ภาคแดนสวรรค์
ไม่ต่างอะไรกับคำกล่าวนำของนิทานก่อนนอนทั่วไป…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิ่งที่เดินขวักไขว่วิ่งทะยานไปมาระหว่างท้องฟ้า พื้นปฐพี และท้องทุ่งนาไม่ใช่รถยนต์หากแต่เป็นปีศาจ และสิ่งที่บินฉวัดเฉวียนผ่านหมู่เมฆก็ไม่ใช่เครื่องบินหากแต่เป็นเทพเซียน สิ่งที่ท่องเที่ยวไปกลางน้ำก็ไม่ใช่เรือดำน้ำหากแต่เป็นมังกรคะนองน้ำ…
ในสมัยนั้น เซียน มนุษย์ มาร ปีศาจดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน พวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความรักต่อกัน เมื่อเรื่องเหล่านี้เล่าลือมาถึงปากของนักเล่านิทาน หรือมาถึงปลายปากกาของปรมาจารย์ด้านวรรณกรรม หลังจากถูกดัดแปลงแก้ไข เสกสรรปั้นเรื่อง ก็มักจะนำมาจัดเรียงบอกเล่าเป็นตอนๆ กลายเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจหรือไม่ก็เศร้ารันทดใจ
ตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับก็มี ‘ไซอิ๋ว’ ‘ตำนานนางพญางูขาว’ ‘โปเยโปโลเย’ เป็นต้น…
แน่นอนเรื่องเล่าของฉันคงไม่โด่งดังเท่าหนังสือหลายเล่มที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นจึงได้แต่หานักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักคนหนึ่งมาเขียน ถ้ารู้สึกว่าอ่านแล้วไม่สนุก เชิญตบตีหล่อนได้…ไม่ต้องเกรงใจ
บทที่หนึ่ง แมวทะลุมิติ
เรื่องเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายฤดูร้อนอันเงียบสงบวันหนึ่ง แสงอาทิตย์สาดส่องจนอบอุ่นไปทั่วร่าง ต้นหญ้าเขียวขจีที่ใต้ร่างอ่อนนุ่มประดุจเบาะ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดินแผ่กำจาย ถ้ากล้ามเนื้อผิวหนังและกระดูกไม่เจ็บปวดแสบร้อนไปทั่วร่างล่ะก็ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นปกติยิ่ง
ฉันเป็นใคร…
ฉันเป็นแมวตัวหนึ่ง แมวสามสีขนยาวปานกลาง ปีนี้อายุได้สองขวบ เพศเมีย เจ้านายชอบเรียกฉันว่าฮวาเหมียวเหมียว
เพราะอะไรฉันจึงมาอยู่ที่นี่น่ะหรือ
ดูเหมือนฉันจะจับนกกระจอกอยู่บนดาดฟ้าชั้นสิบ ไม่ระวังจนพลัดตกลงมา ตอนนั้นมีเสียงพัดอู้ผ่านข้างหูของฉัน คล้ายว่าฉันกำลังบินอยู่ เจ้านายกระโจนมาที่ข้างลูกกรง สีหน้าตื่นตระหนกและสิ้นหวัง ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย มีฝูงนกกางปีกบินผ่านไป…ไม่นาน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นก็พวยพุ่งเข้ามาที่ประสาทดมกลิ่น จากนั้นในที่สุดฉันก็ประคองเปลือกตาต่อไปไม่ไหวค่อยๆ ปิดลงมา ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เข้าไปสู่ความมืดมิดอันไร้ขอบเขต และไม่รู้อะไรอีกเลย
ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิด ความคิดของแมวเรียบง่ายมาก ไม่ต่างอะไรกับเส้นตรงเส้นหนึ่ง
เสพสุขจากแสงอาทิตย์ดีงามในยามนี้ ปล่อยวางความเจ็บปวดบนร่างกาย นอนอย่างเกียจคร้านให้สบายสักตื่นจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คิดไม่ถึงว่ากลับมีเสียงเรียกด้วยความร้อนรนดังขึ้นมาที่ข้างหูเป็นระยะๆ “ลูกพี่! ลูกพี่! ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เหตุใดจึงถูกตีจนคืนร่างเป็นแมวแล้วเล่า!”
เสียงนี้น่ารำคาญเสียจริง ฉันกระดิกหูไปสองสามครั้ง เปลี่ยนท่าใหม่แล้วนอนต่อ
คิดไม่ถึงว่าเสียงหนวกหูนั่นกลับยิ่งใกล้เข้ามามากกว่าเดิม กระทั่งดังติดข้างหูของฉัน “ลูกพี่! ลูกพี่! ท่านรีบตื่นเถิด!”
ฉันลืมตาด้วยความโมโห คิดจะตะปบเจ้าคนที่รบกวนแมวนอนผู้นี้สักหนึ่งกรงเล็บ แต่เหนือความคาดหมาย ฉันกลับไม่ได้เห็นเงาร่างของคน ที่อยู่ตรงหน้ามีเพียงอีกาตัวหนึ่ง
อีกาสีขาว?
เขาเบิกนัยน์ตากลมดำขลับ กำลังเอียงศีรษะมองฉัน ดูมีท่าทีดีใจ “ลูกพี่ ในที่สุดข้าก็หาท่านพบแล้ว”
ฉันก็ดีใจ เพราะท้องหิวแล้ว จู่ๆ มีอาหารมาส่งให้ถึงปากเช่นนี้ ไม่กินก็ออกจะผิดต่อตนเองเกินไป ภายใต้แรงผลักดันจากความหิวโหยและความตื่นเต้นดีใจ ฉันไม่ได้ไปคิดว่าเพราะอะไรอีกาจึงพูดภาษามนุษย์ได้ เพียงกางกรงเล็บแหลมคมออกมาเงียบๆ
อีกาขาวยังคงพูดด้วยความดีใจ “ลูกพี่ หลังจากท่านทำศึกกับราชาอินทรีแล้วก็หายตัวไปตั้งหลายวัน เวลานี้จอมมารคชสารคุกคามมาถึงประตูบ้านแล้ว จะให้ท่านรับปากแต่งงานกับเขา อาละวาดจนแทบจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ข้าตามหาท่านแทบเหนื่อยตายแล้ว”
ฉันขยับเข้าไปใกล้เขาอีกหลายก้าวอย่างระมัดระวัง
อีกาขาวดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นจุดมุ่งหมายของฉัน เพียงร้องเรียกแล้วพูดต่อไป “ลูกพี่ เหตุใดหางของท่านจึงชี้ตั้งขึ้น”
นั่นเพราะการล่าสัตว์ทำให้ฉันตื่นเต้นอย่างไรเล่า
อีกาขาวยังคงร้องต่อไป “ลูกพี่ เหตุใดท่านจึงเลียริมฝีปาก”
นั่นเพราะฉันกำลังจินตนาการถึงรสชาติอันยอดเยี่ยมของเนื้ออีกาน่ะสิ
อีกาขาวเอียงคอถาม “ลูกพี่ เหตุใดท่านจึงกางกรงเล็บออกมา ในละแวกนี้ไม่มีศัตรูนะ!”
นั่นเพราะฉันไม่อาจปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้
อีกาขาวถามอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ “ลูกพี่ เพราะเหตุใดท่านจึงไม่พูดจา…ยังมีอีก แววตาของท่านประหลาดยิ่ง…”
เสียงของเขายังไม่ทันขาดหาย ฉันก็กระโจนเข้าใส่ทันที คิดไม่ถึงว่าเจ้าอีกาตัวนี้จะไม่ใช่นกธรรมดา เขากลิ้งหลบไปที่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว ก่อนกางปีกบินขึ้นไปบนยอดไม้ ปากยังคงร้องตะโกน “ลูกพี่ ต่อให้มาช่วยท่านช้าไป ก็ไม่เห็นต้องตีข้าเลย!”
เพราะถูกฉันพุ่งกระโจนใส่อย่างแรง พื้นดินถึงกับแยกออก พื้นเว้าลงไปเป็นหลุมใหญ่ลึกสามเมตร ฉันไม่ได้ครุ่นคิดว่าพลังทำลายล้างอันน่าตื่นตะลึงนี้มาจากที่ใด เพียงยืนอยู่ที่ก้นหลุมเงยหน้าขึ้นมองอีกาขาวที่อยู่บนต้นไม้ ในใจรู้สึกหงุดหงิด ครั้นแล้วก็กระโจนออกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กลับพุ่งเข้าใส่แรงเกินไป ต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นจึงโค่นลงมา หักเป็นสองท่อน อีกาตกใจบินขึ้นอีกครั้ง แล้วร่อนลงสู่พื้นดิน
ฉันเลียกรงเล็บอย่างเสียดาย คิดจะกระโจนใส่อีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าอีกาขาวพลันหมุนร่าง มีหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในอากาศปิดคลุมร่างเอาไว้ ตอนหมอกควันจางไป อีกาก็ได้หายไปแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือเด็กหนุ่มในชุดสีขาวคนหนึ่ง
หากใช้สายตาในการตัดสินความงามของมนุษย์มามอง เด็กหนุ่มผู้นี้รูปร่างหน้าตาน่าจะงดงามมาก และดูสุขุมนุ่มนวล แทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย รูปร่างของเขาผอมแห้ง เส้นผมดำดุจม่านน้ำตก ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง เปี่ยมเสน่ห์ ประกอบกับจมูกที่โด่งเป็นสันและใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มรูปเม็ดแตง สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวตัวหลวมกว้าง ตรงคอเสื้อเห็นกระดูกไหปลาร้าได้วับๆ แวมๆ ดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเอาไปวางไว้กลางฝูงชน เพียงเขาขยิบตาหวานหยาดเยิ้มทีเดียวก็เพียงพอให้ชายหญิงลุ่มหลงเคลิบเคลิ้มร่างอ่อนระทวยไปเป็นแถบ
ข้างต้นเป็นข้อสรุปใหม่ในอีกหลายปีให้หลัง หลังจากฉันได้เรียนรู้การขัดเกลาสำนวนคำบรรยายและการตัดสินความงามของมนุษย์แล้ว ทว่ายามนี้ฉันใช้การตัดสินความงามของแมวในการมอง เขาก็แค่คนธรรมดาที่มีดวงตาสองข้างหนึ่งจมูกหนึ่งปากคนหนึ่งเท่านั้น
เด็กหนุ่มจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ปัญหาสำคัญที่สุดที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ก็คือ อาหารของฉันหายไปไหนแล้ว
ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา เด็กหนุ่มก็กระวีกระวาดพุ่งเข้ามาหาฉัน “ลูกพี่ ท่านทำบ้าอะไรของท่าน”
ฉันรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา อดร้องด่าออกไปไม่ได้ “ฉันเป็นแมว! ไม่ใช่ลูกพี่!”
พูดจบ ฉันก็ใช้กรงเล็บลูบๆ คอ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจู่ๆ ตนเองจึงพูดได้ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ตรงหน้ากลับดูประหลาดใจยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขายกมือขึ้นมาช้าๆ ชี้มาที่ฉันแล้วพูดติดอ่าง “ลูก…ลูกพี่…ท่าน…ท่าน…”
เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นมาอย่างสลับซับซ้อนเช่นนี้ทำให้ฉันยืนตะลึงอยู่กับที่ ในสมองมีแต่ความสับสนยุ่งเหยิง เศษเสี้ยวความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา ในนั้นมีสาวน้อยงดงามที่มีหูแมวอยู่บนศีรษะผู้หนึ่งกำลังคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ตอนตั้งสติได้ฉันจึงพบว่าโลกที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เป็นสีหม่นเหมือนที่ผ่านมา หากแต่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย แต่ก่อนฉันไม่เคยรู้ชื่อของสีเหล่านั้น และแยกสีเขียว สีแดง สีน้ำเงินที่เจ้านายเคยพูดถึงไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นหญ้าเขียวขจีหรือท้องฟ้า แต่เวลานี้ฉันถึงกับเข้าใจถึงเสน่ห์และชื่อของพวกมันแล้ว ความงดงามทั้งหมดนี้ช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ความทรงจำสับสนยุ่งเหยิงขึ้นทุกที และก็ยิ่งปวดหัวขึ้นทุกที ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัว
ฉันอยากกลับบ้าน
กลับไปยังสถานที่ที่ไม่มีอันตราย ไม่มีใครทำร้าย มีแต่ความอบอุ่นแห่งนั้น
ครั้นแล้วฉันก็ไม่ไปคิดอีกว่าอีกาหายไปไหน เพียงคิดจะค่อยๆ ย่องหลบไป
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างหลังก็กระโจนเข้ามาทันที กอดฉันไว้ในอ้อมแขนแน่น ปากก็ยังคงร้องเสียงดัง “ลูกพี่ ท่านอย่าเพิ่งไป มีเรื่องอะไรค่อยพูดค่อยจากัน”
สองมือของเด็กหนุ่มมีแรงมาก รัดฉันจนแทบหายใจไม่ออก ฉันพลันโกรธขึ้นมา ตวัดกรงเล็บไปที่ใบหน้าเขาทีหนึ่ง เขาร้องเสียงหลงพลางเบี่ยงหน้าหลบ แต่ยังคงถูกปลายเล็บฉันข่วนแก้มข้างขวาจนมีเลือดไหลซิบ
ฉันฉวยจังหวะนี้ใช้สองเท้าถีบยัน หลุดจากอ้อมแขนที่กักตัวไว้ออกมาได้ แล้วตวัดกรงเล็บออกไปอีกครั้ง ซัดเขากระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร
เด็กหนุ่มชุดขาวหลังจากลุกขึ้นมายืนมั่นก็เอามือกุมแผลที่อยู่บนใบหน้า มองฉันด้วยความตื่นตะลึง ไม่ได้เข้ามาใกล้อีก
ฉันรีบวิ่งหนีไป ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง
บทที่สอง ปลาอยู่ที่ใด
ลมพัดผ่านข้างหูฉันไปอย่างแรง ต้นไม้ที่อยู่รอบด้านถอยหลังไปคล้ายสายฟ้าแลบ เท้าทั้งสี่วิ่งห้อตะบึงไปราวกับเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ กว่าจะหยุด ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน…ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็ไม่เห็นเงาร่างไปนานแล้ว
บ้านอยู่ที่ไหนกันนะ ฉันที่หลงทางได้แต่หน้าม่อยคอตก และออกจะหิวโหย…
จมูกที่เฉียบไวสูดฟุดฟิดไปในอากาศ มีกลิ่นมนุษย์ลอยมาจากที่ไกลๆ ฉันรีบวิ่งไปข้างหน้า แล้วก็เห็นเมืองที่แปลกตาแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน…
รีบๆ ร้อนๆ วิ่งเข้าไป ฉันเห็นในเมืองมีคนมากมายเดินไปเดินมา ดูไม่ต่างอะไรกับถนนใหญ่ที่ใต้ตึกบ้านฉัน ที่น่าแปลกคือบ้านเรือนของที่นี่ดูเตี้ยเป็นพิเศษ ถนนก็แคบมาก ไม่มีรถราวิ่งไปวิ่งมา เหมาะสำหรับให้แมวอยู่อาศัยเป็นที่สุด
ที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือที่นี่ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไว้ผมยาว ทั้งมัดผมเป็นรูปทรงประหลาด แล้วปักด้วยท่อนไม้หรือโลหะรูปทรงต่างๆ ทั้งยังสวมกระโปรง กระโปรงยาวจนลากพื้น
ฉันจำได้ ดูเหมือนเจ้านายเคยพูดว่าผู้ชายที่ไว้ผมยาวสวมกระโปรงเป็นกะเทย
ดังนั้นฉันจึงชี้ชัดได้อย่างเด็ดขาด ที่นี่จะต้องเป็นเมืองกะเทยแน่นอน ซึ่งจัดเป็นปีศาจชนิดหนึ่ง!
แต่…ปีศาจจะกินแมวหรือไม่ ฉันรู้สึกลังเลขึ้นมา ไม่ค่อยกล้าเข้าไปในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ แต่กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาในอากาศ ทำให้ฉันที่หิวจนท้องร้องโครกครากลืมหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง…
ฉันก้มศีรษะ เดินอยู่บนถนนอย่างระแวดระวัง ใช้หางตาชำเลืองมองผู้หญิงและเหล่ากะเทยที่อยู่ด้านข้าง ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นตัวตนของฉัน และไม่มีใครมากินฉัน ครั้นแล้วก็ระบายลมหายใจยาวเหยียด เชิดหน้ายืดอกก้าวอาดๆ ไปข้างหน้าเพื่อหาของกิน
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวฉันก็เห็นร้านขายไก่ย่างร้านหนึ่ง เนื้อไก่ที่อยู่ในร้านย่างจนมีสีเหลืองเนื้อดูนุ่ม ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เถ้าแก่ที่ยืนอยู่ในร้านไม่ได้สวมกระโปรง เพียงสวมเสื้อตัวยาวกับกางเกงขายาว ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายปกติ น่าจะอยู่ในขอบเขตที่พอสื่อสารกันได้
ฉันจึงวางท่าแบบแมวที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี นั่งสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตูร้านไก่ย่าง เบิกนัยน์ตาใสแจ๋วมองเถ้าแก่ที่กำลังเร่งมือทำงานพลางร้องเสียงใสกังวานออกมาคำหนึ่ง “เมี้ยว…”
เถ้าแก่เพียงกวาดตามองฉันแวบหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจแววตาเว้าวอนของฉัน
ฉันจึงตัดสินใจใช้วิธีประจบออดอ้อนที่ไม่มีใครต้านทานได้ นอนลงกับพื้นแล้วเกลือกกลิ้งไปมา เผยหนังท้องขาวนุ่มออกมา ทางหนึ่งเกลือกกลิ้ง ทางหนึ่งก็ส่งเสียงร้องประจบไม่หยุด “เมี้ยว…เมี้ยว…”
เถ้าแก่ยังคงใจแข็งดุจเหล็ก ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวแต่อย่างใด เขาโบกมือด้วยความรำคาญแล้วบ่นพึมพำ “แมวสกปรกมาจากที่ใด”
สกปรกตรงไหน ฉันหันกลับมามองตนเอง ขนสกปรกไปด้วยน้ำโคลนทั้งตัว เลียแล้วเลียอีก ทำอย่างไรก็เลียไม่สะอาดเสียที ได้แต่ทำหูลู่ลงด้วยความเสียใจ เดินก้าวหนึ่งหันหลังสามครั้งไปที่ข้างร้าน เตรียมจะขโมยไก่กิน…
ทว่าเถ้าแก่ร้านผู้นั้นดูเหมือนจะอ่านความคิดของฉันออก เขาใช้มือซ้ายหยิบไก่ย่างมาตัวหนึ่ง วางไว้บนเขียง มือขวาตวัดมีดเป็นประกายงดงามในอากาศ จากนั้นก็สับลงไปอย่างแรง ไก่ย่างที่น่าสงสารหัวกับตัวแยกจากกันทันที เขาหันหน้ามามองฉัน เผยรอยยิ้มดุร้าย “แมวขโมยสมควรตาย กล้าขโมยกิน ข้าจะตัดหางเจ้าให้ขาดกระเด็น!”
ฉันมองมีดที่ส่งประกายวาววับในมือของเขา ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ขดหางหนีไปทันที
หลังจากวิ่งหนีไปหลายถนนโดยไม่กล้าหยุดพัก ฉันที่หิวจนเท้าทั้งสี่ไร้เรี่ยวแรงก็หมอบนิ่งอยู่กับพื้นอีกครั้ง ไม่อยากก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว บนท้องฟ้ามีนกบินมากมาย แต่ฉันไม่รู้จะไปจับพวกมันได้อย่างไร
ถ้าอีกาขาวยังอยู่ก็คงดี ฉันนึกถึงปีกที่ขาวสะอาดและจินตนาการถึงรสชาติดีเยี่ยมของมันแล้วแอบทอดถอนใจ
ท่ามกลางความสิ้นหวัง ฉับพลันนั้นก็มีเสียงคนพูดดังมา “อวี๋เอ๋อร์ เจ้าช่างหอมยิ่งนัก…”
ปลา…ปลาอยู่ที่ไหน
หูของฉันกระดิก รีบกระโดดขึ้นมาพลางเดินตามเสียงไป แล้วก็เห็นบ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมแสบจมูกหลังหนึ่ง ข้างในมีหญิงสาวคนหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อผ้านั่งอยู่บนตักของชายหนุ่มที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน หล่อนบิดขยับร่างไปมาพลางเอ่ยว่า “หอมก็ไม่ให้ท่านกิน…”
“อวี๋เอ๋อร์ หรือเจ้าอยากให้ข้าร้อนรุ่มใจตาย” ผู้ชายจับ ‘สิ่งของสองก้อน’ ตรงอกผู้หญิงซึ่งไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วขยำขยี้ไปมา ทางหนึ่งขยำขยี้ทางหนึ่งก็เอ่ยวิงวอน “ให้ข้าเถิด…”
ผู้หญิงหน้าแดงขึ้นมาทันที ตีมือเขาแล้วบอก “คนชั่วร้าย รีบร้อนอะไร”
ฉันมองพวกเขาเริ่มกัดทึ้งกันและกันไปทั่วร่างของอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ดูเหมือนพวกเขาจะทะเลาะวิวาทกันอยู่ สู้กันไปสู้กันมา สู้ไปถึงบนเตียงที่อยู่ข้างๆ แล้วยังเอาม่านมุ้งลงด้วย
โอกาสดีแล้ว! ไปหาปลากิน!
รู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป ฉันรีบกระโดดจากขอบหน้าต่างเข้าไปอย่างระมัดระวัง เดินวนข้างเตียงหลายรอบ ได้ยินเพียงเสียงครวญครางของผู้หญิงและเสียงหอบหายใจหนักของผู้ชายดังขึ้นมาไม่หยุด
“อา…เร็วหน่อย…เร็วขึ้นอีก…”
“อวี๋เอ๋อร์…ยังจะเอาอีกหรือไม่ เอาอีกหรือไม่”
“เอา…ข้ายังจะเอาอีก…พี่ชายที่แสนดี รีบให้ข้า…”
“ข้าดีกว่าหรือสามีของเจ้าดีกว่า”
“ท่านย่อมดีกว่าแน่นอน…เร็วอีกหน่อย”
ปลานั่น…อร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงขั้นต้องทะเลาะตบตีเพื่อแย่งชิง? เสียงของพวกเขาฟังดูแล้วมีความสุขและตื่นเต้นมาก ทำให้ฉันอดน้ำลายไหลไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปแย่งกิน ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ข้างเตียงด้วยความร้อนใจ
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ปลาอาจจะกินหมดแล้ว การวิวาทของพวกเขาก็ค่อยๆ หยุดพักลง จู่ๆ ผู้หญิงก็เปิดม่านมุ้งเดินออกมา ฉันรีบมุดเข้าไปใต้เตียง มองการเคลื่อนไหวของหล่อนด้วยความตื่นเต้น
ดูเหมือนหล่อนจะไม่เห็นฉัน เพียงพูดกับผู้ชายที่อยู่บนเตียงว่า “ข้าไปครู่เดียวก็มาแล้ว” จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าหลายตัวที่อยู่บนพื้นขึ้นมาคลุมร่าง บิดเอวเดินออกจากประตูห้องไป
ฉันเห็นผู้หญิงออกไปแล้ว จึงเดินออกมามองมุ้งบนเตียง นึกถึงปลาที่แสนเอร็ดอร่อย ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวค่อยๆ เลิกมุ้งตรงปลายเตียงขึ้นเล็กน้อยแล้วมองเข้าไปข้างใน หวังจะได้เห็นน้ำแกงและเศษปลาที่กินเหลือ
ผู้ชายกำลังหลับตาพักผ่อนจึงไม่เห็นฉัน ฉันทำใจกล้าค่อยๆ ปีนขึ้นไปกวาดตามองรอบหนึ่ง ไม่พบร่องรอยใดๆ ของปลา กลับพบของเล่นประหลาดตรงหว่างขาทั้งสองข้างของเขา
นั่นคืออะไร แดงๆ เล็กๆ คล้ายหัวเต่า
ฉันเดินไปดูข้างๆ ด้วยความอยากรู้ ยื่นกรงเล็บไปแตะเบาๆ
นึกไม่ถึงว่าเต่านั่นจะขยับตัว! ฉันตกใจผงะถอยไปก้าวหนึ่ง
มีชีวิต…เป็นสิ่งมีชีวิต…
ฉันรวบรวมความกล้า แตะเบาๆ ไปอีกครั้ง
เต่านั่นก็กระดุกกระดิกอีก! ผู้ชายส่งเสียงครางออกมา “อวี๋เอ๋อร์…สบายยิ่งนัก ทำต่อไป…”
ของสิ่งนี้กับปลามีอะไรเกี่ยวข้องกัน หรือว่าต้องเอาชนะเขาจึงจะมีปลากิน ฉันก้มหน้าลงมองของที่คล้ายหัวเต่าตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็ออกแรงเล็กน้อยตะปบกรงเล็บลงไป
ประสบความสำเร็จ! เต่าถูกตบแบนไปแล้ว ที่น่าเสียดายก็คือเตียงทั้งหลังก็ถูกกรงเล็บของฉันตบจนหักเป็นสองท่อนไปด้วย
“อ๊ากกก!” ผู้ชายร่วงตกลงไปที่พื้น กุมเต่าเอาไว้พลางส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเขา ฉันรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย จะอย่างไรก็ทำเตียงของผู้อื่นพัง คงต้องโดนด่าแน่ จึงรีบเดินเข้าไป คิดจะประจบเอาใจด้วยการนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นสักหลายรอบเป็นการขอโทษ
แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนั้นกลับเกลือกกลิ้งไปมาหนักกว่าฉันเสียอีก เขาเกลือกกลิ้งไปเนื้อตัวก็แข็งเกร็ง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้ายับยู่เข้าหากัน น้ำตาและน้ำมูกไหลย้อย ท่าทางเหมือนเจ็บปวดอย่างมาก
เตียงหลังนี้คงล้ำค่ามากแน่…
เพื่อแสดงความรู้สึกเสียใจอย่างนอบน้อมและจริงใจ ฉันจึงใช้อุ้งเท้ากดขาเขาไว้ จากนั้นก็เอาศีรษะถูไถคลอเคลีย ทางหนึ่งถูไถ ทางหนึ่งก็ร้อง “เมี้ยวๆ” กล่าวขอโทษ
ในที่สุดเขาก็ยอมรับการขอโทษของฉัน นอนหลับไปด้วยความพอใจ ทั้งยังหลับจนน้ำลายฟูมปาก
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.