X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เหมียว เหมียว เหมียว แมวน้อยอลเวง บทที่ 22-23

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ยี่สิบสอง องค์ชายสามแห่งวังมังกร

เช้าตรู่ หมอกปกคลุมไปทั่วทั้งแดนสวรรค์ บดบังทัศนียภาพทั้งหมดไว้ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ทำให้ข้าที่ไม่รู้ทางยิ่งหลงทิศทาง ไม่นานก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด

พลันนึกถึงคำถามสำคัญที่สุดคำถามหนึ่งขึ้นมา…ข้าจะไปที่ใด ข้าสามารถไปที่ใดได้

คำถามนี้ไม่มีคำตอบ

แดนสวรรค์ไม่มีป่าเขา มีแต่วัง ข้าเห็นในป่าไผ่เขียวขจีที่อยู่ไกลๆ มีภูเขาจำลองลูกหนึ่งจึงเดินเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงถ้ำในภูเขาจำลองลูกนั้น กอดหางขดตัวเป็นก้อนกลม

พอเห็นเงาต้นไผ่ด้านนอกไหวเอน ได้ยินเสียงลมพัดผ่าน ข้าก็ตกใจจนต้องชะโงกหน้าออกไปมองสำรวจรอบด้าน เมื่อพบว่าไม่มีใครมาก็จะรู้สึกทุกข์ร้อนพะวักพะวน ความรู้สึกขัดแย้งที่ทั้งไม่อยากถูกคนหาพบ ทั้งเฝ้ารอคอยให้คนมาตามหาเช่นนี้ยากจะเข้าใจได้ สุดท้ายคิดไปคิดมาข้าก็ผล็อยหลับไป

มีเสียงหยอกล้อต่อกระซิกของบุรุษกับสตรีดังมาจากที่ไกล ทำให้ข้าตกใจตื่นขึ้นมาจากหลับฝัน

ข้าเดินออกมาจากโพรงถ้ำอย่างระมัดระวัง ชะโงกหน้ามองไปยังทิศทางที่มาของเสียงก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีดำกระดุมเสื้อเลี่ยมมุก เส้นผมยาวของบุรุษมีสีเหมือนเปลวไฟ ไหลลื่นลงมาดุจแพรไหม ดูยุ่งเหยิงระเกะระกะ ดวงตาของเขาเป็นสีทองสว่างไสวดุจดวงอาทิตย์ ทว่ากลับถูกอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาปิดคลุมอยู่ ริมฝีปากของเขาบางและเม้มแน่นเป็นเส้นตรง แต่ขณะเดียวกันมุมปากก็หยักโค้งเป็นรอยยิ้มยั่วเย้า ปลายคางของเขาแหลม ทำให้รูปหน้ายิ่งดูเรียวยาวหล่อเหลา

ที่แปลกก็คือเสื้อคลุมยาวของเขาเปิดอ้าอยู่ เผยให้เห็นหน้าอกที่หนั่นแน่นแข็งแรง และมีหญิงงามนางหนึ่งสวมชุดผ้าโปร่งบางนั่งอยู่บนร่างของเขากำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างมีจังหวะ ทั้งส่งเสียงร้องครวญครางและหอบหายใจไม่หยุด

พวกเขากำลังทำอะไร ข้าชะโงกหน้าออกไปอีกนิดด้วยความอยากรู้ คิดจะเดินเข้าไปดูอย่างจริงจังให้ใกล้กว่านี้

คิดไม่ถึงว่าสายตาของบุรุษผู้นั้นจะมองข้ามหัวไหล่ของหญิงสาว และมองตรงมาที่ข้า รอยหยักโค้งที่มุมปากยิ่งกว้างขึ้น

ในเมื่อถูกพบเห็นแล้ว เช่นนั้นก็ออกไปทักทายเถิด ครั้นแล้วข้าก็เดินออกจากป่าไผ่ไปอย่างสง่าผ่าเผย พยายามโบกมือให้อย่างมีมารยาทมากที่สุดแล้วเอ่ยเสียงดัง “ยินดีที่ได้พบท่านทั้งสอง!”

บุรุษผู้นั้นพอเห็นข้าออกมาก็ตะลึงงันไป ส่วนหญิงสาวที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกายไม่หยุดกลับหยุดชะงักร่างแข็งค้างไปทันที นางหันหน้ามาช้าๆ มองข้าราวกับเห็นผี ก่อนกรีดร้องออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดลงจากร่างบุรุษผู้นั้นแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่หันมามองอีกเลย

ถูกชังน้ำหน้าอีกแล้ว ข้าทำอะไรผิดตรงที่ใดกันแน่ ข้าก้มหน้าลงอย่างหน้าม่อยคอตก ในใจยิ่งเศร้าซึม

บุรุษผู้นั้นพลันหัวเราะขึ้นมา เขาขยับเสื้อผ้าคลุมร่างอย่างลวกๆ ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าข้า มองประเมินข้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าเป็นปีศาจบ้านใด เหตุใดจึงขวัญกล้าเพียงนี้”

ข้าเห็นเขามีท่าทีอ่อนโยน ท่าทางไม่เหมือนคนที่ชิงชังข้าจึงบอกไปตามตรง “ข้าคือฮวาเหมียวเหมียว”

“ฮวาเหมียวเหมียว?” บุรุษตรงหน้าย่นหัวคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนข้าจะได้ยินอยู่ เมื่อไม่นานมานี้มีวังเซียนสักแห่งเอาแมวมาเลี้ยง…”

“ได้ยินชื่อผู้อื่นแล้วก็ต้องแจ้งชื่อของตนออกมาด้วยสิ” ข้าเงยหน้าขึ้นพูดอย่างจริงจัง

“หึๆ” บุรุษผู้นั้นหัวเราะขึ้น เขายื่นมือมาลูบเส้นผมยาวสีน้ำเงินอมม่วงของข้าแล้วบอก “ข้าชื่อเอ๋าอวิ๋น”

“เจ้าอยู่ที่นี่ทำอะไรหรือ” ข้าถามต่อ

“นัดพบกันอย่างลับๆ” แววตาของเอ๋าอวิ๋นที่มองข้ายิ่งดูประหลาด มือของเขาเลื่อนมาที่ใบหน้าของข้าพลางจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่นานก็หัวเราะ เอ่ยถามขึ้น “หรือว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจเรื่องทางโลก”

“อะไรคือ ‘เรื่องทางโลก’ ” ข้าไม่เข้าใจ

เขาไม่ได้ตอบคำถามข้า เพียงกล่าวอย่างตำหนิ “เมื่อครู่เจ้าทำให้คู่นัดหมายของข้าตกใจหนีไปแล้ว ใช่สมควรต้องชดใช้ข้าหรือไม่”

“ชดใช้อย่างไร” ข้ายังคงไม่รู้เรื่องรู้ราว

“เจ้ามาทำเรื่องทางโลกที่เมื่อครู่นางยังทำไม่เสร็จแทนนางดีหรือไม่” เอ๋าอวิ๋นโน้มตัวลงมารั้งข้าเข้าไปในอ้อมแขน ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่ตรงลำคอ ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ

เส้นผมสีแดงกับเส้นผมสีน้ำเงินอมม่วงพันพัวกัน มีบรรยากาศเย้ายวนอารมณ์อันงดงาม ข้าเบิกตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าถัดจากนี้เขาจะทำอะไร

“เพราะเหตุใดเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้จึงมาอยู่ที่นี่ได้” เขาดึงข้าให้นั่งคร่อมอยู่บนขาของเขา แล้วค่อยๆ ปลดสายรัดเอวออก

ได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าวใจ ข้าพลันลู่ใบหูลงด้วยความเสียใจ พูดเสียงกระซิบ “เพราะ…ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรผู้อื่นจึงจะชอบข้า”

การเคลื่อนไหวของเอ๋าอวิ๋นพลันหยุดชะงัก ในดวงตาเต็มไปด้วยแววขบคิด “คนที่เจ้าชอบเขาไม่ชอบเจ้าหรือ”

ข้าชอบเล่นกับหวาวาและจิ่นเหวินจริง…ดังนั้นจึงพยักหน้าจริงจัง

“คนผู้นั้นจะต้องสายตาใช้ไม่ได้ ไม่สู้เปลี่ยนเป็นข้ามาชอบเจ้า รักและทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างไร” เอ๋าอวิ๋นยิ้มพลางเอานิ้วมาแตะจมูกข้า “ขอเพียงเจ้ายอมเชื่อฟังแต่โดยดี ข้าก็จะพาเจ้ากลับวังมังกรไปเป็นอนุ”

“ดีสิๆ” บนร่างของบุรุษผู้นี้มีกลิ่นน้ำทะเลที่ข้าชอบ เขาปลอบโยนข้าด้วยความใส่ใจทำให้ข้าอดซาบซึ้งใจไม่ได้ จึงรีบพยักหน้า

เอ๋าอวิ๋นไม่พูดอะไรอีก หากแต่ปลดเสื้อตัวบนของข้าลงแล้วจุมพิตไปที่หัวไหล่ ทำรอยดอกท้อไว้หลายดอก

ข้าพลันนึกถึงคำสั่งกำชับของหลัวช่า จึงรีบดึงเสื้อกลับขึ้นมาแล้วร้องขึ้น “พี่สะใภ้เคยบอกข้าว่าไม่อาจถอดเสื้อผ้าส่งเดช จะถูกคนเลวจับกิน!”

เอ๋าอวิ๋นสีหน้าแข็งค้าง เพียงอึดใจเดียวก็หัวเราะกล่าวว่า “ที่นางบอกคือไม่ให้เจ้าถอดเสื้อผ้าส่งเดช แต่ได้บอกไม่ให้ผู้อื่นถอดให้เจ้าหรือไม่”

“นี่กลับไม่มี” ข้าสั่นศีรษะ ครั้นแล้วก็ปล่อยเขาถอดต่อไป

มือของเอ๋าอวิ๋นเริ่มเคลื่อนลงไปด้านล่าง ลูบไล้จนข้ารู้สึกจั๊กจี้ อดบิดร่างหลบไปมาไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าที่ใต้เอวของเขาจะมีกระบองซุกซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่ามีไว้ทำอะไร ข้าจึงลูบคลำด้วยความอยากรู้ทั้งชี้ถาม “นี่เป็นอาวุธของเจ้าหรือ เก็บไว้ให้ดีหน่อย”

เขาส่งเสียงครางออกมา จับมือข้าขึ้นมา หอบหายใจเอ่ยว่า “อา เจ้านี่ช่าง…น่ารักยิ่ง”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะจุมพิตริมฝีปากของข้า

ยังไม่ทันแตะถูก พลันมีกลิ่นอายจิตสังหารรุนแรงดุจหิมะน้ำแข็งแผ่กระจายมาที่ด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงเยียบเย็น “พวกเจ้ากำลังทำอะไร”

ข้าหันหน้าไปด้วยความดีใจ เทพปี้ชิงยืนอยู่ที่ด้านหลังด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขามาหาข้าแล้ว

“ท่านเทพ!” ข้ากระโดดลงจากตักเอ๋าอวิ๋น พุ่งกระโจนเข้าไปกอดเขาพลางคลอเคลีย

เขากลับถอดเสื้อคลุมออกมาห่อตัวข้าไว้ ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “เหตุใดเจ้าจึงไม่ได้กลับไปเลยทั้งคืน และเวลานี้เจ้าทำอะไรอยู่กับเขาที่นี่”

“เขา…เขาเป็นคนดีที่ข้าเพิ่งจะรู้จัก!” ข้าหันไปชี้เอ๋าอวิ๋นด้วยความภาคภูมิใจ “เขากำลังสอนข้าว่าทำอย่างไรผู้อื่นจึงจะชอบข้ากับอะไรคือเรื่องทางโลก!”

“คนดี? เรื่องทางโลก?” สีหน้าของเทพปี้ชิงยิ่งไม่ชวนมอง เขาชักกระบี่ออกมาช้าๆ

“เอ้อ…เรื่องนี้ ปี้ชิง เจ้าใจเย็นก่อน วางกระบี่ลง” เอ๋าอวิ๋นรีบสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ยิ้มแล้วบอก “แมวโง่งมตัวนี้เป็นแมวบ้านเจ้าหรือ มิน่าข้ารู้สึกว่าชื่อออกจะคุ้นหู”

“เหมียวเหมียวหาได้โง่งม!” ข้าได้ยินเขาหยามหมิ่น พลันโกรธขึ้นมา

“เงียบ!” เทพปี้ชิงหันมาดุข้าเสียงดัง ดูเหมือนจะโกรธมาก ข้าจึงต้องหดศีรษะกลับไปแต่โดยดี เขาหันไปกล่าวกับเอ๋าอวิ๋นอย่างมีเหตุผลเต็มไปด้วยสัจธรรม “ปกติพฤติกรรมเที่ยวล่อลวงเซียนต่างๆ ในแดนสวรรค์ของเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า แต่ปีศาจแมวตัวนี้เป็นลูกศิษย์ของข้า ไม่อาจปล่อยให้เจ้าแตะต้องส่งเดชได้”

“ลูกศิษย์? ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง?” สีหน้าท่าทางของเอ๋าอวิ๋นออกจะประหลาดใจ

เทพปี้ชิงเดือดดาลสุดขีด เงื้อมือกวัดแกว่งกระบี่ ป่าไผ่ทั้งแถบเอียงโค่นตามไป รวมถึงเส้นผมสีแดงหลายปอยของเอ๋าอวิ๋น “ปีศาจตนนี้นิสัยเหมือนเด็ก อย่าสอนเรื่องสกปรกโสมมให้กับนาง!”

“อ้อ…” เอ๋าอวิ๋นท่าทางคล้ายตระหนักรู้ขึ้นมา ยิ้มชั่วร้ายแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าคิดจะเลี้ยงให้เติบใหญ่แล้วเอาไว้เสพสุขเอง”

พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง เทพปี้ชิงก็เสือกกระบี่เข้าใส่เขาทันที

บทที่ยี่สิบสาม ถูกหวดก้น

พลังกระบี่ของเทพปี้ชิงเปลี่ยนเป็นแสงโชติช่วงสีเขียวอมดำ กดคุกคามไปรอบทิศ เอ๋าอวิ๋นยื่นมือขึ้นไปในอากาศ แหวนฝังโมราสีแดงวงหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นหอกยาว ต้านรับตาข่ายกระบี่ที่ฟาดฟันเข้ามา

เงาร่างสองสายคล้ายลำแสงที่แวบไปแวบมาอยู่กลางอากาศ ประเดี๋ยวปะทะกันประเดี๋ยวก็แยกจากกันไม่หยุด ข้ามองจนละลานตาไปหมด ในใจแอบโห่ร้องสนับสนุน

เอ๋าอวิ๋นต้านรับได้ไม่กี่กระบวนท่า พลันกระโดดถอยออกจากวงต่อสู้แล้วยิ้มเอ่ยว่า “วรยุทธ์ของเทพปี้ชิงก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ผู้น้อยขอยอมแพ้”

คำพูดที่ว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้* ดูเหมือนจะใช้กับเทพปี้ชิงไม่ได้ กระบี่ในมือของเขาเปลี่ยนเป็นแส้ยาว ตวัดฟาดไปยังร่างเอ๋าอวิ๋นพร้อมกรวดหินดินทรายประดุจสายฟ้าฟาด

เอ๋าอวิ๋นรีบกระโดดหนีขึ้นไปด้านบน เหาะขึ้นก้อนเมฆ จากไปอย่างว่องไว ก่อนไปปากยังร้องตะโกน “นางหนูเหมียวเหมียว คราวหน้าข้าค่อยมาเล่นกับเจ้าใหม่!”

ข้ากำลังคิดจะโบกมือลาเขา กลับพบว่าเทพปี้ชิงที่อยู่ข้างๆ กำลังจ้องข้าด้วยสีหน้าไม่ชวนมอง ฉับพลันลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ หน้าผากข้ามีเหงื่อเย็นซึมออกมา ใบหูลู่ลง

เหมียวเหมียวทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ

เขาเดินเข้ามาใกล้ข้าก้าวหนึ่ง ข้าก็ขยับถอยหลังไปอย่างรวดเร็วก้าวหนึ่ง ทั้งจ้องดวงตาของเขาอย่างระแวดระวัง พบว่าเพลิงโทสะในดวงตาเขายิ่งลุกโชน เหมือนอยากจะจับข้าถลกหนังกลืนลงไปทั้งเป็น

“มานี่!” เทพปี้ชิงพูดเสียงเย็นชา

ถูกทำให้ตกใจจนขนหางพองขึ้น ข้าสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย แสดงท่าทีแม้ต้องสู้ตายก็ไม่ปฏิบัติตาม ไม่มีทางเดินเข้าไปหาความตายแน่นอน

“ข้าไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สอง” เทพปี้ชิงออกคำสั่งอีกครั้ง

น้ำเสียงที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ของเขาทำให้ข้ายิ่งหวาดกลัว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวคิดจะหมุนตัววิ่งหนี น่าเสียดาย ดูเหมือนเขาจะอ่านความคิดของข้าออก อีกทั้งมีความเร็วเหนือกว่าข้า ในขณะที่แผนการหลบหนียังทำไม่สำเร็จ ข้าก็ถูกรวบเอวอุ้มขึ้นมา คว่ำร่างพาดไปบนตักของเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย และเอาแส้หนังมัดมือทั้งสองข้างไว้ ร่างถูกกดจนไม่อาจขยับตัวได้ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือก้นที่ปวดแสบปวดร้อน

“เมี้ยว!” ทันทีที่ฝ่ามือฟาดลงบนก้นเป็นครั้งแรก ข้าก็เริ่มกรีดร้องเสียงแหลมและเศร้ากำสรด พยายามบิดร่างจะหลบหนีการลงโทษที่นับว่าโหดร้ายทารุณและไร้คุณธรรมในหมู่แมว ยังหันหน้าไปมองเขาด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ วิงวอนให้หยุดมือ

การดิ้นรนที่ทำไปทั้งหมดนี้ล้วนไร้ประโยชน์ ฝ่ามือยิ่งฟาดเร็วขึ้น เสียงก้องกังวาน ฟาดลงบนก้นน้อยๆ ของข้า เจ็บจนแทบทนไม่ไหว ข้าโกรธขึ้นมาจึงหมายกัดลงไปที่ขาของเขาอย่างแรง แต่กลับถูกเขาสังเกตเห็นเสียก่อน จึงคว้าผ้ามาอุดปากข้าไว้ ข้าได้แต่คราง “อูอู” ทำอย่างไรก็ร้องไม่ออก

ข้าพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เสื้อคลุมหลุดจากตัวเผยให้เห็นแผ่นหลังและหัวไหล่ที่เปล่าเปลือย เทพปี้ชิงพลันหยุดมือ ลูบไล้หัวไหล่ของข้า นิ้วมือของเขาไล้ผ่านรอยสีม่วงอมแดงดุจบุปผาหลายรอยที่เกิดจากริมฝีปากของเอ๋าอวิ๋น คล้ายกำลังลังเลอะไร ก่อนเขาจะเอาเสื้อคลุมห่อร่างข้าไว้อีกครั้ง จากนั้นก็โหมกระหน่ำฝ่ามือลงบนก้นของข้าแรงขึ้น…

ไม่รู้ตีอยู่นานเพียงใด กระทั่งข้ารู้สึกว่าก้นของข้าบวมขึ้นมาแล้ว เจ็บจนแทบจะด้านชา ในที่สุดเทพปี้ชิงก็หยุดมือ พลิกตัวข้าผู้น่าสงสารขึ้นมาราวกับพลิกขนมเปี๊ยะทอดแล้วอุ้มขึ้นมา จากนั้นก็บอกเสียงเฉียบขาด “ถ้าวันหน้าเจ้าให้บุรุษอื่นถอดเสื้อผ้าอีก หรือให้พวกเขากอดจูบส่งเดช ข้าจะฟาดเจ้าให้หนักกว่านี้”

เป็นเสื้อผ้าก่อเหตุขึ้นอีกแล้ว ข้าลูบก้นที่บวมแดง อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา พยักหน้าติดๆ กัน พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รีบเอ่ยถาม “ถ้าเป็นพวกหวาวาช่วยข้าถอดเสื้อผ้าเล่า”

“ได้” เทพปี้ชิงอุ้มข้าขึ้นมา แตะบริเวณที่เจ็บอย่างระมัดระวัง

“แล้วถ้าท่านช่วยข้าถอดเล่า” ข้าถามต่อ

สีหน้าของเทพปี้ชิงออกจะไม่ชวนมอง เขาพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็เขกศีรษะข้าอย่างแรงแล้วบอก “แมวโง่เขลา!”

แล้วได้หรือไม่ได้กันแน่ ข้าคลำรอยปูดบนศีรษะ ในใจยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม…

 

 

เทพปี้ชิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาอุ้มข้าก้าวยาวๆ ไปทางวังเสวียนชิง เดินพลางเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักเอ๋าอวิ๋นได้อย่างไร”

ข้าอยู่ในอ้อมแขนของเขาและเล่าเรื่องที่ผ่านมาเจอเขากับหญิงผู้นั้นออกกำลังอยู่ด้วยกันไปตามความเป็นจริง ข้ากล่าวทักทายอย่างมีมารยาท แต่นางกลับวิ่งหนีไปทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถาม “เป็นเพราะนางไม่ชอบเหมียวเหมียว ดังนั้นจึงหนีไปใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่…” ริมฝีปากของเทพปี้ชิงกระตุกอยู่หลายครั้ง คล้ายอยากอธิบายแต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สุดท้ายเขาถึงกับหัวเราะออกมา หลังจากหัวเราะอยู่นานจึงบอก “ต่อไปถ้าเจ้าพบเห็นเรื่องเช่นนี้จงรีบหลบไปเสีย อย่าดู”

ข้าไม่เข้าใจ แต่เขาไม่ได้อธิบายต่อ เพียงถามต่อไป “เพราะเหตุใดเจ้าจึงหนีออกมากลางดึก ไม่ยอมกลับไป”

คำพูดประโยคนี้ ในที่สุดก็ทำให้ข้าที่กำลังเจ็บปวดจากการถูกหวดก้นและครุ่นคิดถึงปัญหาแปลกใหม่ต่างๆ ที่ได้มาพบเจอ พลันตระหนักขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง นึกขึ้นมาได้ว่าจุดประสงค์แรกสุดของข้าก็คือหนีออกจากบ้าน

ข้าจึงรีบดิ้นรน คิดจะสลัดให้หลุดจากมือของเขาและพูดด้วยเสียงอันดัง “ข้าไม่กลับไปวังเสวียนชิง!”

“เพราะเหตุใด” เสียงของเขาเยียบเย็นลงอีกครั้ง

“เพราะ…เพราะ…” ข้าลู่ใบหูลง พูดตะกุกตะกัก “ทุก…ทุกคนต่างไม่ชอบเหมียวเหมียว…ดังนั้นข้าจึงไม่อยากอยู่ที่นั่น”

“ใครบอกหรือ” เทพปี้ชิงถามต่อ

“สายตาของทุกคนบอกกับข้า” ข้าเงยหน้าขึ้น มองดวงตางดงามคู่นั้นของเขา พูดขึ้นเบาๆ “มีเพียงท่านที่ชอบเหมียวเหมียว ดังนั้นเหมียวเหมียวจึงชอบท่าน แต่…ข้าไม่ชอบวังเสวียนชิง”

เทพปี้ชิงหยุดฝีเท้า เขาถามข้า “แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดทุกคนจึงไม่ชอบเจ้า”

“เพราะข้าไม่มีสมอง ไม่รู้จักคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น…” ข้ายกคำพูดของจิ่นเหวินออกมาพูดด้วยท่าทางหน้าม่อยคอตก จากนั้นก็ถามเขา “ทำอย่างไรจึงจะทำให้ทุกคนชอบข้าได้”

ดูเหมือนคำถามนี้จะสร้างความลำบากให้เทพปี้ชิงแล้ว หลังจากเขาพาข้ากลับมาถึงวังเสวียนชิง เขาก็ขังตนเองอยู่ในห้องหนังสือ กระทั่งเวลาอาหารเย็นก็ยังไม่ออกมา

ส่วนข้านอนอยู่ที่ห้องของตน หวาวาช่วยข้าทายาที่ก้นซึ่งถูกตีจนบวมแดง

นางมือเบาและนุ่มนวลยิ่ง กลิ่นของยาขี้ผึ้งก็หอมหวาน ทาลงไปแล้วรู้สึกเย็นสบาย แต่ข้าไม่กล้ามองหน้าหวาวา ไม่กล้ามองตานาง กลัวจะเห็นความหวาดกลัวและความชิงชังที่นางมีต่อข้าอีก…

จิ่นเหวินทำตามที่นางพูดไว้จริงๆ ไม่ทำอาหารให้ข้าอีก ไม่ว่าหัวหน้าสาวใช้ในห้องครัวจะด่าทอต่อว่าอย่างไร นางก็แสร้งทำเป็นป่วยลุกไม่ขึ้น ครั้งนี้ข้าไม่ได้กระเง้ากระงอดแง่งอน เพียงกินปลาที่รสชาติสู้จิ่นเหวินทำไม่ได้แต่โดยดี จากนั้นก็ไปที่ห้องหนังสือของเทพปี้ชิง พุ่งถลันเข้าไป

ข้างกายเทพปี้ชิงมีหนังสืออยู่จำนวนมาก พอเขาเห็นข้าเข้ามาก็ถอนใจบอกว่า “เพราะเหตุใดเจ้าจะต้องให้คนอื่นชอบเจ้าด้วย อันที่จริงแค่เกรงกลัวกับเคารพนับถือก็พอแล้ว”

“เกรงกลัวกับเคารพนับถือคือความชอบหรือ” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ

เทพปี้ชิงก้มหน้าไม่ตอบ

“ครั้งก่อนข้าได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงสหาย ที่แท้สหายคืออะไร”

เทพปี้ชิงยังคงไม่พูดอะไร

“ท่านร้ายกาจเพียงนี้ ใช่มีคนชอบท่านมากมายหรือไม่”

เทพปี้ชิงพลันยืนขึ้น เขาพูดกับข้าอย่างนุ่มนวล “ดึกแล้ว เจ้าไปนอนก่อนเถิด ไว้ข้าเข้าใจแล้วค่อยให้คำตอบแก่เจ้า”

จากนั้นเขาก็เรียกเสี่ยวหลินมา ให้เสี่ยวหลินไปส่งข้ากลับห้อง

ข้าเห็นเทพปี้ชิงเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงพยักหน้าแต่โดยดี คืนนี้จะไม่มารบกวนเขาอีก และตามเสี่ยวหลินกลับห้องพักแต่โดยดี

ระหว่างทาง จู่ๆ เสี่ยวหลินก็พูดกับข้าเบาๆ “ท่านเทพ…เขาไม่มีสหาย”

“เพราะเหตุใด” ข้าประหลาดใจขึ้นมา

เสี่ยวหลินไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพียงยิ้มแล้วบอกกับข้า “ข้าจะบอกวิธีทำอย่างไรให้ทุกคนชอบเจ้า ดีหรือไม่”

ข้ารีบจับตัวเขาไว้แล้วพยักหน้า

“จะให้ผู้อื่นชอบเจ้า เจ้าต้องชอบผู้อื่นก่อน จะให้ผู้อื่นเอาใจใส่เจ้า เจ้าต้องเอาใจใส่ผู้อื่นก่อน” เสี่ยวหลินเอ่ยช้าๆ “มีเพียงความร้ายกาจนั้นไม่พอ”

“ข้าชอบหวาวา แต่นางไม่ชอบข้า…”

เสี่ยวหลินหยุดเดิน เขาพูดกับข้าด้วยท่าทางลึกลับ “จะบอกคาถาที่ได้ผลที่สุดที่จะทำให้เจ้ากับหวาวาเป็นสหายกัน”

ข้ารีบตั้งหูขึ้นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ไปบอกกับนางว่า ‘ขออภัย’ ”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: