บทที่สิบสอง หมอที่น่ากลัว
หนาวยิ่งนัก…
ข้าใช่กำลังจะตายแล้วหรือไม่
ลืมตาขึ้นมาอย่างเลอะๆ เลือนๆ พบว่าตนเองได้กลายร่างกลับไปเป็นแมวแล้ว กำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเทพปี้ชิง เขานั่งอยู่บนหลังกิเลนที่กำลังวิ่งห้อตะบึง ไม่รู้จะไปที่ใด
“เมี้ยว…” ข้ายื่นศีรษะออกไปมองดูที่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง เสี่ยวหลินก็ขี่อยู่บนหลังม้าฝีเท้าดีตัวหนึ่งไล่ตามมาอยู่ข้างหลัง ทว่าถูกทิ้งห่างโข
“อย่ายื่นศีรษะออกมา ระวังจะตกลงไป” เทพปี้ชิงจับศีรษะของข้ายัดกลับเข้ามาในอ้อมอก คลำๆ ศีรษะที่ร้อนผ่าวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ต่อไป…จะไม่อาบน้ำเย็นให้เจ้าแล้ว”
ข้าหดศีรษะที่ถูกลมพัดจนยิ่งรู้สึกทรมานเข้ามาข้างใน ไม่ได้พูดจา นึกถึงความเจ็บปวดก่อนหน้านี้แล้ว ย่อมไม่คิดจะยกโทษให้เขา
ลมหยุดแล้ว กิเลนก็หยุดแล้ว เทพปี้ชิงอุ้มข้าพลิกตัวกระโดดลงไป สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปยังลานบ้านงดงามแปลกตาหลังหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ลานบ้านกว้างมาก ปลูกดอกไม้ใบหญ้าที่ข้าไม่รู้จักไว้เต็มไปหมด กลิ่นหอมของยาผสมปนเปกับกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา ฉุนจนข้าจามไม่หยุด
เดินตามทางเล็กบนลานที่ปูด้วยเศษหินเข้าไป เป็นเรือนเล็กมากหลังหนึ่ง มีเด็กหญิงคนหนึ่งสวมเสื้อตัวสั้นสีขาวนวลกางเกงขายาวกำลังนั่งต้มยาไปสัปหงกไปอยู่ที่หน้าประตู ในมือถือพัดที่ทำจากใบผู โบกๆ หยุดๆ ไปเรื่อย พอเห็นเทพปี้ชิงเดินมาก็ตกใจตื่นกระโดดขึ้นมา ยิ้มแย้มทำความเคารพ “ท่านเทพเดินทางมาไกล ข้าจะไปเรียนให้อาจารย์ทราบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็ไม่รอคำตอบ วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในเรือน ไม่นานก็มีเสียงเหนื่อยหน่ายดังมาจากด้านใน “ข้าว่านะปี้ชิง เจ้าหมื่นปีไม่มีเรื่องก็ไม่มีทางมาถึงบ้านข้า ครั้งนี้มือบาดเจ็บหรือเท้าบาดเจ็บเล่า”
เทพปี้ชิงอุ้มข้าเดินเข้าไป บอกอย่างไม่เกรงใจ “ถูกความเย็นตัวร้อน”
ครานี้ข้าจึงได้เห็นที่มาของเสียงอย่างชัดเจน เป็นบุรุษสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง หน้าตาของเขาไม่นับว่างดงามเป็นพิเศษ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าก็ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าประทับใจ แววตาดูเกียจคร้านเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลับมองอย่างไรก็สบายตา เวลายิ้มขึ้นมายิ่งรู้สึกราวกับอากาศปลอดโปร่งลมพัดเย็นสบาย ประหนึ่งลำธารใสสะอาดพันปีไม่เคยเปลี่ยน ซึมซาบเข้าไปในหัวใจคน ไม่อาจลืมเลือนได้
บุรุษผู้นั้นอ้าปากกว้าง ทำท่าประหลาดใจจนเกินเหตุ “เจ้าก็รู้จักถูกความเย็นตัวร้อนด้วยหรือ หรือว่าวันนี้ตงจวิน เดินไปทางตะวันตก ยากจะได้พานพบ ยากจะได้พานพบ”
“โม่หลิน เจ้าอย่าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า” เทพปี้ชิงวางข้าลงบนโต๊ะเบาๆ “ตรวจอาการให้นางหน่อย ดูเหมือนจะกระทบถูกความเย็นเข้า”
“เจ้าเลี้ยงแมวด้วยหรือนี่” สีหน้าท่าทางของโม่หลินยิ่งดูประหลาดใจหนัก เขาผงะถอยไปหลายก้าว จู่ๆ ก็เอามือกดท้องหัวเราะไม่หยุด หัวเราะไปก็พูดไป “เจ้า คนที่หัวสมองดุจก้อนหินคลั่งการสู้รบผู้นี้ ความคิดเปิดโล่งตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าขำแทบตายแล้ว!”
“อย่ายั่วยุให้ข้าต้องโมโห” เทพปี้ชิงเอ่ยเสียงเย็น
“เอาล่ะๆ ไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว” โม่หลินเดินเข้ามาใกล้ข้าที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “แมวเหมียวเด็กดี ข้าจะช่วยรักษาอาการป่วยให้เจ้า”
รักษาอาการป่วย?!
คำพูดนี้ทำให้ข้าตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น อดที่จะถามอย่างระแวดระวังไม่ได้ “ที่นี่…คือโรงพยาบาลหรือ”
“โรงพยาบาล? ใช้คำแปลกดี เอ่อ…จะพูดเช่นนั้นก็ได้” โม่หลินจับอุ้งเท้าข้าขึ้นมาแล้วกดไปทั่ว
นัยน์ตาของข้าพลันหดเล็กลง ความทรงจำที่มืดมน น่ากลัว และฝังลึกที่สุดในช่วงหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง เกิดเป็นคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพาข้าไป และลืมไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งเดียวที่ข้าจำได้คือมีห้องสีขาวประหลาดห้องหนึ่ง ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นที่แสบจมูก มีชื่อเรียกว่า…โรงพยาบาล
มีชายหญิงหลายคนสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวแบบเดียวกับชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เข้ามาห้อมล้อมข้า ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่จริงใจ พวกเขามองข้าพลางถกปัญหาอะไรกันไม่หยุด
ถกปัญหากันจนถึงท้ายสุด ท่านอาคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็กดตัวข้าไว้ แล้วเอาแท่งแก้วยาวๆ มีลวดลายด้านข้างยังมีสีแดงเล็กน้อยแท่งหนึ่งออกมา สะบัดๆ แล้วเสียบเข้ามาในก้นของข้าแรงๆ ทันที! เจ็บจนร่างข้าแทบแหลกสลาย!
ข้าส่งเสียงร้องและดิ้นรนสุดชีวิต แต่พวกเขากลับเข้ามาช่วยกันกดร่างข้าไว้ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ กระทั่งเวลาผ่านไปเป็นนานจึงดึงออกมา ดูๆ ลวดลายที่อยู่บนแท่งแก้ว จากนั้นก็หัวเราะบอกอะไรสี่สิบองศา…
ข้าคิดจะหนี แต่กลับถูกจับตัวกลับมา แล้ววางไว้บนแท่นเหล็กที่เย็นเฉียบต่อ พวกเขาหยิบหลอดแก้วอีกอันหนึ่งมา เอาของเหลวสีน้ำนมใส่เข้าไปข้างใน จับคอข้าไว้ แล้วเอาหนามแหลมๆ ที่อยู่บนหลอดแก้วแทงเข้าไป กระทั่งของเหลวในนั้นไหลเข้าไปหมด
ความทุกข์ทรมานยังไม่ยุติเพียงแค่นี้ สิ่งที่มาต่อจากนั้นก็คือผงสีขาวที่ฝาดขม พวกเขาง้างปากข้าออก เอาผงสีขาวเทลงไป จากนั้นก็กรอกน้ำตาม บังคับให้ข้ากลืนผงสีขาวลงท้องไปให้หมด แต่นั่นเกือบทำให้แมวสำลักตาย
ได้ยินว่าความทรงจำของมนุษย์มักจะจดจำช่วงเวลาที่เศร้าโศกเสียใจได้อย่างแม่นยำ แต่จะจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขไม่ค่อยได้ ข้าเห็นว่าแมวก็เหมือนกัน ข้าลืมสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แต่กลับไม่มีวันลืมประสบการณ์ช่วงเวลานั้นที่คล้ายตกอยู่ในนรกได้
และตอนนี้…ข้าก็กำลังอยู่ในนรก
ทำเช่นไรดี
หนี!
มองรอยยิ้มอ่อนโยนของโม่หลินที่อยู่ตรงหน้า ในใจข้าก็มีความหวาดหวั่นผุดขึ้นมาเป็นระลอก ตวัดอุ้งเท้าออกไปทีหนึ่งอย่างไม่ต้องครุ่นคิด ฉวยจังหวะที่เขาหดมือหลบกระโจนไปทางด้านหลัง ชนประตูล้มลง กระโดดข้ามเสี่ยวหลิน เหยียบไปบนศีรษะเด็กหญิงที่ต้มยาทีหนึ่ง หยิบยืมพลังในการโถมตัววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“กลับมา!” แส้หนังของเทพปี้ชิงพุ่งออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว รีบหนีไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แส้ตวัดมาไม่ทันตัวข้า กลายเป็นพันรัดต้นไม้เอาไว้
เขารีบสะบัดข้อมือ เก็บแส้หนังกลับไป กระโดดขึ้นมาทั้งตัว ไล่ตามข้ามา
ข้าเห็นความเร็วของเขาเหนือกว่าข้ามาก ในใจก็ยิ่งหวาดกลัว เห็นเรือนไม้ที่ด้านล่างมีร่องอยู่จึงรีบเอี้ยวตัวมุดเข้าไป ซุกอยู่ในซอกไม่ยอมออกมา
เทพปี้ชิงหยุดฝีเท้าอยู่หน้าเรือน เขาพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “ออกมา”
ตีให้ตายก็ไม่ออก ออกไปก็จะถูกจับตัวไปโรงพยาบาล! ข้าหาใช่ตัวโง่งม!
“ออกมา!” เสียงของเขาคล้ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ข้ากลับขดร่างเข้าไปในความมืด
“อย่าเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ทำให้แมวตกใจกลัวแล้ว” โม่หลินเองก็วิ่งตามมา จากนั้นก็นั่งยองๆ มองมาที่ข้าแล้วยื่นมือมาให้ “มาเถอะ ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เจ้าเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดต่างหาก ข้าคำรามเสียงต่ำออกไป มองเขาอย่างระแวดระวัง
“โม่หลิน เจ้าหลบไป” เทพปี้ชิงเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“ได้” โม่หลินก็เปิดเผยตรงไปตรงมา
คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เทพปี้ชิงถามเขาต่อก็คือ “เรือนหลังนี้ของเจ้าใช้ทำอะไร”
“นี่เป็นห้องเก็บของเบ็ดเตล็ด” โม่หลินตอบอย่างไม่เข้าใจ
“ดีมาก ดีมาก” เทพปี้ชิงโมโหจนหัวเราะ “ไว้ข้าจะชดใช้ให้เจ้าในภายหลัง”
“เจ้าจะทำอะไร”
โม่หลินพูดยังไม่ทันขาดคำ เทพปี้ชิงพลันซัดฝ่ามือ เสียงลมเปี่ยมด้วยพลังมหาศาลที่คล้ายจะโหมถล่มทลายขุนเขาพร้อมจะล้มครืนมหานทีก็พัดกระโชกเข้ามา เรือนที่อยู่เหนือศีรษะข้าถูกกระชากขึ้นไป จากนั้นก็พลิกหงายร่วงโครมลงกับพื้น แตกกระจายกลายเป็นเศษซาก ข้าที่เมื่อครู่ก่อนยังมุดอยู่ในเงามืดใต้พื้นพลันถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง เสียดแทงตาจนลืมไม่ขึ้น
เบื้องหน้าเทพปี้ชิงสืบเท้าคุกคามเข้ามาทีละก้าวๆ ข้ารีบลุกขึ้นมา ยังไม่ทันได้หลบหนีและกรีดร้องก็ถูกจับตัวขึ้นมาแล้ว ข้างหูแว่วยินเสียงทุ้มต่ำของเขาขู่ขวัญ “อย่าทดสอบความอดทนของข้า”
“เมี้ยว…” ข้าร้องด้วยความโศกาอาดูรออกมาคำหนึ่ง หลับตาเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“เรือนของข้า!” เสียงร้องอันน่าเวทนาของโม่หลินเปรียบกับข้าแล้วยังโศกาอาดูรยิ่งกว่า “นี่เป็นห้องเก็บของที่เอาไว้เก็บพืชสมุนไพร อ๊า!”
เทพปี้ชิงใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าตัวโม่หลินที่กำลังเจ็บปวดเศร้าอาดูรแทบขาดใจ ฉุดลากให้เดินไปทางห้องยา
บทที่สิบสาม เสบียงสำรอง
“ไม่เอาหมอ…ขอร้องท่าน…” ข้ากอดแขนเทพปี้ชิงแน่นไม่ยอมปล่อยมือ “หมอล้วนแต่เป็นคนเลว”
โม่หลินดึงเข็มเงินออกมาจากในห่อหลายเล่ม เห็นสีหน้าลนลานของข้าจึงอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “เพราะเหตุใด”
“คนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวล้วนแต่เป็นคนเลว พวกเขาใช้แท่งแก้วปักก้นเหมียวเหมียว เจ็บยิ่งนัก!” ข้าพูดความจริงออกไปด้วยเสียงอันดัง
เข็มเงินในมือโม่หลินร่วงตกพื้นไปตามคำพูดของข้า ปากของเขาอ้ากว้าง แทบจะเอาไข่เป็ดยัดเข้าไปได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามขึ้นตะกุกตะกัก “ปัก…ปักก้นเจ้า? จะเป็นไปได้อย่างไร ที่ใดกันช่าง…ต่ำช้าดุจสัตว์ป่าเพียงนั้น…”
ใบหน้าของเทพปี้ชิงก็แข็งค้างไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยอย่างเดือดดาล “เป็นใครกันที่ทำเรื่องต่ำทรามไร้ยางอายเช่นนี้”
“เป็นคนเลว…พวกเขายังเอาเข็มปักคอข้า” ข้าพูดอย่างน่าสงสาร “ข้าไม่อยากรักษาอาการป่วย ข้าจะกลับไป”
“ชื่อของคนเลวเล่า” เทพปี้ชิงถามอีก
หลังจากคิดอยู่พักใหญ่ข้าก็สั่นศีรษะ “ลืมไปแล้ว”
คนสองคนที่อยู่ตรงหน้ามีอาการแข็งค้างราวกับก้อนหินไปอีกครั้ง ไม่นานโม่หลินก็ได้สติกลับคืนมา เขาลูบศีรษะข้าอย่างอ่อนโยนเป็นการปลอบใจ “เมื่อก่อนเจ้าคงได้รับความลำบากมาไม่น้อย วางใจเถอะ ต่อไปมีท่านเทพอยู่ จะไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว”
“เขาโยนข้าลงไปในน้ำเย็น…” ข้าฉีกหน้า ‘ท่านเทพ’ ทันที
โม่หลินหันไปมองเทพปี้ชิงอย่างเหยียดหยาม มองจนเขาใบหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว แต่กลับไม่ยอมชี้แจง เพียงหันหน้าออกไปมองทัศนียภาพนอกห้อง
ข้ามองโม่หลินที่อ่อนโยนมีเมตตาตรงหน้า พลันรู้สึกว่าแม้เขาจะสวมเสื้อคลุมสีขาว แต่ไม่ใช่หมอ นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง
แต่เพียงไม่นานข้าก็พบว่าข้าคิดผิดอีกแล้ว…
แม้โม่หลินจะไม่ได้ใช้แท่งแก้วที่น่ากลัว แต่กลับเอาเข็มเงินเล็กยาวสิบกว่าเล่มมาปักเข้าไปในร่างกายของข้า ทำให้ข้าชาไปทั้งร่าง หมดความรู้สึก ต่อมาก็เอายาน้ำฝาดขมกลิ่นไม่ชวนดมชามใหญ่ ให้เทพปี้ชิงช่วยกรอกลงท้องข้า
รสชาติความทุกข์ทรมานตอนถูกกรอกยากับขั้นตอนอันน่าเวทนานั้นข้าไม่อาจบรรยายอย่างละเอียดในที่นี้ได้ สรุปก็คือหลังจากดื่มจนหมด นอกจากข้าจะรู้สึกอยู่ไม่สู้ตายแล้ว แน่นอน สีหน้าของเทพปี้ชิงก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าไร
ข้าขอสาบาน ถ้าวันหน้าใครบอกว่าโม่หลินเป็นคนดีอีก ข้าจะกัดคนผู้นั้นให้ตาย!
เส้นทางตอนกลับไปก็ไม่ต่างอะไรกับตอนมา ตลอดทางเทพปี้ชิงไม่ได้พูดจา กระทั่งใกล้ถึงหน้าประตู เขาจึงพูดกับข้าเบาๆ “ข้าไม่รู้มาก่อน เจ้าที่ดูเหมือนไร้ทุกข์ไร้กังวล เมื่อก่อนจะเคยถูกทำร้ายมามากเช่นนั้น”
“ใช่” ข้าตอบอย่างเจ็บปวดอาดูร ในใจเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด เมื่อครู่ก็ถูกท่านทำร้ายอีก…
“เจ้ามีอะไรที่ต้องการหรือไม่” จู่ๆ เขาก็กระโดดข้ามหัวข้อสนทนา เปลี่ยนไปพูดอีกเรื่องหนึ่ง
ของที่ส่งมาให้ถึงหน้าบ้านไม่เอาก็เสียเปล่า ข้าตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ปลา! ข้าอยากกินปลาหลี่!”
“ได้” เขาลูบศีรษะข้าด้วยความรักและเอ็นดู สั่งการเสี่ยวหลินที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าไปที่ทะเลตะวันออก ให้ราชันมังกรส่งปลาหลี่มา”
เสี่ยวหลินที่ไม่ค่อยพูดจนคล้ายภาพติดผนังรับคำสั่งแล้วห้อตะบึงไปทันที
ครานี้ข้าจึงนึกได้ว่าสิ่งที่ข้าควรร้องขอน่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่ง “ข้ายังต้องการอิ๋นจื่อ…ข้าอยากกลับไป…”
“ถ้าเจ้าเชื่อฟังและรักษาตัวให้ดี พอหายป่วยแล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปหาเขา” จู่ๆ เทพปี้ชิงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยิ่ง เสียงของเขาดังเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดในหัวใจของข้า มีความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดที่ไม่อาจลบเลือนได้ ทำให้ข้าเต็มใจที่จะเชื่อเขาอีกครั้ง
กลับไปถึงวังเสวียนชิง สาวใช้ทั้งหลายได้จัดเตรียมห้องไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ข้ารีบลงนอนบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่หลายรอบ ข้าหงุดหงิดเมื่อพบว่าเตียงหลังนี้ดูเหมือนจะใหญ่สู้เตียงของเทพปี้ชิงไม่ได้…ทั้งไม่นุ่มเหมือนเตียงของเขา…การค้นพบนี้ทำให้ข้าออกจะไม่พอใจ
ทว่าเมื่อนึกถึงว่าอีกประเดี๋ยวจะได้กินปลาหลี่ ก็ทำให้ข้าสะกดกลั้นความไม่พอใจนี้เอาไว้ในใจชั่วคราว หลังจากโม่หลินได้กรอกยาน้ำแปลกประหลาดกินยากให้ข้ากินไปหลายขนาน เวลานี้ดูเหมือนทั่วร่างจะไม่ได้รู้สึกไม่สบายเช่นก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ท้องหิวมาก หิวจนข้านอนไม่หลับ
ข้าจึงกลายร่างเป็นมนุษย์ พบว่าเสื้อผ้าที่เดิมเปียกชุ่มบนร่างได้เปลี่ยนออกไปแล้ว ที่สวมใส่อยู่ตอนนี้เป็นชุดผ้าฝ้ายที่ปักลวดลายประณีตงดงาม นอกจากไม่อาจยื่นหางออกไปได้แล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนสวมใส่สบาย
วิ่งไปดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ไม่ใช่ส้มก็เป็นลูกท้อ ไม่ก็ผิงกั่ว อะไรพวกนั้น ไม่มีอาหารที่ข้ากินได้แม้แต่อย่างเดียว ข้าที่กำลังเบื่อหน่ายจึงหยิบผิงกั่วลูกหนึ่งมากลิ้งเล่นกับพื้น เล่นไปก็ตั้งหูรอการมาถึงของปลาหลี่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากหน้าประตูใหญ่ ข้าก็วิ่งออกประตูมาอย่างรวดเร็ว กลับเจอเทพปี้ชิงกำลังมาเรียกข้าให้ไปที่ห้องโถง ครั้นแล้วข้าก็กระโดดโลดเต้นตามฝีเท้าของเขาไป
คิดไม่ถึงว่าในห้องโถงกลับไม่เห็นปลาหลี่อย่างที่ข้าคิดไว้ หากแต่มีหญิงสาวชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ ผิวพรรณของนางนวลเนียนเกลี้ยงเกลา คิ้วดำงามดุจทิวเขา ดวงตากระจ่างสุกใสดุจผิวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง เส้นผมดำดกหนาเกล้าเป็นมวยสูง ปักปิ่นมุกไว้เอียงๆ ยามหันหน้ามองทางโน้นทางนี้ดูมีจริตจะก้าน กอปรกับเรือนร่างอวบอิ่มกลมกลึงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าโปร่งสีแดงทั้งชุด ทำให้ยิ่งดูงามเย้ายวนใจ เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง
นางเห็นเทพปี้ชิงเดินเข้ามาก็รีบคุกเข่าก้มลงหมอบ เป็นการคารวะเต็มรูปแบบที่งดงาม แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล “บ่าวจิ่นเหวิน กราบคารวะเทพปี้ชิง”
“ราชันมังกรให้เจ้ามาหรือ” เทพปี้ชิงสีหน้าเย็นชาเช่นปกติ
เด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ด้านข้าง เขาถูกท่วงทีของหญิงงามบดบังจนไม่เป็นที่เตะตาได้ก้าวออกมาทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้น “ข้าน้อยวั่งโยวเป็นเซียนเต่า รับบัญชาจากองค์ชายสามแห่งวังมังกร ให้ส่งจิ่นเหวินเซียนปลาหลี่มาที่วังท่านเทพ ท่านเทพได้โปรดรับไว้”
จิ่นเหวินชายหางตามอง ส่งแววตาหวานหยาดเยิ้มมาให้เทพปี้ชิงอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไม่พูดอะไร ทว่าแววตาขวยอายแฝงความนัย
“อืม ก็ได้” เทพปี้ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหน้ามาถามข้า “เจ้าชอบกินแบบต้มหรือทอด”
“ต้มอะไร” ข้าไม่เข้าใจความหมายของเขา
“ปลาหลี่ เจ้าชอบเอามาทำอะไรกิน ข้าจะได้ให้พ่อครัวไปทำ” เทพปี้ชิงลูบศีรษะข้าแล้วถามอีกครั้ง
ข้าตอบอย่างรวดเร็ว “เอาไปทอด!”
“ใครอยู่ข้างนอกเข้ามา ไปจัดเตรียมกระทะน้ำมัน!” เทพปี้ชิงเรียกคนมาทันทีแล้วเอ่ยเสริมขึ้น “ใบใหญ่หน่อย”
จิ่นเหวินยืนอยู่ด้านล่าง ถูกบทสนทนาของพวกเราทำให้ตกใจก้นกระแทกลงไปนั่งกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ได้แต่ร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์เจ้าน้ำตา สะอึกสะอื้นวิงวอนขอความเมตตาไม่หยุดปาก
“นี่…นี่…” วั่งโยวก้าวเข้ามากล่าวด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่ทราบจิ่นเหวินล่วงเกินท่านเทพด้วยเรื่องใด ขอท่านเทพได้โปรดให้ความกระจ่าง”
“ไม่ได้ล่วงเกิน” เทพปี้ชิงตอบอย่างเหนื่อยหน่าย “เดิมทีข้าก็จะเอามากินอยู่แล้ว ปลาหลี่อะไรก็เหมือนกัน”
“นี่…ที่ท่านเทพต้องการไม่ใช่แม่นางปลาหลี่หรือ” วั่งโยวตื่นตระหนกจนใบหน้าถอดสี
“ที่ข้าบอกไปคือปลาหลี่” เทพปี้ชิงถอนหายใจอธิบาย
“ท่านเทพไม่ใช่แต่ไรมาไม่กินของคาวหรอกหรือ” วั่งโยวถามอีก
เทพปี้ชิงกล่าว “ลูกศิษย์ข้าจะกินปลาหลี่”
“ลูกศิษย์ของท่านคือ…” วั่งโยวสับสนอย่างที่สุดแล้ว
ข้ารีบกระโดดออกมาชี้มือมาที่จมูกตนเองบอก “ปลาหลี่เป็นของข้า ไม่ใช่ของลูกศิษย์!”
“เจ้าก็คือลูกศิษย์ของข้า” เทพปี้ชิงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา
“ข้าคือฮวาเหมียวเหมียว!”
ระหว่างที่ข้ากับเทพปี้ชิงกำลังโต้เถียงเรื่องชื่อกันวุ่นวายอยู่นั้น เสียงร้องไห้ของจิ่นเหวินที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งดังขึ้นทุกที นางเริ่มคุกเข่าโขกศีรษะ ท่วงทีงดงามเช่นเมื่อครู่ก่อนไม่มีเหลืออยู่อีก เพียงวิงวอนให้ท่านเทพเมตตา
วั่งโยวหน้านิ่วคิ้วขมวด “หากศิษย์ของท่านเทพเพียงอยากจะกินปลาหลี่ ไยต้องให้แม่นางจิ่นเหวินสละชีพด้วย ไม่สู้ให้ข้าน้อยกลับไปที่วังมังกร คัดเลือกปลาหลี่ชั้นดีตัวอวบอ้วนส่งมาให้สักสิบตัว แลกกับชีวิตแม่นางจิ่นเหวิน ท่านเทพเห็นเป็นเช่นไร”
เทพปี้ชิงถามข้า “เจ้าอยากจะรอสักประเดี๋ยวแล้วกินปลาหลี่สิบตัวหรือจะกินเดี๋ยวนี้ตัวเดียว”
ข้ายกนิ้วมือขึ้นมาสิบนิ้วแล้วนับดู เนื่องจากนับไม่เข้าใจ จึงตอบไปอย่างรวบรัด “เอาทั้งหมดเลย!”
จิ่นเหวินได้ยินแล้วเป็นลมหมดสติไปทันที วั่งโยวกล่าวขออภัยเทพปี้ชิง ขอให้ผ่อนผันเวลาสักหนึ่งก้านธูปแล้วสาวเท้าวิ่งออกไปทันที
ตอนกลับมาได้หอบปลาหลี่ตัวอ้วนใหญ่มาด้วยสิบตัว ข้าดีใจยิ่งนัก ให้ห้องครัวนำไปย่าง นึ่ง ต้ม ทอดครบถ้วนทุกอย่าง ข้ากินเต็มที่ถึงอกถึงใจยิ่ง และหลงลืมจิ่นเหวินไปโดยสิ้นเชิง
เสี่ยวหลินมาขอคำชี้แนะข้าว่าควรทำเช่นไรกับนาง
ข้าดมๆ กลิ่นปลาบนร่างของนาง หลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็ตอบอย่างไม่ลังเล “เลี้ยงไว้ก่อนเถิด เก็บไว้เป็นเสบียงสำรอง เมื่อใดไม่มีอะไรกินค่อยมาพิจารณา”
จิ่นเหวินได้ยินแล้วรีบสาบานต่อฟ้าว่าถ้ายังมีนางอยู่วันหนึ่ง ข้าก็จะไม่ขาดเนื้อปลาแม้แต่มื้อเดียว
ชั่วขณะนั้นข้าซาบซึ้งใจจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ กระโจนเข้าไปหอมแก้มนางหลายครั้ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.