บทที่ยี่สิบสี่ คาถาอันศักดิ์สิทธิ์
“ขออภัย ขออภัย ขออภัย…”
คำสองคำนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงนั้นจริงหรือ ข้าครุ่นคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ
กลับไปถึงห้องพักของตน หวาวายังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาด นางมือเท้าไม่เคยได้หยุดพัก ทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ คล้ายคิดจัดเก็บห้องให้สะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นจับ
ข้าก้มหน้าเดินเข้าไป ดึงแขนเสื้อของนาง หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ขออภัย”
สีหน้าของหวาวาดูตื่นตะลึงมาก นางโบกมือติดๆ กัน “ท่านเหมียวเหมียว ท่านกำลังพูดอะไร หวาวาแบกรับไม่ไหว”
“ขออภัย! ขออภัย! ขออภัย!” ข้าเห็นท่าทางของนางแล้วรีบท่องคาถานี้เสียงดังหลายๆ ครั้ง จากนั้นก็มองดวงตาของนางอย่างระมัดระวัง “หวาวาอย่าชิงชังเหมียวเหมียวจะได้หรือไม่”
“ข้า…ข้า…เปล่า…” หวาวาดูมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก นางหน้าแดงสั่นศีรษะไม่หยุด จู่ๆ ก็พยักหน้า “ข้า…ความจริงข้าก็ไม่ได้ชิงชังท่าน…เพียงแต่…ท่านพละกำลังมาก ทำให้ข้ากลัว…”
“จริงหรือ!” ข้าดวงตาเป็นประกาย หูตั้งขึ้น
หวาวาผงกศีรษะแรงๆ นางลังเลอยู่นานจึงพูดเบาๆ “ท่านเหมียวเหมียว…ต่อไปท่านอย่าเล่นกับข้าจะได้หรือไม่ ข้า…จะได้รับบาดเจ็บ”
ข้าพูดด้วยสีหน้าเหยเก “แต่…ข้าเข้าใจว่าเจ้าชอบเล่น”
“ข้าไม่ชอบเล่นเกลือกกลิ้งบนพื้น!” หวาวาร้องขึ้น “ข้าเพียงแต่กลัวว่าถ้าไม่เล่นกับท่าน ท่านจะตีข้า หรือไปฟ้อง…”
“อะไรคือฟ้อง” ข้าถาม
“ข้าอาจจะคิดมากไป” หวาวาหน้าแดงเล็กน้อย
ข้ากระดิกหูแล้วถามอย่างเฝ้ารอคอยคำตอบ “หวาวาชอบเล่นอะไรหรือ”
หลังจากหวาวาคิดอยู่นานก็บอกอย่างขัดเขิน “เพราะข้าเป็นปีศาจบุปผา ดังนั้นจึงชอบนั่งเหม่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น”
“ได้! คราวหน้าข้าจะเล่นนั่งเหม่อกับเจ้า!”
“นั่งเหม่อไม่ใช่การเล่น”
“แล้วเป็นอะไรหรือ”
“ช่างเถิด”
ข้าได้เห็นรอยยิ้มของหวาวาเป็นครั้งแรก ที่แท้บนใบหน้าของนางมีลักยิ้มเล็กๆ สองข้าง ยังมีฟันเขี้ยวเล็กๆ ดูยิ้มหวานยิ่ง เปรียบกับสีหน้าตื่นเต้นหวาดกลัวเช่นที่ผ่านมาแล้วงดงามกว่ามาก น่ารักเสียจนทำให้ข้า…ห้ามใจไม่อยู่ กระโจนเข้าไปโดยควบคุมพละกำลังไว้ เอาศีรษะถูไถนางหลายครั้ง นางลูบศีรษะของข้าแล้วหัวเราะคิกๆ ออกมา
มืดค่ำลง พวกเราสองคนไม่ได้ดับตะเกียงเป็นเวลายาวนาน เอาแต่พูดคุยกัน ข้าเล่าเรื่องมากมายตอนอยู่ภูเขาลั่วอิงให้นางฟัง ทัศนียภาพที่งดงามผืนนั้นและชีวิตความเป็นอยู่ที่มีอิสรเสรี ยังมีเรื่องเล่าการทำศึกกับมารปีศาจจากทุกเส้นทางอันน่าเกรงขาม หวาวาฟังแล้วอิจฉามาก บอกไม่หยุดว่าจะหาโอกาสลงไปเที่ยวเล่นที่แดนมนุษย์บ้าง
สำหรับเรื่องนี้ ข้าแสดงท่าทีไม่แน่ใจต่อร่างกายที่อ่อนแอของนาง ไม่ว่าปีศาจตนใดก็สามารถสังหารนางได้ หลังจากนางฟังแล้วก็หน้าม่อยคอตก ครั้นแล้วข้าก็รับปากจะเป็นองครักษ์ให้นาง จากนั้นหวาวาก็เล่าเรื่องของนางให้ข้าฟัง นางบอกนางเป็นดอกบัวหิมะที่ใช้น้ำซึ่งทดมาจากน้ำพุน้ำแข็งในแดนสวรรค์มาบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาหลายร้อยปีจนกลายเป็นปีศาจ เพิ่งเป็นปีศาจได้ไม่นานก็ถูกจัดสรรให้มาเป็นสาวใช้ในวังของเทพปี้ชิง เสียดายที่แม้นางจะขยันขันแข็ง แต่ก็ทำผิดพลาดทั้งวัน จึงไม่เคยได้รับการเลื่อนขั้น ฌานตบะก็ยากจะรุดหน้า จนบัดนี้ก็ยังเป็นปีศาจน้อยที่ไม่มีพลังอะไร
ต่อมานางก็เอ่ยถึงเรื่องที่ลึกซึ้งมากเรื่องหนึ่งด้วยความอยากรู้ “ข้าได้ยินว่าบุรุษกับสตรีนอนด้วยกันจะต้องตั้งครรภ์ เจ้านอนกับท่านเทพทุกคืนใช่จะต้องตั้งครรภ์หรือไม่”
“ไม่” ข้าตอบนางโดยไม่ต้องคิด เพราะข้าเป็นแมวหาใช่สตรี ต้องนอนกับแมวตัวผู้จึงจะตั้งครรภ์
“แล้วต้องทำเช่นไรจึงจะตั้งครรภ์” นางถามด้วยความอยากรู้ “ข้ารู้ว่าคนสองคนนอนอยู่ด้วยกันก็จะมีลูก แต่ขั้นตอนชัดเจนทุกคนต่างไม่บอกข้า…”
ตอนอยู่ภูเขาลั่วอิง ข้าเห็นสัตว์ทั้งหลายที่ให้กำเนิดลูกล้วนแต่คลอดออกมา ส่วนขั้นตอนที่แน่ชัดข้ากลับไม่รู้ แต่ข้ารับปากกับหวาวาอย่างมีน้ำใจ จะต้องไปหาเทพปี้ชิงและถามเรื่องนี้ให้รู้ชัดเจนให้ได้
หวาวากลับกรีดร้องจับมือข้าไว้แล้วเอ่ยวิงวอน “ถ้าให้เทพปี้ชิงรู้เรื่องนี้ ข้าต้องถูกตีตายแน่ ไม่อาจบอกเขาเด็ดขาด!”
ข้ามองท่าทางเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของนางแล้วก็เกาๆ หูอย่างอับจนปัญญา ตัดสินใจว่าวันหน้าค่อยถามอิ๋นจื่อหรือเอ๋าอวิ๋น…
พวกเราสองคนคุยเล่นหัวเราะกันถึงดึกดื่นค่อนคืน ในที่สุดก็นอนลง คิดไม่ถึงว่าวันรุ่งขึ้นพอเช้าขึ้นมา เทพปี้ชิงก็ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องหนังสือ
ข้าอ้าปากหาว ไม่ยอมลุกจากเตียง แต่ก็อับจนปัญญาด้วยหวาวาตะโกนเร่งอยู่ข้างหูข้าไม่หยุด ในที่สุดก็เร่งจนสมองข้าตื่นมาครึ่งหนึ่ง เดินตามนางออกประตูไปอย่างเลอะๆ เลือนๆ
เทพปี้ชิงอยู่ในห้องหนังสือ หยิบหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งยื่นให้ข้า “เจ้ากรอกพลังปีศาจเข้าไปในนี้ ข้าจะดูว่าเจ้าบำเพ็ญเพียรถึงขั้นใดแล้ว”
ข้ารับก้อนหินโปร่งแสงเกลี้ยงเกลาก้อนนั้นมา ถือเล่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำตามที่เขาบอก เอาพลังปีศาจกรอกเข้าไป คิดไม่ถึงว่าก้อนหินพลันเปล่งแสงโชติช่วงเจิดจ้า จากสีน้ำเงินจางไปเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้วกลายเป็นสีชมพู สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ข้ามองการเปลี่ยนแปลงของสีสันด้วยความตื่นตะลึง ชอบใจอย่างมาก ครั้นแล้วก็ถือไว้ไม่ยอมปล่อยมือคืนให้เทพปี้ชิง
เขาก็ไม่ได้เร่งรัดขอคืนจากข้า เพียงมองจ้องหน้าข้า หลังจากมองอยู่นานจึงบอก “ฌานตบะของเจ้าน่าจะเป็นปีศาจมาแล้วนับพันปี ทว่าเหตุใดสติปัญญากลับอยู่ในระดับปีศาจเยาว์วัยเท่านั้น”
ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เขาถามนัก เพียงสั่นศีรษะแสดงท่าทีไม่รู้
“แต่ก็ช่างเถิด” สุดท้ายเทพปี้ชิงก็ทอดถอนใจ เขาโน้มตัวลงมาพูดกับข้าอย่างนุ่มนวล “ข้าส่งเจ้าไปสถานศึกษาที่ตั้งขึ้นมาสำหรับปีศาจเยาว์วัยในแดนสวรรค์ดีหรือไม่”
“อะไรคือสถานศึกษา” ข้าถามด้วยความอยากรู้
เทพปี้ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก “ก็คือสถานที่ที่เจ้าจะศึกษาหาความรู้”
“ไม่ไป” ข้าปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด
“ถึงแม้เจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ที่ข้าเชี่ยวชาญคือวิชาอาคมในการสู้รบ อีกทั้งประสบการณ์ในการสั่งสอนศิษย์ของข้ายังไม่เพียงพอ ยากจะสอนความรู้ทั่วไปในขั้นต้นให้แก่เจ้าได้” เทพปี้ชิงค่อยๆ โน้มน้าวไปตามลำดับอย่างมีขั้นตอน
ข้าเอาหินก้อนเล็กในมือเก็บเข้าไปในอกเสื้อ กลัวจะถูกเขาเก็บคืน จากนั้นก็ถามขึ้น “ท่านยังไม่ได้อธิบายให้ข้าฟังอะไรคือลูกศิษย์ ลูกศิษย์ต้องทำอะไร”
“ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้กับเจ้าด้วยตนเอง เรียกว่าอาจารย์ ผู้รับการถ่ายทอดก็คือลูกศิษย์” เทพปี้ชิงย่นหัวคิ้ว พยายามอธิบายให้ข้าฟัง “สรุปก็คือต่อไปเจ้าพึงเคารพอาจารย์ ด้วยการให้ความสำคัญต่อการศึกษาเล่าเรียนของตน เชื่อฟังคำพูดของข้า ยังมี ลูกศิษย์ต้องติดตามศึกษากับอาจารย์ อาจารย์มีพระคุณดุจบิดาดุจพี่ชาย ดังนั้นจึงต้องเรียกข้าว่าอาจารย์”
ข้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจทันที “ข้าไม่อยากเป็นลูกศิษย์ของท่าน!”
สีหน้าของเทพปี้ชิงเปลี่ยนเป็นไม่ชวนมองในทันที เขาตวาดขึ้น “แล้วเจ้าอยากจะเป็นอะไร!”
“เหมียวเหมียวจะเป็นสัตว์เลี้ยง!” ข้าบอกเสียงดังด้วยความเบิกบานใจ
เทพปี้ชิงกลายเป็นหินไปแล้ว เป็นนานเขาจึงได้สติกลับคืนมา “สัตว์เลี้ยง?”
“เป็นสัตว์เลี้ยงดียิ่ง ท่านจะต้องให้ข้ากินข้าดื่มทุกวัน จากนั้นก็เล่นกับข้า หยอกล้อข้าให้เบิกบานใจ ยังต้องรักข้า เอ็นดูข้า เอาใจใส่ข้า ดังนั้นข้าจะเป็นสัตว์เลี้ยงไม่เป็นลูกศิษย์!” ข้ายกนิ้วขึ้นมานับข้อดีด้วยความกระหยิ่มใจ
“เหลวไหล!” เทพปี้ชิงตวาดด้วยความเดือดดาล พริบตาเดียวเขาก็อดใจไม่อยู่ แอบหัวเราะแล้ว
ข้าลู่หูลงแล้วยืนยันอีกครั้ง “อย่างไรเสีย…เหมียวเหมียวก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน”
เทพปี้ชิงรีบวางสีหน้าเคร่งขรึม กระแอมกระไอไปหลายคำแล้วบอกเสียงเฉียบขาด “เจ้าเลือกได้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ หรือจะถูกหวดก้น”
“เมี้ยวๆๆ…” ข้าร้องออกมาหลายคำด้วยความคับแค้นใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากนั้นก็คลำๆ ก้นที่ยังไม่หายเจ็บ จมอยู่ในความกลัดกลุ้ม รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าพฤติกรรมการใช้อำนาจป่าเถื่อนมาข่มขู่บังคับผู้อื่นของเขาช่างไร้ยางอายยิ่ง!
บทที่ยี่สิบห้า ความลับของจิ่นเหวิน
“เทพปี้ชิง…” ข้าเดินวนรอบตัวเขาอยู่หลายรอบ พยายามจะเปลี่ยนการตัดสินใจที่น่าคับแค้นใจนี้
เขากลับมีรอยยิ้มเยียบเย็นประดับที่มุมปาก จากนั้นก็เงื้อฝ่ามือกว้างราวกับพัดใบผูขึ้น โบกไปตรงหน้าข้าหลายครั้ง “เรียกว่าอะไรนะ”
“อาจารย์…” ข้าประนีประนอมอย่างไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี เสียหน้าเผ่าพันธุ์แมวจนหมดสิ้น
หลังจากจัดการปัญหาคำเรียกขานเสร็จ เขาก็บอกกับข้า “เจ้าไปสถานศึกษาจะได้รู้จักกับปีศาจที่มีความสามารถใกล้เคียงกับเจ้า ไม่แน่อาจมีสหายเพิ่มขึ้น”
ข้าถามเขาว่า “อะไรคือสหาย ใช่ข้าชอบอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ชอบข้าจึงนับเป็นสหายหรือไม่”
เทพปี้ชิงพยักหน้า ข้าจึงถามต่อ “แล้วท่านกับข้าใช่สหายกันหรือไม่”
สีหน้าของเขาแข็งกระด้างอีกครั้ง จากนั้นก็พูดอย่างเน้นย้ำทีละคำ “เราเป็นศิษย์อาจารย์…”
ข้ามองเขาอย่างหยามหยันแวบหนึ่ง “ศิษย์อาจารย์ไม่อาจเป็นสหายกันหรือ ข้ากับหวาวาต่างก็ชอบกันและกัน ดังนั้นข้ากับหวาวาจึงเป็นสหายกัน!”
“พวกเจ้าคืนดีกันแล้ว?” เทพปี้ชิงพลันถามขึ้น “ทำเช่นไรหรือ”
“ต้องชอบผู้อื่นก่อน ผู้อื่นจึงจะชอบท่าน” ข้าเล่าเรื่องที่เสี่ยวหลินบอกเคล็ดลับและคาถาคำว่า ‘ขออภัย’ แก่ข้าให้เขาฟังด้วยความภาคภูมิใจ คิดไม่ถึงว่าเขาฟังแล้วกลับจมอยู่ในความครุ่นคิด ครู่เดียวก็ตบๆ ศีรษะข้าจากนั้นก็เดินออกประตูไป
ข้านอนหลับไปพลางรอไปพลาง ผ่านไปนานมากแล้วก็ยังไม่เห็นเขากลับมา ข้าจึงไปที่ห้องของจิ่นเหวิน ไปเยี่ยมนาง
ทั้งวังเสวียนชิงมีจิ่นเหวินเป็นปลาอยู่ตัวเดียว จะหานางไม่ใช่เรื่องยาก เพียงสูดดมกลิ่น ไม่นานข้าก็มาถึงห้องปีกข้าง ยังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของจิ่นเหวินดังแว่วมา จึงรีบผลักประตูเข้าไปข้างใน
จิ่นเหวินพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น “วันนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ลุกจากเตียงไม่ไหว เปลี่ยนคนทำอาหารเถิด”
“เมี้ยว ไม่ได้มาหาเจ้าเพื่อให้ไปทำอาหาร” ข้ารีบตอบ
“เป็นเจ้า” จิ่นเหวินเงยหน้าขึ้นมาทันที ในดวงตาที่มองข้ามีแววระแวดระวัง “เจ้ามาทำอะไร”
ข้ามองดวงตาแดงก่ำของนางที่ยังมีหยาดน้ำตา จึงยื่นมือออกไปเช็ดเบาๆ แล้วกล่าวกับนางอย่างจริงจัง “จิ่นเหวิน ขออภัย”
จิ่นเหวินตะลึงงัน จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้ามีอะไรต้องขออภัยข้า เป็นตัวข้าเองที่ไม่รู้จักประมาณตนอาจเอื้อมจะตีเสมอท่านเทพ!”
“จิ่นเหวิน ขออภัย” ข้าพูดซ้ำอีกครั้ง จากนั้นก็เบิกตาโตบอก “แม้เหมียวเหมียวจะโง่งม แต่เจ้าอย่าชิงชังข้าได้หรือไม่”
“ได้สิ เจ้าไปเอาลูกกลอนเซียนของไท่ซั่งเหล่าจวิน มาให้ข้าเม็ดหนึ่ง ข้าก็จะไม่ชิงชังเจ้า!” จิ่นเหวินพูดพลางยิ้มหยัน
“ตกลง!” ข้ารับปากโดยไม่แม้แต่จะคิด
จิ่นเหวินเห็นข้ารับปากทันควัน กลับประหลาดใจขึ้นมา นางพูดตะกุกตะกัก “เจ้ารู้หรือไม่…ลูกกลอนเซียนล้ำค่ามาก มีเพียงเซียนระดับสูงเท่านั้นจึงจะมี…”
“อาจารย์มีหรือไม่” ข้าหันหน้าไป “ข้าจะไปขอจากเขา”
“แต่…แต่…เป็นสิ่งล้ำค่ามาก…เขาจะให้หรือ…” จิ่นเหวินลังเลขึ้นมา ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยแววเฝ้าปรารถนา
“อาจารย์รักข้ามาก ต้องให้แน่!” ข้าตบอกด้วยความมั่นอกมั่นใจ ออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปห้องของเทพปี้ชิงอย่างรวดเร็ว
ฟ้าใกล้พลบค่ำ ในที่สุดเขาก็กลับมาจากข้างนอก ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม เห็นข้ารื้อค้นโน่นนี่อยู่ในห้องก็ไม่โกรธ ตรงเข้ามาอุ้มข้าพาเดินไปห้องหนังสือ “มา คัดอักษรต่อ”
ข้ารีบกระโดดลงจากอ้อมแขนของเขา แบมือไปแล้วบอก “ข้าต้องการลูกกลอนเซียนของไท่ซั่งเหล่าจวิน เอาให้ข้า”
“เจ้ารู้จักของสิ่งนั้นได้อย่างไร” เขางงงันไปชั่วขณะ “จะเอาไปทำอะไร”
“ให้จิ่นเหวิน” ข้าตอบไปตามความเป็นจริง
“ไม่ได้” เทพปี้ชิงโบกมือ “ลูกกลอนเซียนนี้สามพันปีจึงจะหลอมได้เตาหนึ่ง สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ รักษาโรคได้ร้อยแปด ในมือข้าเหลืออยู่เพียงสองเม็ด เป็นสิ่งล้ำค่าไว้คุ้มครองตัว ไม่อาจให้ใครง่ายๆ”
ข้ารีบรบเร้าออดอ้อนเขา เซ้าซี้อยู่เป็นนานสองนาน เขาถอนใจบอก “จิ่นเหวินเป็นคนที่วังมังกรส่งมา คนผู้นี้แต่ไรมาหูตาแพรวพราวไม่สำรวม มีเสียงเล่าลือไม่ค่อยดี เกรงว่าจะมีเจตนาไม่ดี เวลานี้ยังจะหลอกใช้ความไม่รู้ของเจ้ามาขอลูกกลอนเซียนอีก ข้ายิ่งไม่อาจให้นาง”
ไม่มีทางทำให้เขายอมรับปากได้เสียที ข้าจึงนำคำพูดของท่านเทพไปบอกแก่จิ่นเหวินด้วยท่าทางอับจนปัญญา จิ่นเหวินรับฟังอย่างสงบนิ่ง นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ ตอนแรกข้าก็คิดจะพึ่งพาเทพเซียนระดับสูงสักคน จากนั้นก็หลอกล่อให้ได้ลูกกลอนเซียนมา ปรากฏว่ายังคงยากเกินไป”
“ลูกกลอนเซียนเอามาทำอะไรหรือ” ข้าไม่เข้าใจ “อร่อยหรือ”
“แมวโง่…” ในดวงตาของจิ่นเหวินไม่มีความเกลียดชังเช่นแต่ก่อน มีแต่ความอับจนปัญญาอย่างที่สุด “เสี่ยวเสียนน้องสาวของข้า ตั้งแต่เมื่อร้อยยี่สิบสามปีก่อนนางถูกเย่าหยางแม่ทัพแดนมารหลอกจนตกลงไปในหลุมพราง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงจิตแตกเป็นเสี่ยง แม้ข้าจะเชิญหมอลือชื่อมาทั่วแต่ก็ไม่อาจรักษาให้หายดีได้ ต้องเห็นนางร้องครวญครางด้วยความทุกข์ทรมานทุกวัน…หัวใจของข้าก็เจ็บปวดดุจถูกมีดเฉือน…”
พูดมาถึงตรงนี้ก็ร้องไห้กระซิก ข้ายื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นางอีกครั้ง ครั้งนี้นางไม่ได้ปัดมือข้าออกอีก เพียงพูดต่อไป “ข้าไม่ใช่คนที่ไม่สังวรในการพูดและการกระทำเที่ยวยั่วยวนบุรุษไปทั่ว…ไม่ใช่…แต่น้องสาวต้องการลูกกลอนเซียนมาช่วยชีวิต…เจ้าช่วยบอกท่านเทพให้ข้าได้หรือไม่ ข้ายินดีใช้ชีวิตของตนไปแลกลูกกลอนเซียน…”
“ไม่ได้! ข้าไม่ให้เจ้าตาย!” ข้ารีบคัดค้าน จากนั้นก็เหยียดปากยิ้มบอก “พวกเราไปขโมยเอาก็แล้วกัน”
“ขโมย!” จิ่นเหวินตื่นตะลึง
ข้าตั้งหางขึ้นพูดด้วยความภาคภูมิใจ “แต่ไรมาอิ๋นจื่อก็ชมข้าว่าขโมยของได้ร้ายกาจยิ่ง วางใจมอบเรื่องนี้ให้ข้าเถิด เจ้าบอกข้าว่าที่ใดมีลูกกลอนเซียนก็พอ!”
“ขโมยลูกกลอนเซียนมีโทษถึงตาย…” จิ่นเหวินลังเลไม่กล้าตัดสินใจ ข้าต้องรับรองแล้วรับรองอีกว่าฝีมือของข้าเหนือชั้น แค่ขโมยสิ่งของชิ้นหนึ่งหาใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่มีทางถูกจับได้ นางคิดหน้าคิดหลังแล้ว ในที่สุดก็กัดฟันรับปาก
สองคนปรึกษาหารือกันอยู่นาน แล้วตัดสินว่าใจจะไปขโมยที่วังของไท่ซั่งเหล่าจวิน อย่างไรเสียเขาก็มีลูกกลอนเซียนมากมาย หายไปเม็ดเดียวคงไม่รู้ อีกอย่างวันนี้เป็นวันที่สิบ เป็นกิจวัตรที่เขาจะต้องเอาลูกกลอนเซียนไปมอบให้อวี้ตี้ จึงไม่อยู่ในวัง
ตัดสินใจแล้วก็ลงมือทันที ข้าต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าจิ่นเหวินคุ้นเคยกับเส้นทางไปวังของไท่ซั่งเหล่าจวินอย่างมาก เลี้ยวไปอ้อมมาไม่กี่ครั้งก็มาถึงวัง นางหน้าแดงด้วยความเหนียมอายบอกหลายปีมานี้ เพื่อลูกกลอนเซียนนางได้ตีสนิทกับคนในวังไท่ซั่งเหล่าจวินไว้เกือบหมดแล้ว เสียดายฐานะของตนต่ำต้อยเกินไปจึงไม่อาจได้มา
ปัญหาเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า จิ่นเหวินอุ้มข้าที่เปลี่ยนร่างเป็นแมวแล้วเดินเข้าไปในวัง นางใส่จริตจะก้านหว่านเสน่ห์สนทนากับคนเฝ้าประตูเพื่อหันเหความสนใจ ส่วนข้าก็ฉวยโอกาสนี้ลอบเข้าไปในกำแพงเงียบๆ
ด้านในกำแพงเต็มไปด้วยความเขียวขจี ข้าเห็นควันไฟจากเตาลูกหนึ่งหมุนเป็นเกลียวลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ จึงเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง แล้วก็เห็นที่ข้างเตามีเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งสัปหงกพลางโบกพัดในมือให้ไฟลุก
ยังจะมีโอกาสใดเหมาะไปยิ่งกว่านี้ ข้าค่อยๆ ย่องเข้าไปที่ข้างเตา กลับพบว่าไฟในเตากำลังลุกโหมแรงเกินไป ชั่วขณะนั้นจึงไม่กล้าลงมือ ครั้นแล้วก็มองหาที่เก็บลูกกลอนเซียนไปตามบริเวณข้างๆ
จิ่นเหวินเคยบรรยายให้ข้าฟัง ของสิ่งนี้มีสีแดง มีกลิ่นหอมแปลกประหลาด ข้าดมๆ ทางซ้ายดมๆ ทางขวา นอกจากกลิ่นยาที่ไม่ชวนดมแล้วก็ไม่ได้กลิ่นอะไร แต่กลับมีกลิ่นหอมเย้ายวนใจโชยออกมาจากในอกเสื้อของเด็กชายที่พัดเตาไฟอยู่เป็นระลอกๆ
หรือว่าลูกกลอนเซียนจะเก็บอยู่ในอกเสื้อของเขา ข้าเดินเข้าไปมองเขาหลายครั้ง เด็กชายคนนี้ขนตายาวมาก ผิวพรรณขาวละเอียด องคาพยพทั้งห้าอวบอิ่มนุ่มนิ่ม เส้นผมดำยาวเต็มศีรษะเกล้าเป็นมวยเรียบง่ายสองอัน มองดูแล้วน่ารักยิ่ง
ข้าขยับเข้าไปใกล้ ยื่นอุ้งเท้าไปเขี่ยเสื้อเขาไม่กี่ที ในที่สุดก็พบว่ากลิ่นหอมกรุ่นโชยมาจากในกล่องเล็กที่งดงามใบหนึ่ง จึงดึงกล่องนั่นออกมาอย่างเบามือ
ลำบากไม่น้อยกว่าจะดึงออกมาได้ ข้าเปิดออกดูให้แน่ใจว่ามีสีแดงไม่ผิดพลาด จากนั้นก็คาบไว้แล้วรีบหนีไป คิดไม่ถึงว่าเด็กชายที่อยู่ข้างหลังพลันตื่นขึ้นมา เขาเห็นเงาด้านหลังของข้าก็ร้องตะโกนขึ้น “รีบมาเร็ว! มีขโมย!”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.