X
    Categories: The Endless | เล่ห์ก(า)ลWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน The Endless | เล่ห์ก(า)ล บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 4 คืนแรก

หญิงสาวพรูลมหายใจออกช้าๆ มือเรียวยกขึ้นซับหางตาที่มีหยาดน้ำใสเกาะอยู่ และบังเอิญเหลือเกินที่เมื่อลืมตาขึ้นมาเธอก็ได้สบตากับเขา…ผู้ชายซึ่งยืนกอดอกมองเธอเงียบๆ จากในห้องนอน

จิรปริยากลั้นลมหายใจ สายตาซึ่งรับรู้ได้ว่า ‘ดี’ กว่าแต่ก่อนมากมองเห็นวงหน้าสวยคมแต้มรอยยิ้มจาง หากสมองกลับเล่นย้อนภาพวันก่อนๆ

หลังจากพยายามนอนหลับให้นานที่สุดเพื่อจะกลับไปตื่นยังโลกของตัวเองอยู่หลายครั้ง หญิงสาวก็เริ่มตั้งสติยอมรับความจริงว่า ณ ตอนนี้เธออยู่ในร่างของตัวเองตอนอายุสามสิบสี่…อยู่ในวันเวลาที่ห่างกันไปสิบสองปี

เพื่อไม่ให้กลายเป็นคนบ้าในสายตาทุกคน หลังยอมรับความจริงได้สุดท้ายจิรปริยาก็เลือกที่จะทำเหมือนบรรดานางเอกนิยายที่วิญญาณลอยล่องทะลุมิติไปอยู่ในร่างคนอื่น คือยอมสวมบทผู้หญิงซึ่งประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำโดยไม่ได้ออกอาการต่อต้านอะไรอีก ซึ่งอันที่จริงถือว่าเธอยังโชคดีกว่านางเอกพวกนั้นอยู่มาก เพราะร่างที่เธอเข้ามาอยู่คือตัวเองในช่วงเวลาอีกสิบสองปีข้างหน้า ซึ่งเท่าที่รู้มา…บรรดา ‘คนสำคัญ’ ในชีวิตของเธอยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกด้วย

ทว่า…การ ‘ยอมรับ’ ที่ว่าก็เป็นเพียงแค่การยอมรับภายนอกเท่านั้น เพราะลึกๆ ในใจแล้วจิรปริยายังมั่นใจว่าจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างตอนนี้ไม่ใช่เธอในวัยสามสิบสี่ที่ความจำเสื่อม แต่เป็นเธอเมื่อสิบสองปีก่อนที่ ‘เผลอ’ ข้ามกาลเวลามาก็เท่านั้น

ซึ่งนั่นเป็นอีกปริศนาสำคัญว่าเพราะอะไรตัวเธอในวัยยี่สิบสองซึ่งจำได้แม่นยำว่าเข้านอนในคืนข้ามปีไปตามปกติ ไม่ได้เจอบุคคลประหลาด รับของปริศนา หรือว่าประสบอุบัติเหตุใดๆ จนอาจเป็นเหตุให้วิญญาณหลุดจากร่างเดินทางข้ามมายังอนาคต และที่สำคัญที่สุด…

กลีบปากอิ่มถูกขบแน่น หลุบตาหนีสายตาคมกริบคู่นั้นอย่างเชื่องช้า

วิญญาณของเธอในวัยสามสิบสี่ที่ตกจากบันไดหายไปไหนกัน เกิดปาฏิหาริย์ให้สลับกลับไปอยู่ในร่างยี่สิบสอง หรือว่า…

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเมื่อนึกถึงความน่าจะเป็นบางอย่าง หัวใจสั่นไหวด้วยความประหวั่นกลัวยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ในเวลาที่ห่างจากปัจจุบันถึงสิบสองปี

คงไม่ใช่ว่า…วิญญาณจริงๆ ของเธอในวัยสามสิบสี่ ‘ตาย’ ไปแล้วหรอกนะ!

 

นับนิรันดร์รู้ว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาหลังอุบัติเหตุ ภรรยาของเขาก็ไม่ค่อยปกตินัก

นัยน์ตาคมกริบจ้องตรงไปยังหญิงสาวซึ่งอยู่ดีๆ ก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก ใบหน้าซีดขาว ขณะเขากำลังจะก้าวเข้าไปหาเธอ ร่างเล็กๆ ที่มีความคล้ายคลึงกับเขาก็วิ่งตัดผ่านหน้าไป

“หม่ามี้! หม่ามี้เป็นอะไรรึเปล่าฮะ!”

กันตกาลเอ่ยถามน้ำเสียงตกใจและนั่นคล้ายจะฉุดจิรปริยาให้หลุดจากภวังค์บางอย่าง ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ริมฝีปากอิ่มแย้มรอยยิ้มขณะย่อตัวลงจนส่วนสูงเท่ากับลูกชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่าค่ะ พะ…หม่ามี้ไม่ได้เป็นอะไร”

มองอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจในคำตอบ ทายาทหนึ่งเดียวของเขาก็พยักหน้ารับ ส่งยิ้มหวานเงยหน้าบอกผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน

“งั้นไปกินข้าวเย็นกันนะฮะ กันและกันหิวแล้ว”

“กันและกันอยากกินอะไรเอ่ย”

เด็กชายทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“อะไรก็ได้ฮะ อะไรที่หม่ามี้ทำ กันและกันชอบกินหมดเลย”

“โอเค งั้นไปดูกันเนอะว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง”

ร่างในชุดสีไฮเดรนเยียยืดตัวขึ้น นับนิรันดร์เห็นเธอนิ่งไปเหมือนกำลังตัดสินใจ สุดท้ายก็ยื่นมือไปให้ลูกชายตัวน้อยซึ่งคว้าหมับตามความเคยชิน

ชายหนุ่มมองภาพนั้นนิ่ง มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มอุ่นใจ

อย่างน้อยสายสัมพันธ์แม่ลูกก็ยังยึดโยงเธอกับลูกเอาไว้ด้วยกัน

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้นับนิรันดร์เจ็บปวดมากกว่าการที่เธอลืมเขาก็คือการที่เธอลืมลูกไป แต่ยังโชคดีที่ภรรยาไม่ได้ปฏิเสธลูก…เท่ากับที่ปฏิเสธเขา

และหนึ่งในเรื่องที่นับว่าเป็นโชคดี…คือการที่เขายังมีเธออยู่ข้างๆ

แม้จะเป็นเธอที่จำกันไม่ได้เลยก็ตาม

เสี้ยววินาทีที่เดินสวนกัน นับนิรันดร์ไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเขาทำให้ผู้หญิงคนเดียวในบ้าน…ภรรยาผู้สูญเสียความทรงจำชะงักไปวูบหนึ่งพร้อมหัวใจที่เต้นแรงโลด ก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วเดินออกจากห้องไป

 

การทำอาหารมื้อแรกหลังตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเวลาผ่านไปสิบสองปี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอทั้งเกร็งและตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะถูกปากสองพ่อลูกหรือเปล่า แต่นับว่าโชคดี…ที่สีหน้าของนับนิรันดร์กับกันตกาลไม่ได้ดูเลวร้ายนัก ซ้ำลูกยังขอเพิ่มจานที่สอง ส่งผลให้คนทำถึงกับยิ้มกว้างอย่างดีใจ

ระหว่างกำลังนั่งมองกันตกาลเคี้ยวปีกไก่นึ่งซีอิ๊วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อยู่ดีๆ จิรปริยาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จนพาให้มือที่กำลังจะตักกุ้งผัดดอกหอมเข้าปากถึงกับชะงัก

“เอ่อ…กันและกันอายุเท่าไหร่นะคะ”

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง วางช้อนส้อมในมือลงแล้วยกนิ้วมือสองข้างขึ้นมาเท่าจำนวนอายุ บอกเสียงสดใส

“เจ็ดขวบฮะ”

“เจ็ดขวบ…” เธอทวนคำ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนวันนั้นเพื่อนๆ จะบอกว่าเธอแต่งงานมาได้ราวสิบปีแล้ว

สิบปี อืม แต่งตอนอายุยี่สิบสี่? แต่ว่า…

หญิงสาวเอียงคอ แอบชำเลืองใบหน้าสวยคมของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

คิดไม่ออกเลยแฮะว่าเคยรู้จักและรักคนคนนี้จนถึงขั้นตกลงปลงใจแต่งงานด้วย

จิรปริยาเผลอวางช้อนแล้วนั่งเท้าคางอย่างใจลอย

ในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ เธอเคยวาดฝันไว้ว่าหากมีคนรักสักคน เธอจะคบหาดูใจกับเขาสักเจ็ดปีแล้วค่อยแต่งงาน ถ้าจะเอาเหตุผลแบบจริงจังนั่นก็เพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นระยะเวลาที่นานพอให้คนสองคนได้เรียนรู้นิสัยใจคอทุกแง่มุมของกันและกัน หลายคนเลิกกันในปีนี้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ก้าวข้ามอาถรรพ์ปีที่เจ็ดไปจนได้พบกับความสุขที่ปลายทาง แต่ถ้าจะเอาเหตุผลแบบที่ภัทรนันท์เคยเบะปากก่อนจะพ่นใส่หน้าเธอว่า ‘ไร้สาระ’ เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะ…

เธอชอบเลขเจ็ด

สั้นๆ ง่ายๆ แค่นั้นเอง

แต่ดูท่าตัวเธอในวัยยี่สิบสี่อาจจะมีมุมมองความคิดแตกต่างไปจากช่วงวัยยี่สิบสอง ไม่เช่นนั้นระยะเวลาไม่ถึงสองปีที่ได้รู้จักกับเขา…คงไม่ทำให้เธอในตอนนั้นกล้าตัดสินใจแต่งงานกับนับนิรันดร์ได้

แล้วอะไรกันที่ทำให้เธอผู้เคยตั้งใจจะใช้เวลาคบกับใครสักคนให้นานถึงเจ็ดปี ตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันแค่สองปีเร็วขนาดนั้น?

ดวงตากลมโตกะพริบปริบ อยู่ดีๆ หัวใจก็เต้นแรงขัดกับร่างกายที่ชาวาบตั้งแต่หัวจดเท้ากับเหตุผลที่ทำให้หลายคนแต่งงานสายฟ้าแลบซึ่งปรากฏขึ้นในหัว

จิรปริยากัดริมฝีปาก ช้อนตาขึ้นมองนับนิรันดร์สลับกับกันตกาล

พระเจ้า! ตอนนั้นเธอพลาดท้องก่อนแต่งรึเปล่าเนี่ย!

 

ความคิดว่าเธอท้องก่อนแต่งเป็นอะไรที่ทำให้จิรปริยารู้สึกแย่มาก!

หนึ่งคือเธอถูกเลี้ยงดูมาโดยมารดาที่หัวโบราณ ปลูกฝังค่านิยมห้ามชิงสุกก่อนห่าม หล่อหลอมให้เธอมีนิสัยหวงตัวขั้นสุด ชนิดที่ต่อให้โลกนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไปจนการอยู่ก่อนแต่งจะเป็นเรื่องปกติในสังคมและเธอเองก็ไม่ได้เข้าไปต่อต้านความสัมพันธ์นั้นของคนอื่นๆ ทว่าโดยส่วนตัวแล้วจิรปริยาก็ยังยืนหยัดยึดมั่นว่า ‘คืนแรก’ ของเธอจะต้องเกิดขึ้นในคืนวันวิวาห์เท่านั้น

ข้อสองคือเธอกลัวพ่อแม่ผิดหวัง ‘คุณอัญญา’ ยังเป็นหนึ่งในกุลสตรีหัวโบราณซึ่งไม่ยอมเปลี่ยนค่านิยมความคิดไปตามยุคสมัย จิรปริยามั่นใจมากว่ามารดาจะต้องไม่มีวันรับได้หากลูกสาวท้องก่อนแต่ง

และสาม…ข้อสุดท้ายเลยนะ ถ้าสาเหตุที่ทำให้เธอและนับนิรันดร์ต้องมาร่วมหอลงโรงกันเกิดจากการท้องก่อนแต่ง นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างอาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดไม่ใช่ความรัก การสร้างครอบครัวที่ไม่มีพื้นฐานของความรักไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์โลกสวยฟรุ้งฟริ้งชอบเพ้อฝันถึงรักแท้อย่างเธอต้องการ!

แต่เดี๋ยวนะ…คนไม่รักกันจะอยู่กันยืดมาเป็นสิบปีเลยเหรอ

ถึงจะเป็นไปได้ที่คนรักศักดิ์ศรียิ่งชีพอย่างเธอจะรักหน้าตาไม่ยอมหย่าร้าง ทว่าท้ายที่สุดเธอก็มั่นใจว่าเธอรักตัวเองมากกว่าจะยอมทนอยู่อย่างไม่มีความสุข และหากพิจารณาอย่างไม่อคติก็ต้องยอมรับเลยว่านับตั้งแต่เธอตื่นมาในร่างวัยสามสิบสี่ปี นับนิรันดร์ก็ดูแลเธออย่างดีทุกอย่าง ดูไม่เหมือนคนที่จำใจแต่งงานอยู่กินกันมา

ดังนั้นพอคิดถึงเรื่องท้องก่อนแต่งขึ้นมาอีกที…หญิงสาวก็รู้สึกค้านๆ ในใจจนเผลอพึมพำออกมา

“ไม่อะ ไม่น่าใช่”

กันตกาลเพิ่งจะเจ็ดขวบ เธอแต่งงานตั้งเกือบสามปีกว่าจะคลอดลูกชายคนนี้ออกมา เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะเก็บลูกไว้ในท้องได้นานขนาดนั้น

หญิงสาวพรูลมหายใจ เริ่มสบายใจมากขึ้น ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องนิ่วหน้าอีกรอบ

แล้ว…ถ้าสมมติว่ากันและกันไม่ใช่ลูกคนแรกของพวกเธอล่ะ ถ้าหากก่อนหน้าลูกคนนี้…เธอ…แท้งไป?

เมื่อยิ่งคิดยิ่งสับสนกับสมมติฐานที่ตีกันในหัว จิรปริยาจึงสั่งตัวเองให้เลิกคิดเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว และอยู่กับปัญหาในปัจจุบัน

ดวงตากลมโตเพ่งมองเตียงหลังใหญ่ที่ปูทับด้วยชุดเครื่องนอนสีหวานหนานุ่มดูอุ่นสบาย

จะนอนกันยังไงล่ะคืนนี้

ร่างในชุดนอนเสื้อเชิ้ตสีขาวยาวเคลียเข่ายืนทิ้งน้ำหนักลงขาข้างซ้าย สองมือกอดหมอนใบโตขณะยืนเคว้งอยู่กลางห้อง สิ่งหนึ่งที่ทำให้จิรปริยาดีใจมากคือการที่มีลูกหนึ่งคนสามีหนึ่งคนไม่ได้ทำให้เธอในวัยสามสิบสี่เปลี่ยนไปใส่ชุดนอนลูกไม้ชวนสยองพวกนั้น ไม่งั้นเธอได้ผูกคอตายด้วยสายสปาเกตตี้ของมันแน่ๆ

เอาไงดี…

จิรปริยากัดปาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันเหมือนทุกครั้งที่ต้องใช้ความคิด มือที่กอดหมอนใบโตเผลอบีบรัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นพวกนางเอกนิยายหรือละครที่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายแปลกหน้า พวกหล่อนก็คงจะต้องดีดดิ้นจะเป็นจะตาย ไม่ไล่พระเอกไปนอนโซฟาก็ต้องหาหมอนมากองเป็นตั้งแบ่งเขตแดนบนเตียงกัน ซึ่งจิรปริยาไม่อยากทำแบบนั้น

หนึ่งคือนี่ไม่ใช่นิยายหรือละครหลังข่าว เขาไม่ใช่พระเอก ส่วนเธอก็ไม่ใช่นางเอก และสอง…มันดู…งี่เง่าไปนิดนะ ถ้ามองในมุมนับนิรันดร์ที่แต่งงานกับเธอมาร่วมสิบปี เขา (น่าจะ) นอนในห้องนี้มาตลอด จนกระทั่งเมียเกิดความจำเสื่อม แล้วจะให้เธอง่องแง่งไล่เขาไปนอนที่อื่นมันก็…ไม่โอมะ

แต่ความเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ และถึงแม้เธอจะตั้งใจสวมรอยเป็นตัวเองในวัยสามสิบสี่ที่บังเอิญความจำเสื่อมจนจำอะไรไม่ได้ ทว่าอย่างไรข้างในก็ยังเป็นเธอ…จิรปริยาสาวใสวัยยี่สิบสองผู้ถือครองพรหมจรรย์ที่กระทั่งจับมือกับเพื่อนต่างเพศยังเกิดแบบนับครั้งได้ ดังนั้นอย่าว่าแต่นอนร่วมเตียงกับ ‘สามี’ ซึ่งเธอไร้ความทรงจำเกี่ยวกับเขาเลย แค่อาศัยร่วมห้องเดียวกันโดยไม่ให้อึดอัดยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้หรือเปล่า!…แน่นอนว่าการร่วมห้องดังกล่าวหญิงสาวไม่ได้นับตอนอยู่โรงพยาบาล เพราะช่วงนั้นนอกจากจะมีกันตกาลอยู่ด้วยและมีพยาบาลเดินเข้าออกแล้ว สภาพอารมณ์ของเธอซึ่งยังทำใจยอมรับความจริงไม่ได้นั้นยังพยายามที่จะ ‘นอน’ ตลอดเวลาด้วยความหวังว่าจะกลับไปตื่นในโลกใบเดิมที่คุ้นเคย

ไปนอนกับกันและกันดีกว่า!

เมื่อหาทางออกได้หญิงสาวก็หมุนตัวเตรียมจะไปเคาะห้องขอนอนกับลูกชายตัวน้อยแต่แล้วร่างสูงที่เดินซับผมออกมาจากห้องน้ำก็ทำให้ขาของเธอชะงัก เผลอกวาดตามองเขาอย่างอดไม่ได้

นับนิรันดร์ไม่ได้เหมือนพวกพระเอกในนิยายที่เอะอะเป็นถอดเสื้อนอน ร่างสูงอยู่ในชุดนอนสีดำตัดกับผิวขาวๆ และผ้าขนหนูบนศีรษะ นัยน์ตาสีอำพันมองเธอซึ่งยืนกอดหมอนอยู่ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าสวยคมเอียงนิดๆ เป็นเชิงถาม

“เอ่อ…”

จิรปริยาเลียริมฝีปาก เดิมเธอตั้งใจว่าจะเผ่นไปเคาะห้องลูกก่อนเขาจะออกจากห้องน้ำ จะได้ไม่ต้องกระอักกระอ่วนรู้สึกผิดนัก แต่มาอีหรอบนี้…

นัยน์ตากลมช้อนขึ้นมองคนที่กำลังสะบัดศีรษะไล่ละอองน้ำบนเส้นผมดำสนิท เกิดความลังเลขึ้นมาเล็กๆ

ถ้าขอไปตอนนี้ จะดูเหมือนเธอรังเกียจเขารึเปล่านะ?

เอาจริงๆ จิรปริยารู้สึกว่ามีนิสัยของตัวเองที่ไม่ชอบอยู่หลายข้อ หนึ่งในนั้นคือการชอบคิดแทนคนอื่นว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับการกระทำของเธอจนเผลอนอยด์และรู้สึกผิดไปเองทั้งที่บางทีคนเหล่านั้นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แน่นอนว่านิสัยนี้เธอไม่ได้ใช้มันพร่ำเพรื่อ แต่เลือกใช้กับบรรดาบุคคลซึ่งเธอเปิดรับเข้าสู่โลกใบเล็กของตัวเอง สำหรับเธอในตอนนี้แล้วนับนิรันดร์ควรไม่เข้าข่ายดังกล่าว ทว่า…อาจจะเพราะเขาอยู่ในฐานะ ‘สามี’ ของร่างที่เธอกำลังอาศัยอยู่ และร่างที่ว่ายังเป็นตัวเธอเองในอนาคต ดังนั้นจึงนับได้ว่านับนิรันดร์ก็คือสามีในอนาคตของเธอ ลึกๆ หญิงสาวเลยอาจจะเผลอแง้มประตูรับเขาเข้ามาบ้างแล้วจึงได้เผลอคิดแทนแบบนี้

ระหว่างที่เธอยังตัดสินใจไม่ได้ นับนิรันดร์กลับหลุบตาลงมองสำรวจทั่วร่างเพรียวเงียบๆ และก่อนจะตั้งตัวติด หญิงสาวก็ต้องหวีดร้องลั่นเมื่อขายาวก้าวมาอุ้มเธอจนลอยขึ้นจากพื้น!

“กรี๊ดดด! ทำอะไรเนี่ย!”

แม้จะไม่ชินกับสัมผัสจากเพศตรงข้ามแค่ไหน แต่ในกรณีที่อยู่ดีๆ ถูกอุ้มสูงกว่าพื้นถึงเมตรกว่า สัญชาตญาณก็สั่งให้เธอโยนหมอนใบโตทิ้งแล้วเอื้อมมือไปล็อกลำคอแกร่งเพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไป

ชายหนุ่มหลับตานิ่วหน้า เผลอเอียงคอหนีเสียงแหลมสูงของภรรยา นับนิรันดร์ก้าวขาตรงไปยังเตียงนอนหลังใหญ่โดยไม่สนใจแรงดีดดิ้นของคนในอ้อมแขน

“จะ…จะทำอะไรน่ะ คุณจะทำอะไร!”

จิรปริยาปากคอสั่น ยิ่งเขาวางร่างเธอลงบนที่นอนโดยไม่พูดไม่จาก็ยิ่งสั่นไปทั้งตัว หญิงสาวพลิกตัวเตรียมขยับหนี หากข้อเท้ากลับถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ได้ก่อน และเป็นเพราะสัญชาตญาณอีกเช่นกัน…ที่สั่งให้เธอคว้าหมอนบนเตียงมาตีอีกฝ่ายไม่ยั้ง

“ปล่อยนะ! ปล่อย! จะทำอะไรฉันเนี่ย!! ปล่อยเลยยยย”

นับนิรันดร์เลิกคิ้วมองคนที่หลับหูหลับตาฟาดเขาด้วยสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งขำ ชายหนุ่มส่ายหัว ใช้มือเดียวรวบสองมือเรียวไว้ โถมน้ำหนักลงทับร่างเพรียวที่เวลานี้หยุดดิ้น นอนตัวแข็งทื่อไปแล้ว

ดวงตาสีน้ำตาลทองเปล่งประกายแวววาวจนคล้ายว่ากลายเป็นสีทองไปแล้วจริงๆ มุมปากระบายรอยยิ้มขณะใช้นิ้วเขี่ยปลายจมูกรั้นอย่างแกล้งๆ

“ไง ทำไมเงียบไปเลยล่ะ คิดว่าผมจะทำอะไรแดหรือไง”

เพราะเขาทับอยู่เหนือร่างของเธอ ชายหนุ่มจึงสัมผัสได้ถึงหัวใจดวงเล็กที่กระแทกขึ้นลงอย่างชัดเจน หนุ่มหน้าสวยหรี่ตา กำลังใคร่ครวญว่าควรจะ ‘แกล้ง’ ภรรยาต่อดีไหม หากเมื่อเห็นดวงตาสีนิลเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมาก็ส่ายหัว ยอมดันตัวลุกขึ้นมาแล้วเอื้อมมือไปจับข้อเท้าขวาของอีกฝ่ายแทน

“ข้อเท้าเจ็บอยู่แท้ๆ ยังจะไปยืนแบบนั้นอีก ไม่อยากหายหรือไง”

จิรปริยามองสามีที่จับข้อเท้าเธอพลิกไปพลิกมาก่อนจะลุกไปคว้ายานวดจากโรงพยาบาลมาละเลงบนข้อเท้าของเธอตาไม่กะพริบ เนิ่นนานกว่าสมองจะเริ่มประมวลผลเรียบเรียงเรื่องราวได้

เขา…เห็นเธอยืนอยู่กับพื้นเลยเป็นห่วงกลัวจะทิ้งน้ำหนักลงขาข้างที่เจ็บ ก็เลยอุ้มเธอมาไว้บนเตียงแทน…งั้นเหรอ

ยิ่งสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่อ่อนโยนเท่าไร ความรู้สึกหน้าแตกยับ อับอาย และรู้สึกผิดก็ยิ่งพุ่งทะลักขึ้นมาจนเต็มอก หญิงสาวหลุบตา ใบหน้าแดงซ่านเบือนหนีไปอีกทาง มองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สามี

“เอ้า เสร็จแล้ว”

เสียงนุ่มลึกดังขึ้นพร้อมกับข้อเท้าขวาถูกปล่อยเป็นอิสระ จิรปริยากะพริบตาปริบ ชักขาขึ้นมายันตัวนั่ง หมอนใบโตที่เมื่อครู่ใช้เป็นอาวุธประทุษร้ายสามีถูกหยิบขึ้นมากอดแนบอก ซุกซ่อนใบหน้าแดงซ่านกว่าครึ่งไว้ด้านหลัง ส่วนชายหนุ่มหลังเดินไปล้างมือในห้องน้ำเสร็จก็ก้าวขึ้นเตียง จัดหมอนจัดผ้าห่มเหมือนเตรียมตัวจะเข้านอน

น่ะ…นอน นอนงั้นเหรอ! เดี๋ยวสิ! เธอยังไม่ได้ตัดสินใจเลยนะว่าคืนนี้จะนอนยังไง!

จิรปริยาเม้มปาก ใจเต้นตึกตัก พอเห็นร่างสูงทำท่าจะล้มตัวนอนก็รีบท้วงเสียงแหลม

“ดะ…เดี๋ยวก่อน! จะนอนเหรอ!”

เสียงแหลมข้างหูทำเอานับนิรันดร์ชะงัก ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนหันไปมองภรรยา

“อือ ก็ใช่สิ ถึงจะแค่…” นัยน์ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ก่อนเอ่ยบอกเวลา “สามทุ่ม…แต่ผมก็ง่วงแล้ว”

ไม่ว่าเปล่า ริมฝีปากบางยังหาวหวอดออกมาเป็นการยืนยัน

“แต่ว่า…” เธอกัดปาก อึกอักจนตัวเองยังรำคาญ ส่วนคนข้างๆ ก็เลิกคิ้วขึ้น พลิกตัวกลับมามองด้วยสายตาตัดพ้อ

“ทำไม อย่าบอกนะว่าพอแดความจำเสื่อม จำผมไม่ได้ ก็เลยเกิดอาการรังเกียจไม่อยากนอนร่วมเตียงด้วย?”

พอโดนจี้ใจดำหญิงสาวก็ชะงัก ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ควานหาคำขึ้นมาโต้ไม่ทัน

“แล้ว…แดจะเอาไงล่ะ ไล่ผมไปนอนห้องอื่น? ขอไปนอนห้องลูก? หรือให้ผมนอนโซฟา อ้อ…จริงๆ ก็มีอีกทางนี่นะ…”

ดวงตาสีอำพันช้อนขึ้นมอง มุมปากเหยียดยิ้มคล้ายรู้ทันก่อนเหลือบมองหมอนในมือเรียว…อาวุธที่เธอใช้ทุบตีเขาเมื่อครู่

“…เอาหมอนมากั้นเป็นกำแพงแบบที่พวกนางเอกทั้งหลายชอบทำ” ทั้งที่รู้ดีว่ามันโคตรไร้สาระ

ประโยคท้ายนั่นนับนิรันดร์ไม่ได้พูดแต่หญิงสาวอ่านได้จากสายตาของเขา และนิสัยเสียอีกข้อที่จิรปริยาค่อนข้างเกลียดก็ทำให้เธอเม้มปากก่อนจะเชิดหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยปากเถียง

“เปล่า! ใครว่าแดจะทำอะไรไร้สาระแบบนั้น เราเป็นสามีภรรยากันนะ” สามีภรรยาที่เธอจำไม่ได้ว่าเคยเป็น “นอนห้องลูกอะไร นอนโซฟาอะไร ยิ่งเอาหมอนมากองเป็นกำแพง…เฮอะ! ไร้สาระน่า”

จิรปริยาปฏิเสธเสียงแข็ง ทำเหมือนลืมไปว่าตัวเองเคยตั้งใจที่จะไปนอนห้องลูกอย่างที่เขาเดาด้วยสีหน้ากึ่งเยาะกึ่งท้าทายจนทำให้เลือดชอบเอาชนะขึ้นหน้า

“ก็แค่จะบอกว่า…ฮึ่ม” หญิงสาวกระแอมกระไอ เชิดหน้าขึ้นอีกนิดจนเห็นลำคอระหง หากนัยน์ตากลับเหลือบหนีใบหน้าสวยคมไปอีกทาง “…ก่อนจะนอนน่ะ ไม่คิดจะซับผมให้แห้งรึไงกัน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: