บทที่สิบแปด ความชื่นชอบในการกินของเสือ
เทพปี้ชิงตามขึ้นมาทีหลัง เขานั่งยองๆ ลงข้างกายข้า พูดกับข้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าทรมานมากก็ร้องไห้ออกมาเถิด”
ข้าเบิกตากว้างมองเขาอย่างงุนงง สั่นศีรษะ “ข้าไม่รู้จักการร้องไห้ เพราะแมวไม่มีน้ำตา”
“ตอนนี้เจ้าเป็นคน”
“ข้าเป็นแมว”
เทพปี้ชิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร นั่งลงข้างๆ เพียงครุ่นคิดอะไรตามลำพัง
ข้ามองแสงยามสายัณห์ที่อยู่ไกลออกไป กระทั่งม่านราตรีแผ่ปกคลุมภูเขาลั่วอิงที่อยู่ในสภาพน่าอนาถเอาไว้
อิ๋นจื่อยังคงไม่กลับมา ข้าคิดว่าบางทีเขาคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
“กลับไปกับข้าเถิด” จู่ๆ เทพปี้ชิงก็เอ่ยขึ้น “แดนสวรรค์ไม่มีภัยพิบัติ”
“ท่านว่าอิ๋นจื่อใช่ทอดทิ้งข้าแล้วหรือไม่” ข้าถามเสียงแผ่ว
“เพราะเหตุใดจึงถามเช่นนี้” เทพปี้ชิงลูบๆ ศีรษะข้า
ข้าพร่ำพรรณนาถึงความเสียใจในสิ่งที่ตนทำไปไม่หยุด
“เพราะเมื่อก่อนข้าชอบก่อเรื่องให้อิ๋นจื่อเสมอ…”
“ข้ามักขู่เข็ญอิ๋นจื่อให้เขาทำปลาให้ข้ากิน…”
“ข้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดของอิ๋นจื่อ…”
“อิ๋นจื่อใช่เบื่อหน่ายข้าหรือไม่ ถึงได้ไม่รอข้า”
“เขาคงโกรธที่ข้าจากไป ดังนั้นจึงไม่ชอบเหมียวเหมียวแล้ว”
เทพปี้ชิงกลับหัวเราะขึ้นมา เขาคว้าตัวข้าเข้าไปกอด ลูบไล้เส้นผมของข้า เอ่ยเบาๆ “อิ๋นจื่อชอบเหมียวเหมียวมาก วันนั้นตอนข้าพาเจ้าจากไป เขาก็ไล่ตามหลังมาตลอด ไม่แน่เขาอาจไปหาเจ้าที่สวรรค์แล้วก็เป็นได้”
“จริงหรือ!” ข้าเงยหน้าขึ้นมองเขา
“จริงสิ” สีหน้าของเทพปี้ชิงจริงจังยิ่ง ดูแล้วไม่เหมือนกำลังโกหกแมว
“เช่นนั้นข้าจะกลับสวรรค์ไปรอเขา!”
ลมกำลังพัด หอบเอาฝุ่นละอองของซากปรักหักพังขึ้นมา ดวงตาเริ่มพร่าเลือนมองเห็นไม่ชัด
“ไปเถิด” เทพปี้ชิงดึงมือข้า คิดจะเรียกก้อนเมฆมา พากลับไปยังแดนสวรรค์
ขณะจะจากไปอยู่นั้น หูของข้ากระดิกเล็กน้อย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากพุ่มหญ้าที่อยู่ห่างออกไป คล้ายมีเสียงขยับตัวเบาๆ และเสียงหายใจดังขึ้น ในใจข้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ข้าสะบัดมือออก ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ทิศทางที่มาของเสียง ฝีเท้าของแมวเหยียบย่างลงบนพื้นหญ้า เงียบกริบไร้สุ้มเสียง ไม่ก่อให้เกิดละอองฝุ่นใดๆ
ตรงตำแหน่งเป้าหมาย สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในสายตาคือหางแหลมๆ ขนาดใหญ่ทั้งหยาบทั้งเหลือง โผล่ออกมาอยู่นอกพุ่มไม้
“หึๆ” ข้าอดใจไม่อยู่หยักยกมุมปากขึ้นเป็นรูปโค้ง กระโจนเข้าใส่ทันที ยื่นอุ้งเท้าออกไปคว้าหางแหลมนั่นไว้แล้วลากออกมาข้างนอกอย่างแรง
“โฮกกก!” เสียงคำรามของเสือดังก้องฟ้า เขาในตอนนี้ตัวสั่นระริกไปทั้งร่าง ใช้อุ้งเท้ากอดศีรษะไว้ไม่กล้าลืมตาขึ้นมา ร้องขอความเมตตาไม่หยุด “เหมียวเหมียวต้าหวังไม่อยู่ จะต่อสู้กันก็อย่ามาหาข้าน้อย! ข้าน้อยเป็นผู้บริสุทธิ์!”
ข้ามองรูปร่างประดุจหมีของเขา อดแสยะปากยิ้มไม่ได้ “ข้ามาหาเจ้าเพื่อต่อสู้กัน จะว่าอย่างไร”
“ไม่เอา! ข้าน้อยอ่อนแอไม่อาจต้านทานต่อการจู่โจมได้ ยอมรับความพ่ายแพ้!” เขาพูดจบแล้วดูเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ รีบหรี่ตาขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นข้าก็ดีใจ กระโดดเข้ามาพลางร้องเรียก “เหมียวเหมียวต้าหวัง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ข้าน้อยคิดถึงท่านยิ่งนัก!”
ข้าคิดจะก้าวเข้าไปโอบกอดเขาอย่างให้ความร่วมมือ คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เทพปี้ชิงก็ลงมือผลักเขาออกไปไกลหลายช่วงแขน
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสือมองซ้ายทีขวาที คลำศีรษะแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดอยู่ดีๆ ข้าจึงถอยหลัง เหมียวเหมียวต้าหวัง ท่านฝึกฝนความสามารถใหม่มาหรือ”
ข้ารีบโบกมือแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ๆ เป็นเทพปี้ชิงผลักเจ้าออกไป เขาอยู่ข้างๆ ข้า”
เสือพลันขนลุกชันไปทั้งร่าง เขาหมอบลงเหลียวมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง “ไม่มีนี่ เขาอยู่ที่ใด ท่านหลอกข้าหรือ”
ข้ามองเทพปี้ชิงอย่างไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจ ในที่สุดก็ถอนอาคมปรากฏตัวออกมา “ข้าอยู่นี่”
“มารดาเถอะ!” เสือตกใจจนก้นคะมำฉี่ราด ถอยหลังไปพลางโขกศีรษะไปพลาง “ท่านเทพ ข้าไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญ อย่าฆ่าข้าเลย!”
อิ๋นจื่อเคยบอกว่าความชอบของปีศาจแตกต่างกันไป อย่างเช่นข้าชอบเกลือกกลิ้งชอบผึ่งแดด เขาชอบสะสมเพชรนิลจินดา ทองคำ และเงิน ข้าคิดว่าความชอบของเสือตัวนี้จะต้องเป็นการโขกศีรษะอย่างแน่นอน เพราะทุกครั้งที่เจอกันเขาจะต้องโขกศีรษะ…โขกจนหนังศีรษะแทบจะด้านหมดแล้ว ข้าไม่อาจขัดขวางความชอบของผู้อื่นได้ ด้วยเหตุนี้จึงนั่งยองๆ ลงกับพื้นดูเขาโขกศีรษะอย่างเบิกบานใจ
หลังจากเสือโขกศีรษะอยู่นาน ข้าก็ทนรอต่อไปไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากห้ามปราม “ประเดี๋ยวเจ้าค่อยโขกศีรษะต่อดีหรือไม่”
“แต่ว่า…” เขามองเทพปี้ชิงด้วยความหวาดกลัวแวบหนึ่ง ก่อนหลบไปอยู่ข้างหลังข้าอย่างขี้ขลาด ศีรษะแนบติดกับพื้น แทบจะมุดเข้าไปใต้กระโปรงข้าอยู่แล้ว
เทพปี้ชิงเห็นแล้วไม่พอใจ “ออกมา!”
เสือตกใจจนร่างสั่นสะท้าน ฟองสีขาวทะลักออกจากปากเป็นลมหมดสติไป ข้ารีบใช้สองมือตบๆ ไปที่ใบหน้าเขาหลายที จึงช่วยเขาให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้
หลังจากเขายกศีรษะที่ใหญ่กว่าศีรษะหมูฟื้นขึ้นมา ก็กระโจนเข้ามาในอ้อมแขนข้าพลางร้องไห้คร่ำครวญ ขอร้องข้าให้ช่วยวิงวอนขอความเมตตาต่อเทพปี้ชิงให้ไว้ชีวิตเขา
“เด็กดี ไม่ต้องร้องไห้” แม้จะรังแกเขาอยู่เสมอ แต่จะอย่างไรก็มีมิตรภาพต่อกันมาสามร้อยปี แม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเทพปี้ชิงต้องโกรธ แต่เรื่องช่วยเสือโง่ตัวนี้เป็นสิ่งที่ข้าพร้อมแบกรับอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น จึงกอดศีรษะเขาไว้แล้วหันไปบอก “ท่านอย่าขู่ขวัญเขา”
สีหน้าของเทพปี้ชิงยิ่งไม่ชวนมอง เขาสูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้ง เอ่ยเสียงเฉียบขาด “ให้เขาลุกขึ้นมาตอบคำ!”
“ท่านไม่สังหารข้าจริงหรือ จริงๆ หรือ!” เสือหันไปขอคำยืนยันจากเขานับสิบครั้ง ในที่สุดก็ยืนขึ้นมา มองข้ากับเทพปี้ชิงแต่ไม่กล้าพูดอะไร
“ภูเขาลั่วอิงกลายเป็นเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร” ข้ารีบฉวยโอกาสที่นิสัยชอบโขกศีรษะของเขายังไม่กำเริบเอ่ยถามขึ้น
“ราว…ครึ่งเดือนก่อนได้” เสียงของเสือเปรียบกับยุงแล้วยังเบากว่า เปรียบกับเจ้าสาวใหม่แล้วยังนุ่มนวลกว่า
“อิ๋นจื่อไปที่ใดเสียแล้ว” ข้าถามต่อ
เสือก้มหน้ามองต้นหญ้าบนพื้น หลังจากลังเลอยู่นานก็ตอบว่า “พวกเราไม่ได้พบท่านอิ๋นจื่อมานานมากแล้ว นับแต่เหมียวเหมียวต้าหวังจากไป ท่านอิ๋นจื่อบอกให้ข้ารักษาการณ์ในตำแหน่งราชาแห่งภูเขานี้แทนชั่วคราว จากนั้นเขาก็หายตัวไป และไม่นานก็เกิดแผ่นดินไหว…ปีศาจที่อยู่บนพื้นดินตายไปจำนวนมาก อาหารอะไรก็ไม่มีแล้ว ทุกคนต่างหิวโหย ปีศาจที่เหลืออยู่จึงแยกย้ายหนีหายไปหมด”
เทพปี้ชิงพลันย่นหัวคิ้วถามขึ้น “ไม่มีอาหารแล้วเจ้ากินอะไร หรือทำร้ายผู้คน”
“ไม่มีๆ! ข้าน้อยไม่กล้า!” ใบหน้าของเสือที่อยู่ภายใต้ขนดกหนา จู่ๆ ก็มีริ้วแดงปรากฏขึ้นเล็กน้อย เขาพูดอย่างขวยอาย “ตอนนี้ข้าหัดกินหญ้าเป็นแล้ว”
สีหน้าของเทพปี้ชิงพลันแข็งค้างไปแล้ว…ข้ากลับมองเสือด้วยสายตาทึ่ง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยชอบกินปลาได้แน่นอน…
เมื่อรู้ว่าอิ๋นจื่อไม่เป็นไรแล้ว จิตใจของข้าที่มืดครึ้มอึมครึมอย่างที่สุดก็เริ่มวางใจ ความเศร้ารันทดใจน้อยนิดนั่นได้มลายหายไปหมดสิ้น จึงดึงมือเทพปี้ชิงจะไปเที่ยวหาจอมมารวัวกระทิง
เทพปี้ชิงไม่อาจทนต่อการรบเร้าอ้อนวอนของข้าได้ ในที่สุดก็ยอมรับปาก แต่ขอว่าต้องกลับไปแดนสวรรค์ภายในวันนี้ อีกทั้งห้ามเปิดเผยการอำพรางตัวของเขาเป็นอันขาด ห้ามบอกปีศาจอื่นและมนุษย์ถึงการดำรงอยู่ของเขา
ข้าสาบานต่อฟ้า จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อเขาอย่างเคร่งครัด
ที่อยู่ของจอมมารวัวกระทิงทิวทัศน์งดงามภูเขาเขียวขจีธารน้ำใสเย็น ข้าเคยมาหลายครั้ง คุ้นเคยกับเส้นทางดี เลี้ยวไปมาไม่กี่ครั้งก็มาถึงถ้ำของเขา เคาะๆ ประตูใหญ่สีแดง มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างในด้วยท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยแผลเขียวช้ำ ไม่รู้ไปกระแทกถูกอะไรมา พอเห็นข้าก็เปลี่ยนเป็นดีอกดีใจขึ้นมา ดึงชายแขนเสื้อข้าแล้วบอก “ท่านเหมียวเหมียว ท่านรีบช่วยเกลี้ยกล่อมนายหญิงของเราหน่อยเถิด…”
พูดยังไม่ทันจบ แท่นหินฝนหมึกสีดำอันหนึ่งก็ลอยมา ข้ารีบหลบไปที่ด้านข้าง จากนั้นก็มีเสียงแผดคำรามของหลัวช่าดังตามมา “เจ้าคนไม่มีมโนธรรม ยังจะกลับมาทำไม!”
ข้าฮวาเหมียวเหมียวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวเพียงสิ่งเดียวนั่นคือหลัวช่า นางมักเล่าเรื่องคนเลวชอบกินเนื้อแมวย่างน้ำแดง ต้มแกงน้ำใสเนื้อแมวอะไรพวกนั้นให้ข้าฟัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกจับขายกลายเป็นอาหารอันโอชะบนโต๊ะของคนเลว อีกทั้งเพื่อจะได้กินอาหารรสเลิศที่นางทำ ข้าจึงเคารพยำเกรงนางมาโดยตลอด…ไม่ว่านางเอ่ยขอร้องอะไรเป็นต้องรับปาก
แต่…เวลานี้ดูเหมือนนางจะโกรธข้าอยู่…
ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตกใจจนหางชี้ขึ้นมา รีบสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปยอมรับผิด “พี่สะใภ้หลัวช่า เหมียวเหมียวแม้จะไม่มีมโนธรรม แต่ก็จะรีบไปหามโนธรรมมา ท่านอย่าได้ขายข้าไปเป็นอันขาด!”
หลัวช่ากำลังมองหาสิ่งของมาทุ่มใส่คน พอได้ยินเสียงข้าก็อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ หันมากล่าว “เหตุใดจึงเป็นเจ้าเล่า เจ้าไม่ใช่ตามเทพปี้ชิงไปแล้วหรือ”
ข้าหูลู่เดินเข้าไปบอก “เหมียวเหมียวกลับมาเยี่ยมท่านกับพี่ใหญ่ ท่านอย่าตีข้าเลย”
“ข้า…เข้าใจว่าเป็นเจ้าศัตรูคู่อาฆาตผู้นั้นกลับมา” หลัวช่าวางหินแก้วเจียระไนที่เพิ่งหยิบขึ้นมาในมือลง ก่อนเดินเข้ามากอดข้าแล้วเริ่มร่ำไห้ “พี่ชายของเจ้า คนสารเลวผู้นั้น…แอบมีเล็กมีน้อยอยู่ข้างนอก เวลานี้วันๆ หนึ่งไม่ยอมกลับบ้าน จะให้ข้าอยู่ต่อไปอย่างไร…”
“ไม่ร้องนะไม่ร้อง อะไรคือ ‘มีเล็กมีน้อย’ ” ข้าปลอบโยนไปพลางซักถาม
นางเช็ดน้ำหูน้ำตาน้ำมูกกับตัวข้าทั้งหมด ร้องอย่างเศร้าเสียใจยิ่ง “พี่ชายของเจ้าอยู่ข้างนอก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่ง เวลานี้จิตใจไม่ได้อยู่กับบ้านเลย แม้แต่หงไห่เอ๋อร์ก็ถูกเขาเสี้ยมสอนให้ออกไปอยู่ข้างนอกตามลำพัง ทิ้งข้าให้เป็นผีโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่คนเดียว บุรุษหาดีไม่ได้สักคน!”
ข้าลูบๆ ศีรษะ ไม่เข้าใจเลยว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร จึงเอ่ยปากซักถาม “ปีศาจจิ้งจอกไม่ใช่รูปโฉมงดงามยิ่งหรอกหรือ เขากับพี่ชายข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันไม่ใช่เป็นเรื่องดีมากหรือไร เหตุใดท่านต้องโกรธด้วย”
หลัวช่าทั้งโมโหทั้งร้อนใจ เขกศีรษะข้าแรงๆ ทีหนึ่งแล้วด่าว่า “ดีอะไรกัน เจ้าแมวโง่ผู้นี้!”
“เมี้ยว” ข้าลูบคลำซาลาเปาลูกใหญ่บนศีรษะ ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง…
บทที่สิบเก้า วรยุทธ์บนเตียง
ข้ากลอกตาขอความช่วยเหลือจากเทพปี้ชิงไม่หยุด เขากลับหันหน้าหนีปิดปากสนิทอย่างไร้คุณธรรมน้ำมิตร ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งข้าแมวตัวหนึ่งให้รับความทุกข์ทรมาน ยังทำมือทำไม้บอกสมน้ำหน้าอีก
หลัวช่าดึงหูข้าแล้วสั่งสอนต่อ “ข้าหมายถึงพี่ชายเจ้าหนีไปกับปีศาจจิ้งจอกสารเลวตัวหนึ่งแล้ว เขาไม่ต้องการข้า! เขาทอดทิ้งข้า! เข้าใจหรือไม่”
ภายใต้ความเจ็บปวด ข้ารีบพยักหน้าไม่หยุด แสดงให้เห็นว่าข้าเข้าใจจนไม่อาจเข้าใจไปมากกว่านี้แล้ว
“เจ้าว่าเวลานี้ควรทำเช่นไรดี” หลัวช่าเอามือเท้าสะเอว เดินไปเดินมาอยู่ในห้องหลายรอบ “เหมียวเหมียว เจ้ามาได้เหมาะเจาะพอดี เจ้ากับข้าบุกไปที่บ้านของปีศาจจิ้งจอกด้วยกัน สังหารนางให้ตายเสียเลย!”
“ได้!” ข้าไม่แม้แต่จะคิดก็รับปากทันที อย่างไรเสียขอเพียงนางไม่ดึงหูข้า จะสังหารปีศาจกี่ตัวก็ไม่มีปัญหา “ปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นอยู่ที่ใด”
ใบหน้าของหลัวช่าบูดบึ้งทันที นางบอกอย่างกลัดกลุ้ม “ครั้งนี้เจ้าศัตรูคู่อาฆาตผู้นั้นรักษาความลับไว้ดีเกินไป ข้าคว้าหางจิ้งจอกไม่ได้เลย”
ข้าเห็นนางดูเหมือนยังโกรธอยู่ รีบก้าวเข้าไปเสนอแผนการอย่างเอาใจ “หรือไม่เราไปหาปีศาจจิ้งจอกบนภูเขา เอามาฆ่าทิ้งสักตัว อย่างมากก็ฆ่าทิ้งสักหลายตัว อย่างไรเสียก็ไม่แตกต่างกันมาก ข้าจำได้ว่าบนภูเขาหมิงเฟิ่งก็มีจิ้งจอกอยู่รังหนึ่ง”
“สังหารปีศาจจิ้งจอกเหล่านั้นมีประโยชน์อะไร” หลัวช่าดึงหูข้าไปด่าอีกครั้ง “เจ้าช่างเป็นแมวโง่งมเสียจริง!”
ที่แท้ปีศาจจิ้งจอกก็มีความแตกต่างกัน…ข้าลูบคลำหูที่เจ็บ ยิ่งกลัดกลุ้มหนัก
หลัวช่ายังคงเดินไปเดินมา ครุ่นคิดอยู่นานจู่ๆ นางก็ตบมือเดินมาตรงหน้าข้า “เจ้าไม่ใช่ถูกเทพปี้ชิงลักพาตัวไปเป็นลูกศิษย์หรือ เช่นนั้นก็ไปขอร้องเขาให้ช่วยปล่อยสายฟ้าลงมาฟาดปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นให้ตายเสียเลย!”
ข้าเงยหน้าขึ้นมองเทพปี้ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที เขาส่ายหน้าให้ข้าแล้วบอก “สายฟ้าสวรรค์ไม่อาจใช้ส่งเดช”
ท่าทางของหลัวช่าเห็นชัดว่าไม่ได้ยินเสียงเทพปี้ชิงพูด นางดึงข้าไปซุบซิบต่อ “เห็นว่าเทพปี้ชิงไม่เคยรับศิษย์มาหลายพันปี เหตุใดจึงมาถูกใจเจ้าได้”
“อะไรคือถูกใจข้า” ข้าตั้งหูขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หลัวช่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยื่นมือมาจับหน้าอกข้าทีหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ แล้วลูบไล้ใบหน้าของข้าพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ได้ยินว่ามีเทพเซียนบางคนนำลูกศิษย์ที่ตนรับมาไว้บนเตียง เทพปี้ชิงน่าจะไม่ใช่คนประเภทนั้นกระมัง”
“เขาใช่!” ข้าพูดด้วยความเบิกบานใจ “ข้านอนบนเตียงของเขามาหลายครั้งแล้ว เขาอ่อนโยนมาก”
เทพปี้ชิงมีสีหน้าดำคล้ำ คล้ายสำลักน้ำลาย เขาส่งเสียงไอแรงๆ ไม่หยุด
หลัวช่ายังคงไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา หากแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดกับข้าต่อไป “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ง่ายแล้ว เจ้าไปเป่าลมข้างหมอน เขา ให้เขาช่วยข้าใช้สายฟ้าผ่าปีศาจจิ้งจอกตัวนั้นให้ตายทีเถิด”
ได้ๆๆ นางพูดอะไรข้าล้วนพยักหน้า ลมข้างหมอนง่ายดายยิ่ง…
“อยู่บนเตียงเจ้าคงสร้างความพึงพอใจให้ท่านเทพได้กระมัง” หลัวช่าพลันพูดกับข้าอย่างจริงจัง “จะให้พี่สะใภ้สอนวรยุทธ์บนเตียงให้เจ้าสักหลายกระบวนท่าหรือไม่”
สีหน้าของเทพปี้ชิงยิ่งดำคล้ำมากขึ้น เขารีบเดินเข้ามากล่าวกับข้า “ท้องฟ้ามืดแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”
ข้าไม่ได้ใส่ใจเขา เพราะข้าสนใจ ‘วรยุทธ์’ ที่สามารถใช้บนเตียงมากกว่า ดังนั้นจึงวางท่าถ่อมตนน้อมรับคำชี้แนะ
หลัวช่าเดินไปที่ตั่งนุ่มด้านข้าง เลิกกระโปรงขึ้นเผยขาอ่อนออกมาแล้วยกขึ้นสูง จากนั้นก็เอนตัวนอนตะแคงลงไป เผยอปากน้อยๆ ดุจลูกอิงเถา กะพริบตาปริบๆ หลายครั้ง เห็นแล้วชวนให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล จากนั้นก็กล่าวกับข้า “น้องสาว เจ้าเกิดมาก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว วางท่าทางตามอย่างข้าเช่นนี้ แล้วส่งเสียงร้องออดอ้อนสักหลายคำ รับรองจะยิ่งทำให้คนลุ่มหลงหูตามัว”
“เมี้ยว เข้าใจแล้ว” ข้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างถ่อมตน ขณะคิดจะซักถามว่าทำเช่นนี้แล้วจะสังหารศัตรูอย่างไร เทพปี้ชิงก็กระชากตัวข้าอย่างแรง ลากให้เดินออกนอกประตู ทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งก็บอก “ห้ามเรียนรู้เรื่องเหลวไหลพวกนี้”
หลัวช่ารีบเดินตามมาถาม “น้องสาว เจ้าจะกลับไปแล้วหรือ”
ข้าเห็นเทพปี้ชิงดูเหมือนกำลังโกรธ เขากำมือข้าแน่นมาก ทำให้ข้าไม่อาจดิ้นหลุดได้ จำต้องผงกศีรษะแสดงท่าทีกล่าวอำลา
หลัวช่ารีบดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ ไล่ตามมายัดใส่มือข้าแล้วบอก “นี่เป็นตำราภาพวังวสันต์ เล่มใหม่ล่าสุด เจ้าเอากลับไปศึกษาดู ช่วยเรื่องวรยุทธ์บนเตียงได้มาก ยังมีอีก จำไว้ต้องช่วยข้าเป่าลมข้างหมอน สังหารจิ้งจอกสารเลวตัวนั้นเสีย”
“เมี้ยว ได้!” ข้ารับหนังสือมาด้วยความดีใจ แล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ
คิดไม่ถึงว่าหลังจากเทพปี้ชิงลากข้าขึ้นไปบนก้อนเมฆแล้ว ก็แย่งหนังสือไปทันที ทั้งยังจะฉีกทิ้ง
ข้าโกรธแล้ว บันดาลโทสะตวาดเสียงดัง “นั่นเป็นของที่พี่สะใภ้หลัวช่ามอบให้ข้า!”
เขามองข้าที่โกรธจนหน้าตูม หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอาหนังสือเก็บไว้ในอกเสื้อ ไม่ยอมคืนให้ข้า
“เมี้ยว!” ข้าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงยกเท้าถีบเขาไปทีหนึ่ง เสียดายถีบไม่โดน จึงได้แต่แอบก่นด่าในใจว่าหน้าไม่อาย ถึงกับแย่งของแมว
ระหว่างทางกลับวังเสวียนชิง ข้าหันหน้าไปอีกทางไม่ยอมพูดจากับเทพปี้ชิง เขาก็ไม่สนใจข้า เพียงบอกอย่างเฉียบขาดว่าต่อไปห้ามข้าไปหาหลัวช่าอีก
ข้าคิดอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลที่แฝงอยู่ภายใน เขาจะต้องกลัวว่าถ้าข้าฝึกฝนวรยุทธ์บนเตียงตามตำราภาพวังวสันต์ได้แล้ว ในวันหน้าเขาก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีก!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้! ข้ายิ่งต้องฝึกฝน! ต้องฝึกฝนวรยุทธ์บนเตียงเอาชนะเขาให้ได้! ให้วันหน้าเทพปี้ชิงต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า!
ยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม ข้ายิ้มกระหยิ่มใจขึ้นมา ทำให้เขาต้องปรายตามองมาหลายครั้ง
หลังจากกลับมาแล้ว ข้าก็รีบตามติดเทพปี้ชิงทุกฝีก้าว คิดจะขโมยตำราภาพวังวสันต์เล่มนั้นกลับคืนมา คิดไม่ถึงว่าเขาคนน่าชิงชังผู้นี้จะให้จิ่นเหวินยกปลาหลายจานมาให้ข้ากิน กว่าข้าจะกินเสร็จ หนังสือเล่มนั้นก็ไม่รู้ถูกเอาไปซ่อนไว้ที่ใดแล้ว
ข้าแอบย่องเข้าไปในห้องเขา รื้อตรงโน้น ค้นตรงนี้ บนชั้นวางหนังสือของเขามีหนังสือเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในนั้นมีแต่ตัวอักษร ดูแล้วเหมือนๆ กัน ข้าพลันพบว่าตนเองไม่รู้เลยว่า ‘ตำราภาพวังวสันต์’ เขียนอย่างไร ไม่อาจจำหนังสือเล่มนั้นได้เลย…
ปกติไม่ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ในที่สุดวันนี้ก็รู้ถึงผลเสียแล้ว ข้าหน้าม่อยคอตกขึ้นมา
หวาวาที่ตามข้ามาจัดเก็บห้องหนังสือเห็นข้าพลิกหนังสือดูก็อดเอ่ยชมไม่ได้ “ในที่สุดท่านเหมียวเหมียวก็เริ่มศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจังแล้ว ท่านเทพจะต้องดีใจเป็นแน่”
นางกับเทพปี้ชิงเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าบอกนางว่ากำลังหาตำราภาพวังวสันต์ ได้แต่ขดหางจากไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
ตกค่ำ ข้ากลายร่างกลับเป็นแมว ไปที่เตียงของเทพปี้ชิงหาที่เหมาะๆ นอน เวลานี้เขาไม่สนใจนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมไปของข้าอีกแล้ว ปล่อยตามใจข้า เพียงเขี่ยไส้ตะเกียงอ่านหนังสืออยู่ที่ด้านข้างต่อไป ไม่ได้ใส่ใจต่อการกระทำของข้า
ข้ากำลังเตรียมจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน พลันนึกถึงคำสั่งกำชับของหลัวช่าขึ้นมาได้ ‘เป่าลมข้างหมอน’ จึงรีบวิ่งไปที่หมอนของเทพปี้ชิงแล้วเป่าลมใส่ เป่าอยู่นานก็ไม่เห็นจะมีเรื่องพิเศษอะไรปรากฏขึ้น ในที่สุดก็หมดความอดทน
เทพปี้ชิงกลับมองการเคลื่อนไหวของข้าแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ข้าไม่สนใจเขา ฝึกฝนกระบวนท่าวรยุทธ์บนเตียงที่หลัวช่าสอนต่อไป ปีนขึ้นไปนอนตะแคงอยู่บนหมอน เผยให้เห็นหน้าท้องสีขาวดุจหิมะอันน่ารักของแมว จากนั้นก็ยื่นขาหลังที่มีขนปุกปุยออกไป จัดท่าทางให้ขาวางซ้อนกันอย่างยากลำบาก ใช้อุ้งเท้าหน้าค้ำปลายคาง หรี่ตาลง แล้วส่งเสียงประจบออดอ้อนออกไปคำหนึ่ง “เมี้ยว”
เทพปี้ชิงหัวเราะจนเกือบหายใจหายคอไม่ทัน เด็กรับใช้ที่อยู่นอกประตูตกอกตกใจร้องถามไม่หยุด “ท่านเทพ ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
จิตใจที่หยิ่งในเกียรติของข้าต้องถูกหยามหยันอีกครั้ง ข้ามองคนสารเลวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ด้วยความคับแค้นใจ…พยายามครุ่นคิด ที่แท้แล้ววรยุทธ์บนเตียงของตนเองทำผิดพลาดตรงที่ใด…
เห็นอยู่ว่าท่าทางถูกต้อง…
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.