บทที่ 82
โรงละครแห่งใหม่ที่สร้างให้ไกลจากราชสำนักยังไม่เสร็จดี
หยวนกงกงเห็นแก่หน้าอัครมหาเสนาบดีชิว จึงไม่อาจเชิญคณะงิ้วเข้ามาได้ เลยคิดหาวิธีอื่นเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้แก่องค์หญิงหย่งอัน ไพ่ปั๋วฮวานี้เหมาะสมยิ่งนัก เพียงล้อมวงอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวก็เล่นได้แล้ว ซั่นหมัวมัวยกถาดแตงและผลไม้ที่จัดแต่งอย่างประณีตมารับรองเหล่าจวิ้นจู่ที่เข้าวังมาร่วมเล่นไพ่เป็นเพื่อน
เนื่องจากอาหารการกินในตำหนักเฟิ่งฉูนั้นได้รับการจัดเตรียมพิเศษจากราชครูเว่ย ผลไม้จำนวนมากล้วนส่งมาจากดินแดนโพ้นทะเล แม้บรรดาจวิ้นจู่เหล่านี้จะเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งก็จริง แต่กลับเรียกชื่อผลไม้หลายชนิดนี้ไม่ถูก ก่อนหน้านี้พวกนางหลายคนเคยเห็นองค์หญิงหย่งอันสวมชุดกระโปรงทำจากผ้าต่วนเมฆาที่แสนเลอค่าราคาแพงลิบลิ่วมาก่อน แต่พอได้เข้ามาในตำหนักเฟิ่งฉูนี้แล้วถึงได้ประจักษ์ว่าสิ่งที่องค์หญิงได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอมจริงๆ นั้นช่างเป็นอะไรที่พวกนางไม่อาจจินตนาการถึงได้เลย!
เครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ในตำหนักมีชิ้นใดบ้างเล่าที่มิใช่ของขึ้นชื่อล้ำค่า เตียงหยกซึ่งมีราคาสูงลิ่วเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใครแต่ก็ไม่อาจมีไว้ในครอบครองนั้น ได้ยินองค์หญิงบอกว่ามันเย็นเกินไป ตนเองไม่ค่อยได้ไปนอนนัก กลับกลายเป็นที่นอนของเจ้าแมวขนปุกปุยสัตว์เลี้ยงแสนรักของนางไปแทนเสียนี่! แม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกในอุทยานก็ล้วนแต่เป็นพันธุ์ไม้หายากและมีค่ามาก ล้วนมีชื่อเสียงและราคาแพงยิ่งนัก ทำให้คุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าฐานะขององค์หญิงหย่งอันในวังหลวงแห่งนี้ยังเหนือกว่าฮองเฮาผู้นั้นซึ่งเป็นเพียงไม้ประดับด้วยซ้ำไป แม้ ณ ตอนนี้ราชครูเว่ยจะยังไม่ได้ประกาศการแต่งงานของเขากับองค์หญิงอย่างเป็นทางการ แต่ความเอาใจใส่โปรดปรานเอ็นดูหญิงสาวที่ออกมาจากอารามชีผู้นี้ก็มากล้นจนหาใครเปรียบได้
ดูการแต่งกายอันโดดเด่นขององค์หญิงผู้อ่อนหวานน่ารักน่าทะนุถนอมนั่นปะไร มีสิ่งใดบ้างเล่าที่ไม่กลายเป็นแบบอย่างให้กับเหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงเลียนแบบกัน
แน่นอนว่าพวกเครื่องประดับหรือเครื่องแต่งกายนั้นไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ส่วนใหญ่ล้วนทำจากวัสดุหายากแทบทั้งสิ้น ต่อให้อยากลอกเลียนแบบเพียงใดก็จนปัญญาจริงๆ แต่ความประณีตงดงามที่ปลายนิ้วนั้นต่างหากเล่าที่เลียนแบบได้ง่าย
หลายวันมานี้องค์หญิงหย่งอันว่างเสียจนรู้สึกเบื่อหน่าย จึงไว้เล็บยาวงดงามปานหยกขาว ทุกวันหลังจากแช่เล็บในน้ำกุหลาบผสมกับนมแพะและทาด้วยขี้ผึ้งหอมบำรุงผิวที่สกัดจากดอกกุ้ยแล้ว นางกำนัลผู้มีฝีมือประณีตชำนาญก็จะตกแต่งเล็บด้วยพลอยเนื้ออ่อนชั้นดีชิ้นเล็กชิ้นน้อยเป็นลวดลายดอกโบตั๋นบนแต่ละเล็บ พอแสงแดดส่องมากระทบ ปลายนิ้วเรียวงามทั้งสิบก็เปล่งประกายวิบวับชวนมอง ยามถือไพ่ปั๋วฮวาอยู่ในมือยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก บรรดาคุณหนูสูงศักดิ์กลุ่มนี้เห็นแล้วก็คิดจะทำตามบ้าง และอดไม่ได้ที่จะนึกในใจว่าหากตนเกิดมาเหมือนองค์หญิงหย่งอันบ้างก็คงดี จะได้ลิ้มรสความโปรดปรานที่สตรีทั้งปวงในใต้หล้าพากันอิจฉา
ทว่าความคิดของเนี่ยชิงหลินกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ไพ่กระดาษขลิบทองพวกนี้เลย ในใจนางคิดถึงแต่กระดาษข้อความที่ได้รับมาเมื่อคืนนี้ซึ่งอ่านแล้วทำให้ขนลุกเกรียวเลยทีเดียว…
เมื่อวานนี้พอล่วงเข้ายามราตรีกาล พิราบสื่อสารของราชครูเว่ยได้บินเข้ามาในตำหนักพร้อมกับกระบอกจิ๋วบรรจุกระดาษที่เขียนข้อความไว้ซึ่งปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งผูกติดอยู่ที่เท้าของมัน ถูกส่งมาถึงมือของเนี่ยชิงหลินโดยตรง
เนี่ยชิงหลินคลี่กระดาษออกดู สิ่งที่สะท้อนสู่สายตาเป็นข้อความที่ว่า
‘เจ้าหนีไม่พ้นหรอก สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในอ้อมแขนของข้าอยู่ดี’
แต่หาใช่ตัวอักษรทรงพลังที่คุ้นเคยของเว่ยเหลิ่งเหยาไม่
ครั้นเห็นดังนี้นางก็ขนลุกเกรียวไปทั่วร่างอย่างระงับไม่อยู่…ตัวอักษรพวกนี้นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เหมือนกับกระดาษข้อสอบในการสอบหน้าพระที่นั่งในปีนั้นไม่มีผิด…เก๋อชิงหย่วน?
เนี่ยชิงหลินโยนกระดาษข้อความในมือลงพื้นราวกับสัมผัสถูกงูพิษ ก่อนจะขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบกระบอกจิ๋วบรรจุข้อความที่ปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งขึ้นมาดูอีกที เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่าผนึกขี้ผึ้งบนนั้นไม่เรียบลื่น ดูเหมือนว่าถูกคนเปิดออกแล้วค่อยปิดผนึกเข้าไปใหม่อีกครั้ง
หลังจากไตร่ตรองดูเนี่ยชิงหลินก็เข้าใจทันที นี่ต้องเป็นพิราบสื่อสารของต้าเว่ยที่ปล่อยออกมาแล้วถูกเก๋อชิงหย่วนดักจับไว้เป็นแน่ พอเปลี่ยนข้อความข้างในแล้วก็ปล่อยมันออกมาใหม่ กระดาษข้อความที่ชวนให้คนขนลุกนี้จึงได้ส่งมาถึงมือนางอย่างราบรื่น
ความน่ากลัวของชายผู้นี้แตกต่างจากเว่ยเหลิ่งเหยาผู้เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานและคมเขี้ยวที่เผยออกมาอย่างชัดเจน เก๋อชิงหย่วนเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ไม่หยุดเรียนรู้และเติบโตก้าวหน้าอยู่เสมอ หลังจากเผชิญความวุ่นวายในเมืองหลวงและหนานเจียงมา จิตใจของเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นใจดำอำมหิตเพียงใดแล้วนั้นผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้…
เก๋อชิงหย่วน ท่านจะทำอะไรกันแน่
ม้าสิบกว่าตัวกำลังวิ่งเหยาะๆ ไปบนถนนเล็กที่คดเคี้ยวไปมาตามภูเขา ดูจากท่าทางที่ผ่อนคลายสบายๆ เช่นนั้นแล้ว เหมือนกับเด็กหนุ่มสาวจากครอบครัวมีอันจะกินที่ออกเดินทางท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งขี่ม้าคนละตัวไปด้วยกัน หญิงสาวปกปิดร่างกายทั่วร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำ ส่วนชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาลุ่มลึกมองทอดมองไปไกล เงียบงันอยู่เนิ่นนานโดยไม่เอ่ยคำใด
ผ่านไปสักพักหญิงสาวก็หันมามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ พลางขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย ความเร็วของพวกเราเชื่องช้าเกินไปแล้วนะ นี่สิบกว่าวันแล้วยังไม่ถึงชายแดนเลย แล้วอย่างนี้จะไปแก้แค้นได้อย่างไรกัน ควรเร่งฝีเท้าม้าเข้าไปในเป่ยเจียงให้เร็วกว่านี้นะเจ้าคะ จะได้เข้าร่วมกับฉานอวี๋ของซยงหนู แล้วจัดการสับร่างราชครูเว่ยกับองค์หญิงหย่งอันนั่นให้แหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อกับญาติพี่น้องที่ตายอย่างน่าอนาถเสียที” คำพูดตอนท้ายกัดฟันกรอดเอ่ย สีหน้าแววตาเคียดแค้นจนดูน่ากลัว
เมื่อไม่กี่วันก่อนคนของพี่ชายวางตาข่ายดักสัตว์เอาไว้และดักพิราบสื่อสารได้ตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสารรักที่ติ้งกั๋วโหวเขียนถึงองค์หญิงหย่งอันไปเสียได้! ทำเอาพี่ชายที่มักไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มาโดยตลอดไม่ว่าโกรธหรือดีใจถึงกับบีบถ้วยน้ำที่ถืออยู่ในมือจนแตกละเอียดเลยทีเดียว
องค์หญิงหย่งอันมีอะไรดีนักนะ อีกฝ่ายอาศัยอะไรถึงทำให้บุรุษที่โดดเด่นสองคนอย่างพี่ชายของนางกับเว่ยเหลิ่งเหยาหลงใหลอย่างหัวปักหัวปำถึงเพียงนี้ได้ นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สมควรตาย!
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์ในตอนนี้อุปนิสัยไม่เหลือเค้าลางของคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากตระกูลสูงศักดิ์เลื่องชื่อในกาลก่อนอีกต่อไปแล้ว เมื่อพี่ชายของนางสั่งให้นางปรนนิบัติรับใช้หนานเจียงอ๋อง แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อคิดว่าตนเองก็ไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์อะไร ความบริสุทธิ์ของนางถูกทำลายไปแล้ว หากพี่ชายของนางสามารถสนับสนุนหนานเจียงอ๋องให้มีอำนาจได้ เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นชายาหนานเจียงอ๋อง หวนกลับสู่เมืองหลวงที่นำความอัปยศอดสูมาให้นางอย่างไม่สิ้นสุด สามารถล้างแค้นให้กับความอับอายและเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าองค์หญิงหย่งอันได้อีกครั้ง ครั้นคิดดังนี้จึงยอมทำตามคำสั่งของพี่ชาย หลังจากไปฝึกปรือท่วงท่าการใช้เสน่ห์ยั่วยวนมัดใจบุรุษกับหญิงคณิกาที่มีชื่อเสียงนางหนึ่งของหอคณิกาแล้ว นางก็กลายเป็นอนุคนโปรดของหนานเจียงอ๋อง
ในช่วงเวลาที่อยู่กับหนานเจียงอ๋องนั้น ด้วยความที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานวัน นางจึงเกิดความรู้สึกผูกพันหลงรักหนานเจียงอ๋องที่หน้าตานับว่าหล่อเหลาขึ้นมาจริงๆ น่าเสียดายที่ความรักครั้งนี้ต้องพังลงไปพร้อมกับการสู้รบอย่างดุเดือดในศึกดงต้นกกครั้งนั้น
‘ผู้ที่สามารถขับไล่ทหารต้าเว่ยได้ อ๋องอย่างข้าจะแบ่งปันอนุให้อีกด้วย!’ เสียงตะโกนลั่นนี้ถึงแม้จะอยู่ไกลออกไป แต่ก็ยังดังไปถึงหูของเก๋ออวิ๋นเอ๋อร์เข้าจนได้ ในเสี้ยวขณะนั้นความอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจนางพลันเหือดหายไปโดยสิ้นเชิง ที่แท้…ในสายตาของหนานเจียงอ๋องที่ดูเหมือนรักใคร่โปรดปรานนางปานจะกลืนกินนั้น สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นสตรีที่ถูกทอดทิ้งและแบ่งปันได้อยู่ดี
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์รู้สึกเพียงความเคียดแค้นชิงชังในใจนาง
ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าอีกตัวไม่ได้มองผู้เป็นน้องสาว แต่กลับมองไปยังเส้นทางบนภูเขาที่เงียบสงบไกลออกไปและพูดอย่างเนิบนาบว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าสับสนว้าวุ่นใจไปใหญ่แล้ว ความเร่งรีบนำไปสู่ความสูญเปล่า ยิ่งช่วงเวลาสำคัญยิ่งต้องใจเย็นเท่านั้น ที่ผิดพลาดครั้งนี้เป็นเพราะเร่งรีบเกินไป พวกเราอยู่ในช่วงยากลำบาก ผู้อื่นจะมาใส่ใจให้ความสำคัญกับพวกเราได้อย่างไร พวกเรามาถึงหนานเจียง ไม่ว่าคนหรือสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคยทั้งสิ้น ต่อให้มีกลอุบายอันชาญฉลาดต่างๆ นานาก็ยากที่จะสำแดงฝีมือได้ หลายวันก่อนหน้านี้หนานเจียงอ๋องทำศึกชี้ชะตากับราชครูเว่ย ข้ามองออกแต่แรกแล้วว่าราชครูเว่ยมีกลลวง หากข้าสามารถบัญชาการกองทัพหนานเจียงได้ล่ะก็ แม้จะไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าชนะ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางให้ราชครูเว่ยได้เปรียบมากเกินไปนัก น่าเสียดาย หนานเจียงอ๋องที่หัวแข็งดื้อรั้นผู้นั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นพวก ‘อาโต่วที่หนุนไม่ขึ้น’ ไปเสียนี่…
ตอนนี้หนานเจียงก็มาพ่ายแพ้ไปอีก พวกเราเหลือเป่ยเจียงเพียงเส้นทางเดียวแล้ว หากไม่วางแผนเตรียมการให้เหมาะสมรอบคอบเต็มที่ พอไปถึงก็เป็นได้เพียงที่ปรึกษาให้กับพวกซยงหนูเท่านั้นเอง ต่อให้เป่ยเจียงเรืองอำนาจขึ้นมาแล้วจะไปมีประโยชน์อะไรต่อพวกเราทั้งคู่เล่า ดังนั้นครั้งนี้…พวกเราต้องหาวิธีปักหลักในเป่ยเจียงให้จงได้ จะว่าไปแล้วตอนนี้ข้ากลับอยากให้สงครามชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าโจรเว่ยเอาชนะพวกซยงหนูสักสองสามครั้งก่อน ให้เป่ยเจียงวุ่นวายสักหน พวกเราถึงจะสบโอกาสที่ดีขึ้น”
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์รู้ว่าที่พี่ชายพูดมานั้นสมเหตุสมผล แต่เมื่อคิดถึงรูปโฉมอันหล่อเหลางดงามปานเทพเซียนของราชครูเว่ยกับองค์หญิงหย่งอันที่ทั้งคู่ร่วมอภิรมย์กันในห้องขึ้นมาทีไร ความเคียดแค้นชิงชังก็ยังคงกัดกินใจของนางอยู่มิรู้วาย ทำเอาเจ็บปวดเจียนตายอึดอัดหายใจแทบไม่ออกเลยทีเดียว คนที่ทำให้นางต้องประสบชะตากรรมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มิใช่คู่รักที่เทพเซียนอุ้มสมสองคนนั้นหรอกหรือ ช่างน่าแค้นใจจนนางอยากบั่นศีรษะของสองคนนั่นมาไว้ข้างเตียงเพื่อที่ทุกวันยามที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาจะได้เห็นเป็นคนแรกให้สะใจเสียจริง…
คนที่ขี่ม้าตามมาด้านหลังสิบกว่าคนคือคนสนิทของเก๋อชิงหย่วน พวกเขาล้วนได้รับการช่วยเหลือจากเก๋อชิงหย่วนในช่วงเวลาที่ตกทุกข์ได้ยาก ทุกคนผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด มีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง พวกเขาติดตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ส่วนในรถม้ามีแท่งเหล็กชั้นดีและทองคำอัญมณีล้ำค่าที่เก๋อชิงหย่วนสะสมไว้อย่างลับๆ มาตั้งนานแล้ว
ในวันนี้เก๋อชิงหย่วนและน้องสาวพร้อมกับผู้ติดตามสิบกว่าคนเดินทางมาจนถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่สดเขียวขจีทอดยาวออกไปไกลจนสุดสายตา เพิ่งเหยียบย่างเข้ามาถึงดินแดนแห่งทุ่งหญ้าได้เพียงครึ่งวัน จู่ๆ ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “นายท่านขอรับ มีพวกชาวหมานอี๋ของเป่ยเจียงอยู่ไกลออกไปขอรับ”
เก๋อชิงหย่วนหยุดม้าและเงยหน้าเพ่งมองออกไปไกลๆ แต่นอกจากหญ้าเขียวแล้วก็ไม่เห็นมีสิ่งอื่นใด
เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นว่า “ไม่เห็นมีใครเลยนี่” นางหันกลับไปมองผู้ติดตามคนสนิทผู้นั้นด้วยสายตาสงสัยปราดหนึ่ง ผู้ติดตามผู้นั้นชื่อเก๋อจง ดวงตาของเขาราวกับคบเพลิง ส่องแสงทอประกายออกมา นั่งลำตัวตรงอยู่บนหลังม้า สายตาเพียงจดจ้องไปยังสถานที่ที่ไกลโพ้นออกไปหลายหลี่โดยไม่ตอบคำพูดของเก๋ออวิ๋นเอ๋อร์
เก๋อชิงหย่วนเองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองไปยังเส้นขอบฟ้าอันห่างไกลอยู่ตลอด
ผ่านไปสักพักก็เห็นจุดดำเล็กๆ ปรากฏขึ้นแต่ไกลจนได้ เก๋อชิงหย่วนหันกลับมาถามว่า “บอกได้หรือไม่ว่าพวกนั้นเป็นพวกใด”
เก๋อจงเขม้นตามองอีกครั้ง ก่อนจะตอบอย่างนอบน้อม “มีเจ็ดคนขี่ม้าสะพายธนูไว้ที่หลังถือดาบโค้ง น่าจะเป็นทหารหมานอี๋ของเป่ยเจียงที่ซุ่มปลอมตัวเป็นโจรตามในรายงานของทางการต้าเว่ย มักออกปล้นผู้คนขอรับ”
เก๋อชิงหย่วนคิดๆ แล้วก็ปรบมือพลางพูดระคนยิ้ม “เพิ่งมาถึงเป่ยเจียงโอกาสก็มาเยือนเองแล้ว ดูเหมือนในที่สุดคราวเคราะห์ของข้าก็หมดลงเสียที ตอนนี้โชคดีมาเยือนข้าแล้ว” พูดจบก็หันไปกำชับว่า “ประเดี๋ยวตอนประมือกันให้จับเป็นพวกเขาไว้ ห้ามทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิตเป็นอันขาด”
เงาร่างที่อยู่ไกลออกไปก็มองเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน ความเร็วพลันเพิ่มขึ้นทันที ในไม่ช้าก็เข้ามาใกล้ พวก ‘โจร’ เหล่านี้แต่ละคนสวมเสื้อคลุมหนังหมาป่าเฉียงพาดบ่าข้างหนึ่งเปลือยบ่าข้างหนึ่ง พวกเขาคงมองอีกฝ่ายว่าเป็นแกะอ้วนพี จึงทั้งร้องตะโกนเสียงดังพลางพุ่งเข้ามา ผู้ติดตามของเก๋อชิงหย่วนเจ็ดคนรีบกระโจนออกไปปะทะสกัดพวกเขาไว้แล้วแบ่งสู้กันตัวต่อตัว ผู้ติดตามเหล่านี้เก๋อชิงหย่วนล้วนเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี เชี่ยวชาญทั้งการใช้ธนูและขี่ม้า ไหนเลยที่โจรเถื่อนไม่กี่คนพวกนี้จะเป็นคู่ต่อกรด้วยได้ เพียงไม่กี่กระบวนท่าพวกโจรก็ถูกโจมตีจนร่วงตกจากหลังม้าจุกจนลุกไม่ขึ้น
ตอนที่เก๋อชิงหย่วนหนีออกจากเมืองหลวงนั้น เขาพาผู้ติดตามฝีมือดีไปด้วย กลุ่มผู้ติดตามเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีความสามารถ เชี่ยวชาญภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่ ผู้ติดตามคนสนิทคนหนึ่งได้สอบสวน ‘โจร’ ทีละคนอย่างละเอียดและกลับมารายงานว่า “นายท่านขอรับ คนพวกนี้มาจากชนเผ่าโม่เอ่อร์ฮาซึ่งเป็นหนึ่งในสามชนเผ่าใหญ่ของเป่ยเจียง พวกเขาไม่พอใจที่ซิวถูหงได้ทั้งคนและทรัพย์สินไปครอบครอง จึงมักส่งคนออกมาชิงปล้นในช่วงนี้ขอรับ” เก๋อชิงหย่วนได้ฟังก็รีบสั่งให้โจรไม่กี่คนนี้นำทางไปยังชนเผ่าโม่เอ่อร์ฮาทันที พวกโจรทั้งหลายพอรู้ว่ายังมีโอกาสรอดชีวิตก็เต็มใจนำทางด้วยความลิงโลด
เก๋อชิงหย่วนเดินตามหลังพวกเขา มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจ ดูไปแล้วไม่มีท่าทางของคนที่ร่อนเร่ระหกระเหินหรืออับจนหนทางเลยสักนิด เขาซุ่มซ่อนตัวมาหลายปี บากบั่นวางแผนอย่างรอบคอบและได้วางสายลับไว้ทั้งในเมืองหลวง หนานเจียง และเป่ยเจียง ส่งผลให้เขารู้เรื่องราวของเป่ยเจียงแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง ชนเผ่าโม่เอ่อร์ฮาเป็นหนึ่งในสามชนเผ่าใหญ่ของเป่ยเจียง โดยมีซิวถูอวี่บุตรชายคนโตของฉานอวี๋ผู้เฒ่าเป็นผู้นำเผ่า หลังการตายของฉานอวี๋ผู้เฒ่า ซิวถูอวี่พ่ายแพ้ในการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งฉานอวี๋ผู้นำคนใหม่ของเป่ยเจียงให้กับซิวถูเลี่ยน้องชายของเขา ต้องออกจากกระโจมอ๋องกลับไปปักหลักยังถิ่นฐานของชนเผ่าอย่างน่าสมเพชเวทนา ซิวถูเลี่ยแสดงออกถึง ‘ความผูกพันระหว่างพี่น้อง’ หลังจากขึ้นครองบัลลังก์ก็ไม่เคยลืมพี่ชายคนโตของเขาผู้นี้ จึงได้ส่งกองทัพใหญ่ไปเชิญซิวถูอวี่กลับมายังกระโจมอ๋องเพื่อรื้อฟื้นมิตรภาพระหว่างพวกเขา ซิวถูอวี่ตกอยู่ในสภาวะจำยอม จำต้องพาชนเผ่าของตนละทิ้งถิ่นฐานเดิมเร่ร่อนไปบนทุ่งหญ้าเพื่อหลบหนีการไล่ล่าจากทหารของซิวถูเลี่ย…
ไม่นึกเลยว่าเพียงก้าวเข้าสู่ทุ่งหญ้าก็ได้พบกับของขวัญล้ำค่าที่สวรรค์ประทานให้แก่ข้า! แววตาที่ลุ่มลึกของเก๋อชิงหย่วนเปล่งประกายแปลกประหลาดออกมา คิดดูแล้วหญิงงามของตำหนักเฟิ่งฉูคงได้รับสารที่เขียนด้วยลายมือของข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าคืนนี้นางจะนอนหลับอย่างเป็นสุขได้หรือไม่
กองทัพใหญ่ของราชครูเว่ยจะมาถึงเมืองหลวงในอีกสองวันข้างหน้า เจ้าหน้าที่กรมพิธีการก็ได้เริ่มเตรียมงานพิธีการตกรางวัลแก่ทหารอย่างเอิกเกริกแล้ว การยกทัพไปปราบศึกหนานเจียงครั้งนี้สร้างความสะเทือนเลือนลั่นมหาศาล การปิดฉากสงครามด้วยชัยชนะที่งดงามและรวดเร็วนี้เหนือความคาดหมายของคนจำนวนมากที่เคยคัดค้านการบุกทางใต้ยิ่งนัก ทำให้ชื่อเสียงของราชครูเว่ยยิ่งขจรขจายเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ขุนนางผู้ภักดีต่อต้าเว่ยถึงขั้นนอนหลับไม่เป็นสุขทั้งกลางวันกลางคืนกันเลยทีเดียว เพราะกังวลว่าเมื่อราชครูเว่ยกลับมาในครั้งนี้เขาจะฉวยโอกาสช่วงที่กำลังได้เปรียบนี้โค่นล้มฮ่องเต้และสถาปนาตนเองขึ้นแทน
แต่สำหรับชิวหมิงเยี่ยนนั้นเขากลับรู้สึกว่าท่านราชครูเว่ยผู้เฉลียวฉลาดสมควรทำเช่นนี้ พอนึกถึงว่าทันทีที่ท่านราชครูกลับมาถึงเมืองหลวงและสามารถผลักเรือตามน้ำได้อย่างชอบธรรมสมเหตุสมผลทีไร ใบหน้าที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกอยู่เป็นนิจของใต้เท้าชิวก็อดเผยแววยินดีปรีดาไม่ได้ทุกทีไป
แม้แต่บรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของโลกภายนอกซึ่งกำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ก็ยังถกกันถึงเรื่องพิธีการตกรางวัลแก่ทหาร พวกนางพูดคุยกันว่าในวันนั้นที่บ้านของตนได้เช่าหน้าต่างของร้านที่ใกล้ถนนร้านใดไว้บ้าง จะได้มองเห็นความองอาจสง่างามของเหล่าทหารหาญผู้กลับมาพร้อมกับชัยชนะได้ถนัดถนี่โดยไม่ต้องไปเบียดเสียดกับฝูงชน และตนควรสวมใส่ชุดกระโปรงแบบใดที่พอยืนตรงหน้าต่างแล้วจะได้ดูโดดเด่นที่สุด…
เนี่ยชิงหลินเล่นไพ่ปั๋วฮวามาสักพักหนึ่งแล้วก็ออกจะเบื่อเหนื่อยอยู่สักหน่อย ครั้นบรรดาหญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายเห็นว่าองค์หญิงหมดสนุกแล้วก็พากันลุกขึ้นขอตัวกลับกันไปอย่างรู้กาลเทศะ พอองค์หญิงส่งสหายตัวน้อยกลุ่มหนึ่งออกไปแล้วจึงเดินกลับไปยังห้องชั้นในของตำหนักเฟิ่งฉู
ไม่รู้เพราะเหตุใด พอคิดว่าคนผู้นั้นจะกลับมาในอีกสองวัน ในใจของนางกลับสับสนว้าวุ่นอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นกระดาษข้อความที่แฝงไว้ด้วยเจตนาร้ายซึ่งส่งมาถึงมือโดยไม่ทันตั้งตัวนั่นก็ยิ่งทำให้จิตใจนางยากที่จะปลอดโปร่งขึ้นไปอีก
หลังจากชำระกายเสร็จนางก็ทาขี้ผึ้งหอมเพื่อชโลมผิวให้ชุ่มชื้น สางผมยาวสลวยแล้วปล่อยให้คลอเคลียไปตามไหล่ จากนั้นก็สั่งให้ซั่นหมัวมัวเผาไม้กฤษณาในเตาเครื่องหอมเพื่อช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย ก่อนจะสะลึมสะลือเอนกายลงบนเตียง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ความง่วงงุนเริ่มคืบคลานเข้ามา กลิ่นกายบุรุษที่แตกต่างไปจากกลิ่นไม้กฤษณาก็ลอยเข้ามาในจมูกของนาง…
เนี่ยชิงหลินสะดุ้งวาบพลันตื่นตัวขึ้นมาทันที กระดาษข้อความที่ได้อ่านเมื่อวานนี้ผุดขึ้นมาในหัว ใช่หรือไม่ว่า…
เมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งมาสัมผัสที่ตัว เนี่ยชิงหลินก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เล็บยาวที่ไว้เมื่อเร็วๆ นี้มีประโยชน์มากเลยทีเดียว นางข่วนเข้าไปที่ใบหน้าของผู้บุกรุกอย่างแรง พร้อมตะโกนเสียงดังลั่น “ซั่นหมัวมัว ช่วยด้วย!”
ซั่นหมัวมัวที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องข้างได้ยินเสียงผิดปกติจากห้องชั้นในก็พุ่งตัวเข้ามาทันที
ชั่วขณะนั้นเองห้องชั้นในพลันสว่างไสวไปด้วยโคมไฟที่ข้ารับใช้ถือเข้ามา
เห็นเพียง ‘เจ้าโจรบ้ากาม’ ผู้หนึ่งในชุดทหารถูกจับได้ขณะกระทำความผิดฐานบังคับขืนใจคาหนังคาเขาบนเตียงขององค์หญิง ทั้งที่ใบหน้าอันหล่อเหลาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ จากการรบราฆ่าฟันในการสู้รบที่หนานเจียงแล้วแท้ๆ แต่ต้องมาได้รับบาดเจ็บอีกครั้งบนเตียงของสาวงามจนมองเห็นรอยข่วนที่มีเลือดซิบหลายรอยได้อย่างชัดเจนเสียนี่
นัยน์ตาหงส์ทรงเสน่ห์คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมองดูข้ารับใช้ในวังที่บุกเข้ามาก็ตวาดด้วยเสียงต่ำเย็นชาออกมา “ออกไปจากที่นี่ให้หมด!”
ซั่นหมัวมัวเหลือบมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของราชครูเว่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ สลับกับมององค์หญิงตัวน้อยที่ดูเหมือนจะตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่สักหน่อยอีกครั้ง ก่อนจะนำข้ารับใช้ถอยกรูดออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับ พร้อมกับปิดประตูตำหนักอย่างแน่นหนา
หากนับดูแล้วก็เป็นเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้พบหน้ากัน ราชครูเว่ยมิใช่คนที่จะเสียเวลาละเมอเพ้อพกกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาแต่ไหนแต่ไร แต่เขากลับจินตนาการถึงฉากที่พวกเขาทั้งสองได้พบกันนับครั้งไม่ถ้วนขณะที่อยู่บนหลังม้าเร่งรุดเดินทางกลับมาทั้งวันทั้งคืน
เมื่อคิดถึงช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นทีไร ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งปวงก็หายไปในทันที สุดท้ายจึงตัดสินใจลอบออกจากกองทัพใหญ่นำคนสนิทของเขาเดินทางกลับเมืองหลวงก่อนล่วงหน้าสองวันเสียเลย
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ส่งสารบอกกั่วเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะล่วงหน้ากลับมาก่อน ขอให้นางโปรดอดใจรอเพื่อใช้เวลาร่วมกันบรรเทาความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอก แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากว่าจะมาถึงตำหนักเฟิ่งฉูได้ก็ลำบากยากเย็น กั่วเอ๋อร์น้อยกลับยกมือขึ้นข่วนหน้าเขาอย่างแรงเสียนี่
หรือว่า…นางไม่คิดถึงเขาเลยสักนิดใช่หรือไม่
เนี่ยชิงหลินมองดูแววตาของราชครูเว่ยที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสือร้ายก็รู้สึกงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พอมองที่ปลายนิ้วของตนเองก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทาโค่วตัน* แล้วเพราะมันมีสีแดงเรื่อๆ เป็นจุดเล็กๆ กระจายอยู่ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างหมอนขึ้นมา แล้วเดินไปเช็ดเลือดบนใบหน้าของราชครูเว่ยพร้อมบ่นอุบว่า “ท่านราชครูชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อยเลย มาถึงเตียงกลางดึกเช่นนี้จะไม่ให้ข้าเข้าใจผิดได้อย่างไรเล่า”
เว่ยเหลิ่งเหยาแค่นเสียงฮึเสียงหนึ่งแล้วจับแขนนางเบาๆ ก่อนดึงคนร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้นที่คิดถึงมาตลอดหลายวันหลายคืนเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก “นอกจากกระหม่อมแล้วจะมีผู้ใดสามารถขึ้นเตียงขององค์หญิงได้อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เจอตั้งหลายเดือน พระหัตถ์เรียวขององค์หญิงช่างร้ายกาจถึงเพียงนี้ นี่ไปเรียนวิชาป้องกันตัวมาจากแม่ทัพซั่นหรือ ประเดี๋ยวต้องใช้เชือกมัดไว้ให้แน่นๆ สักหน่อยเสียแล้ว…”
เนี่ยชิงหลินถูกรั้งตัวเข้าไปแนบชิดกับแผ่นอกกว้างแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ในใจนางพลันรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองดูบุรุษผู้เก่งกาจสง่างามผู้นี้ซึ่งไม่ได้เจอมานาน นอกจากรอยแผลสดใหม่สองสามรอยแล้ว ใบหน้าของเขายังคงงดงามดุจภาพวาดเช่นเคย ดวงตาหงส์ของเขาทอประกายวาววามเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก ปลายจมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางที่เม้มแน่นกลับเชิญชวนให้คนอยากทำอะไรบางอย่างกับมัน
ยังไม่ทันได้คิดอะไรให้กระจ่าง ริมฝีปากบางนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว ค่อยๆ ทาบทับลงบนริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบาราวกับทะนุถนอมของล้ำค่าที่เปราะบางก็ไม่ปาน หลังจากจูบเบาๆ ไปไม่กี่ทีก็กลายเป็นการจูบอย่างดูดดื่มถวิลหาลึกซึ้ง เนี่ยชิงหลินถูกรุกเร้าอย่างหนักหน่วงจนต้องเปิดริมฝีปากรับแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญผู้นี้ในยามค่ำคืน ริมฝีปากและเรียวลิ้นอันร้อนระอุดุจอสรพิษที่โผล่ออกมาจากถ้ำ ฉกกระหวัดรัดรึงลิ้นของนางไว้แน่นหนา เกิดการต่อสู้และแลกสัมผัสที่เร่าร้อนระหว่างกัน จนเนี่ยชิงหลินรู้สึกเพียงว่าเลือดในกายพลุ่งพล่านไปตามการหยอกเย้าของปลายลิ้นที่พัวพันกันอย่างรุกเร้าเร่าร้อน
กลิ่นชะมดเชียงอันเข้มข้นของบุรุษขับไล่กลิ่นไม้กฤษณาที่ชวนง่วงนอนในห้องให้ปลาสนาการไปสิ้น กระตุ้นเร้าความปรารถนาที่ถูกกดไว้อย่างเนิ่นนานของกันและกันออกมา
บทที่ 83
ไข่มุกมังกรถูกจูบจนแทบหายใจไม่ออก แต่ถึงจะมึนงงนางก็ไม่อาจผลักไสชายหนุ่มผู้กอดรัดนางอย่างแน่นหนาผู้นี้ออกไปได้ ไออุ่นที่แผ่ซ่านมาจากแผ่นอกของเขาทั้งคุ้นเคยและแฝงด้วยความแปลกใหม่ ล้วนยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เว่ยเหลิ่งเหยาได้กลับมาจากสนามรบแล้วจริงๆ
หลังจากการตะโบมจูบอย่างโหยหาดูดดื่มลึกซึ้งผ่านไป ชายหนุ่มก็จุดโคมไฟข้างเตียงให้สว่างขึ้น มองความงามที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างตะกละตะกลาม แสงจากโคมไฟไหวระริกทอดเงานุ่มนวลบนผิวเนียนละมุนของดรุณีน้อย ยิ่งขับเน้นความงดงามของคิ้วเรียวงามได้รูปและดวงตากลมโตของนางให้งดงามเจิดจ้าขึ้นไปอีก ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า ‘หญิงสาวในวัยกำดัดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก’ กั่วเอ๋อร์ของเขาช่างงดงามจับตาหาใดเปรียบจริงๆ เรือนผมดำขลับขับให้ใบหน้าเล็กของนางน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก แม้แต่ติ่งหูกลมมนที่ซ่อนอยู่ในเรือนผมก็ยังดูราวกับไข่มุกที่เพิ่งหลุดออกจากเปลือกหอย ชวนให้คนเห็นแล้วอยากขบเม้มไว้ในปากไม่อยากคายออกมาเลยทีเดียว
ราชครูเว่ยคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เขาปลดชุดทหารที่สวมอยู่ออกในเสี้ยวอึดใจแล้วโยนลงไปกองที่พื้นพลางเอ่ย “กระหม่อมเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้มาพบองค์หญิงให้เร็วขึ้น ขอองค์หญิงทรงปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกเพื่อปลอบประโลมกระหม่อมให้คลายทุกข์จากความคะนึงหาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เนี่ยชิงหลินรู้สึกประหม่าไปทั้งตัวจากสายตาร้อนแรงแผดเผาของเขาที่จ้องมองมา คำพูดรวมถึงการกระทำต่อจากนั้นของท่านราชครูยิ่งทำให้นางเขินอายมากจนใบหูร้อนผ่าวไปหมด จึงเปิดริมฝีปากแดงสดขึ้นน้อยๆ พูดอย่างขวยเขินว่า “ท่านราชครูไยถึงได้อุกอาจรุ่มร่ามลอบเข้ามาในตำหนักเช่นนี้ นี่คือมาทวงรางวัลความดีความชอบอย่างนั้นหรือ”
ราชครูเว่ยกลับมาที่เตียงอีกครั้งแล้วเอื้อมมือไปที่ชุดขององค์หญิง “ไม่ใช่มารับรางวัลความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นกระหม่อมมาขอรับโทษที่ทำศึกไม่ราบรื่นล่าช้า ทำให้ยืดเยื้อเสียเวลาไปพอควร ทำให้พระแท่นบรรทมขององค์หญิงเหน็บหนาวอ้างว้าง วันนี้ก็เลยจะทำให้มันอุ่นขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ…”
เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ห่างกันบ้างยิ่งทำให้ความรักหวานชื่น’ หลังจากเก็บกดมานานราชครูเว่ยประหนึ่งหวนกลับไปสู่วัยหนุ่มเลือดร้อนอีกครั้ง การไร้พ่ายในสมรภูมิรบอย่างต่อเนื่องย่อมทำให้เขาฮึกเหิมสะใจอย่างแน่นอน แต่เมื่อเทียบกับการได้อิงแอบไออุ่นภายใต้ม่านไหมบนเตียงเชยชมนวลเนื้อให้สมอุราในยามนี้แล้ว การไร้พ่ายนั่นกลับดูไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เจ้ากั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้ดูไม่มีความก้าวหน้าขึ้นเลยสักนิด หลังจากที่ห่างกันไปนานหลายเดือนนางก็กลับมาขี้อายและไร้เดียงสาเหมือนเพิ่งเคยเข้าหอครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเล็กแดงก่ำ หลับตาปี๋ เอาแต่ขบเม้มปลายนิ้วเรียวของตนเองด้วยความลนลาน ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจโดยไม่ขัดขืน
แต่ความไร้เดียงสานี้กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งกว่ายาปลุกกำหนัดเย้ายวนที่มีฤทธิ์รุนแรงเสียอีก ทำให้ท่านราชครูเว่ยถึงกับหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว!
กั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้มิได้ต้องลมฝนหยาดวสันต์มาเป็นเวลานาน จึงอ่อนไหวต่อการรุกเร้าเป็นพิเศษ หลังจากบทรักอันเร่าร้อนผ่านไปฉากหนึ่ง เตียงนอนก็ไม่เหมาะแก่การนอนอีกต่อไป ตอนที่ซั่นหมัวมัวถูกเรียกให้เข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดเตียงนั้น องค์หญิงก็ถูกราชครูเว่ยอุ้มไปที่ตั่งนุ่มในห้องตำราที่อยู่ติดกันแล้ว
เตียงใหญ่ที่เห็นนั้นราวกับสนามรบที่เพิ่งผ่านศึกหนักมา มันยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่ม่านข้างเตียงก็ถูกดึงทึ้งจนเหมือนแหจับปลาที่ขาด ผ้าปูเตียงก็เปียกแฉะไปทั้งแถบ
ซั่นหมัวมัวเห็นแล้วไม่แปลกใจเลยสักนิด ไม่เหมือนกับนางกำนัลน้อยสองคนที่อยู่ด้านหลังนั่นที่เห็นแล้วหน้าแดงก่ำใจเต้นรัว นางแค่ขมวดคิ้วและคิดในใจว่า พรุ่งนี้ต้องให้ห้องเครื่องเตรียมอาหารบำรุงและให้ความอบอุ่นต่อร่างกายสำหรับองค์หญิงให้มากหน่อยแล้ว ท่านราชครูโลดโผนถึงเพียงนั้น พระวรกายขององค์หญิงที่บอบบางอ่อนแอเช่นนั้นจะทนได้อย่างไรกันล่ะนี่
ราชครูเว่ยที่อยู่ในห้องตำราหารู้ไม่ว่าแม่ทัพหญิงค่อนขอดเขาอยู่ในใจ เขากำลังเพลิดเพลินกับการมองมือเล็กๆ คู่นั้นที่ข่วนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจนเป็นรอยอยู่
เล็บขาวกระจ่างนั้นได้รับการดูแลรักษาอย่างงดงามจริงๆ ถึงแม้ไม่ได้ทาโค่วตัน แต่ก็ประดับด้วยพลอยเนื้ออ่อนชั้นดีอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ความรักในความงามขององค์หญิงน้อยไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เมื่อครู่เขาได้มองหน้าตนเองในคันฉ่อง รอยข่วนบนใบหน้าเริ่มแดงและบวมขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันพิธีมอบรางวัลแก่ทหารจะหายทันหรือไม่ หากเป็นคนอื่นที่ก่อเหตุรุนแรงเช่นนี้คงจะโดนโทษหนักให้ตัดมือทิ้งไปแล้ว! แต่พอเห็นนิ้วมือขาวราวกับหยกเนียนละเอียดนี้ทีไร เขากลับอยากยกขึ้นมาแตะริมฝีปากและจุมพิตเบาๆ ด้วยความทะนุถนอมทุกทีไป
“ไว้เล็บเสียยาวถึงเพียงนี้ พักนี้องค์หญิงทรงไม่ได้ร่วมประชุมราชสำนักเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเว่ยมองจนหนำใจแล้วก็พลันถามขึ้น
เนี่ยชิงหลินอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรงแล้วในเวลานี้ แต่ราชครูเว่ยยังอุตส่าห์สั่งให้คนไปเตรียมผ้าอุ่นๆ มาเพื่อจะเช็ดตัวให้นางก่อนถึงค่อยให้นางนอนได้ พอได้ยินราชครูเว่ยถามขึ้นมาเช่นนี้ นางก็ตอบอย่างงัวเงียว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเก่งกาจ ไม่จำเป็นต้องให้ข้ากังวล…” พูดจบก็พลิกตัวให้แล้วผล็อยหลับไปในไม่ช้า
เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย กระทั่งทางห้องนั้นเปลี่ยนผ้าปูเตียงเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่มีความคิดที่จะปลุกนาง กลับเช็ดตัวให้นางอย่างเบามือแล้วอุ้มนางกลับไปวางบนเตียงนุ่ม ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังหลับพริ้มนั่น แล้วจึงเรียกซั่นหมัวมัวกลับมาที่ห้องตำรา
ซั่นหมัวมัวนำกระดาษข้อความที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวานนี้มอบให้ราชครูเว่ย “บ่าวมีความผิด เพราะมั่นใจว่าสารที่พิราบสื่อสารส่งมานั้นต้องเป็นท่านราชครูลงมือเขียนเองแน่ จึงไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียดก่อนที่จะนำกระบอกจิ๋วที่นกพิราบส่งมามอบให้แก่องค์หญิง พอองค์หญิงทรงได้อ่านแล้วก็ดูท่าทางวุ่นวายใจอยู่บ้าง คาดว่าน่าจะตกใจกลัวอะไรบางอย่างเจ้าค่ะ”
สีหน้าของราชครูเว่ยซึ่งผ่อนคลายจากความอิ่มเอมใจเมื่อครู่นี้กลับเคร่งเครียดขึ้นมาทันที มิน่าเล่ากั่วเอ๋อร์ถึงได้มีอาการหวาดกลัวต่อความมืดอย่างรุนแรงเพียงนั้น เสียงร้องตะโกนของนางก็สั่นสะท้าน คงถูกเจ้าโจรเก๋อทำให้ตกใจกลัวเข้าแล้วจริงๆ!
เขาย่อมรู้ดีว่ากั่วเอ๋อร์ของเขาดีเพียงใด แต่เจ้าเก๋อชิงหย่วนนั่นคู่ควรหรือไร! หากไม่รีบจับตัวเจ้าเก๋อชิงหย่วนนั่นมาให้เร็วที่สุดแล้วสับมันเป็นพันๆ ชิ้น คงยากที่จะระบายความแค้นในใจลงได้!
หลังจากฉีกกระดาษข้อความนั่นจนแหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว ราชครูเว่ยก็ถามซั่นหมัวมัวถึงเรื่องราวน้อยใหญ่ภายในวังช่วงที่เขาไม่อยู่ จากนั้นก็โบกมือให้นางออกไปได้ ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้องนอนและกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง
เพราะรู้ว่านางได้รับความตระหนก เขาจึงเคลื่อนไหวด้วยความอ่อนโยนยิ่งขึ้น เกรงว่านางจะหลับไม่สนิทแล้วถูกเขาทำให้ตกใจจนฝันร้าย แต่ใครจะรู้ว่าพอเขาเพิ่งล้มตัวลงนอนเท่านั้น ร่างอรชรกลับเขยิบเข้ามาใกล้โดยไม่รู้ตัว ทั้งยังเอาใบหน้าเล็กๆ มาถูไถกับแผงอกของเขาก่อนจะหลับต่อไปอีกต่างหาก
จู่ๆ หัวใจของเว่ยเหลิ่งเหยาก็อ่อนยวบลงทันที แม้กั่วเอ๋อร์น้อยจะไม่เข้าใจความรักระหว่างชายหญิง แต่เขาก็ค่อยๆ กลายเป็นคนที่ทำให้นางมั่นใจได้แล้วสินะ ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็น ‘พี่ชาย’ แต่…ก็ไม่เลว อย่างน้อยในหัวใจของกั่วเอ๋อร์ตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถเหนือไปกว่าเขาที่อยู่ในฐานะ ‘พี่ชาย’ ซึ่งสามารถปกป้องนางจากลมและฝนได้ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นองเลือดในวังยังทิ้งรอยแผลไว้ในใจนางอยู่มากน้อยเพียงใด แต่ต่อไปในภายภาคหน้าเขาจะไม่ยอมให้หัวใจอันอ่อนโยนในอ้อมแขนนี้ต้องเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย…
การเร่งรุดเดินทางโดยไม่หยุดพักตลอดหลายวันติดต่อกันที่ผ่านมาทำให้เว่ยเหลิ่งเหยารู้สึกเหน็ดเหนื่อย วันรุ่งขึ้นท่านราชครูตื่นสายกว่าปกติอยู่สักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ลืมตาเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงปรือตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อเหลือบดูสักนิด แล้วก็เห็นว่าองค์หญิงหย่งอันลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว เสื้อผ้าเนื้อบางบนตัวนางยังสวมใส่ไม่ค่อยเรียบร้อย เผยให้เห็นไหล่นวลเนียนครึ่งหนึ่ง นางกำลังคุกเข่าตรงหว่างขาของเขา ผมยาวหนาของนางหลุดลุ่ยลงมาจากบ่าข้างหนึ่ง ใบหน้าเล็กก้มเข้ามาที่หว่างขาจนปอยผมด้านข้างระลงมาบนขาของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้รู้สึกจั๊กจี้จนก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวกระสันคึกคักขึ้นทันที
เนี่ยชิงหลินพอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็นึกถึงอาการบาดเจ็บที่โคนขาของราชครูเว่ยขึ้นมาได้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าแผลที่ถูกงูกัดนั้นรุนแรงเพียงใด จึงฉวยจังหวะที่ราชครูเว่ยยังหลับอยู่ขอดูสักหน่อย…ท่านราชครูนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ นอนทั้งที่ไม่สวมกางเกงนอนเสียด้วย แต่เช่นนี้ก็ทำให้เห็นแผลได้ชัดเจนดีเหมือนกัน…รอยเขี้ยวงูลึกเอาการ จนถึงตอนนี้แผลก็ยังไม่หายดีเลยนี่ น้ำลายขององค์หญิงแห่งหนานเจียงเป็นยารักษาบาดแผลอย่างดีไม่ใช่หรือ ไฉนจึงใช้ได้ผลกับใบหน้า แต่พอใช้กับโคนขากลับไม่ได้ผลเสียแล้วเล่า ท่านราชครูนี่ก็จริงๆ เลย ขนาดนอนหลับอยู่ยังมีอาการตอบสนองเสียด้วย แล้วตอนที่องค์หญิงฉี่เคอผู้นั้นรักษาบาดแผลให้ไม่รู้ว่าค่อยๆ ผงาดง้ำขึ้นมาเช่นนี้ด้วยหรือไม่
“เมื่อคืนนี้กั่วเอ๋อร์มองเห็นไม่ชัดล่ะสิ เช้านี้เลยจะทักทายมันเป็นการชดเชยใช่หรือไม่” จู่ๆ ราชครูเว่ยก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
เนี่ยชิงหลินตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน รีบยืดตัวขึ้นมาด้วยท่าทีลนลาน เมื่อหวนนึกถึงภาพค่อนข้างอุจาดตาเมื่อครู่นี้แล้วใบหน้าก็แดงเรื่อทันที “ได้ยินว่าท่านราชครูได้รับบาดเจ็บมาก็เลยอยากดูแผลสักหน่อย…หากเป็นเพราะข้าทำให้ท่านราชครูตื่น ท่านก็นอนต่ออีกสักหน่อยเถิด”
“ลมหายใจขององค์หญิงหอมละมุนราวกับดอกกล้วยไม้ ทำให้จิตใจของกระหม่อมพลุ่งพล่านคึกคัก เมื่อคืนนี้ยังไม่เต็มอิ่มเลย ขอองค์หญิงโปรดทรงเมตตาต่ออีกสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…” พูดพลางใบหน้าของราชครูเว่ยก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับเหยียดแขนยาวออกไปรั้งตัวองค์หญิงเข้ามาในอ้อมอกโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นม่านก็ไหวพะเยิบพะยาบ เสียงครางหวานของหญิงสาวถูกกระตุ้นจนหอบกระเส่า…
หลังจากขลุกอยู่ในตำหนักเฟิ่งฉูมาสองวัน ในที่สุดราชครูเว่ยที่ล่วงหน้ามาก่อนที่กองทัพใหญ่จะเดินทางมาถึงก็ออกจากเมืองอย่างลับๆ กลับเข้าไปร่วมกับกองทัพเพื่อร่วมพิธีรับมอบรางวัลแก่ทหาร
ชิวหมิงเยี่ยนยืนเคียงข้างฮ่องเต้อยู่หน้าประตูเมือง รอคอยกองทัพเข้าเมืองมา เขาแอบมองฮ่องเต้ที่ไม่ได้พบกันมานาน สังเกตเห็นได้ว่าพระองค์ดูเหมือนจะป่วยจริงๆ ขอบใต้ตาคล้ำอยู่สักหน่อย คล้ายนอนไม่พอ เมื่อครู่ตอนขึ้นบันไดก็โซเซจนเกือบล้ม บังเอิญว่าเขาอยู่ข้างๆ พอดีจึงเร็วกว่าหยวนกงกงหนึ่งก้าว รีบเข้าไปประคองฮ่องเต้ไว้ได้ทันท่วงที ตอนที่ประคองเอวของฮ่องเต้นั้นกลิ่นหอมจางๆ ก็ลอยมาระลอกหนึ่ง ความรู้สึกอันนุ่มนวลนั้นทำให้ชิวหมิงเยี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อย ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ แต่เอวจะบางถึงเพียงนี้ได้อย่างไร หากรั้งเข้ามาในอ้อมแขน…ก่อนที่เขาจะคิดเตลิดไปไกล ฮ่องเต้ก็เบี่ยงตัวออกจากวงแขนของเขาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
“ใต้เท้าชิวทุ่มเทจริงๆ ปล่อยมือเถิด!” เมื่อรู้สึกได้ว่าแรงแขนที่โอบอยู่ที่เอวกระชับเพิ่มมากขึ้น เนี่ยชิงหลินจึงเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชิวหมิงเยี่ยนหน้าเฝื่อนไปถนัดใจ เมื่อรู้ว่าตนเองทำเลยเถิดไปจึงรีบปล่อยมือ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกอึดอัดคับข้อง จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “วันนี้มีพิธีมอบรางวัลแก่ทหาร เมื่อวันก่อนกระหม่อมได้กำชับหยวนกงกงให้ทูลฝ่าบาทแล้ว เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทจึงยังทรงตื่นบรรทมสายได้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ล่าช้าไปมากแล้ว กองทัพใหญ่รอฝ่าบาท หยุดรถม้ารออยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว! หากมัวชักช้าทำให้ท่านราชครูต้องคอยอยู่อย่างนี้ เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะนะพ่ะย่ะค่ะ”
เนี่ยชิงหลินรู้สึกปวดเมื่อยทั้งเอวและขา กว่าจะปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ก็แสนลำบากยากเย็น นางนั่งลงบนเก้าอี้ที่หยวนกงกงยกมาให้ทันที หลังได้ยินคำตำหนิของอัครมหาเสนาบดีชิวนางก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “พักนี้เราป่วยและอ่อนเพลียมาก คิดว่าท่านราชครูคงให้อภัย ท่านอัครมหาเสนาบดีเริ่มพิธีเลยเถอะ เราปวดเอว ทนนั่งได้ไม่นานหรอก!”
ชิวหมิงเยี่ยนไม่รู้ว่าทุกคำพูดของเนี่ยชิงหลินเป็นเรื่องจริงที่แสนเจ็บปวด เขารู้สึกเพียงว่าความหยิ่งยโสโอหังของฮ่องเต้น้อยยิ่งยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว น้ำเสียงของฮ่องเต้มิได้สนใจไยดีต่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของราชครูเว่ยเลยสักนิด! เขาโมโหเสียจนไฝแดงตรงหว่างคิ้วถูกขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
ในเวลานี้เองกองทัพที่ได้รับชัยชนะก็ผ่านประตูเมืองเข้ามา ผู้คนที่ยืนรออยู่สองข้างทางตั้งแต่เช้าต่างพากันดีใจส่งเสียงชื่นชม พร้อมตะโกนเรียกชื่อติ้งกั๋วโหวและกองทัพธงดำดังลั่นสลับกันไปมา
กระทั่งราชครูเว่ยปรากฏตัวในชุดทหารบนหลังม้าตัวสูงใหญ่ เสียงโห่ร้องยินดีก็ดังกึกก้องสุดขีด
เนื่องจากการปราบปรามหนานเจียงให้สงบราบคาบมีความสำคัญอย่างยิ่ง และตัวเขาเองก็จากเมืองหลวงไปนาน จึงทำให้หัวใจของคนที่หวั่นไหวต่อเขาอยู่แล้วยิ่งหวั่นไหวทวีคูณขึ้นไปอีก ยากนักที่ราชครูเว่ยจะสวมชุดเกราะสีทองนี้ ชุดเกราะนี้เป็นของขวัญที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเตรียมไว้อย่างพิถีพิถันเพื่อฉลองครบรอบวันพระราชสมภพปีที่สี่สิบของบิดาเมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นองค์รัชทายาท ชุดเกราะนี้ได้เชิญช่างวาดที่มีชื่อเสียงและช่างฝีมือผู้มีทักษะจากต้าเว่ยมาร่วมกันทำด้วย ใช้เวลากว่าสามปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ดีฮ่องเต้รุ่นที่สองแห่งต้าเว่ยก็สวรรคตเสียก่อน ตอนนี้ราชครูเว่ยสวมชุดเกราะนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมแต่อย่างใด เพราะเมื่อวานนี้ฮ่องเต้มีรับสั่งให้นำชุดเกราะมังกรทองคำนี้จากท้องพระคลังมามอบให้แก่ติ้งกั๋วโหว พระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ต่อให้เป็นขุนนางเก่าแก่ก็ไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้
เมื่อท่านราชครูขึ้นไปบนหอคอยแล้วนั้น ชิวหมิงเยี่ยนก็รีบคุกเข่าลง “ยินดีต้อนรับราชครูเว่ยกลับสู่ราชสำนักขอรับ ชิวหมิงเยี่ยนปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายจนลุล่วงไปด้วยดี รอคอยการกลับมาอย่างมีชัยของท่านราชครูขอรับ”
แต่พอพูดจบแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็ถึงกับตะลึงงัน เป็นทหารชาวหมานบ้าระห่ำคนใดกันที่ติดอาวุธร้ายกาจ ทำร้ายใบหน้าของท่านราชครูได้ รอยขีดข่วนพวกนั้นช่างเหมือน…รอยเล็บแมวข่วนเลยนี่!
ราชครูเว่ยมองไปที่คนสนิทของเขาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ช่วงนี้จะไม่ได้อยู่ในราชสำนัก แต่เรื่องราววุ่นวายในราชสำนักก็ยังมาถึงหูของเขา ชิวหมิงเยี่ยนผู้นี้เป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นปัญหาอุทกภัยในคลองส่งน้ำหรือการจัดหาเสบียงล้วนถูกวางแผนและดำเนินการอย่างเหมาะสมเรียบร้อย เดิมทีเขายังกังวลว่าชิวหมิงเยี่ยนอาจมีนิสัยแข็งกร้าวเกินไปหลังจากอยู่ในค่ายทหารมาเป็นเวลานาน แต่นอกจากเรื่องที่ชิวหมิงเยี่ยนสั่งจับตัวผู้อาวุโสอู๋เจ้าปัญหาไปขังอยู่ไม่กี่วันแล้วก็ปล่อยตัวออกมาแล้วนั้น ความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางคนอื่นๆ โดยรวมก็นับว่าเข้ากันได้ดี ถือว่าเป็นบททดสอบที่มีค่าสำหรับชิวหมิงเยี่ยน หากได้เวลาเพิ่มเติมในการฝึกฝน ชิวหมิงเยี่ยนย่อมกลายเป็นบุคคลที่สามารถแบกรับภารกิจสำคัญยิ่งในอนาคตได้อย่างแน่นอน…
ครั้นคิดดังนี้ราชครูเว่ยก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักบุนวมผู้นั้น แม้ฮ่องเต้น้อยจะสวมชุดพิธีการอันโอ่อ่า แต่กลับนั่งสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าว ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าเว่ยเหลิ่งเหยาขุนนางทรงอำนาจแห่งต้าเว่ยได้ขึ้นไปบนหอคอยแล้ว
ชิวหมิงเยี่ยนหันมองไปตามสายตาของราชครูเว่ยก็พบว่าฮ่องเต้น้อยกลับนั่งหลับลึกอย่างไม่รู้สึกรู้สา ในวันที่คนทั้งแคว้นพากันชื่นมื่นยินดี เจ้าเด็กหนุ่มโง่งมผู้นี้จะยโสโอหังไปถึงขั้นใดกัน! ตนยังพออดทนต่อฮ่องเต้น้อยนี่ได้บ้าง แต่สำหรับท่านราชครูนั้นไม่ได้มีนิสัยอดทนมากกว่าเขาหรอกนะ ในพิธีสำคัญเช่นนี้กลับไม่ไว้หน้าท่านราชครูเลย ช่างไม่สนใจความสูงของท้องฟ้าความหนาของผืนดินเลยจริงๆ!
เป็นดังคาด พอราชครูเว่ยเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นทันทีแล้วเดินไปตรงหน้าฮ่องเต้น้อย พร้อมเอ่ยตำหนิด้วยเสียงต่ำว่า “หยวนกงกง เจ้าช่างทำงานสะเพร่ายิ่งนัก ไม่เห็นหรือว่าบนหอคอยลมพัดแรง! ปล่อยให้ฝ่าบาทประทับตากลมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไปเอาผ้าคลุมมาคลุมบังลมเสียสิ!”
หยวนกงกงหน้าเจื่อนทันที “ท่านราชครู บ่าวเอาผ้าคลุมมาถวายฝ่าบาทตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ฝ่าบาททรงปฏิเสธ ตรัสว่าฉลองพระองค์ในวันนี้เป็นฉลองพระองค์ลายมังกรที่เป็นงานแบบซูโจวที่ปักประณีตแบบฝีเข็มคู่ด้วยด้ายสีทองสองสี พอแดดส่องแล้วลวดลายมังกรจะเปลี่ยนสีได้ หากมีอะไรมาบังเกรงว่าเสื้อคลุมจะดูไม่งาม…เอ่อ ผู้น้อยก็จนปัญญาจริงๆ นะขอรับ!”
ราชครูเว่ยได้ฟังเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาน้ำเสียงเอาแต่ใจของฮ่องเต้ผู้รักสวยรักงามพระองค์นี้ได้ จึงไม่ได้ตำหนิหยวนกงกงต่ออีก เพียงขมวดคิ้วและพูดว่า “เหลวไหล!”
เนี่ยชิงหลินที่เดิมทีก็ไม่ได้หลับเต็มอิ่มนัก พอได้ยินเสียงของราชครูเว่ยก็ลืมตาปรือพูดขึ้นว่า “ท่านราชครูขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เราควรจะลงไปดื่มสุราต้อนรับเหล่าทหารแล้วหรือยัง”
แววตาของราชครูเว่ยอ่อนลง รู้อยู่แก่ใจดีว่านางเหนื่อยอ่อนจากความรักที่เขาปรนเปรอให้อย่างมิว่างเว้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา เช้านี้ที่เขาตื่นมา กั่วเอ๋อร์ยังอยู่ในอาการง่วงงุน ตื่นไม่เต็มตามากนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งช่วงสองวันที่ผ่านมานี้นางยังถูกกดร่างอยู่บนเตียงจนแทบไม่ได้ลุกออกไปที่ใดเลย สีหน้าจึงดูหงุดหงิดเหมือนเด็กเพิ่งตื่นนอน และเพราะนางต้องตัดเล็บที่อุตส่าห์ไว้มาเสียยาว จึงหน้ามุ่ยเบ้ปากโยกโย้งอแงราวกับเด็กสามขวบ ยากนักที่กั่วเอ๋อร์น้อยผู้นี้จะอารมณ์เสีย ซึ่งราชครูเว่ยเห็นความแปลกใหม่นี้แล้วก็ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
เขาจึงต้องทั้งจูบทั้งปลอบนางอยู่พักหนึ่ง ท่าทางออดอ้อนของนางนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งยวด หากวันนี้นางไม่ต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เขาคงไม่อาจหักใจตัดเล็บที่ได้บำรุงรักษาไว้อย่างดีไปง่ายๆ จริงๆ สุดท้ายเขาก็อุ้มเจ้าแมวน้อยขี้เซานี้ไว้ในอ้อมอก และใช้กรรไกรเงินเล่มเล็กตัดเล็บบนนิ้วมือเรียวทั้งสิบนั้นให้ด้วยมือของเขาเอง
แต่เพราะมัวพิรี้พิไรอยู่เช่นนี้จึงทำให้ตื่นสายไปหน่อย พอมองดูดวงอาทิตย์ก็เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ฮ่องเต้น้อยเองก็ดูท่าทางเหนื่อยล้ามากด้วย เขาจึงพูดขึ้นว่า “เหล่าทหารหาญทั้งหลายห่างครอบครัวมานาน ตอนนี้ภรรยาและบุตรของพวกเขาส่วนใหญ่มารอพบสามีและบิดาในเมืองหลวง พิธีมอบรางวัลแก่ทหารไม่จำเป็นต้องยืดยาวเกินไปนัก รีบปล่อยให้พวกเขากลับไปหาครอบครัว อยู่รวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตากับบิดามารดา ภรรยาและบุตรถึงจะเข้าทีที่สุด! ฝ่าบาทพระวรกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ต้องลงไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวกระหม่อมจะส่งฝ่าบาทกลับตำหนักเอง พรุ่งนี้ตอนงานเลี้ยงในวังค่อยดื่มสุราฉลองชัยชนะแก่พวกแม่ทัพและทหารทั้งหลายทีเดียวเลยแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
พูดพลางเขาก็ยื่นมือออกไปประคองฮ่องเต้ขึ้นมา และบอกให้หยวนกงกงเตรียมรถม้าพระที่นั่งเพื่อส่งเสด็จฮ่องเต้กลับวัง บรรดาขุนนางอาวุโสในหอคอยเห็นดังนั้นต่างก็เข้าใจว่าราชครูเว่ยยังคงแสร้งแสดงความห่วงใยในสุขภาพของฮ่องเต้ ดูท่าว่ายังไม่มีความคิดที่จะปลดฮ่องเต้ในทันที จึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่อัครมหาเสนาบดีชิวหมิงเยี่ยนกลับเหมือนถูกฟ้าผ่าจนยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม คนที่พูดจาด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนเมื่อครู่นี้คือท่านราชครูที่เขาชื่นชมศรัทธาจริงๆ หรือนี่ ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ใช้คาถาอาคมอะไรกันถึงทำให้ติ้งกั๋วโหวผู้หยิ่งผยองปฏิบัติด้วยอย่างปรานีอ่อนโยนถึงเพียงนี้ได้
คืนนั้นเจ้าหน้าที่ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊นอนหลับอย่างสงบสุขยิ่งโดยมีภรรยาและอนุอยู่ในอ้อมแขน มีเพียงใต้เท้าชิวเท่านั้นที่นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างไม่อาจข่มตาหลับได้ เขานึกถึงความนุ่มนวลในมือที่ได้สัมผัสในวันนี้ และนึกถึงความอ่อนโยนของราชครูเว่ยที่สนทนากับฮ่องเต้น้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจิตใจ ความคิดมากมายกวนใจเขาจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
พอวันรุ่งขึ้นขอบตาของเขาก็คล้ำอยู่บ้าง เหมือนกับฮ่องเต้น้อยก็ไม่ปาน
งานเลี้ยงมอบรางวัลฉลองชัยชนะแก่ทหารจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กองทัพใหญ่กลับถึงเมืองหลวง
ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ร่วง นายท่านหกแห่งจวนสกุลเสิ่นได้รู้ว่ากระถางดอกโบตั๋น ‘โต้วลวี่’ ของเขาเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้ก็รู้สึกมีกำลังใจมาก จึงตัดสินใจส่งดอกเบญจมาศราคาแพงที่ตนปลูกเองหลายกระถางเข้าไปในวัง ดอกเบญจมาศเลอค่าเหล่านี้มีดอกอวบใหญ่ สีสันสลับซับซ้อน กิ่งก้านใบหนาและแข็งแรง ใบสีเขียวสดนั้นไม่ร่วงง่าย กิ่งก้านของดอกไม้เขียวชอุ่ม และดอกที่อุดมสมบูรณ์ทำให้คนเห็นแล้วแทบไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ ทว่ากลับลืมไปว่าแท้จริงแล้วยามนี้เป็นฤดูกาลที่ดอกไม้ใกล้จะโรยราแล้ว
ดังนั้นงานเลี้ยงในพระราชวังจึงถูกจัดในอุทยานหลวง งานเลี้ยงที่จัดขึ้นท่ามกลางหมู่ดอกเบญจมาศที่เบ่งบานเต็มที่นั้นงดงามตระการตามาก กระโจมกึ่งเปิดที่สร้างขึ้นตามแบบค่ายทหารทำจากผ้าไหมผสมด้ายเงินทอประกายอย่างมีเสน่ห์ยามต้องแสงแดด และยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ากันได้ดีกับดอกไม้ที่อยู่รายรอบด้วย
นี่คือความคิดของเนี่ยชิงหลิน เดิมทีการจัดงานเลี้ยงในวังหลวงมักถูกจัดในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วทั้งฮ่องเต้และขุนนางทั้งหลายต่างก็รู้สึกเกร็งและรู้สึกว่าถูกจำกัดอิสระ ทำให้ความตั้งใจเดิมของฮ่องเต้และขุนนางที่จะสนุกสนานร่วมกันพลอยเหือดหายไป แต่ตอนนี้กระโจมแต่ละหลังถูกจัดให้ห่างกันและยังคั่นกลางด้วยทะเลดอกไม้ จึงทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป สามารถดื่มกับสหายร่วมงานที่คุ้นเคยได้อย่างเต็มที่
หลังเพิ่งกลับมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยศพและกลิ่นคาวเลือด ตอนนี้ได้มาอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่หาดูได้ยาก ทำให้ทหารทุกนายเบิกบานมีความสุขมากเช่นกัน สักพักเสียงหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสายในอุทยานหลวง
ชิวหมิงเยี่ยนที่ดื่มสุรากับสหายเก่าที่เคยร่วมงานกันในกองทัพอย่างหลี่ว์อวี้ต๋าและคนอื่นๆ จนเพลิดเพลิน จู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ข้าต้องไปปราบโจรที่ต่างเมือง จึงไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในเมืองหลวงมากนัก ว่าแต่เหตุใดซั่นเถี่ยฮวาผู้นั้นถึงได้เข้าวังไปเป็นนางข้าหลวงเสียแล้วเล่า ใช่ว่านางฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางทหารเลยถูกท่านราชครูลงโทษอย่างนั้นหรือ”
หลี่ว์อวี้ต๋าที่ดื่มหนักไปหน่อยจนลิ้นพันกันพูดขึ้นว่า “ถูกลงโทษที่ใดกันเล่า นางเข้าวังไปเพื่อหาความสุขล่ะสิไม่ว่า! ยายเฒ่าคร่ำครึรูปร่างเหมือนนางยักษ์ เมื่อเร็วๆ นี้ถึงกับทาปากแดงแจ๋ แล้วยังปักปิ่นปักผมดอกไม้ด้วย ข้าชมนางด้วยความเจตนาดีแท้ๆ บอกว่านางตัวหอมดี นางกลับมาตบบ้องหูข้าเสียนี่! เชอะ! มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่จะตกหลุมรักหญิงม่ายโรคระบาดอย่างนางได้น่ะ!”
ชิวหมิงเยี่ยนอดทนฟังสิ่งที่คนเมาพูดเป็นเวลานาน ทว่ากลับไม่ได้ยินคำพูดที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่คำเดียว
หลี่ว์อวี้ต๋าผู้นี้อายุน้อยกว่าซั่นเถี่ยฮวาสิบปี แต่เขามีความชอบที่ไม่ธรรมดา หลังกลับมาจากสนามรบกับซั่นเถี่ยฮวา เขาก็ตกหลุมรักหญิงม่ายผู้นี้ซึ่งอายุเกือบสี่สิบปีจริงๆ น่าเสียดายที่ซั่นเถี่ยฮวายังคงภักดีต่อสามีที่ล่วงลับ ไม่คิดเรื่องแต่งงานใหม่ โดยเฉพาะกับชายที่อายุน้อยกว่า นางไม่ได้แสดงความสนใจต่อแม่ทัพหลี่ว์แม้แต่น้อย หลี่ว์อวี้ต๋าถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเรื่องนี้แพร่กระจายรู้กันไปทั่ว กลายเป็นที่โจษจันในค่ายทหาร ท้ายที่สุดนางไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย ความโกรธเกรี้ยวเริ่มทำให้เขาเสียหน้า เขากับซั่นเถี่ยฮวาเริ่มไม่ถูกกันมากขึ้นเรื่อยๆ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องหาเรื่องชวนทะเลาะกันอยู่เป็นประจำจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ชิวหมิงเยี่ยนผิดหวังเล็กน้อยและไม่อยากสนใจคำพูดที่เต็มไปด้วยความขมขื่นของแม่ทัพหลี่ว์ เขาหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วยืนขึ้นเพื่อชื่นชมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงในอุทยานหลวงแทน
จำได้ว่าก่อนที่ครอบครัวของเขาจะประสบเรื่องร้าย ทุกเทศกาลไหว้พระจันทร์จะเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศอันโด่งดังหลากสีสัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกคนในจวนสกุลชิวจะมารวมตัวกัน มีความสุขสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ช่างน่าเสียดายที่ฮ่องเต้ผู้โง่เขลานั่นมากตัณหาหลงใหลในความงามของสตรี ถูกหนิงเฟยทำให้ลุ่มหลงจนหลงผิดไปไว้ใจเลือกใช้ขุนนางทรยศอย่างเสนาบดีหรง จนเป็นเหตุให้เขาต้องบ้านแตกสาแหรกขาด! จากเรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าความงามของสตรีที่ทำให้ผู้มีอำนาจลุ่มหลงได้ร้ายกาจยิ่งกว่าเสือและหมาป่าเสียอีก!
ครั้นคิดดังนี้ชิวหมิงเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปยังกระโจมที่ฮ่องเต้นั่งอยู่ กลับพบว่าบัลลังก์มังกรนั้นว่างเปล่า เขานึกได้แล้ว ฮ่องเต้น้อยพระองค์นั้นเพียงดื่มสุราไปแค่จอกเดียวก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขอตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อน
ชิวหมิงเยี่ยนถอนสายตากลับมาและเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว ค่อยๆ ห่างออกมาจากเสียงดังในงานเลี้ยง เมื่อเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาจำลองเพื่อมองดูทะเลดอกไม้ในอุทยานหลวง ทันใดนั้นก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างศาลารับลมเย็นที่มีกำแพงดอกไม้กั้นไว้อีกฟากหนึ่งในอุทยานหลวง
ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวลวดลายสายน้ำเกลียวคลื่นงูเหลือมขาวอันเป็นมงคล สวมเกี้ยวครอบผมสีทองบนศีรษะที่สะท้อนแสงเจิดจ้าระยิบระยับเมื่อถูกแสงแดด รูปร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลาทำให้ยากที่จะละสายตาได้ เห็นได้ชัดว่าก็คือท่านราชครูเว่ย ส่วนหญิงสาวที่รูปร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นอรชรผู้นั้นสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีขาวนวลยาวกรอมเท้า สีสันเรียบง่ายทว่าดูสง่างามสะดุดตาเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางดอกเบญจมาศสีขาวก็คือองค์หญิงหย่งอัน
เนื่องจากพวกเขาอยู่ที่มุมหนึ่งของอุทยานหลวงซึ่งมีกำแพงดอกไม้บดบังสายตาทุกคนได้ อีกทั้งยังมีนางข้าหลวงและขันทีคอยเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าซึ่งสามารถเข้าออกได้ทางเดียว ดังนั้นคนทั้งสองจึงปลอดโปร่งผ่อนคลายไม่มีความกังวลใดๆ
เขาเห็นท่านราชครูเชยคางเรียวขององค์หญิงขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากของหญิงงามในอ้อมแขนที่หน้าตาสดใสมีเสน่ห์ละม้ายฮ่องเต้อย่างเนิ่นนาน…
ชั่วขณะหนึ่งชิวหมิงเยี่ยนรู้สึกว่าแก้วหูของตนแทบจะแตกดังเปรี๊ยะ เขามักมีภาพลวงตาอยู่เสมอว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านราชครูหาใช่องค์หญิงหย่งอันไม่ แต่เป็นฮ่องเต้หนุ่มผู้เย่อหยิ่งที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจพระองค์นั้นต่างหาก…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 พ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.