X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 84-85

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 84

การที่ราชครูเว่ยช่วยหนานเจียงอ๋องคนใหม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในดินแดน จะว่าไปก็มิใช่หน้าที่โดยตรงที่ต้องนำทัพมาช่วยรบเลย ในฐานะที่หนานเจียงถือเป็นแคว้นบริวารของต้าเว่ย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงน้ำใจตอบแทนต่อทหารต้าเว่ยที่ได้เสียหยาดเหงื่อเลือดเนื้อช่วยรบในครั้งนี้สักหน่อย

ราชครูเว่ยเองก็ไม่ได้เข้มงวดกับบรรดาแคว้นบริวารในหนานเจียงที่ออกจะอัตคัดขัดสนอยู่ กล่าวเพียงว่ายกเว้นของบรรณาการที่เป็นเงินทองให้ ไม่ต้องส่งมา เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าก็คงหามาให้ไม่ได้อยู่ดี ส่งเป็นข้าวสารปีละสามฤดูมาให้มากหน่อยก็พอ อีกทั้งยังให้ทางหนานเจียงคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกข้าวและนำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สามารถปลูกได้สามฤดูต่อปีมาทดลองปลูกที่เจียงหนานด้วยเป็นการตอบแทน

หลังจากประสบกับความอดอยากขาดแคลนอาหารจากภัยแล้งแล้ว ราชครูเว่ยก็ตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรอย่างยิ่งยวด โชคดีที่หลังจากข้าวและธัญญาหารจำนวนมากถูกส่งมาจากหนานเจียงแล้ว ราษฎรของต้าเว่ยก็มีอาหารเพียงพอให้กินอิ่มตลอดฤดูหนาวปีนี้

เมื่อเทียบกับปีที่แล้วแม้ท้องพระคลังในปีนี้จะไม่ได้ร่อยหรอจนถึงจุดต่ำสุด แต่ก็ยังตึงมืออยู่บ้าง กระนั้นวันเกิดของราชครูเว่ยใกล้จะมาถึงแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เริ่มหวั่นใจว่าราชครูผู้นี้อยากจะประหยัด ยกเลิกการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดอีกหรือไม่

อันที่จริงราชครูเว่ยเองก็ตั้งใจว่าปีนี้อยากทำทุกอย่างให้เรียบง่ายอีกเช่นเคย แต่บรรดาขุนนางที่เชี่ยวชาญในการประจบสอพลอกลับคัดค้านอย่างหนักพร้อมให้เหตุผลสนับสนุนที่ฟังดูเข้าทีอย่างยิ่ง พิธีเฉลิมฉลองการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยเมื่อปีที่แล้ว ‘ทุ่มทรัพยากรทั้งหมดของแคว้น’ เพื่อจัดงานอย่างใหญ่โตเอิกเกริกฟุ่มเฟือย เมื่อมีฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้เป็นแบบอย่างแล้ว ต่อให้ราชครูเว่ยอยากทำตัวเป็นขุนนางสมถะก็สามารถอาศัยต้นไม้ใหญ่อย่างฮ่องเต้จัดงานเสียหน่อย แต่ไม่ต้องหรูหราโดดเด่นเกินหน้าจนเป็นที่สะดุดตาก็ได้ ขณะที่เหล่าขุนนางใหญ่เหล่านี้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ราชครูเว่ยเปลี่ยนใจอยู่นั้นเอง ฮ่องเต้ซึ่งกำลังเดินมาที่ห้องตำราเพื่อเรียนรู้หลักการปกครองแคว้นจากราชครูเว่ยก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาบางส่วนเข้าพอดี

“ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านราชครูแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาสักชิ้นสินะ” ฮ่องเต้น้อยนึกถึงพิธีเฉลิมฉลองการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ของตนที่ท่านราชครูจัดให้อย่างยิ่งใหญ่อลังการก็เกิดความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณในทันใด บรรดาขุนนางได้ยินดังนั้นพลันเกิดความหวังอย่างแรงกล้าขึ้นมาทันที

แต่เมื่อราชครูเว่ยได้ยินแล้วกลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ความปรารถนาดีของทุกท่าน ข้าเว่ยเหลิ่งเหยาขอน้อมรับไว้ด้วยใจ แต่เนื่องจากสงครามเพิ่งยุติ การจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนั้นไม่เป็นการเหมาะสมนัก ทุกอย่างต้องเรียบง่ายที่สุด”

ขุนนางทุกคนพอได้ยินดังนี้ต่างก็พากันหน้าม่อยคอตก หากราชครูเว่ยไม่จัดงานเลี้ยงวันเกิด เช่นนั้นเมืองหลวงก็คงจะต้องเงียบเหงาไปอีกปี ไม่มีเสียงขับขานของเหล่านางรำและงานรื่นเริงในเรือนเหล่าขุนนางอีกแล้วสินะ เฮ้อ สิบปีที่อุตส่าห์ทุ่มเทตรากตรำอย่างหนักในการเล่าเรียนเพื่อสอบเข้ารับราชการให้ได้เป็นขุนนางจะมีความหมายอันใดเล่า

จนกระทั่งเหล่าขุนนางออกไปกันหมดแล้ว ราชครูเว่ยก็จับมือนุ่มของฮ่องเต้ไว้พลางเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาททรงเตรียมของขวัญอะไรให้กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เนี่ยชิงหลินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านราชครูเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าจะไม่จัดงานฉลองวันเกิด”

ราชครูเว่ยหรี่นัยน์ตาหงส์พลางพูดว่า “ฉลองวันเกิดกับพวกคนแก่กลุ่มหนึ่งจะมีอะไรน่าสนุกเล่าพ่ะย่ะค่ะ แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงตั้งใจไว้แล้วว่าจะพระราชทานของขวัญให้แก่กระหม่อม ฮ่องเต้ตรัสแล้วย่อมไม่อาจคืนคำกระมัง กระหม่อมก็ขอฝืนใจฉลองวันเกิดกับฝ่าบาทแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” พูดพลางก็เหยียดนิ้วออกเชยคางอ่อนนุ่มของฮ่องเต้ขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงเตรียมฉลองวันเกิดให้กระหม่อมอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เนี่ยชิงหลินได้ยินดังนี้ก็หน้าม่อยคอตกเล็กน้อยเช่นเดียวกับเหล่าขุนนางพวกนั้นทันที ใครๆ ต่างก็กล่าวกันว่าโอรสสวรรค์มีอำนาจใหญ่โต แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้ถุงเงินสะอาดเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าเสียอีก ราชครูเว่ยไม่อนุญาตให้นางสะสมทรัพย์สินส่วนตัว เป็นฮ่องเต้ผู้สิ้นเนื้อประดาตัวคนหนึ่งที่ต้องซื้อของขวัญวันเกิดให้กับขุนนางคนสำคัญ ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกิน! ไม่รู้ว่าภาพวาดฝีมือไม่ได้เรื่องสองภาพนั้นของนางจะพอสามารถถ่ายทอดรูปลักษณ์อันผึ่งผายสง่างามของราชครูผู้หล่อเหลาจนทำเอาตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกได้หรือไม่ นางได้แต่พูดอึกๆ อักๆ ว่า “หรือไม่ท่านราชครูก็ให้เงินเราก่อนสิ เราจะได้ตระเตรียมของได้สะดวกขึ้นหน่อย”

ท่านราชครูเว่ยเลิกคิ้วดกหนาขึ้นสูง “ฝ่าบาทจะทรงเตรียมของขวัญให้กระหม่อม แต่กลับให้กระหม่อมออกเงินไปก่อน นี่คือเหตุผลแบบใดกันพ่ะย่ะค่ะ หากท้องพระคลังของพระองค์ว่างเปล่า เสียดายเงินที่ต้องใช้ในการจัดหาของขวัญจริงๆ ก็พอมีอยู่วิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ทรงสละพระวรกายอันล้ำค่าทำอะไรบางอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ ให้กระหม่อมได้ชื่นชมลีลาอันงดงามเย้ายวนอีกด้านหนึ่งของฝ่าบาทดูสักหน่อยเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าคนหน้าไม่อาย!

เนี่ยชิงหลินคิดออกแค่คำนี้เท่านั้น สิ่งที่ราชครูเว่ยพูดส่อนัยบางอย่าง เมื่อวันก่อนราชครูเว่ยค้างคืนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งฉู ขณะกำลังทายาตรงบาดแผลที่ขาของเขาอยู่ นางมองดูบาดแผลที่ยังไม่สมานดีแล้วก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่ค้างคาอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘บาดแผลของท่านราชครูที่ถูกตะปูเหล็กข่วนเข้าที่ใบหน้าจนเป็นรอยลึกเมื่อคราวก่อน พอวันรุ่งขึ้นถูกองค์หญิงฉี่เคอเลียเข้าให้ บาดแผลนั่นก็หายสนิทเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่เหตุใดคราวนี้ถึงไม่ได้ผลเหมือนเดิมเล่า’

ไม่ถามก็ดีหรอก พอเจอคำถามนี้ราชครูเว่ยก็หน้าหมองไปถนัดตา นึกถึงตอนที่อยู่ในป่าลึกนั่นขึ้นมาทันทีที่เขาถ่างขาออกมองดูแม่ทัพคนสนิทของตนคลานเข้ามาอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ รู้สึกถึงขนเคราหนาๆ ที่เสียดสีกับผิวที่อ่อนโยนที่สุดตรงโคนขาทีละนิดๆ…

ทำอย่างไรถึงจะขจัดฝันร้ายพรรค์นี้ออกไปได้นะ แน่นอนว่าย่อมต้องอาศัยริมฝีปากอันสูงส่งของฮ่องเต้ช่วยขจัดปัดเป่าสักหน่อยแล้ว

เนี่ยชิงหลินจะยินยอมได้อย่างไรเล่า นางเพียงเขินอายจนไม่พูดกับราชครูเว่ยเลยทั้งคืน สุดท้ายก็เป็นราชครูเว่ยที่เป็นฝ่ายทำให้ดูเป็นตัวอย่างเสียเอง โดยแสดงความสามารถในการใช้ปากและลิ้นของเขาเล้าโลมเรียวขางดงามราวกับหยกสลักของนาง หญิงงามที่แง่งอนไม่พูดไม่จาจึงถูกเล้าโลมจนร้องไห้ครวญครางด้วยความอึดอัดทรมาน หายใจหอบกระเส่าพร่ำวอนขอความเมตตาไม่หยุด…

เมื่อเห็นฮ่องเต้น้อยซ่านกระสันจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ราชครูเว่ยก็รู้ว่านางซึมซาบความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเขาแล้ว จึงยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะทาบทับลงไปรั้งตัวฮ่องเต้ไว้ในอ้อมแขน ก่อนลิ้มรสเนื้อนวลตักตวงความสุขจนพอใจ จนริมฝีปากนุ่มนวลหอมละมุนนั้นถูกจูบจนแดงก่ำร้อนเร่าไปทั้งตัวแล้วนั้น ราชครูเว่ยก็เตรียมอุ้มฮ่องเต้ไปที่ห้องบรรทมชั้นใน กดตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วปลดเสื้อคลุมมังกรออก แนบชิดนางตอนกลางวันแสกๆ นี้เลย…

ในเวลานี้เองขันทีที่อยู่หน้าประตูก็ส่งเสียงรายงานว่า “ใต้เท้าชิวขอเข้าพบราชครูเว่ยขอรับ!”

เนี่ยชิงหลินรู้สึกโล่งอกอย่างมากราวกับได้รับการปลดปล่อย อัครมหาเสนาบดีชิวมาได้จังหวะดีจริงๆ เหมือนฝนที่ตกลงมาในช่วงแล้ง ช่วยนางเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี นางจึงถือโอกาสลุกขึ้นผละไปเสียเลย จากนั้นก็เตรียมกลับไปยังตำหนักเฟิ่งฉูเพื่อค้นดูที่ก้นหีบว่ามีสิ่งของใดเหมาะที่จะให้ซั่นหมัวมัวนำออกไปจำนำนอกวังได้บ้างหรือไม่ อย่างน้อยก็ควรเตรียมของขวัญที่เหมาะสมไว้สักชิ้นหนึ่งถึงจะดูเข้าทีหน่อย!

ขณะออกจากประตูห้องตำราก็บังเอิญเจอใต้เท้าชิวเข้าพอดี พอเนี่ยชิงหลินเงยหน้าขึ้นก็ตกใจเล็กน้อย ไม่ได้มองใต้เท้าชิวอย่างจริงจังมานานพอควร เหตุใดใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาของเขาถึงได้มีรอยคล้ำใต้ดวงตาทั้งสองข้างไปได้ล่ะนี่ หรือมีการก่อกบฏวุ่นวายเกิดขึ้นที่ใดอย่างนั้นหรือ จึงทำให้ใต้เท้าชิววิตกกังวลถึงเพียงนี้ได้

ส่วนใต้เท้าชิวที่ก้มศีรษะถวายบังคมฮ่องเต้แล้วเงยหน้าขึ้นมาก็เพียงรู้สึกถึงเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับม้าที่สวมเกือกเหล็กหลายหมื่นตัวควบทะยานอื้ออึงอยู่ในหู ขณะที่ฮ่องเต้มองมาทางเขานั้นยังคงยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน เพียงแต่…ริมฝีปากบางเนียนละเอียดนั่นกลับแดงและบวมเจ่อหน่อยๆ มองดูก็รู้ทันทีว่าเพิ่งถูกจูบมาอย่างหนักหน่วง…

ใต้เท้าชิวเดินตัวเกร็งแข็งทื่อเข้าไปในห้องด้านใน เห็นราชครูเว่ยนั่งอยู่ในท่าทางที่เคร่งขรึม แต่ริมฝีปากของท่านราชครูนั้นดูเหมือนว่า…มีรอยฟันขบอย่างชัดเจน

ราชครูเว่ยกำลังก้มหน้าอ่านฎีกาอยู่ แต่ขุนพลคนสนิทของเขาเข้ามาในห้องตำราแล้วกลับนิ่งเฉยไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน เขาจึงอดเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ กลับพบว่าไฝแดงบนหน้าผากของชิวหมิงเยี่ยนสดเข้มเสียจนเหมือนจะคั้นน้ำออกมาได้ สายตาทั้งคู่มองมาที่เขาอย่างอึ้งงัน

“เยี่ยนชิง* ไม่ได้เจอข้ามานาน วันนี้เลยตั้งใจแวะมามองข้าให้เต็มตาเลยหรือไร” ราชครูเว่ยหรี่นัยน์ตาหงส์พร้อมโพล่งถามขึ้น

‘เยี่ยนชิง’ เป็นชื่อที่ราชครูเว่ยตั้งให้ชิวหมิงเยี่ยน ตอนที่ชิวหมิงเยี่ยนเผชิญการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวและได้เปลี่ยนมาใช้แซ่เว่ยนั้น ราชครูเว่ยได้พูดไว้ว่า ‘นับจากนี้ไปเจ้าก็ใช้ชื่อว่า ‘เว่ยเยี่ยนชิง’ เถอะ ต้องมีสักวันที่น้ำหมึกในแท่นฝนหมึกต้องหมดลง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าย่อมทวงคืนศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์ของสกุลชิวคืนกลับมาได้อย่างแน่นอน’

ชิวหมิงเยี่ยนในเวลานั้นอาศัยคำพูดของท่านราชครูเป็นแรงผลักดันในการฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากช่วยให้ตนเองก้าวผ่านความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียครอบครัวมาได้โดยแท้จริง ถึงแม้ในเวลาต่อมาเขาจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิม แต่ชื่อที่ท่านราชครูตั้งให้นี้เขายังคงระลึกถึงอยู่มิรู้วายเพื่อเตือนตนเองว่าห้ามลืมบุญคุณของติ้งกั๋วโหวเป็นอันขาด

เมื่อได้ยินคำพูดของราชครูเว่ย ชิวหมิงเยี่ยนก็ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบหลบสายตาทันที แม้ในใจของเขาจะร้อนรุ่มเต็มไปด้วยคำถามมากมาย กระนั้นก็ไม่กล้าถามราชครูเว่ยผู้ทรงอำนาจน่าเกรงขามออกไปตรงๆ ว่า ‘ท่านกับฮ่องเต้มีความสัมพันธ์เชิงตัดแขนเสื้อกันหรือขอรับ’

“เรียนท่านราชครู สายลับจากเป่ยเจียงรายงานมาว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับพวกซยงหนูขอรับ ดูเหมือนว่าท่านอ๋องใหญ่ของซยงหนูที่พ่ายแพ้ในการช่วงชิงอำนาจและหนีไปก่อนหน้านี้ได้กลับมาทวงคืนอำนาจโดยยึดครองพื้นที่แถบโม่ซีไว้ได้ มีการรวบรวมกำลังพลทั้งทหารและม้าไว้แล้วราวกับว่าเตรียมพร้อมจะงัดข้อกับฉานอวี๋ซิวถูเลี่ยสักครั้งขอรับ”

เว่ยเหลิ่งเหยาฟังแล้วพยักหน้า การเปลี่ยนแปลงในชนเผ่าซยงหนูถือเป็นเรื่องดีที่ไม่มีผลเสียหายอันใดต่อต้าเว่ย หากสู้รบกันเองจนบรรดาอ๋องทั้งหลายล้มลุกคลุกคลานตั้งหลักไม่ได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ขอเพียงคอยจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่จำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างใด

ครั้นคิดดังนี้เขาก็กำชับว่า “ส่งสายลับไปยังเป่ยเจียงให้มากขึ้น ไม่ต้องกระโตกกระตาก เพียงนั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกันเป็นพอ” ราชครูเว่ยพูดถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าไปอ่านฎีกาต่อ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าชิวหมิงเยี่ยนยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกจากห้องเสียที

“ท่านราชครู ผู้น้อยขอบังอาจเสนอความเห็นสักหน่อยขอรับ บัดนี้หนานเจียงสงบราบคาบแล้ว สมควรแก่เวลาที่ท่านจะทำการใหญ่ได้แล้วขอรับ มิสู้ฉวยจังหวะที่เป่ยเจียงเกิดความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้โค่นฮ่องเต้ลงเสียเลย ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ”

ราชครูเว่ยได้ยินดังนี้ก็ค่อยๆ วางฎีกาลง สิ่งที่ชิวหมิงเยี่ยนพูดนั้นอันที่จริงก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง พักนี้กั่วเอ๋อร์เจริญวัยขึ้นกว่าเดิม ขุนนางหนุ่มบางคนในราชสำนักมักจ้องมองรูปโฉมงดงามชวนพิศของโอรสสวรรค์อยู่เนืองๆ พอเห็นเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์จริงๆ อยากซ่อนนางไว้ในตำหนักในเสียเหลือเกิน ให้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ชื่นชมนางได้!

“เยี่ยนชิงคุ้นเคยกับผู้คนแล้ว ความเห็นของพวกราษฎรตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านราชครูขึ้นครองบัลลังก์เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังรอคอยขอรับ!” ชิวหมิงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าราชครูเว่ยเริ่มคล้อยตามก็รู้สึกตื่นเต้น รีบพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น

เว่ยเหลิ่งเหยาเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยนชิงก็จัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ ปล่อยข่าวออกไปในเร็วๆ นี้ว่าฮ่องเต้ประชวรหนัก นอกจากนี้การขึ้นครองบัลลังก์และพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียวเลย องค์หญิงหย่งอันเป็นพระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้ ดังนั้นพิธีอภิเษกสมรสจะจัดลวกๆ อย่างขอไปทีไม่ได้ ต่อให้ยังไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ทว่าสิ่งของทุกอย่างที่ต้องใช้ในพิธีจะต้องเขียนแจกแจงรายการออกมาอย่างละเอียดและจัดหาให้พร้อมสรรพตั้งแต่เนิ่นๆ ไว้ก่อนย่อมเป็นการดี…”

ขณะที่ชิวหมิงเยี่ยนค้อมตัวก้มศีรษะลงรับคำสั่งของราชครูเว่ยนั้น ในใจกลับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็สงสัยมาโดยตลอดถึงการตัดสินใจของท่านราชครูหลังจากเหตุการณ์อันตรายบนถนนหลวงริมทะเลสาบเยี่ยนจื่อ แต่เมื่อเร็วๆ นี้เหตุการณ์หลายๆ อย่างดูเหมือนจะไขความคลางแคลงใจออกทีละชั้นๆ ท่านราชครูต้องมีจิตคิด ‘ตัดแขนเสื้อแบ่งลูกท้อ’ กับฮ่องเต้น้อยผู้สูงส่งที่ยโสโอหังพระองค์แน่ๆ จึงพลอยรู้สึกเอ็นดูเมตตาองค์หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับฮ่องเต้ไปด้วย…

องค์หญิงที่เอาแต่สนใจแค่เรื่องกิน แต่งตัว และทำเรื่องสนุกสนานไปวันๆ ก็ไม่ใช่คนที่ต้องเกรงกลัวอันใด การยืมชื่อองค์หญิงยังจะทำให้ท่านราชครูก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างถูกต้องชอบธรรมเสียอีก แต่…ฮ่องเต้ที่เฉลียวฉลาดความคิดความอ่านกว้างไกลแยบยลลึกซึ้งพระองค์นั้นเล่าจะยินยอมอยู่ใต้อาณัติของท่านราชครูหรือ ดูจากท่าทีของท่านราชครูด้วยแล้วก็ออกจะเมตตาเอ็นดูโอรสสวรรค์หนุ่มพระองค์นี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยากที่จะรับรองได้ว่าสักวันหนึ่งจะถูกสองคนพี่น้องนี่ร่วมมือกันวางแผนเล่นงานเอาได้น่ะสิ…

ครั้นนึกถึงตรงนี้สีหน้าของชิวหมิงเยี่ยนก็เคร่งเครียดขึ้นทันที ต่อให้ต้องทุ่มสุดตัวเขาก็จะไม่ยอมให้ใครมามีผลกระทบต่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของราชครูเว่ยได้เป็นอันขาด! ต่อให้เป็นฮ่องเต้น้อย…ชายหนุ่มที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจผู้นั้น…ก็ยอมไม่ได้เช่นกัน!

เมื่อออกจากห้องตำราชิวหมิงเยี่ยนเดินผ่านทางเข้าอุทยานหลวง และบังเอิญเห็นฮ่องเต้น้อยเดินเตร็ดเตร่อยู่ในสวน มือถือพัดขนนกไว้ นั่งลงบนเก้าอี้หวาย จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าซับไปบน…ใบหน้าของซั่นหมัวมัว! มองไกลๆ เหมือนเรื่องราวเกี่ยวกับโอรสสวรรค์พานพบหญิงงามในอุทยานหลวงโดยบังเอิญ น้ำใจของพระองค์ช่างกว้างขวางยิ่งนัก เมตตากรุณาต่อหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูเปราะบางเหมือนดอกไม้ที่พร้อมจะร่วงโรยอย่างเต็มเปี่ยม

ดูซั่นหมัวมัวนั่นปะไร แม่ทัพหญิงผู้สง่างามในอดีตตอนนี้กลับแก้มแดงระเรื่อยอมให้ฮ่องเต้หยอกเอินตามใจชอบเสียด้วย! เดิมทีคิดว่าความชอบของเจ้าหลี่ว์อวี้ต๋านั่นก็แปลกพอรับได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าโอรสสวรรค์หนุ่มนี่ก็กินไม่เลือก กระทั่งของดิบของเย็นก็ไม่เกี่ยง! แม้แต่นางข้าหลวงผิวหยาบกร้านร่างใหญ่ที่อยู่ข้างกายองค์หญิงก็ไม่เว้นเช่นกัน! หรือฮ่องเต้น้อยรู้ประวัติตื้นลึกหนาบางของแม่ทัพหญิงซั่นเถี่ยฮวา จึงใช้เสน่ห์ของตนมาดึงดูดซั่นเถี่ยฮวาให้แปรพักตร์เป็นพวกตนเองเพื่อหักหลังท่านราชครู

ชิวหมิงเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกถึงความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรงจนไม่อาจควบคุมได้ ข้าราชสำนักอย่างเขาไม่สะดวกที่จะเข้าไปในอุทยานหลวง จึงยืนรออยู่ด้านนอกจนกว่าซั่นเถี่ยฮวาจะออกมา

 

เนื่องจากราชครูเว่ยสั่งไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะพาไปล่องเรือที่ทะเลสาบ เนี่ยชิงหลินคร้านที่จะขยับตัวเดินกลับไปยังตำหนัก จึงนั่งอยู่ในอุทยานหลวงสักพัก ดอกไม้ที่ปลูกโดยพี่หกนั้นมองเท่าไรก็ไม่เบื่อจริงๆ ทั้งยังใช้ประโยชน์ได้ดีเสียด้วย ดอกเบญจมาศที่มีลักษณะเหมือน ‘ปุยหิมะ’ นี้เป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมในการทำผงดอกไม้อัดแท่งเนื้อละเอียดเลยทีเดียว เมื่อทาลงบนใบหน้าแล้วเนื้อแป้งไม่เพียงแต่เนียนละเอียดเท่านั้น แต่ยังติดทนนานไม่เป็นคราบ ทั้งยังทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนอีกด้วย เนื่องจากดอกไม้นี้ไม่ใช่ของที่ปลูกได้ทั่วไปในดินแดนจงหยวน ปีที่ผ่านๆ มาก็ออกดอกน้อยมาก ต่อให้เป็นพระชายาที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในวังก็ยังได้รับเพียงหนึ่งหรือสองแท่งเป็นอย่างมากเท่านั้น หากไม่ใช่วันสำคัญก็ไม่มีทางเอามาบดทาประทินโฉมให้สิ้นเปลืองแน่

แต่พี่หกของนางขยายพันธุ์ดอกไม้ด้วยการทาบกิ่ง สามารถปลูกดอกไม้ได้เต็มแปลงในสวนของตนเอง ทั้งยังจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญจากเจียงหนานที่มีชื่อเสียงในการทำเครื่องประทินโฉมมาสกัดผงดอกไม้ แยกบรรจุเป็นสี่กล่องอย่างพิถีพิถัน ซึ่งทั้งหมดได้ถูกส่งแยกมาให้องค์หญิงหย่งอันน้องสาวฝาแฝดของฮ่องเต้กับเสิ่นฮองเฮาตามลำดับ

เมื่อเร็วๆ นี้เนี่ยชิงหลินศึกษาการประทินโฉมด้วยปุยหิมะที่เมื่อก่อนสนมชายาเสียดายไม่กล้าใช้ แต่กลับถูกองค์หญิงน้อยผู้สุรุ่ยสุร่ายใช้หมดไปเกือบครึ่งกล่องในเวลาเพียงไม่กี่วัน นอกเหนือจากประทินโฉมบนใบหน้าของตนเองแล้ว นางกำนัลนางข้าหลวงข้างกายก็ไม่เว้นอีกต่างหาก

ซั่นหมัวมัวจึงเป็นผู้ที่ต้องได้รับการดูแลก่อนเป็นคนแรก องค์หญิงสังเกตเห็นว่าปกติซั่นเถี่ยฮวามักมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ประกอบกับการที่อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมาเป็นเวลานาน จึงไม่แปลกที่สีผิวจะดูหมองคล้ำและผิวหน้าค่อนข้างหยาบกร้าน ทว่าถึงแม้ซั่นเถี่ยฮวาอายุเกือบสี่สิบปีแล้วแต่กลับไม่ค่อยมีริ้วรอยมากนัก ซึ่งน่าจะเป็นธรรมชาติมอบมาตั้งแต่กำเนิด คิ้วดกหนานัยน์ตาโต ทำให้หน้าตาของนางดูไม่เลวเลยทีเดียว นี่เองจึงทำให้องค์หญิงหย่งอันเกิดความคิดที่จะช่วยปรับรูปลักษณ์ของคนข้างกายให้ดูดีขึ้นทันที

ซั่นหมัวมัวไม่กล้าขัดขืนองค์หญิง จึงปล่อยให้นางที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำประทินโฉมให้แต่โดยดี ทว่าองค์หญิงเป็นคนมีรูปโฉมงดงาม ไม่ว่าจะประทินโฉมบนใบหน้าหน้าหนักหรือเบาก็ล้วนออกมางดงาม แต่พอประทินโฉมให้ผู้อื่นอาจลงน้ำหนักมือหนักไปสักหน่อยเลยออกมาดูแปลกไปบ้าง

วันนี้ซั่นหมัวมัวจึงเดินง่วนอยู่ในตำหนักเฟิ่งฉูด้วยแก้มสองข้างที่แดงเข้มอย่างนี้มาตลอดทั้งเช้า

เนื่องจากจู่ๆ เนี่ยชิงหลินก็นึกถึงความคิดในการนำทรัพย์สินไปจำนำ จึงสั่งให้คนไปตามซั่นหมัวมัวมาเพื่อถามนางว่ามีเงินเหลือจากส่วนของตำหนักเฟิ่งฉูหรือไม่ พอจะลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้างหรือไม่ แต่พอเห็นใบหน้าของซั่นหมัวมัวท่ามกลางแสงแดดที่สดใสเจิดจ้า แม้แต่เจ้าตัวที่เป็นคนแต่งหน้าให้ก็ยังสะดุ้งโหยงพลางนึกในใจว่า เช้านี้มีแสงไม่เพียงพอ จึงลงแป้งไปเสียหนาเตอะ ใบหน้าของซั่นหมัวมัวดูเหมือนคนที่จับไข้หน้าแดงสุกแล้วก็ไม่ปาน!

พอเห็นดังนี้องค์หญิงน้อยจึงรีบปาดเหงื่อเย็นออกอย่างรู้สึกผิดแล้วสั่งให้ซั่นหมัวมัวนั่งคุกเข่าลง จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเกลี่ยสีแดงบนแก้มของอีกฝ่ายให้จางลงสักหน่อย เนื่องจากเจ้านายกับข้ารับใช้อยู่ด้วยกันจนเคยชินแล้ว จึงลืมไปว่าขณะนี้องค์หญิงอยู่ในเสื้อคลุมมังกร

แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ในสายตาของชิวหมิงเยี่ยนแล้วกลับดูเหมือนว่าโอรสสวรรค์เจ้าสำราญที่เพิ่งหยอกเย้ากับท่านราชครูไป ไม่ทันไรก็หันมาหยอกเอินนางข้าหลวงแม่ม่ายด้วยอีกคนแล้ว! เชื้อไม่ทิ้งแถวสมกับที่เป็นโอรสของฮ่องเต้พระองค์ก่อนจริงๆ ทำตัวเสเพลเกี้ยวคนไปทั่วโดยไม่เลือกหน้าเลยนะ! ครั้นชิวหมิงเยี่ยนคิดอย่างนี้ก็โมโหจนมือเท้าเย็นไปหมด เขาอุตส่าห์รอจนกระทั่งซั่นหมัวมัวเดินออกมาจากอุทยานหลวงแล้วจึงเรียกนางไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม่ทัพซั่นโปรดหยุดก่อน!”

ซั่นเถี่ยฮวาหันกลับมามอง ที่แท้ก็คือชิวหมิงเยี่ยนที่รู้จักกันมานานตั้งแต่ตอนอยู่ในกองทัพนี่เอง สีหน้าของนางจึงอ่อนลง พอนึกขึ้นได้ว่าเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีแล้ว จึงรีบทำความเคารพอย่างเต็มพิธีการ “คารวะท่านอัครมหาเสนาบดีชิว”

ชิวหมิงเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองซั่นหมัวมัวอย่างเย็นชาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นางสวมเสื้อตัวสั้นลายใบไผ่สีเขียวมรกตแซมด้วยดอกไม้เล็กๆ จับคู่กับกระโปรงจีบลายพระจันทร์หรูอี้ ทรงผมรวบตึงเป็นมวยเมฆาอยู่ข้างหู เสียบปิ่นปักผมประดับมุกเป็นรูปดอกไม้ปะการัง ผัดหน้าด้วยผงชาดจนใบหน้าแดงเถือก มองอย่างไรก็มิใช่การแต่งกายหยาบๆ ของนางพญาอสูรแขนเหล็กแห่งกองทัพในอดีตจริงๆ

มิน่าเล่าน้ำเสียงของหลี่ว์อวี้ต๋าเมื่อไม่กี่วันก่อนถึงได้เจือไปด้วยความชอกช้ำใจถึงเพียงนั้น เดิมทีเขายังชื่นชมความยึดมั่นในการครองตนเป็นม่ายของซั่นเถี่ยฮวาที่ปฏิเสธคนที่อายุน้อยกว่าอย่างหลี่ว์อวี้ต๋านี้ได้อย่างไม่ไยดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางพญาอสูรแขนเหล็กผู้นี้กลับมีความคิดมักใหญ่ใฝ่สูงเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ต้องเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้น แต่หน้าตาต้องหล่อเหลาอีกด้วย! เมื่อเทียบกับโอรสสวรรค์หนุ่มผู้สง่างามแล้ว หลี่ว์อวี้ต๋าที่หนวดเครารกรุงรังนั่นก็ไม่ใช่คู่แข่งที่สูสีกันจริงๆ…

ครั้นคิดดังนี้คำพูดที่ออกจากปากของอัครมหาเสนาบดีชิวก็ค่อนข้างเสียดสีอยู่ในที “เดิมทีได้ยินแม่ทัพหลี่ว์พูดว่าแม่ทัพซั่นงามขึ้นกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา ข้าก็ยังไม่เชื่อสักเท่าใด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าคำพูดของหลี่ว์อวี้ต๋านั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย บรรยายความงามของแม่ทัพซั่นจากที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป เพียงแต่แม่ทัพซั่น ตอนนี้ท่านอยู่ในวังนี่แล้ว ขอจงอย่าได้ลืมเจตนาเดิมที่ท่านราชครูส่งท่านมาที่นี่เป็นอันขาด อย่ามัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดเกาะบุรุษหมายไต่เต้าขึ้นที่สูงจนลืมกำพืดของตนเองเสียเล่า!”

คำพูดของชิวหมิงเยี่ยนตั้งใจสื่อความนัยบางอย่าง แต่พอเข้าไปในหูของซั่นเถี่ยฮวากลับถูกตีความไปเป็นคนละเรื่อง นางนึกถึงคำพูดของหลี่ว์อวี้ต๋าที่เมาแล้วพูดจาหยอกล้อนางในวันนั้น ไม่แน่ว่าปากไม่มีหูรูดของเจ้านั่นอาจเผลอพูดจาพล่อยๆ อะไรออกไปบนโต๊ะสุรากับสหายร่วมรบเก่าๆ ก็เป็นได้ จึงไพล่คิดไปว่าชิวหมิงเยี่ยนผู้นี้ก็พลอยเอาอย่างบ้าง ยกคำพูดของหลี่ว์อวี้ต๋ามาพูดจาเย้าแหย่ถากถางนางอีกคน!

นางโกรธจนใบหน้าแดงก่ำโดยไม่จำเป็นต้องผัดแป้งชาดเลยในทันใด สัญชาตญาณความดุร้ายของนางพญาอสูรที่เก็บกดอยู่ในวังมานานแทบจะสะกดข่มไม่ไหวไปชั่วขณะหนึ่ง นางจ้องหน้าชิวหมิงเยี่ยนด้วยท่าทางเอาเรื่อง “หากยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกล่ะก็ อย่าต่อว่านางพญาอสูรอย่างข้าที่ทุบตีอัครมหาเสนาบดีอย่างเจ้าให้ฟันหน้าร่วงกระเด็นจนหาไม่เจอเล่า!”

พูดจบก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง!

ชิวหมิงเยี่ยนในฐานะกุนซือซึ่งแทบไม่ต้องออกรบด้วยตนเองเลย ไม่เคยเห็นนางพญาอสูรแขนเหล็กที่เลื่องชื่อแห่งค่ายทหารแสดงท่าทางข่มขู่ดุร้ายเยี่ยงนี้มาก่อน พอเจอคำขู่เข้าไปก็ทำเอายืนตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่กับที่ไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพมาเส้นทางของเขาก็ราบรื่นไร้อุปสรรคมาโดยตลอด ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่มีใครกล้าพูดจาสามหาวกับเขาเช่นนี้มานานพอดูแล้ว

แต่ปกติแล้วซั่นเถี่ยฮวานั่นก็เป็นคนสำรวมมีระเบียบวินัยดี คำพูดวันนี้ต้องไปจี้ใจดำของนางเข้าแน่ๆ ถึงได้อับอายจนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างนี้ นี่คงถูกยาเสน่ห์อะไรเข้าไปถึงทำให้จิตใจมืดบอดไปแล้ว

ฮ่องเต้พระองค์นั้นช่างน่ากลัวอย่างกับปีศาจจริงๆ! ใครเข้าใกล้เป็นไม่ได้ เหมือนถูกอาคมสะกดให้ลุ่มหลงลืมตัวสูญเสียสติสัมปชัญญะกันไปหมด!

 

บทที่ 85

การเตรียมของขวัญเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับของขวัญเป็นคนที่มั่งคั่งร่ำรวยมหาศาลยิ่งกว่าใครๆ ในแคว้นเสียอีก เว่ยเหลิ่งเหยามีสมบัติล้ำค่าหายากอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่จวนก็มีอนุอ่อนเยาว์รูปโฉมงดงามเต็มไปหมด คนเช่นนี้ยังจะขาดอะไรได้อีกเล่า

หลังจากเนี่ยชิงหลินกลับถึงตำหนักเฟิ่งฉูแล้ว นางก็เริ่มม้วนปอยผมเล่นอย่างกลัดกลุ้มเมื่อเห็นของที่ซั่นหมัวมัวรื้อออกมา สิ่งของที่ควรค่าแก่การเอาไปจำนำพวกนี้ล้วนแต่เป็นของที่ราชครูเว่ยจัดหามาให้นางจากดินแดนโพ้นทะเลทั้งสิ้น หากนางขายออกไปจริงๆ การยืมดอกไม้ถวายพระ เช่นนี้คงเป็นเรื่องไร้ยางอายของคนในราชวงศ์อย่างแน่แท้

เนี่ยชิงหลินครุ่นคิดวกไปเวียนมาอยู่หลายตลบแล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้น บังเอิญว่าเสิ่นฮองเฮามาหานางเพื่อหาอะไรทำด้วยกันเพลินๆ เป็นการฆ่าเวลาพอดี มีนางกำนัลข้างกายถือตะกร้าใส่เครื่องมือเย็บปักถักร้อยมาด้วย ข้างในมีผ้าที่ปักค้างไว้ซึ่งเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งวางอยู่

เนี่ยชิงหลินเห็นท่าทางของเสิ่นฮองเฮาขณะกำลังนั่งร้อยด้ายปักผ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจแล้วดวงตาก็ทอประกายขึ้นมาทันทีพลางคิดในใจว่า หากข้าสามารถปักผ้าได้ด้วยฝีมือของตนเองจนสำเร็จ คงเป็นของขวัญที่มีคุณค่าและน่าภาคภูมิใจไม่น้อย พอคิดดังนี้นางจึงสั่งให้ซั่นหมัวมัวหยิบผ้าไหมมาผืนหนึ่ง แล้วให้เสิ่นฮองเฮาช่วยวาดลวดลายลงบนผ้าให้ จากนั้นก็เริ่มฝึกปักตามลวดลายด้วยความตั้งใจ

น่าเสียดายที่องค์ชายสิบสี่แห่งต้าเว่ยนอกจากจะไม่เอาไหนในศาสตร์ทั้งหกแล้ว ทักษะการเย็บปักถักร้อยก็ยังไม่ได้เรื่องอีกต่างหาก เมื่อครั้งที่วางท่าเย็บ ‘รองเท้าอวยพร’ ด้วยท่าทางฮึกเหิมลงฝีเข็มอย่างมั่นอกมั่นใจนั้นก็ท่าดีทีเหลวไปหนหนึ่งแล้ว คราวนี้พอปักไปได้ไม่กี่เข็มก็ทำเอาเสิ่นฮองเฮาถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียว กระนั้นหากนางพูดออกไปตรงๆ ก็เกรงว่าจะเป็นการหมิ่นเกียรติองค์หญิงหย่งอันซึ่งคงไม่ใคร่เหมาะสักเท่าใดนัก จึงได้แต่พูดพึมพำขึ้นว่า “ปลายเข็มแหลมคมเช่นนี้ใช้เป็นอาวุธสังหารได้เลย ในอารามชีคงห้ามไม่ให้จับเข็มเย็บปักถักร้อยเลยใช่หรือไม่”

องค์หญิงหย่งอันยิ้มเจื่อนพลางก้มมองดูผลงานของตนเอง ก่อนจะหันไปมองผลงานในมือของเสิ่นฮองเฮาซึ่งเป็นลวดลายแบบเดียวกัน แต่ปักออกมาแล้วกลายเป็นสัตว์คนละชนิดโดยแท้จริง ทำให้นางออกจะท้อใจอยู่สักหน่อย

เสิ่นฮองเฮารู้สึกว่าเกิดเป็นสตรีก็ควรมีความเชี่ยวชาญในงานเย็บปักถักร้อย การนั่งสนเข็มร้อยด้ายปักผ้าอยู่ในห้องโถงนั้นย่อมเพิ่มเสน่ห์แห่งความเป็นแม่ศรีเรือนเป็นภรรยาที่ดีมีคุณธรรมได้อย่างแน่นอน ครั้นเห็นว่าเพราะชาติกำเนิดอันพลิกผันของน้องสามีจึงทำให้นางขาดทักษะที่สำคัญและจำเป็นที่หญิงสาวพึงมีเพื่อแสดงถึงความเป็นกุลสตรีแล้วก็อดรู้สึกกังวลอยู่ในใจลึกๆ ไม่ได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนลวดลายให้เป็นแบบง่ายๆ เพื่อให้เนี่ยชิงหลินฝึกวาดลวดลายลงบนผ้าและฝึกเย็บปักถักร้อยต่อไป

 

ไม่รู้ว่าช่วงนี้ราชครูเว่ยยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องอะไร จึงไม่ได้มาค้างคืนที่ตำหนักเฟิ่งฉูแห่งนี้หลายคืนติดต่อกันแล้ว แต่ก็ทำให้นางมีเวลาที่จะเย็บปักแถบรัดเอวนี้อย่างสงบ หลังจากใช้สมาธิจดจ่อตั้งใจปักมันอยู่ช่วงหนึ่ง ในที่สุดเนี่ยชิงหลินก็เงยหน้าขึ้นขยับไหล่และคอที่แข็งตึงเมื่อยล้าจากการนั่งหลังขดหลังแข็งลงมือเย็บปักอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมองดูผลงานชิ้นเอกของตนอย่างพินิจพิจารณา ใช้เวลาไปตั้งหลายวันหลายคืน สามารถปักแถบรัดเอวที่มีลวดลายเรียบร้อยงดงามออกมาเส้นหนึ่งได้สำเร็จจริงๆ ประดับด้วยไข่มุกขนาดเท่าปลายนิ้วหัวแม่มือหกเม็ดด้วยแล้วก็ถือว่างดงามเลอค่าพอตัวอยู่เหมือนกัน

เนี่ยชิงหลินวางแถบรัดเอวเส้นนั้นไว้บนโต๊ะตัวเล็ก แล้วเอียงศีรษะไปมาเมียงมองเปลี่ยนมุมไปเรื่อยเพื่อตรวจดูผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้อีกรอบหนึ่ง หากไม่สังเกตให้ดีในจุดที่เส้นด้ายหลุดออกไปแล้วล่ะก็ ลวดลายที่เลื้อยอยู่บนแถบรัดเอวก็ถือว่าเป็นมังกรวารี ‘ถอดเกล็ด’ ที่ดูสง่างามน่าเกรงขามไม่หยอกตัวหนึ่งเหมือนกัน พอดูจนหนำใจแล้วเนี่ยชิงหลินก็ทิ้งตัวลงบนตั่งนุ่มด้วยความพึงพอใจ ยกขาทั้งสองขึ้นมาไขว้กันพลางหยิบพุทราเชื่อมเม็ดหนึ่งเข้าปากเคี้ยว

ขณะที่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง ลุกไปหยิบกล่องผ้าไหมลวดลายวิจิตรประณีตออกมาจากชั้นหนังสือที่ทำด้วยไม้หนานมู่สีทอง จากนั้นก็เอาแถบรัดเอวใส่เข้าไปแล้วปิดกล่องลงไปด้วยความพึงพอใจ

หลายวันมานี้ไม่ค่อยได้พบท่านราชครูเลยแม้แต่ในเวลากลางวัน เนี่ยชิงหลินจึงอดรู้สึกแปลกใจอยู่สักหน่อยไม่ได้ นางเอ่ยถามหยวนกงกง ก่อนได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘ดูเหมือนจะมีคนมาที่จวนของท่านราชครู น่าจะยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกเหรื่ออยู่กระมังพ่ะย่ะค่ะ’

วันเกิดของราชครูเว่ยตรงกับวันสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงและกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เช้านี้พอตื่นขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากนอกหน้าต่างที่ลอดเข้ามา องค์หญิงหย่งอันนอนขดตัวในผ้าห่มอุ่นๆ บนเตียงอย่างเกียจคร้านอยู่เกือบครึ่งค่อนวันถึงได้ลุกขึ้นมาแต่งตัวโดยมีซั่นหมัวมัวคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่าง เสื้อคลุมตัวบางได้ผ่านการรีดด้วยเตารีดขนาดเล็กไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อสวมใส่จึงทำให้รู้สึกอุ่นสบาย วันนี้ควรสวมชุดใดดีนะ

องค์หญิงหย่งอันใช้เวลาเลือกชุดอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกชุดกระโปรงลายผีเสื้อคู่ทอด้ายสีทอง เวลาเดินชายกระโปรงที่อยู่ด้านหลังก็จะพลิ้วไหวเหมือนระลอกคลื่นซึ่งงดงามจับตาน่าหลงใหลอย่างยิ่ง!

ต่อมาก็เป็นช่วงเวลาอันแสนเพลิดเพลินขององค์หญิงหย่งอันในการเกล้ามวยผมและประทินโฉมหน้าคันฉ่อง ผงดอกไม้อัดแท่งที่ผัดลงบนผิวหน้าทีละชั้นทำให้ใบหน้าที่เดิมทีขาวผ่องอมชมพูอยู่ก่อนแล้วยิ่งดูกระจ่างใสราวกับไข่มุกขึ้นไปอีก จากนั้นก็ปัดแก้มด้วยผงชาด แล้วแต้มน้ำมันชโลมผมเนื้อข้นสีชมพู จากนั้นก็จัดแต่งทรงผมตามแบบฉบับสตรีในวัง เพียงเท่านี้ความเปล่งปลั่งงดงามก็ปรากฏอยู่ในคันฉ่องแล้ว

หลังจากประทินโฉมเกล้าผมเรียบร้อยแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคยเช่นทุกวัน เริ่มต้นอาหารเช้าด้วยแป้งไข่ม้วนใส่ถั่วแดงมะพร้าวที่หวานเลี่ยนจนแทบอ้าปากไม่ขึ้น ส่วนน้ำแกงเป็ดตุ๋นโสมอวี้จู๋ ในอาหารกลางวันทำให้อุ่นสบายท้องยิ่งนัก พอตกบ่ายก็อ่านหนังสือนิยายไปครึ่งเล่มอย่างเพลิดเพลิน เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พร้อมกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่เคลื่อนคล้อยออกไปโดยไม่รู้ตัว

กระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วก็ยังไม่เห็นเงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูตำหนักเลย

“องค์หญิงเพคะ ข้างนอกอากาศหนาวเย็นเกินไปแล้ว หากองค์หญิงทรงรู้สึกว่าในห้องอากาศอุดอู้ไปหน่อย หม่อมฉันจะเปิดหน้าต่างแง้มไว้ให้ แต่องค์หญิงจะประทับนั่งตากลมเย็นๆ เช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ!”

ซั่นหมัวมัวมองดูองค์หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในอุทยานของตำหนักแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

เนี่ยชิงหลินกอดเจ้าแมวขนปุกปุยนุ่มนิ่มน่ารักไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย ขนตางามงอนหลุบลงมาครึ่งหนึ่ง สั่นระริกเบาๆ “หลังอาหารเย็นรู้สึกท้องอืดอยู่เล็กน้อย เลยมาเดินเล่นนั่งเล่นในสวนสักหน่อยให้พอสบายตัวขึ้นบ้าง ซั่นหมัวมัวช่วยจัดที่นอนให้ข้าที วันนี้รู้สึกเพลียๆ อยากเข้านอนเร็วสักหน่อย”

เนี่ยชิงหลินซึ่งนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผ้าอันอบอุ่นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับนางนะ ช่างน่าขันเสียจริง ถึงกับเก็บเอาคำพูดล้อเล่นของราชครูเว่ยที่ว่าจะมาฉลองวันเกิดด้วยกันมาถือเป็นจริงเป็นจังไปเสียได้ ต่อให้ท่านราชครูบอกว่าจะไม่จัดงานเลี้ยงวันเกิด แต่สหายสนิทมาเยือนถึงจวนก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ทุกคนไป คงปลีกตัวออกมาไม่ได้ง่ายๆ หรอก คนที่ดำรงตำแหน่งสูง มีผู้คนไปมาหาสู่ด้วยบ่อยครั้งหาใช่เรื่องที่สตรีที่อยู่แต่ในตำหนักในคนหนึ่งจะพึงจินตนาการได้ อย่าว่าแต่แขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยือนเลย เขาย่อมอยากใช้เวลาอยู่กับญาติๆ ในครอบครัวเป็นธรรมดา อีกทั้ง…เขายังมีอนุตั้งมากมายถึงเพียงนั้น คนเป็นสามีจะปฏิเสธคำขอของอนุที่อยากมอบความรักความปรารถนาดีให้ในวันเกิดได้อย่างไรกันเล่า

ก่อนหน้านี้นางรู้สึกอยู่ร่ำไปว่าการที่มารดาเฝ้ารอคอยเสด็จพ่ออย่างโดดเดี่ยวในลานตำหนักอยู่เป็นนานท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงานั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี แต่พอมาถึงตอนนี้นางก็ไม่แตกต่างกันเลย…

ที่แท้ก็แสนเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้…ข้าก็สมควรถูกตีเช่นกัน ไม่รู้ว่ามัวคาดหวังตั้งตารออะไรอยู่กันแน่

หลังจากเศร้าหมองไปกับเรื่องที่คิดเองเออเองราวกับคนโง่งมมาทั้งวันแล้ว เนี่ยชิงหลินจึงตัดสินใจเข้านอนให้เร็วขึ้น จะได้ลืมเรื่องโง่เขลาฟุ้งซ่านของตนเองในวันนี้ไปให้หมดสิ้น โดยสั่งให้ซั่นหมัวมัวเตรียมน้ำอุ่นมาให้นาง หลังล้างหน้าและล้างมือล้างเท้าจนสะอาดดีแล้วก็ขึ้นเตียง หลังจากพลิกตัวไปมาในผ้าห่ม ข่มตาหลับอยู่สักพัก ความง่วงก็เริ่มเข้าครอบงำในที่สุด

ระหว่างที่ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมออยู่นาน เนี่ยชิงหลินก็ลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วพบว่าเตียงนอนกลับเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุขตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ กระดาษสีแดงปลิวว่อนไปทั่ว บรรยากาศดูเหมือนห้องโถงจัดพิธีแต่งงานในจวนสกุลเก๋อก็ไม่ปาน แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็กลายเป็นสีแดงดุจเลือดที่เหนียวหนืดไหลซึมลงบนพื้นท้องพระโรงในช่วงเหตุการณ์กบฏในวังคราวนั้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้นางอึดอัดพยายามกลั้นหายใจสุดชีวิต แต่ขณะที่เดินไปข้างหน้าด้วยความสับสนงุนงงอยู่นั้นกลับพบว่าตนเองยืนอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่งที่ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอบตัวเต็มไปด้วยสภาพเหมือนกับวันที่เปิดประตูระบายน้ำนั่นเลยทีเดียว กระแสน้ำเชี่ยวกรากราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง พร้อมที่จะพัดเรือน้อยให้พลิกคว่ำได้ในทุกขณะจิต นางยืนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงไปมาจนตัวโยนด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงไร้ที่พึ่งพิงอย่างเดียวดาย ทันใดนั้นนางก็พบว่ามีเงาขนาดใหญ่อยู่ใต้ลำเรือ ราวกับมีสัตว์ประหลาดกินคนซุ่มซ่อนอยู่ใต้คลื่นน้ำ หัวเราะเสียงแหลมแปลกประหลาดแสบแก้วหู ‘เจ้าหนีไม่พ้นหรอก สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในอ้อมแขนของข้าอยู่ดี’

นางอยากตะโกนเรียกหาใครสักคน เรียกท่านแม่ เรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์ แต่เสียงที่หลุดออกมาจากปากของนางกลับเป็นเสียงแหบแห้งที่ร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านราชครู!”

หลังเสียงที่ตะโกนออกไปในความว่างเปล่านั้นราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างฉุดรั้งนางไว้ พยายามจะดึงนางเข้าสู่วังน้ำวนที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งให้จงได้!

“ไม่! ปล่อยนะ ท่านราชครูช่วยข้าด้วย กรี๊ด!” ความตื่นตระหนกหวาดกลัวจับใจเกินบรรยายทำให้นางดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่ความพยายามทั้งหมดกลับถูกท่อนแขนที่แข็งแกร่งปานเหล็กคู่หนึ่งรัดไว้แน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้

“ตื่นๆ กั่วเอ๋อร์ ตื่นสิ!” ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งตบแก้มนางเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่น นางถึงได้ฝืนลืมตาที่มีหยาดน้ำคลอหน่วยขึ้นมา ก่อนจะพบว่านางถูกบุรุษคิ้วหนานัยน์ตาหงส์ผู้นั้นกอดรัดในอ้อมแขนเสียแน่น

เมื่อเห็นว่านางลืมตาขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จูบแก้มของนางที่เปียกชุ่มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฝันร้ายอะไรอยู่หรือ ถึงปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่นเสียที”

หลังถามคำถามนี้ออกไปก็เห็นหญิงสาวในอ้อมแขนกะพริบตาที่สะลึมสะลืออย่างงุนงง ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อีกครั้งโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ถูใบหน้าเล็กๆ กับอกเสื้อของเขาไปมาอยู่หลายครั้ง ขนตาที่เปียกชื้นไม่สั่นระริกอีกต่อไป ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดแต่อย่างใด

กั่วเอ๋อร์ผู้นี้เป็นคนที่มีเปลือกแข็งหุ้มตนเองไว้ เว่ยเหลิ่งเหยารู้ว่าปกตินางเป็นคนที่ชอบฝันขณะหลับ ซึ่งเก้าในสิบครั้งที่ฝันล้วนเป็นฝันร้ายทั้งสิ้น และทุกครั้งที่ฝันร้ายก็มักดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ข้างๆ เขาตลอด ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ทว่าแต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยนอนละเมอพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว

วันนี้กลับรู้จักตะโกนเรียกเขาเสียด้วยสิ ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก ในใจเขาแอบรู้สึกดีใจมาก แต่ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดใจไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่ากั่วเอ๋อร์ที่น่าสงสารฝันถึงอะไรถึงทำให้หวาดกลัวถึงเพียงนี้ได้

ราชครูเว่ยรู้ว่ากั่วเอ๋อร์น้อยที่เป็นเหมือนผลไม้เปลือกแข็งผู้นี้ใช้แรงบีบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ไม่อาจบังคับนางให้เผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้ จึงไพล่ไปพูดอีกเรื่องหนึ่งแทน “องค์หญิงทรงรับปากไว้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่าจะฉลองวันเกิดกับกระหม่อม เหตุใดเพิ่งจุดโคมไฟได้ไม่ทันไรก็รีบบรรทมเสียได้ หรือทรงลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว?”

เนี่ยชิงหลินพลันรู้สึกตัวและค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ในที่สุด จึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เดิมทีก็ไม่กล้าลืมหรอก เพียงแต่คิดว่าท่านราชครูคงวิ่งวุ่นอยู่ในจวนจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ อีกทั้งวันนี้อากาศก็เย็นด้วย เลยเข้านอนเร็วหน่อย”

เว่ยเหลิ่งเหยาลูบผมยาวสลวยเรียบลื่นของนางแล้วหันไปเรียกซั่นหมัวมัว “คืนนี้มีน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็นมาก ไปหยิบเสื้อคลุมกันลมขนเตียวสีขาวที่ข้าสั่งให้คนส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนมาที แล้วเลือกชุดที่หนาสักหน่อยมาให้องค์หญิงเปลี่ยนด้วย”

เมื่อได้ยินดังนี้เนี่ยชิงหลินก็กะพริบตาปริบๆ นี่ท่านราชครูตั้งใจจะให้นางลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างนั้นหรือ ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปที่ใดอีกล่ะนี่

ซั่นหมัวมัวทำงานอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ไม่ทันไรก็นำเสื้อผ้าทั้งหมดมาให้ ราชครูเว่ยไม่ให้ใครช่วย เขาลงมือเปลี่ยนชุดให้องค์หญิงหย่งอันด้วยตนเอง หลังจากสวมเสื้อคลุมกันลมให้แล้วก็สวมรองเท้าให้นาง จากนั้นจูงนางออกจากตำหนักเฟิ่งฉูไป

รถม้าคันหนึ่งที่บุผ้าหนาในตัวรถเพิ่มเรียบร้อยได้จอดคอยท่าอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก พอราชครูเว่ยและองค์หญิงขึ้นรถม้าแล้ว ม้าก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าอย่างเป็นจังหวะทันที

เส้นทางที่จะเดินทางไปนั้นไม่ไกลนัก เพียงไม่นานก็ถึงจุดหมาย ครั้นขันทีน้อยเลิกม่านรถม้าขึ้น เนี่ยชิงหลินก็มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้และพบว่าแท้จริงแล้วที่นี่ก็คือสวนผักซึ่งน่าจะถูกทิ้งร้างไปแล้วที่อยู่ด้านหลังวังลึกนั่นเอง

ในช่วงต้นของการก่อตั้งราชวงศ์ต้าเว่ย บรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าเว่ยตั้งใจที่จะเตือนบุตรหลานทั้งหลายของเขาให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของอวิ้นโหวแห่งราชวงศ์ก่อนหน้านี้ผู้ลุ่มหลงในความหรูหราสุขสบาย ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายเป็นบทเรียน ไม่อยากให้คนรุ่นหลังดำเนินรอยตามจนนำความเสื่อมเสียมาสู่แว่นแคว้นเหมือนอวิ้นโหว จึงสร้างสวนผักแห่งนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ ในวันว่างหากไม่มีธุระใดก็จะพาฮองเฮาและองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาที่นี่เพื่อปลูกผักและผลไม้ ซึ่งอาหารทั้งสามมื้อในวังล้วนเป็นผักและผลไม้ที่มาจากที่นี่ทั้งหมด

ทว่าที่ดินแห่งนี้ไม่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกจริงๆ ผักและผลไม้ที่ปลูกออกมารสชาติไม่หวานอร่อยพอ หลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์จึงมีรับสั่งให้จัดหาผักผลไม้มาจากนอกวังหลวงแทน ที่นี่จึงถูกปล่อยปละละเลยจนค่อยๆ กลายเป็นสวนรกร้างเปล่าประโยชน์ไปโดยปริยาย

แต่ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ถูกถมที่ปรับพื้นดินให้เรียบเพื่อสร้างโรงเรือนดอกไม้ขนาดใหญ่ตั้งแต่เมื่อใด วัสดุก่อสร้างของโรงเรือนดอกไม้ก็มีความพิเศษมากเช่นกัน โดยใช้เหล็กเนื้อดีคุณภาพสูงเป็นโครงสร้างและครอบด้วยวัสดุที่โปร่งแสงราวกับหยกอัญมณีใสดุจผลึกแก้ว หากเดินเข้ามาตอนกลางวันแสงแดดจะสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อเข้าไปก็พบว่าโรงเรือนดอกไม้ด้านในถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ กั้นด้วยไม้เถี่ยมู่* จากบนยอดเขาที่สูงที่สุดของเขากู่เหลียนซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวนับพันหลี่ในแผ่นดินต้าเว่ย ไม้เถี่ยมู่นี้มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนความเย็น ทนต่อลมและความชื้น เป็นวัสดุที่หาได้ยากยิ่งนัก

แต่ละห้องที่กั้นนั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันไปตามสภาพการเจริญเติบโตของดอกไม้แต่ละชนิด บางห้องก็อบอุ่นเฉกเช่นช่วงต้นฤดูร้อน บางห้องก็ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ไหว โรงเรือนดอกไม้เต็มไปด้วยความชื้นในอากาศ ยังมีน้ำพุร้อนที่ไม่รู้ว่าผุดมาจากที่ใดไหลเอื่อยๆ ไปตามรางไม้ที่ทำจากไม้เถี่ยมู่ขนานไปกับทางเดินไม้กระดานกลางโรงเรือนดอกไม้ด้วย

ในโรงเรือนดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่มีการจุดโคม แต่ดูเหมือนมีแสงสีเขียวอ่อนๆ ลอยอยู่ทั่วทุกหนแห่ง สะท้อนอยู่บนทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ประหนึ่งเป็นดินแดนเทพเซียนแสนอัศจรรย์

“องค์หญิงทรงชื่นชอบดอกไม้ แต่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กระหม่อมจึงเชิญช่างฝีมือมาสร้างโรงเรือนดอกไม้แห่งนี้ ต่อให้ถึงเวลาที่มีหิมะตกหนักปกคลุมไปทั่วก็ไม่ทำให้องค์หญิงทรงพลาดการชมดอกไม้ที่เบ่งบานตลอดทั้งสี่ฤดูแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงทุ้มต่ำก้องกังวานของราชครูเว่ยดังขึ้นที่ข้างหู แต่เนี่ยชิงหลินกลับไม่มีเวลาแสดงความซาบซึ้งขอบคุณ หิ่งห้อยที่ปล่อยแสงสีเขียวหลายตัวบินเข้ามาใกล้อยู่ตรงหน้านาง โบยบินสะบัดหางที่เป็นมันเงาอย่างเริงร่าบนเสื้อขนเตียวสีขาวของนาง จนดูเหมือนว่าขนเตียวอันหรูหรางดงามนั้นประดับด้วยอัญมณีแวววาวเจิดจรัสอยู่หลายเม็ด

ในช่วงฤดูกาลนี้แผ่นดินต้าเว่ยยังจะมีหิ่งห้อยได้ที่ใดกันเล่า แมลงทั้งหมดรวมถึงดอกไม้นานาชนิดในโรงเรือนดอกไม้นี้เป็นสิ่งที่ราชครูเว่ยทุ่มเงินมหาศาลเพื่อไหว้วานให้น้องชายของตนจัดหามาให้ และขนส่งมาจากดินแดนโพ้นทะเลเลยทีเดียว

เว่ยเหลิ่งเหยามองใบหน้าเรียวเล็กที่ดูตื่นเต้นของเนี่ยชิงหลินแล้วก็พลันรู้สึกว่าความพยายามที่เขาทุ่มเทไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ไม่ได้สูญเปล่าเลย เนื้อหาในหนังสือนิยายรักประโลมโลกพวกนั้นล้วนเป็นการดำเนินเรื่องแบบเดิมๆ พร่ำเพรื่อของพวกซิ่วไฉ ที่อัตคัดขัดสนทั้งนั้น คิดดูสิว่าติ้งกั๋วโหวผู้ทรงเกียรติอย่างเขาหากต้องการทำให้สาวงามในดวงใจเผยรอยยิ้มแย้มยินดีออกมาจะไปทำตามเจ้าพวกยากจนนั่นได้อย่างไร คิดไปคิดมาก็พบว่าก่อนหน้านี้ตนเองเสียเวลาเดินอ้อมไปช่วงหนึ่งเชียวนะ!

คนโบราณไม่ลวงหลอก แต่หนังสือไร้สาระนี้ก็ทำร้ายคนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ท่านราชครู…ต้องจัดงานฉลองวันเกิดให้ท่านไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาสร้างโรงเรือนดอกไม้ให้ข้าแทนเล่า” เนี่ยชิงหลินดึงสติตนเองกลับมาจากทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของดอกไม้บานสะพรั่งท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมราวกับแดนสวรรค์และแสงเรืองรองรายรอบตรงหน้าได้อย่างยากเย็น เอ่ยถามด้วยความสะเทิ้นอายอยู่สักหน่อย

ราชครูเว่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “องค์หญิงยังทรงจำได้ด้วยหรือว่าเป็นวันเกิดของกระหม่อม ทรงเตรียมของขวัญวันเกิดไว้แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เนี่ยชิงหลินกำลังคิดจะพูด แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นแถบรัดเอวที่คาดอยู่ที่เอวของราชครูเว่ยเข้าโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่นี้ท่านราชครูสวมเสื้อคลุมไหล่อยู่ นางจึงไม่ทันได้สังเกต แต่พอเข้ามาในโรงเรือนดอกไม้ได้สักพักก็เริ่มรู้สึกร้อน ทั้งสองจึงปลดเสื้อคลุมออก นางจึงเห็นแถบรัดเอวนั่นทันที

นั่นคือแถบรัดเอวที่มีพื้นเป็นสีดำ ปักลวดลายด้วยดิ้นทองฝังแผ่นหยก งานปักที่ดูมีชีวิตชีวาทำให้แถบรัดเอวนี้ดูโดดเด่นไปทั้งเส้นเลยทีเดียว ที่หางของมังกรวารีที่เกี่ยวกระหวัดพันกันอยู่นั้นมีการปักลายที่ลอยเด่นออกมาอย่างละเอียดประณีต เดิมทีเนี่ยชิงหลินไม่เข้าใจในเรื่องพวกนี้ แต่พอได้รับคำชี้แนะจากเสิ่นฮองเฮาถึงได้กระจ่างว่านี่เป็นรูปแบบการปักซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สตรีช่างปักฝีมือดีทั้งหลายในเมืองหลวง โดยจะปักชื่อของผู้ปักลายแบบกลับด้านเอาไว้ ซึ่งบุรุษทั่วไปมักไม่ค่อยสังเกตเห็น แต่แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่สตรีซ่อนความรู้สึกของตนไว้ในผลงาน ให้ติดตัวอยู่บนกายของชายหนุ่มตลอดเวลานั่นเอง

การปักกลับด้านบนแถบรัดเอวราชครูเว่ยที่ดูแล้วคือตัวอักษรคำว่า ‘หวั่น’ นั้นน่าจะเป็นฝีมือการปักของนายหญิงสามหรงหวั่นเหนียงแห่งจวนสกุลเว่ย ตอนที่ร่วมเย็บรองเท้าอวยพรกับเหล่าฮูหยินทั้งหลายด้วยกันเมื่อคราวก่อนก็ได้ยินพวกที่ปากมากช่างจำนรรจาพูดถึงอยู่ว่านายหญิงสามแห่งจวนสกุลเว่ยมีฝีมือการเย็บปักถักร้อยอันยอดเยี่ยม งานปักจำนวนมากมายหลายชิ้นบนตัวของท่านเว่ยโหวก็เป็นผลงานจากฝีมืออันประณีตของนาง ส่งผลให้สตรีในเมืองหลวงต่างพากันเลียนแบบรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนั่นกันเป็นแถว

ดูจากสีสันอันสดใสของแถบรัดเอวนั้นแล้ว เหมือนว่ายังไม่เคยโดนน้ำมาก่อน น่าจะเพิ่งปักเสร็จได้ไม่นาน ขนาดเนี่ยชิงหลินปักมังกรวารีที่เกล็ดหลุดเส้นด้ายกระโดดแค่ตัวหนึ่งเท่านั้นยังต้องจดจ่ออยู่กับมันตั้งหลายวันหลายคืน แล้วแถบรัดเอวที่อยู่บนตัวท่านราชครูซึ่งปักอย่างประณีตวิจิตรงดงามกว่าของนางเป็นพันเท่าเส้นนั้นต้องใช้เวลานานถึงเพียงใดกันถึงจะปักออกมาได้อย่างนี้…

แล้วไยข้าต้องอวดผลงานปักบิดๆ เบี้ยวๆ นั่นด้วยเล่า

ครั้นคิดดังนี้เนี่ยชิงหลินก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในฝีมือตนเอง จึงกลืนถ้อยคำที่กำลังจะหลุดออกจากปากกลับเข้าไปทีละนิดๆ ก่อนเปิดปากเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าท่านราชครูมีของพร้อมหมดทุกอย่าง ไม่ได้ขาดอะไรทั้งนั้น เลยไม่รู้จริงๆ ว่าควรเตรียมอะไรให้ดี…”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของเว่ยเหลิ่งเหยาหม่นหมองลงแวบหนึ่ง นางไม่ได้เตรียมอะไรให้เลยจริงๆ หรือ นี่เป็นการลืมไปชั่วขณะหรือว่าไม่ได้ใส่ใจเขาเลยสักนิดกันแน่

แต่เกิดเป็นบุรุษย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อยู่แล้ว ความคิดที่ทำให้ไม่สบายใจจึงผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียวแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว “โรงเรือนดอกไม้ที่กระหม่อมออกแบบเองนี้เป็นที่ถูกพระทัยดึงดูดสายพระเนตรขององค์หญิงได้ รอยยิ้มขององค์หญิงเมื่อครู่นี้ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดพลางจูงมือเล็กของเนี่ยชิงหลินไว้ แล้วพาไปเดินชมดอกไม้นานาพันธุ์ในโรงเรือนดอกไม้แห่งนี้

เนื่องจากคืนนี้เนี่ยชิงหลินมีเรื่องให้ครุ่นคิดในใจ จึงกินอาหารไปไม่มากเท่าไร ไม่นานท้องของนางก็เริ่มร้องดังสะท้อนไปทั่ว ‘ดินแดนเทพเซียนแสนอัศจรรย์’ อย่างชัดเจน ทำเอาแก้มขององค์หญิงหย่งอันแดงสุกปลั่งราวกับลูกตำลึงก็ไม่ปาน ราชครูเว่ยพูดกลั้วหัวเราะว่า “บรรดาขุนนางข้าราชสำนักล้วนไม่ประหยัดกันแล้ว เหตุใดองค์หญิงจึงยังทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัดทั้งฉลองพระองค์ทั้งพระกระยาหารอยู่อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไปเถิด ไปเสวยอะไรรองท้องยามดึกเป็นเพื่อนกระหม่อมดีกว่า”

เนื่องจากเมื่อครู่ในสวนดอกไม้ร้อนอบอ้าว จึงปลดผ้าคลุมขนสัตว์ออกไป แต่พอออกมาด้านนอกแล้วเจออากาศเย็นเข้า ราชครูเว่ยเกรงว่าเนี่ยชิงหลินจะเจออากาศที่ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวอย่างปุบปับแล้วจะจับไข้เอาได้ จึงเอาเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ของตนมาห่มให้นาง แล้วรวบตัวนางอุ้มขึ้นรถม้าไป

พอกลับมาถึงตำหนักเฟิ่งฉู ซั่นหมัวมัวได้เตรียมอาหารและสุราไว้คอยท่าแล้ว เพียงรอให้คนทั้งสองนั่งประจำที่ เนื่องจากเป็นของว่างรองท้องยามดึก อาหารในจานเล็กจึงถูกจัดอย่างประณีตละเอียดลออทั้งสิ้น ราชครูเว่ยไม่ได้ขยับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก แต่กลับคอยคีบอาหารมาให้เนี่ยชิงหลินอยู่เรื่อยๆ ราชครูเว่ยเป็นเจ้าของวันเกิดแท้ๆ แต่คืนนี้กลับต้องมาคอยดูแลเอาใจใส่ข้าอีก เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่าผิวหน้าบอบบางของตนเริ่มทนไม่ได้เสียแล้ว จึงคิดในใจว่า พรุ่งนี้ต้องตั้งใจคิดหาวิธีตอบแทนและเตรียมของขวัญที่เหมาะสมให้ท่านราชครูอย่างจริงจังให้จงได้

ทว่าราชครูเว่ยกลับไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น ช่วงนี้งานรัดตัวยิ่งนักจนไม่ได้มาหากั่วเอ๋อร์ที่นี่นานพอดูเลยทีเดียว ของขวัญที่หญิงสาวเตรียมมอบให้อย่างจริงใจย่อมสู้การได้ใช้เวลายามค่ำคืนร่วมกันอย่างอบอุ่นบนเตียงมิได้

จนกระทั่งกั่วเอ๋อร์กินอาหารว่างมื้อดึกเสร็จและบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ราชครูเว่ยจะเริ่มมื้ออาหารของตนได้เสียที เนื่องจากคนงามผู้นี้ถูกอุ้มออกจากเตียงไปยังโรงเรือนดอกไม้จึงประหยัดเวลาในการชำระกายลงไป ต่อให้เปลื้องชุดออกก็ยังสามารถได้กลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้ในโรงเรือนที่ติดตัวมา

อาจเป็นเพราะไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพรวันเกิดไว้ให้ เนี่ยชิงหลินจึงจำต้องมอบของขวัญทรงคุณค่าสุดพิเศษให้แทน องค์หญิงเก็บงำความเขินอายไว้ในใจ ที่ผ่านมาเพียงพลิกแพลงท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นางก็เอียงอายจนหน้าแดงเม้มปากน้อยๆ ด้วยความเคอะเขินแล้ว แต่วันนี้ถึงใบหน้าของนางจะแดงเรื่อจรดลำคอ ทว่ากลับโอนอ่อนผ่อนตามอย่างนุ่มนวลแต่โดยดี หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้มีหรือที่ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความรักร้อนแรงจะอดใจไหว

 

หลังจากค่ำคืนอันดื่มด่ำผ่านไป พอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเนี่ยชิงหลินก็เหนื่อยล้าจนรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงขดตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมลุกขึ้น ราชครูเว่ยต้องไปประชุมราชสำนักเช้า จึงกอดเจ้าลูกแมวขี้เซาแล้วจูบเบาๆ อีกสองสามหนก่อนจะลุกขึ้น

ขณะที่ซั่นหมัวมัวช่วยราชครูเว่ยเปลี่ยนชุดอยู่ด้านนอกนั้น นางก็ถือโอกาสถามขึ้นว่า “ท่านราชครูไม่คาดแถบรัดเอวที่องค์หญิงทรงปักให้เองกับมือหรือเจ้าคะ”

มือที่กำลังแต่งกายของราชครูเว่ยถึงกับชะงักทันทีพลางเลิกคิ้วถาม “องค์หญิงทรงปักแถบรัดเอวรึ”

ซั่นหมัวมัวขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ รู้สึกว่าตนเองพูดมากเกินไปเสียแล้ว หากองค์หญิงไม่พูด แสดงว่าอาจจะอยากให้ราชครูเว่ยประหลาดใจแกมยินดีก็เป็นได้กระมัง

แต่ด้วยคำพูดเปรยๆ ของซั่นหมัวมัว ราชครูเว่ยก็นึกเอะใจ ในไม่ช้าก็พบกล่องผ้าไหมใบหนึ่ง พอเปิดออกดูก็เห็นแถบรัดเอวสีขาวที่น่าจะพรมน้ำปรุงจากดอกไม้กลิ่นหอมจรุงใจแตะจมูกอยู่ภายในกล่องนั้น พอหยิบแถบรัดเอวเส้นนั้นอย่างเบามือ เล็บก็ไปเกี่ยวถูกด้ายที่ฝีเย็บกระโดดเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ครั้นคลี่แถบรัดเอวออก ราชครูเว่ยที่ดูอยู่เป็นนานกว่าจะเข้าใจได้ก็รำพึงในใจ ปักได้ไม่เลวเลยจริงๆ! เป็นมังกรวารีที่มีหัวมีหางครบถ้วนสมบูรณ์ตัวหนึ่งเสียด้วย! ที่ปลายหางมังกรมีปมด้ายสีแดงพันกันเป็นลูกกลมๆ อยู่กลุ่มหนึ่ง หากสังเกตดีๆ ดูเหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกอีกต่างหาก ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับถอดแถบรัดเอวบนตัวออกโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แล้วนำแถบรัดเอวที่องค์หญิงปักไว้มาคาดทับบนเสื้อคลุมชุดขุนนางของตนแทน เขายืนหมุนตัวอยู่หน้าคันฉ่องส่องไปมาอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงย่องกลับเข้าไปในห้องด้านใน จับมือนุ่มเนียนที่ซ่อนอยู่ในผ้าห่มขึ้นมาดู พอเห็นปลายนิ้วที่มีรูเข็มเล็กๆ มากมายหลายจุด ราชครูเว่ยถึงกับขมวดคิ้วแน่น พลอยเจ็บปวดไปกับยอดดวงใจสุดที่รักด้วย! ต่อไปต้องให้องค์หญิงอยู่ให้ห่างจากงานเย็บปักถักร้อยพวกนี้เสียหน่อยแล้ว งานที่เปลืองเรี่ยวแรงต้องใช้สมาธิอย่างมากจนเหนื่อยล้าทั้งกายใจเช่นนี้ควรทำให้น้อยที่สุดเป็นการดี

แต่เมื่อคิดถึงภาพที่โฉมงามจุดตะเกียงนั่งเย็บของขวัญให้ตนแล้วก็รู้สึกผ่อนคลาย อดที่จะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาไม่ได้ ราชครูเว่ยผู้สง่างามราวกับเทพเซียนจึงนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือเล็กข้างหนึ่งของเจ้าแมวน้อยขี้เซาที่หลับสนิทอยู่พลางยิ้มกว้างราวกับตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้อยู่พักใหญ่

หากมิใช่เพราะเช้านี้มีเรื่องสำคัญต้องหารือกัน ราชครูเว่ยก็ออกจะเหนื่อยหน่ายกับการประชุมราชสำนักเช้าอยู่เหมือนกัน จนใจที่งานบ้านเมืองรัดตัวรอให้เขาไปสะสาง สุดท้ายก็ต้องไปจนได้

 

ประตูไม้ขนาดใหญ่และหนักของวังหลวงเปิดออกอย่างช้าๆ บรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลายเดินเรียงแถวเป็นสองแถวทยอยเข้าสู่ด้านในจนถึงท้องพระโรงอย่างเป็นระเบียบ พักนี้พระพลานามัยของฮ่องเต้ไม่ใคร่สมบูรณ์แข็งแรงดีนัก บัลลังก์มังกรจึงว่างเปล่า หลังจากเหล่าขุนนางเข้าประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ราชครูเว่ยจึงนั่งลงบนเก้าอี้มังกรวารีของตน

เพียงแต่ครั้งนี้การแต่งกายของราชครูเว่ยออกจะผิดแผกไปจากเดิมอยู่สักหน่อย ชุดราชสำนักสีดำเรียบหรูประดับด้วยลวดลายทองถึงแม้จะไม่หรูหราเท่าชุดลำลอง แต่กลับทำให้ราชครูเว่ยดูสุขุมสง่างาม ทว่า…แถบรัดเอวสีขาวนี่คืออะไรกันแน่! โดยปกติแล้วราชครูเว่ยจะคาดแถบรัดเอวที่มีสีเดียวกันกับชุด ซึ่งดูกลมกลืนเข้ากันดีมาโดยตลอด ทว่าคราวนี้กลับคาดแถบรัดเอวสีขาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนซึ่งดูไม่เข้ากันกับชุดราชสำนักสีดำเอาเสียเลย! หรือนี่เป็นการจับคู่การแต่งกายแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ

อยากดูดีมีเสน่ห์ต้องยึดมั่นในความกตัญญู จะว่าไปแล้วสีขาวก็ไม่ได้แย่ ตัดกับสีดำอย่างโดดเด่นชัดเจน แม้จะข่มความสง่างามลงไปบ้างแต่ก็ถือว่ายอมรับได้

แต่แถบรัดเอวนี้ปักลวดลายมังกรวารีตัวหนึ่งซึ่งยื่นหัวออกไปคาบไข่มุกมังกรไว้เม็ดหนึ่งด้วย…แต่ไข่มุกมังกรควรจะต้องกลมกว่านี้หรือไม่! แต่นี่จะเหลี่ยมก็ไม่ใช่จะกลมก็ไม่เชิง ยังดูเหมือนขาดไปเสี้ยวหนึ่ง หากไม่จับคู่กับมังกรวารีก็คงคาดเดาไม่ออกจริงๆ ว่านี่คือไข่มุกมังกรเม็ดหนึ่ง ตัวมังกรปักด้วยด้ายสีทองทั้งตัว ลำตัวมังกรท่อนบนเย็บประดับด้วยไข่มุกอย่างสะเปะสะปะ ส่วนลำตัวท่อนล่างกลับเปลือยเปล่าไม่มีลวดลายอะไรทั้งสิ้น ดูแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นงานของพวกมือใหม่

แถบรัดเอวสีขาวนี้เปรียบเสมือนวงกลมสีดำที่วาดลงบนใบหน้าของหญิงสาว ซึ่งโดดเด่นสะดุดตายิ่งนักเมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางทุกคนอย่างหาใดเปรียบได้ จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือการแต่งกายของราชครูเว่ยผู้สง่างามราวกับเทพเซียนผู้นี้จริงๆ

ราชครูเว่ยไม่แยแสต่อเหล่าขุนนางที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าตกตะลึงเลยสักนิด ออกจะภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำไป ประเดี๋ยวก็เอื้อมมือไปแตะแถบรัดเอวสีขาวนั่น อัครมหาเสนาบดีชิวหมิงเยี่ยนเบนสายตาไปทางอื่นอย่างแข็งทื่อเพื่อสงบจิตใจ ก่อนจะอ่านรายงานฎีกาต่อราชครูเว่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ยังรายงานฎีกาไม่ทันจบ จู่ๆ เสียงกรุ๊งๆ กริ๊งๆ ที่สดใสกังวานก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน ชิวหมิงเยี่ยนและขุนนางทั้งหลายมองตามเสียงนั้นไป แล้วก็เห็นว่าขณะที่ราชครูเว่ยลุกขึ้นยืนเพื่อบิดเอวให้สบายตัวสักหน่อยเมื่อครู่นี้นั้น ไข่มุกหลายเม็ดก็ร่วงกราวออกจากเส้นด้ายที่เย็บไว้กระเด็นกระดอนตกลงมากระทบกับพื้น…

ราชครูเว่ยลูบแถบรัดเอวด้วยความปวดใจ สั่งให้ขุนนางทั้งบุ๋นทั้งบู๊ช่วยกันก้มหาไข่มุกด้วยสีหน้ามืดมน ท้ายที่สุดก็ตามหาไข่มุกที่กระจัดกระจายพวกนั้นกลับมาได้ทั้งหมด

มีบางคนที่เก่งในการตีความคาดเดาเจตนาของผู้บังคับบัญชาเริ่มร้อนตัว หรือว่าการกระทำครั้งนี้ของราชครูเว่ยต้องการสื่ออะไรเป็นนัยแก่เหล่าขุนนางกันแน่ อืม ต้องเป็นความหมายนี้แน่ๆ…คาดแถบรัดเอวให้แน่นเข้าไว้ อย่าได้คิดฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเป็นอันขาด หาไม่แล้วพวกเจ้าจะต้องร่วงหล่นไม่เป็นท่าเหมือนไข่มุกพวกนั้น คนทั้งครอบครัวของเจ้าจะต้องสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์คาดแถบรัดเอวสีขาวเพื่อไว้ทุกข์ให้พวกเจ้ากันทั้งหมดนี่ล่ะ!

 

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนธันวาคม 2568)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: