บทที่สิบสี่ สงครามแย่งชิงเตียง
“ปลา ปลา ปลา จะย่างจะต้มจะทอดก็ล้วนอร่อย”
ดูเหมือนข้าก็แต่งบทกวีได้เหมือนกัน ข้าลูบท้องด้วยความพอใจ ศีรษะดูเหมือนจะไม่ร้อนแล้ว และไม่รู้สึกทรมานอีก ข้าคลานขึ้นไปบนเตียงหลังใหญ่ที่เทพปี้ชิงจัดเตรียมให้ข้า เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนนั้น แต่ยังรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง คล้ายไม่สบายตัวมากพอ
มีเสียงค่อนข้างตื่นเต้นดังขึ้นมาที่นอกประตู “บ่าวหวาวา รับคำสั่งมาปรนนิบัติดูแลการอยู่การกินของท่านเหมียวเหมียว”
ดูเหมือนกำลังเรียกชื่อข้า ข้าชันหูขึ้นกระดิกๆ กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าเด็กสาวที่อยู่นอกประตูหลบไม่ทัน ถูกข้าชนล้มกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ยังไม่ทันลุกขึ้นก็รีบคุกเข่าพูดตัวสั่นงันงก “หวาวาเสียมารยาท…ท่านเหมียวเหมียวได้โปรดอภัย…”
ข้ายอบตัวลง พิจารณาใบหน้าของนางอย่างละเอียด รู้สึกว่าดวงตาสีม่วงกับเส้นผมยาวสีม่วงทั้งศีรษะเช่นนี้เหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน หลังจากนึกอยู่เป็นนาน พลันตระหนักรู้ด้วยความประหลาดใจ นางก็คือเด็กสาวที่กลิ้งตกจากบันไดเมื่อวันก่อนมิใช่หรือ
ข้าจึงดึงนางมาถามอย่างสนิทสนม “เจ้าก็ชอบเกลือกกลิ้งหรือ”
“หา!” เด็กสาวเบิกตากว้างมองข้า ใบหน้าดูงุนงง
“ข้าชอบเกลือกกลิ้งมาก!” ข้ามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจ เสนอขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ “วันหน้าพวกเราสองคนมาเกลือกกลิ้งด้วยกัน แต่ต้องเลือกวันที่แดดดี กลิ้งแล้วจะได้ผึ่งพุงให้อบอุ่น สบายตัวยิ่งนัก”
“ไม่ดี เอ่อ…ได้…” หลังจากเด็กสาวสั่นศีรษะอย่างเงอะงะก็ได้สติรีบผงกศีรษะ กำมือพูดเสียงดัง “ขอเพียงเป็นคำสั่งของท่านเหมียวเหมียว! บ่าวจะปฏิบัติตามทุกอย่าง!”
“เจ้าชื่อบ่าวหรือ” ข้ามองนางอย่างฉงนสนเท่ห์ “ชื่อประหลาดยิ่ง”
“บ่าวชื่อหวาวา…”
ข้ายังคงฟังไม่ออกอะไรคือ ‘บ่าว’ จึงถามอีกครั้ง
ในที่สุดนางก็ตอบด้วยท่าทางที่ดูอับจนปัญญา “ข้าชื่อหวาวา”
ช่างท่ามากเหลือเกิน พูดเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว ข้ามองหวาวาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเห็นใจ แล้วกล่าวปลอบโยน “ไม่มีวิชาความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แยกแยะคำว่า ‘ข้า’ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เมื่อก่อนข้าก็อ่านหนังสือผิดอยู่เสมอ ต่อมาอิ๋นจื่อพยายามสอนข้าจึงพออ่านได้บ้าง”
สีหน้าของหวาวาเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่ง นางผงกศีรษะอย่างแข็งทื่อ จากนั้นก็เข้าไปในห้อง เริ่มเก็บกวาด มือไม้คล่องแคล่ว เพียงแต่ประเดี๋ยวก็ชนถูกผลไม้ไม่ก็ชนม้านั่งอยู่เสมอ
ในใจข้ารู้สึกภาคภูมิใจ เมื่อก่อนแต่ละวันล้วนแต่เป็นอิ๋นจื่ออบรมสั่งสอนข้า วันนี้ในที่สุดก็ถึงคราวข้าอบรมสั่งสอนผู้อื่นบ้างแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหวาวากวาดเก็บห้องไปก็บ่นร่ำไรด้วยท่าทางเสียใจ “เหตุใดข้าจึงโชคร้ายเช่นนี้…เพราะเหตุใดข้าจึงจับไม้ได้อันที่แย่ที่สุดอยู่เสมอ…ฮือๆ…”
ตกค่ำ จิ่นเหวินทำตามสัญญา ส่งอาหารหลายอย่างที่ทำจากปลามาให้ข้ากิน ส่วนเทพปี้ชิงกลับไม่เห็นเงาร่าง ข้าคิดว่าเขาคงแอบไปนอนเกียจคร้านกระมัง
พูดถึงเรื่องนอน ข้ารู้สึกกลัดกลุ้มรำคาญใจต่อเตียงที่ข้านอนอยู่อย่างมาก มันเล็กกว่าเตียงของเทพปี้ชิง ทั้งยังแข็งกว่า ไม่มีกลิ่นหอมเช่นเตียงของเขา สรุปก็คือไม่สบายตัว! นอนไม่หลับ!
ข้าพลิกตัวกลิ้งจากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก แล้วก็พลิกตัวกลิ้งจากด้านตะวันตกไปด้านตะวันออก หลังจากหวาวาเปลี่ยนให้ข้ามาสวมชุดกระโปรงสีขาวผ้าโปร่งบางกึ่งโปร่งแสงซึ่งบอกว่าเป็นชุดนอนแล้ว นางก็ฟุบตัวนอนอยู่ตรงแท่นเหยียบข้างเตียงหลับจนน้ำลายไหลยืด ครั้นแล้วข้าก็กลอกดวงตาไปมา เกิดความคิดที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ข้าจะแอบเข้าไปนอนบนเตียงของเทพปี้ชิง!
ความคิดเพิ่งผุดขึ้น ข้าก็กระโดดลงจากเตียงทันที และไม่ได้ไตร่ตรองว่าจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไร วิ่งไปยังห้องของเทพปี้ชิงทั้งชุดนอนเช่นนั้น
ดีที่ห้องเขาอยู่ไม่ไกล ข้ากระโดดจากกลางอากาศเข้าไปในกำแพงที่โอบล้อมอยู่ อาศัยต้นไม้ดอกไม้ต้นหญ้าบดบังตัวจากเวรยามรักษาการณ์ ยังไม่ทันเข้าไปในลานที่พักอาศัยของเทพปี้ชิง ก็เห็นบริเวณศาลารับลมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานบ้านสักเท่าใด จิ่นเหวินในชุดสีแดงเนื้อผ้าบางเบากำลังเดินเตร่ไปมาภายใต้แสงจันทร์และมวลหมู่บุปผา ประเดี๋ยวก็มองไปด้านในลาน ไม่รู้ทำอะไร
ข้าเดินเข้าไปตบๆ ไหล่นางด้วยความอยากรู้ จิ่นเหวินหมุนตัวมาอย่างงดงาม พอเห็นหน้าข้าก็ตกใจเกือบตาย คุกเข่าลงกับพื้นมือไม้อ่อน “ท่านเหมียวเหมียว ปลาของวันนี้ส่งไปให้แล้ว หากไม่พอ บ่าวจะไปทำเพิ่มให้เจ้าค่ะ”
“กินอิ่มแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำเถิด” ข้าพลันพบว่าสายตาของนางระยิบระยับแพรวพราวไม่อยู่นิ่ง คล้ายกำลังคิดอะไร จึงพยายามคาดเดาดู “หรือว่าเจ้าก็จะมายึดครองเตียงของเทพปี้ชิง”
สีหน้าของจิ่นเหวินซีดเผือดลงทันที นางมองข้าพลางพูดเสียงสั่น “ก็ใช่ หรือว่าท่าน…”
“ข้าจะไปนอนที่เตียงของเขา” ข้ารีบบอก
สีหน้าของจิ่นเหวินเขียวคล้ำแล้ว “ท่านไม่ใช่เป็นลูกศิษย์ของเขาหรอกหรือ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เพราะอะไรจึงไม่ได้” ข้าย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ แต่เห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้วก็ใจอ่อน บอกอย่างใจกว้าง “เอาล่ะๆ ข้าจะแบ่งเตียงให้เจ้าครึ่งหนึ่ง นอนด้วยกันเถิด”
สีหน้าของจิ่นเหวินกลายเป็นสีดำแล้ว สายตาของนางเบนจากใบหน้าของข้าไปที่เสื้อผ้าของข้า จากนั้นก็มองเสื้อผ้าของตนเอง เมียงมองหน้าอกของข้า แล้วก็มองหน้าอกของตนเอง จู่ๆ ก็วิ่งจากไปทั้งน้ำตา
หูที่เฉียบไวของข้าได้ยินนางที่วิ่งไปได้ระยะหนึ่งแล้วสะอึกสะอื้นพูดออกมาว่า “ข้าแพ้แล้ว”
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ‘เสบียงสำรอง’ ผู้นี้คิดอะไรอยู่ ข้าไหวไหล่อย่างอับจนปัญญา ทำตามแผนการใหญ่แอบขึ้นเตียงต่อไป
ขยับเข้าไปใกล้ห้องพักของเทพปี้ชิงอย่างระมัดระวัง ข้างในมีแต่ความมืด โคมไฟดับหมดแล้ว และเสียงลมหายใจของเขาก็ฟังดูสม่ำเสมอ คล้ายเข้านอนไปนานแล้ว
ความมืดไม่อาจหยุดยั้งการมองเห็นตอนกลางคืนของแมวได้ ข้าค่อยๆ ย่องเข้าไป เพ่งพิศเตียงหลังใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มลงมือที่ปลายเตียงก่อน
ข้าค่อยๆ เลิกผ้าห่มขึ้นทีละน้อย จากนั้นก็มุดเข้าไป ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปถึงตรงกลาง ขดร่างเป็นก้อนกลมนอนอิงแอบอยู่ข้างกายเทพปี้ชิง
ร่างของเทพปี้ชิงดูเหมือนจะสั่นสะท้านเล็กน้อย ผิวของเขาเย็นมาก เย็นยะเยือกคล้ายไม่มีความร้อนในร่างกายสักเท่าไร ข้าอดที่จะกุมมือเขาเอาไว้ไม่ได้ คิดจะถ่ายเทความอบอุ่นในร่างของตนไปให้เขาสักเล็กน้อย
ปรับเปลี่ยนท่านอนอยู่ในผ้าห่มอยู่หลายท่า ในที่สุดก็ขยับจนได้ตำแหน่งที่สบายที่สุด ข้าหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ เตรียมจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ผ้าห่มที่อยู่บนร่างจะถูกดึงออก ความหนาวเย็นพลันไหลทะลักเข้ามา เทพปี้ชิงคว้าข้อมือข้า ถามอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“เมี้ยว” ข้าบิดร่างเล็กน้อย พยายามจะดิ้นให้หลุดจากการบีบรัดข้อมือของเขาแล้วชี้แจง “ข้ามานอน”
“ไยไม่กลับไปห้องของตน! มาที่นี่ด้วยเหตุใด!”
ข้าบอกอย่างน่าสงสาร “เตียงของข้าไม่สบายเหมือนเตียงท่าน…”
สีหน้าของเทพปี้ชิงเปลี่ยนเป็นไม่ชวนมอง มือที่กุมข้อมือข้าไว้ก็ยิ่งรัดแน่น “ด้วยเหตุผลนี้ ถึงกับทำให้เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ปีนขึ้นเตียงบุรุษรึ!”
“เจ็บ! เจ็บ!” ข้อมือดูเหมือนจะเขียวช้ำแล้ว ข้าส่งเสียงร้องขึ้นมาหลายคำ ในที่สุดก็เข้าใจ ปัญหาเสื้อผ้าเป็นเหตุอีกแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสาเหตุอยู่ตรงที่ใด ได้แต่มองเขาด้วยความคับแค้นใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “ไม่ใช่ว่าขอเพียงยามกลายร่างเป็นมนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าก็พอแล้วมิใช่หรือ…หรือไม่ข้าก็กลายร่างกลับไปเป็นแมว”
พูดยังไม่ขาดคำดี ข้าก็หมุนตัวอย่างคล่องแคล่ว ควันบางเบาพวยพุ่งขึ้น มือของเทพปี้ชิงมีแต่ความว่างเปล่า ข้ากลับคืนสู่ร่างแมวตัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม หลังจากคลอเคลียกับร่างของเขาอย่างประจบแล้วก็มุดเข้าไปในโปงผ้าห่มต่อ
เสียงลมหายใจของเทพปี้ชิงฟังดูหอบหนัก คล้ายเดือดดาลสุดขีด ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เขามีอะไรต้องโกรธเคือง ก็แค่เสื้อผ้าชุดหนึ่ง คราวหน้าข้าไม่สวมก็หมดเรื่อง ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
เพิ่งจะหลับตาเตรียมเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ในที่สุดเทพปี้ชิงก็กระโดดลงจากเตียงพลางแผดเสียงคำรามไปที่นอกประตู “เข้ามา! ย้ายเตียงหลังนี้ไปที่ห้องของเหมียวเหมียว!”
มีเสียงฝีเท้าดังสับสนขึ้นมาที่นอกประตูในทันที เตียงที่ข้านอนอยู่เริ่มโคลงเคลง เขาส่งเสียงคำรามขึ้นที่ด้านหลังอีกครั้ง “เอาเตียงที่ห้องของนางย้ายมาไว้ที่นี่!”
ข้า…อยากได้เตียงทั้งสองหลังเลยได้หรือไม่เล่า
บทที่สิบห้า อาละวาดในวัง
ข้าวในหม้อคนอื่นอร่อยกว่า อาหารในชามของคนอื่นก็หอมกว่า เตียงของคนอื่นก็ย่อมนอนสบายกว่า…
หลังจากเทพปี้ชิงยกเตียงของเขาให้ข้านอนอย่างใจกว้าง จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าความจริงเตียงหลังเดิมของข้าก็ไม่เลว ฉะนั้นพอตกกลางดึกข้าก็ออกมาจากห้องอีกครั้ง คิดจะไปนอนกับเขา
ครั้งนี้ข้าเรียนรู้ที่จะฉลาดแล้ว เปลี่ยนร่างเป็นแมวตั้งแต่แรก ตัดปัญหาเรื่องเสื้อผ้าไปเสีย ทว่าเทพปี้ชิงยังคงไม่พอใจอย่างมาก…เขาหิ้วคอข้าโยนออกนอกประตูแล้วให้คนมาเฝ้าระวังรักษาการณ์มากขึ้น ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าประตู
ไม่มีประตูยังมีหน้าต่าง! ข้าปลุกเร้าจิตใจที่มุ่งมั่นแข็งแกร่ง ไม่ยอมศิโรราบแม้จะมีอุปสรรคและความยากลำบากเพียงใด พยายามปีนเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้ยังไม่ทันเข้าใกล้เตียงก็ถูกเขาพบเห็นแล้ว ข้าถูกหิ้วตัวโยนออกมานอกหน้าต่าง
ครั้งที่สาม ข้าเจาะรูที่ใต้หน้าต่างเข้าไปเสียเลย คิดไม่ถึงว่าทำเช่นนี้ก็ยังถูกจับได้และโยนออกมาอีก ทั้งยังโยนลงไปในสระน้ำ จิ่นเหวินที่อยู่ไม่ไกลเห็นแล้วแอบหัวเราะไม่หยุด
ถูกจับโยนออกมาหลายครั้งหลายหน หลายต่อหลายวัน ก้นก็เจ็บ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงโกรธแล้ว…
เวลาแมวโกรธจะทำอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาละวาดทำลายข้าวของ ข้าตัดสินใจใช้กำลังอันป่าเถื่อนมาทำให้คนสารเลวผู้นั้นได้ทบทวนการกระทำของตน!
วันนี้เทพปี้ชิงออกจากวังไปแต่เช้า ไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด
ข้าฉวยโอกาสนี้วิ่งไปที่ข้างต้นอู๋ถงในลานแล้วฝนเล็บอย่างบ้าคลั่งอยู่บนนั้น ฝนได้ไม่กี่ทีต้นไม้ทั้งต้นก็หักเป็นสองท่อนแล้วโค่นลงมา ข้าวิ่งต่อไปที่ข้างสระน้ำ ยื่นมือลงไปช้อน ถอนดอกบัว ใบบัวขึ้นมาจนเกลี้ยง แล้วก็ไปที่สวนดอกไม้ ผลักต้นไม้ที่มีดอกอยู่ทุกต้นให้ล้มระเนระนาด ฉีกพรมปูพื้นขาดวิ่น โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดกลายเป็นที่ฝนเล็บ แม้แต่เรือนต่างๆ ก็ถูกข้าพังไปหลายหลัง
ชั่วเวลาอันสั้นสถานการณ์แปรเปลี่ยน สาวใช้และเด็กรับใช้ทุกคนพอเห็นข้ามาก็กอดศีรษะวิ่งหนี หนีเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย มีเพียงสาวใช้ที่ชื่อหวาวาเดินหน้าเศร้าตามอยู่ข้างหลังข้าพลางร้องบอกไม่หยุดปาก “ท่านเหมียวเหมียว ท่านยั้งมือสักหน่อยเถิด แจกันใบนั้นกับพวกโต๊ะเก้าอี้ตัวนั้นล้ำค่ายิ่ง! ท่านเทพกลับมาจะต้องโกรธมากแน่”
เสี่ยวหลินกลับเดินเข้ามาตบบ่าของนางแล้วบอก “ไม่ต้องสนใจนาง เรื่องนี้รอท่านเทพกลับมาย่อมจัดการเอง ปล่อยนางอาละวาดไปเถิด”
ข้าไม่สนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไร เพียงทุบทำลายข้าวของต่อไป กระทั่งเหนื่อยแล้วจึงหยุดมือปีนขึ้นไปผึ่งแดดบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถือโอกาสเบิกตามองไปยังที่ไกล รอเทพปี้ชิงกลับมาด้วยความกระวนกระวายใจ อยากดูว่าเขาจะโกรธหรือไม่
ตอนดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน ในที่สุดเขาก็ขี่กิเลนกลับมา ข้ารีบเข้าไปหลบอยู่กลางกิ่งไม้ใบไม้ มองเขาอย่างระแวดระวัง กลับพบว่าในดวงตาของเขามีแววอ่อนล้าและกลัดกลุ้มจางๆ
เขากำลังกลัดกลุ้มเรื่องอะไร
ข้ายังไม่ได้เริ่มใคร่ครวญถึงปัญหานี้ เมื่อเขาเข้ามาในวัง เห็นข้าวของเรี่ยราดระเกะระกะเต็มพื้น แววอ่อนล้าจางๆ ในดวงตาก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงโทสะ อีกทั้งยิ่งนานยิ่งลุกโชน คล้ายพร้อมจะไหม้ลามได้ทุกเมื่อ
ข้าพลันรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงรีบขดร่างของตน ไม่อยากถูกพบเจอ
เสี่ยวหลินเดินเข้ามา รายงานสิ่งที่ข้าทำลงไปทั้งหมดอย่างละเอียด เทพปี้ชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ถามขึ้น “เวลานี้นางอยู่ที่ใด”
ข้าเกาะต้นไม้ไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น มองเสี่ยวหลินที่สั่นศีรษะด้วยความลำบากใจพลางภาวนาอย่าให้ตนเองถูกจับได้เป็นอันขาด
เสียดายเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
เทพปี้ชิงเพียงหาดูทั่วๆ รอบหนึ่งก็พบที่ที่ข้าซ่อนตัวอยู่ เขาพูดกับข้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ลงมา”
“ไม่ลง!” ข้าสั่นศีรษะ
“ลงมา!” เขาสั่งอีก
“ท่านจะตีข้า!” ข้าสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมขยับตัวเด็ดขาด
เขาย่นหัวคิ้วกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าทำเรื่องเช่นนี้จะต้องถูกข้าตี แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงยังทำ”
“เพราะ…เพราะ…” ข้าคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตะโกนออกไป “เพราะท่านไม่ให้ข้านอนด้วย ข้าโกรธแล้ว!”
ข้าตะโกนเสียงดังมาก ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันเงียบกริบไปทันที เป็นนานก็ไม่มีใครพูดอะไร ผ่านไปพักใหญ่จู่ๆ ก็มีคนเริ่มปิดปากแอบหัวเราะ เสี่ยวหลินส่งเสียงกระแอมไม่หยุดเพื่อยับยั้งเสียงหัวเราะของพวกเขา ส่วนสีหน้าท่าทางของเทพปี้ชิงกลับแข็งค้างราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว อีกทั้งบนใบหน้าก็เริ่มมีริ้วแดงผุดขึ้นจางๆ
“เพียง…เพียงเพราะเหตุผลข้อนี้?” เขาพูดตะกุกตะกัก
ข้าพยักหน้าอย่างจริงจังที่สุด
เทพปี้ชิงกวาดสายตาเจือจิตสังหารไปรอบด้าน ทุกคนต่างตกใจกลัวและหยุดปากทันที ไม่กล้าหัวเราะอีก
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.