X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักเรื่องราวของเรากับนาง

ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่หนึ่ง หิมะฤดูใบไม้ผลิ

ชายหนุ่มนิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเยาะว่า “ต่อให้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ในตอนที่ร่างกายอยู่ในสภาพไม่สุภาพก็ไม่ควรพูดถึงญาติพี่น้อง เจ้าสมควรตายแล้ว”

พอพูดจบเขาก็คลายนิ้วมือ ปล่อยตัวคนเหมือนทิ้งผ้าเก่าขาดชิ้นหนึ่ง มือกำหมัด ชำเลืองมองนางอย่างรังเกียจ

“ข้างล่างใครเป็นคนถอด”

หญิงสาวได้ยินคำพูดนั้น ในหูก็คล้ายมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทันใด นางถอยไปอยู่ตรงมุมรถม้าอย่างลนลาน พยายามดึงเสื้อบางที่กองอยู่ตรงเอวไปปิดบัง น่าเสียดายที่เสื้อสั้นเกินไป นางพยายามงอสองขาไว้ตรงหน้าอก แต่ก็ยังคงปิดบังขาสองข้างที่ถูกหิมะบนพื้นกัดจนแดงก่ำไว้ไม่มิด

“ไม่ต้องทำกิริยาสร้างภาพเช่นนั้น ข้าไม่แตะต้องของสกปรก”

คำพูดที่ตามมานี้โหดร้ายราวกับมีดกรีดแทงหัวใจ

“ข้าไม่สกปรก ข้าเองก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้…”

นางพูดไปพูดมาเสียงก็เบาหวิว คิดถึงท่าทางที่ตนเองพาดอยู่บนตักของเขา คิดถึงความรู้สึกแนบชิดของฝ่ามือเขากับผิวเนื้อของตนก็ได้แต่หนีบสองขาแน่นขึ้น ผิวตรงบั้นท้ายส่วนที่ติดเลือดสดจากฝ่ามือของเขารู้สึกร้อนและคันขึ้นทุกที ถึงขั้นทำให้นางทนไม่ไหวจนต้องยื่นมือไปลูบ

ปีนี้นางอายุสิบหก แม้จะไม่ประสีประสาอะไร แต่ก็พอเข้าใจว่าในเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตาย นางถูกคนที่ตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดผู้นี้สะกิดคลื่นแห่งอารมณ์ขึ้นแล้ว

“ตรงนี้สกปรกหรือ…”

“มิกล้า! ข้ามิกล้า!”

ไม่รอให้เขาพูดจบ นางก็รีบร้อนตอบกลับ ไม่กล้านั่งต่อไปอีก ดีดตัวพึ่บขึ้นมา คุกเข่าหมอบลงแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดบริเวณที่ถูกตนเองทำเปียก เช็ดไปเช็ดมาน้ำตาก็ไหลอย่างห้ามไม่อยู่

นางทั้งเหน็บหนาว ทั้งอับอาย ทั้งหวาดกลัว

ผมดำยาวสยายลงมาตรงไหล่ของนางราวกับน้ำตก ดูเหมือนการอำพราง แท้จริงแล้วเป็นการเหยียบย่ำอย่างหนึ่ง ทำให้ร่างของนางดูเลอะเทอะยุ่งเหยิงกว่าเดิม

ชายหนุ่มมองสภาพของนางแล้วก็กำหมัดแน่นขึ้นจนกระดูกลั่นโดยไม่รู้ตัว

 

รถม้าเคลื่อนผ่านชุมชนหย่งเหอหลี่ สองฟากเป็นบ้านเรือนสูงสง่าหรูหรา ร้านอาหารกว้างขวางงดงามซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาหนาทึบของต้นชิว ต้นไหว ต้นถง และต้นหยางผืนใหญ่ เกล็ดหิมะที่บริสุทธิ์สะอาดเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย็นอบอวลของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วฟ้า

เจียงหลิงดึงสายบังเหียนหยุดม้าแล้วกระโดดลงจากรถ จุดโคมไฟหนึ่งดวง ยืนอยู่ข้างรถม้าแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ถึงแล้วขอรับ อาการบาดเจ็บของท่านต้องตามหมอหลวงเหมยหรือไม่ขอรับ”

ม่านรถม้าถูกเปิดออกมุมหนึ่ง พาลมพัดเข้ามาทำให้หญิงสาวหนาวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว เล็บครูดลงบนพื้นรถม้าอย่างแรง เจ็บจนนางหายใจขาดช่วงในทันใด ทว่านางไม่กล้าหยุด ทั้งที่มองไม่เห็นรอยแล้วกลับยังพยายามเช็ดอย่างสุดกำลัง

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงมองท่าทางว้าวุ่นลนลานของนางอย่างเงียบๆ

ชั่วขณะนั้นรอบข้างเหลือเพียงลมหายใจที่เหนื่อยล้าขึ้นทุกทีของนาง

“ไม่ต้องเช็ด เจ้าตายไปก็สะอาดแล้ว” เขาเอ่ยปากขึ้นทันใด

หญิงสาวขวัญกระเจิง อยากจะขยับเข้าไปเอ่ยขอร้อง แต่ก็กลัวเขาจะรังเกียจ

“อา…ข้าเช็ดสะอาดแล้ว ข้าไม่สกปรกจริงๆ…”

เขากลับหัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก แล้วลุกขึ้นเดินลงจากรถม้า

ในเวลาเดียวกันกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งก็ถูกเขานำออกไปด้วย

หญิงสาวคุกเข่าอยู่บนรถม้า ตัวสั่นเทามองดูแผ่นหลังของชายหนุ่ม และก็ต้องตกใจที่พบว่านอกจากบาดแผลจากแส้บนข้อมือนั้นแล้ว บนแผ่นหลังของเขาก็เต็มไปด้วยรอยแส้ที่โหดร้ายเช่นกัน ความรุนแรงของแส้ที่ฟาดลงไปถึงขั้นทำให้เนื้อผ้าถูกตีจนขาดรุ่ย แนบติดกับเลือดเนื้อ ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง

เขาถูกลงทัณฑ์มา แต่ผู้ใดกันสามารถทำให้ชายหนุ่มที่ควักลูกตาหัวหน้าทหารกลางถนนผู้นี้ต้องถูกลงทัณฑ์

“แผ่นหลังของท่าน…” นางโพล่งออกมา ทว่าเพิ่งพูดได้ไม่กี่คำก็รู้สึกเสียใจภายหลังแล้ว

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมา

แสงไฟที่อบอุ่นส่องสว่างใบหน้าด้านข้างของเขา มีหิมะยามค่ำในฤดูใบไม้ผลิที่เงียบสงบเป็นพื้นหลัง แต่กลับไม่ขับให้เห็นความบริสุทธิ์สูงสง่าเช่นต้นสนนั้นออกมา

เขาเป็นคนที่มีโครงร่างแข็งแกร่ง ถึงจะสวมเสื้อตัวบางก็ดูไม่ผอมบางเลยแม้แต่น้อย ยืนอยู่ลำพังใต้ร่มเงาต้นชิว ต้นไหว ต้นถง และต้นหยางถนนบนถงถัว ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากแส้ปล่อยให้ลมพัดใส่แขนเสื้อจนเกิดเสียงดัง คฤหาสน์สูงสง่าที่เรียงรายบนถนนข้างหลังประหนึ่งเสื่อมสง่าราศีไปทันใด ความหรูหราในช่วงกลางวันถูกจำศีลไว้ ค่อยๆ ปรากฏบาดแผลเช่นเดียวกับร่างกายของเขา

“เจียงหลิง”

“ขอรับ”

“ไม่ต้องไปหาเหมยซิ่งหลิน พานางเข้ามา”

“ขอรับ” เจียงหลิงเงยหน้ามองไปทางหญิงงามที่ขดตัวอยู่ตรงมุมรถม้า เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย “พาไปที่…”

“พาไปที่เรือนชิงถาน”

 

บุตรชายคนโตของสกุลจางที่เขตเหอเน่ย* ชื่อจริงตั๋ว ชื่อรองทุ่ยหาน ตำแหน่งขุนนางคือราชเลขาธิการ ดูเหมือนมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวปราชญ์บัณฑิต แต่กลับชื่นชมหลักกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงของสำนักนิตินิยม เขาเกลียดชิงถานหรือก็คือการเสวนาหลักปรัชญาที่สุด แต่เขาเลือกที่จะตั้งชื่อเรือนของตนว่า ‘ชิงถาน’ และล้อมกรอบพื้นที่นี้เป็นเรือนต้องห้ามของจวน ถึงแม้ในจวนนี้จะมีบ่าวรับใช้จำนวนไม่น้อย แต่ห้าปีที่ผ่านมาเจียงหลิงไม่เคยเห็นจางตั๋วอนุญาตให้หญิงคนใดเหยียบเข้าไปในเรือนชิงถานเลย

เขาดูเหมือนจะไม่ชอบสตรี

หรือว่า…เขาอาจจะไม่ชอบเรื่องระหว่างชายหญิง

สำหรับเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาจึงตัดความปรารถนาของตนตอนอายุยังน้อยเช่นนี้นั้นไม่มีผู้ใดกล้าถาม

เวลานี้ดึกมากแล้ว จางตั๋วเดินนำอยู่ข้างหน้า ถือโคมไฟด้วยตนเอง

จวนที่กว้างใหญ่เงียบสงัดมีเพียงกลิ่นคาวเลือดลอยตามลมมาเข้าจมูก

ต้นชิวเก่าแก่สูงเสียดฟ้าปิดบังเกล็ดหิมะตลอดทาง บนพื้นแห้งมาก เมื่อเดินไปด้วยเท้าเปลือยเปล่าแต่ละก้าวจึงรู้สึกเจ็บเข้ากระดูก นางเดินตามหลังชายหนุ่มโดยไม่กล้าหายใจดัง มองเจียงหลิงที่อยู่ด้านข้างบ่อยครั้ง กระพรวนบนข้อเท้าเสียดสีพื้น เกิดเสียงครูดแหลมเล็กเป็นครั้งคราวตามฝีเท้าของนางที่เร็วบ้างช้าบ้าง ทุกครั้งที่กระพรวนดังนางจะยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัว จนกระทั่งถูกเจียงหลิงใช้ด้ามกระบี่ดันหลังจึงถูกบังคับให้เดินล้มลุกคลุกคลานไปข้างหน้าต่อ

จางตั๋วไม่ได้หันหน้ามาสักครา ครั้นเดินมาถึงหน้าประตูเรือนพักก็ยกมือเอาโคมไฟแขวนไว้บนต้นถงต้นหนึ่งใต้ชายคา จากนั้นก็ผลักประตูก้าวเข้าไป ไม่นานภายในห้องก็จุดตะเกียงขึ้นหนึ่งดวง แสงไฟสะท้อนเงาร่างของเขา

เจียงหลิงยืนอยู่ใต้ต้นถง พูดกับหญิงสาวว่า “เข้าไปสิ”

นางยืนตัวสั่นเทาอยู่ตรงทางลม หิมะที่ตกอย่างเงียบๆ ปกคลุมบนเส้นผมของนางเป็นชั้นสีขาวบางๆ แต่เนื่องจากตัวนางสั่นเพราะความหนาว หิมะจึงถูกเขย่าตกลงมาราวกับสาดเกลือ

“ข้า…คนเดียวหรือ”

“ใช่ ในจวนของพวกเรา นอกจากคุณหนูแล้ว ใครก็เข้าเรือนพักของคุณชายไม่ได้ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกโบยตีจนตาย”

พอนางได้ยินคำว่า ‘โบยตีจนตาย’ รูม่านตาก็พลันหดตัว

ทว่าประตูนั้นเปิดเอาไว้ เหมือนกำลังรอนางอยู่

ภายในห้องอบอุ่นอย่างยิ่ง แม้แต่พื้นก็ยังอุ่นร้อน

ม่านสีครามซ้อนกันเป็นชั้นๆ โต๊ะดินเผารูปดอกบัวมีรูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินตั้งบูชาเอาไว้ หน้ารูปสลักวางถวายดอกเหมยไว้หนึ่งดอก นอกจากนั้นแล้วภายในห้องช่างดูเรียบง่าย ไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด บุรุษผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะดินเผา ก้มหน้าลงพลางใช้ผ้าแพรสีขาวเช็ดเลือดบนมือ เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดบนตัวของเขายังไม่ถูกเปลี่ยน พอแสงไฟส่องมาจึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวกำลังจะเดินเข้าไป ในมุมมืดกลับมีเสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น นางยังไม่ทันรู้ชัดว่าเสียงนั้นอยู่ที่ใด สุนัขเสวี่ยหลงซา ตัวหนึ่งก็กระโจนเข้าใส่ ในเวลานี้เองพลันมีลมจากแส้ฟาดลงมาตรงเบื้องหน้านาง

แส้หนังงูฟาดลงบนตัวเจ้าสุนัขเสียงดังฟังชัด สุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้นกลับตัวร้องอย่างน่าเวทนา มันเห็นคนที่ถือแส้อยู่ข้างหลังแล้วก็ชะงักไปทันที ก่อนจะหมอบตัวลง ถอยกลับไปหลังม่านทีละนิด สุดท้ายก็ไปนอนขดอยู่ที่มุมห้องพลางสั่นไปทั้งตัว ส่งเสียงครางออกจมูกเป็นพักๆ

“มานี่”

เขาวางแส้หนังงูลงแล้วหยิบผ้าแพรเช็ดหน้าสีขาวข้างมือขึ้นมาอีกครั้ง

หญิงสาวกลับจิตใจไม่อยู่กับตัว เหม่อมองก้อนขนสีขาวที่มุมห้องนั้น

ชั่วขณะนั้นนางไม่เข้าใจว่าบุรุษตรงหน้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ จึงทำให้สุนัขดุร้ายตัวหนึ่งกลัวได้ถึงขั้นนี้

“มันชอบกลิ่นเลือด ถ้ายังไม่มาอีก ข้าจะยกเจ้าให้เป็นรางวัลแก่มัน”

“อย่านะ…”

เงาร่างหนึ่งมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม แต่เขาไม่ได้เงยหน้ามองแม้แต่น้อย

“นั่งลง รอข้าเช็ดมือให้สะอาด”

ตอนอยู่ในรถม้านางก็ตกใจกลัวอยู่แล้ว ยามนี้ยังถูกสุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้นทำให้หวาดกลัวจนขวัญกระเจิงอีก จะกล้านั่งส่งเดชได้อย่างไร นางพยายามดึงเสื้อลงมาคลุมกายท่อนล่างของตนเองเอาไว้ จึงกล้านั่งลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง

ในค่ำคืนที่ความหนาวเย็นยังไม่คลายไป สุนัขตรงมุมห้องส่งเสียงร้องครางอย่างน่าเวทนาออกมาบ่อยครั้ง

ตรงหน้าตะเกียงเพียงดวงเดียว คนสองคนที่สวมเสื้อบางขาดรุ่ยเช่นเดียวกันนั่งตรงข้ามกันตามลำพัง

ชายหนุ่มอดกลั้นต่อความเจ็บปวดทั่วตัวอย่างเงียบๆ ตั้งใจเช็ดมือ แม้แต่ร่องเล็บก็ไม่ปล่อยผ่าน ส่วนหญิงสาวจ้องมองพื้นข้างขาของชายหนุ่ม รอคอยให้เขาพูด แต่ก็กลัวว่าเขาจะเอ่ยปาก

ทว่าเขายังคงไม่มีทีท่าจะเอ่ยอะไร

“คนข้างนอกบอกว่า…คุณชายไม่เคยอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าห้องพักมาก่อน”

ผ่านไปครู่ใหญ่สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว อยากจะทดสอบความเป็นความตายของตนเอง

จางตั๋วยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงแค่ส่งเสียง “อืม” เบาๆ

“เช่นนั้นข้า…”

“เจ้าครึ่งคนครึ่งผี”

นางฟังไม่เข้าใจ แต่ยังคงถูกพลังข่มขู่ในคำพูดนั้นทำให้หวาดกลัวจนไร้เสียง

เขาทิ้งผ้าแพรเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดจนเลอะเทอะลงบนพื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง “ใส่ยาเป็นหรือไม่”

“ไม่เป็น…อ๊ะ ไม่ๆ ใส่เป็นๆ…”

“ถ้าเป็น เจ้าก็จะมีชีวิตรอดผ่านคืนนี้ไปได้” เขาเลิกคิ้วพลางหัวเราะ “เจ้าชื่ออะไร”

“สี…อิ๋น”

“สีเป็นแซ่หรือ”

“ไม่ใช่…ข้าไม่มีแซ่”

“ในเมื่อเจ้ามีพี่ชาย เหตุใดจึงไม่มีแซ่”

ได้ยินคำพูดนั้นแววตานางก็สลดลง ก้มมองความมอมแมมยุ่งเหยิงทั่วตัวของตนเอง แล้วมองไปทางสองหัวเข่าที่เขียวช้ำอย่างยิ่ง

“พี่ชายของข้าเป็นคนที่งามสง่า แซ่ของเขา…ข้าไม่คู่ควร”

จางตั๋วฟังคำพูดประโยคนี้จบแล้วก็เงยหน้าหัวเราะอย่างสบายใจทันใด จนกระเทือนไปถึงบาดแผลจากแส้ทั่วร่าง ทำให้เลือดที่แข็งตัวปริออกอีกครั้งและเหนียวติดเสื้อผ้า เลือดไหลเนื้อแตกแยกกันไม่ชัดเจน

สีอิ๋นรีบยันร่างคลานเข่าเข้าไปหา มือเท้าทำอะไรไม่ถูกขณะมองไปที่แผ่นหลังของเขา “คุณชาย ท่านอย่าขยับนะ ท่าน…ยาสมานแผลอยู่ที่ใด ข้าจะไปหยิบมาให้”

เขาชี้ไปที่ตู้ใบหนึ่งบนผนัง “ชั้นสอง ขวดหยกเขียว”

นางมองไปตามทิศที่เขาชี้นิ้วปราดหนึ่งแล้วหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าจะถอดเสื้อให้คุณชายก่อน อีกครู่หากบาดแผลกับเสื้อผ้าแห้งติดกันจะแกะไม่ออก”

“ไม่จำเป็น ข้าทำเอง เจ้าไปเอายามา”

“เจ้าค่ะ” สีอิ๋นไม่กล้าชักช้า รีบลุกขึ้นเดินไป

ชั้นสองของตู้วางขวดยาไว้แถวหนึ่งจริงดังว่า แต่ขวดหยกเขียวมีสองใบ บนนั้นเหมือนสลักตัวอักษรเป็นชื่อยาเอาไว้

สีอิ๋นไม่รู้ว่าขวดใดคือยาสมานแผลที่เขาพูดถึง จึงหยิบมันออกมาทั้งสองขวดแล้ววางลงตรงหน้าชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง

จางตั๋วกวาดตามองขวดหยกเขียวสองใบนั้นปราดหนึ่ง “เหตุใดจึงหยิบมาทั้งสองขวด”

“ข้า…ไม่รู้หนังสือ”

เขายื่นมือไปหยิบขวดหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้านาง เชิดปลายคางขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เชียนจี* นี่เป็นยาพิษร้ายแรง”

นางได้ยินดังนั้นก็ขาอ่อน รีบรับขวดในมือของเขามาซ่อนไว้ข้างหลัง “ข้าไม่รู้หนังสือจริงๆ ข้า…”

จางตั๋วยืดตัวตรง “ข้าคิดจะให้เจ้ามีชีวิตผ่านคืนนี้ไป แต่เจ้าไม่อยากใช่หรือไม่”

นางบีบขวดใบนั้นทรุดนั่งตรงหน้าเขา สุนัขเสวี่ยหลงซาระวังตัวขึ้นมา แยกเขี้ยวใส่นางอย่างน่ากลัว

เมื่อรุกถอยยากทั้งสองทาง นางจึงถูกบีบให้เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม

บนใบหน้าของเขาฉายรังสีอำมหิตวาบผ่านเพียงพริบตาแล้วหายไป

เขาพลิกมือไปกระชากถอดเสื้อผ้าที่ด้านหลังขาดรุ่งริ่งตัวนั้นออกจากแขน เผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง บนตัวนอกจากรอยแส้ใหม่ที่เห็นได้เลยชัดเจนแล้ว ยังเห็นแผลเก่ารางๆ อีกจำนวนไม่น้อย

“สี…อิ๋น”

“ยะ…อยู่…อยู่เจ้าค่ะ…”

เขาไม่ใส่ใจความชักช้าของนาง จัดแขนเสื้อพลางเอ่ยปาก ในคำพูดคล้ายแฝงความเสียดายไว้เล็กน้อย

“ถ้าเจ้ารู้หนังสือ คืนนี้คงจะจบชีวิตของข้าได้จริงๆ” พูดจบก็รวบแขนเสื้อเป็นก้อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วหยิบขวดหยกเขียวอีกใบหนึ่งขึ้นมายื่นให้นาง

สีอิ๋นนั่งตะลึงอยู่บนพื้นไม่กล้ายื่นมือไปรับ

“ง่ายมาก จุดใดหนังเปิดเห็นเนื้อก็เทลงไปตรงนั้น”

เมื่อพูดจบก็ไม่รอให้นางตั้งสติได้ เขาวางขวดหยกใบนั้นลงบนพื้นตรงหน้านางแล้ว ก่อนจะยืดตัวก้มหน้ากัดแขนเสื้อ เอียงตัวจับโต๊ะด้านข้างแล้วหมอบลง เปิดแผ่นหลังที่เลือดไหลเนื้อแตกแยกกันไม่ชัดเจนต่อหน้านาง ปากก็พูดเสียงอู้อี้

“ลงมือ”

สุนัขที่มุมห้องส่งเสียงเห่าทีหนึ่ง สีอิ๋นตกใจถือขวดหยกคลานอย่างลนลานก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมาหลบที่ข้างกายจางตั๋วทันที

ผิวเนื้อเปลือยเปล่าพลันแนบชิดกันโดยไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ส่งเสียงใด

จางตั๋วรออยู่นานมาก สุดท้ายบนแผ่นหลังก็มีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้ กอปรกับความเย็นราวคมดาบหิมะกรีดผิวเป็นพักๆ ทำให้เขามีเหงื่อผุดที่หน้าผาก ลำคอ เอว และท้อง ถึงเขาจะพยายามควบคุมอย่างไร แต่กระดูกก็ยังคงลั่น เนื้อเต้นอย่างห้ามไม่อยู่

สีอิ๋นเห็นข้อนิ้วของชายหนุ่มที่จับโต๊ะแน่นเสียจนขาวซีดก็รู้ว่าเวลานี้เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางจึงยกขวดหยกขึ้น ทำอะไรไม่ถูก “เจ็บ…หรือ”

เขาไม่ได้ส่งเสียงใด เพียงแค่ส่ายหน้า

นางรู้สึกจนปัญญา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงโน้มตัวลงข้างกายเขาอย่างระมัดระวัง พยายามเป่าลมไปที่บาดแผลเบาๆ

บนผิวที่อ่อนเยาว์และแตกเละค่อยๆ มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดออกมา

สีอิ๋นในชาตินี้เคยเห็นคนตระกูลสูงศักดิ์ที่เปลือยกายตามอำเภอใจหลังเมาสุรามามาก แต่ไม่เคยเห็นร่างกายแข็งแกร่งที่ปฏิเสธความปรารถนาอันไม่เหมาะควรทั้งปวงเช่นนี้มาก่อน

“ดีขึ้นบ้างหรือไม่”

เขาส่งเสียงอืมอู้อี้ คายแขนเสื้อออกจากปากแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง

“เหตุใด…จึงถูกลงทัณฑ์โบยแส้หนักเช่นนี้”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

เป็นเพราะนางพูดกับตนเองเสียงจึงเบามาก เดิมทีคิดว่าเขาไม่ได้ยิน ใครจะรู้ว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นจะสบประสานเข้ากับสายตาเย็นเยือกของชายหนุ่ม

“ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ…”

“อยู่ที่จวนของข้า มีวิธีนับร้อยทำให้คนพูดความจริง”

นางกลืนน้ำลายหนึ่งอึกอยู่ข้างหลังเขา “คุณชาย…เป็นใต้เท้าราชเลขาธิการ ใคร…ใครกันที่สามารถทำให้คุณชายรับโทษหนักเช่นนี้ได้”

จางตั๋วหันมองบาดแผลบนไหล่ที่ได้รับการใส่ยาแล้วปราดหนึ่ง มุมปากยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย “ไม่มีอะไรนอกจากฮ่องเต้กับขุนนาง พ่อกับลูก นี่ไม่ใช่การลงอาญา เป็นการลงโทษตามกฎบ้าน”

สีอิ๋นตกใจ เดิมทีนางไม่ได้คาดหวังว่าจางตั๋วจะเอ่ยตอบ ใครจะคิดว่าเขากลับกล่าวถึงจุดที่เป็นความลับออกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

แม้ว่านางจะไม่เคยพบกับราชเลขาธิการที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้มาก่อน แต่นางเคยได้ยินพี่ชายเล่าว่าสกุลจางมีต้นกำเนิดมาจากเหอเน่ย บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีรากฐานที่แข็งแกร่ง ครอบครัวมีความรู้ลึกซึ้ง นอกจากจางตั๋วแล้ว จางซีบิดาของเขามีตำแหน่งต้าซือหม่า ดูแลงานราชสำนักหลายปี ในราชสำนักปีรัชศกซิงชิ่งแทบจะอยู่ใต้แผ่นฟ้าของสองพ่อลูกคู่นี้ แต่ลักษณะนิสัยและความซื่อสัตย์ของสองคนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จางซีสืบทอดตระกูลด้วยหลักลัทธิข่งจื่อ ตัวเขาเองยังศึกษาอภิปรัชญาอีกด้วย แส้จามรีไม่เคยห่างมือ ถนัดการเสวนาหลักปรัชญา เมื่อไรก็ตามที่เปิดการเสวนาหลักปรัชญาในจวน คนดังในเมืองลั่วหยางจะแห่กันมาหาเขา แต่จางตั๋วบุตรชายคนโตของเขากลับถูกเหล่าขุนนางราชสำนักในเวลานั้นมองว่าเป็นขุนนางผู้เหี้ยมโหด

รัชศกซิงชิ่งปีที่สอง เฉินวั่งที่ดำรงตำแหน่งราชเลขาธิการในเวลานั้นก้าวล่วงบารมีเจ้าแผ่นดิน ลอบซ่องสุมกำลังส่วนตัว หลังจากเข้าคุกได้ถูกจางตั๋วสอบสวนเจอความผิดร้ายแรงในการคิดก่อกบฏ

คดีใหญ่ในปีนั้นดำเนินคดีโดยศาลยุติธรรมนานกว่าครึ่งปีภายใต้การคานอำนาจของกองกำลังในเขตตงจวิ้นและเขตเหอเน่ยสองฝ่าย สุดท้ายในปีต่อมาสกุลเฉินในเขตตงจวิ้นก็ถูกฆ่าล้างตระกูล สามร้อยชีวิตในตระกูลล้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของจางตั๋ว มีข่าวลือว่าตอนที่เฉินวั่งจะถูกประหาร ขาของเขาหักทั้งสองข้าง ปากและลิ้นถูกถ่านไฟนาบจนไหม้ดำ ก่อนตายเขาส่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงจ้องมองอย่างเคืองแค้นไปทางจางตั๋วที่มากำกับดูแลการประหารชีวิต แม้แต่ตอนที่ร่างกายถูกฟันเป็นสองท่อน เขายังคงเบิกตาโต ตายตาไม่หลับ

หลังจากเฉินวั่งตาย คนในตระกูลก็ถูกสังหารจนหมดโดยไม่มีผู้ใดเก็บศพให้เลย

สุดท้ายในเมืองลั่วหยาง จางซีจัดวางโลงศพให้เฉินวั่งแล้วคุมตัวจางตั๋วมาคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณของเฉินวั่งด้วยตนเอง ร้องไห้อย่างขมขื่นต่อหน้าโลงศพ ดุด่าจางตั๋วที่ ‘โหดร้ายอย่างไร้ขีดจำกัด’ และใช้แส้โบยเขาอย่างหนัก จนกระทั่งเขากระอักเลือดต่อหน้าป้ายวิญญาณจึงยอมหยุด

คำตำหนิดุด่าและการลงแส้ครั้งนี้สร้างชื่อเสียงให้จางซีในฐานะ ‘เสนาบดีที่ดี’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นการครอบฐานะ ‘ขุนนางผู้โหดร้าย’ ไว้บนศีรษะของบุตรชายตนเองกับมืออีกด้วย การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนการกระทำของคนเป็นบิดาจริงๆ

ไม่แปลกที่มีข่าวลือในหมู่ชาวเมืองว่าจางตั๋วไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของจางซี แต่เป็นบุตรชายของสวีหวั่นอนุภรรยาของจางซีกับอดีตสามีของนาง เนื่องจากตอนเด็กถูกวิจารณ์ว่ามีชะตา ‘พิฆาตบิดา’ จึงถูกสวีหวั่นทิ้งไว้กลางตลาด ตอนอายุได้สิบขวบถูกสกุลจางรับตัวกลับมาแล้วประกาศกับภายนอกว่าเป็นบุตรชายคนโตของสกุลจางที่พลัดพรากกันไปนาน

ผู้คนที่อยู่ในวังวนของข่าวลือต่างแต่งเสริมความลับที่รู้มาไม่มากก็น้อย พี่ชายของสีอิ๋นเคยเล่าเรื่องผ่านๆ ประหนึ่งห่านป่าตกใจโฉบผ่านน้ำ สีอิ๋นก็ฟังไว้แต่ใช่ว่าจะเข้าใจทุกคำหรือเชื่อทุกประโยค

ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้านาง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลอาบ นางจึงต้องเผชิญกับข่าวลือที่เดิมทีอยู่ห่างไกลนางอย่างยิ่งเหล่านั้น

“ไปหยิบเสื้อหนึ่งตัวจากในหีบทางนั้นมา”

เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันดึงความคิดของสีอิ๋นกลับมา

“ไม่ได้ยินหรือ”

เสียงของจางตั๋วหลังจากเขาค่อยๆ ปรับลมหายใจได้แล้วนั้นกลับมาเย็นชาดังเดิม ทำให้นางไหล่สั่น รีบลุกยืนไปทำตามคำสั่ง

ด้วยกลัวว่าจะหยิบของผิดอีก ตอนที่เปิดหีบนางจึงหันมาถามเขาอย่างลังเลว่า “ตัวใดหรือ…”

จางตั๋วโบกมือ กวาดมองร่างกายท่อนล่างของนางปราดหนึ่ง “ให้เจ้า เจ้าเลือกเองเถอะ”

นางอายจนหน้าแดงก่ำทันที ก้มหน้าลงแล้วพลิกหาในหีบอย่างว้าวุ่น

เสื้อของชายหนุ่มหลวมกว้างไปหมด ไม่ว่าจะหยิบตัวใดออกมาก็สามารถคลุมตัวของนางได้อย่างมิดชิด นางผูกสายรัดเอวอย่างระมัดระวัง ครั้นหมุนตัวกลับไปก็เห็นเขากำลังหลับตาปรับลมหายใจ นางจึงไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงสวมเสื้อตัวโคร่งเดินไปซุกตัวอยู่ในมุมตรงข้ามกับสุนัขเสวี่ยหลงซา กอดเข่านั่งเงียบๆ จ้องมองเขี้ยวในปากสุนัขที่ปรากฏให้เห็นเป็นบางเวลาอย่างกังวลใจ

“เจ้าคิดอะไรอยู่” เขาเหมือนจะทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเอ่ยปากถามมาหนึ่งประโยค

“เอ่อ…ข้าไม่กล้าคิดอะไรเลย”

“หึ” เขาหลับตายิ้ม “เจ้ามีพ่อแม่หรือไม่”

“ไม่มี”

“ตายแล้วหรือ”

“ข้าไม่รู้” นางขยับตัวไปทางกระถางไฟ มองชายหนุ่มปราดหนึ่ง เห็นเขาไม่ได้ลืมตาจึงกล้ายื่นมือออกไป

“ไม่รู้จักพ่อแม่ หรือไม่รู้ว่าพวกเขาตายแล้วหรือยัง”

“ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร ข้าถูกพี่ชายเก็บมาจากเยวี่ยลวี่หลี่”

จางตั๋วนิ่งเงียบอยู่นานจึงพูดเยาะหยันขึ้นทันใด “เป็นคนที่ถูกเก็บมาเช่นกันหรือ”

“แต่พี่ชายดีต่อข้ามาก…”

“เขาดีต่อเจ้าจนปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นเปลื้องผ้า ถูกทหารกองทัพกลางไล่ล่า ต้องอาศัยการปีนรถม้าของชายอื่นเพื่อช่วยชีวิต?!”

เขาพูดเสียงดังอย่างกะทันหัน ทำให้สีอิ๋นตกใจจนรีบดึงมือกลับมา ไม่เข้าใจไปชั่วขณะว่าไฟโทสะที่จุดติดอย่างฉับพลันนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร เพียงแค่ตะลึงมองเขาแล้วพูดเสียงเบา

“พี่ชาย…เป็นโรคตา ถึงแม้ดวงตาจะมองเห็นไม่ชัดเจน แต่เขาบรรเลง ‘ลำนำก่วงหลิงซั่น’ และ ‘ลำนำพั่วเจิ้น’ ได้ เขาสอนข้าบรรเลงพิณห้าสิบสาย ขับร้อง ‘ลำนำเยวี่ยฝู่’…เขาอยากสอนข้าเขียนอักษรมาก แต่ดวงตาของเขาแย่ลงทุกที ไม่สามารถอ่านตำราได้ และจับพู่กันเขียนอักษรไม่ได้อีกแล้ว แต่เขาพูดกับข้าอย่างอ่อนโยนยิ่งมาตลอด เขาเป็นคนดีมากๆ คนหนึ่งจริงๆ สภาพของข้าในวันนี้…ไม่ใช่สิ่งที่เขายินดีจะเห็น”

นางดูเหมือนจะรีบร้อนอธิบายแทนพี่ชายที่นางพูดถึงจึงเอ่ยออกมารวดเดียวมากมาย สุดท้ายถึงขั้นเกร็งคอจนขึ้นสีแดง

“คนดีหรือ ฮ่าๆ…” เขาลืมตามามองนาง “ที่เมืองลั่วหยางข้าไม่เคยเห็นคนดีมาสิบปีแล้ว พี่ชายเจ้าชื่ออะไร”

“เฉินจ้าว” นางพูดจบก็คุกเข่าหมอบลงกับพื้น “คุณชาย ไม่มีข้าคอยดูแล พี่ชายอยู่คนเดียวคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ขอร้องท่านปล่อยข้ากลับไปเถิด วันหน้าข้ายินดีจะมาเป็นสาวใช้ในจวนของท่าน ตอบแทนบุญคุณของท่านในวันนี้”

“แต่ข้าคิดจะให้เวลาเจ้าเพียงสิบวัน”

สีอิ๋นได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก

“เจ้าต้องเข้าใจว่าวันนี้ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ใครเห็นสภาพของข้าในตอนนี้ แผลจากแส้ที่แผ่นหลังอีกสิบวันก็หยุดใส่ยาสมานแผลได้ สีอิ๋นใช่หรือไม่ ข้าให้เจ้ามีชีวิตสิบวัน หลังจากสิบวันค่อยจบชีวิตเจ้า สำหรับพี่ชายเจ้า…คนดีไม่คู่ควรจะมีชีวิตอยู่ที่ลั่วหยาง อยู่หรือตายมีทางของมัน เจ้าอย่าฝืนเลย”

จางตั๋วไม่อนุญาตให้นางส่งเสียงอีก เขาไม่ได้เดินไปที่เตียง แต่นอนหมอบลงหลังโต๊ะกระเบื้อง ปล่อยให้แผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ใส่ยาแล้วอยู่ข้างกระถางไฟ ก่อนจะกอดแขนและหลับตาลง

สุนัขเสวี่ยหลงซาเห็นผู้เป็นนายหลับแล้วก็ยืดขาหน้านอนหมอบลงเงียบๆ เช่นกัน มันมองสีอิ๋นอย่างระแวดระวังอยู่บ่อยครั้ง สีอิ๋นกลัวมันมาก ทำได้เพียงรวบเสื้อแล้วพยายามขยับตัวไปอยู่ข้างกายจางตั๋ว แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป กลัวว่าหากไม่ระวังจะแตะถูกบาดแผลบนแผ่นหลังของเขา

วุ่นวายมาทั้งคืน สีอิ๋นนอนไม่หลับเลยสักนิด เห็นถ่านไฟที่เผาไหม้ระอุค่อยๆ เย็นลง ท้องฟ้าทางตะวันออกค่อยๆ ปรากฏแสงสีแดง ส่วนชายหนุ่มดูเหมือนจะนอนหลับไม่สนิททั้งคืนเช่นกัน ตัวกระตุกบ่อยครั้ง มีอารมณ์โกรธเป็นบางครั้ง มือกำแน่นแต่ไม่นานก็คลายออก ดูเหมือนจะฝันไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

โชคดีที่ในที่สุดฟ้าก็สว่างแล้ว

หลังจากหิมะยามค่ำคืนพ้นผ่านฟ้าก็สดใส บนถนนถงถัวมีเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นหิมะวิ่งผ่านไป เสียงหัวเราะเริงร่าลอดผ่านประตูเข้ามา ทำให้ดอกไม้ฤดูหนาวที่เหลือเพียงไม่กี่ดอกในป่าต้นอวี๋กับต้นหยางร่วงหล่น

ประตูเรือนชิงถานถูกผลักเปิด สุนัขเสวี่ยหลงซาวิ่งออกมาอย่างร่าเริง ย่ำลงไปบนพื้นหิมะกลางลาน มันกระโจนไปมาจนเกิดหิมะกระจายขึ้นเป็นหย่อมๆ บ่าวชราที่กวาดหิมะอยู่หน้าประตูวางไม้กวาดลง ก่อนจะหยิบเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อแล้วเรียกมันมากิน

สุนัขตัวนั้นวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ เงยหน้ากำลังจะอ้าปาก ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าหน้าประตูจึงหดคอกลับ ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วนั่งลงข้างหลังบ่าวชรา

บ่าวชรายืดตัวขึ้นพลางมองไปทางประตู ข้างต้นอวี๋ที่มีหิมะเกาะ “คุณชาย”

จางตั๋วที่รวบสาบเสื้อด้วยมือข้างเดียวเดินลงมาจากบันไดหิน “อืม”

“จ้าวเชียนแห่งกองทัพกลางมาขอรับ”

“อยู่ที่ใด”

“เจียงหลิงนำเขาไปนั่งรอที่เรือนตะวันตกแล้วขอรับ”

“เขามาคนเดียวหรือ”

“ขอรับ แต่บ่าวเห็นเขาพกโซ่ตรวนติดตัวมาด้วย”

พอคำพูดนี้เอ่ยออกมาก็มีเสียงปัดถ้วยตกดังมาจากหลังประตูทันใด ตามมาด้วยเสียงสวบสาบของผ้าที่เสียดสีพื้นอีกระลอก จางตั๋วหมุนตัวกลับ คนข้างในดูเหมือนจะรู้ว่าทำความผิด จึงหยุดทำเสียงดังทุกอย่างทันที

จางตั๋วเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าให้เจ้ามีชีวิตสิบวัน วันนี้เป็นวันแรก เจ้าจะกลัวอะไร”

คนข้างในไม่กล้าส่งเสียงขานรับ

บ่าวชราถือไม้กวาดมองไปข้างหลังจางตั๋วปราดหนึ่งแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “เป็นหญิงสาวคนหนึ่งกระมัง”

จางตั๋วไม่ได้หันหน้ามา “ไม่ใช่ เป็นคนครึ่งผี”

บ่าวชราก้มหน้าหัวเราะ “ครึ่งผีก็ยังดี อย่างน้อยยังเป็นคนต่อหน้าคุณชายได้สิบวัน ถ้านายท่านรู้ว่าท่านยอมให้ใครคนหนึ่งอยู่ข้างกาย จะต้องสบายใจแน่นอน”

รอบด้านเงียบสงัดลมพัดโชย ดอกเหมยสีขาวกลีบหนึ่งตกลงบนไหล่ของจางตั๋ว เพียงครู่เดียวก็ถูกลมพัดหล่น ปลิวไปตามบันไดหิน แล้วตกลงบนใบหน้าของเจ้าสุนัขที่ส่วนชื้นเหนอะตรงปลายจมูก มันรู้สึกคันจึงลุกยืนอย่างงุนงง แลบลิ้นยาวอยากจะเลียมันลงมา ใครจะรู้ว่าเลียไปไม่กี่ทีกลับจามจนสั่นไปทั้งตัว

จางตั๋วมองมันปราดหนึ่ง มันจึงรีบขยับไปอยู่ข้างหลังบ่าวชราอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง

“ข้าปฏิบัติตัวเป็นอย่างไรบ้าง”

เขามองสุนัขตัวนั้น แต่คำพูดเอ่ยกับบ่าวชรา

“คุณชายย่อมมีเหตุผลของคุณชายเอง”

“โกหก”

“บ่าวไม่กล้าพูดโกหก”

เขาส่งเสียงหัวเราะทันใด ช้อนตาขึ้นเรียกชื่อจริงของบ่าวชรา

“เจียงชิ่น เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อท่านพ่อข้า และไม่ได้ทำผิดต่อข้า ข้ารับพวกเจ้าพ่อลูกเอาไว้เพราะไม่อยากให้สหายเก่าของท่านพ่อต้องเร่ร่อนกลางถนน ข้าเห็นพวกเจ้าเป็นแขก แต่พวกเจ้าอยากเป็นบ่าวเอง ข้าก็พูดอะไรไม่ได้ แต่ในเมื่อจะเป็นบ่าวก็ต้องอยู่ในกฎระเบียบของข้า อย่าปฏิบัติต่อข้าด้วยท่าทีของผู้อาวุโส สิ่งที่สมควรพูดก็พูด ไม่สมควรพูดเจ้าก็ต้องระวังให้มาก” เขาพูดจบก็ปิดประตูเรือนชิงถาน ยกเท้าเดินไปยังลานชั้นนอกแล้วเอ่ยว่า “หาน้ำและอาหารจำนวนหนึ่ง ให้คนยื่นส่งเข้าไปทางหน้าต่างทิศตะวันตก หลับตาอย่ามองนาง นางไม่สะดวกจะให้ใครเห็น อีกอย่างบอกผิงเซวียนว่าสิบวันนี้ไม่ต้องเข้าไปเก็บกวาด”

พูดจบเขาก็เดินอ้อมผ่านกำแพงตะวันตกไปแล้ว

สุนัขเสวี่ยหลงซาที่อยู่ข้างเท้าของบ่าวชราลุกขึ้นมาราวกับถูกปลดปล่อยและส่ายหางให้บ่าวชรา

บ่าวชรามองดูแผ่นหลังของจางตั๋วและถอนหายใจเงียบๆ โค้งตัวลงลูบหัวของสุนัขตัวนั้น แล้วยื่นเนื้อแห้งไปที่ข้างปากของมัน

“เอ้า กินสิ”

เรือนตะวันตกเป็นเรือนตากอากาศในจวนราชเลขาธิการ เชื่อมต่อกับประตูตะวันตกของจวน มีประตูใหญ่อาคารใหญ่ มีห้องต่อกันเป็นแนวยาว หอสูงศาลาตั้งเรียงราย ขยับหนึ่งก้าวทัศนียภาพเปลี่ยนแปร

จ้าวเชียนแม่ทัพจากกองทัพกลางเหวี่ยงโซ่ตรวนเส้นหนึ่งยืนอยู่หน้าฉากบังตาหยกสลักลายร้อยสกุณา มองคนที่สวมชุดลำลองเดินมาอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ยปากพูด

“ชีวิตคนไม่มีค่าใช่หรือไม่”

จางตั๋วยกมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติถอยออกไป ก่อนจะเดินตรงไปนั่งลงหน้าโต๊ะน้ำชาหลังฉากบังตาแล้วหยิบถ้วยชาด้วยตนเอง

“มาชี้แจงเหตุผลแทนคนของเจ้าหรือถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ ข้ายังไม่รีบร้อนถามหาความผิดของเจ้าเลย”

จ้าวเชียนก้าวยาวอ้อมเข้ามาจากหน้าฉากบังตาแล้วนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามสหาย

“ข้าว่าเจ้า…”

“นั่งดีๆ”

จ้าวเชียนกลั้นหายใจ ไฟโทสะเบาบางลงทันใด คลายสายรัดเอวอย่างไม่พอใจ ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงนั่งอีกครั้ง โยนโซ่ตรวนที่พาดอยู่บนไหล่ลงบนพื้น

“คนที่ถูกบ่าวข้างกายเจ้าผู้นั้นควักลูกตาเป็นหลานชายภรรยาสวีซั่งผู้มีตำแหน่งจื๋อจินอู๋ นี่ยังไม่เท่าไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าหญิงสาวที่เจ้าช่วยไว้ผู้นั้นทำความผิดใด”

จางตั๋วกวาดมองโซ่ตรวนบนพื้นปราดหนึ่ง “ข้าอนุญาตให้เจ้ามาจับคนถึงจวนข้าได้ตั้งแต่เมื่อไร”

จ้าวเชียนทำท่าเหมือนกินแมลงวันเข้าไปแต่คายไม่ออก รีบลุกพรวดยืนขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมท่านแม่เจ้าที่จวนต้าซือหม่า กลับมาก็เหมือนมีหนามไปทั่วตัวเช่นนี้ ถ้าข้าคิดจะมาจับคนจริงก็คงนำทหารรักษาพระองค์มาล้อมจวนของเจ้าแล้ว!”

“นั่งดีๆ”

“จางตั๋ว!”

“ถ้ายังบังอาจอีกก็ไสหัวออกไป!”

“เจ้า!”

จ้าวเชียนโกรธเกรี้ยว แต่จะใช้ไม้แข็งกับจางตั๋วอีกก็ไม่ได้ เขาจึงเกาศีรษะแล้วนั่งลงอีกครั้ง พยายามสะกดโทสะในใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ข้ารู้ว่าหญิงผู้นั้นอยู่ที่จวนของเจ้า วันนี้ข้ามาคนเดียวเพราะไม่อยากดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน เจ้ามอบตัวนางออกมา ข้าจะนำตัวกลับราชสำนัก จากนั้นเจ้ากับข้าก็ไม่มีเรื่องอันใดต่อกัน ดีหรือไม่”

จางตั๋วเหล่มอง “ทหารรักษาพระองค์ตามจับหญิงคนหนึ่งยามดึก นางไปเอาชีวิตผู้ใดในวังหรือ”

“เอาชีวิตฝ่าบาท” จ้าวเชียนยักไหล่ ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง “ฝ่าบาทถูกมีดสั้นที่นางซ่อนไว้ในบังทรงทำร้ายและตกพระทัยอย่างยิ่ง หมอหลวงเหมยเข้าวังไปตอนยามไฮ่* ตอนนี้ยังไม่กลับมา ข้าเดาว่าเรื่องลอบปลงพระชนม์เมื่อคืนน่าจะเป็นคำสั่งของจิ้นอ๋อง เกรงว่าจิ้นอ๋องคงจะวางแผนไว้แล้วว่าจะ…” เขาทำมือแทนมีดแล้วปาดลงบนลำคอของตนเอง “เข้ามาแทนที่”

จางตั๋วจับกาน้ำเทน้ำชาให้ตนเองแล้วเอ่ยว่า “คำพูดนี้ยังไม่พอ”

จ้าวเชียนตกใจ “ยังไม่พออีกหรือ เช่นนั้นยังขาดจุดใด”

จางตั๋ววางถ้วยชาไว้บนมุมหนึ่งของเสื่อแล้วงอนิ้วเคาะเสื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “จิ้นอ๋องหลิวปี้อยู่ทางเมืองตะวันออก ถ้าจะตวัดแส้ยาวมาให้ถึงวังหลวง ต่อให้หลบเลี่ยงข้าได้ก็หลบเลี่ยงเจ้าไม่ได้”

จ้าวเชียนตกใจ “เรื่องนี้ก็จริง ใครกันที่เป็นสายเชื่อมโยงในเรื่องนี้”

“คนในวัง”

“ใคร”

จางตั๋วหลุบตาลง “ตอนนี้ยังไม่รู้กระจ่าง”

จ้าวเชียนตบโต๊ะน้ำชาจนถ้วยชาล้มคว่ำ แม้จะมีน้ำชากระเซ็นใส่ตัวเขาก็ไม่มีแก่ใจไปเช็ด สองมือเท้าโต๊ะน้ำชาแล้วกล่าวเสียงดัง

“ในเมื่อเจ้ารู้ไม่กระจ่าง ยังจะเก็บหญิงผู้นั้นไว้ในจวนของเจ้าอีกหรือ”

“จะฆ่าคนหรือช่วยคนเป็นเรื่องของข้า เจ้าเป็นทหารรักษาพระองค์ จับคนเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ต้องลำบากใจ ตัวข้านั่งอยู่ตรงนี้ เจ้าเอาโซ่ตรวนของเจ้าขึ้นมาคล้องเลย วางใจได้ หากไม่มีคำพูดของข้า เจียงหลิงไม่กล้าลงมือกับเจ้าแน่นอน”

จ้าวเชียนถูกเขาพูดสะกิดจนโกรธเกรี้ยว จึงเอ่ยกึ่งตะคอกกึ่งด่าว่า “จางตั๋ว! ชีวิตข้าเจ้าเป็นคนช่วยไว้ หัวตัดให้เจ้าเลยก็ได้ เจ้าพูดคำเหล่านี้คิดว่าข้ามีชีวิตยาวเกินไปแล้วหรือ จะให้ข้าอายุสั้นสินะ! เจ้าตอนนี้อยู่บนคลื่นลมอันตราย ถ้าข้าไม่เห็นว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย เกรงว่าจะมีคนเลวอะไรมาทำเจ้าเสียหายอีก ไม่เช่นนั้นตอนนี้ข้าคงไปรับการโบยห้าสิบไม้นั้นแล้ว จะแบกของสิ่งนี้ลับๆ ล่อๆ มาหาเจ้าที่นี่หรือ!”

“ห้าสิบไม้โบยที่ใด”

จ้าวเชียนถูกคำถามที่มาอย่างฉับพลันนี้ทำให้งุนงง “เอ่อ…อะไรนะ”

“โบยที่ใด”

อารมณ์โกรธของจ้าวเชียนยิ่งพลุ่งพล่าน “ที่ค่ายทหารรักษาพระองค์! พระประสงค์ของฝ่าบาท วันนี้ยามเฉิน* หากจับตัวมือสังหารกลับมาไม่ได้ คนที่อารักขาเมื่อคืนจะถูกโบยห้าสิบไม้ พอใจหรือยัง เจ้าถามเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใด”

“ถามสถานที่ จะได้ส่งคนไปรับเจ้า”

“จางทุ่ยหาน! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะนำคนมาค้นเรือนตะวันตกนี้ของเจ้า!”

“เจ้าลุกขึ้นได้ก่อนค่อยว่ากัน”

“เจ้า!”

“เจียงหลิง”

“ขอรับ”

“เตรียมสุราดีงู”

จ้าวเชียนไฟโทสะท่วมท้น ไม่สนใจว่าอะไรคือมีมารยาทไม่มีมารยาท บุญคุณไม่บุญคุณ เขาตะคอกเสียงดัง “จางทุ่ยหาน! เจ้าดูถูกคนให้น้อยสักนิด! ห้าสิบไม้เท่านั้น ข้ายังไม่ถึงขั้นธาตุไฟทะลวงอกต้องดื่มของขมเช่นนั้น!”

ใครจะรู้ว่าคนตรงหน้ากลับพูดแย้งเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่ให้เจ้า”

“อะไรนะ…” จ้าวเชียนตกใจ คิดถึงท่าทางการเดินของสหายเมื่อครู่ก็เข้าใจในทันใด จึงกวาดตามองจางตั๋วปราดหนึ่ง สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่บนข้อมือของเขาที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อเล็กน้อย หิมะที่แข็งตัวเกาะอยู่ตรงบาดแผลเป็นสีดำแล้ว น่ากลัวอย่างยิ่ง

“ต้าซือหม่า…”

“หุบปาก”

“ไม่ใช่…เจ้าจะลำบากไปเพื่ออะไร”

“หนังเปิดเนื้อแตก สบายใจตามหลักเหตุผล”

เอ่ยประโยคเหล่านี้ออกมาต่อหน้าสหายสนิทจึงจะนับได้ว่าสบายใจตามหลักเหตุผลอย่างแท้จริง

จ้าวเชียนกอดอกรวบชายเสื้อผ้านั่งลงอย่างดีแล้วเอ่ยอย่างอดทนว่า “บนแผ่นหลังยังมีเนื้อดีอยู่หรือ หลายวันต่อจากนี้หมอหลวงเหมยคงจะออกมาไม่ได้ เจ้าจะรักษาบาดแผลอย่างไร ทนเอาไว้หรือ”

จางตั๋วเอียงตัวไปจุดเตาป๋อซาน เครื่องหอมเผาไหม้อยู่ในท้องเตา ควันไหลลอดออกมาจากกลางรูปทรงภูเขากลวงแล้วลอยวนเข้าแขนเสื้อ ชายหนุ่มทั้งสองจึงมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“สิบวันก็หาย ไม่ต้องให้เจ้าเป็นห่วงหรอก”

“ถ้าเฉินเซี่ยวอยู่ เจ้าคงไม่พูดเช่นนี้”

เมื่อคำว่า ‘เฉินเซี่ยว’ ออกจากปาก จ้าวเชียนเองก็ตกใจ

เฉินเซี่ยวเสียชีวิตในรัชศกซิงชิ่งปีที่สิบ ในคดีฆ่าล้างสกุลเฉินแห่งเขตตงจวิ้น

ตอนนั้นจางซีทำศพให้เฉินวั่ง โบยตีจางตั๋วอย่างหนักหน้าโลงศพ จากนั้นจางตั๋วยังแบกเอาบาดแผลร้ายแรงไปเก็บศพแทนเฉินเซี่ยวบุตรชายของเฉินวั่งด้วยตนเองอีกด้วย

ทางเหนือของเชิงเขาเป่ยหมางมีสุสานนิรนามแห่งหนึ่ง ที่ฝังไว้ตรงนั้นก็คือชายหนุ่มรูปงามที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองลั่วหยางผู้นั้น

บนโลกที่ไร้แก่นสารไม่แน่นอน คำว่า ‘อิงสยง’ ที่หมายถึงวีรบุรุษมักจะถูกแยกคำเพื่อให้คำนิยาม

‘อิง’ ในคำว่า ‘อิงสยง’ นี้คือพืชที่เจริญงอกงามแต่ไร้ผล ฟังแล้วทำให้เกิดความเสียดายถึงชีวิตที่กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดแต่ไร้ซึ่งผลลัพธ์ เฉินเซี่ยวเรียกได้ว่าเป็นความเสียดายในเชิงความหมายนี้

เขตตงจวิ้นที่ผ่านมาเป็นแหล่งกำเนิดหญิงงาม ชายหนุ่มก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

เฉินเซี่ยวมีรูปโฉมงดงามจนไม่อาจหาผู้ใดมาเทียบเทียม สวมอาภรณ์งามหรู หนึ่งคนหนึ่งพิณก็สามารถบรรเลง ‘ลำนำก่วงหลิงซั่น’ ได้แล้ว เพียงเคาะหินเป่าใบไม้ก็สามารถดึงดูดร้อยสกุณาออกมาได้ เขามีชาติกำเนิดจากครอบครัวบัณฑิตผู้มีความรู้ในเขตตงจวิ้น แต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตน คนในเมืองลั่วหยางตั้งแต่ราชนิกุลไปจนถึงบ่าวรับใช้ต่ำต้อยต่างชื่นชมรูปลักษณ์และความประพฤติของเขา กระทั่งสิบปีหลังจากการตายของเขาก็ยังคงมีชายหญิงที่ยกย่องชื่นชมเขาเดินทางไปเซ่นไหว้ที่เขาเป่ยหมางอยู่เป็นประจำ

สำหรับจางตั๋วกลับเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง

มีชาติกำเนิดในตระกูลชื่อดัง มีตำแหน่งขุนนาง แต่ชีวิตก่อนสิบขวบของคนผู้นี้กลับเป็นปริศนาอันลึกลับ เขาใช้ชีวิตอยู่สถานที่ใด มีชีวิตมาได้อย่างไร แม้แต่จ้าวเชียนเองยังไม่รู้กระจ่าง และเขาก็ไม่ชอบฟังคำวิจารณ์ของผู้ใด ดังนั้นทั่วทั้งเมืองลั่วหยางจึงไม่มีผู้ใดกล้าไปสืบความเกี่ยวกับอดีตของเขา และยิ่งไม่กล้าเอาเขามาพูดวิจารณ์

เขาทำลายสายเลือดสกุลเฉิน แต่ฝังศพแทนเฉินเซี่ยวด้วยตนเอง

เมื่อเผชิญหน้ากับการกระทำย้อนแย้งนี้ จะตำหนิว่าเขาละโมบในชื่อเสียงอันดีงามหรือ

ก็ได้ จะคิดว่าเขามีความเวทนาต่อเฉินเซี่ยวก็ได้ จะคาดเดาว่าเขาถูกจางซีควบคุม ถูกบังคับให้ทำก็ได้อีกเช่นกัน

คำวิจารณ์มีมากมาย แต่เมื่อเขาเดินไปบนถนนถงถัว ทุกคนกลับเงียบเสียง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงสังหารคนอย่างไม่ปิดบัง และรับโทษรับความอัปยศต่อหน้าป้ายวิญญาณสกุลเฉินอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน หลังจากนั้นก็เดินอยู่ในเมืองลั่วหยางอย่างเปิดเผยต่อไป เต็มไปด้วยคราบเลือดและกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายทำให้คนต้องถอยห่าง

“เจ้าจะหาเรื่องข้าใช่หรือไม่”

คำพูดที่เย็นชาไปถึงดวงตานี้กระแทกใส่จ้าวเชียนให้ดึงสติกลับมาทันใด

เขารีบยกน้ำชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วลุกขึ้นยืน “ข้ากลับค่ายทหารรักษาพระองค์ไปรับโทษล่ะ ลาก่อน” พูดจบก็ก้าวยาวจากไป

คนข้างหลังไม่ได้เงยหน้าขึ้นเช่นกัน “หยุดตรงนั้น”

จ้าวเชียนเดินอ้อมฉากบังตาไปแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ก็ทำเพียงเดินถอยกลับมาแต่ไม่ได้หันหน้ามา พูดกับฉากบังตาหยกสลักร้อยสกุณานั้น

“ได้ ข้าไม่ควรพูดถึงคนคนนั้น แต่เขาตายไปสิบปีแล้ว ต้นสนเตี้ยข้างสุสานนิรนามเขาเป่ยหมางสูงเสียดฟ้าแล้ว ชาตินี้ต่อให้ชื่อเสียงของเขางดงามแล้วอย่างไร จุดจบกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายก็เทียบเจ้าไม่ได้ เจ้าชนะเขาไม่ใช่เพียงครึ่งตัวหมาก เจ้ายังจะยึดติดอะไรอีก”

นี่ไม่เชิงเป็นการยึดติด แต่เป็นการรับรู้ของมนุษย์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่า

จ้าวเชียนพูดจบแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบเป็นเวลานานของคนข้างหลัง

ควันในเตาป๋อซานรวมตัวกันที่ส่วนฐาน มีไอน้ำพวยพุ่งออกมาราวกับหมอกควันแห่งเทพ ลอยวนรอบโต๊ะน้ำชา

“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ” จ้าวเชียนถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ

พูดจบก็เดินไปอีกหลายก้าว แต่พลันนึกอะไรขึ้นได้จึงหยุดชะงัก หมุนตัวแล้วล้วงขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกจากข้างเอวโยนให้อีกฝ่าย “การลงโทษตามกฎบ้านในสกุลจางของพวกเจ้าไม่รู้หนักเบา ข้าไม่ใช้แล้ว เจ้าเอาไปจัดการแผลเถอะ ใช้ดีกว่าสุราดีงูของเจ้าอยู่บ้าง”

จางตั๋วยกมือรับไว้แล้วโยนกลับไปทันที “ดูแลตัวเจ้าเองให้ดีเถอะ”

จ้าวเชียนเก็บขวดกระเบื้องใบนั้นใส่ข้างเอวอีกครั้งอย่างโกรธเกรี้ยว กอดอกเอ่ยว่า “ได้ หมอหลวงเหมยปรุงมาหนึ่งปีก็ปรุงได้เพียงเท่านี้ ให้เจ้าหมดเลยข้ายังทำใจไม่ได้ แต่ว่าทุ่ยหาน…” เขากวาดตามองบาดแผลจากแส้บนข้อมือของจางตั๋วอีกครั้ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงลองเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “ต้าซือหม่า…เหตุใดจึงทำให้เจ้าอับอายอีกแล้ว”

ถ้วยชากระแทกโต๊ะ จางตั๋วประสานสายตากับจ้าวเชียนปราดหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ

“ไม่มีอะไร เขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”

“อ้อ”

เห็นว่าจ้าวเชียนยังไม่มีทีท่าจะจากไป เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ “เช่นนี้ก็ดี แม้ว่าจะไม่ใช่พ่อลูกที่แท้จริง แต่ข้าก็ถือว่าได้ตัดเนื้อตอบแทนคืนให้ท่านพ่อแล้ว ถึงตอนนี้ข้าไม่ติดค้างหนี้สกุลจางแล้ว”

ลำคอของจ้าวเชียนรู้สึกเย็นเยือก ลิ้มรสได้ถึงความหมายในคำพูดนั้น เขานิ่งเงียบอยู่นาน พอเงยหน้าขึ้นจะอ้าปากถามอีกครั้ง คนตรงหน้าก็จากไป ทิ้งไว้แต่น้ำชาที่เย็นแล้ว

กำยานในเตาดับลง แต่กลิ่นหอมของไม้หอมชั้นเลิศยังคงอยู่ไม่จางหายเป็นเวลาเนิ่นนาน

ทางด้านเรือนชิงถานเพิ่งจะจุดกำยานเตาแรก

ก่อนจางตั๋วจะจากไปได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งให้แก่สีอิ๋น ‘ใต้กวนอินไร้ฝุ่นผง ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นกำยาน ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักนิดจะถูกโบยทันที’

คนผู้นี้พูดแล้วต้องทำ บนถนนถงถัว สีอิ๋นเคยประจักษ์แก่ตามาแล้ว

ด้วยเหตุนี้นางจึงทำงานอย่างขยันขันแข็งตลอดทั้งวัน พับผ้าห่ม ตัดแต่งดอกเหมย ปัดกวาด จนในที่สุดนางก็ได้หยุดงานก่อนตะวันตกดิน หลังจุดกำยานหอมแล้วก็รวบเสื้อคลุมคุกเข่านั่งอยู่หน้าเตาป๋อซานเนื้อสำริดด้ามไม้ไผ่เคลือบทอง

นางจ้องไปยังควันขาวที่ลอยลอดออกมาจากเตาพลางหายใจหอบ กลิ่นหอมนั้นเข้มข้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกลิ่นหอมทั่วไปของกำยานที่ขายในตลาดเหนือของชุมชนเยวี่ยลวี่หลี่ เมื่อสูดดมนานเข้านางก็เกิดความง่วงเป็นระยะๆ ตัวเริ่มเอนเอียง ขาที่คุกเข่าอยู่อ้าออก เผยให้เห็นเท้าที่ผิวเนื้อราวกับไขมันแข็งตัวของนางคู่นั้น พอไอเย็นมากระทบ นางก็รีบดึงชายเสื้อไปปิดบังเอาไว้

จางตั๋วดูเหมือนตั้งใจจะไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่เกินสิบวันจริงๆ ถึงขั้นแม้แต่เสื้อผ้าที่เหมาะสมก็คร้านจะหาให้นาง

เสื้อคลุมบุรุษบนตัวนางตัวนี้ไม่มีเสื้อซับใน พอนั่งลงจึงเปิดออกเป็นธรรมดา หากไม่ระวังจะเผยให้เห็นภาพวาบหวาม ดูลามกอนาจารยิ่งกว่าหญิงคณิกาเสียอีก ทว่าชายผู้นั้นไม่เคยชายตามองมาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะรักษาชื่อเสียงใสสะอาดของตนเองหรือรังเกียจนางอย่างที่สุด

ถึงแม้นางจะอายุน้อย แต่ก็เคยเห็นชายหนุ่มมากมายน้ำลายไหลย้อย แสดงท่าทางปรารถนาในตัวนาง นางเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการสนองความชั่วร้ายทางโลกเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูคนตาบอดในบ้าน ดังนั้นนางจึงรู้สึกยินดีในร่างกายของตนเองเสมอมา และไม่รู้สึกรังเกียจคนที่ละโมบในกายเนื้อนี้ ในทางกลับกันนางไม่เคยเห็นใครเหมือนจางตั๋วมาก่อน เขาเหมือนอีกาบนต้นถง หมางเมินต่อความงามล้ำเลิศของนาง ราวกับว่าสามารถบีบคอนางเพื่อจบชีวิตนางได้ตลอดเวลาโดยไร้ซึ่งความสงสาร

แสงตะวันยามเย็นอ่อนแรงลง

เสียงเห่าดังมาจากนอกประตู สีอิ๋นตัวสั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันหมุนตัวกลับ ประตูก็ถูกคนผลักเปิดออกแล้ว จางตั๋วดูเหมือนจะออกไปข้างนอกมา บนตัวยังสวมเครื่องแบบทางการอยู่

เขาไม่ได้เข้ามา เพียงมองนางผ่านม่านมุ้ง “เจ้าออกมา”

สีอิ๋นไม่กล้าหยุดนิ่ง นางไม่มีรองเท้าจึงต้องเดินเท้าเปล่าไปบนบันไดหิน รู้สึกหนาวเหน็บเจ็บปวดถึงกระดูก

ทว่านางยังไม่ทันรู้สึกสงสารตนเองก็เห็นบนต้นเหมยแคระต้นหนึ่งกลางลานมีเชือกผูกปมอยู่ เจียงหลิงยืนอยู่ข้างต้นไม้ ในมือถือแส้เส้นบางไว้หนึ่งเส้น

จางตั๋วหมุนตัวกลับแล้วนั่งลงตรงหน้าประตู ยื่นมือไปทางเจียงหลิง “เอามานี่”

เจียงหลิงมองไปยังนิ้วเท้าของหญิงสาวที่เสียดสีกันด้วยความกลัว รู้สึกลังเลไปชั่วขณะ

“เจียงหลิง”

เสียงพูดไม่หนักไม่เบาของเขาดึงสติของเจียงหลิงกลับมา จางตั๋วเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เขารู้เป็นอย่างดี ในเวลานี้จึงจำต้องเก็บความคิดทะนุถนอมหญิงงามเอาไว้ พูดรับคำแล้วโยนแส้ไปให้อีกฝ่าย

ลมจากแส้วาดผ่านใบหน้าของสีอิ๋น คนที่อยู่ข้างหลังยกมือขึ้นคว้ามันไว้ มือหนึ่งจับด้ามแส้ มือหนึ่งจับปลายแส้พลางพูดเสียงเรียบ

“เจ้าออกไปก่อน ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ห้ามเข้ามา”

“ขอรับ”

เจียงหลิงก้มหน้าถอยออกไป ในลานเหลือเพียงคนสองคน

คนหนึ่งอาภรณ์เรียบร้อยงดงาม คนหนึ่งเสื้อผ้ายุ่งเหยิง

กลิ่นหอมของดอกเหมยที่ให้ความรู้สึกเย็นเยือกผสานกับกลิ่นอันอบอุ่นของกำยานหอมที่ลอยบางๆ มาจากในห้อง หลอมรวมกันอยู่ในสายลมอ่อนๆ ยามพลบค่ำ

“เดินไปตรงนั้น”

เขายกแส้ชี้ไปทางต้นเหมยแคระต้นนั้น

สีอิ๋นสองขาอ่อนแรง ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่

เขาไม่ได้วางแส้ลงและไม่ได้ตะคอกใส่นาง ยังคงอยู่ในท่าเงื้อแส้และมองตานางอย่างเงียบๆ

ความน่ากลัวนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง

เขาเพิ่งจะลดมือลง ไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ทำให้นางตกใจจนรีบวิ่งลงบันไดไปหยุดยืนที่ต้นเหมยแคระต้นนั้นแล้ว และไม่รอให้เขาเอ่ยสั่งนางก็เขย่งปลายเท้า สอดข้อมือตนเองผูกกับปมเชือกนั้น ในขณะเดียวกันของห่อหนึ่งก็หลุดลงมาจากในสายรัดเอวของนาง ทว่าเวลานี้นางไม่มีแก่ใจจะสนใจแล้ว

“ข้าให้เจ้าแขวนตัวเองหรือ”

นางตัวสั่นเทาอย่างทำอะไรไม่ถูก

นั่นเป็นภาพงดงามอลังการภาพหนึ่ง ดอกเหมยที่เบ่งบานปลิวร่วงหล่นอย่างงดงามไปตามลม แสงจากฟากฟ้ายังไม่หายไปจนสิ้น เคลือบแสงสีทองลงบนตัวคนใต้ต้นไม้ สายรัดเอวของนางคลายออก ชายเสื้อยาวพลิ้วไหวราวกับหางยาวของนกยักษ์

จางตั๋วเพียงแค่นั่งอย่างเงียบงันอยู่ชั้นบนสุดของบันไดหินซึ่งห่างออกไปราวสามจั้ง กวาดมองรอบตัวนางปราดหนึ่ง ใช้แส้ในมือตบฝ่ามือครั้งแล้วครั้งเล่า

“ไม่ขัดขืนหรือ”

สีอิ๋นไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ นางยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ท่ามกลางลมหนาว พูดเสียงเครือ

“อย่าฆ่าข้า…ข้าตายไม่ได้…คุณชายพูดอะไรข้าจะฟังทุกอย่าง…”

เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหญิงสาวทีละก้าว จนกระทั่งมาถึงตรงหน้านางก็หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “เจ้ากลัวตายหรือ เจ้ากลัวตายแต่ยังกล้าซ่อนมีดลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้อีกหรือ”

พูดจบเขาก็เงื้อแส้ฟาดไปยังร่างกายของนางทีหนึ่ง

สีอิ๋นเจ็บจนร้องออกมาทันที ทำให้สุนัขเสวี่ยหลงซาที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างตกใจในทันใด

“ไม่หลบหรือ”

นางเจ็บปวดจนกรามสั่น จับเชือกบนข้อมือสุดแรง “ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าต้องมีชีวิตอยู่…หากพี่ชายไม่เจอข้า ก็มีชีวิตได้ไม่นานเช่นกัน…”

“หึ พี่ชายหรือ ใครให้เจ้าแสร้งทำตัวเช่นนี้! ใคร!”

สีอิ๋นตกใจไปชั่วขณะ ผู้ใดบ้างไม่กลัวคนที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมราวผีร้าย วิญญาณของนางเกือบจะถูกฉีกจนแหลกสลายแล้ว จะแสร้งทำอะไรได้

‘เพียะ!’

ความเจ็บปวดแทบระเบิดที่แผ่นหลังลามขึ้นถึงศีรษะของนาง หากพูดว่าแส้แรกเป็นเพียงคำเตือน เช่นนั้นแส้นี้จึงจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา

ตอนนางยังเด็กก็เอาชีวิตรอดอยู่ในโลกที่วุ่นวายสับสน ถูกทุบตีมาไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดที่กรีดผิวทะลุกระดูกเช่นนี้มาก่อน นางยืดคอ เส้นเลือดปูดนูน พลังทั่วร่างมากระจุกอยู่ที่ทรวงอกในทันใด แม้แต่จะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก เหลือเพียงกระดูกเนื้อหนังบนร่างที่กำลังต่อสู้อยู่ท่ามกลางแสงสลัวที่ใกล้จะดับไป

เขาไม่ให้โอกาสนางได้ผ่อนลมหายใจเลยสักนิด ใช้ด้ามแส้เชิดปลายคางของนางขึ้น

“กล้าฆ่าคนในวัง แต่ไม่รู้จักยาเชียนจีอย่างนั้นหรือ”

เสียงพูดเย็นเยือก ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็พลิกมือฟาดแส้ลงที่ข้างเอวของนางอีกครั้ง ไร้กฎเกณฑ์ประหนึ่งไม่สนใจถนอมชีวิตของนางเลยสักนิด

สีอิ๋นร้อนใจอย่างยิ่ง ร้องอย่างน่าเวทนาออกมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าพลันมืดดำ นางจับปมเชือกบนกิ่งไม้ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายทรุดลงไปในกองหิมะอย่างแรงแล้วขดตัวเป็นก้อน

เสื้อผ้าฉีกขาด ปรากฏรอยแส้รุนแรงสามรอยบนร่างนาง แต่ละรอยมีเลือดไหลซึม

“อย่าโบยข้าเลย…ข้าขอร้องท่าน อย่าโบยข้าเลย…”

เสียงนั้นเอ่ยปนสะอื้นอย่างน่าเวทนา ผสานกับเสียงฟันกระทบกัน ลอยไปในสายลม

การจะปลดแนวป้องกันของใครสักคน วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือทำให้คนผู้นั้นเจ็บถึงขีดสุด เจ็บจนร่างกายเสียการควบคุมจิตวิญญาณ เผยท่าทางเช่นสัตว์เลี้ยงออกมา หากไม่ได้รับการฝึกฝนในนรกเช่นนี้ด้วยตนเอง คงไม่มีใครตระหนักถึงความจริงอันน่าเศร้าเช่นนี้ได้

จางตั๋วก้มหน้ามองหญิงสาวที่ขดตัวอยู่บนพื้น พูดเสียงเรียบว่า “ใครให้เจ้ามาฆ่าคน”

“ใครให้ข้ามาฆ่าคน…” ในที่สุดสีอิ๋นก็รู้กระจ่างแล้ว เขากำลังลงทัณฑ์สอบสวนนาง จึงรีบเอ่ยว่า “เป็น…เป็นขันทีคนหนึ่งในวัง”

นางพูดอย่างร้อนรนจนเกือบจะกัดลิ้นตนเอง ด้วยกลัวว่าหากตอบช้าไปจะถูกโบยอีก “ข้าไม่กล้าโกหกท่าน! พวกเขาจับพี่ชายข้าไว้ ถ้าข้าไม่เชื่อฟังคำของพวกเขา…พวกเขา…พวกเขาจะฆ่าพี่ชาย…”

นางพูดทั้งน้ำตา มือก็ยื่นไปจับชายเสื้อของชายหนุ่ม ค่อยๆ กำแน่นทีละนิด คล้ายว่านางจะสามารถใช้วิธีนี้อดทนอดกลั้นต่อความเจ็บได้

“ปล่อยข้าไปเถอะ…ขอร้องท่านล่ะ ข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าเพียงแค่อยากกลับไปอยู่ข้างกายพี่ชาย ข้าขอร้องท่านล่ะ…ขอร้องท่าน…ข้าเจ็บจะตายแล้ว ข้าเจ็บจะตายแล้วจริงๆ อย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย อย่าทำเช่นนี้กับข้าได้หรือไม่…”

การไม่เจียมตัว ความต่ำต้อย ความอัปยศ และการข่มเหงล้วนบีบนางให้ตกอยู่ในสถานการณ์ขัดแย้งที่ทั้งเป็นจริงและไร้สาระ

จางตั๋วมองมือของหญิงสาวที่กำเสื้อของเขาแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด รวมถึงรอยแส้บนตัวนางที่ไม่เข้ากับผิวที่ขาวราวหิมะแต่ฉายความงดงามอย่างน่าประหลาดนั้น

สิ่งเหล่านี้กระจ่างชัด สมจริงมาก แต่เขากลับรู้สึกสองจิตสองใจกับการตัดสินหญิงผู้นี้

การลอบสังหารเป็นเหมือนการนำชีวิตไปเสี่ยงบนคมมีด แต่นางกลับขลาดกลัวราวกับกระต่ายน้อยใต้คมมีด

นางมีอุปนิสัยเช่นนี้จริงๆ หรือเป็นการปิดบังอำพรางไว้อย่างแยบยล

จางตั๋วสงสัยโดยสัญชาตญาณ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าก็คือเขาเห็นรอยอดีตของตนเองจากร่างที่บิดงอของนาง รวมถึงพลังการดิ้นรนที่แตกต่างไปจากตัวเขาอย่างสิ้นเชิง

“แค่เจ้าขอร้องก็จะได้รับการอภัยแล้วหรือ ช่างโง่เขลา”

นางได้ยินเสียงของชายหนุ่มเบาลงเล็กน้อย จึงกล้ามองเขาอย่างหวาดหวั่น เห็นแส้บางในมือของเขาทิ้งตัวลงก็รีบขดตัวใหม่อีกครั้ง นิ้วมือพยายามจับกระดูกสะบัก นิ้วเท้าก็จิกกันแน่นพลางพูดปนสะอื้น

“เมื่อก่อนข้าขโมยข้าวกินในเยวี่ยลวี่หลี่ พวกเขาจับข้าได้ก็ทุบตี…ข้าขอร้องพวกเขา ขอร้องสุดชีวิต…ภายหลังพวกเขาก็ไม่ทุบตีข้าแล้ว ยังให้น้ำข้าวข้าดื่มอีกด้วย…”

“ใครเป็นคนสอนเจ้า”

“หา?”

“ใครเป็นคนสอนเจ้า” เขาถามอีกรอบ

“อ้อ! พี่ชายเป็นคนสอนข้า! พี่ชายบอกว่าเช่นนี้พวกเราจึงจะมีชีวิตต่อไปได้”

“หึ เขาสอนสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้ายังช่วยเขาฆ่าคนอีกด้วย”

นางมองจางตั๋วอย่างตื่นกลัว เขาก็มองนางด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน

แววดูแคลนในดวงตานั้นทำให้นางเกิดความกล้าหาญที่ไม่รู้มาจากที่ใด แม้จะกลัวจนใจแทบขาด แต่นางยังคงพูดเสียงสะอื้นแก้ต่างแทนผู้อื่น

“ไม่ใช่…พี่ชายดีต่อข้ามากจริงๆ ดวงตาของเขาเป็นเช่นนั้นแล้ว ทุกครั้งที่ข้าถูกทุบตี เขายังคง…ถือตะเกียงใส่ยาให้ข้า คุณชาย…พวกเราล้วนเป็นคนต่ำต้อยไร้ประโยชน์ ต้องใช้ชีวิตร่วมกันจึงจะมีชีวิตต่อไปได้”

นางเจ็บจนกัดฟันไม่ไหวแล้ว เสียงพูดสั่นเครืออย่างรุนแรง

ทว่าเขาไม่ได้ตัดบทนาง ปล่อยให้นางตัวสั่นสะอื้นไห้ พูดขาดห้วงไปจนจบ

เขาไม่มีทางเห็นใจนาง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนัก

อย่างไรเสียความอ่อนแอ ความอ่อนน้อมของหญิงงามก็สามารถสะกิดความกระหายเลือดของชายหนุ่มได้ แม้ว่าเขาจะจงใจหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยอยู่ในจิตวิญญาณ นอกจากนี้ความปรารถนาของนางในการมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีศักดิ์ศรีนั้นทั้งเหมือนเขาและไม่เหมือนเขาอย่างยิ่งเช่นกัน

จางตั๋วยกชายเสื้อคลุมแล้วย่อตัวลง ปลายแส้วาดผ่านเอวของนางโดยไม่ตั้งใจ ทำให้นางตกใจกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าโบยข้าอีกเลย…ข้าเจ็บจะตายแล้วจริงๆ…”

จางตั๋วดึงปลายแส้กลับมาอยู่ในมือ “ข้าขอเปลี่ยนคำถามใหม่”

“ได้ๆ…” นางรีบตอบรับ

“ใครให้เจ้ามาขวางรถม้าของข้า”

นางไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ไปชั่วขณะ แต่หลังจากเข้าใจแล้วก็ตกใจเสียขวัญทันที ไม่มีแก่ใจจะสนใจความเจ็บปวดบนร่างกาย นางลุกขึ้นมาคุกเข่า คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้

“ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นรถม้าของคุณชาย ข้าเพียงแค่กลัวจะถูกพวกเขาจับตัวกลับไป ข้าตกใจแทบบ้าแล้วจึงได้ล่วงเกินคุณชาย ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ คุณชาย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ!”

จางตั๋วจ้องมองใบหน้างดงามที่แม้จะไม่ได้แต่งแต้ม ทั้งยังเปื้อนน้ำตา แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดจิตวิญญาณ พยายามค้นหาพิรุธเบื้องหลังน้ำตาพร่างพราวเหล่านั้น ทว่านางดูเหมือนจะถูกเขาทำให้หวาดกลัวจนแทบบ้าแล้ว รูม่านตาหดตัว พูดจาเหลวไหลไร้สาระ ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร เอาแต่ยอมรับความผิดขอความเมตตาจากเขา

ความกลัวเพียงอย่างเดียว ความโลภในการมีชีวิตเพียงอย่างเดียว

ความปรารถนาที่ชัดเจนนี้เป็นเป้าหมายอันล้ำค่าท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในเมืองลั่วหยาง

ง้างคันธนูในระยะที่ห่างออกไปสิบก้าว เพียงยิงก็เข้าเป้า ทำให้อารมณ์ความต้องการเหล่านั้นกลายเป็นผีใต้ลูกธนู ตกเป็นนักโทษของคนที่ถือคันธนูได้ทันที

ต่อหน้านักโทษ คนเราสามารถลดความระมัดระวังลงได้ชั่วคราว

ในใจจางตั๋วเวลานี้เกิดความสุขอันมืดดำขึ้นระลอกหนึ่ง

แสงสลัวเหนือศีรษะหายไปจนสิ้น เมฆดำมารวมตัวกันบนท้องฟ้า

หิมะฤดูใบไม้ผลิในรัชศกซิงชิ่งปีที่สิบสองตกลงมาอย่างเงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย กลิ่นคาวเลือดผสานกับกลิ่นหอมของดอกเหมย ทำให้กลิ่นหอมนั้นให้ความรู้สึกเย็นเยือกรุนแรง

จางตั๋วกำลังจะลุกขึ้น หางตาก็มองเห็นของห่อหนึ่งที่หล่นลงมาจากสายรัดเอวของนาง “เจ้าเอาอะไรไป”

นางคุกเข่านั่งบนพื้นหิมะ มองไปตามสายตาของเขา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดหนึ่งคำออกมาอย่างหวาดหวั่น “กำยาน”

“ขโมยหรือ”

นางรีบร้อนไปเก็บของสิ่งนั้นจากในกองหิมะ “อย่าโบยข้า…”

“เหตุใดจึงขโมย”

“ข้า…ข้า…ข้าอยากเอากลับไปให้พี่ชายสักหน่อย ส่วนที่เหลือสามารถนำไปขายแลกเงินได้”

เขามองท่าทางของหญิงสาวที่อดทนต่อความเจ็บปวดพลิกหาของบนพื้นหิมะ แล้วก็พูดขึ้นทันใด “วันนี้วันที่สาม เจ้ายังมีชีวิตได้อีกเจ็ดวัน จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน ไม่รอให้นางตอบอะไรก็สะบัดมือของนางที่จับแขนเสื้อของเขาออก แล้วหมุนตัวเดินไปทางเรือนชิงถานพลางเอ่ยต่อ

“ปรับลมหายใจได้แล้วก็เข้ามา ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าจะได้เป็นกระดูกใต้ปากสุนัข”

พ้นเคราะห์ใต้ต้นดอกเหมยมาได้ นางมีชีวิตรอดแล้ว

ทว่าสีอิ๋นไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องถูกโบยเช่นนี้ และเหตุใดจึงมีชีวิตรอดต่อไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: