว่าจะจัดวางเถาลอยน้ำพวกนี้อย่างไร และต้องใช้จำนวนมากน้อยเพียงใดถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลังจากลองเอาเรืออาชาแดงมาชนกันไปหลายลำ ในที่สุดช่างต่อเรือก็เข้าใจวิธีการวางเถาลอยน้ำที่เห็นผลมากที่สุด เรืออาชาแดงที่ผ่านการดัดแปลงแล้วมีความมั่นคงไม่แพ้เรือรบขนาดใหญ่เลยทีเดียว หลังจากที่ราชครูเว่ยตรวจสอบเรืออาชาแดงชุดนี้เรียบร้อยแล้วก็สั่งให้ดัดแปลงเรืออาชาแดงที่เหลือทั้งหมด ครั้นเรืออาชาแดงถูกดัดแปลงจนครบทั้งหมดหนึ่งพันกว่าลำแล้ว ราชครูเว่ยก็สั่งให้แม่ทัพผู้ชำนาญการรบในน้ำจากหนานเจียงที่มาสวามิภักดิ์ด้วยเป็นผู้นำในการฝึกซ้อมทหารบนเรืออาชาแดงที่ดัดแปลงแล้วนี้ เพื่อให้ทหารจากแดนเหนือภายใต้การนำของเขาคุ้นเคยกับการรบทางน้ำและเรืออาชาแดงโดยเร็วที่สุด จนกระทั่งกองทัพทหารฝึกฝนทักษะการรบทางน้ำจนเชี่ยวชาญมั่นใจแล้ว ราชครูเว่ยจึงถ่ายทอดคำสั่งให้เรืออาชาแดงทุกลำออกเรือ เป็นฝ่ายบุกไปเปิดฉากสู้ศึกครั้งตัดสินกับหนานเจียงเองเลย

ราชครูเว่ยเตรียมการต่อสู้มาพร้อมที่จะเอาคืนอย่างสาสมแล้ว!

 

ขณะที่มีข่าวว่ากองกำลังเรือเล็กจำนวนมากของราชครูเว่ยบุกตะลุยใกล้เข้ามาแล้วนั้น หนานเจียงอ๋องกำลังร่ำสุราอย่างสนุกสนานครื้นเครงกับเหล่าแม่ทัพทั้งหลายในกระโจมอ๋องพอดี เขาโยนชามสุราในมือทิ้งเสียงดังสนั่นพร้อมกับหัวเราะดังลั่น ก่อนจะพูดกับบรรดาแม่ทัพใต้บังคับบัญชาว่า “ลือกันว่าราชครูเว่ยเก่งกาจนักหนา ตอนอยู่ในเมืองหลวงสังหารแม่ทัพใหญ่ผู้รักษาความสงบแห่งหลางซีได้ในกระบวนท่าเดียว ทั้งยังบุกเข้าไปในกองทัพของหลางซีตามลำพังอีกต่างหาก ไม่คิดเลยว่าก็แค่หัวหอกชุบเงิน* เท่านั้น เอาเข้าจริงก็ไม่เกินมือเลยนี่ น่าเสียดายเจ้าโจรเว่ยนั่นที่ขี้ขลาดเกินไป พ่ายแพ้ไปสองครั้งก็หดศีรษะไม่กล้ามารบกับอ๋องอย่างข้าอีก มิเช่นนั้นข้าคงได้เด็ดศีรษะเขาไปนานแล้ว ครั้งนี้คงไปกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วล่ะสิถึงได้เป็นฝ่ายเปิดฉากท้ารบก่อน สุรานี้ยังไม่ต้องเก็บหรอก แม่ทัพทุกท่านจงร่วมออกรบกับข้า พอชนะเจ้าคนอ่อนหัดนั่นแล้วค่อยกลับมาดื่มกันต่อ”

แม่ทัพแต่ละคนก็พลอยผสมโรงหัวเราะไปด้วย ต่างพากันสรรเสริญเยินยอในชัยชนะจากการทำศึกของท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ไหนเลยเจ้าโจรแซ่เว่ยนั่นจะเทียบได้

แต่เก๋อชิงหย่วนซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกระโจมกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้จักเว่ยเหลิ่งเหยาดียิ่งกว่าใคร เพราะบุรุษผู้นี้คือคนที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายแล้วหวนกลับมาในช่วงเวลาที่เขาเก๋อชิงหย่วนรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต โดยนำทัพเคลื่อนมาบุกประตูเมือง ทำให้เขาสูญเสียทุกอย่างในชั่วข้ามคืน

นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ต่อกรด้วยยากที่สุด ไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่เสี้ยวอึดใจ!

ครั้นคิดดังนี้เขาก็ช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย ขยิบตาส่งสัญญาณให้น้องสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานเจียงอ๋อง เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์เข้าใจได้ทันที นางซบลงแนบอกหนานเจียงอ๋องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ท่านอ๋องเก่งกาจอาจหาญ เจ้าโจรเว่ยนั่นจะเทียบได้อย่างไรกันเจ้าคะ ทว่าเจ้าโจรเว่ยผู้นี้ไม่ได้หนีหัวซุกหัวซุน แต่กลับเป็นฝ่ายบุกมาท้าทายโจมตีก่อน เกรงว่าต้องมีแผนการลับอะไรบางอย่างแน่เจ้าค่ะ! ท่านอ๋องส่งทหารออกไปรับมือก่อนดีกว่า ไยต้องออกไปเสี่ยงอันตรายเองด้วยเล่าเจ้าคะ”

น่าเสียดายที่หนานเจียงอ๋องที่มัวเมากับชัยชนะไม่รับฟังคำแนะนำใดๆ ทั้งสิ้น เพียงขว้างจอกสุราไป แล้วก้มลงจูบริมฝีปากแดงสดราวกับผลอิงเถาของเก๋ออวิ๋นเอ๋อร์อย่างหนักหน่วงต่อหน้าทุกคน ก่อนจะเดินนำแม่ทัพทุกคนไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อดูการสู้รบ

การสู้รบทางน้ำของทั้งสองกองทัพนั้น ทหารจากเป่ยเจียงปราชัยให้กับทหารจากหนานเจียงตามคาด หลังจากเปิดฉากสู้รบกันไม่นานก็เห็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้จนต้องถอยร่นไม่เป็นท่า

หนานเจียงอ๋องเห็นเช่นนี้ก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง รีบสั่งให้กองกำลังของเขาทั้งหมดบุกโจมตีทันที หมายจะบดขยี้กองทัพของราชครูเว่ยให้เบ็ดเสร็จในคราวเดียว

เก๋อชิงหย่วนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ราชครูผู้นั้นผ่านศึกมาโชกโชนนับร้อย ไม่น่าไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ อาจมีกลลวงก็เป็นได้นะขอรับ”

หนานเจียงอ๋องแค่นเสียงฮึออกมาเสียงหนึ่ง แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างผู้หนึ่งไม่ถูกชะตากับคนจากต้าเว่ยผู้นี้ที่กลายมาเป็นขุนนางคนโปรดของหนานเจียงอ๋อง พอได้ยินเก๋อชิงหย่วนเอ่ยเตือนเข้าก็พูดอย่างเย้ยหยันขึ้นว่า “คู่ต่อสู้ที่ผ่านมาของเจ้าคนอ่อนหัดนั่นล้วนโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ จะมาเปรียบเทียบกับท่านอ๋องได้อย่างไรกันเล่า มิหนำซ้ำหลิ่งหนานอ๋องก็ได้เปิดเผยรายละเอียดของเจ้านั่นให้พวกเรารู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าจากความพ่ายแพ้ในการสู้รบครั้งก่อนๆ ทหารของเจ้านั่นมีไม่เกินสามหมื่นนายเท่านั้น ดูจากจำนวนทหารที่เขานำมาในวันนี้น่าจะเกือบทั้งหมดแล้วล่ะ”

“ถึงเขาจะมีกลอุบายแต่ก็เปลี่ยนแปลงจำนวนทหารไม่ได้หรอก จะกลัวเขาไปด้วยเหตุใดกันเล่า” หนานเจียงอ๋องมองดูแม่ทัพที่กล่าววาจาผู้นั้นอย่างพึงพอใจ ก่อนจะโบกมือสั่งการอย่างเฉียบขาด “ทหารทั้งหมดลุยเลย!”

กองทัพทางน้ำของหนานเจียงไล่ตามกองทัพของราชครูเว่ยอย่างฮึกเหิม ในไม่ช้าก็ข้ามผ่านบึงใหญ่เข้าสู่เขตน้ำที่แคบลงและเต็มไปด้วยต้นกก ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้นทีหนึ่ง เรืออาชาแดงก็แล่นออกมาจากดงต้นกกทางด้านหลังทีละลำๆ โดยราชครูเว่ยได้สั่งการให้ทหารนำเรืออาชาแดงห้าร้อยลำพร้อมกับทหารสามพันนายไปซ่อนตัวอยู่หลังดงต้นกกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารด้านหน้าที่ทำทีเป็นถอยร่นหลบหนีมาก่อนหน้านี้ก็โยนเถาวัลย์ไม้ที่อยู่บนดาดฟ้าเรือลงไปในน้ำแล้วหันหัวเรือวกกลับมา ล้อมเรือรบแพไม้ไผ่จำนวนหนึ่งของทหารแดนใต้ไว้ตรงกลาง

หนานเจียงอ๋องที่อยู่บนเรือบัญชาการเห็นกำลังพลของตนถูกล้อมไว้ก็ไม่ตกใจแต่อย่างใด กลับแค่นเสียงพูดว่า “ถูกล้อมแล้วอย่างไรรึ! ทหารทางเหนืออ่อนหัดในการสู้รบทางน้ำ เพียงปะทะเล็กน้อยก็แตกพ่ายแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องห่วงด้านหลัง กองทัพของข้าบุกตะลุยไปข้างหน้าได้เลย”

ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำเอาหนานเจียงอ๋องกับเหล่าแม่ทัพของเขาตกใจยกใหญ่ เมื่อคราวนี้เรืออาชาแดงของทางเหนือมั่นคงผิดปกติ ไม่โคลงเคลงง่ายๆ ส่วนบรรดาทหารพวกนั้นพอสังเกตการต่อสู้แล้วก็ดูไม่ออกเลยว่าไม่ชำนาญในการสู้รบทางน้ำแต่อย่างใด

หากตัดข้อได้เปรียบในการสู้รบทางน้ำออกไปแล้ว ลำพังความสามารถในการสู้รบเพียงอย่างเดียว ทหารของหนานเจียงไม่มีทางเทียบกับทหารภายใต้การนำของราชครูเว่ยได้เลยจริงๆ ความสามารถของทหารแห่งกองทัพธงดำล้วนฝึกฝนเคี่ยวกรำผ่านคมหอกคมดาบและอาวุธต่างๆ ในสมรภูมิรบจริงมาทั้งนั้น ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่จากหนานเจียงพวกนั้นเป็นเพียงกองกำลังชาวบ้านที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำสงคราม จะมาเทียบชั้นกันได้หรือ ไม่เพียงแต่ตีฝ่าวงล้อมออกมาไม่ได้เท่านั้น แต่ยังถูกบีบจนต้องถอยร่นไปทีละนิดๆ จนวงล้อมแคบเข้ามาเรื่อยๆ อีกต่างหาก

ยามนี้หนานเจียงอ๋องถึงได้ตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว สั่งให้เรือรบที่มีกระดูกงู รูปทรงแปลกตาห้าลำซึ่งลอยอยู่ข้างเรือบัญชาการออกไปรบ เรือใหญ่เหล่านี้เป็นเรือที่หนานเจียงอ๋องทุ่มเงินมหาศาล ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จ ลำตัวเรือแคบ สูงหนึ่งจั้ง แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ด้านบนของเรือเต็มไปด้วยไม้แหลมยื่นออกมาสำหรับกระแทกชน อย่าว่าแต่ดงกกที่ขวางทางเลย แม้แต่เรือรบขนาดใหญ่ของต้าเว่ยที่ใช้ออกศึกเมื่อคราวก่อน หากถูกเรือรบแข็งแกร่งทนทานเช่นนี้ชนไม่กี่ครั้งก็พลิกคว่ำแน่ๆ นี่คืออาวุธลับของหนานเจียงอ๋องซึ่งยังไม่เคยใช้ในการรบทางน้ำมาก่อน

ราชครูเว่ยที่อยู่บนฝั่งเห็นเรือรูปทรงประหลาดบุกเข้ามาก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น สายลับที่เขาส่งมาแฝงตัวอยู่ในหนานเจียงได้ส่งข่าวเรื่องเรือประหลาดของหนานเจียงอ๋องให้เขาทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเขาก็ได้เตรียมแผนการรับมือไว้เรียบร้อย พอเขาโบกมือ เจ้าหน้าที่สื่อสารที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยกธงสีแดงและสีขาวสองอันในมือขึ้นมาโบกเพื่อส่งสัญญาณทันที เรือขนาดใหญ่ของกองทัพเรือทางเหนือก็พุ่งออกมาเป็นคู่ๆ โดยไม่รอช้า เรือแต่ละคู่มีโซ่เหล็กหนาหลายเส้นเชื่อมระหว่างกันไว้ ลำหนึ่งอยู่ทางซ้ายอีกลำหนึ่งอยู่ทางขวา ขนาบเรือยักษ์ของกองทัพหนานเจียงไว้ด้วยโซ่เหล็ก ทำให้เรือยักษ์ขยับไปที่ใดไม่ได้ เรือที่เคลื่อนที่ไม่ได้ก็คือเป้ายิงนิ่งๆ นั่นเอง ท้ายที่สุดก็ถูกโจมตีอย่างง่ายดาย

ท่ามกลางลูกธนูที่ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับห่าฝน ทหารทางเหนือก็ปีนขึ้นไปบนเรือขนาดยักษ์และต่อสู้ในระยะประชิดกับทหารของหนานเจียง ไม่นานก็สามารถควบคุมเรือประหลาดเหล่านั้นได้สำเร็จ

เมื่อหนานเจียงอ๋องเห็นว่าเรือหัวรบทองแดงแขนเหล็กซึ่งเป็นอาวุธลับนี้ล้มเหลวก็หน้าซีดเผือดสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด เร่งทหารของเขาให้กระโดดลงน้ำไปเจาะใต้ท้องเรืออาชาแดงของอีกฝ่ายเพื่อเปิดทางให้เรือบัญชาการของเขาหลบหนีออกไปได้ ทหารจากหนานเจียงกระโดดลงไปในน้ำเหมือนเกี๊ยวที่ถูกหย่อนลงไปในหม้อ แต่พอพวกเขาดำดิ่งลงไปถึงใต้ท้องเรือของอีกฝ่ายกลับต้องผิดหวังเมื่อพบว่าที่ท้องเรือมีเถาวัลย์พันล้อมไว้อย่างแน่นหนาราวกับกรงนกอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีช่องว่างให้คนสามารถลอดผ่านไปได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นเถาวัลย์พันล้อมหนาเกินไป ใช้แรงฟันเถาวัลย์ที่อยู่ใต้น้ำไม่ไหวจริงๆ และอากาศที่ใช้กลั้นหายใจไว้ก็ไม่มากพอให้ฟันท่อนเสาขาดสะบั้นในดาบเดียว ต้องขึ้นมาหายใจใหม่หลายครั้งถึงจะสามารถตัดเสาให้หักได้หนึ่งต้น แต่ทันทีที่นักรบใต้น้ำของหนานเจียงโผล่ขึ้นมาสูดอากาศหายใจก็กลายเป็นเป้ายิงนิ่งที่มีชีวิตของทหารทางเหนือทันที ทั้งที่หนานเจียงอ๋องสูญเสียทหารไปนับร้อยนาย ทว่ากลับจมเรืออาชาแดงของอีกฝ่ายได้เพียงไม่กี่ลำเท่านั้น

ตอนนี้หนานเจียงอ๋องถึงกับขวัญกระเจิงโดยสิ้นเชิง เขาตะโกนลั่นสุดเสียงด้วยเสียงแหบแห้งสั่งให้ทหารบุกไปข้างหน้าอย่างสู้จนตัวตาย พร้อมให้สัญญาว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถฝ่าศัตรูช่วยเขาให้ออกจากเส้นทางนองเลือดนี้ไปได้จะเลื่อนตำแหน่งให้อย่างงาม และจะมอบทองคำเพชรนิลจินดาให้เป็นรางวัล อีกทั้งยังจะแบ่งปันอนุของตนให้ทั้งหมดด้วยเช่นกัน พร้อมกันนั้นเขายังสั่งให้หน่วยควบคุมการรบที่อยู่บนเรือบัญชาการคอยยิงธนูใส่ทหารที่ไม่กล้าบุกเข้าไปจนตาย ด้วยแรงจูงใจในตำแหน่งลาภยศและทรัพย์สมบัติ รวมถึงแรงกดดันจากหน่วยควบคุมการรบ ทหารของหนานเจียงจึงทุ่มเทบุกตะลุยอย่างสุดชีวิต เพียงไม่นานต้นกกในแม่น้ำก็ถูกชโลมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง เลือดไหลนองจนแม่น้ำเป็นสีแดงฉาน ศพจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนอยู่บนผืนน้ำในชั่วพริบตา

หนานเจียงได้สูญเสียความได้เปรียบไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามทหารของหนานเจียงอ๋องที่ออกมาสู้รบล้วนตายเกลื่อน ที่เหลือส่วนใหญ่ได้ยอมจำนนไปแล้ว เหลือเพียงหนานเจียงอ๋องและแม่ทัพคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่บนเรือบัญชาการ

เว่ยเหลิ่งเหยาเห็นว่าเรือบัญชาการถูกเรืออาชาแดงบีบให้เข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้นทุกที ส่วนหนานเจียงอ๋องที่ตกอยู่ในสภาวะคับขันก็ถึงกับคิดจะกระโดดลงน้ำเพื่อว่ายน้ำหนีเอาชีวิตรอด เขาจึงยืนนิ่งอยู่บนฝั่งแล้วหยิบคันธนูพร้อมลูกธนูขึ้นมาเกี่ยวสายอย่างใจเย็น ก่อนจะง้างสายธนูยิงออกไป คันธนูที่หนักหน่วงปานหินปล่อยลูกธนูแหลมคมพุ่งทะยานแหวกอากาศตรงไปที่หนานเจียงอ๋อง ทะลุเข้าไปที่ไหล่ของหนานเจียงอ๋องตรึงตัวอีกฝ่ายไว้กับเสากระโดงเรืออย่างแน่นหนา หนานเจียงอ๋องส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด

ด้วยลูกธนูดอกเดียวของเว่ยเหลิ่งเหยาก็สยบทุกอย่างได้ทันที สามารถจับเป็นหนานเจียงอ๋องไว้ได้ แต่เมื่อเขานำคนบุกเข้าไปในกระโจมกลับไม่พบร่องรอยของสองพี่น้องสกุลเก๋อ คาดว่าสองคนนั้นคงเห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ตอนเปิดฉากสู้รบกัน จึงรีบฉวยจังหวะเผ่นหนีไปแล้ว!

เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้วพลางแค่นเสียงฮึ เอ่ยว่า “เก๋อชิงหย่วน ข้าจะคอยดูซิว่าหนูสกปรกที่ชอบมุดศีรษะในเงามืดอย่างเจ้าจะหลบหนีไปได้ถึงเมื่อใด!”

 

หลังจากจบศึกดงต้นกกแล้วทหารของหนานเจียงก็ไร้พิษสงอีกต่อไป หลิ่งหนานอ๋องผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ไม่เข้าที จึงรีบหนีกลับไปยังดินแดนของตน แต่เว่ยเหลิ่งเหยาเป็นผู้นำทัพเอง จะปล่อยให้อ๋องศักดินาที่แข็งข้อเปิดศึกโจมตีเขาอย่างเปิดเผยอยู่รอดต่อไปได้อย่างนั้นหรือ หนึ่งเดือนต่อมาหลิ่งหนานอ๋องก็ถูกปราบอย่างราบคาบ

แม้ยังคงมีกลุ่มทหารกองโจรที่จัดตั้งโดยหนานเจียงอ๋องกระจัดกระจายระเหเร่ร่อนอยู่ตามแนวภูเขา แต่พวกเขาก็อยู่ในสภาพอ่อนแรงไร้พิษสงจนไม่อาจก่อปัญหาวุ่นวายได้อีกต่อไป หนานเจียงอ๋องผู้เฒ่าซึ่งถูกกักขังมานานได้รับการปล่อยตัวออกมา และประกาศแต่งตั้งองค์หญิงฉี่เคอผู้เป็นบุตรสาวของตนให้เป็นหนานเจียงอ๋องคนใหม่แห่งแดนใต้แทน

ในพิธีแต่งตั้งท่านอ๋องคนใหม่ เว่ยเหลิ่งเหยาก็มาแสดงความยินดีกับนางด้วย ในระหว่างงานเลี้ยงหลี่ว์อวี้ต๋าเบ้ปากพลางมองไปทางผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋องและท่านโหวพวกนั้นพร้อมกระซิบถาม “ท่านราชครู เหตุใดพวกเราไม่ใช้โอกาสนี้ผนวกหนานเจียงนี่มาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนต้าเว่ยเสียเลยเล่าขอรับ แทนที่จะปล่อยให้พวกมันอยู่ในฐานะแคว้นบริวารเช่นนี้น่ะ”

ราชครูเว่ยดื่มสุราไปมากแต่สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยนขณะเอ่ยตอบว่า “แคว้นบริวารในหนานเจียงมีมากมาย ผู้คนไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกทั้งยังมีเทือกเขาใหญ่ขวางกั้นอยู่ ยิ่งทำให้จัดการดูแลไม่ได้ง่ายๆ มิสู้กำราบหนานเจียงอ๋องให้อยู่หมัด แล้วใช้วิธี ‘ยืมมืออีกฝ่ายจัดการอีกฝ่าย’ ดีกว่า จึงจะเป็นวิธีการจัดการที่ยั่งยืน”

หลี่ว์อวี้ต๋าถึงได้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

หลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ราชครูเว่ยที่กำลังจะออกไปก็เห็นนางกำนัลขององค์หญิงฉี่เคอนางหนึ่งย่องเข้ามาข้างๆ เขาอย่างเงียบเชียบและพูดเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องขอเชิญท่านราชครูไปพบ มีบางเรื่องอยากจะสนทนาด้วยเจ้าค่ะ”

เมื่อราชครูเว่ยก้าวเข้าไปในตำหนักชั้นในของหนานเจียงอ๋องก็ต้องตกใจกับฉากในยามค่ำคืน โคมไฟในตำหนักแกว่งไกว ม่านพลิ้วไหว รวมถึงกลิ่นหอมละมุนที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ สตรีผู้ดำรงตำแหน่งหนานเจียงอ๋องคนใหม่ได้ถอดชุดพิธีการออกไปแล้ว เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงไหมสีขาวยาวกรอมเท้า ข้างในสวมผ้าเอี๊ยมสีแดงปักด้วยด้ายสีทอง เนินอกนูนอวบอิ่ม ผมยาวสยายคลุมไหล่ สวมใส่ชุดเหมือนสตรีชาวฮั่นทุกประการ

ขณะนี้นางนอนเอนกายอยู่บนเตียง นัยน์ตาคู่โตเย้ายวนมีเสน่ห์มองมาทางราชครูเว่ยพลางกล่าวว่า “ท่านราชครูเหน็ดเหนื่อยในค่ายทหารมาหลายเดือนเพื่อปราบปรามความวุ่นวายในหนานเจียง อีกทั้งไม่ได้พาอนุมาปรนนิบัติรับใช้ด้วย เห็นทีว่าคงอึดอัดเต็มทีแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน นอกจากเต็มใจเป็นหมอนให้ท่านนอนหนุน เพื่อให้ท่านราชครูพักผ่อนนอนหลับอย่างสบายใจ”

พูดพลางนางก็แอ่นอกขึ้นเล็กน้อยเพื่ออวดเน้นสัดส่วนเรือนร่างโค้งเว้าอันงดงามของตน ในยามราตรีที่เงียบสงัดและมีสาวงามอยู่ตรงหน้า ขอเพียงราชครูเว่ยมิใช่คนตาบอด จะต้านทานเนื้อติดมันที่ป้อนมาถึงปากเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า

หากเป็นราชครูเว่ยในอดีตซึ่งไม่เคยปล่อยให้ตนเองอดอยากมาแต่ไหนแต่ไร หลังสงครามเสร็จสิ้น หากดื่มสุราเลิศรสจนหมดแล้วก็เป็นต้องหาความสุขกับสาวงามสักคนเพื่อผ่อนคลายให้เต็มที่สักหนหนึ่ง ถึงเป็นรางวัลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พึงให้แก่ตนเอง

ในเวลานี้สุรากำลังออกฤทธิ์ได้ที่ กลิ่นหอมรัญจวนใจในอากาศก็กระตุ้นความต้องการที่หลับใหลมานานหลายเดือนเสียด้วย ราชครูเว่ยอดที่จะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวไม่ได้ สายตาเย็นชาของเขาทอประกายเร่าร้อนเล็กน้อย องค์หญิงฉี่เคอแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจยิ่งขึ้น ค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเตียง ผมยาวแผ่สยาย ดวงตาทรงเสน่ห์หวานฉ่ำหยาดเยิ้ม ริมฝีปากบางเผยอออกน้อยๆ ราวกับเชิญชวนด้วยลีลาท่าทางมั่นใจและพึงพอใจเต็มเปี่ยม

บุรุษร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างเตียง ก้มลงมองหญิงสาวทรงเสน่ห์บนเตียงพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะค้อมตัวลงและยื่นมือออกไป…เมื่อฝ่ามือใหญ่เคลื่อนไปสัมผัสใบหน้าของหญิงสาว ในมือกลับมีมีดสั้นเหล็กเย็นเฉียบสะท้อนประกายคมมีดวางทาบอยู่บนลำคอขาวระหงของนาง และกดไปทีหนึ่งจนเป็นรอยแผลลึกมีเลือดซึมออกมา “ไม่ทราบว่าหนานเจียงอ๋องใส่อะไรลงไปในกระถางกำยาน กลิ่นช่างหอมรัญจวนจริงเชียว!”

รอยยิ้มที่มุมปากขององค์หญิงฉี่เคอถึงกับชะงักค้างในบัดดล นางมองใบหน้าอันหล่อเหลาของราชครูเว่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่เต็มทน “ฉี่เคอมิกล้าวางแผนใดต่อท่านราชครู แค่เพิ่มเครื่องหอมเพื่อสร้างบรรยากาศเท่านั้น! ท่านราชครู ฉี่เคอไม่ขออะไรมาก หากท่านรังเกียจไม่เต็มใจที่จะรับฉี่เคอเป็นภรรยา เช่นนั้นโปรดให้บุตรที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแก่ข้าสักคน เพื่อให้เชื้อสายของท่านสามารถปกครองดินแดนหนานเจียงอันกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยเถิด…”

หากกล่าวว่าชายหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานย่อมสามารถต้านทานเสน่ห์ความงามของสตรีได้แล้วไซร้ แต่เขาจะต้านทานต่อการล่อใจจากอำนาจได้หรือ องค์หญิงฉี่เคอตระหนักถึงความกังวลของราชครูเว่ยเป็นอย่างดีที่ไม่ต้องการผนวกหนานเจียงเข้ากับต้าเว่ย แต่หากได้รับโอกาสให้บุตรของเขาสืบทอดบัลลังก์หนานเจียงอ๋องอย่างถูกต้องชอบธรรม เขาจะต้านทานไหวหรือไร จู่ๆ องค์หญิงฉี่เคอก็เรียกความมั่นใจของนางขึ้นมา นางเชื่อมั่นว่าคืนนี้ต้องสามารถรั้งตัวชายหนุ่มที่ตนเฝ้าชื่นชมหลงใหลมานานไว้ได้แน่ ทันทีที่เขาเต็มใจที่จะให้นางตั้งครรภ์ นางก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าด้วยลีลาบนเตียงของตน เว่ยเหลิ่งเหยาจะต้องตกอยู่ในห้วงเสน่หาจนถอนตัวไม่ขึ้น ลืมบรรดาอนุทั้งหลายที่ตกอันดับพวกนั้นไปเสียสิ้นแน่ๆ! เมื่อถึงตอนนั้นหนานเจียงอ๋องผู้สูงศักดิ์ทรงเกียรติอย่างนางจะไม่คู่ควรกับท่านราชครูได้อย่างไร การเป็นภรรยาเอกของเว่ยเหลิ่งเหยาก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรอีกต่อไปแล้ว!

ทว่าคมมีดที่จิ้มเข้ามาในเนื้อนุ่มก็เป็นการให้คำตอบอย่างเย็นชาแก่นางแล้ว “ดูเหมือนว่าองค์หญิงฉี่เคอจะทรงลืมสิ่งที่กระหม่อมเคยพูดเอาไว้ไปหมดสิ้นแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหาใช่คนที่องค์หญิงสามารถบงการชีวิตได้ เดิมทีคิดไว้ว่าจะทำให้ราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข ชนเผ่าต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากหนานเจียงอ๋องเต็มใจที่จะรักษาสันติภาพ กระหม่อมก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและนำความสงบสุขมาสู่หนานเจียงนี้ แต่หากหนานเจียงอ๋องไม่ยินยอม ทึกทักเอาเองว่าผู้แซ่เว่ยเป็นคนไร้ความสามารถถึงกับต้องยืมครรภ์ของสตรีเพื่อรักษาความสงบสุขแล้วล่ะก็ เช่นนั้นกระหม่อมก็พร้อมที่จะใช้กองทัพม้านับสิบหมื่นพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ไปเลยว่าไม่เพียงแต่เทือกเขาที่ขวางกั้นเท่านั้น ต่อให้เป็นยอดเขาที่สูงตระหง่านเพียงใดก็ต้องถูกทหารต้าเว่ยของกระหม่อมเหยียบย่ำจนแหลกลาญราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน!”

เลือดสีแดงสดไหลออกจากลำคอขององค์หญิงฉี่เคอลงมาจนเปื้อนชุดกระโปรงสีขาวราวหิมะอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายนี้ทำให้องค์หญิงฉี่เคอตื่นจากความหลงใหลในตัวราชครูเว่ยทันที

บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านางไม่เพียงแต่เป็นชายหนุ่มรูปงามที่สามารถทำให้สตรีหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชาที่กุมอำนาจกองทัพของต้าเว่ยไว้ในมือด้วย ในสายตาของเขาไม่มีความอ่อนโยนเสน่หารักใคร่ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่กฎที่ว่า ‘ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย’ เท่านั้น ผู้ใดบังอาจล้ำเส้น ต่อให้เสนอสมบัติล้ำค่าหรือสตรีที่งดงามเพียงใดก็ย่อมถูกเขาทิ้งขว้างราวกับของไร้ค่าเป็นแน่แท้

และตอนนี้นางหาใช่องค์หญิงแห่งหนานเจียงที่อวดดีเอาแต่ใจตนเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหนานเจียงอ๋องที่ทรงอำนาจควบคุมดูแลชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนในหนานเจียงแห่งนี้ การกระทำที่ประมาทชะล่าใจอย่างที่ทำลงไปในวันนี้ หากทำให้ราชครูเว่ยโกรธขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นดินแดนที่เพิ่งกลับสู่ความสงบสุขก็อาจตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งสงครามอีกครั้งก็เป็นได้…ครั้นคิดดังนี้องค์หญิงฉี่เคอก็หลั่งเหงื่อเย็นไปทั้งร่างโดยไม่รู้ตัว นางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านราชครูสั่งสอนได้ถูกต้อง ฉี่เคอรู้ตัวว่าผิด มิกล้าฝืนลองดีกับท่านอีกต่อไปแล้ว ขอท่านราชครูได้โปรดยกโทษให้ฉี่เคอและหนานเจียงนี้อีกครั้งด้วย”

เว่ยเหลิ่งเหยาไม่ได้พูดอะไร เพียงดึงมีดสั้นออกมาอย่างช้าๆ พอมองไปที่ลำคอขาวผ่องขององค์หญิงฉี่เคอก็พบว่าได้ทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้แล้ว เนื้อสดที่ปริแยกพร้อมกับโลหิตสีแดงสดที่ไหลออกมา ต่อให้ในภายหน้าจะตกสะเก็ดแต่ย่อมทิ้งรอยแผลเป็นลึกไว้อยู่ดี นี่คือคำเตือนที่เขาทิ้งไว้ให้กับหนานเจียงอ๋องคนใหม่ หากนางยังกล้าทำอะไรที่ไม่ซื่อต่อต้าเว่ยเช่นเดียวกับพี่ชายของนางอีก แผลเป็นนี้จะเป็นจุดที่ทำให้ศีรษะของนางหลุดจากบ่าในภายหน้าอย่างแน่นอน!

หลังจากเก็บมีดสั้นแล้วราชครูเว่ยก็ไม่มองหนานเจียงอ๋องที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงอีกต่อไป เขาหมุนตัวเดินออกจากตำหนักไปอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

พอเขาพลิกตัวขึ้นหลังม้าก็ไม่ได้รีบกลับไปยังค่ายทหาร แต่กลับนำองครักษ์จำนวนหนึ่งมายังบ่อน้ำพุเย็นที่อยู่ใกล้ๆ แล้วกระโดดลงไปทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบชุด

ยาปลุกกำหนัดที่องค์หญิงฉี่เคอใช้เมื่อครู่นี้แท้จริงแล้วมีฤทธิ์รุนแรงยิ่งนัก ในเสี้ยวขณะนั้นเขารู้สึกว่าช่วงท้องน้อยของตนเองแทบจะระเบิดเสียให้ได้ หากไม่ใช่ว่าเขาเคยอดกลั้นเว้นว่างจากรสเสน่หามายาวนานก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีความยับยั้งชั่งใจพอที่จะต้านทานฤทธิ์ของยาได้เช่นนี้

หลังจากแช่ตัวในน้ำเย็นถึงครึ่งชั่วยามเต็มๆ เว่ยเหลิ่งเหยาถึงได้ลุกขึ้นจากน้ำด้วยร่างกายที่เย็นยะเยือกเปียกโชกไปทั้งตัว

“แจ้งกองทัพทั้งหมด คืนนี้ออกเดินทางกลับเมืองหลวง!” เขาพูดกับหลี่ว์อวี้ต๋าที่ยืนเฝ้าอยู่ริมฝั่ง

หากเป็นไปได้เขาก็อยากบินกลับเมืองหลวงในทันทีทันใด แล้วสวมกอดหญิงสาวตัวน้อยที่เขาโหยหาใฝ่ฝันถึงมาเนิ่นนานไว้ในอ้อมแขนให้แนบแน่น พร่ำพลอดกอดรัดปรนเปรอความรักให้นางจนสมใจปรารถนาเสียเหลือเกิน…ดังนั้นการเดินทางกลับครั้งนี้จึงเร่งรุดโดยไม่หยุดพักเลยทั้งวันทั้งคืน

แต่การเดินทางที่หักโหมโดยไม่หยุดพักเลยเช่นนี้ ต่อให้กองทัพธงดำจะแข็งแกร่งปานเหล็กเพียงใดก็ย่อมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนบางคนถึงกับกระอักเลือดออกมาก็มี ทหารทุกนายไม่ล่วงรู้ถึงความทุกข์ในใจของผู้บัญชาการใหญ่ จึงอดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ว่า ที่ท่านราชครูผู้บัญชาการใหญ่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ ใช่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงหรือไม่ จำเป็นต้องให้ท่านราชครูไปปราบปรามให้ได้อย่างนั้นสินะ

ข่าวดีจากแนวหน้าได้พิราบสื่อสารส่งข่าวกลับมายังเมืองหลวงก่อนหน้านี้แล้ว กลุ่มขุนนางที่เดิมทีวางแผนเตรียมตัวไว้สำหรับการทำสงครามอันยืดเยื้อจะไม่ดีใจได้อย่างไรเมื่อได้รับข่าวนี้ หลังจากบรรดาใต้เท้าทั้งหลายของกรมอากรดีดลูกคิดคำนวณกันให้วุ่นแล้วก็พบว่าระยะเวลาการทำสงครามที่หดสั้นลง ทำให้ค่าใช้จ่ายที่ต้องตัดทอนกระเบียดกระเสียรกลับมีงบประมาณเหลือเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ช่วงวันขึ้นปีใหม่ทุกคนก็ไม่ต้องถูกท่านราชครูดุด่าอย่างเจ็บแสบ ไม่ต้องประหยัดอดมื้อกินมื้อ มีเสื้อผ้าชุดใหม่ให้สวมใส่ มีเนื้อสัตว์ให้กินมากขึ้นหน่อย จึงพากันเปล่งเสียงกระหึ่มขึ้นมาในบัดดลว่า “อมิตาภพุทธ”

ขณะที่กลุ่มขุนนางกำลังดีอกดีใจจนเนื้อเต้นอยู่นั้น ซั่นเถี่ยฮวาก็กำลังนั่งเป็นเพื่อนองค์หญิงหย่งอันกับบรรดาจวิ้นจู่กลุ่มหนึ่งซึ่งเข้าวังมาเพื่อเล่นไพ่ปั๋วฮวา กันอยู่ องค์หญิงหย่งอันโชคไม่ดีแพ้ติดต่อกันหลายตา แต่ใบหน้าเล็กๆ ของนางยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนเช่นเคย

ครั้นซั่นเถี่ยฮวานึกถึงคืนที่องค์หญิงหย่งอันสั่งให้นางยก ‘หนังสือบันทึกเกี่ยวกับเรือรบ’ จากหอตำราในวังมาให้ แล้วพลิกอ่านอยู่ทั้งคืนเพื่อค้นคว้าและวาดแผนภาพเรือรบจำลองออกมาจนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ท่านราชครูได้รับชัยชนะแล้ว ซั่นเถี่ยฮวาก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทีละน้อยๆ

ไม่ว่าบรรดาขุนนางคนสำคัญหรือผู้อาวุโสทั้งหลายของราชสำนักส่วนหน้าที่ดีอกดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังพวกนั้นคิดจนศีรษะแทบแตกอย่างไรก็คงคาดเดาไม่ถูกแน่ๆ ว่านักวางแผนชั้นเซียนที่จุดประกายความคิดให้แก่ท่านราชครูจนทำให้ดินแดนจงหยวนคืนสู่ความสงบสุขได้อย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์นั้น กลับเป็นองค์หญิงตัวน้อยที่ดูไร้เดียงสาเกียจคร้านแห่งวังลึกองค์นี้นี่เอง…

เป็นครั้งแรกที่ซั่นเถี่ยฮวาแม่ทัพหญิงแห่งต้าเว่ยรู้สึกเคารพนับถือหญิงสาวอ่อนแอผู้นี้จากใจจริง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: