บทที่สอง ร่มเงาฤดูใบไม้ผลิ
เมืองลั่วหยางในสายตาผู้คนเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่ง บัณฑิตถกกันด้วยปัญญา แพทย์แข่งขันกันด้วยสมุนไพร ตระกูลขุนนางใหญ่ออกล่าสัตว์ในทุ่งกว้าง นกอินทรีโบยบิน สุนัขวิ่งในป่าไล่ล่าเก้งกวาง
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ใบหญ้าในป่าจะบานสะพรั่ง แมลงส่งเสียงร้องระงมอยู่หน้าประตู
ผู้คนออกท่องเที่ยวปีนขึ้นที่สูงของเมืองอย่างอิสระ มองไปทางทิศตะวันออกดูป่าทุ่ง มองย้อนกลับไปชมสวนหย่อมด้านหลังมีภูเขาเป่ยหมางที่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทางใต้มีแม่น้ำลั่วที่คลื่นน้ำเป็นประกายสายยาว ช่วงที่ฝนตกชุกน้ำในแม่น้ำจะขึ้นสูง เพียงชั่วข้ามคืนก็สามารถเปลี่ยนทั้งเมืองให้มีพืชพรรณผลิดอกออกผลในฤดูใบไม้ผลิและพร้อมเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงได้ทันที
ชนชั้นต่ำเช่นสีอิ๋นมักจะหลงมัวเมาอยู่ในภาพงดงามที่คล้ายสัมผัสได้ทว่าแท้จริงกลับลวงตาเหล่านั้น
แต่ไม่ว่าเมืองจะงดงามเพียงใด หลังผ่านสงครามหลายครั้งก็จะถูกทิ้งร้าง จากนั้นก็จะถูกปลุกขึ้นมาด้วยแรงจูงใจอย่างหนึ่ง ทว่าเมื่อเคยผ่านความเสียหายบอบช้ำมาแล้วก็มักจะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้ไม่มากก็น้อย แต่เพราะมันได้เกิดใหม่ ด้วยความอ่อนวัยจึงทำให้ผู้คนในเมืองไม่สามารถมองเห็นร่องรอยนั้นได้อย่างง่ายดาย
ทว่าชะตากรรมของผู้คนและเมืองบางครั้งก็มีความเกี่ยวข้องกัน
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนรู้ว่าจะใช้อาภรณ์งดงามปกปิดบาดแผลบนร่างกายเช่นไร และมีคนรู้ถึงความหวาดกลัวจนขาสั่นตอนเดินบนน้ำแข็งชั้นบางข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งยามน้ำแข็งเริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ
คนผู้นี้หลายสิบปีมานี้รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้าง
ตอนที่เขาอยู่บนถนนถงถัวได้พบคนกึ่งผีที่โดดเดี่ยวผู้หนึ่ง นางรักตัวกลัวตายแต่กลับทำเรื่องใจกล้า เขาอยากบีบให้นางเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง อยากมองให้ทะลุว่านางอยู่กับอำนาจฝ่ายใด จุดประสงค์ที่นางทำเช่นนี้คืออะไร ทว่าตอนที่เขาคิดว่าการเหยียบย่ำและความอัปยศสามารถถอดหน้ากากของนาง เผยให้เห็นนิสัยดุร้ายของนางได้อย่างง่ายดาย กลับพบว่านอกจาก ‘ความหวาดกลัว’ อย่างแท้จริงแล้ว เขาก็ไม่สามารถบีบเค้นสิ่งใดออกมาได้อีก
เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
แต่สีอิ๋นดูเหมือนเป็นคนต่ำต้อยไม่รู้เรื่องใด ไม่รู้จักพิษ จับมีดไม่มั่นคง ไม่รู้หนังสือ ละโมบในเงินทองเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองถูกผู้ใดหลอกใช้ และไม่รู้ว่าตนเองสร้างวังวนที่ลึกเพียงใด ทุกอย่างนี้ทำเพื่อช่วยชีวิต ‘พี่ชาย’ ผู้หนึ่งของนาง
นางถึงขั้นไม่รู้ว่าจางตั๋วเป็นใคร ไม่รู้อดีตของเขา และไม่รู้เรื่องราวปัจจุบันของเขา
แต่ว่า…เช่นนี้ก็ดี
โดดเดี่ยวมานานเกินไป จางตั๋วเวลานี้อยากหาใครสักคนมาอยู่กับเขา ไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร อยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ พักรักษาบาดแผลทั่วตัวของทั้งสองฝ่าย
ห้าวันผ่านไป
บาดแผลที่แผ่นหลังของจางตั๋วเริ่มสมาน บางครั้งก็จะรู้สึกคันอย่างรุนแรง
สำหรับเขาแล้วความเจ็บทนรับได้มากกว่าความคัน ดังนั้นช่วงระยะเวลานี้เขาจะอาศัยความรู้สึกเจ็บยามที่ผงยาซึมเข้าผิวหนังเพื่อเบี่ยงเบนจากอาการคัน
ส่วนบาดแผลบนตัวของสีอิ๋นกลับหายช้าอย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่กล้าขอยาจากเขา อดทนอดกลั้นอย่างโง่ทึ่ม บาดแผลบนขายังดีที่ไม่สาหัส แต่รอยแผลบนเอวกลับเกิดการอักเสบและบวมขึ้นทุกที
เพราะฮ่องเต้ถูกลอบทำร้าย คนในวังเกิดความหวาดกลัว ภายในเมืองก็ไม่สงบเช่นกัน กองทัพกลาง ทหารรักษาพระองค์พกโซ่ตรวนตรวจค้นในเมืองทั้งวันทั้งคืน ชุดเกราะเกล็ดปลาสะท้อนแสงแดดแสงไฟ เดินผ่านหน้าคฤหาสน์ใหญ่ทุกแห่งในชุมชนหย่งเหอหลี่ แม้แต่รถม้าของขุนนางชั้นสูงก็ยังเลี่ยงไม่พ้น หลายวันแล้วยังไม่ได้ตัวคนผิด ได้ข่าวว่าจะยกกองทหารไปตรวจค้นนอกเมืองอีก ชั่วขณะนั้นทั้งเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ในสถานการณ์เช่นนี้จางตั๋วมีฐานะเป็นราชเลขาธิการ กลางวันแทบจะไม่ได้อยู่ในจวน สีอิ๋นจึงมีโอกาสไปขโมยยาในหีบ นั่งอยู่ในมุมที่แสงสว่างส่องไม่ถึง ลอบรักษาบาดแผลของตนเอง
เขาไม่อยู่ เรือนชิงถานก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาโดยพลการ แม้แต่เจียงหลิงก็คอยรับคำสั่งอยู่หน้าประตูเท่านั้น
ส่วนในลานชั้นนอก นอกจากสุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้นแล้วก็มีบ่าวชราหนึ่งคนคอยเก็บล้างทำความสะอาดเท่านั้น ทุกวันจะคอยส่งอาหารน้ำดื่มให้นางทางหน้าต่างตะวันตกตามเวลา ไม่พูดจาและไม่เคยมองนางแม้สักนิด
วันที่หก สุดท้ายสีอิ๋นก็ทนไม่ไหว เรียกรั้งบ่าวชราผู้นั้นเอาไว้
“ท่านลุงเจียง”
บ่าวชราเงยหน้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง
นางรู้ตัวว่าใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยจึงรีบไปหลบหลังม่านมุ้ง เอียงตัวโผล่ออกมาครึ่งหน้าอย่างเขินอาย
บ่าวชราเห็นนางอึดอัดใจจึงหันหลังกลับ “ข้าจะไปหาเสื้อผ้ามาให้แม่นางสักชุดก็แล้วกัน”
“อ๊ะ ได้หรือ” พูดจบก็ถามอีกหนึ่งประโยคว่า “เกรงว่าคุณชายคงไม่อนุญาต”
“แม่นางคงถูกคุณชายทำให้ตกใจแล้วกระมัง”
คำพูดของบ่าวชราทำให้นางอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นางลูบบาดแผลบนตัวโดยไม่รู้ตัว พยักหน้าส่งเสียง “อืม” แล้วรีบเอ่ยขอร้องว่า “ท่านลุงอย่าบอกคุณชายเด็ดขาดนะเจ้าคะ”
บ่าวชราเงยหน้าหัวเราะ
อากาศปลอดโปร่งติดต่อกันหลายวันทำให้ลมตะวันออกค่อยๆ อุ่นขึ้น นกนางแอ่นบินกลับมา กำลังสร้างรังอยู่ใต้ชายคาบ้าน ขนอ่อนของนกน้อยนั้นอบอุ่นเปราะบางเหมือนกับหญิงสาวในห้อง
“แม่นางเกรงว่าคงพูดถูก ที่ลั่วหยางแม้แต่ฮ่องเต้ในวังหลวงก็ยังเกรงกลัวคุณชาย”
สีอิ๋นตกใจเล็กน้อย คิดถึงเลือดเนื้อเละเทะบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาในคืนวันแรกจึงเอ่ยว่า “แม้แต่ฮ่องเต้ยังเกรงกลัวคุณชาย เช่นนั้นผู้ใดทำให้เขาต้องรับการลงแส้หนักเช่นนั้นได้”
“เคยถามคุณชายหรือไม่”
นางย้อนคิดอยู่หลังม่านมุ้งเล็กน้อย คิดถึงท่าทางของเขาตอนนั้น ภายใต้น้ำนิ่งซ่อนกระแสน้ำที่นางไม่อาจเข้าใจได้ เหมือนไม่สนใจอะไร แต่ก็คล้ายยึดติดอย่างยิ่ง
“คุณชายบอกว่านั่นเป็นการลงโทษของตระกูล ดังนั้น…เป็นต้าซือหม่าหรือ” พูดจบนางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรพูดเรื่องส่วนตัวของจางตั๋วตามอำเภอใจต่อหน้าบ่าวของเขา จึงรีบอธิบายว่า “ข้าเคยได้ยินคนในเมืองพูดกันว่าต้าซือหม่าเข้มงวดกับคุณชาย ทุกคนล้วนมีความหวาดกลัว คุณชายก็…”
เสียงพูดเบาลงทุกที บ่าวชรานิ่งเงียบรอคำพูดต่อไปของนาง แต่ผ่านไปครู่ใหญ่กลับไม่ได้ยินเสียงใด เขาก็ไม่สนใจอะไรนัก มองไปยังสุนัขเสวี่ยหลงซาที่นอนหมอบอยู่กลางลานแล้วพูดเรื่อยเปื่อย
“ทุกคนล้วนมีความหวาดกลัว คำพูดนี้ไม่เหมือนคำที่เด็กสาวอายุน้อยเช่นเจ้าจะพูดได้ คุณชายเมื่อก่อนกลัวสัตว์ประเภทสุนัขมาก ตอนนี้ก็ไม่กลัวแล้ว จะบอกว่าตอนนี้เขากลัวอะไรนั้นไม่มีใครรู้จริงๆ”
สีอิ๋นหลุบตาลง “ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
“อย่างไรหรือ”
นางย้อนคิดถึงภาพที่เขาฝันร้ายตอนกลางคืนก็ได้แต่สูดจมูก “ข้า…ไม่กล้าพูด”
บ่าวชราก็ไม่ได้ถามต่อ ลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นผงบนมือ “ข้าจะไปหาเสื้อผ้ามาให้เจ้า”
“เอ่อ…ท่านลุง ช้าก่อน ไม่…ไม่ต้องหาเสื้อผ้า ข้ากลัวคุณชายเห็นแล้วจะไม่พอใจ ที่ข้าเรียกท่านเพราะอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยข้าสักเรื่อง”
“ช่วยเจ้าเรื่องอะไร”
“ท่านไม่บอกคุณชาย ข้า…ข้าจึงจะกล้าบอกท่าน”
“เช่นนั้นต้องดูว่าแม่นางจะไหว้วานข้าเรื่องอะไร”
นางลังเลอยู่พักหนึ่งจึงพูดเสียงเบาว่า “พี่ชายข้าตาบอด ก่อนข้าจะมาที่นี่ไม่ได้พบเขา ไม่รู้ว่าเขากลับบ้านหรือยัง และไม่รู้ว่าขันทีผู้นั้นเอาเงินให้เขาหรือไม่…”
นางพูดพลางยื่นมือที่บอบบางราวไร้กระดูกออกมาจากหลังหน้าต่าง ในมือถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าห่ออะไรไว้
“นี่เป็นกำยานที่ข้าขโมยมา ข้าไม่ค่อยรู้จัก ดูเหมือนจะเป็น…กำยานหอม ท่านมอบให้พี่ชายข้าได้หรือไม่ ให้เขาดูว่ามันมีราคาแพงหรือไม่”
“เจ้าขโมยมาจากในนี้หรือ”
“ใช่…” นางรู้สึกกลัว “ถ้า…ถ้าในบ้านไม่มีเงินซื้อข้าว ก็ให้เขาเอาของเหล่านี้ไปขาย อย่างน้อยก็เอาไปแลกข้าวสารและผักที่ตลาดตะวันตกได้บ้าง”
บ่าวชราก้มหน้ามองมือที่ไร้ความผิดข้างนั้น “เจ้าขโมยของของคุณชาย ไม่กลัวถูกลงโทษหรือ”
นิ้วมือนางสั่นเทา ร่างกายกระถดถอยไปข้างหลังเล็กน้อย “วันนั้นเขาเห็นแล้ว แต่ไม่ได้โบยข้า…”
“แม่นางตอนนี้ตัวอยู่ที่นี่ ยังมีแรงห่วงคนข้างนอกอีกหรือ”
สีอิ๋นถูมืออย่างร้อนใจเล็กน้อย “ข้าได้พี่ชายเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาได้รับความทุกข์มากมาย…เพื่อข้า ข้าจำใส่ใจไว้เสมอ ไม่มีเขาก็ไม่มีข้า ท่านช่วยข้าสักนิดเถอะ…”
บ่าวชราเงยหน้าขึ้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าพี่ชายเจ้าตาบอดหรือ”
“ใช่”
“ได้ยินเจียงหลิงพูดว่าวันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่จวน เขาสวมชุดสีขาว ใช้แถบผ้าดำปิดตา”
สีอิ๋นรีบยื่นหน้ามาถามว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าบนแถบผ้าดำนั้นปักลายอะไรเอาไว้!”
“ปักลายสนลู่ลม”
สีอิ๋นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เบิกบานขึ้นทันใด แต่ก็กลับมามีสีหน้ากังวลอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด!”
“คุณชายไม่อยู่ ในจวนจะไม่ให้คนนอกรอที่นี่ นี่เป็นกฎ ถ้าเขามาตามหาเจ้า อาจจะยังอยู่หน้าประตูกระมัง”
เมื่อเห็นตะวันคล้อยไปทางเขาเป่ยหมาง รถม้าที่จางตั๋วนั่งอยู่จึงเคลื่อนออกจากวังหลวง
จ้าวเชียนขี่ม้ามาส่งเขา
เงาร่างบนถนนถงถัวทอดยาว ต้นชิวข้างทางกำลังแตกใบอ่อน ปุยหญ้าที่ไม่รู้ชื่อปลิวไปกลางสายลม
“เจ้าว่าจิ้นอ๋องอยากจะทำสงครามหรือไม่”
คนในรถม้าไม่ได้ส่งเสียง จ้าวเชียนทนไม่ไหว พลิกมือใช้ด้ามจับกระบี่เปิดม่านรถ
“อุดอู้อยู่ข้างในด้วยเหตุใด ออกมาขี่ม้า!”
จางตั๋วกำลังพลิกเปิดเอกสารฉบับหนึ่ง ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลยสักนิด “บาดแผลของเจ้าหายแล้วหรือ”
จ้าวเชียนหน้าเสีย จากนั้นก็รีบเอ่ยว่า “พักฟื้นมาห้าวันแล้ว ควรจะออกมาขยับตัวบ้าง อีกอย่างคนที่ลงทัณฑ์เป็นผู้ใดเล่า ล้วนเป็นพี่น้องของพวกเราที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็แค่ทำพอเป็นพิธี จะหมายเอาชีวิตของข้าเสียที่ไหน เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นใต้เท้าต้าซือหม่าหรือ…”
หน้าเอกสารในมือของจางตั๋วชะงักงัน
จ้าวเชียนหุบปากทันที กระแอมอย่างอึดอัดใจทีหนึ่ง ดึงด้ามจับกระบี่กลับมาแล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “ช่างเถอะ เจ้านั่งรถไป เจ้าขี่ม้าไม่ได้”
รถม้าเคลื่อนเคียงกันไป ในเมืองค่อยๆ มีกลิ่นหอมของข้าวต้มเนื้อ ชะล้างบรรยากาศบีบเค้นบนถนนถงถัวให้จางลง
จ้าวเชียนลูบแผงขนคอม้าแล้วเอ่ยว่า “ถ้าฝ่าบาทตัดสินพระทัยเคลื่อนพลไปทางตะวันออก เจ้าจะไปหรือไม่”
“ไม่ไป”
“เพราะเหตุใด คิดถึงในอดีตเจ้ากับข้านำกองทัพขึ้นเหนือ หึ! วันแห่งการใช้เลือดเซ่นคมดาบ เดิมพันศีรษะมนุษย์แลกเงินค่าสุรานั้นเรียกได้ว่าสนุกสนานยิ่งนัก แต่เวลานี้ในลั่วหยางมีอะไรดีบ้าง คหบดีหลายครอบครัวเอาศีรษะหญิงงามมาเดิมพันกับสุราก็คิดว่าตัวเองมีความสุขเหมือนคมมีดได้ดื่มเลือดแล้วหรือ ฆ่าหญิงงามเพื่อสุรา ก็แค่กลุ่มคนถ่อยในคราบสุภาพชนที่สนทนาปรัชญาทำลายแผ่นดิน!”
จ้าวเชียนพูดอย่างกระตือรือร้น แต่ในรถม้ากลับไม่มีการตอบสนองใด
“จางทุ่ยหาน พูดอะไรบ้าง!”
“พูดอะไร พูดเรื่องสงครามด่านจินซานตอนนั้นที่เจ้าถูกจับเป็นเชลย ถูกบังคับให้…”
“เอาล่ะๆ ข้ากลัวเจ้าแล้ว…” จ้าวเชียนหน้าแดงถึงใบหู “ข้าว่า…เรื่องที่ผ่านไปแล้วเจ้าไม่พูดถึงได้หรือไม่”
บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ คำพูดคลุมเครือประโยคหนึ่งก็ลอยมาท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้า
“เจ้าก็อายเป็นหรือ รู้ยางอายแต่ไร้แรงผลักดันความกล้า จะแตกต่างอะไรกับหญิงผู้นั้น”
จ้าวเชียนหันหน้ามาทันที “เจ้าพอได้แล้วนะ! ด่าก็ด่า ดึงนางเข้ามาทำไม ข้าจ้าวเชียนมองการณ์ไม่ลึกล้ำยาวไกลเช่นเจ้า ก่อนหน้านี้ถูกจับเป็นเชลยได้รับความอัปยศข้ายอมรับ ตัวเองตบปากตัวเอง ใช่ ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงถูกธนูนับหมื่นยิงทะลุอกที่ด่านจินซานไปแล้ว ข้าบอกแล้วว่าถ้าเจ้าต้องการหัวของข้า ข้าก็จะตัดให้เจ้า แต่ถ้าจะเอาข้าไปเปรียบกับสตรีเจ้าก็ลงมา สู้ให้ตายกันไปตรงนี้เลย!”
“เจ้าพูดกับใคร”
จ้าวเชียนเกินจะทนไหว “พูดกับใคร ก็พูดกับใต้เท้าราชเลขาธิการน่ะสิ! ใต้เท้าเป็นขุนนางตำแหน่งสูง ไม่คิดว่าแข็งเกินไปจะหักง่ายหรือ!”
“ไม่คิด ยังแขวะไม่พอ เจ้าไม่จำเป็นต้องเดินไปกับข้า”
“เจ้า…” เสียงของจ้าวเชียนติดอยู่ในลำคอ
ในเวลานี้เองรถม้าก็มาหยุดลงตรงหน้าจวน
“มีเรื่องใด”
“อืม…” จ้าวเชียนกอดอก มองไปยังคนผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วเอ่ยอย่างลังเลใจว่า “คนผู้นี้…เหตุใดจึงดูคุ้นตา”
คนบังคับรถม้าพลิกเปิดม่าน ดอกเหมยที่ร่วงหล่นบนพื้นถูกลมหอบม้วนเข้ามาในสายตาของจางตั๋ว
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น เห็นชายผู้หนึ่งนั่งพิงกำแพงอยู่ตรงต้นเหมยใต้กระเบื้องหลังคาสีเขียว สวมเสื้อคลุมตัวหลวม แขนเสื้อปลิวรับลม ตัวเขาถูกปกคลุมด้วยเงาไม้ที่ตัดสลับกับความขาวบริสุทธิ์ของผิวพรรณ ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่สลักลายสนและนกกระเรียน ไม่ใส่เกี้ยวครอบผม ไม่มีเครื่องประดับติดกาย มีเพียงแถบผ้าไหมสีดำที่ปิดตาหนึ่งแถบ ลายสนลู่ลมบนนั้นปักด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม
แม้จะห่างออกไประยะหนึ่ง แต่ชายผู้นั้นดูเหมือนจะได้ยินเสียงของจ้าวเชียนแล้ว แผ่นหลังของเขาขยับออกห่างจากกำแพงที่พิงอยู่ ใช้ไม้เท้าประคองตัวยืนตรง ท่าทางกระฉับกระเฉง มุมปากมีรอยยิ้มราวกับยอดอ่อนต้นใหม่ของป่าสนในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นไม้หอมสดชื่น เขียวขจีไปทั่ว ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมา
จ้าวเชียนใช้นิ้วมือเคาะแขนตนเองอย่างเร็วหลายครั้ง จากนั้นก็ตบหน้าผากในทันใด หันหน้ามองไปทางจางตั๋ว
“เจ้าว่าเหมือนเฉิน…”
คำพูดยังเอ่ยไม่จบ เขาก็ประสานเข้ากับสายตาราวเหยี่ยวบินถลาจู่โจมแล้ว บีบให้จ้าวเชียนกลืนชื่อนั้นกลับไปในทันใด ครั้นหันหน้าไปอีกครั้งก็เห็นชายผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้า ประสานมือโค้งตัว ชายชุดเรียบแตะพื้น
“เฉินจ้าวแห่งหมู่บ้านชิงหลูเขาเป่ยหมาง ชื่นชมชื่อเสียงของใต้เท้าราชเลขาธิการจางมานานแล้ว”
จ้าวเชียนตกใจ “เฉินจ้าว?” พูดจบเขาก็เลิกคิ้ว พลิกตัวลงจากหลังม้าเดินไปหาอีกฝ่ายด้วยความยินดี “เขาซางซานสมัยฮั่นตะวันตกมีสี่ปัญญาชน บัดนี้เหลือเพียงอีเสียนแห่งชิงหลู นั่นหมายถึงเจ้าสินะ”
“ขอรับ”
“ได้ยินว่าท่านเฉินรอบรู้คัมภีร์โจวอี้ เชี่ยวชาญเรื่องปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ถึงขั้น…”
เขายังพูดไม่จบ กลับเห็นอีกฝ่ายเดินถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วประสานมือคำนับอีกครั้ง
“ชื่อเสียงผูกมัดจอมปลอมเท่านั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงฝุ่นผงในโลกมนุษย์ ถูกจองจำเอาไว้ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง”
เสียงพูดของเขาสงบและอ่อนโยน ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนพอเหมาะ ทั้งยังมีการรักษาระยะห่าง
จ้าวเชียนรู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะรุกคืบหรือล่าถอยก็ไม่เหมาะสม แต่โชคดีที่รู้จักกับจางตั๋วมานาน คำพูดของจางตั๋วเย็นเยือกราวมีดผ่าภูเขา เขายังกล้าอ้าปากต่อคำด้วย เวลานี้สามารถดึงเท้าที่ก้าวเข้าไปใกล้นั้นกลับมาในเวลาเหมาะสมได้ จึงรู้สึกสบายใจอีกครั้ง
“ถ้าท่านเฉินเป็นเพียงฝุ่นผง ข้าจะใช้สิ่งใดมาเปรียบเทียบตัวตนเล่า เกรงว่ามันคงเลวร้ายยิ่งกว่าสุกรสุนัขหรือมูลสัตว์เสียอีก” พูดแล้วก็ประสานมือคำนับกลับ “เมื่อครู่ล่วงเกินอย่างมาก เอ่อ…ความจริง อ้อ ความจริงท่านคล้ายกับสหายเก่าของข้าคนหนึ่งยิ่งนัก”
เฉินจ้าวหัวเราะ “เฉินจ้าวโชคดีแล้ว”
เสียงใสราวเคาะหยกเหมือนตอบรับคำพูดของจ้าวเชียน แต่กลับมองไปทางจางตั๋วที่อยู่ในรถม้า
พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าบนโลกมีดวงตาห้าดวง ดวงตาบนกายเนื้อต่ำที่สุด เห็นใกล้ไม่เห็นไกล เห็นหน้าไม่เห็นหลัง เห็นนอกไม่เห็นใน เห็นกลางวันไม่เห็นกลางคืน เห็นบนไม่เห็นล่าง การเกิดแก่เจ็บตายของคนทั่วไป พลังชีวิตของแผ่นดินล้วนไม่อาจหยั่งรู้ได้
คนผู้นี้เสียตาเนื้อไปแล้ว สิ่งที่ตานี้เห็นคืออะไรกันแน่
จางตั๋วเอียงคอ เบี่ยงหลบเงาดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่ห้อยลงมาตรงหน้าม่านรถม้า จ้องไปยังดวงตาที่ไม่เห็นรูปลักษณ์นั้นพลางพูดเสียงเรียบ
“หาได้ยาก คุณชายอีเสียนเร้นกายอยู่ในเขาเป่ยหมางเป็นเวลานาน ไม่ปรากฏโฉม”
เฉินจ้าวเงยหน้าขึ้น “แค่เพียงสินค้าหายากน่าเก็งกำไร เพิ่มราคาให้ตัวเองเท่านั้น”
จ้าวเชียนยังคิดวิเคราะห์ความหมายคำพูดประโยคนี้อยู่ กลับเห็นจางตั๋วเดินลงจากรถม้า พลิกชายเสื้อเดินไปหาชายผู้นั้นแล้ว
คนผู้นั้นฟังเสียงฝีเท้า กะระยะห่างแล้วถอยหลังสองก้าวอย่างพอเหมาะ จางตั๋วเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เห็นใจให้อภัยอีกฝ่ายเช่นเดียวกับจ้าวเชียน เดินตามไปสองก้าวเข้าประชิดตรงหน้าอีกฝ่าย คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้ม ตัดสินใจไม่ถอยหลังอีก
“ข้าไม่กล้าเข้าใกล้ เหตุใดใต้เท้าต้องทำเช่นนี้ด้วย”
จางตั๋วหัวเราะเย็นชา ก่อนจะเอ่ยเสียงดังว่า “รัชศกซิงชิ่งปีที่สิบเดือนสาม จิ้นอ๋องสั่งให้หญิงงามยกน้ำชาไปที่หมู่บ้านชิงหลู เชิญเจ้าออกจากเขา ถ้าเจ้าไม่ดื่มก็จะฆ่าคนที่ยกน้ำชาไป ในเวลาสามเดือน หน้าหมู่บ้านชิงหลูฆ่าคนไปทั้งหมดยี่สิบกว่าคน แม่น้ำบนเขาย้อมไปด้วยเลือด ไหลผ่านไปเจ็ดวันยังไม่สะอาด แต่เจ้ายังคงสบายใจ นั่งนิ่งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลูไม่ยอมออกมา ในเมื่อเจ้ามีนิสัยเช่นนี้ วันนี้มาด้วยเหตุใด”
เฉินจ้าวหันหน้าไปคล้ายเพื่อหลบสายตาของจางตั๋ว
ทันใดนั้นมีลมพัดแถบผ้าดำและปอยผมมาสัมผัสใบหน้าเบาๆ
“ไม่เจอน้องสาวมาหกวันแล้ว ข้าจึงมาตามหาที่นี่”
“ถ้าเจ้ามีญาติพี่น้อง เกรงว่าคงถูกจิ้นอ๋องจับตัวไว้ใช้บังคับเจ้าแล้ว”
“ใช่ ไม่กล้าโกหกปิดบัง” ในน้ำเสียงของเขาแฝงการชื่นชม “ผู้คนเห็นนางเป็นสาวใช้บ้านข้า แต่ข้าปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนม กิจวัตรประจำวันขาดนางไม่ได้สักวัน”
“หึ โสมม”
จ้าวเชียนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ฟังบทสนทนาที่มีความหมายไม่ชัดเจนท่อนนี้จบหน้าผากก็มีเหงื่อผุดอย่างไร้สาเหตุ
“เอ่อ…ทุ่ยหาน นี่ยังอยู่หน้าประตูจวนของเจ้า หรือว่าจะเชิญท่านเฉิน…”
“จับตัวไว้!”
“หา?!” จ้าวเชียนเห็นเจียงหลิงจะเดินเข้าไป จึงรีบขยับตัวมาขวางหน้าเฉินจ้าวแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “ต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ คุณชายอีเสียนแห่งหมู่บ้านชิงหลู จิ้นอ๋องกับเหอเจียนอ๋องเพื่อเชิญคนผู้นี้ออกจากเขาแทบจะวางเพลิงเขาเป่ยหมางเลยทีเดียว ถึงแม้เจ้าจะไม่ยอมก้มหัวให้ผู้มีปัญญามีคุณธรรม ก็อย่าทิ้งชนักเป็นขี้ปากให้ตัวเองสิ”
“เจ้าถอยไป” จางตั๋วตวัดหางตามองอย่างเย็นชา
จ้าวเชียนกลับพูดอย่างดื้อรั้น “เจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายเจ้าหรือ!”
“แม่ทัพจ้าว เชิญหลบด้วยขอรับ”
จ้าวเชียนร้อนรนไม่คลาย “เอ๊ะ? ไม่สิ” เขาพูดพลางหันตัว ยังคงขวางเจียงหลิงไม่ให้เดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านเฉินมองไม่เห็นไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร”
เพิ่งสิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงของจางตั๋วดังตามมาข้างหลัง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสีอิ๋นอยู่ที่จวนของข้า”
เฉินจ้าวคลายมือที่ถือไม้เท้า คลำมือกดแขนของจ้าวเชียนที่ขวางอยู่ตรงหน้า “ดูท่าใต้เท้าคงถามชื่อของอาอิ๋นแล้ว”
จางตั๋วไม่ได้ตอบคำพูดประโยคนี้ของเขา เพียงแค่มองเจียงหลิงปราดหนึ่ง เจียงหลิงรู้ความหมาย ฉวยโอกาสที่จ้าวเชียนกำลังตะลึงกดไหล่ของเฉินจ้าวด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ดึงไม้เท้าเคาะหัวเข่าของเขา บังคับให้คุกเข่าลง
จางตั๋วก้มหน้ามองเขา “อยู่ต่อหน้าข้า น้อยคนนักจะยอมตอบดีๆ แต่ข้าจะได้ยินความจริงเสมอ”
เฉินจ้าวเจ็บหัวไหล่ เสียงที่เอ่ยออกมาปนหอบเล็กน้อย “เมืองลั่วหยางมีอำนาจซับซ้อน ผู้คนมีความคิดร้อยพัน แต่กลับไม่รู้ว่าถูกใบไม้ใบเดียวบังตา* แม้แต่ใต้เท้าก็อาจถูกสติปัญญาของตนเองหลอกได้ อาอิ๋นน้องสาวของข้าแตกต่างจากที่ใต้เท้าคิดไว้ แม้ว่าข้าจะเลี้ยงดูนางมา แต่เพราะตาบอดจึงไม่อาจสอนนางอ่านหนังสือรู้อักษรได้ ถ่ายทอดได้เพียงทักษะการดีดพิณแก่นาง ให้นางมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพเท่านั้น พูดไปก็น่าละอายนัก แม้ข้าจะเป็นชายแต่ก็เป็นคนพิการ ต้องอาศัยนางคอยดูแลเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาในเมืองและอยู่รอดได้อย่างมั่นคง จึงสอนนางให้หลบเลี่ยงจากทุกสิ่ง อดทนยอมทุกอย่าง ทำให้นางขี้ขลาดอ่อนแอ อยู่ในจวนของใต้เท้าคงจะถูกใต้เท้าดูหมิ่นไม่น้อยอย่างแน่นอน”
จางตั๋วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงส่งเสียงอืม “เจ้ายังไม่ได้ตอบข้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางอยู่ที่จวนของข้า”
“ขอรับ ข้ารู้นิสัยของนางดี นางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง อยู่ในลั่วหยางไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีทางอยู่ในเมืองตามลำพังได้เด็ดขาด จิ้นอ๋องเห็นนางเป็นหมากทิ้งตาย ไม่มีทางเสี่ยงปกป้องนาง ยามนี้ทหารองครักษ์ในกองทัพกลางได้ระดมกำลังทั้งหมดค้นหา แม้แต่หน่วยงานใหญ่ต่างๆ ในหย่งเหอหลี่ยังต้องรับการสอบสวนเช่นกัน ด้วยความสามารถของแม่ทัพจ้าว อย่าว่าแต่หกวัน สามวันก็น่าจะจับได้แล้ว แม่ทัพจ้าวไม่ควรจะถูกลงโทษ” เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้น “ทั่วทั้งเมืองลั่วหยาง คนที่ทำให้แม่ทัพจ้าวรับผิด สามารถซ่อนอาอิ๋นด้วยกำลังคนเดียวได้ มีเพียงใต้เท้าราชเลขาธิการเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงเสี่ยงชีวิตมาพบ”
“ข้าฆ่านางไปแล้ว”
“ถ้าใต้เท้าฆ่าคนไปแล้วย่อมต้องเอาศพออกมา จึงจะเป็นการคลี่คลายคดีให้แม่ทัพจ้าว แต่ตอนนี้ทั้งไม่เห็นคนและไม่เห็นศพ ข้ายังคงมีความหวัง”
นอกจากสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการคาดเดานิสัยของมนุษย์ การเข้าใจและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
นี่คือสิ่งที่จ้าวเชียนไม่ชื่นชอบที่สุด
เหตุผลที่เขาเต็มใจผูกมิตรกับจางตั๋วก็เพราะจางตั๋วไม่เหมือนผู้ที่จะสนทนาอภิปรัชญา รู้เรื่องน้อยนิดก็ขยายความพูดคุยไม่รู้จบ เขาเคยอาบเลือดในสนามรบ เคยติดกลิ่นเหม็นคาวในคุกมาเช่นกัน ไม่เชื่อการคาดเดา เชื่อเพียงคำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่ถูกกรีดหนังเห็นกระดูกเท่านั้น แต่จ้าวเชียนไม่รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนอย่างเฉินจ้าวอยู่ สวมชุดขาวถือไม้เท้าคนตาบอด อ่อนแอทนรับอุปสรรคไม่ไหว ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่กลับสามารถพูดตรงประเด็นได้
เขาหันไปมองจางตั๋วทันที
จางตั๋วนิ่งเงียบ มือค่อยๆ กำเป็นหมัด จ้าวเชียนกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร กลับเห็นจางตั๋วยื่นมือออกไปทันใด กระชากแถบผ้าดำตรงตาของคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
โชคดีที่อยู่ใต้เงาต้นเหมย แสงตะวันกระจายตัวไม่ทำให้ระคายเคืองตา
แม้ว่าเขาจะปรับตัวไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นทนไม่ไหว เพียงแค่พยายามหันเข้าร่มเงาหนาทึบเพื่อหลบแสง แต่กลับถูกเจียงหลิงดึงตัวกลับมา
จางตั๋วถือแถบผ้าลายสนลู่ลมพลางโน้มตัวลงมา มองดวงตาที่ลูกตาขาวขุ่นคู่นั้นแล้วพูดขึ้นทันใดว่า “เฉินเซี่ยว”
สองคำนี้แม้จะเอ่ยออกมาอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ทำให้จ้าวเชียนที่อยู่ด้านข้างลิ้นแข็งไปทันใด
ทว่าเฉินจ้าวกลับหัวเราะ เสียงพูดราวลมพัดดอกเหมย สงบนิ่งอ่อนโยน
“ข้าเป็นคนเมืองอิ่งชวน เลื่อมใสเฉินเซี่ยวแห่งตงจวิ้นมาหลายปี ตอนเด็กก็มีปณิธานจะเลียนแบบแล้ว วันนี้ได้ยินคำพูดของใต้เท้าราชเลขาธิการ ถือว่าไม่เสียทีที่ยึดมั่นมาสิบปี”
จ้าวเชียนรีบเดินไปแตะไหล่ของจางตั๋ว พูดเสียงเบาว่า “จะให้ข้าพูด…ก็เหมือนอยู่ แต่เฉิน…ไม่ใช่ เขากับเฉินวั่งตายในการประหารพร้อมกัน เจ้าเป็นคนตรวจสอบฐานะเอง ตอนนี้มาพูดเช่นนี้น่ากลัวจริง”
จางตั๋วคลายมือ แถบผ้าสีดำลายสนลู่ลมนั้นก็ปลิวไปตามลม เขายืดตัวยืนตรง ปล่อยให้ลมที่หอบหิมะดอกเหมยปะทะเข้าใส่
“สกุลเฉินแห่งตงจวิ้นถูกฆ่าล้างตระกูล ตอนนี้ต่อให้เป็นคนที่เสแสร้งแกล้งบ้าก็ทำไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเสี่ยงตาย เหตุใดยังออกจากเขาอีก”
“อาอิ๋น…” เฉินจ้าวเรียกชื่อที่อ่อนโยนนี้ออกมาเบาๆ “เพราะเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ นางยอมทำผิดกฎฆ่าคนเพื่อข้า เหตุใดข้าจะออกจากเขามาสู่โลกภายนอกเพื่อนางไม่ได้”
จางตั๋วได้ฟังก็ตบมือหัวเราะสดใส ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน “ข้าไม่ต้องการที่ปรึกษา เจียงหลิง แขวนคอ”
“อะไรนะ แขวนคอหรือ จางทุ่ยหาน เจ้า…”
จ้าวเชียนร้อนใจจะไล่ตามเขาไป กลับได้ยินเสียงของเฉินจ้าวดังขึ้นข้างหลัง
“ใต้เท้าจางไม่อยากได้ดวงตาที่เขตตงจวิ้นสักคู่หรือ”
จางตั๋วก้าวเข้าประตูไปแล้ว ไม่ชะงักฝีเท้าแม้แต่น้อย เขาตอบกลับเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น”
ผู้ใดจะรู้ว่าคนข้างหลังกลับพูดเสียงดังว่า “เช่นนั้นท่านเชื่อวิธีการลงทัณฑ์สอบสวนของตัวเองหรือไม่”
จางตั๋วหันหน้ามา “หึ เจ้าอยากลองดูหรือ”
“มีใจอยากจะลอง”
“เฉินจ้าว ถ้าเจ้าอยากได้ประโยชน์ ไปขอจากจิ้นอ๋องได้เลย เขาต้องต้อนรับเจ้าราวกับแขกที่มีเกียรติสูงส่งแน่นอน เหตุใดต้องมาเป็นเชลยของข้าด้วย”
คนผู้นั้นกลับยิ้มจางอยู่ใต้ร่มเงาต้นเหมย สบายใจเป็นปกติ ไม่มีความตื่นกลัวราวภูเขาถล่ม ร่างแตกสลายเลย
“ใครให้อาอิ๋นไร้ตา ร้อนรนจนไม่เลือกทาง ไปเจอรถม้าของใต้เท้าราชเลขาธิการเข้า”
“ได้” จางตั๋วหมุนตัวกลับมา “หากทนไหว ข้าจะให้เจ้าไปที่ตงจวิ้น และให้โอกาสสีอิ๋นได้มีชีวิตต่อไป”
“ช้าก่อน”
“คิดจะเปลี่ยนใจหรือ”
“ไม่ใช่ ก่อนจะทำเช่นนั้นข้าอยากพบอาอิ๋นสักนิด”
“ได้ เจียงหลิง นำคนไปที่เรือนตะวันตก แล้วบอกท่านพ่อเจ้าว่านำคนกึ่งผีนั่นไปด้วย”
“ขอรับ”
“มัดเอาไว้ทั้งสองคน”
จ้าวเชียนถามอย่างงุนงงประโยคหนึ่งว่า “มัดเพราะเหตุใดหรือ”
“หญิงสาวที่เก็บมา เลี้ยงดูมาสิบปี พี่ชายน้องสาวหรือ” เขาแค่นเสียงสบถเย็นชาทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สกปรกหรือไร”
“สกปรก?…นี่ จางทุ่ยหาน…”
จ้าวเชียนเดินตามจางตั๋วผ่านประตูสลักลายดอกบัวบานหนึ่ง ตะไคร่บนแผ่นหินเปียกชื้น ทำให้เขาที่ก้าวยาวและเร็วลื่นถลาไปหลายก้าวจึงยืนได้มั่น ก่อนจะเอ่ยไล่หลังไป
“นี่! เจ้าจะใช้ของที่โชกเลือดเหล่านั้นอีกแล้วหรือ”
“เจ้าไม่ได้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก”
“ข้าไม่ได้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ข้าแค่เพียง…นี่! ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจเขา ไล่เขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงเขาจะมีชื่อเสียง แต่…” เขาไม่ยินดีจะพูดออกมา แต่เพื่อรั้งคนใต้ร่มไม้นั้นไว้ จึงพูดอย่างไร้จิตสำนึกว่า “เขาเป็นแค่ชาวบ้านป่าเขาคนหนึ่ง ยังเป็นประเภทอะไรนะ…อ้อ พิการ เจ้ายืนกรานไม่มอบเสี่ยวอิ๋นจื่อให้เขา เขาจะทำอะไรได้”
คนข้างหน้าชะงักฝีเท้าทันที จ้าวเชียนเอาแต่พูดเองเออเอง พอไม่ระวังก็ชนเข้าที่หลังของอีกฝ่าย
“นี่! ไม่ได้ชนถูก…”
“เจ้าคิดว่าข้าชอบหญิงผู้นั้นหรือ”
จ้าวเชียนไม่เห็นใบหน้าจางตั๋ว ไม่รู้ถึงสีหน้าของเขา รู้สึกเพียงว่าคำพูดประโยคนี้เมื่อออกจากปากของจางตั๋ว แม้จะเย็นเยือกแต่ก็ฟังดูน่าขัน ดังนั้นจึงเดินไปที่ข้างกายเขาแล้วพูดอย่างไม่กลัวตายต่อไป
“คนที่เข้าพระเนตรฝ่าบาทได้ ไม่งามล้ำเลิศอย่างนั้นหรือ อีกอย่างรู้จักเจ้ามาหลายปีเช่นนี้ เจ้าเคยมีหญิงข้างกายหรือไร เรือนชิงถานของเจ้านอกจากผิงเซวียนใครก็เข้าไม่ได้ หกวันมานี้ผิงเซวียนมาหรือไม่ รูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินของเจ้านั้นต้องฝุ่นไม่ได้ข้ารู้ดี ในเมื่อผิงเซวียนไม่อยู่แล้วใครช่วยเจ้าเก็บกวาด อย่าบอกนะว่าเจ้าทำเอง” เขายิ่งพูดยิ่งได้ใจ “ข้าเทียบคุณชายอีเสียนไม่ได้ ไม่อาจวิเคราะห์เรื่องราวละเอียดลออกระจ่างชัด แต่ความคิดของบุรุษ ข้า…” พูดจบก็ตบอก “ข้าเดาเก่งที่สุด!”
เขาพูดคำเหล่านี้จบแล้ว ทว่าคนที่อยู่ข้างกายกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา
จ้าวเชียนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ลดมือที่ตบอกลงอย่างขัดเขินแล้วยกขึ้นมาเกาท้ายทอยอย่างขุ่นเคือง “เรื่องนี้ข้า…พูดผิดไปแล้ว”
“สถานการณ์อับจนที่ด่านจินซานยังสอนเจ้าไม่ได้ ใช้ชีวิตอย่างไม่กลัวเกรง วันหน้าเจ้ายังคงต้องเจอกับสถานการณ์อับจนแน่นอน”
“ฮ่าๆ…” จ้าวเชียนหัวเราะ “ก็มีเจ้าอยู่นี่ ข้าไม่ตายหรอก แต่จะว่าไปแล้ว…” เขาเก็บสีหน้าเล็กน้อย พูดอย่างจริงจังว่า “ต่อให้เขาทนการลงทัณฑ์โหดร้ายได้ แต่เจ้าจะยอมปล่อยเขาไปอยู่ข้างกายจิ้นอ๋องจริงหรือ ชิงหลูเหลืออีเสียน นี่คงไม่ใช่เพียงชื่อจอมปลอม เจ้าไม่กลัวทางตงจวิ้นจะควบคุมไม่อยู่นับจากนี้?”
“แล้วตอนนี้ควบคุมอยู่หรือ ลูกหลานสกุลหลิวล้วนเป็นพวกโง่เขลา” จางตั๋วเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไป “ตงจวิ้นเดิมทีควรอยู่ได้อีกสองปี ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ถ้าเขาไม่ได้มีแต่ชื่อจอมปลอมก็ควรจะมองเข้าใจ หลิวปี้ไม่เชื่อใจข้าทั้งหมด นี่เป็นเนื้อร้าย ข้าตัดออกไม่หมด ต้องเปลี่ยนคน” พอเขาพูดจบก็ก้มหน้าจัดแขนเสื้อ “ให้เขาทนไป ลองดู ตายไปก็ช่าง อย่างไรเสียหญิงผู้นั้นก็มีชีวิตได้อีกเพียงสี่วัน”
จ้าวเชียนเดินตามพลางเอ่ยว่า “มีชีวิตมาหกวันแล้ว หมอหลวงเหมยไม่อยู่ บาดแผลเต็มหลังของเจ้าได้นางเป็นคนใส่ยาให้กระมัง จะฆ่าอะไรกันอีก เจ้าเก็บนางไว้เป็นสาวใช้เถอะ จะวางยาพิษให้เป็นใบ้ หรือหาโซ่เหล็กมาล่ามไว้ หรือให้นางเช็ดถูรูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินก็ดีเช่นกัน”
“ล่ามไว้? เจ้าคิดว่านางเป็นสุนัขหรือ”
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้…แต่เมื่อก่อนเจ้ากลัวสุนัขถึงเพียงนั้น ตอนนี้เหตุใด…”
เขาพูดยังไม่จบ ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าประตูเรือนชิงถานแล้ว
เหล่าสาวใช้กำลังกวาดดอกเหมยที่ร่วงหล่นกองใหญ่ เห็นจางตั๋วกลับมาก็รีบหลบไปด้านข้าง
จางตั๋วก้มหน้ามองดอกเหมยบนพื้นปราดหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ผู้หนึ่งพูดเสียงเบาว่า “คุณชาย หญิงผู้นั้นกอดต้นเหมยแคระเป็นตายไม่ยอมออกมา ท่านลุงเจียงเกลี้ยกล่อมนางก็ไม่ฟัง ถามอะไรนางก็ไม่พูด”
จ้าวเชียนเห็นจางตั๋วก้าวเท้าเข้าไปข้างในจึงรีบเดินตามไปกระชากแขนเสื้อของเขา “นี่ๆ นั่นเป็นสตรี ควรทะนุถนอมอ่อนโยนนะ…”
จางตั๋วไม่เอ่ยอะไรสักคำก็ก้าวตรงไปยังลานเรือน
บ่าวชราเห็นเขาเข้ามาจึงโค้งตัวคำนับ จากนั้นมองไปทางใต้ต้นไม้
ท่าทางของสีอิ๋นไม่น่าดูเลยสักนิด สองแขนโอบกอดเกาะลำต้นไว้แน่น
ดอกเหมยที่บานเต็มต้นถูกเขย่าร่วงลงไปกองใหญ่ เพราะรู้ว่าจางตั๋วไม่ชอบให้ในเรือนมีต้นไม้ใบหญ้าระเกะระกะ เกินครึ่งจึงถูกเหล่าสาวใช้กวาดออกไปแล้ว ที่เหลือคือติดอยู่บนตัวของสีอิ๋น
นางดูเหมือนถูกฉุดกระชากจนเสื้อตัวหลวมโคร่งบนร่างหลุดลุ่ย เผยให้เห็นเนินไหล่นวล สองขาขาวก็โผล่ออกมา รอยแส้บนขาตกสะเก็ดสีดำ
จ้าวเชียนเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “เจ้าแม้แต่สตรีก็เฆี่ยนตี เหี้ยมโหดยิ่งนัก!”
จางตั๋วเอี้ยวตัว “เจียงชิ่น เอาแส้มา”
จ้าวเชียนได้ยินว่าเขาจะลงแส้ก็รีบขวางไว้ พูดเสียงดังว่า “ข้ายังอยู่นี่! ทนเห็นเรื่องเหล่านี้ไม่ได้!”
จางตั๋วหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะโบยนางหรือ”
“แล้วเจ้าจะทำอะไร”
จางตั๋วคร้านจะเอ่ยตอบ พลิกมือรับแส้หนังงูเส้นนั้นมา ชี้ไปยังสุนัขเสวี่ยหลงซาที่นั่งอยู่ตรงมุมกำแพงตัวนั้น
“มานี่”
“อย่านะ!”
จ้าวเชียนถูกเสียงแหลมของสีอิ๋นกระแทกจนแสบหู รีบยกมือขึ้นกดจุดชีพจรข้างหู “จุๆ พอเถอะ นางกลัวสุนัขเหมือนเจ้าเมื่อก่อนเลย”
จางตั๋วหันหน้ามาเอ่ยว่า “บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าอย่ามากเรื่อง เจ้าออกไป”
จ้าวเชียนทำตามคำสั่ง โบกมือพลันเงียบเสียง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่
สีอิ๋นจ้องเขม็งไปที่สุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้น สุนัขเสวี่ยหลงซาก็ระวังนาง คำรามเบาๆ หลายครั้ง
“กลัวก็ปล่อยมือแล้วมานี่”
นางได้ฟังก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่มือกลับจับแน่นขึ้นและส่ายหน้าไม่หยุด ในดวงตามีประกายน้ำแวววาว
“ไม่อยากถูกกัดตายก็ปล่อยมือ!”
นางตกใจกลัวจนกรามกระทบกัน แต่ยังคงจับแน่นไม่ยอมปล่อยมือ ถึงขั้นซุกหน้าลงในวงแขน ท่าทางเหมือนตายเป็นตาย
จางตั๋วหมดความอดทน พูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้าอยากพบเฉินจ้าวไม่ใช่หรือ”
“คุณชาย…ข้าไปพบเขาในสภาพเช่นนี้…ไม่ได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าอยากได้เสื้อผ้าสักชุด เสื้อผ้าที่สมบูรณ์สักชุด”
‘เสื้อผ้าที่สมบูรณ์’…เดิมทีเขาไม่คิดจะให้นางมีชีวิตอยู่นาน จึงคร้านจะหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมแก่นาง
อยู่ด้วยกันมาหกวัน นางเป็นเหมือนหญิงคณิกาต่ำต้อยผู้หนึ่ง ไม่เคยสนใจสิ่งที่เขาให้นางปกปิดร่างกายตามอำเภอใจชิ้นนี้ วันนี้จู่ๆ นางกลับต้องการเสื้อผ้าที่ ‘สมบูรณ์’ เขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่นี่เป็นความคิดยิบย่อยไม่น่าสนใจเกินไป เขาถึงขั้นไม่รู้ว่าจะถามเหตุผลไปเพื่ออะไร โชคดีที่นางเอ่ยปากพูดเอง
“พี่ชายเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์ เป็นคนสะอาดเรียบร้อยที่สุด ข้า…ข้าจะทำให้ดวงตาของเขาสกปรกไม่ได้”
จ้าวเชียนฟังคำพูดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “แม่นาง พี่ชายเจ้าเป็นคนตาบอด เขาจะมองเห็นอะไรได้”
“ไม่ใช่! พวกท่านดูถูกเขาเพราะเขาตาบอด แต่ข้ารู้ว่าพี่ชายมองเห็นได้ชัดเจนกว่าใคร!”
“นี่เจ้า…” จ้าวเชียนหมดคำจะพูด จึงมองไปทางจางตั๋ว
จางตั๋ววางแส้ลงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สุนัขเสวี่ยหลงซาตัวนั้นก็เข้าใจความหมาย ถอยกลับไปที่มุมกำแพงอีกครั้ง
“เจียงชิ่น”
“ขอรับคุณชาย”
“ไปที่เรือนของผิงเซวียน หาเสื้อผ้ามาให้นางสักชุด”
“แต่ว่าคุณชาย เกรงว่าคุณหนูคงจะไม่ชอบ…”
จางตั๋วรู้สึกรำคาญ จึงส่งเสียงตัดบทคำพูดของบ่าวชรา “นางอยากได้กี่ชุดก็จัดให้นาง”
บ่าวชราไม่พูดอะไรมากอีก โค้งคำนับแล้วหมุนตัวเดินจากไป
สีอิ๋นโล่งอกในที่สุด นางคลายมือออก กอดเข่านั่งหายใจหอบก่อนจะเงยหน้าขึ้น ตัวสั่นมองจางตั๋วที่เดินเข้าใกล้นางทีละก้าว
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ…คุณชาย”
จางตั๋วไม่ได้ตอบรับการขอบคุณนี้ เขาเอียงศีรษะมองสำรวจนาง ทันใดนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย”
คำพูดนี้ทำให้จ้าวเชียนที่ยืนอยู่นอกประตูเรือนตกใจ เขารู้สึกว่าคุ้นหูยิ่งนัก เหมือนเคยได้ยินจางตั๋วพูดประโยคคล้ายๆ กันนี้ที่ใดมาก่อน ทว่าเขายังไม่ทันได้ย้อนคิดก็ได้ยินคนพูดขึ้นอีก
“ต่อหน้าข้าปล่อยตัวเป็นหญิงคณิกา ต่ำต้อยไร้ยางอาย อยู่ต่อหน้าคนตาบอดกลับต้องสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร หา? ความคิดของเจ้านี้สมควรตาย!”
เสียงพูดดังกระแทกจนหูอื้อ ฟังดูแล้วเหมือนโกรธจริงๆ
จ้าวเชียนมองแผ่นหลังของจางตั๋วที่สั่นเทาเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายโกรธอะไรกันแน่ ขณะเดียวกันความทรงจำสิบเอ็ดปีก่อนก็ทะลักกลับมาทันใด เขาตบหน้าผาก สุดท้ายก็นึกคำพูดประโยคที่ว่า ‘เลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย’ ประโยคนั้นขึ้นได้
นั่นเป็นคำพูดยามเมามายหลังจางตั๋วดื่มสุรา
สงครามยากลำบากที่ด่านจินซานในปีนั้น ทหารทั้งกองเหลือเพียงหนึ่งร้อยนาย
เสบียงอาหารในเมืองหมดลง กำลังเสริมมาไม่ถึง จ้าวเชียนเปิดสุราไหสุดท้าย นั่งพิงกำแพงเมืองร่วมดื่มกับจางตั๋ว ตอนนั้นพวกเขาสองคนอายุเพียงสิบสี่ปี พระจันทร์ลอยสูงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดแรง นอกจากกลิ่นหอมของสุราแล้ว ในสายลมมีเพียงกลิ่นคาวเลือด
จางตั๋วยกชามสุราขึ้นแล้วถามเขาว่า ‘เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ทัพ เหตุใดจึงมาเข้าร่วมการต่อสู้ที่อันตรายครั้งนี้ด้วย’
จ้าวเชียนยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เคาะบนกระหม่อมแล้วพูดอย่างห้าวหาญว่า ‘ป่าเขาฤดูใบไม้ร่วงทางเหนือไร้ผู้คน วิญญาณผู้กล้าเดียวดาย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่’
จางตั๋วหัวเราะ ยกชามสุราขึ้น ‘พูดได้ดี’
จ้าวเชียนเองก็หัวเราะร่วนแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้าพูดไร้สาระกับข้าให้น้อยหน่อย งานนี้ข้าขโมยมาจากท่านพ่อข้า ข้าโง่เอง คิดว่าสงครามครั้งนี้จะสร้างผลงานใหญ่ได้ กลับไปท่านพ่อข้าก็จะไม่พร่ำบ่นเรื่องที่ ‘ตระกูลแม่ทัพไร้ผู้สืบทอด’ อะไรนั่นอีก ใครจะรู้ว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งท่ามกลางอากาศหนาวลมแรงที่นี่เสียแล้ว จะว่าไปข้ายังไม่ได้แต่งภรรยาเลย น่าเสียดายอยู่บ้างจริงๆ จุๆ…’ พูดจบก็แตะไหล่ของจางตั๋ว ‘ข้าเป็นคนโง่ทึ่ม ถูกคนขายแล้วยังล้มตัวนอนสบาย แล้วเจ้าเล่า เจ้ารู้แต่แรกว่าด่านจินซานเป็นหมากตาย เหอเจียนอ๋องที่อยู่ทางตะวันตกไม่มีทางเคลื่อนพลมาช่วย ราชสำนักก็จะทิ้งพวกเรา เหตุใดเจ้ายังมาที่นี่อีก’
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น พระจันทร์เย็นเยือกเหนือศีรษะอาบเลือด เมฆเคลื่อนตัวออกไป ดวงดาวบนท้องฟ้าคล้อยต่ำ เขายกแขนที่บาดเจ็บขึ้นแล้วดื่มสุราในชามรวดเดียวจนหมด
‘เลื่อมใสความบริสุทธิ์สูงส่ง แต่กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อย สวรรค์ไร้ประตู จึงมาลองทะลวงทางตายที่ไปสู่สวรรค์เส้นนี้’
จ้าวเชียนไม่เข้าใจไปชั่วขณะ ‘หมายความว่าอย่างไร เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของต้าซือหม่า อะไรเรียกว่าตัวเองต่ำต้อย’
จางตั๋วส่ายหน้าไม่พูดจา นอนหนุนศพศพหนึ่ง ยกสองขาไขว้กันในท่าสบายๆ ‘เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครบริสุทธิ์สูงส่งที่สุด’
จ้าวเชียนนอนลงข้างเขา บาดแผลทั่วกายคลายความเจ็บลงไปหมด ฤทธิ์สุราพุ่งขึ้นหัว ล่องลอยราวจะเป็นเทพเซียน ‘ใครบริสุทธิ์สูงส่งที่สุดหรือ…’
‘คนที่เป็นเจ้าแผ่นดินบริสุทธิ์สูงส่งที่สุด’
‘หึ คำพูดบ้าบออะไร เจ้าเมาแล้วกระมัง’ พูดจบจ้าวเชียนก็ทนความเหนื่อยล้าไม่ไหวจึงหลับตาลง
คนข้างกายดูเหมือนจะอธิบายอะไรสักประโยค แต่เขาเหนื่อยล้าเหลือเกินจึงสะลึมสะลือหลับไป ไม่ได้ฟังชัดเจน
พอคิดถึงตรงนี้จ้าวเชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจิตใจว้าวุ่น เขามองไปที่จางตั๋วอีกครั้ง หัวไหล่ของอีกฝ่ายสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง
จ้าวเชียนเกาศีรษะ เขาคิดว่าสองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินนี้ ด้วยฐานะก็ดี สถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็ดี ทั้งที่ต่างไม่ยินดีรับความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นความว้าวุ่นดื้อรั้นของหญิงคนนี้เหตุใดจึงสะกิดไฟโทสะของจางตั๋วได้
จ้าวเชียนกำลังลังเลว่าจะเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ดีหรือไม่ ทางบ่าวชราก็นำเสื้อผ้ากลับมาแล้วโน้มตัวยื่นไปตรงหน้าจางตั๋ว
เสื้อแขนกว้างพื้นขาวปักลายดอกบัว ซับในสีขาวนวล กระโปรงจีบสีขาวนวลสลับแดง และมีบังทรงสีขาวนวลอีกหนึ่งชิ้น
จางตั๋วไม่ได้มองอาภรณ์เหล่านั้น เขายื่นมือข้างหนึ่งไปหยิบแล้วโยนใส่ตัวสีอิ๋นโดยที่นางก็ไม่มีทีท่าจะหลบเลี่ยง
เหล่าสาวใช้ในลานเรือนต่างเข้าใจความหมาย มองตากันครู่หนึ่งก็วางงานในมือ เดินตามบ่าวชราออกไป
สีอิ๋นถูกแขนเสื้อใหญ่คลุมศีรษะจนมองไม่เห็นรอบข้าง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าสวบสาบถอยออกไปด้านนอก หลังจากนั้นไม่นานรอบข้างก็เงียบสงบ ตอนนี้นางจึงลอบโผล่ดวงตาออกมาหนึ่งข้าง กำลังจะเอื้อมมือไปปลดสายรัดเอว ใครจะคิดว่ากลับประสานกับสายตาราวดาบเย็นเยือกของเขา มือของนางแข็งค้างโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คิดได้ว่าเขาเห็นนางเป็นหญิงคณิกาแล้ว ไม่มีทางให้ความเคารพต่อนางแม้แต่น้อย ตอนนี้หากดึงดันต่อไปเกรงว่าคงไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดนี้แน่นอน
สีอิ๋นกำลังจะยอมรับชะตากรรม อดทนต่อความอับอายถอดเสื้อผ้าออก กลับเห็นนอกประตูยังมีคนที่นางไม่รู้จักยืนอยู่อย่างเปิดเผย
เมื่อครู่นางตื่นตระหนกเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัดเจน ยามนี้นางจ้องมองไปก็เห็นว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง มือที่กระตุกสายรัดเอวจึงหดกลับอย่างเขินอาย
จางตั๋วเห็นนางกลัว แต่ไม่เหมือนกำลังกลัวเขาอยู่ จึงหันหน้าไปตามสายตาของนาง เห็นจ้าวเชียนที่ถอยไปอยู่หน้าประตูเวลานี้กำลังจ้องมองสีอิ๋นที่อยู่ใต้ต้นเหมยแคระ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ใด”
ยังมีอะไรทำให้คนรู้สึกสมเพชได้ยิ่งกว่าการดิ้นรนในสถานการณ์คับขันของสตรี
จ้าวเชียนมองจนอึ้งงันไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงของจางตั๋วจึงยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วเอ่ยตอบเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่ได้…”
“ออกไป”
“ไม่ใช่ ข้าแค่ยืนอยู่ข้างนอก อีกอย่างสิ่งที่ข้าไม่ควรดู แล้วเจ้าเหตุใดจึงดูอยู่ที่นี่! เจ้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบประตูก็ถูกผลักปิดดัง ‘ปัง’ ทันที จ้าวเชียนไม่ทันรู้ตัว ถูกประตูกระแทกจมูกจนเลือดออกทันใด
เขารีบปิดจมูก แยกเขี้ยวเอ่ยว่า “จางทุ่ยหาน! เจ้าจำไว้นะ!”
เสียงตะคอกนี้ดังมาก แต่ไม่มีเสียงตอบรับแม้แต่น้อย
จ้าวเชียนรู้สึกจนปัญญา มือหนึ่งปิดจมูก มือหนึ่งรับผ้าแพรที่สาวใช้ด้านข้างยื่นมาให้ บิดเป็นสองปมแล้วอุดรูจมูกไว้ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก เดินไปพลางพูดบ่นด้วยเสียงประหลาด
“ยังบอกว่าจะฆ่านางอีก ข้าว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้ามากกว่า!”
เถาดอกไม้ต้นฤดูใบไม้ผลิที่บานพ้นกำแพงถูกแรงปิดประตูกระแทกจนร่วงหล่นกองใหญ่ พอลมพัดมาก็หอบมันลอยวนขึ้นอย่างเย็นเยือก
คำพูดของจ้าวเชียนประโยคสุดท้ายนี้ จางตั๋วได้ยินชัดเจน
เขาก้มหน้าลง หญิงผู้นั้นยังคงหอบเสื้อผ้าขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ มีอยู่ชั่วครู่หนึ่งจางตั๋วเกิดความคิดอยากจะถอดเสื้อผ้านางออกแล้วโยนนางไปตรงหน้าเฉินจ้าว แต่หลังจากรู้ว่าตัวเองเสียการควบคุมเขาก็รู้สึกโกรธตัวเองอย่างยิ่ง
เคยชินกับการควบคุมตัวเองมาหลายปี จางตั๋วไม่ชอบอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุเช่นนี้
สิบกว่าปีก่อนเขาอาศัยการควบคุมจิตใจเช่นนี้พาตัวเองออกมาจากป่าช้า คนที่ร่วมต่อสู้ฝ่าฟันกับเขาบ้างก็เป็นบ้า บ้างก็ตาย มีเพียงเขาเปลือยร่างที่เนื้อหนังท่วมเลือด หอบเอาดวงใจที่บาดเจ็บนับไม่ถ้วน มีชีวิตรอดกลับมาได้ ทุกวันนี้เขาตัดอารมณ์อันรุนแรงมานานมากแล้ว ถึงขั้นรู้สึกว่าราคะเป็นสัญญาณของความวุ่นวาย ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนภายในจิตใจ ดังนั้นจึงตัดสตรีออกจากชีวิตของเขา
ขอเพียงห่างไกลจากสรรพสิ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึก ก็จะไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ไม่ออมมือให้ใคร
แต่ ‘ความหวาดกลัว’ ของหญิงผู้นี้ เขาดูเหมือนจะคุ้นเคยเล็กน้อย แต่จุดใดกันแน่ที่ทำให้คุ้นเคย เขากลับบอกไม่ได้
การจนคำพูดอย่างไร้สาเหตุทำให้จางตั๋วไม่สบายใจนัก
เขาตัดสินใจไม่มองนางอีก หมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนชิงถาน สายตาจับจ้องไปที่รูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ใส่เสร็จแล้วลุกขึ้น”
“อย่าไป…”
เสียงที่แผ่วเบานั้นลอดเข้าไปในหูของจางตั๋ว
นางพูดอะไร
ต่อให้อยู่ต่อหน้ารูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอิน จางตั๋วยังคงรู้สึกว่าในสมองของตัวเองมีความว่างเปล่าแวบผ่านไปชั่วครู่ เขาหันไปตะคอก
“อย่าได้ยั่วยวนต่อหน้าข้าอีก!”
สีอิ๋นตกตะลึง จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่นเทาไปทางสุนัขเสวี่ยหลงซาที่มุมกำแพงตัวนั้น พูดตะกุกตะกักอธิบายให้เขาฟัง “ท่านไม่อยู่มันจะกัดข้า…”
จางตั๋วเอี้ยวตัว สุนัขเสวี่ยหลงซาเดิมทียันเท้าหน้าขึ้นแล้ว พอประสานเข้ากับสายตาของชายหนุ่มก็หมอบลงไปอีกอย่างหวาดกลัว
เขารู้สึกขึ้นมาทันใดว่านางโง่จนน่าขัน จึงพูดเยาะว่า “สุนัขโง่กว่าคน เจ้ายังกลัว ยังกล้าเชื่อว่าข้าจะปกป้องเจ้าอีกหรือ”
นางไม่ได้เอ่ยตอบ คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจจึงขดตัวไปอยู่ด้านหลังต้นเหมยแคระ แกะสายรัดเอวออกอย่างวุ่นวายแล้วเอาชุดเสื้อแขนกว้างมาห่อหุ้มตัว จากนั้นก็แอบเหลือบมองสุนัข แล้วเหลือบมองจางตั๋วอยู่บ่อยครั้ง
ลำต้นของต้นเหมยแคระไม่ใหญ่นัก ไม่สามารถปิดบังนางได้ทั้งตัว
ลำแขนงาม ขาเรียวงาม หรือแม้แต่เนินอกงามคู่หนึ่งที่ปรากฏให้เห็นรางๆ ขยับไหวอยู่กลางลมหนาว
จางตั๋วชำเลืองมองแล้วเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้นโดยไม่รู้ตัว พื้นรองเท้าเหยียบกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งจนหัก เกิดเสียงดัง ‘แกรก’ หญิงสาวที่อยู่หลังต้นเหมยแคระรีบหมุนตัวกลับมา กอดลำต้นพยายามซ่อนร่างตัวเองเอาไว้
“อย่าไป ข้า…จะใส่แล้ว”
“ไม่ได้ไป” เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงพูดคำนี้กับนาง
สีอิ๋นราวกับถูกปลดปล่อย รีบตั้งใจจัดการกับความยุ่งเหยิงบนร่างกาย
จางตั๋วพลิกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงบนขั้นบันได ยกแส้เรียกสุนัขเสวี่ยหลงซาให้มาหา
เจ้าสุนัขนอนหมอบข้างเท้าของเขาอย่างเชื่อฟังโดยไม่กล้าขยับ เขานั่งบนบันไดลูบหัวสุนัขอย่างสบายใจ ด้านหนึ่งก็มองไปยังเงาด้านหลังต้นเหมยแคระ
หลายวันก่อนนางยังแขวนตนเองไว้บนต้นไม้แคระต้นนี้โดยที่สวมเพียงเสื้อคลุม ถูกเขาฟาดแส้ลงบนเนื้ออยู่เลย วันนี้นางกลับอยู่ใต้ต้นไม้สวมเสื้อผ้ามิดชิด คาดสายรัดเอว สวมรองเท้า รวบผมยาว…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงนึกถึงบททานบารมีไร้ที่สิ้นสุดในภาคที่หนึ่งของ ‘คัมภีร์รวมบารมีหก’ ตอนพระโพธิสัตว์เฉือนเนื้อให้อินทรี เขาดึงสติคืนมาทันใด รู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชื้นเล็กน้อย
โชคดีที่ในที่สุดสีอิ๋นก็คาดสายรัดเอวเสร็จแล้ว นางประคองตัวกับลำต้นยืนขึ้นมา ครั้นเห็นสุนัขเสวี่ยหลงซาหมอบอยู่ข้างขาของเขาก็ไม่กล้าเดินขึ้นหน้า
“ขอบคุณคุณชายที่มอบ…เสื้อผ้าให้”
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเข้มว่า “พอจะเป็นผ้าห่อศพได้”
นางได้ยินดังนั้นก็เม้มริมฝีปากไม่ได้ส่งเสียงตอบ
“ไม่อยากขอร้องอะไรข้าบ้างหรือ”
“คุณชายจะทำอะไรข้าก็ได้ ข้าทนรับได้ แต่พี่ชายไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาเป็นคนที่มีหน้ามีตา ข้าขอร้องท่าน อย่าหมิ่นเกียรติเขาได้หรือไม่”
จางตั๋วหัวเราะ “ก็ไม่โง่ เดาถูกกว่าครึ่ง”
“คุณชายจะทำอะไรพี่ชายหรือ!”
“บังอาจ!”
นางห่อไหล่ทันที พูดเสียงอ่อนลงว่า “ขอร้องท่านล่ะ…”
จางตั๋วใช้ด้ามแส้เชยปลายคางของนางขึ้นมา “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ขอร้องคนอื่นไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย ถ้าให้ข้าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้าอีก ข้าจะให้เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่” พอพูดจบเขาก็ผ่อนแรงปัดใบหน้านางแล้วพูดกับคนนอกประตูว่า “เจียงชิ่น มัดแล้วนำตัวไปที่เรือนตะวันตก ให้เวลาพวกเขาหนึ่งก้านธูป”
ยามนี้ตะวันคล้อยไปทางเรือนตะวันตก
เฉินจ้าวคุกเข่านั่งอยู่หลังฉากบังตาหยกสลักลายดอกไม้และนกอย่างเงียบๆ สองมือถูกมัดเชือกไว้วางอยู่บนหัวเข่า
สายลมก่อนเข้าสู่ยามค่ำเงียบสงบ พัดเส้นผมของเขาที่หลุดลงมาประบ่าเบาๆ แถบผ้าดำที่ปิดตานั้นไม่มีแล้ว เขาจึงไม่กล้าลืมตา หลับตานั่งเงียบ เสริมความงามซึ่งกันและกันกับฉากบังตาหยกสลักลายดอกไม้และนก ช่างเป็นคนงามราวหยก สบประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
จ้าวเชียนกอดอกยืนอยู่ด้านหลังฉากบังตา เจียงหลิงที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพจ้าว คืนนี้จะอยู่กินอาหารเย็นที่เรือนคุณชายหรือขอรับ”
จ้าวเชียนทำสัญญาณมือใส่เขาให้เงียบเสียง “เร่งอะไรกัน”
เจียงหลิงท่าทางลำบากใจ “จะกล้าเร่งท่านแม่ทัพได้อย่างไร”
จ้าวเชียนหันหน้ามาพูดว่า “ข้ามาฟังแทนคุณชายของพวกเจ้าว่าพวกเขาพี่น้องพูดคุยอะไรกัน”
“คุณชายคงไม่ได้คิดจะฟังจริงๆ กระมัง”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร เขาเชื่อเรื่องความเจ็บปวดทางกาย ข้าเชื่อเรื่องอารมณ์ความรู้สึกแท้จริง พี่น้องสองคนนี้พึ่งพาอาศัยกันมานานหลายปี จะไม่พูดความจริงกันบ้างหรือ ไปยืนนิ่งๆ อย่าเลียนแบบคนตายเหมือนคุณชายของพวกเจ้า พูดจาเหมือนเค้นออกมาจากในโลงศพ ไม่จรรโลงใจสักนิด”
เขากำลังพูด บ่าวชราก็พาสีอิ๋นเดินมาถึงแล้ว
เจียงหลิงเดินเข้าไปหานางแล้วเอ่ยว่า “พี่ชายเจ้าอยู่ข้างหลัง คุณชายให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูป มีอะไรรีบพูดให้หมด พอถึงเวลาพวกเราจะพาตัวเจ้ากลับไป”
“แล้วพี่ชายข้าเล่า พวกท่านจะพาเขาไปที่ใด”
เจียงหลิงถอยหลังหนึ่งก้าวเปิดทางให้แล้วเอ่ยว่า “แม่นาง เจ้าน่าจะรู้กฎระเบียบของคุณชาย สิ่งที่พวกเราควรรู้ พวกเราไม่กล้าลืมแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเราไม่ควรรู้ พวกเราจะไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว แม่นางเข้าไปเถอะ”
นี่เป็นการพูดตามจริง สีอิ๋นไม่กล้าชักช้าอีก รีบเดินอ้อมไปข้างหลังฉากบังตาหยก
ชายกระโปรงที่อ่อนนุ่มลากผ่านต้นหญ้า กระพรวนบนข้อเท้ากระทบกันเกิดเสียงดังไม่เป็นจังหวะ
“อาอิ๋นระวัง ข้างหน้ามีโต๊ะตัวหนึ่ง อย่าชนจนบาดเจ็บนะ”
นั่นเป็นเสียงที่แตกต่างกับจางตั๋วอย่างยิ่ง ตัวถูกพันธนาการ แต่ยังคงมีเสียงพูดราวน้ำพุกระทบหยก จิตใจสงบนิ่ง
สีอิ๋นปลายจมูกปวดหนึบ ลมหายใจร้อนผ่าวในทันใด “พี่ชาย…”
คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้น “ชนถูกหรือไม่”
“ไม่ชน…” มือของนางถูกเชือกมัดไว้ ไม่อาจเช็ดน้ำตาได้ ทำได้เพียงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ “อาอิ๋นใช่ว่าจะมองไม่เห็น”
เฉินจ้าวสีหน้าผ่อนคลาย พูดอย่างอ่อนโยนว่า “แต่เสียงกระพรวนร้อนรนเช่นนั้น”
สีอิ๋นก้มลงมองกระพรวนบนข้อเท้าของตนเอง นั่นเป็นกระพรวนที่เฉินจ้าวใส่ให้นางเมื่อนานมาแล้ว
ยามนั้นเขาพูดว่า ‘ผ่านไปนานอีกสักนิดข้าอาจจะมองไม่เห็นเจ้าแล้ว เจ้าใส่มันไว้ ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ใด’
ต่อมาหลังจากนางเติบใหญ่ ชายหนุ่มมากมายเห็นกระพรวนพวงนี้เป็นส่วนหนึ่งในความงามคาวโลกีย์ของนาง จึงพูดจาแทะโลม ทำให้นางถูกดูหมิ่นอย่างยิ่งในงานเลี้ยง แต่นางกลับไม่ยอมถอดออกและไม่ยอมบอกเฉินจ้าว
“อาอิ๋น”
“หืม?”
“หลังจากนี้ถอดกระพรวนออกเถอะ”
“เพราะเหตุใด”
ได้ยินนางตกใจร้อนรน เขาก็รีบพูดปลอบเสียงอ่อนโยน “อาอิ๋นโตแล้ว จะทำเหมือนเด็กเล็กๆ มีกระพรวนดังติงตังได้อย่างไร วางใจได้ ไม่มีกระพรวนทองแดง ข้าก็หาเจ้าเจอได้เหมือนเดิม”
นางตกตะลึง ประสานนิ้วมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว “พี่ชายไม่ควรมาหาข้า”
“พูดเหลวไหล”
“ไม่ได้พูดเหลวไหล อาอิ๋นแค่อยากให้ท่านมีชีวิตที่ดี…”
“ข้าก็อยู่ดีไม่ใช่หรือ”
“ไม่ดี…พวกเขาแม้แต่ผ้าแพรปิดตาของท่านยังดึงออก…ยังมัดตัวท่านอีกด้วย”
เฉินจ้าวส่ายหน้า “ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าอาอิ๋นลำบากเพื่อข้าแล้ว”
สีอิ๋นส่ายหน้าอย่างแรง สะอื้นไม่หยุด “ไม่ๆ อาอิ๋นตายไปก็ไม่เสียดาย แค่กลัวว่าพี่ชายจะไร้คนดูแล…”
“เด็กโง่” เสียงที่อบอุ่นราวสายลมฤดูใบไม้ผลิเอ่ยขึ้น “ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อน ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีทางตาย”
“ข้าไม่กลัว ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น…” นางพูดพลางขยับตัว พยายามจะบังแสงที่ลอดผ่านฉากบังตาให้เขา “พวกเขาจะทำอะไรท่าน อาอิ๋นจะตามไปด้วย!”
“เรื่องที่ข้าจะทำ สตรีจะติดตามไปได้อย่างไร อาอิ๋นไม่ต้องถาม และไม่ต้องฟังคนอื่นพูดอะไร”
“แล้วอาอิ๋นจะไปตามหาท่านได้ที่ใด…ข้ากลัวเขามาก…กลัวเขามากจริงๆ ข้าอยากตามท่านกลับบ้าน” นางยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ
“อย่าร้องไห้”
“ไม่ได้ร้อง”
“อาอิ๋น อดทนอีกนิด ข้าต้องพาเจ้ากลับบ้านแน่นอน”
นกกระเต็นสองตัวเกาะอยู่บนสันหลังคาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งฤดูใบไม้ผลิ
สายลมต้นฤดูใบไม้ผลิพัดไม่สม่ำเสมอ สงบลงยามตะวันตกดิน แล้วพัดอีกครั้งยามพระจันทร์ขึ้น ในคืนที่ลมพัดแรง เมฆบางหมอกจาง ระฆังของเจดีย์หย่งหนิงข้างทางหลวงทิศตะวันตกส่งเสียงดังกังวาน ได้ยินไปไกลกว่าสิบหลี่
จางตั๋วนั่งพลิกตำรา ‘การเขียนพู่กันจตุอักษร’ ควันหอมจากเตาป๋อซานลอยอวลอยู่ด้านข้าง เงาดอกไม้ร่วงหล่นตกกระทบเป็นรอยด่างบนม่านหน้าต่าง เขาถือหนังสืออยู่ใต้ตะเกียง มืออีกข้างถือพู่กัน คัดลอกอักษรวิจิตรของเหวยตั้น ลงบนขลุ่ยไม้ท้อ กดข้อมือขยับนิ้วมือ ราวกับมังกรตื่นจากการจำศีล เหยียดตัวเคลื่อนไหวอีกครั้ง
กลางลานเรือนจุดไฟส่องสว่าง รูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินถูกแสงไฟที่ลอดเข้ามาส่องสว่างไปครึ่งซีก
เสียงพูดรายงานดังขึ้นนอกประตู “คุณชาย ขันทีใหญ่ซ่งจากในวังส่งคนมาเชิญขอรับ”
จางตั๋วลดตำราลง บนหน้าต่างตรงหน้าสะท้อนเงารางเลือน เสื้อผ้าบนเงาร่างนั้นถูกลมพัดจนเกิดเสียงดังราวกับจะกระตุกหนังหุ้มกระดูกที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในเนื้อผ้านั้นให้หลุดจากกัน
“ใครอยู่ข้างนอก”
เงาร่างนั้นสั่นเทาแต่กลับไม่ได้เอ่ยปากตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งเจียงหลิงจึงเอ่ยว่า “เป็นแม่นางสีอิ๋นขอรับ”
“เข้ามา”
ประตูเปิดดังแอด เสียงกระพรวนดังลอยเข้าหูพักหนึ่ง สีอิ๋นห่อตัวเดินเข้ามา นางมีอาการไอเล็กน้อย หลังจากอารมณ์แปรปรวนปั่นป่วนก็รู้สึกไม่สบายท้องอย่างยิ่ง แก้มของนางร้อนผ่าว ดวงตาพร่าเลือนเล็กน้อย ยามนี้มือของนางยังคงถูกมัด เงยหน้าขึ้นเห็นจางตั๋วนั่งอยู่หน้าโต๊ะกระเบื้องก็รู้สึกเก้อกระดาก ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปยืนที่ใด
จางตั๋วยืนขึ้นแล้วหยิบมีดสั้นบนชั้นวางมีดลงมา เขาคว้ามือของนางที่ไพล่อยู่ข้างหลัง สอดมีดเข้าไปในร่องเชือกอย่างคล่องแคล่วแล้วพูดกับคนข้างนอก
“เกิดอะไรขึ้นในวัง”
คนที่อยู่ข้างนอกตอบว่า “กองทัพกลางได้จับกุมนักโทษหญิงหลายคนที่หลบหนีไปได้จากนอกเมือง คืนนี้จะเดินทางไปตรวจสอบขอรับ”
สีอิ๋นก้มหน้ามองจางตั๋ว เขาโน้มตัวเล็กน้อย ตัดเชือกที่มัดไว้ขาดไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ถามต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ต้าซือหม่าไปแล้วหรือ”
“ขอรับ ต้าซือหม่าเป็นผู้สอบสวนหลัก ขันทีใหญ่ซ่งคุมการสอบสวน ได้ยินคนที่มาบอกว่านักโทษหญิงหลายคนนั้นถูกลงทัณฑ์ไปรอบหนึ่งแล้ว”
ตอนฟังคำพูดนี้ของเจียงหลิง สีอิ๋นหัวใจกระตุก ลำคอแห้งผาก ไอออกมาทันที แขนจึงสั่นขึ้นมาจนกระแทกสันมีดพลิก เห็นว่าคมมีดจะกรีดไปที่ง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แล้ว จางตั๋วจึงจับด้ามมีดไว้แน่น กดข้อมือของนางเอาไว้ คมมีดวาดผ่านง่ามนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ โชคดีที่ไม่กรีดเป็นแผล
“กลัวหรือ”
นางไม่ได้ส่งเสียง
“นั่นล้วนเป็นตัวตายตัวแทนของเจ้า”
หนึ่งคำพูดเค้นน้ำตา
นางมองข้อมือตนเองโดยไม่กล้าขยับอีก
จางตั๋วมองนางปราดหนึ่ง “ตอนฆ่าคนเหตุใดจึงไม่กลัว”
“ข้าไม่อยากฆ่าคน…”
เขาไม่ได้สนใจนาง บีบแขนของนางอย่างแรง “ยกมือสูงขึ้น”
นางไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบอดกลั้นความเจ็บยกมือขึ้น แต่ยังคงทนไม่ไหวไอออกมาอีกหลายที
“เจ้าจะไออะไรนัก! ทนไว้!”
ท่าทางถือมีดตะคอกใส่ของเขานั้นน่ากลัวจริงๆ นางตกใจจนรีบพูดว่า “ไม่กล้าแล้ว!”
ทันใดนั้นคมมีดก็ถูกพลิก ตัดเชือกที่เหลือทั้งหมดขาดในครั้งเดียว
ลมในลำคอของนางยังไม่ทันผ่อนออกมาก็ได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยว่า “ถ้าตอนนั้นมือเจ้ามีแรงพอ ฆ่าคนคนนั้นได้ในมีดเดียว ก็ไม่มีเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ในวันนี้แล้ว”
ไม่รู้เพราะเหตุใดคำพูดนี้ฟังแล้วคล้ายแฝงคำตำหนิที่ไม่ถูกกาลเทศะไว้หลายส่วน
สีอิ๋นกลั้นความอยากไอเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มกำลังเช็ดมีดอยู่ใต้แสงไฟ
คมมีดนั้นถูกเช็ดจนวาววับ ยังไม่ถูกเก็บเข้าฝักในทันที
จางตั๋วพลิกมือวางมีดกลับลงบนชั้นวางแล้วพูดกับเจียงหลิงที่อยู่ข้างนอก “มีเพียงนักโทษหญิงเหล่านั้นเท่านั้นหรือ ตอนนี้สารภาพอะไรแล้วบ้าง”
“ได้ยินว่ายังส่งข่าวถึงทหารกองทัพกลางที่ถูกควักลูกตาวันนั้นด้วย แต่เขาตกใจกลัวมาก พูดเพียงว่าได้พบคุณชายที่ถนนถงถัว เรื่องอื่นไม่ได้พูดอะไรขอรับ แต่นักโทษหญิงเหล่านั้นทนการลงทัณฑ์ไม่ไหว ใต้เท้าต้าซือหม่าถามอะไร พวกนางก็ตอบอย่างนั้น พูดคำมากมายที่ไม่เป็นผลดีต่อคุณชาย โชคดีที่ขันทีใหญ่ซ่งเคยพบหญิงสาวที่ลอบปลงพระชนม์คืนนั้นเลยไม่ยอมเชื่อทั้งหมด จึงให้คนมาเชิญคุณชายไปร่วมฟังการสอบสวนด้วยขอรับ”
“อยู่ที่ใด”
“คุกหลวงของศาลยุติธรรมขอรับ”
“จ้าวเชียนเล่า”
“แม่ทัพจ้าวได้ข่าวเรื่องนี้ก็ควบม้ารุดไปนานแล้วขอรับ”
“วุ่นวาย ไปมัดตัวเขากลับมา”
เจียงหลิงลำบากใจ ประสานมือตอบว่า “นิสัยของแม่ทัพจ้าวที่ผ่านมาจะฟังเพียงคำพูดของคุณชายเท่านั้น ปกติมีแต่เขาที่มัดตัวพวกเรา จะให้พวกเรามัดตัวเขาได้อย่างไร อีกอย่างคุกหลวงของศาลยุติธรรมพวกเราจะไปก่อเรื่องไม่ได้เช่นกัน”
จางตั๋วได้ฟังก็นิ่งเงียบ ปัดตำราบนเสื่อออกอย่างว้าวุ่นใจเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เตรียมม้า”
เจียงหลิงรับคำสั่งของเขา จากนั้นก็มองไปยังร่างผอมบางในห้องนั้นปราดหนึ่ง ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงถามว่า “ชายตาบอดผู้นั้นถูกนำตัวไปห้องลงทัณฑ์แล้ว คุณชาย…”
จางตั๋วตัดบทคำพูดของเขา “ข้าอยู่หรือไม่ก็เหมือนกัน ห้ามเอาชีวิตคน เรื่องอื่นเจ้าตัดสินใจเอง แค่ถามเขาหนึ่งคำถาม”
เขาพูดแล้วก็ชะงักไป เงาดำที่ไม่รู้ว่าเป็นเงาของสิ่งใดตกลงบนดั้งจมูกของเขา ท่าทางน่ากลัวเล็กน้อย
ตอนที่สีอิ๋นเงยหน้ามองก็เห็นว่าเงานั้นคือนิ้วมือของรูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินองค์นั้น
เวลานี้สิ่งที่สะท้อนบนใบหน้าของเขาราวกับบาดแผลเก่าที่ตกสะเก็ด ดูค่อยๆ น่ากลัวมากขึ้น
เจียงหลิงไม่ได้ยินเสียงของผู้เป็นนายเสียที ยืนรออยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงเงยหน้าพูดหยั่งเชิง “ถามอะไรเขาขอรับ”
จางตั๋วก้มหน้า ลูบด้ามมีดที่ใช้ตัดเชือกเมื่อครู่ “ถามเขาว่าเป็นสหายเก่าเขตตงจวิ้นใช่หรือไม่”
เจียงหลิงตกใจ พูดเสียงเบาว่า “คุณชาย…อยากได้ยินเขาพูดว่าอะไร”
“ไม่สำคัญ ใช้เครื่องมือลงทัณฑ์ก็พอ” พูดจบก็ยกมือแหวกม่านกั้นตรงหน้า เดินตรงออกไปข้างนอก
เจียงหลิงไม่กล้าถามอะไรอีก เห็นหญิงสาวที่ด้านหลังอีกฝ่ายมีสีหน้าตื่นตระหนก ใกล้จะสติแตกแล้ว
ไม่รู้ว่าจางตั๋วเป็นห่วงความรู้สึกของนางใช่หรือไม่ จึงจงใจปิดบังชื่อของเฉินจ้าวตอนพูดกับเจียงหลิง แต่เห็นชัดว่านางระแคะระคาย พอเห็นจางตั๋วจะเดินจากไปจึงรีบขยับไปคว้าแขนเสื้อของเขา ตอนที่ดึงก็เกือบจะถูกเขาลากจนล้มลง
“คุณชายจะลงทัณฑ์ผู้ใดหรือ”
จางตั๋วไม่ได้หันหน้ามา เพียงย้อนถามว่า “คุกหลวงศาลยุติธรรมมีห้องลงทัณฑ์สี่ห้อง หนึ่งวันมีคนทนรับการลงทัณฑ์ไม่ไหวตายไปหลายคน เจ้าถามถึงคนใด”
นางถูกเขาถามจนตกตะลึง แม้ในบทกวีจะมีถ้อยคำเสียดสีขบขัน แต่ก็ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิตคนเช่นนี้
“ปล่อยมือ”
นางยังตกตะลึงอยู่ ไม่ยอมปล่อยมือทั้งยังจับแน่นยิ่งขึ้น
จางตั๋วไม่ได้รีบร้อนตะคอกด่า ยื่นมือไปจับข้อมือของนางแล้วกระชากไปข้างหลัง “คืนนี้ข้าจะกลับมาเช็ดตัว เจ้าทำเป็นหรือไม่”
“เป็น…”
“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมตัวไว้” เขาพูดจบก็ไม่สนใจความทุกข์ทรมานด้วยความตระหนกว้าวุ่นใจของนาง ก้าวตรงออกไปทันที
สีอิ๋นวิ่งตามไปถึงประตู เห็นจางตั๋วเดินไปถึงต้นเหมยแคระต้นนั้นแล้วหยุดยืน หมุนตัวไปเรียกเจียงชิ่นมา ไม่รู้ว่าสั่งการอะไรบ้าง
หลังเที่ยงคืน ร่มเงาต้นไม้บนถนนถงถัวมืดครึ้ม
จางตั๋วขี่ม้าแทนการนั่งรถม้า ลงแส้ม้าตามใจ
กีบเท้าม้าขาวเหยียบไปบนดอกเหมยที่ถูกลมพัดร่วงลงตามทาง กลิ่นหอมเย็นสบายกระจายไปทั่ว
พอควบผ่านเจดีย์หย่งหนิงก็ไล่ตามทันจนเห็นจ้าวเชียนแล้ว
ใต้แสงจันทร์ขาวนวล จ้าวเชียนดึงสายบังเหียนรั้งม้า พูดอย่างดุดันว่า “ต้าซือหม่าคิดจะตัดหัวเจ้าเสียบประจานทิ้งศพกลางตลาดจริงหรือ ทั้งที่เขารู้ว่าฝ่าบาทจะทรงเคลื่อนพลไปทางตะวันออก เวลานี้ยังเอาหญิงสาวหลายคนมาดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับจิ้นอ๋องหลิวปี้ คิดว่าเจ้าดวงแข็งสินะ! พวกเจ้าเป็นพ่อลูกกันนะ!”
“เป็นพ่อลูกแล้วอย่างไร” จางตั๋วดึงสายบังเหียนรั้งม้ามาขวางตรงหน้าจ้าวเชียน
จ้าวเชียนตะคอก “เจ้าไม่ต้องไป! คืนนี้ต่อให้ข้าต้องพังคุกหลวงศาลยุติธรรม ก็จะไม่ให้คำให้การของการสอบสวนที่เหลวไหลเหล่านั้นไปถึงในวังได้เด็ดขาด!”
จางตั๋วหัวเราะ “ต้าซือหม่ามองการณ์แม่นยำ”
“หึ! แต่หลิวปี้นั่นเป็นคนโง่เขลาจริงๆ ทหารไม่แกร่ง แรงไม่พอ คิดว่าไปหาอาวุธอ่อนนุ่มจากเยวี่ยลวี่หลี่ก็หากำไรมหาศาลได้แล้ว ผลลัพธ์เป็นเช่นไรเล่า นั่นเป็นเพียงแมวสามขาตัวหนึ่ง! หาเรื่องใส่ตัวเองไม่ว่า ตอนนี้ยังดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องอีก”
เขายิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ โกรธจนไหล่สั่นตัวสั่น
จางตั๋วสะกิดม้าเข้าไปใกล้ “เจ้าโกรธเกินไปแล้ว เก็บอาการไว้บ้าง เรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทต้องทรงสงสัยข้า แต่ไม่มีทางเชื่อต้าซือหม่าทั้งหมด”
“แค่สงสัยก็ถึงชีวิตได้ เจ้าใช้แผนยุแยงเก่งที่สุด ในอดีตเหตุใดสกุลเฉินจึงต้องเข้าคุก ก็เพราะทหารส่วนตัวห้าร้อยกว่านายนั้น ทั้งที่มีแต่คนแก่เด็กป่วยพิการ ร่วมแรงกันแล้วแม้แต่ประตูเหอชุนยังโจมตีไม่ได้ แต่กลับถูกฝ่าบาททรงสงสัยเสียแล้วไม่ใช่หรือ”
“จางซีทำตัวเป็นตงซือเลียนมุ่นคิ้วเจ้าจะกลัวอะไร”
ชื่อของต้าซือหม่าออกมาจากปากโดยตรง จ้าวเชียนตกใจ เสียงพูดอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าเกรงว่าเจ้าเห็นคนผู้นั้นเป็นพ่อของเจ้า เจ้าก็จะกลัว เจ้าไม่เห็นบาดแผลบนหลังตัวเองหรือไร”
สิ้นเสียงพูดของเขา คนบนหลังม้าก็หัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ยประชดว่า “ขี้บ่นเหมือนสตรี คิดมากเสียจริง”
“ข้าขี้บ่นหรือ จางทุ่ยหาน!”
“พอเถอะ! โอหังให้น้อยสักนิด ข้าไม่ใช่เฉินวั่ง มีบางเรื่องไม่บอกเจ้าเพราะไม่อยากให้เจ้าก่อเรื่อง เจ้าเป็นคนที่ถือดาบนำทหารมาก่อน ไม่รู้หรือว่าหากไม่แสดงช่องโหว่เพื่อล่อดาบของศัตรูก็จะไม่มีทางโต้กลับได้ อย่าทำให้เสียแผนของข้า” พูดจบเขาก็สะกิดม้าออกเดินทาง
จ้าวเชียนรีบตามไป “นี่ เจ้าพูดให้กระจ่างสิ โต้กลับอะไร”
จางตั๋วไม่พูดอะไรอีก เพียงยกแส้ฟาดอย่างแรง
จ้าวเชียนเอ่ยต่อ “อย่างน้อยก็บอกหน่อยว่าเจ้าจะไปที่ใด”
คนบนหลังม้าหันหน้ามา “ขันทีใหญ่ซ่งอยากมอบน้ำใจให้ข้า จะทำเขาเสียหน้าไม่ได้ ข้าจะไปฟังการสอบสวนที่ศาลยุติธรรม เจ้าไม่ต้องไปแล้ว กลับค่ายไปเสีย”
“ไม่ใช่ ที่ห้องลงทัณฑ์ในค่ายของข้ายังขังใครคนนั้นไว้ไม่ใช่หรือ เมื่อไรเจ้าจะไปสอบสวน”
“ไม่อยากถาม มอบให้เจียงหลิงแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปดู เรื่องเช่นนี้ไม่เหมาะกับเจ้า”
จ้าวเชียนยังคิดจะพูดอะไรอีก คาดไม่ถึงว่าคนกลับจากไปไกลแล้ว
เขาจำต้องดึงสายบังเหียนรั้งม้า มองจางตั๋วขี่ม้าเข้าไปในร่มเงาต้นอวี๋หยางอยู่ไกลๆ พลางพูดบ่นพึมพำ “หนีไปเร็วจริง”
ในเวลาเดียวกันบ่าวรับใช้ที่ติดตามข้างหลังจางตั๋วเวลานี้ก็กระหืดกระหอบตามมาถึงในที่สุด
“อา ได้พบท่านแม่ทัพเสียที…คุณชายของพวกเรา…”
จ้าวเชียนปัดฝุ่นผงบนมือ เบ้ปากชี้ไปข้างหน้าด้วยความโกรธ “ไปศาลยุติธรรมแล้ว”
“เฮ้อ ขอบคุณท่านแม่ทัพ” พูดจบก็จะไล่ตามไป
จ้าวเชียนรีบตะคอกเรียกพวกเขาไว้ “กลับมา!”
“ขอรับ”
“คุณชายของพวกเจ้าเช้าวันนี้ลงโทษผู้ใดมาหรือ”
“หา? ผู้ใดหรือขอรับ”
“ถุย! จางทุ่ยหานชุบเลี้ยงคนไร้ตาอย่างพวกเจ้าคงเหนื่อยใจน่าดู!”
เหล่าผู้ติดตามคำนับขออภัยอย่างอึดอัดใจ “พวกข้าเป็นคนที่ติดตามท่านแม่ทัพไปข้างนอก รู้เรื่องภายในบ้านไม่มาก ท่านควรไปถามท่านลุงเจียง ตอนข้าน้อยเพิ่งออกมาได้เจอกับเขา เรื่องอื่นนั้นไม่รู้ แต่เห็นเขาถือเทียบหนึ่งใบ เหมือนจะไปเชิญท่านหมอ พวกเราก็งุนงงเช่นกัน จะบอกว่าคุณชายของพวกเราไม่สบายอะไรก็ต้องผ่านมือของหมอหลวงเหมย ไม่เคยเห็นส่งเทียบ ไม่รู้ว่าท่านลุงเจียงจะไปเชิญใครกันแน่”
จ้าวเชียนคิดไม่ถึงว่าตนเองลองถามไปอย่างนั้น กลับได้ยินคำพูดเช่นนี้ จึงอดหัวเราะไม่ได้ เขาส่งเสียงหัวเราะเต็มที่อยู่บนหลังม้า
ผู้ติดตามที่เอ่ยตอบผู้นั้นเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ตกตะลึง
จ้าวเชียนรีบลูบหน้า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าไล่ตามไปเถอะ”
เหล่าผู้ติดตามเกาศีรษะ ไม่กล้าถามอะไรมากอีก รับคำแล้วก็ตามนายของตนเองไปอย่างรวดเร็ว
ในสายลมมีปุยหญ้าอ่อนๆ ปลิวปรายเล็กน้อย จ้าวเชียนถ่มน้ำลายไปหลายที บ้วนขนเล็กๆ ในปากออกมาแล้วกอดอก
“จางทุ่ยหาน เปลี่ยนวิธีมาด่าข้าหรือ ฮึ ข้าจะดูว่าต้นไม้เหล็กแก่ๆ อย่างเจ้าหากออกดอกเบ่งบานแล้วจะอายจนตายหรือไม่”
ภายในคุกหลวงศาลยุติธรรม ตุลาการใหญ่หลี่จี้ถูกต้าซือหม่าจางซีบีบไปถึงมุมผนัง
เจ้าหน้าที่ตรวจการซ้ายขวาเดิมทีไปพักผ่อน เวลานี้ก็กลับจากจวนว่าการมาติดตามการสอบสวนเช่นกัน หน้ากำแพงของคุกหลวงศาลยุติธรรมที่กว้างใหญ่ ผู้คนบ้างยืนบ้างนั่ง บ้างคุกเข่าบ้างนอนหมอบ บางคนกดหว่างคิ้ว บางคนกดร่องนิ้วโป้ง มีบ้างที่สะอื้นไห้หรือไม่ก็ร้องอย่างเจ็บปวด ราวภาพของพระโพธิสัตว์กวนอินและอสูรร้ายในอิริยาบถต่างๆ
จางซีกระแอมทีหนึ่งใส่เงาคนหลากหลายหน้ากำแพง ก่อนจะหันไปพูดกับซ่งไหวอวี้ที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าว่าอย่างไร”
ซ่งไหวอวี้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แม้จะเป็นคืนต้นฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น แต่กลับรู้สึกว่าสีข้างเหนียวเหนอะ ใบหูร้อนผ่าว แม้แต่เสียงก็ยังแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านต้าซือหม่า เรื่องนี้พุ่งไปที่คุณชายใหญ่ของท่านนะ ข้าน้อยไม่กล้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท ยังต้องรอบคอบ…ยังต้องรอบคอบจึงจะถูก”
ตุลาการใหญ่เอ่ยเห็นด้วย “คำพูดของขันทีใหญ่ซ่งมีเหตุผล ถึงแม้จะมีนักโทษหญิงยอมรับว่าลอบเข้าลั่วหยาง เคยซ่อนตัวอยู่ในจวนว่าการของราชเลขาธิการจาง แต่อย่างไรเสียก็เป็นคำพูดฝ่ายเดียว ดึงท่านราชเลขาธิการเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายภายหลัง”
จางซีด้านหนึ่งฟังคนทั้งสองพูดคุย ด้านหนึ่งกวาดมองเอกสารความผิดที่ส่งมาใหม่ข้างมือ “เช่นนั้นก็ไม่กล้าสอบสวนต่อแล้วหรือ” พูดจบก็หดมือเข้าใต้แขนเสื้อ เงยหน้าหัวเราะเย็นชาทีหนึ่ง “ก็ได้”
กลิ่นตรงหน้าผนังกั้นไม่น่าดมนัก มีทั้งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของเหงื่อ กลิ่นเหม็นคาวของเลือด ผสานกับกลิ่นไหม้จากน้ำมันตะเกียง กลิ่นทั้งมวลล้วนฝังลงบนเสื้อผ้างดงามทีละชั้น
จางซีไม่เอ่ยอะไร แต่ไม่มีความคิดจะส่งคนกลับไปคุมขัง สตรีหลายคนเบื้องหน้าซ่งไหวอวี้คุกเข่าไม่ไหวแล้ว หลังถูกลงทัณฑ์ก็ล้วนเจ็บจนอาเจียน ร่างกายล้มพับไปข้างหน้า โก่งคอสำรอกของเสียออกมาทันที
ซ่งไหวอวี้เป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ เคยเห็นเลือดมาไม่น้อยแต่ไม่เคยได้สัมผัส เวลานี้ถูกเศษอาเจียนเหล่านี้กระเด็นโดนตัวก็แทบจะดีดตัวยืนขึ้นแล้ว
ตุลาการใหญ่เห็นเขาท่าทางทุลักทุเลจึงพูดกับผู้คุมคุกว่า “ทหาร เอาน้ำมา”
ผู้คุมคุกยังไม่ทันตอบก็เห็นจางซีลุกขึ้นทันใด ตบโต๊ะแล้วตะคอก
“เอาน้ำมาทำอะไร! โลกวุ่นวายไม่ชัดเจน ทุกท่านมีใครบ้างที่ตัวสะอาด! ต่อให้เป็นน้ำสะอาดที่ใช้ไหว้พระในเจดีย์หย่งหนิงก็ยังล้างตัวขุนนางอย่างพวกเราไม่สะอาด!” เขาเหมือนอดทนมานานมาก พูดโพล่งออกมาอย่างอึดอัด คิ้วยกสูงด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นชี้ไปกลางหว่างคิ้วของตุลาการใหญ่แล้วพูดตำหนิเสียงดัง “ล้างตัวขุนนางอย่างพวกเราไม่สะอาด หวังประโยชน์ส่วนตัวออกอุบายให้สัตว์เดรัจฉาน เพิกเฉยต่อความผิดใหญ่ของเจ้านาย!”
จางซีพูดจบ ตุลาการใหญ่ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจโต้แย้งได้
ใครจะรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานหมายถึงผู้ใด แต่คิดไม่ถึงว่ากระดูกค้ำยันของแผ่นดินที่มีคุณธรรมสูงส่งผู้นี้กลับเอาคำนี้มาวางใส่บนศีรษะของบุตรชายตนเอง
ซ่งไหวอวี้จำต้องโบกมือไล่ทหารกลับไปแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ใต้เท้าต้าซือหม่าคลายความโกรธด้วย พวกข้าไม่ได้ตั้งใจจะปกป้อง แต่ความผิดนี้หนักเกินไป หากบุ่มบ่ามแจ้งเรื่องไปจนทำให้ฝ่าบาททรงจับราชเลขาธิการจางเข้าคุก เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่นี่เป็นเวลาที่จะเคลื่อนกำลังไปทางตะวันออก ถ้าราชเลขาธิการเข้าคุก ขุนพลในราชสำนักจะพึ่งแม่ทัพจ้าวเชียนของกองทัพกลางคนเดียวไม่ได้…”
“กองทัพกลางคุ้มกันวังหลวง กลายเป็นคนที่คุ้มกันจวนราชเลขาธิการตั้งแต่เมื่อไร!”
“พูดเช่นนี้ก็ได้ แต่ใต้เท้าต้าซือหม่า ท่านเป็นขุนนางสำคัญคนเดียวที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝัง ควรจะคิดถึงสถานการณ์ของฝ่าบาท ตอนนี้ทางเหนือชาวเชียง* โหดร้าย ทางตะวันออกก็เกิดสงครามวุ่นวายอีก ฝ่าบาททรงอยู่ในอันตราย กังวลพระทัยอย่างยิ่ง ถ้าลงโทษราชเลขาธิการในเวลานี้ ผู้ใดจะควบม้าถือดาบช่วยต้านศัตรูให้ฝ่าบาทเล่า” เขาพูดคำเหล่านี้อย่างจริงใจยิ่ง
จางซีแม้จะโกรธจนไหล่สั่น แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจทันที กับลูกเลี้ยงผู้นี้สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดก็คือตอนวัยเยาว์ไม่ได้เก็บไว้อบรมเลี้ยงดูในเมืองลั่วหยาง แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร่วมกองทัพขึ้นเหนือไปพร้อมกับบุตรชายของจ้าวจิ้น ตอนไปเป็นเพียงลูกหมาป่า ตอนกลับมากลายเป็นมีเขี้ยวเล็บน่ากลัวทั่วร่าง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป
ในตอนนั้นเฉินวั่งที่อยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าจางตั๋วซ่องสุมอำนาจส่วนตัวในกองทัพ แสวงหาผลประโยชน์ ผูกขาดอำนาจในพื้นที่ เป็นสัญลักษณ์ของความโกลาหลในราชสำนักอย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าคำพูดส่วนตัวในการสนทนาอภิปรัชญายังไม่ได้เขียนถวายเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เฉินวั่งก็ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด ถูกจองจำในคุกทั้งตระกูล หลังจากถูกลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมก็ถูกตัดศีรษะกลางเมือง
ความน่าเวทนาของสถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนในราชสำนักระวังอันตรายไปชั่วขณะ
จางซีในยามนี้จึงตระหนักได้ว่าหนุ่มน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่ติดตามสวีหวั่นเข้ามาในบ้านสกุลจาง ยอมอดตายมากกว่าจะคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณสกุลจาง ได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะก้าวไปสู่จุดที่ทำให้สกุลจางแห่งเหอเน่ยสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีงามในบรรดาตระกูลขุนนางโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ใต้เท้าทั้งสอง ใต้เท้าราชเลขาธิการมาถึงแล้วขอรับ”
จางซียังคงนิ่งเงียบ แต่นักโทษหญิงได้ยินคำพูดนี้กลับตกใจจนตัวสั่นราวตะแกรงร่อน โซ่ตรวนบนมือเท้ากระทบกันจนเกิดเสียงดัง ดวงตาใต้ผมเผ้ายุ่งเหยิงหลุกหลิกร้อนรน
จางซีกวาดตามองหญิงสาวที่คุกเข่าบนพื้นปราดหนึ่ง จึงโบกมือแล้วเอ่ยว่า “นำตัวกลับไปคุมขัง”
ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงเขากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากหลังผนังกั้น “เร็วเกินไปกระมัง”
สิ้นเสียงพูดนี้ ตัวคนก็ปรากฏขึ้น
พวกซ่งไหวอวี้หมุนตัวกลับไปมอง เห็นจางตั๋วสวมชุดกึ่งทางการสีดำยืนอยู่ใต้เงาแสงไฟแล้ว
ตุลาการใหญ่เดินเข้าไปคำนับ เขาก็คำนับตอบ จากนั้นก็เดินไปเบื้องหน้าจางซี โน้มตัวแสดงความเคารพอย่างดี
จางซีมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม แม้จะมีเสื้อผ้าปกปิด แต่ส่วนลำคอที่โผล่พ้นออกมายังคงมองเห็นบาดแผลจากการลงทัณฑ์ที่ได้รับในจวนสกุลจางเมื่อหกวันก่อนได้รางๆ
เขารู้สึกรังเกียจขึ้นมาชั่วขณะ ไม่ยอมตอบกลับ หยิบรายงานความผิดข้างมือขึ้นมาแล้วโยนไปเบื้องหน้าจางตั๋ว
“ถ้าเจ้ามาเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองก็คุกเข่าลง”
“ไม่มีคำใดจะแก้ต่างให้ตัวเอง”
คนเบื้องหน้าพูดจบก็ยืดหลังตรง หมุนตัวเดินไปหาหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่หน้าหลักลงทัณฑ์
หญิงสาวลากโซ่ตรวนกระถดตัวถอยหลังไปไม่หยุด จนกระทั่งชนเข้ากับหลักลงทัณฑ์ขยับไม่ได้อีก จำต้องเงยหน้าขึ้นมองจางตั๋วอย่างตื่นกลัว
ใครจะรู้ว่าเขากลับมีรอยยิ้มบางๆ ยื่นมือไปปัดผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากของนางแล้วพูดยิ้มเยาะ
“หน้าตาเช่นนี้หลิวปี้ก็ส่งเข้าวังได้ด้วยหรือ” เขาพูดพลางออกแรงที่นิ้วมือ บีบสองแก้มของนางเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อ้าปาก”
หญิงสาวถูกบีบให้เงยหน้าอ้าปาก ผู้ใดจะรู้ว่าจางตั๋วกลับยื่นมือไปหยิบเหล็กคีบที่วางเผาอยู่ในกองไฟแล้วดึงลิ้นของหญิงสาวออกมา เพียงพริบตาก็เห็นเพียงเลือดสดพุ่งกระเซ็น แต่ทุกคนกลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องโหยหวน
ซ่งไหวอวี้ถูกภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้ตกใจจนกุมหน้าอกถอยหลังไปหลายก้าว
ตุลาการใหญ่แม้จะสุขุมเยือกเย็น แต่เห็นปากของหญิงสาวที่ถูกจางตั๋วจับเอาไว้มีลักษณะเป็นร่องเลือดก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
จางตั๋วคลายมือ หญิงสาวเหมือนถูกเราะกระดูก ล้มพับลงบนพื้นราวกับเนื้อเหลวเละ
เขาเช็ดมือกับชุดนักโทษบนตัวหญิงสาวผู้นั้นแล้วหมุนตัวมาพูดกับตุลาการใหญ่ “จัดการคดีง่ายหรือไม่”
ตุลาการใหญ่ตอบว่า “นักโทษหญิงกลัวความผิดจึงฆ่าตัวตาย ข้าจะเขียนรายงานคดีเช่นนี้”
จางตั๋วพยักหน้า เช็ดเลือดบนมือจนสะอาดแล้วย่อตัวเก็บรายงานความผิดข้างเท้าของจางซีฉบับนั้นขึ้นมา คุกเข่าลงทั้งสองข้างแล้วยื่นสองมือส่งคืนให้
“แม้จะไม่มีคำแก้ต่างใด แต่ข้ายอมให้ใต้เท้าต้าซือหม่าจัดการตามใจ”
จางซีสั่นไปทั้งตัว ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเค้นคำออกมาจากไรฟัน “ลูกอกตัญญู…”
ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจางซีเหมือนจะยิ้มเล็กน้อย “ข้าทำเช่นนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์เท่านั้น”
จางซีเงยหน้าขึ้นมองไปทางตุลาการใหญ่และเจ้าหน้าที่ตรวจการสองคนที่ต่างมีท่าทางเหมือนปลดภาระหนักลงได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ เงยหน้าพลางหลับตา
“หวาดกลัวหมาป่าจิ้งจอกเช่นนี้ ฝ่าบาทของเราตกที่นั่งอันตราย…ตกที่นั่งอันตรายแล้ว!” เขาพูดจบก็ขยำรายงานความผิดโยนลงพื้น คิดจะเดินจากไปทันที
“ต้าซือหม่าช้าก่อน”
จางซีหันหน้าไป เห็นชายหนุ่มยังคงไม่ลุกขึ้น
“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!”
“ท่านตุลาการใหญ่ ขอข้ากับต้าซือหม่าพูดคุยเป็นการส่วนตัวกันสักสามสี่ประโยคได้หรือไม่”
ตุลาการใหญ่กับขันทีใหญ่ซ่งประหนึ่งนั่งอยู่บนพรมเข็มนานแล้วจึงรีบเอ่ยว่า “ใต้เท้าเชิญตามสบาย” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป
บนผนังกั้นมีเงาดำน่ากลัวสองสาย
ศพของหญิงผู้นั้นยังนอนอยู่ด้านข้าง สองตาเบิกโต รูม่านตาขยายออก โซ่ตรวนรอบข้างที่จมอยู่ในแอ่งเลือดส่งกลิ่นแสบจมูก
หน้าอกของจางซีกระเพื่อมขึ้นลง มองคนที่คุกเข่าแล้วตะคอกว่า “เสแสร้งแกล้งทำเพื่ออะไร!”
“เพื่อชื่อเสียงความเป็นพ่อลูกเท่านั้น”
“ไม่รู้จักสำนึกแก้ไข!”
จางตั๋วหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “สำนึกแก้ไขอะไร”
“หึ คนที่ชิงทรัพย์แม้ถูกจำคุกแต่สักวันจะได้รับการอภัย คนที่ชิงแผ่นดินจะถูกดาบนับพันฟันเป็นชิ้นๆ วิญญาณแตกกระจาย ไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีก เจ้าไม่รู้หรือว่าต้องสำนึกแก้ไขอะไร!”
จางตั๋วเงยหน้าขึ้น “เรื่องหลังความตายไว้พูดกันหลังจากที่ตาย ตอนตกนรกข้าย่อมมีคำแก้ตัวที่น่าฟัง”
“ยโสโอหัง!”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางซีได้ยินคำตอบเช่นนี้จากจางตั๋ว เขาโกรธมากจนไม่สามารถหาคำมาเสวนาได้ จึงดึงมารดาของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
“เป็นลูกอกตัญญูที่เกิดจากหญิงเลวจริงๆ!” เขาพูดจบก็สูดลมหายใจปนเลือดเข้าอย่างแรง ครั้นรู้สึกถึงกลิ่นคาวติดภายในปากจึงลูบหน้าอกพลางไออย่างหนัก
คนตรงหน้าลอบกำนิ้วมือ ไม่เพียงเท่านี้ ยังหมอบลงกับพื้นโขกศีรษะทีหนึ่งอีกด้วย ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้ข้าจะมีบาปมากมาย แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านแม่ ขอถามท่านต้าซือหม่าว่าจะจองจำนางไว้ถึงเมื่อไร”
“เจ้ายังมีหน้าถามถึงนางอีกหรือ!” จางซีโกรธจนลมจุกอก กว่าจะผ่อนลมหายใจออกมาได้โดยสมบูรณ์ก็ไม่ง่ายนัก “นางตัดสินใจลำพังนำเจ้าเข้ามานับถือสกุลจางเป็นบรรพบุรุษ แต่กลับทำลายชื่อเสียงใสสะอาดของสกุลจางจนสิ้น หญิงบาปเช่นนี้สมควรถูกจองจำจนตาย! นางรู้ถึงบาปของตัวเอง ตอนนี้อยู่ในหอตงฮุ่ยไม่ได้พบเจ้า นั่นถือเป็นการไถ่บาป!”
“การไถ่บาปหรือ” จางตั๋วเงยหน้าขึ้นหัวเราะทันใด “นางจะไถ่บาปเช่นไร อยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาว? หรือบีบให้ข้าถูกท่านเฆี่ยนตีหน้าประตูหอตงฮุ่ย?” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน “ท่านไปบอกนางว่าพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวที่นางมอบให้ข้าองค์นั้น ข้าทำลายทิ้งไปแล้ว!”
พอได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาต่อหน้า จางซีได้แต่เดินถอยหลังหนึ่งก้าว รสหวานคาวไหลวนอยู่ในลำคอ “เจ้า…ไม่กลัวกรรมตามสนองหรือ!”
ใครจะรู้ว่าจางตั๋วกลับเดินเข้าใกล้อีกหนึ่งก้าว
“ข้าตายไปหลายครั้งแล้ว ที่ป่าช้า ด่านจินซาน หน้าประตูหอตงฮุ่ย หึ…” พูดถึงตรงนี้จางตั๋วก็ยิ้มเย็นชา ในเสียงพูดที่ตามมาแฝงความโศกเศร้าระทมทุกข์ไว้เล็กน้อย “ตอนตายสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และไม่รู้ว่าเพื่อใคร ดังนั้นถ้าจะพูดถึงกรรมตามสนอง ใครบ้างที่ไม่มี มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ข้าอยากแนะนำท่านต้าซือหม่าสักประโยค ฉวยโอกาสที่ยังมีทางถอยหลัง ผลกรรมยังมาไม่ถึง ฉวยโอกาสที่ข้ายังเห็นแก่หน้าท่านแม่ ลากลับไปเขตเหอเน่ย หลบทางโลกอย่าออกมา สกุลจางทั้งตระกูลยังจะพอรักษาชีวิตที่เหลือไว้ได้”
พูดจบเขาก็ยกชายเสื้อคลุมขึ้นย่อตัวลง หยิบบันทึกความผิดที่จางซีขยำเป็นก้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านคิดว่าเอาคำสารภาพที่ได้จากการลงทัณฑ์นี้ยื่นต่อฝ่าบาท แล้วจะทำให้พระองค์ทรงคลางแคลงในตัวข้าหรือ” เขาพูดพลางรีดกระดาษให้เรียบ “อาจจะได้ แต่ถ้าข้ามีความผิด…” เสียงพูดชะงักไป เขามองศพที่อยู่ข้างเท้าปราดหนึ่ง “เคลื่อนพลไปทางตะวันออกเพื่อโจมตีหลิวปี้ พวกท่านไปหรือไม่”
เวลานี้ทั้งสองคนมองหน้ากัน จางซีมองเห็นการดูถูกในดวงตาของจางตั๋ว เขากำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินจางตั๋วพูดอีกครั้ง
“ศาลยุติธรรมลำบากในการจัดการคดี ทหารรักษาพระองค์เหน็ดเหนื่อยกับการตามล่า ต่างเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง บันทึกความผิดฉบับนี้ข้าจะมอบให้ตุลาการใหญ่นำส่งวังหลวงเอง ท่านต้าซือหม่าไม่จำเป็นต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยยามค่ำคืน” พูดจบเขาก็หยิบเหล็กนาบอันหนึ่งมาจากกองไฟด้านข้าง พลิกเปิดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงบนตัวศพหญิงสาว มองดูบาดแผลจากการถูกลงทัณฑ์ของนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนไม่ใช้การโบยตีเช่นนี้ เรื่องเช่นนี้ไม่เหมาะให้ท่านต้าซือหม่าเป็นผู้กระทำเลย วันหน้าเชิญใต้เท้าไปดูห้องลงทัณฑ์ในค่ายทหารกองทัพกลาง เวลาไม่เกินครึ่งก้านธูป คนพูดภาษาผีได้ ผีก็พูดภาษาคนได้”
อีกด้านหนึ่งบนเตากระเบื้องฝีมือหยาบมีกาต้มน้ำอ้ายเฉ่าวางอยู่ ทว่าถ่านใกล้จะมอดดับ เปลวไฟริบหรี่ลงแล้ว
ข้างเตาเวลานี้ไม่ร้อนไม่หนาว เหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก สีอิ๋นกอดเข่าขดตัวเฝ้าน้ำอยู่ข้างเตา นอนหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนจางตั๋วก้าวเข้าเรือนชิงถาน ในเรือนไม่มีเสียงอะไรเลย มีเพียงภาพงดงามเรียบเฉยต่างกันสุดขั้ว
เบื้องล่างพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาว หญิงสาวขดตัวหันเข้าไปข้างใน ตั้งแต่บริเวณลำคอไล่ลงมายังช่วงเอวจนถึงข้อพับเข่าถูกแสงส่องเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง โครงร่างของนางราวกับลายเส้นภาพพุทธะที่เฉาปู้ซิง จรดพู่กัน ทั้งที่ปลุกเร้าอารมณ์แต่กลับมีความจริงจังน่าเคารพบางอย่าง แม้แต่รอยแผลที่ซ่อนอยู่ครึ่งหนึ่งใต้เสื้อผ้าก็ยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรอยแผลของนักโทษหญิงที่ถูกทารุณกรรมในคุกหลวงศาลยุติธรรมเหล่านั้น
จางตั๋วมองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง
กลางดึกเงียบสงัด แผ่นหลังของหญิงสาวสะท้อนเงาดอกไม้ที่ขยับไหวเล็กน้อย หนาบางไม่เท่ากัน ลมจากเตาไฟพัดมาก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย
นี่เป็นกายเนื้อที่ได้รับการดูแลจากเหล่าทวยเทพจริงๆ ไม่แปลกที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ควบคุมตนเองไม่อยู่ และเกือบจะกลายเป็นผีใต้คมดาบของนางแล้ว
จางตั๋วสะกดความคิดในใจ เลื่อนสายตากลับมาแล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิตรงข้างกายนาง เขาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะกระเบื้อง แต่กลับกดถูกนิ้วมือของนางโดยไม่ตั้งใจ
สีอิ๋นตกใจตื่นทันใด เห็นเงาสีเทาดำของชายหนุ่มสะท้อนอยู่บนผนังจึงรีบพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “คุณชายอยากได้อะไร ข้าจะไปเอา…”
นางยังไม่ทันพูดจบ กลิ่นสนิมเหล็กและกลิ่นคาวเลือดก็ปะทะเข้าใส่นาง ทำให้นางโก่งคอคลื่นไส้
จางตั๋วหยิบถ้วยชาพลางเหลือบมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นก็กระตุกยิ้ม “คิดว่าข้าน่าขยะแขยงหรือ”
สีอิ๋นไม่กล้าตอบ นางกอดเข่าแล้วหดตัวไปข้างหลัง
จางตั๋วหุบยิ้ม แต่ไม่ได้บังคับนาง เขากระตุกสายรัดเอวของตนเองเพื่อคลายสาบเสื้อเปิดไหล่ เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนแล้วหันไปถามนาง
“ต้มน้ำหรือ”
“เจ้าค่ะ…” สีอิ๋นรีบชี้นิ้วไปที่เตาด้านข้าง “ท่านลุงเจียงสอน เป็นน้ำที่ต้มด้วยอ้ายเฉ่า เอาผ้าแพรชุบน้ำ จากนั้นก็เช็ดตัวให้คุณชาย ห้ามแตะถูกแผลของคุณชาย”
นางพูดพลางพลิกมือรวบผมยาวที่สยายปรกไหล่ของตนเองแล้วลุกขึ้นไปหยิบน้ำบนเตา
จางตั๋วดื่มชาเย็นไปหลายอึกแล้วหมุนตัวหมอบลงบนโต๊ะ
สีอิ๋นใช้อ่างทองแดงใส่น้ำอ้ายเฉ่าแล้วถือมานั่งคุกเข่าข้างกายเขา
เสียงน้ำในอ่างทองแดงกระเพื่อมแผ่วเบา ไม่นานผ้าแพรชุบน้ำอ้ายเฉ่าก็เช็ดผ่านขอบบาดแผลของเขา ไม่ค่อยเจ็บนัก แต่ยังพอเห็นการกระตุกเล็กน้อยแล้วหยุดเป็นบางครั้ง
จางตั๋วตัดสินใจปล่อยตัวตามสบาย ปล่อยให้กล้ามเนื้อสั่นกระตุก
ทุกครั้งที่เขากลับจากห้องลงทัณฑ์ต้องใช้อ้ายเฉ่าเช็ดตัว ก่อนหน้านี้เขาเคยชินกับการถอดเสื้อผ้า ชุบน้ำบิดผ้าเอง ต่อให้เป็นแผ่นหลังที่มองไม่เห็นก็ไม่เคยยืมมือคนอื่น
ถึงแม้คนใต้หล้าจะสนับสนุนแนวคิดอภิปรัชญาเสรีไร้ขอบเขต ต้องการสวมเสื้อหลวมโคร่งคลายแถบรัด เผยให้เห็นแผ่นอก แต่จางตั๋วไม่เห็นด้วย
มีเพียงนักโทษเท่านั้นที่จะถูกบังคับให้เปิดเผยเนื้อตัวเพื่อรับแส้หนามไม้กระบอง ถูกเปลือยกายกลางตลาด ถูกตรวจสอบร่างกาย รับโทษประหารฆ่าแกง เขาจึงไม่ชอบเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น และไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมองตรงมาที่ร่างกายของเขา
แต่นางไม่นับว่าเป็นสาวใช้ นางเป็นคนกึ่งผีที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายผู้หนึ่ง
“เจ้าไม่ไอแล้วหรือ”
สีอิ๋นนั่งคุกเข่าข้างหลังตัวเขา จู่ๆ ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็ชะงักมือ ตอบเสียงเบาว่า “หา?…เจ้าค่ะ ท่านลุงเจียงเชิญท่านหมอมาให้ข้า อ้อ ไม่ใช่…”
นางคิดว่าตนเองทำผิดต่อความหวังดีของเจียงชิ่น หักหลังเขาต่อหน้าจางตั๋ว จึงรีบปฏิเสธ กลับเห็นชายหนุ่มหันหน้ามองตรงมาที่นาง นางรู้ว่าปิดบังไม่ได้จึงรีบหมอบลงแล้วเอ่ยขึ้น
“ขอคุณชายอย่าตำหนิลงโทษท่านลุงเจียงเลย”
“เหตุใดจึงหยุดมือ” เขาพลิกมือชี้ไปที่หลังไหล่ “ทำต่อไป”
เมื่อเห็นเขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์ นางจึงรีบยืดตัวไปบิดผ้าเปียกมาใหม่
น้ำสีน้ำตาลอ่อน ไม่ช้าก็ถูกเลือดที่ละลายออกมาย้อมจนแดง จางตั๋วหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากจิตใจสงบลงแล้ว กลับได้ยินนางพูดบ่นอยู่ข้างหลังเหมือนกำลังเรียบเรียงอะไรบางอย่าง
“อยากพูดอะไร”
“ไม่…ไม่อยากพูดอะไรเจ้าค่ะ”
จางตั๋วพลิกตัวหันหน้ามาหานาง กางขานั่งลงแล้วยื่นมือเปื้อนเลือดให้นาง
สีอิ๋นรีบไปเปลี่ยนน้ำใหม่มาอีกหนึ่งอ่าง บิดผ้าเช็ดนิ้วให้เขาอย่างละเอียด
เลือดที่ผิวด้านนอกส่วนใหญ่ถูกเขาเช็ดไปแล้ว ที่เหลือแทรกอยู่ตามซอกเล็บ ทำความสะอาดยากมาก
สีอิ๋นต้องใช้ผ้าประคบร้อนที่นิ้วมือของเขา แล้วใช้เข็มเงินเล่มหนึ่งพันผ้าแพร แทรกเข้าไปในร่องเล็บ เขี่ยออกมาทีละนิด
“พ่อแม่เจ้าเป็นคนที่ใด”
สีอิ๋นตกใจ มือก็สั่นเทาตามไปด้วย ปลายเข็มเงินเล่มนั้นแทงทะลุผ้าแพรโดยไม่ทันระวัง ทิ่มเข้าไปในร่องนิ้วของจางตั๋ว
“ข้า…”
“ซี้ด…อย่าขยับส่งเดช” เขาพูดพลางดึงมือกลับมาแล้วเอาเข้าไปดูดในปาก
สีอิ๋นทำอะไรไม่ถูก “ข้า…ข้าจะไปเอายาขี้ผึ้งมาให้คุณชาย”
“กลับมา”
สีอิ๋นตกใจจนไม่กล้าขยับ จำต้องนั่งลงอีกครั้งแล้วยื่นหน้าไปมองจุดที่เข็มทิ่มเข้าไป ข้างเล็บนิ้วโป้งมีรอยเขียวช้ำ น่าจะเจ็บไม่น้อย แต่เขากลับเหมือนไม่สนใจอะไร ตั้งแต่ต้นจนจบเพียงแค่สูดหายใจทีหนึ่ง ท่าทีเสียอาการแม้แต่น้อยก็ไม่มีให้เห็น
“คุณชายไม่เจ็บหรือ”
เขาหัวเราะ ใช้นิ้วมือที่มีแผลนิ้วนั้นเชิดปลายคางของนาง “จะเจ็บสักเท่าไรกัน”
นางถูกบีบให้เงยหน้าขึ้น “สิบนิ้วเชื่อมใจ เมื่อก่อนข้าเคยถูกสายพิณบาดนิ้ว เจ็บจนแทบจะหมดสติไป”
“หากเทียบกับแส้หลายวันก่อนเล่า”
นางลูบขาด้วยจิตใต้สำนึก “แส้เจ็บ…”
เขาคลายมือ วางแขนพาดบนหน้าตักแล้วพูดเสียงเรียบ “ข้าถามเรื่องพ่อแม่เจ้า เจ้ากลัวอะไร”
“ไม่ใช่ แต่…เพราะคุณชายเคยถามข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง”
จางตั๋วจึงรู้ตัวว่าตนเองถามคำถามนี้เป็นรอบที่สองแล้ว
แท้จริงแล้วมีอะไรน่าถามเล่า ชาติกำเนิดของคน คนที่สูงศักดิ์อย่างเฉินเซี่ยว ต่ำต้อยอย่างนักโทษเดนตาย เส้นแบ่งเขตกลางนี้ไม่ได้ชัดเจนนัก และใช่ว่าจะแทนที่กันไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง จางตั๋วไม่มีทางใส่ใจไปสอบถามที่มาของเขาเด็ดขาด แต่วันนี้เวลานี้เขาอยากสะกิดแผลเก่าของคนเบื้องหน้าโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเหตุผลใด แค่อยากให้นางดูน่าเวทนาเช่นกัน เพื่อไม่ให้เขาดูน่าสงสารเพียงคนเดียวในเรือนชิงถาน
“ถามแล้วเจ้าก็ตอบ”
“เจ้าค่ะๆ” นางไม่เข้าใจเหตุผลของเขา ทว่ายังคงตอบอีกครั้งแต่โดยดี “ข้าจำไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร”
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกพวกเขาทอดทิ้ง”
สีอิ๋นส่ายหน้า “ไม่เคย…อาจเป็นเพราะทางบ้านยากจนเกินไป จำต้องทอดทิ้งข้า หรือไม่ก็ทางบ้านเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างเช่น…เป็นโรคติดต่อ ประสบอุทกภัยอะไรเช่นนั้น พวกเขาตายหมดแล้ว”
“ถ้าพวกเขาไม่ตายและยังมีตำแหน่งสูงด้วยเล่า”
“เช่นนั้นข้าจะไปตามหาพวกเขา ถามพวกเขาว่าเหตุใดจึงใจร้ายเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ต้องการข้า ให้พวกเขาชดเชยให้ข้า! ให้พวกเขาเอาเงินมากมายให้พี่ชายข้า!”
“ถ้าพวกเขาไม่ให้เล่า”
“เช่นนั้นก็ล้างแค้นพวกเขา ข้ามีชีวิตลำบากเช่นนั้น พวกเขามีสิทธิ์อะไรได้สวมเสื้องดงามกินอาหารชั้นเลิศ!”
คำพูดเพียงผิวเผินและตรงตามความจริง แต่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะออกมา “เป็นคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ”
“ถ้าเป็นคุณชาย คุณชายไม่อยากแก้แค้นพวกเขาหรือ”
จางตั๋วไม่ได้เอ่ยตอบ เขาเงยหน้ามองพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้น คิดถึงคำพูดไม่กี่ประโยคสุดท้ายที่มารดาพูดกับเขาในคืนที่สกุลเฉินถูกฆ่าล้างตระกูลเมื่อสิบปีก่อน
‘หลังจากนี้ทุกวันเจ้าคุกเข่าหน้ารูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินหนึ่งชั่วยามวันใดที่พระโพธิสัตว์กวนอินหลั่งน้ำตาให้เจ้า ข้าจะมาพบเจ้า’
จางตั๋วคว้าแขนเสื้อของมารดา ‘ท่านแม่ไม่อภัยให้ข้าหรือ’
‘ใช่ เจ้าบาปหนานัก แต่เจ้าวางใจ เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ แม่ไม่ปล่อยให้เจ้ารับกรรมคนเดียวแน่นอน เจ้าคุกเข่าหนึ่งวัน แม่ก็คุกเข่าหนึ่งวัน’
นางพูดจบก็เดินจากไป จางตั๋วไม่กล้าดึงนางไว้ ทำได้เพียงคลานเข่าตามไป
‘ตอนนั้นท่านทอดทิ้งข้า ให้ข้าแย่งอาหารกับสุนัขป่าในป่าช้า ข้ายังอภัยให้ท่านเลย ตอนนี้ข้าแค่ฆ่าคนที่ขวางทางเพียงไม่กี่คน พวกเขากับท่านเกี่ยวข้องอะไรกัน เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอภัยให้ข้า!’
จางตั๋วถึงวันนี้ก็ยังคงจดจำดวงตาที่มีน้ำตาคลอคู่นั้นได้ มันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ปวดใจ ถึงขั้นยังมีรอยยิ้มเจ็บปวดบางเบา แต่มองไม่เห็นความละอายใจแม้แต่น้อย
‘แม่…’ สวีหวั่นสะบัดมือของเขาออกแล้วชี้ที่ตัวเอง ‘ในตอนนั้นแม่ไม่ควรรับเจ้าเข้าบ้านสกุลจาง ไม่ถูก ตอนนั้นที่แม่ทอดทิ้งเจ้าก็ควรจะโหดร้ายอีกสักนิด ปลิดชีวิตของเจ้า เช่นนี้เจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ สกุลเฉินก็ไม่ต้องรับเคราะห์ บ้านสกุลจางก็ไม่ต้องแบกรับคำด่าทอจากคนใต้หล้า…จางทุ่ยหาน ความผิดทุกอย่างอยู่ที่แม่ ทุกอย่างอยู่ที่แม่!’
จนถึงวันนี้เขายังไม่เข้าใจเหตุผลของมารดาเลย
แต่บนโลกนี้ไม่มีคนเข้าใจเหตุผลของเขาอย่างแท้จริง แม้แต่จ้าวเชียนก็เป็นเช่นเดียวกัน จ้าวเชียนแม้จะไม่ตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนจางซี และไม่เหมือนคนอื่นที่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด ทว่าอีกฝ่ายมักจะพูดถึงเฉินเซี่ยวอยู่บ่อยครั้งและในคำพูดมักเต็มไปด้วยความเสียดาย
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องให้เขาปูเรื่องมากเกินไป ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้เขาผ่าเปิดแผลตัวเอง ย้อนคิดถึงวันเวลาหนังเปิดเนื้อแตกช่วงนั้น นางก็มายืนอยู่กับเขาแล้ว ช่างน่าแปลกอย่างแท้จริง ทั้งที่พวกเขาเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“คุณชาย…ข้าพูดผิดแล้วหรือ”
จางตั๋วดึงความคิดกลับมา เห็นนางสองตาแดงก่ำ นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขาเหมือนผ่านการร้องไห้ “เปล่า”
เขายื่นมือไปลูบปลายคางของนาง
สีอิ๋นกระถดตัวไปข้างหลังตามจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
“แท้จริงแล้ว…ข้าแค่พูดส่งเดช จะกล้าแก้แค้นได้อย่างไรเล่า ยังไม่ทันรอให้ข้าแก้แค้น พวกเขามีตำแหน่งสูงอำนาจมากเพียงนั้น คงตีข้าตายไปนานแล้วกระมัง เป็นไปไม่ได้…”
“ก่อนจะเจอเฉินจ้าว เจ้ามีชีวิตมาได้อย่างไร”
“เป็นขอทาน” นางไม่ได้หลบเลี่ยง ถึงขั้นมีความภูมิใจอย่างน่าประหลาดเล็กน้อย “ตอนนั้นที่เยวี่ยลวี่หลี่มีนักแสดงสูงวัยคนหนึ่ง ข้าไปโขกศีรษะให้เขา พูดคำมงคลไม่กี่ประโยค เขาก็เอาขนมเปี๊ยะมาให้กินแล้ว บางครั้งไปขโมยข้าวต้มบนแผงของท่านลุงจาง ถูกพบก็ถูกตีหนึ่งยก จากนั้นก็ถูกมัดไว้หน้าเตารมควัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาเห็นข้าน่าสงสารก็จะปล่อยตัวข้า…”
นางเห็นเขาขมวดคิ้วอย่างช้าๆ เสียงพูดจึงแผ่วลงทุกที จากนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อไป
“เรื่องนี้…ข้าเคยตอบคุณชายสองรอบแล้ว…คุณชายฟังจนรำคาญแล้วกระมัง”
จางตั๋วหยิบแส้หนังงูบนโต๊ะกระเบื้องมา สีอิ๋นตกใจจนดีดตัวขึ้น แต่กลับถูกเขาดึงตัวกลับมา
“ดังนั้นเจ้าจึงกลายมามีสภาพเช่นตอนนี้”
เขาพูดพลางใช้ด้ามจับแส้เขี่ยเปิดสาบเสื้อบนตัวนาง
“อย่าโบยข้า…ขอร้องท่าน อย่าโบยข้า”
“หึๆ ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว การขอร้องคนทำให้เจ้ามีชีวิตต่อไปไม่ได้”
สีอิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่กล้ามองเขาอีก “แต่ถ้าไม่ขอร้องจะมีอาหารกินได้อย่างไร…จะมีเงินได้อย่างไร”
“เจ้ากลัวสุนัขถึงเพียงนั้น เคยถูกสุนัขกัดหรือ”
“เคยถูกกัด…”
“เช่นนั้นเจ้าจะขอร้องสุนัขไม่ให้กัดเจ้าหรือไม่”
“ข้า…ข้าจะหนี…”
“จากนั้นเล่า”
“บางครั้งก็หนีพ้น บางครั้งก็หนีไม่พ้น”
“เจ้าเคยขอร้องขันทีที่ส่งเจ้าเข้าวังผู้นั้นหรือไม่”
สีอิ๋นตื่นตกใจ “เคยขอร้อง…”
“เขาเคยปล่อยเจ้ากับเฉินจ้าวหรือไม่”
“ไม่…”
เหตุผลถูกหักล้าง นางไร้คำโต้ตอบ ทำได้เพียงจับกระโปรงก้มศีรษะลงเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง “ข้าอยากพบพี่ชาย…”
นางพูดจบก็ทนไม่ไหวไอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็เกรงเขาจะไม่พอใจจึงรีบปิดปากพยายามกลั้นไว้
จางตั๋ววางแส้ในมือลง มือหนึ่งดึงสาบเสื้อที่ห้อยพาดแขนขึ้นมา ยืดตัวยกกาเงินบนโต๊ะกระเบื้องก่อนจะเทน้ำชาลงเต็มถ้วยที่ตัวเองใช้ดื่มอีกครั้งแล้วยื่นไปตรงหน้านาง
หกวันที่ผ่านมา นี่เป็นการทำดีครั้งแรกที่สีอิ๋นได้รับจากเขา ทว่านางไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ นิ่งอึ้งไม่ยอมรับ
พอเห็นนางไม่ขยับ จางตั๋วจึงตัดสินใจวางถ้วยชาลงบนหน้าตัก แล้วอาศัยแสงตะเกียงดวงเดียวมองดูนาง “เจ้ายังมีชีวิตได้อีกสี่วัน นอกจากพบหน้าพี่ชายแล้ว ไม่อยากทำเรื่องอื่นบ้างหรือ”
สีอิ๋นเงยหน้าขึ้น “ข้า…จะทำอะไรได้อีก”
จางตั๋วหัวเราะพลางยกข้อมือเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง พูดเพียงว่า “ดื่มน้ำก่อน”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)
Comments
comments
No tags for this post.