บทที่สิบหก ถูกกลั่นแกล้งแล้ว
จากนั้นเขาก็ทะยานร่างขึ้นมาบนต้นไม้ จับตัวข้าไว้แล้วหิ้วลงไป
“เมี้ยว! เมี้ยว!” ข้าทางหนึ่งดิ้นรน ทางหนึ่งก็ร้องคร่ำครวญ
เทพปี้ชิงกลับกล่าวกับคนที่อยู่รอบข้างด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “พวกเจ้าถอยไปให้หมด!”
ผู้คนแยกย้ายกันไปทันที พริบตาเดียวก็หายไปจนหมด เหลือเพียงเสี่ยวหลินที่ยังยืนอยู่กับที่ไม่ได้เดินจากไป เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ค้อมเอวลงแล้วกล่าวกับเทพปี้ชิง “โปรดเห็นแก่ที่เหมียวเหมียวนิสัยซื่อบริสุทธิ์ ความคิดไม่ต่างจากเด็ก ลงโทษสถานเบาด้วยเถิดขอรับ”
“เจ้ากำลังขอความเมตตาแทนนางรึ” เทพปี้ชิงมองเขา พลันแค่นเสียงฮึออกมา “ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ จะให้อภัยง่ายๆ ได้อย่างไร!”
“ท่านเทพได้โปรดไตร่ตรอง” เสี่ยวหลินสีหน้าไร้ความหวาดกลัว
ข้าเห็นเสี่ยวหลินคล้ายกำลังวิงวอนขอความเมตตาแทนข้าก็ดีใจมาก ที่แท้เขาจึงจะเป็นคนดีที่แท้จริง!!
เทพปี้ชิงหาได้ละเว้นข้าเพราะการวิงวอนขอร้องของเสี่ยวหลิน เขาเพียงโบกมือให้เสี่ยวหลินถอยไป จากนั้นก็ลากข้าเดินไปทางด้านหลังภูเขา หลังเขามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง กว้างยาวราวแปดฉื่อ* ข้างในไม่มีอะไรเลย โกโรโกโสอย่างที่สุด
“ข้าตามใจเจ้าเกินไปแล้ว” เขาโยนข้าเข้าไปอย่างไร้ความปรานี บอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “อยู่ในนี้สามวันทบทวนตนเองให้ดีแล้วค่อยออกมา! ไม่อนุญาตให้กินอาหาร!”
ข้าได้ยินก็ร้อนใจแล้ว เปรียบกับการไม่ได้กินอาหาร ข้ายอมให้ถูกตียังดีเสียกว่า ครั้นแล้วก็รีบกระโจนไปที่ปากถ้ำ เตรียมจะกระโดดหนี คิดไม่ถึงว่าเทพปี้ชิงยกมือขึ้นท่องอาคมอะไรก็ไม่รู้ออกมาหลายประโยค ทั่วทั้งถ้ำถูกแสงโชติช่วงสีฟ้าจางขุมหนึ่งแผ่คลุมไว้ ทำให้คนไม่อาจสัมผัสแตะต้องหรือเข้าใกล้ปากถ้ำได้
ข้ารีบร้อง “เมี้ยวๆ” อย่างน่าสงสารขอให้เขายกโทษให้ คิดไม่ถึงว่าเขากลับใจแข็งดุจหินไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว หมุนตัวเดินจากไปทันที
นี่จะทำเช่นไรดี ข้ายื่นนิ้วไปแตะแสงสีฟ้าเบาๆ พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงขุมหนึ่ง คล้ายมีกระแสไฟเสียดแทงเข้ามาที่หัวใจ และคล้ายมีเปลวไฟแผดเผาไปทั่วร่าง เจ็บจนยากจะทนไหว
“เมี้ยว ข้าจะออกไป!” ข้าส่งเสียงร้องตะโกนไม่หยุด “ปล่อยข้าออกไป!”
ทว่าร้องตะโกนตั้งแต่เย็นจนค่ำมืด ร้องจนเสียงแหบแห้ง ลำคอแห้งผากก็ไม่มีใครสนใจข้า…ยิ่งไม่มีคนมาเยี่ยมข้า หรือเอาของกินมาให้ข้า
ข้าหิวแล้ว…
ท้องร้องโครกคราก แมวป่าที่แต่ไรมามีอิสระจะทนต่อความทุกข์ทรมานจากการถูกบังคับกักขังเช่นนี้ได้อย่างไร
ครั้นแล้วข้าก็ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญโดยไม่ยอมกลับหลัง ใช้ร่างทั้งร่างพุ่งเข้าชนแสงสีฟ้าที่ปากถ้ำเต็มแรง พยายามจะชนสิ่งกีดขวางให้แตกออก ออกไปจากถ้ำให้ได้
ปราการแสงสีฟ้ากระแทกข้ากลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าข้ากลับไม่ยอมล้มเลิก ผิวหนังเริ่มถูกเผาไหม้เป็นแผล มีโลหิตไหลซิบๆ ร่างเริ่มชา ค่อยๆ สูญเสียความรู้สึก ในที่สุดข้าก็ทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ไหว ถูกซัดกลับจนกลายร่างกลับเป็นแมว
“เมี้ยว…” ร่างกายเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกไฟเผา ข้ามองดวงดาวเต็มท้องฟ้าที่ด้านนอก ร่างฟุบอยู่กับพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ได้แต่ส่งเสียงร้องแหบแห้งออกมาคำหนึ่ง เฝ้ารอว่าจะมีคนมาช่วยข้า
บางทีข้าอาจกำลังจะตายแล้ว
ท่ามกลางความเลอะเลือน มีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังขึ้นมาจากด้านนอก เทพปี้ชิงวิ่งมา พอเห็นสภาพของข้า เขาเหมือนจะตื่นตระหนกตกใจสุดขีด รีบเปิดปราการแสงสีฟ้าออก อุ้มข้าขึ้นมาอย่างเบามือพลางกล่าวตำหนิ “เจ้า…เหตุใดเจ้าจึงโง่เพียงนี้ การดึงดันจะฝ่าค่ายกลกักปีศาจจะทำให้เจ้าเอาชีวิตไปทิ้ง!”
“เหมียวเหมียว…ไม่อยากท้องหิว” เสียงของข้าเบายิ่ง
“แต่เจ้าก็ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้!” เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและสับสนว้าวุ่น “ข้าเพียงคิดจะขังเจ้าสักวันสองวัน ให้บทเรียนเจ้า จะได้เติบโตขึ้น”
“ข้าไม่อยากถูกขัง…”
“เจ้าแมวโง่ตัวนี้!” เสียงคำรามลั่นของเทพปี้ชิงดังวนอยู่ข้างกาย
“ข้าจะกลับภูเขาลั่วอิง…” ข้าเอ่ยด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจ
เทพปี้ชิงพลันนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดขึ้นเบาๆ “เจ้ากลับไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
เพราะเหตุใด ข้าตกตะลึงยิ่ง
ข้ามองหน้าเทพปี้ชิงอย่างงงงัน ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด
เขากลับไม่ได้อธิบายต่อ เพียงอุ้มข้าขึ้นหลังกิเลนแล้วห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว ระกิ่งหลิวผ่านพุ่มไม้ไปตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงที่พักอาศัยของโม่หลินหมอที่น่ากลัวผู้นั้นอีกครั้ง
มองสถานที่น่ากลัวอันคุ้นเคยแห่งนี้ ข้าตกใจจนขนทั่วร่างชี้ชันขึ้นมา ทว่าร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บกลับไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน จำต้องปล่อยให้โม่หลินเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม จับข้ากดลงบนโต๊ะแล้วใช้เชือกมัดไว้ จากนั้นก็ลูบคลำตรงโน้นจับๆ ตรงนี้
“อ่า ขนที่ขาแมวน้อยทั้งขาวทั้งนุ่มยิ่ง ข้าจะเกาพุงให้เจ้า แผ่นเนื้อตรงอุ้งเท้าก็น่ารักยิ่ง…” เขายิ้มโง่งมพลางลูบคลำไปทั่วร่างข้าอย่างหยาบคาย “เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บอีกแล้วเล่า ใช่ถูกข่มเหงรังแกหรือไม่ จะลองพิจารณาทิ้งเทพปี้ชิงมาติดตามข้าดีหรือไม่”
“โม่หลิน! ทำการรักษาของเจ้าไป อย่าเอาแต่พูดร่ำไร!” เทพปี้ชิงตำหนิด้วยท่าทางไม่พอใจ “อย่ายั่วยุข้าให้ทำลายเรือนหลังนี้ของเจ้าไปด้วย”
“ดุร้ายยิ่ง ดุร้ายยิ่ง แมวน้อย เจ้าพิจารณาดูสักหน่อยเถิด อ้อมอกของอาเปิดกว้างสำหรับเจ้าตลอดเวลา!” โม่หลินไม่กลัวการข่มขู่ของเทพปี้ชิงแม้แต่น้อย ยังคงทำหน้าทะเล้นคล้ายพวกวิปริตที่ใช้อาหารกระป๋องมาหลอกล่อแมวไปขาย
ข้าที่ถูกมัดอยู่บนโต๊ะเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังถึงความแตกต่างของระดับความน่ากลัวระหว่างเขากับเทพปี้ชิง เมื่อเห็นเขาดึงเข็มเงินออกมาจากห่ออีกครั้ง ก็สั่นศีรษะอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ปฏิเสธ ‘ความหวังดี’ ของเขาทันที
เทพปี้ชิงที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อาจเพราะอยากตอบโต้ข้าที่ปฏิเสธ ชั่วประเดี๋ยวเดียวข้าก็ถูกปักจนกลายเป็นเม่น เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป โม่หลินจึงดึงเข็มเงินออก ตัดขนที่ไหม้เกรียมบนร่างข้าออกไป หยิบผ้าโปร่งบางสีขาวออกมาจำนวนหนึ่งเริ่มพันบาดแผลบนร่างกายให้ข้า เขาพันร่างข้าจนกลายเป็นศพแมวพันผ้าขาวตัวหนึ่งทั้งที่ยังมีชีวิต จากนั้นนำผ้ามาผูกเป็นปมรูปผีเสื้อใหญ่ๆ บนศีรษะข้าอันหนึ่งแล้วผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ “ช่วงหลายวันนี้อย่าให้นางเคลื่อนไหวมากนักก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
จากนั้นเทพปี้ชิงก็แก้เชือกออก หลังจากข้าได้รับอิสระอีกครั้งก็เหยียดอุ้งเท้าเหยียดขา ขณะคิดจะก้มไปเลียบาดแผลที่ขาหลังของตน กลับถูกผ้าพันแผลดึงรั้งจนยากจะหมุนตัวได้ อดจะส่งเสียงร้อง “เมี้ยวๆ” ด้วยความไม่สบายตัวไม่ได้
“อย่าให้นางเลียแผลตนเอง” โม่หลินยับยั้งการฉีกผ้าพันแผลของข้า หลังจากเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ไปหาแผ่นเหล็กบางมาจากที่ใดแผ่นหนึ่ง ขัดเงาแล้วดัดโค้งเป็นรูปทรงกรวยสวมไว้ที่คอของข้า ห่อหุ้มศีรษะของข้าไว้ข้างใน มองดูแล้วน่าขำยิ่ง
“ข้าไม่เอาสิ่งนี้!” ข้าเอ่ยปากประท้วง “น่ารำคาญ!”
“แล้วเจ้าทำได้หรือไม่ที่จะไม่แตะต้องบาดแผล” เทพปี้ชิงมองข้าด้วยท่าทางอยากจะหัวเราะ แล้วใช้นิ้วมือแตะๆ ศีรษะที่มีผ้าพันแผลอยู่เต็มไปหมดของข้าพลางเคาะๆ แผ่นเหล็กที่น่าขำนั่น ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหมุนตัวไปส่งเสียงหัวเราะออกมา
ข้าพลันรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเหยียบย่ำอย่างที่สุด…
น่าโมโหยิ่งนัก! พึงรู้ว่าแมวฆ่าได้หยามไม่ได้! ข้ายืนขึ้นมาเตรียมจะกลายร่างเป็นมนุษย์ จากนั้นก็ใช้กรงเล็บเพิ่มหนวดบนใบหน้าของโม่หลินตัวการผู้ก่อเหตุที่หัวเราะจนกลิ้งไปทั่วพื้นตรงหน้าผู้นี้สักหลายรอย
คิดไม่ถึงว่าเทพปี้ชิงจะจี้จุดตำแหน่งหนึ่งบนร่างของข้า พลังอาคมประหลาดขุมหนึ่งไหลทะลักเข้ามา ข้าอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง ฟุบลงไปอีกครั้งทันที ไม่อาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้
ข้าจ้องบุรุษสารเลวสองคนตรงหน้าที่กลั่นแกล้งแมวน้อยจิตใจดีที่ตกอยู่ในกำมือพวกเขาด้วยความแค้นใจ ข้าโกรธจนแทบพูดอะไรไม่ออก เห็นชัดว่าเทพปี้ชิงมองข้ามเพลิงโทสะในดวงตาของข้า เขาอุ้มข้าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เอ่ยลาโม่หลินแล้วจากไปทันที
โม่หลินมองเงาร่างของพวกเราที่เดินจากไป ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยน้ำตาพลางโบกๆ มือ มองดูเหมือนเศร้าใจ แต่ข้ากล้ารับรองว่าน้ำตานั่นหลั่งออกมาจากการหัวเราะแน่นอน!
คนสองคนที่น่าชิงชังยิ่งกว่าสุนัข! ข้าจะต้องแก้แค้น! นี่เป็นเสียงจากหัวใจเพียงหนึ่งเดียวของข้าขณะอยู่ในกรวยเหล็กและชุดแมวพันผ้า
เมื่อกลับมาถึง สาวใช้กับเด็กรับใช้ทุกคนพอเห็นข้าก็รีบปิดปากแล้วถอยออกไป เหลือไม่กี่คนที่ถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้วจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้างข่มกลั้นจนหน้าแดง ลมหายใจถี่กระชั้น คล้ายกำลังสะกดกลั้นอะไรบางอย่างด้วยความทุกข์ทรมานยิ่ง
เทพปี้ชิงไม่ได้พาข้ากลับไปที่ห้องของตนเอง แต่พามายังห้องพักของเขา เอาข้าวางลงบนเตียงหลังใหญ่ที่อ่อนนุ่มพลางสั่งกำชับ “หลายวันนี้ข้าต้องเฝ้าดูเจ้าไว้ ห้ามกระโดดโลดเต้นเป็นอันขาด บาดแผลจะฉีกขาดได้”
ข้าไม่อยากสนใจคนสารเลวผู้นี้ จึงได้แต่ขดตัวอยู่ตรงมุมผ้าห่มด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจ พยายามเลียขนอีกครั้ง แต่กลับถูกที่สวมศีรษะกั้นขวางไปเสียทุกครั้ง ไม่อาจบรรลุจุดมุ่งหมายได้
ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานมาก
เทพปี้ชิงเห็นแล้วท่าทีก็อ่อนลงมา เขาเดินมาที่ข้างกายข้า ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ทนเอาหน่อยเถิด อีกไม่กี่วันก็ผ่านไปแล้ว”
“คนที่ต้องอดทนไม่ใช่ท่าน” ข้าบ่นว่าเสียงเบา
“ข้าก็เคยอดทนมาก่อน” เทพปี้ชิงได้ยินคำบ่น เขาถอดรองเท้าก่อนนั่งลงบนเตียง เอนพิงหมอน แล้วดึงข้าเข้ามาเบาๆ วางข้าลงข้างกาย “ต่อให้เจ็บเพียงใดก็ต้องทนให้ผ่านไป”
“เมื่อไร เจ็บมากถึงเพียงใด” ข้าเบิกตาโตถาม ในใจออกจะไม่เชื่อ คนที่องอาจห้าวหาญเช่นเขาก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
“นานมาก จำไม่ได้แล้ว” เทพปี้ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ตอนนั้นกระดูกทั่วร่างของข้าถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เส้นเอ็นก็ถูกดึงออกมา แทบจะขยับเนื้อตัวไม่ได้”
“โกหกแมว! บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้นก็ต้องตายไปนานแล้ว!”
เขากลับยิ้มน้อยๆ “ตอนนั้นมีคนบอกข้า พระบรมศาสดาแห่งชมพูทวีปมีอิทธิฤทธิ์ที่หลุดพ้นจากสรรพสิ่ง สามารถรักษาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทุกอย่าง ดังนั้นข้าจึงเพียรพยายามคลานไปทางตะวันตกทีละชุ่น*ๆ แต่คลานอยู่ห้าร้อยปีเต็ม กล้ามเนื้อของข้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง เรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องใช้กระดูกและเส้นเอ็น แต่กลับไม่พบพระบรมศาสดา”
ข้าฟังเรื่องราวนี้จนเคลิบเคลิ้ม อดถามขึ้นไม่ได้ “คนที่โกหกท่านผู้นั้น ท่านได้หาตัวเขามาแก้แค้นหรือไม่”
“ต่อมาภายหลังข้าจึงรู้ว่าคนผู้นั้นก็คือพระบรมศาสดา หลังจากเขาเห็นข้าใช้ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของตนยืนขึ้นมา จึงถ่ายทอดลมปราณเซียนให้ข้าคำหนึ่ง ช่วยข้าต่อกระดูกกลับคืน บำเพ็ญเพียรจนมีร่างเป็นมนุษย์ กลายเป็นเทพที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลแดนปีศาจ ข้ารับหน้าที่นี้มาก็หลายพันปี”
ข้ายังคงไม่เชื่อ กดๆ บีบๆ ไปบนร่างเขาหลายครั้งเพื่อตรวจสอบดู คาดคิดไม่ถึง ข้าพบว่าเขาไม่มีเส้นเอ็นอยู่จริง ในใจตกตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดำยามอยู่ในที่มืดของเขา พยายามค้นหาสิ่งจอมปลอมในนั้น
ทว่าไม่มี ในดวงตาของเขาใสกระจ่าง ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้ในใจของข้ารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเป็นระลอกริ้ว ข้าปีนขึ้นไปบนร่างของเขา ย่ำผ่านหน้าอก ก้มลงไปเลียใบหน้าของเขา “เทพปี้ชิงไม่เจ็บ…เหมียวเหมียวก็ไม่บ่นเจ็บแล้ว”
“เหมียวเหมียว ที่ครอบศีรษะเหล็กของเจ้า…ค้ำคางจนข้ารู้สึกไม่สบาย” เขาย่นหัวคิ้วเอ่ยขึ้น
ข้าที่เพิ่งเลียไปได้ไม่กี่ทีปากอ้าตาค้าง โกรธจนบันดาลโทสะกระโดดลงมาทันที “น่าโมโหยิ่งนัก! ข้าจะไม่มีวันเห็นใจคนสารเลวอีกแล้ว!”
เทพปี้ชิงพลันหัวเราะเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะดังอยู่นานไม่จางหาย
ข้านั่งยองๆ อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด กอดหางไว้ไม่สนใจเขา เขาคว้าตัวข้าขึ้นมา ดึงมาใกล้ตัว เอาแขนข้างหนึ่งโอบข้าไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็ค่อยๆ หลับไป
ข้าเบิกตาโตขยับเข้าไปใกล้ มองขนตายาวของเขาที่สั่นไหวน้อยๆ ไปตามการหายใจ มองไปมองมา…ข้าก็ขดตัวเป็นก้อนกลม นอนทับแขนของเขาแล้วหลับไปในที่สุด
บทที่สิบเจ็ด ภูเขาลั่วอิงตายแล้ว
ไม่รู้หลับไปนานเพียงใด ตอนสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เทพปี้ชิงกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ด้านข้าง ข้าโก่งตัวขึ้นอ้าปากหาว กระโดดลงจากเตียงจะวิ่งเล่น คิดไม่ถึงว่าร่างกลับแข็งตึง ดึงเนื้อจนรู้สึกเจ็บ จึงนึกได้ว่าตนเองยังอยู่ในสภาพแมวพันผ้า
เทพปี้ชิงเห็นข้าตื่นขึ้นมาก็วางหนังสือลงแล้วเดินมาข้างกาย อุ้มข้ากลับไปที่เตียงอีกครั้ง “เจ้าไม่ใช่แง่งอนอยากจะนอนที่เตียงหลังนี้หรือ เวลานี้ข้าอนุญาตให้เจ้านอน ห้ามลงมา!”
“แต่…” ข้ากำลังคิดจะขอให้เอาผ้าพันแผลบนตัวออก พลันนึกได้ว่าตนเพิ่งรับปากเขาว่าจะอดทน สุดท้ายก็ได้แต่เดินไปที่ด้านข้างอย่างหน้าม่อยคอตกนั่งลงแต่โดยดี แล้วใช้แววตาน่าสงสารมองเขา “ข้าจะกินอาหาร”
ในเวลานี้เอง เสี่ยวหลินก็ส่งเสียงขึ้นอย่างนอบน้อมที่หน้าประตูพอดี “ท่านเทพ ข้าจัดเตรียมอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วขอรับ”
ข้ากระโดดด้วยความดีใจอยู่บนเตียง ร้องเอะอะขึ้น “ข้าจะกิน! ข้าจะกิน!”
เทพปี้ชิงถอนใจ เดินเข้ามาอุ้มข้าวางลงบนโต๊ะหนังสือ แล้วหันไปพูดกับข้างนอก “ให้พวกเขายกอาหารเข้ามาเถิด ของเหมียวเหมียวก็ยกเข้ามาด้วย”
ไม่นาน สาวใช้กับเด็กรับใช้ก็เดินเข้ามาเป็นแถว ข้าเห็นจิ่นเหวินเสบียงสำรองของข้าก็อยู่ในแถวด้วย นางแต่งตัวงดงามเป็นพิเศษ เดิมทีแดนปีศาจกับแดนสวรรค์ก็ไม่มีใครอัปลักษณ์ แต่ในหมู่หญิงงามนั้น รูปโฉมของนางกลับยังคงดึงดูดสายตายิ่งกว่าคนอื่น บนร่างมีกลิ่นหอมของปลาจางๆ ทำให้ข้ารู้สึกว่านางดูรสชาติดีเป็นพิเศษ
จิ่นเหวินเดินมาถึงเบื้องหน้า วางจานในมือลง พูดกับข้าอย่างเอาใจ “นี่เป็นปลาไข่มุกที่หายากจากทะเลตะวันออก ท่านเทพกับท่านเหมียวเหมียวโปรดชิมดู”
กลิ่นของปลาดูเหมือนจะสดใหม่กว่าที่ผ่านมา ข้าที่ท้องร้องโครกครากมานานแล้วรีบกระโจนเข้าไปกินอย่างตะกละตะกลาม คนอื่นเห็นแล้วขมวดหัวคิ้วอยากแอบหัวเราะ แต่เพราะกลัวเทพปี้ชิงที่อยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าออกเสียง
เทพปี้ชิงก็คีบอาหารประเภทผักผลไม้กินช้าๆ หลังจากกินโจ๊กอิ๋นซิ่ง ไปไม่กี่คำ จู่ๆ ก็ผงกศีรษะบอก “วันนี้เปลี่ยนพ่อครัวหรือ”
จิ่นเหวินก้าวออกมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองของนางหวานหยาดเยิ้ม มองเทพปี้ชิงแล้วเอ่ยขึ้น “บ่าวเชี่ยวชาญการทำอาหาร ดังนั้นวันนี้จึงเข้าครัวไปช่วยทำอาหารมาสองสามจาน ไม่ทราบถูกปากท่านเทพหรือไม่”
เทพปี้ชิงยังไม่ได้พูดอะไร ข้าก็ร้องขึ้นมา “วันนี้ทำปลาได้อร่อยเป็นพิเศษ! จิ่นเหวิน เจ้าช่างร้ายกาจ!”
“เจ้ากินอาหารอยู่เต็มปาก ผิดหลักอันพึงปฏิบัติ” เทพปี้ชิงย่นหัวคิ้ว ให้สาวใช้เอาผ้ามาให้ข้าเช็ดปาก แล้วหันไปมองจิ่นเหวิน มองจนนางหน้าแดง จากนั้นก็กล่าวไม่รีบไม่ร้อน “ในเมื่อเจ้ามีฝีมือในการทำอาหาร ต่อไปก็อยู่ที่ห้องครัวทำอาหารให้เหมียวเหมียวโดยเฉพาะ สำหรับข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องอาหารสักเท่าใด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก”
“ดีๆ!” ข้านับวันก็ยิ่งชอบเสบียงสำรองที่เฉลียวฉลาดมีความสามารถผู้นี้ จึงส่งเสียงขึ้นมาด้วยความดีใจ “ต่อไปจิ่นเหวินก็มาอยู่ข้างกายข้าแล้วกัน จะได้ทำปลาให้ข้ากินทุกวัน”
สีหน้าของจิ่นเหวินเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางขยับริมฝีปากคล้ายจะพูดอะไรแต่กลับไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็ลาจากไปด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ
เทพปี้ชิงมองเงาร่างด้านหลังที่เดินจากไปของจิ่นเหวิน แล้วกล่าวกับเสี่ยวหลินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีจุดประสงค์และแผนการอะไรอยู่ในใจ ต่อไปอย่าให้นางเข้ามาอยู่ใกล้ข้าที่นี่ และคอยจับตาดูว่านางมีการเคลื่อนไหวประหลาดอะไรหรือไม่”
เสี่ยวหลินก้าวมาข้างหน้ารับคำสั่งแล้วถอยไป
ข้าที่กินอิ่มดื่มพอแล้วกลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รีบดึงแขนเสื้อเทพปี้ชิงแล้วเอ่ยถาม “จิ่นเหวินไม่อาจมาอยู่กับข้าแล้ว เพราะข้าจะกลับภูเขาลั่วอิง ท่านรับปากข้าไว้ ถ้าข้าไม่ปวดศีรษะแล้วก็กลับไปได้ ตอนนี้ข้าไม่ปวดแล้ว”
“นี่…” เทพปี้ชิงลูบศีรษะข้าด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “เจ้ามีบาดแผลบนร่างกาย อีกทั้งเจ้าก็เป็นศิษย์ของข้าแล้ว อย่ากลับไปจะดีกว่า”
“ท่านพูดไม่เป็นคำพูด!” ข้าเบะปากด้วยความโกรธ
เทพปี้ชิงใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะแล้วถามขึ้น “ข้าจะให้ปลาเจ้ากินมากๆ เจ้าไม่ต้องกลับไปภูเขาลั่วอิงดีหรือไม่”
เงื่อนไขนี้เย้ายวนใจยิ่ง ทำให้ข้าลังเลขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าโกรธโมโหของอีกา ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที จึงร้องขึ้น “ข้าจะกลับไป ออกมานานแล้ว อิ๋นจื่อจะโกรธ”
“อิ๋นจื่อ อีกาตัวนั้นหรือ” เทพปี้ชิงถาม
ข้าบอกอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว! ข้าไม่อยู่เช่นนี้ เขาจะถูกปีศาจข่มเหงรังแก เจ้านั่นเรื่องการต่อสู้ใช้การไม่ได้เลย”
เทพปี้ชิงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะอยู่แล้ว”
“เพราะอะไร” ข้าไม่เข้าใจ
เทพปี้ชิงลังเลอยู่นานจึงบอก “ภูเขาลั่วอิงเกิดแผ่นดินไหว ฝูงปีศาจบนภูเขาสูญหายกระจัดกระจาย ข้าเคยไปค้นหาอยู่ครั้งหนึ่ง กลับไม่เห็นปีศาจอีกาตัวนั้น”
“ท่านพูดเหลวไหล!” ข้ากรีดร้องขึ้นมา “อิ๋นจื่อไม่มีทางทอดทิ้งข้า! เขาจะต้องรอข้าอยู่!”
“ข้าไม่ได้โกหกเจ้า”
“โกหก!”
หลังจากเทพปี้ชิงเห็นข้ายืนกราน ทั้งยังกลิ้งไปมาบนพื้นเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ในที่สุดก็ยอมอ่อนข้อบอกถ้าข้าทำตัวว่าง่ายตลอดหลายวันนี้ ให้บาดแผลบนร่างกายดีขึ้นแล้วก็จะพาข้ากลับไปดู
ทว่าหลังจากหลายวันผ่านไป เมื่อเขาพาข้าลงไปแดนมนุษย์ ตรงกลับไปที่ภูเขาลั่วอิง ข้าก็เห็นพื้นที่บนยอดเขาแยกออกจากกัน ต้นไม้จำนวนมากล้มระเนระนาดอยู่ทั่วทุกหนแห่ง หินผาแตกทลายลงมา น้ำในลำธารแห้งขอด ในอากาศมีแต่กลิ่นคาวโลหิต นอกจากเสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บแล้วก็แทบไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่ ข้าเห็นกวางน้อย กระต่ายขาว หมีที่เมื่อก่อนเคยเล่นกับข้า ศพของพวกเขาแทบจะเหลือแต่กระดูกสีขาวแล้ว มีหนอนจำนวนนับไม่ถ้วนคลานอยู่บนนั้น ในใจของข้ายิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
“อิ๋นจื่อ!” ข้าร้องตะโกนเสียงดัง
เขาไม่ได้ขานรับข้าด้วยความรำคาญเหมือนแต่ก่อน บนท้องฟ้ามีอีกาที่กินของเน่าเปื่อยบินมาฝูงหนึ่ง แต่กลับไม่มีอีกาสีขาวเลยสักตัว
“อิ๋นจื่อ! เจ้าอยู่ที่ใด” ในใจของข้าออกจะสับสนว้าวุ่น รีบเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ได้โค่นลงมาต้นหนึ่ง กวาดตามองไปทั่วสี่ทิศ
แต่เขายังคงไม่มาปรากฏตัว…
ครั้นแล้วข้าก็กระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่เตรียมจะวิ่งกลับไปยังถ้ำที่ข้ากับอิ๋นจื่อพักอาศัยอยู่ด้วยกัน เทพปี้ชิงที่อยู่ข้างหลังกลับยับยั้งข้าไว้ จากนั้นก็ใช้วิชาอาคมกับตนเอง กลิ่นอายของเขาจางลงและหายไปในอากาศ
“ท่านทำอะไร” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ
เทพปี้ชิงตอบว่า “ปีศาจล้วนหวาดกลัวกลิ่นอายของข้า เวลานี้ใช้อาคมบังกายแล้ว พวกเขามองไม่เห็นข้า จะได้เคลื่อนไหวสะดวก”
ข้าพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ จากนั้นก็วิ่งตรงไปข้างหน้า เขาอยู่ข้างหลังตามฝีเท้าข้ามาอย่างสบายๆ
การทำลายง่ายกว่าการสร้าง ยอดเขาที่อยู่มานับหมื่นปีไม่อาจต้านทานแผ่นดินไหวในวันเดียวได้ ทัศนียภาพที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนไปจากเดิมระผ่านข้างกายไปไม่หยุด คล้ายแส้ที่หวดกระหน่ำลงบนหัวใจของข้า อาศัยที่ภูเขาลั่วอิงมาสามร้อยปี ต้นไม้ทุกต้น ต้นหญ้าทุกกอในที่แห่งนี้ ต่อให้หลับตาข้าก็แยกแยะได้ ทว่าเพียงจากไปไม่นาน ทุกสิ่งของที่นี่กลับแปรเปลี่ยนไปจนข้าจำไม่ได้แล้ว…
ถ้ำที่ข้ากับอิ๋นจื่อพักอาศัยก็พังทลายลงมา ข้าพยายามใช้อุ้งเท้าขุดเป็นช่องแล้วมุดเข้าไป กลับไม่พบเงาร่างของอิ๋นจื่อ
เขาไปที่ใดแล้ว
ในใจรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันในสมองก็เกิดประกายความคิดขึ้น รีบวิ่งไปที่ลานด้านหลัง ไปขุดตรงจุดที่เขาฝังทองคำและเงินเอาไว้ ข้ารู้ เจ้านั่นเห็นสิ่งของเหล่านี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก ถ้าเขาอยู่ล่ะก็ สิ่งของเหล่านี้จะต้องอยู่แน่นอน
ด้วยเหตุนี้เมื่อข้าขุดเอาทองคำและเงินขึ้นมาได้ จึงร้องออกมาด้วยความดีใจ “อิ๋นจื่อยังไม่ไปที่ใดแน่นอน”
เทพปี้ชิงกลับเดินเข้ามาพูดกับข้า “เหมียวเหมียว เจ้าเคยคิดหรือไม่ บางทีเขาอาจไม่รอด”
“เพราะเหตุใดจึงไม่รอด” ข้าไม่เข้าใจ
“แผ่นดินไหวครั้งนี้กระเทือนไปหลายพันหลี่ เขาอาจเสียชีวิตไปในภัยพิบัติครั้งนี้แล้ว” เทพปี้ชิงอธิบายช้าๆ
ข้ายังคงไม่เข้าใจ “ ‘แผ่นดินไหว’ คือปีศาจอะไร อะไรคือ ‘เสียชีวิต’ ”
แววตาของเทพปี้ชิงพลันอ่อนโยนลง เขาลูบศีรษะข้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ “แผ่นดินไหวคือภัยพิบัติที่ตกลงมาจากฟากฟ้า หาใช่ปีศาจ แต่ไม่ว่ามันผ่านไปทางใด ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นั้นก็จะถูกกลืนกิน เสียชีวิต…หมายถึงตาย”
คำพูดของเขาคล้ายฟ้าผ่าลงมาบนศีรษะข้าตอนกลางวันแสกๆ ข้าเข้าใจว่าอะไรคือตาย แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำคำนี้จะเกี่ยวข้องกับอิ๋นจื่อได้ ครั้นแล้วก็รีบดึงเทพปี้ชิงพลางร้องขึ้น “อิ๋นจื่อไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เหตุใดฟ้าต้องส่งภัยพิบัติลงมาให้เขาด้วย”
“เพราะฟ้าดินมีภัยพิบัติ ทุกอย่างจึงจะรุ่งเรืองงอกงามยิ่งขึ้น”
“ข้าไม่เข้าใจ! ไม่เข้าใจ!” คำพูดของเขาไม่ถูกหูข้าแม้แต่น้อย ข้าจึงปิดหูตนเองไว้ไม่อยากฟังต่อไปอีก เอาแต่ร้องไม่หยุด “ข้าจะให้อิ๋นจื่อกลับมา!”
“แปดส่วนเขาคงหนีไปแล้ว” เทพปี้ชิงลูบศีรษะข้า กล่าวปลอบใจ “เรากลับกันเถิด”
“ไม่กลับไป!” ข้าหันหัวได้ก็วิ่ง วิ่งไปจนถึงยอดเขา มองทะเลเมฆที่อยู่ไกลเคลื่อนไปมาอย่างเหม่อลอย ทัศนียภาพยังเหมือนเดิม คนกลับไม่อยู่แล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานใจยิ่ง เปรียบกับการที่ตนเองถูกรังแกหรือถูกหมอชั่วร้ายเอาเข็มปักแล้วยังทรมานยิ่งกว่า
ครั้นแล้วข้าก็หมอบตัวลง ขดตัวเป็นก้อนกลม ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกไม่สบายใจก็จะใช้ท่วงท่านี้มาผ่อนคลายความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
ทว่าครั้งนี้ใช้ไม่ได้ผล ข้ายังคงเจ็บปวดยิ่ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.