บทที่ 3 คนขับรถหญิงผู้ไม่เหมาะกับตำแหน่ง
ตอนที่เหมียวเหมี่ยวขับรถกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ก็เป็นเวลาสามทุ่มพอดี เธอเห็นว่าร้านก๋วยเตี๋ยวที่ชั้นล่างยังเปิดอยู่ หาที่ว่างจอดรถแล้วหดคอต้านลมลงจากรถ เดินจ้ำหลายก้าวเข้าไปในร้าน
เมื่อเธอเปิดประตู อากาศอบอุ่นก็พวยพุ่งเข้ามาหา ความหนาวเย็นด้านนอกโชยเข้ามาภายในร้านก๋วยเตี๋ยว ลูกค้าไม่กี่คนในร้านต่างหันหน้ามามองเธอ
แม้ว่าจะยังไม่พ้นเดือนตุลาคม แต่ว่าอากาศหนาวก็ยังพัดลงใต้ในคืนนี้ ตอนกลางวันเหมียวเหมี่ยวใส่สเว็ตเตอร์ให้อากาศถ่ายเท เธอรู้สึกว่าตอนกลางวันตัวเองถูกแดดแผดเผาร้อนจนเป็นสุนัข พอถึงเวลากลางคืนกลับรู้สึกหนาวหงึกๆ
“หูย หนาวจังเลย!” เหมียวเหมี่ยวเข้าไปข้างในได้ก็ตัวสั่นเทา อยากสลัดความเย็นจากลมหนาวออกไป
หวงหรูหรูที่ยกบะหมี่ซี่โครงมาเสิร์ฟให้ลูกค้า เห็นเหมียวเหมี่ยวยืนอยู่หน้าประตูก็มุ่ยปากด้วยความไม่พอใจ “เหมียวเหมี่ยว สองสามวันมานี้ไม่มากินข้าวที่ร้านเลยนะ ไปกินข้าวที่ไหนมา”
“คิกๆ” เหมียวเหมี่ยวยิ้มพลางเอ่ย “ก็ฉันขับรถตอนกลางวันนี่นา บางทีถึงเวลากินข้าวก็กินข้างนอกไปเลย แต่กินไปตั้งเยอะก็รู้สึกว่ายังไงฝีมือทำอาหารของเถ้าแก่ก็เยี่ยมยอดที่สุดอยู่ดี”
ประหนึ่งว่าหลังจากชื่นชมรสอาหารก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว หานต้งกับเจิ้งหลินเทียนออกมาพอดี หานต้งเห็นเหมียวเหมี่ยวก็อึ้งไป ตัดสินใจถามเธอว่า “มื้อดึกเหรอครับ”
เจิ้งหลินเทียนเอ่ยคำพูดเหมือนกับหวงหรูหรูไม่มีผิด แถมยังต่อท้ายประโยคด้วยว่า “เถ้าแก่เหงาจะตายอยู่แล้ว ไม่มีใครกินหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวเผ็ดสุดๆ แล้วนี่นา”
“หืม?” เหมียวเหมี่ยวไม่เข้าใจความหมายของเจิ้งหลินเทียน
หานต้งเคาะศีรษะของเจิ้งหลินเทียนพลางเอ่ยเสียงเย็น “ไปล้างจาน”
“อ๊ะ อย่าสิครับอาจารย์!” เจิ้งหลินเทียนเศร้าใจ
เหมียวเหมี่ยวกำลังคิดอยากจะหัวเราะเขา มือถือก็สั่นพอดี เหมียวเหมี่ยวหยิบมือถือขึ้นมาดู ยอดบิลเมื่อครู่กดประเมินให้เธอแล้ว
ดาวห้าดวงประกายแวววับ ประเมินให้ห้าดาว! เหมียวเหมี่ยวอารมณ์ชื่นบานขึ้นมาทันที
ข้างล่างยังมีคอมเมนต์อีกด้วย
‘ขอโทษด้วยที่เพิ่งประเมินให้ ไม่ค่อยรู้ว่าแอพฯ ใช้ยังไง ขอบคุณสำหรับร่มนะครับ’
ได้ช่วยคนอื่นแล้วเขาก็ยังขอบคุณเธอด้วย นี่ทำให้เหมียวเหมี่ยวรู้สึกภูมิใจ ลิงโลดอย่างกับอะไรดี เธออ่านงึมงำ “แค่เขาให้ห้าดาวก็พอ จะช้ายังไงก็ไม่มีปัญหาหรอก!”
เธอเดินไปนั่งลงยังที่นั่งประจำ โบกมือให้หานต้ง “เถ้าแก่คะ เนื้อซี่โครงตุ๋นหนึ่งที่ เบียร์หนึ่งขวดค่ะ!”
หานต้งเหลือบตามองเธอแล้วพยักหน้า เดินเข้าไปในครัว
หวงหรูหรูนั่งลงตรงข้ามเธอ เอ่ยถามด้วยความสงสัย “จะกินมื้อดึกจริงๆ เหรอ”
“ใช่แล้ว ฉันอารมณ์ดีนี่นา ถึงมื้อเย็นจะกินมาแน่นมากก็เถอะ” วันนี้ได้ห้าดาวหมดเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ!
หวงหรูหรูส่ายหน้า “ทำไมเธอกินแล้วไม่อ้วนเลยล่ะ” เธอมองหน้าของเหมียวเหมี่ยวที่แม้ว่าจะกลมตุ่ย แต่ว่าก็เล็กเท่าฝ่ามือเท่านั้น “น่าโมโหชะมัด คนตะกละตะกลามกินทุกอย่างอย่างเธอ ไม่อ้วนได้ยังไงกัน”
“นั่นเพราะฉันเป็นคนที่กินอาหารแมวก็ยังอร่อยยังไงล่ะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยอย่างภูมิใจ
หานต้งยกเนื้อซี่โครงกับเบียร์มาด้วยตัวเอง แถมยังวางแก้วลงสองใบ ในจานมีเนื้อซี่โครงสองชิ้นใหญ่ๆ วางอยู่ ที่จริงมันคือซี่โครงหนึ่งชิ้นที่ตัดส่วนกระดูกออก กลายเป็นว่าเนื้อซี่โครงชิ้นใหญ่นี้เหมือนเนื้อสองชิ้น เหมียวเหมี่ยวไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย
หวงหรูหรูรีบร้อนโบกมือ “เถ้าแก่ อย่าค่ะ ฉันไม่ดื่ม ยังต้องกลับไปมหาวิทยาลัยอีกค่ะ”
หานต้งมองเธอปราดหนึ่ง เขาเชื่อเต็มๆ ว่าเธอพูดเรื่องจริง ก็เลยเก็บแก้วกลับไปแล้วหันหลังเข้าไปทำงานในครัว
เหมียวเหมี่ยวแอบพูดกับหวงหรูหรูเบาๆ “ฉันว่าเถ้าแก่เป็นคนดีออกนะ ทั้งเป็นคนเอาใจใส่ แถมยังหน้าตาดีด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นเธอคิดว่าทำไมฉันถึงได้ทำงานพิเศษอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ล่ะ” หวงหรูหรูเห็นด้วย “จริงสิ ช่วงนี้ขับรถเป็นยังไงบ้าง”
“พอใจมากๆ เลย รู้สึกได้ช่วยเหลือคนมากมาย ก็มีความสุขดีนะ” เหมียวเหมี่ยวชอบอาชีพนี้จากใจจริง เธอเพิ่งจะยกตะเกียบขึ้นก็นึกอะไรขึ้นได้ กระวีกระวาดคว้ามือถือขึ้นมา “ถ่ายรูปก่อน เนื้อซี่โครงตุ๋นสูตรพิเศษของเถ้าแก่หาน อร่อยที่สุดในโลก!” เธอลืมไปหมดแล้วว่าตอนกินมื้อเย็นตัวเองก็ใช้คำวิจารณ์ระดับเดียวกันชื่นชมอาหารจานอื่นด้วย
เธอบ่นพึมพำพลางตกแต่งภาพที่จะอัพขึ้นเวยป๋อ พร้อมใส่แคปชั่นว่า
‘อาหารในร้านก๋วยเตี๋ยวใต้อพาร์ตเมนต์อร่อยไปซะทุกอย่างเลย ชอบหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวกับเนื้อซี่โครงตุ๋น! กินคู่กับเบียร์ พ่นความร้อนออกมา ชื่นชมตัวเองที่วันนี้ไม่ได้คะแนนแย่ๆ! รวมถึงผู้โดยสารสุดหล่อที่ให้ห้าดาวเป็นคนสุดท้ายด้วย’
‘ติ๊ง…’ มือถือส่งเสียงแจ้งเตือนครั้งหนึ่ง
ฟางไหลหยางหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นแจ้งเตือนโพสต์ข้อความยาวเหยียดในเวยป๋อของเหมียวไก่ฉีก พอเปิดเวยป๋อขึ้นดูก็เห็นรูปอาหารน่ากิน ฟางไหลหยางถอนหายใจอย่างจนใจ
“ดึกแล้วยังกินเยอะขนาดนี้…กินเข้าไปได้อีกเหรอเนี่ย…”
โปสการ์ดลิมิเต็ดอีดิชั่นพันใบบนโต๊ะหนังสือถูกเพิ่มเป็นสองพันใบ เหมียวเหมี่ยวนั่งกอดขาขดตัวอยู่บนเก้าอี้เพื่อสุขภาพ ปรับทุกข์กับเสี่ยวทู่ที่นอนแผ่อยู่บนคีย์บอร์ด “ทำยังไงดีล่ะเสี่ยวทู่ พันใบก่อนหน้านี้ฉันเซ็นไปแค่สามใบเอง ทำไมถึงเพิ่มมาอีกพันนึงล่ะ”
เสี่ยวทู่หรี่ตาลง ไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง
เหมียวเหมี่ยวถอนหายใจ “ไม่สนแล้ว ฉันยังมีเรื่องสั้นเรื่องอื่นที่ต้องวาดอยู่อีกนะ จริงสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว วันนี้ก็วาดแฟนอาร์ตก็แล้วกัน ช่วงนี้ฉันชอบพระเอกกับนายเอกในละครออนไลน์เรื่องนั้นมากเลยละ คิกๆ”
เสี่ยวทู่ถูกรบกวนด้วยเสียงบ่นงึมงำของเหมียวเหมี่ยวจนทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดลงจากโต๊ะ ยกหางขึ้นอย่างสง่างามพลางก้าวออกไปจากห้องหนังสือ
ปากของเหมียวเหมี่ยวพูดว่าต้องสเก็ตช์ภาพ แต่ก็กินขนมไปด้วย ทั้งยังถูไถลูบเสี่ยวทู่อยู่นานสองนาน เมื่อมองนาฬิกาก็ถึงเวลากินมื้อกลางวันแล้ว เธอกระวีกระวาดสวมชุดกันลมตัวบางทับลงบนชุดใส่อยู่บ้าน จัดแต่งผมเผ้า ไม่ได้แต่งหน้าก็ลงไปหาของกินข้างล่างด้วยท่าทางร่าเริง
เดินออกมาจากทางเดินในตึกแล้วเลี้ยวขวา ก้าวเท้าผลักประตูร้านก๋วยเตี๋ยว พ่นลมหนาวออกจากปากสองสามครั้ง เหมียวเหมี่ยวเห็นหานต้งอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงินพอดีก็เอ่ยทักทาย “สวัสดีค่ะ เถ้าแก่ วันนี้ฉันอยากกินข้าวราดเนื้อตุ๋น”
“ไม่เผ็ด?” หานต้งถามเธอด้วยความสงสัย
“ค่ะ กระเพาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ” เหมียวเหมี่ยวลูบท้องตัวเองแล้วนั่งลงที่มุมเดิม
หานต้งมองเหมียวเหมี่ยวแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น
“เอ้า นี่”
น้ำขิงแดงแก้วหนึ่งวางลงตรงหน้าเหมียวเหมี่ยว แถมยังมีไอร้อนโชยอยู่
เหมียวเหมี่ยวเงยหน้ามองหานต้งด้วยความประหลาดใจ ค่อยๆ ฉีกรอยยิ้ม “อ๊ะ ขอบคุณนะคะเถ้าแก่ ให้ฟรีหรือเปล่าคะ” สุดท้ายยังทำสายตาทะเล้นอีก
“ใช่แล้ว” หานต้งหลุบตาลง โค้งมุมปากขึ้น หันหลังเดินกลับเข้าไปในครัว
ตอนนี้มีลูกค้าไม่มาก หวงหรูหรูยังไม่เลิกเรียนจึงไม่ได้มาทำงาน เหมียวเหมี่ยวนั่งอยู่สักพักก็รู้สึกเบื่อ เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูเวยป๋อ บังเอิญคิดอยากค้นหานามปากกาของตัวเองขึ้นมาจึงพิมพ์มันลงไป พบว่ามีจำนวนเวยป๋อที่หาเจออยู่ไม่น้อย เหมียวเหมี่ยวดีใจเป็นที่สุด
แต่มีบางข้อความที่มีเนื้อหาแตกต่างจากข้อความอื่นๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือ เหมียวเหมี่ยวจึงค่อยๆ หุบยิ้ม
‘เหมียวไก่ฉีกอะไรนั่นน่ะ น่าขยะแขยง ใครจะไปอ่านการ์ตูนของยัยนั่น’
‘เน็ตไอดอลก็อาศัยการขายเรือนร่างทั้งนั้น ใครจะรู้ว่าเหมียวไก่ฉีกได้เฟอร์รารี่มาได้ยังไง เดี๋ยวนี้เน็ตไอดอลหาเงินกันง่ายจังนะ’
เหมียวเหมี่ยวหน้านิ่ง สอดมือถือพร้อมกับมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนเงยหน้ามองทีวีที่อยู่บนผนัง พิธีกรที่อยู่ในทีวีแสร้งทำตัวโง่เง่าอยู่ในรายการวาไรตี้ตลกโปกฮา เหมียวเหมี่ยวดูอย่างเข้าถึงอารมณ์ มือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงกุมมือถือเอาไว้ มือถือร้อนผะผ่าว เตือนสติว่าเธอยังมีตัวตน เหมียวเหมี่ยวอยากเปิดดูอีกสักครั้งแต่ก็ห้ามใจเอาไว้
เสียงมือถือดังขึ้นกะทันหัน เหมียวเหมี่ยวรีบร้อนหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก เหมียวเหมี่ยวขมวดคิ้วมองอยู่เนิ่นนาน เนื่องจากระยะนี้มีมิจฉาชีพทางโทรศัพท์จำนวนมาก เธอจึงรอให้อีกฝ่ายวางสายไปเองโดยไม่กดรับ แต่ไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำเธอก็ได้รับข้อความในมือถือทันที เบอร์แปลกเมื่อครู่นี้เป็นคนส่งมา
‘สวัสดีครับ คุณเหมียว ผมคือ SunF ที่นั่งรถไปที่เคหาสน์เฟิ่งเฉิงเมื่อสองวันก่อน รับโทรศัพท์ผมหน่อยได้หรือเปล่า ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ’
ที่เหมียวเหมี่ยวกลัวที่สุดก็เรื่องนี้นี่แหละ กลัวว่าผู้โดยสารที่เคยใช้บริการจะติดต่อกลับมา เหมียวเหมี่ยวความจำสั้น คิดไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า SunF ที่นั่งรถไปเคหาสน์เฟิ่งเฉิงเป็นคนไหน เธอกำลังคิดจะค้นดูเบอร์ติดต่อของคนคนนั้นพร้อมกับรูปโพรไฟล์ภายในบันทึก เสียงมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เหมียวเหมี่ยวกำลังคิดจะกดแอพฯ เรียกรถปาปา แต่สุดท้ายก็บังเอิญกดไปที่หน้าจอสายเรียกเข้า แล้วกดปุ่มรับสายเสียอย่างนั้น
“ว้าย!” เหมียวเหมี่ยวเบิกตากว้าง ทำอะไรไม่ถูก
กดรับสายไปแล้วจะวางสายเลยก็ดูจะไร้มารยาท เหมียวเหมี่ยวทำหน้าเศร้าสลด รับสายด้วยความอยากร้องไห้เต็มกลืน
“ฮัล…สวัสดีค่ะ…”
“สวัสดีครับคุณเหมียว” เสียงของอีกฝ่ายช่างดึงดูดใจทั้งยังเจือด้วยความรู้สึกเหินห่าง ทว่าก็พอฟังออกว่าอีกฝ่ายพยายามสุดชีวิตที่จะรักษาท่าทีที่เป็นมิตรเอาไว้ แต่ก็ยังคงหลงเหลือความรู้สึกห่างเหินที่แสนห่างไกลไว้อยู่ดี
เหมียวเหมี่ยวได้ยินเสียงนี้ก็พอจะนึกออกว่าเป็นผู้โดยสารคนไหน เธอหวนกลับไปนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของผู้โดยสารคนนี้อีกครั้ง เหมียวเหมี่ยวถึงกับเก็บอาการหน้าแดงเอาไว้ไม่ได้ หน้าตาดีก็มักจะเพิ่มความรู้สึกดีๆ ได้ด้วย
เหมียวเหมี่ยวสงบจิตใจให้เข้าที่แล้วเอ่ยถาม “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ขอบคุณสำหรับร่มเมื่อคราวก่อนนะครับ” ฟางไหลหยางยืนอยู่ริมหน้าต่างยาวจรดพื้น มองไปยังถนนที่อยู่ข้างล่าง แสงอาทิตย์สาดส่องลงตรงกลางกลุ่มก้อนเมฆเป็นชั้นๆ เหมือนเกล็ดปลา ได้ยินเสียงกังวานใสของเด็กสาวที่ข้างหูค่อยๆ ทับซ้อนเข้าด้วยกันกับเสียงบ่นพึมพำพูดกับตัวเองที่เขาเคยได้ยิน
“อ๋อ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันควรจะทำอยู่แล้วนี่คะ”
“ครับ ยังไงก็ต้องขอบคุณครับ” ฟางไหลหยางโค้งมุมปากยกยิ้มไม่หยุด ความอบอุ่นเพิ่มขึ้นในดวงตา “ถ้าว่าง หาเวลามาเจอกันหน่อยได้หรือเปล่า ผมอยากคืนร่มให้คุณ”
“คะ?” เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้งเพราะตามเขาไม่ทัน
ขณะเดียวกันหานต้งก็ยกข้าวราดเนื้อตุ๋นวางลงตรงหน้าเหมียวเหมี่ยวพอดี เหมียวเหมี่ยวพยักหน้าเป็นการขอบคุณให้หานต้ง ดื่มน้ำขิงแดงเพื่อสะกดกลั้นความตื่นตกใจ
จากนั้นเธอจึงได้เสียงของตัวเองกลับคืนมา “เอ่อ…ร่มคันนั้นถูกมากๆ เลย คุณรับไว้เถอะนะคะ ไม่ต้องคืนหรอกค่ะ”
“ยังไงก็ต้องคืนให้คุณครับ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณด้วย เป็นครั้งแรกเลยที่เจอคนขับรถดีขนาดนี้” ฟางไหลหยางจงใจเอ่ยออกมา
“แต่ว่า…ไม่ต้องหรอกค่ะ” เหมียวเหมี่ยวพูดด้วยความกระอักกระอ่วน
“ต้องสิครับ สำหรับผมแล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ผมไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร”
เหมียวเหมี่ยวเห็นทีว่าปฏิเสธไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงเอ่ยอย่างจนปัญญา “ไม่ต้องจริงๆ ค่ะ ร่มคันนั้นซื้อที่ร้านขายส่งแค่คันละห้าหยวนเท่านั้น คุณภาพก็ไม่ได้ดีอะไร คุณคืนมาฉันก็ไม่ได้ใช้หรอกค่ะ”
ฟางไหลหยางนิ่งอึ้ง ยังคงยืนยันคำเดิม “งั้นให้ผมเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณนะครับ…”
“ก็ได้ๆ งั้นคืนร่มมาก็ได้ค่ะ ไม่ต้องกินข้าวก็แล้วกันนะคะ” เหมียวเหมี่ยวรับปากด้วยสีหน้าขมขื่น “ตอนบ่ายฉันจะไปอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมโรส ถ้าคุณต้องผ่านทางนั้นก็เจอกันตรงนั้นแล้วกันนะคะ คืนร่มให้ฉันก็เป็นอันเรียบร้อย ไม่ต้องขอบคุณอะไรให้มากมายหรอกค่ะ เรื่องเล็กนิดเดียวเอง ทั้งหมดก็เพื่อห้าดาวนั่นแหละค่ะ!”
หลังจากแสดงความเกรงใจกันอยู่ไม่กี่คำเธอก็วางสาย เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าหัวใจแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน คนแปลกๆ มาติดพันงั้นเหรอ เสียแรงที่เขาหน้าตาดีขนาดนั้นแท้ๆ…
ฟางไหลหยางวางมือถือลงอีกฝั่งหนึ่ง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ กอดอกพลางครุ่นคิด “ผมรวบรัดเกินไปหรือเปล่านะ”
เฉินตั๋วที่ยืนเซ็งรอส่งรายงานอยู่สิบกว่านาทีถามด้วยความเศร้าใจว่า “ประธานฟาง เอกสาร…”
“วางไว้ตรงนี้” ฟางไหลหยางขี้เกียจแม้แต่จะหันไปมองเขา ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง แต่พอเห็นว่าเฉินตั๋วยังไม่ออกไปก็ถามอย่างหมดความอดทน “มีอะไรอีก”
“ต้องเซ็นชื่อด้วยครับ…”
ฟางไหลหยางส่งเสียง “ชิ” ขึ้นมา คว้าเอกสารมาเปิดดู ทว่าผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ได้ก้มลงไปมอง กลับเงยหน้าขึ้นถามเฉินตั๋วอีกว่า “นี่ผมรวบรัดเกินไปหรือเปล่า”
“ครับ? ใครเหรอครับ เมื่อครู่โทรศัพท์อยู่เหรอครับ ประธานฟาง…จะตามจีบใครหรือเปล่าครับ” เฉินตั๋วงุนงง
ก่อนที่จะเข้าบริษัทเฉินตั๋วได้ยินเรื่องราวของฟางไหลหยางมาหมดแล้ว ว่ากันว่าแฟนเก่าหลายๆ คนของเขาก็เป็นบรรดาลูกคนมีเงิน หลังจากมาเป็นผู้ช่วยของเขา เฉินตั๋วกลับไม่เคยเห็นฟางไหลหยางใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ เห็นแค่ชอบดูหนังหรืออ่านการ์ตูนอยู่กับบ้าน คนที่ความสัมพันธ์พิเศษด้วย…ก็เห็นจะมีแต่เหมียวไก่ฉีกคนนั้นแค่คนเดียว
ตอนนี้จู่ๆ ก็เริ่มลองนัดเธอออกมา แต่ดูเหมือนจะล้มเหลว เฉินตั๋วอยากจะเม้าท์กับเพื่อนร่วมงานใจจะขาดว่าพ่อสุภาพบุรุษผู้ร่ำรวยหล่อเหลาที่ใครต่อใครก็พากันหลงใหลอย่างประธานฟาง จีบสาวไม่สำเร็จ!
“เปล่า” ฟางไหลหยางเอ่ยขัดความในใจของเฉินตั๋ว “คนขับรถในแอพฯ เมื่อคราวก่อนน่ะ จริงสิ ปกติแล้วถ้าคนขับเห็นว่าคุณจะต้องเดินฝ่าฝน จะให้ร่มมาด้วยหรือเปล่า”
สมองของเฉินตั๋วทำงานด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายถึงได้แน่ใจว่าคนขับที่เขาพูดถึงคือเหมียวไก่ฉีก แต่เขาก็ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้ทั้งหมด “ก็น่าจะ…ยังไงก็…มีให้แหละครับ…”
“เธอให้ร่มผมมาคันนึง” ฟางไหลหยางเปิดตู้ นำร่มคันเล็กจิ๋วออกมาวางบนโต๊ะ
เฉินตั๋วดูร่มคันนั้น ต่อให้ไม่ได้กางออกมาก็รู้ว่าเป็นสไตล์เด็กสาวสีสันสดใส
“พรืด…” เฉินตั๋วรีบกลั้นหัวเราะ
ฟางไหลหยางกางร่มสไตล์เด็กผู้หญิงงั้นเหรอ
น่าถ่ายรูปเก็บไว้จัง
“ผมอยากคืนให้เธอ” ฟางไหลหยางเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้ม “แต่ดูเหมือนเธอจะระวังตัวเอามากๆ”
“เฮ่อ…” เฉินตั๋วลังเลอยู่สักครู่ “ถ้าเธอคิดว่าไม่ได้สำคัญอะไร ไม่คืนก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งครับ”
“ต้องคืนสิ…ผมไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครน่ะ” ฟางไหลหยางมุ่นคิ้ว นี่แหละความหัวรั้นของเขา จะต้องคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ไม่สุข
“อีกอย่าง…” ฟางไหลหยางพึมพำเสียงเบา เขาเพิ่งจะพูดได้สองพยางค์ก็ชะงักไป เงยหน้าขึ้นถามเฉินตั๋ว “คุณรู้จักเธอหรือเปล่า”
“หา?” เฉินตั๋วแข็งทื่อไปทั้งตัว
ฟางไหลหยางเฉียบคมอย่างกับลูกธนู เห็นแววตาทั้งหมดก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ใจของเฉินตั๋วพลันบีบรัด พอถูกแรงกดดันจากหัวหน้าบีบบังคับก็พยักหน้าอย่างไม่อาจควบคุม “เอ่อ…ใช่ครับ”
โดนพาลใส่แน่ๆ! ในหัวของเฉินตั๋วมีแต่คำนี้ เงินเดือน! เงินเดือนที่ยื้อเอาไว้ได้ไม่ถึงสองวัน! อีกเดี๋ยวก็บินหายไปแล้ว
“เลือกรถได้ไม่เลวเลย เหมาะกับเด็กสาวดีนะ” ฟางไหลหยางเอ่ยอย่างนั้น พลิกเปิดดูเอกสารแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไป “เอาไปได้แล้ว” เอ่ยไปก็เอาเอกสารโยนลงเบาๆ บนโต๊ะด้านหน้าเฉินตั๋วแล้วเจ้าตัวก็กลับไปพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง
หืม? ความทุกข์ทรมานของเฉินตั๋วไม่ทันได้ต่อยอดแม้เพียงวินาทีก็จบสิ้นลง
เลือกได้ไม่เลว?
ประธานฟางจิตใจโอบอ้อมอารีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมถึงรู้สึกได้ว่าเขามีความสุขล่ะ
เฉินตั๋วหยิบเอกสารด้วยท่าทางแข็งทื่อเหมือนกับซอมบี้ ทำไมฟางไหลหยางไม่โทษเขาแถมยังชมว่าเลือกรถได้ดีอีกด้วยนะ?!
ในที่สุดภาพสเก็ตช์ของเดือนก่อนก็เสร็จลุล่วง เหมียวเหมี่ยวปล่อยวันว่างให้ตัวเองสองวัน ไม่คิดจะวาดรูปต่อแล้ว และแม้ว่าเธอจะไม่อยากไปเอาร่มคืน แต่เรื่องที่รับปากคนอื่นเอาไว้ยังไงก็ต้องทำให้ได้ เหมียวเหมี่ยวจึงต้องขับรถไปโรงแรมโรสด้วยความไม่เต็มใจนัก
จะจอดรถในลานจอดรถก็มีค่าบริการ เหมียวเหมี่ยวจึงจอดรถที่ข้างทาง ลดกระจกโผล่หน้าออกไปมองหาเงาร่างของฟางไหลหยาง มองหาอยู่รอบหนึ่งก็หาไม่เจอ เหมียวเหมี่ยวจึงทำได้แค่ส่งข้อความไปถามฟางไหลหยางว่าเขาอยู่ที่ไหน
ผลลัพธ์คือเธอเพิ่งจะก้มหน้าลงพิมพ์ กระจกฝั่งคนนั่งก็ถูกเคาะเบาๆ เหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นดู มีใครคนหนึ่งโน้มตัวมองเข้ามาในตัวรถ แน่นอนว่ามองจากข้างนอกจะเห็นภายในรถได้ไม่ชัดเจน แต่เหมียวเหมี่ยวก็ตกใจอยู่ดี สักพักใหญ่ถึงได้มองออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เวลาที่ฟางไหลหยางไม่แสดงอารมณ์ มองดูแล้วออกจะเย็นชาอยู่บ้าง ความเย็นชาแบบนี้แฝงด้วยความเข้มแข็งและน่าเกรงขาม ทำให้เหมียวเหมี่ยวค่อนข้างหวาดกลัว
เธอลดกระจกลง พยักหน้าให้ฟางไหลหยาง “สวัสดีค่ะ”
ฟางไหลหยางเลิกคิ้วขึ้น ศีรษะเอนไปอีกทางเล็กน้อย โค้งมุมปากเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับ คุณเหมียว”
“…เอ่อ อย่าเรียกคุณเหมียวเลยค่ะ เรียกฉันว่าเหมียวเหมี่ยวก็พอ” ถูกอีกฝ่ายเรียกอย่างนี้ทุกครั้งก็ทำให้เหมียวเหมี่ยวรู้สึกแย่ไปหมด เธอเกาแก้มเบาๆ เอ่ยเป็นนัยว่า “คือว่าตรงนี้จอดได้ไม่นาน ขอบคุณนะคะที่คืนร่มให้” เอ่ยไปเหมียวเหมี่ยวก็เอื้อมมือออกไปรับร่ม
ทว่าฟางไหลหยางไม่ได้เอาร่มออกมาในทันที กลับถามอย่างไม่ลดละความพยายามว่า “ให้ผมเลี้ยงชายามบ่ายคุณได้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันยังต้องไปรับผู้โดยสารอีก” เหมียวเหมี่ยวโกหก
ฟางไหลหยางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วเบาๆ เม้มปากเล็กน้อย เขายกมือขวาขึ้น ยื่นร่มในมือให้เหมียวเหมี่ยว “ผมคืนให้ ขอบคุณจริงๆ นะครับ เหมียวเหมี่ยว”
“ฮ่าๆ ฉันควรทำอยู่แล้วนี่คะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยด้วยความเกรงใจ “งั้นตามนี้นะคะ ฉันไปก่อนล่ะ”
ฟางไหลหยางตะโกนเรียกเธอเอาไว้ “เหมียวเหมี่ยวครับ ผมถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”
เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า มองเขาด้วยความสงสัย
“ต่อไปถ้าผมมีเรื่องจำเป็น จะเรียกรถคุณได้อีกหรือเปล่าครับ” ฟางไหลหยางถามออกไปอย่างนั้น
เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้ง ได้แต่ตอบกลับด้วยความกลัดกลุ้ม “ก็น่าจะ…ได้นะคะ” ถ้ามีวาสนาส่งงานมาที่เธออีกน่ะนะ…
ฟางไหลหยางพยักหน้า แม้ว่าสีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าดวงตาของเขาสว่างไสวขึ้นมา “ครับ งั้น ลาก่อนนะ”
“ค่ะๆ ลาก่อนนะคะ” เหมียวเหมี่ยวโบกมือลา เมื่อเห็นตำรวจจราจรที่ดูแลอยู่ที่สี่แยกเดินเข้ามาหา เธอก็รีบร้อนสตาร์ตรถขับออกไป
ฟางไหลหยางก้มหน้าเล็กน้อย มองดูรถคันสีขาวที่เขาเป็นคนมอบให้แล่นออกไปช้าๆ ขับผ่านสี่แยกที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหายลับไปในบรรดารถที่สัญจรไปมาอย่างคับคั่ง
ในเมื่อเธอบอกว่าได้ อย่างนั้นก็ยังมีโอกาสอยู่ ฟางไหลหยางบอกกับตัวเองอย่างนั้น
“เหมียวไก่ฉีก…คนขับเหมียว…อื้ม น่าสนใจดีนี่” ฟางไหลหยางเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
เสี่ยวทู่นอนฟุบอยู่บนต้นขาของเหมียวเหมี่ยว มันหาวหวอด หูทรงสามเหลี่ยมที่ตั้งตรงทั้งสองข้างหมุนไปมา ฟังเหมียวเหมี่ยวคุยกับกล้องเสียงดังจ้อกแจ้ก
“เพราะอย่างนั้นนั่นแหละ ถึงเขาจะหล่อ แถมยังเป็นคนดี จะคืนร่มให้ได้ แต่ว่ามันไม่จำเป็นจริงๆ น่ะ” มือข้างหนึ่งของเหมียวเหมี่ยวลูบหัวเสี่ยวทู่ สวมหูฟังคุยเปิดอกกับถูชิว “เธอไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือไง ฉันไม่ได้บอกว่าจะเอาคืนสักหน่อย บอกไปแล้วด้วยนะว่าให้เลย”
“ยังไงก็มีคนแบบนี้อยู่แหละ คนที่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครน่ะ” ถูชิวบอกเธออย่างมั่นใจ “เขาคงจะเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง ฟังจากที่เธอเล่าแล้ว รู้สึกจะเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่ใช่เล่นเลยนะ เหมียวเหมี่ยว ต่อไปเธออย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เธอน่ะใสซื่อเกินไป อ่านใจง่าย”
เหมียวเหมี่ยวเหลือกตาใส่เว็บแคม เอ่ยโต้ตอบ “ชิ ฉันเป็นเน็ตไอดอลนะ อีกนิดก็จะเปิดเว็บไซต์ขายของแล้วจ้ะ ยังใสซื่ออยู่อีกเหรอ”
ถูชิวยักไหล่ ไม่พูดอะไร
จู่ๆ ก็มีเสียงหยาบโลนของชายหนุ่มดังขึ้นในหูฟัง “เดมาเซีย!”
เหมียวเหมี่ยวสะเทือนไปทั้งตัว มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นตระหนก เสี่ยวทู่เองก็ลุกขึ้นนั่ง หันหน้ามองไปยังที่มาของเสียง
ถูชิวรีบร้อนโบกมือ “ไม่ใช่ๆ นกแก้วของฉันเองน่ะ มันพูดตามเกม…จริงๆ เลยนะ ฉันจะเอามันไปขังในห้องน้ำ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันก็แค่ตกใจน่ะ นกแก้วเทาแอฟริกันที่เธอซื้อคราวก่อนใช่รึเปล่า พูดเป็นแล้วเหรอเนี่ย สอนเก่งใช้ได้เลยนี่นา” เหมียวเหมี่ยวกล่าวด้วยความอิจฉา “อยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำก็คุยกับนกแก้วได้ เสี่ยวทู่ที่บ้านฉันทำเป็นแค่นอน กิน แล้วก็ทำแก้วล้ม”
“แต่หนวกหูน่าดูเลย บางทีฉันอยากจะใช้สมองก็ทำไม่ได้ ยังไงเลี้ยงแมวก็ดีกว่า” ถูชิวเอ่ยพลางถอนใจ
“คิกๆ” เหมียวเหมี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันเปลี่ยนกับเธอได้นะ เธอชอบเงียบๆ ส่วนฉันพูดมากเหมาะกับการเลี้ยงนกแก้วมากกว่า” ถูชิวเป็นจิตแพทย์ เธอค่อนข้างรักสงบ ก็ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้เลี้ยงนกแก้วจนทำลายความเคยชินในการใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอไปเสียหมด
เหมียวเหมี่ยวคุยกับถูชิวอยู่พักหนึ่งมือถือก็ดังขึ้น เหมียวเหมี่ยวรีบจบการสนทนากับถูชิว พอหยิบมือถือขึ้นดูก็เห็นว่าเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก แต่…ก็เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ
เหมียวเหมี่ยวผู้มีสมองปลาทองเลือกจะมองข้ามเบอร์แปลกนั้นอีกครั้ง รอจนสิ้นเสียงโทรศัพท์ ทว่าประวัติศาสตร์มักจะเหมือนๆ เดิม ภายในหนึ่งนาทีเหมียวเหมี่ยวก็ได้รับข้อความอีกครั้ง
‘สวัสดีครับ เหมียวเหมี่ยว สะดวกรับโทรศัพท์หรือเปล่า’
เหมียวเหมี่ยวย่นคิ้ว กลอกตาครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนานก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร จึงถามอีกฝ่ายกลับไป
‘คุณเป็นใครคะ?’
ผ่านไปสักพัก เหมียวเหมี่ยวถึงได้รับการตอบกลับ
‘คนที่คืนร่มให้คุณเมื่อคราวก่อน ผมชื่อฟางไหลหยาง คุณเซฟเบอร์ผมเอาไว้ก็ได้’
เหมียวเหมี่ยวมองข้อความด้วยความตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงเซฟเบอร์โทรศัพท์อย่างเงียบๆ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าเซฟไปทำไมก็ตาม
เหมียวเหมี่ยวเพิ่งจะเซฟเบอร์เรียบร้อย มือถือก็ดังขึ้นมาอีกรอบ เธอเพิ่งจะเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงร้องของเจ้าเหมียวเสี่ยวทู่ พอเสียงนี้ดังขึ้น เสี่ยวทู่ก็เงยหน้าขึ้นกระดิกหูไปมาแล้วขานรับ “เหมียว…”
เหมียวเหมี่ยวลูบหัวของมันพลางกดรับสายด้วยความจนใจ “สวัสดีค่ะ คุณฟาง”
“สวัสดีครับ คุณเหมียว” เหมียวเหมี่ยวจำเสียงของฟางไหลหยางได้อย่างแม่นยำ น้อยนักที่เธอจะได้ฟังเสียงที่ตรงกับความชื่นชอบของตัวเอง แม้เธอจะไม่อยากพัวพันกับคนแปลกหน้ามากนักก็ตาม
“คุณเหมียว ขอโทษที่โทรมารบกวน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องคุณน่ะครับ” ฟางไหลหยางสอบถามเธออย่างสุภาพ “คุณสะดวกหรือเปล่าครับ”
เหมียวเหมี่ยวมุ่ยปาก เธอไม่เข้าใจเลย ตามหลักการแล้ว ถ้าไร้ผลประโยชน์ก็ไร้ซึ่งขโมย เขาคนนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเสียหน่อย เหมียวเหมี่ยวยังคงใจคอไม่ค่อยดี เอ่ยถามว่า “เรื่องอะไรเหรอคะ”
น้ำเสียงของฟางไหลหยางเจือแววปรึกษาอย่างอ้อมๆ “คืออย่างนี้น่ะครับ อาทิตย์นี้ผมกับเพื่อนอีกหลายคนหารือกันเรื่องขับรถไปเที่ยวแถบชานเมือง แต่รถของผมดันมีปัญหาก็เลยเอาไปซ่อมอยู่ ตอนนี้มีรถไม่พอสำหรับทุกคน ผมเลยอยากจะจ้างให้คุณขับไปให้ได้หรือเปล่าครับ จ้างวันเดียว ค่าจ้างว่ามาได้เลย”
เหมียวเหมี่ยวอ้าปากค้าง เพราะผิดคาดจากที่คิดไว้ไปสักหน่อย “เอ่อ…ยืมรถคนอื่นก็ได้นี่คะ ทำไมถึงได้มาจ้างฉันล่ะ”
“ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นคุณหรอกครับ เพียงแต่ผมไม่เคยเรียกรถมาก่อนเลย คุณเป็นคนขับคนแรกที่ผมได้พูดคุยด้วย แล้วก็มีแค่เบอร์ติดต่อคุณคนเดียว อีกอย่างผมก็ประทับใจท่าทีสุภาพของคุณเหมียวน่ะครับ วางใจได้ว่าปลอดภัย คุณก็แค่ขับไปขับกลับรอบเดียว ระหว่างนั้นก็อยู่เที่ยวกับพวกเราก็ได้ ถือซะว่าเป็นการพักผ่อน รวมค่าน้ำมันกับอาหารกลางวัน คิดซะว่าได้หาเพื่อนเพิ่ม แบบนี้ได้รึเปล่าครับ” ตรรกะที่เขาพูดออกมาสมบูรณ์แบบ เงื่อนไขที่ให้ก็ช่างยั่วยวนใจ ประกอบกับน้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลของเขาแล้ว เหมียวเหมี่ยวเองก็หวั่นไหวอยู่บ้าง
เธอเม้มริมฝีปาก ถามด้วยความระมัดระวังทั้งยังเจือด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ถ้างั้น…ค่าจ้าง…”
“ปกติวันนึงคุณหาเงินได้เท่าไหร่ครับ” ฟางไหลหยางถามเธอ
ปกติแล้วเหมียวเหมี่ยวทำงานบ้างไม่ทำบ้าง หนึ่งวันขับรถหกชั่วโมงก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว หนึ่งวันหาเงินได้สองสามร้อยก็นับว่าเธอเอาจริงเอาจังแล้ว
เธอหน้าแดง คิดไว้ว่าบอกราคาเป็นสองเท่าของที่เคยได้ก็แล้วกัน “ประมาณ…ห้าหกร้อยได้ค่ะ…” นี่เพราะเรื่องหน้าตาของเธอล้วนๆ เลย
โชคดีที่ฟางไหลหยางไม่รู้ราคากลาง จึงเอ่ยออกมาอย่างใจกว้างว่า “ถ้างั้นผมให้ราคาเป็นสามเท่าก็แล้วกันนะครับ โอเคหรือเปล่า”
เหมียวเหมี่ยวเห็นว่าเขาซื่อขนาดนี้ หน้าก็พลันแดงซ่านลามไปถึงคอ เธอคว่ำตัวลงกับเตียงด้วยความละอายใจแล้วเอ่ยเสียงอ่อยว่า “ไม่ต้องมากขนาดนั้นหรอกค่ะ…หนึ่งพันก็พอแล้ว…”
เหมียวเหมี่ยวได้ยินเสียงหัวเราะจากลมหายใจของเขา เป็นเสียงแผ่วเบา แต่ถ้าเงียบพอก็จะได้ยินเสียงกระแสไฟฟ้าผ่านอากาศมาจากลำโพง เธอจึงได้ยินเสียงหัวเราะที่มีเจตนาดีจากลมหายใจของเขาอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นพบกันคนละครึ่งทางแล้วกัน หนึ่งพันสองร้อย คุณคิดว่ายังไงครับ”
“ค่ะ…ได้ค่ะ” ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามจะต้องพิถีพิถันแต่พอควร เหมียวเหมี่ยวรับปากแล้ว ทว่าในใจกลับละอายแทบทนไม่ไหวที่เปิดราคาสูงลิบลิ่วแบบนั้น
“งั้นลำบากคุณด้วยนะครับ วันเสาร์ตอนเก้าโมง มารับผมที่ประตูทิศใต้ของเคหาสน์เฟิ่งเฉิง ตรงถนนเส้นที่คุณขับไปคราวก่อนนั่นแหละครับ ตอนนี้ซ่อมเสร็จแล้ว” คราวนี้ฟางไหลหยางบอกทางอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง แถมยังอธิบายต่ออีกด้วย
ฟางไหลหยางบอกอย่างนี้ เหมียวเหมี่ยวก็นึกถึงคืนฝนตกที่มาส่งเขายังเคหาสน์เฟิ่งเฉิงได้ ทักษะขับรถอันห่วยแตกของเธอทำให้หนุ่มหล่อรวยคนนี้เมารถ แล้วอีกฝ่ายยังใจดีให้คะแนนเธอห้าดาว เหมียวเหมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเขามากขึ้นไปอีก
“ถ้างั้น…” เหมียวเหมี่ยวสอบถามเขาด้วยความระมัดระวัง “คุณจะยอมนั่งรถที่ฉันขับเหรอคะ”
“ครับ?”
“ก็…ฝีมือการขับรถของฉัน ต่อให้ไม่ทำให้คุณเมารถ ก็อาจจะขับตกคลองก็ได้ ขับรถไปเที่ยวแถบชานเมืองกัน ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้ทางสักเท่าไหร่…” เสียงของเหมียวเหมี่ยวเบาลงทุกที เสียงสุดท้ายแผ่วราวเสียงยุง “จริงๆ เลยนะคะ ไม่กังวลบ้างเลยหรือไงกัน”
“หึ” เหมียวเหมี่ยวได้ยินเสียงหึเบาๆ จากปลายจมูกของอีกฝ่าย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเขาเจือด้วยความจนใจบอกว่า “งั้นก็ไม่มีทางเลือก ผมจะเอาลูกอมรสมิ้นต์ไปให้พอก็แล้วกัน จะจำไว้ว่าต้องเตรียมถุงพลาสติกไปด้วย”
“เฮ้อ…งั้นก็ช่างเถอะค่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะโคลงเคลงกันไปตลอดทางเลยก็ได้” เหมียวเหมี่ยวรีบเอ่ยตอบ
“ไม่เป็นไรครับ” ฟางไหลหยางเอ่ย “แค่คราวก่อนผมไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนน่ะ”
เตรียมใจอะไรกันล่ะ…เหมียวเหมี่ยวยิ่งอยากแทรกแผ่นดินหนี
“คุณวางใจนะครับ ผมไม่ถือสาอะไรหรอก” ฟางไหลหยางเอ่ย
เหมียวเหมี่ยวยืนยันด้วยเสียงเบาว่า “ฉันจะพยายามขับให้นิ่มๆ แน่นอนค่ะ”
“สู้ๆ นะครับ” ฟางไหลหยางให้กำลังใจด้วยความเอาใจใส่
“จริงสิคะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ย “คือว่า…ฉันเปลี่ยนน้ำหอมรถเป็นกลิ่นเลมอนแล้วนะคะ”
“ครับ?” จู่ๆ เหมียวเหมี่ยวก็เอ่ยออกมา ฟางไหลหยางก็ไม่รู้จะต้องตอบยังไง เพราะฟังออกถึงน้ำเสียงระมัดระวังของเหมียวเหมี่ยว ใจของเขาก็หล่นวูบกะทันหัน
แค่คำพูดเรื่อยเปื่อยประโยคเดียว เธอคนนี้ก็ทำตามจริงๆ เสียด้วย
ช่างน่า…น่ารักเป็นบ้าเลย
สมกับเป็นนักวาดการ์ตูนที่ชื่นชอบจริงๆ นั่นแหละ!
ฟางไหลหยางตอบเสียงเข้มเจือด้วยรอยยิ้ม “ครับ ขอบคุณครับ”
วางสายเสร็จ เหมียวเหมี่ยวก็ถอนหายใจออกมา สักครู่เดียวก็ห่อไหล่ เธออุ้มเสี่ยวทู่ขึ้นมาแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็นำกลับมากอดที่ข้างแก้ม อยากเอาหน้าถูไถศีรษะของเสี่ยวทู่ แต่กลับถูกขาหน้าของมันยันไว้
“เสี่ยวทู่ แม่รับงานใหญ่มาเลยนะ ตื่นเต้นไปหมดแล้ว จะไม่ปลอบใจกันหน่อยเหรอ” เหมียวเหมี่ยวทำหน้าเศร้า ก้มหน้าด้วยความห่อเหี่ยว “แต่…เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ขับรถออกจากเมืองเลยนะ…”
ฟางไหลหยางที่อยู่อีกฟากหนึ่งบันทึกการเดินทางลงปฏิทินในมือถือด้วยความยินดีปรีดา จากนั้นเขาก็ส่งข้อความให้เฉินตั๋ว
‘แจ้งพนักงานในห้องประธานว่าวันเสาร์นี้ไปเที่ยวกันที่เขาฟางซาน อย่าลืมเอาของอร่อยๆ ไปเยอะๆ’
เฉินตั๋วตอบอย่างว่องไว
‘จะเช่ารถหรือเปล่า ต้องจ่ายเงินก่อนหรือเปล่าครับ?’
‘เช่ารถ บริษัทเป็นคนจ่าย ส่วนผมจะไปเอง’
“หนึ่งพันสองร้อย ห้าร้อย” ฟางไหลหยางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยังชื้นอยู่ เขานั่งลงบนโซฟาพลางท่องตัวเลขทั้งสองด้วยเสียงทุ้มต่ำ สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
ช่างเป็นคนที่พอใจอะไรง่ายเสียจริงๆ
ฟางไหลหยางก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือ หยิบหนังสือการ์ตูนใหม่เอี่ยมออกมาจากชั้นหนังสือ ข้างๆ หนังสือการ์ตูนเล่มนี้ยังมีที่เหมือนกันอีกสองเล่ม แต่ว่าระดับความเก่าใหม่ไม่เท่ากัน ฟางไหลหยางหยิบการ์ตูนเล่มใหม่ที่ยังไม่ได้แกะซีลออกมา บนปกพิมพ์ตัวหนังสือฟอนต์การ์ตูนตัวกลมดิกว่า ‘ผู้กล้าบุกอาณาจักรแมว’ ผู้แต่ง เหมียวไก่ฉีก
ไม่รู้ว่าฟางไหลหยางคิดอะไรขึ้นมา เขาถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ แล้ววางการ์ตูนลงบนโต๊ะชา
แปดโมงเช้าวันเสาร์ เฉินตั๋วยืนอยู่ด้วยอาการสะลึมสะลือที่หน้าบริษัท รอเพื่อนร่วมงานในห้องประธานแต่ละคนขึ้นรถตู้ขนาดเล็ก นี่เป็นรถของบริษัท รวมคนขับแล้วสามารถนั่งได้แปดคน ให้คนในห้องประธานนั่งได้ครบพอดี เฉินตั๋วยกหน้าที่ขับรถให้กับเสี่ยวเจิ้งที่เพิ่งเข้าทำงานในบริษัท ส่วนตัวเองหลับประจำที่อยู่ทางฝั่งคนนั่ง
“ตายแล้ว ผู้ช่วยเฉิน อย่าหลับสิครับ บอกทางผมด้วย ผมไม่รู้ทางนะครับ” เสี่ยวเจิ้งทำหน้าเศร้าพลางดึงแขนเสื้อของตั๋วเฉิน
เฉินตั๋วโบกมือ “ใช้ GPS สิ”
เลขาฯ สาวที่เบาะหลังพรวดพราดถามเฉินตั๋วขึ้นมาว่า “ผู้ช่วยเฉินคะ ประธานฟางเพี้ยนอะไรขึ้นมา จู่ๆ ถึงได้บอกว่าจะให้ไปเที่ยวกัน แล้วตัวเขาอยู่ที่ไหน”
“ประธานฟางบอกว่าจะไปเองน่ะ จะไปถึงช้าหน่อย ไม่ไปพร้อมกับพวกเรา พวกเราไปสำรวจที่ทางกันก่อน เอาของปิกนิกไปวางให้หมด ยังไงก็มาเที่ยวฟรี พวกเธอก็สนุกกันได้เลยนะ” เฉินตั๋วหาวหวอด จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกำชับกับทุกๆ คนว่า “จริงสิ ประธานฟางกำชับมาเป็นพิเศษว่าถึงเวลาให้ปฏิบัติกับเขาเหมือนเพื่อนทั่วๆ ไป ไม่ต้องเรียกตามตำแหน่ง เป็นธรรมชาติกันหน่อย”
“คือว่า…หัวหน้าอยู่ด้วยก็ธรรมชาติไม่ออกแล้วล่ะ” เลขาฯ สาวต่อว่า
“ใช่แล้วล่ะ” เสี่ยวเจิ้งคล้อยตาม “คนใหญ่คนโตระดับประธานฟาง คงไม่ใช่พาแฟนมาแล้วกลัวว่าตัวเองจะไม่มีเพื่อน เลยให้พวกเราสวมรอยมาหรอกนะครับ”
“…ฉลาดซะจริงๆ” เฉินตั๋วกลอกตาใส่เขา
ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ เฉินตั๋วครุ่นคิดอย่างหนัก อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าคราวนี้หัวหน้าไม่ได้พาแฟนมา แต่…พาไอดอลมาเที่ยวต่างหากล่ะ
เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ตื่นเต้นนัก
วันหยุดเสาร์อาทิตย์อากาศแจ่มใส แสงอาทิตย์สดใส อุณหภูมิร้อนขึ้นเล็กน้อย เคหาสน์เฟิ่งเฉิงอยู่บริเวณเชิงเขาไม่ไกลจากชานเมือง เทียบกับบริษัทของฟางไหลหยางแล้วที่นั่นอยู่ไกลจากเขาฟางซานมากกว่า วันนี้ฟางไหลหยางเตรียมตัวมาอย่างเรียบร้อย
เสื้อกันลม อาหาร ขนม รองเท้าปีนเขา พาวเวอร์แบงก์ ร่มกันแดด หนังสือการ์ตูน…
ฟางไหลหยางนับวนไปมาอยู่หลายรอบ ถึงได้นำสิ่งของใส่ลงในกระเป๋าแล้วจัดให้เรียบร้อย สวมชุดลำลอง จากนั้นจึงสะพายกระเป๋าออกจากเขตที่พักอาศัย
“คุณฟางจะไปเที่ยวเหรอครับ” คุณลุงยามเห็นฟางไหลหยางก็ทักทายอย่างเป็นมิตร
ฟางไหลหยางพยักหน้าให้โดยไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ วางตัวอย่างหัวหน้ากับลูกน้อง
คุณลุงยามไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เขาเอ่ยถามต่อไป “ไม่ขับรถไปล่ะครับ” ทั้งๆ ที่เถ้าแก่ใหญ่คนนี้มีรถซูเปอร์คาร์ราคาเป็นล้านอยู่ในโรงรถตั้งหลายคัน ทำไมถึงได้เดินเท้าออกมาเสียเล่า
“มีคนมารับน่ะครับ”
ฟางไหลหยางตอบออกไปอย่างนั้น ทว่าก็อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้
ที่ผ่านมาลุงยามเคยเห็นแต่ฟางไหลหยางผู้ไม่เคยยิ้มแย้ม เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฟางไหลหยางในลักษณะนี้ เขาจ้องเขม็ง อ้าปากค้างมองฟางไหลหยางเดินผ่านประตูใหญ่ออกไปที่ข้างทางด้วยสายตามุ่งมั่น ยืนตัวตรงรอให้คนมารับ
“ผีเข้าหรือไงนะ” ลุงยามถามตัวเองด้วยสีหน้างุนงง
รถโฟล์กสวาเกนสีขาวตีโค้งออกมาจากปากทาง แล่นเข้ามาบนถนนเส้นนี้ เมื่อเข้าใกล้ฟางไหลหยางก็จอดลง เป็นการเบรกกะทันหันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ
กระจกรถเลื่อนลง เหมียวเหมี่ยวโผล่ใบหน้าอันน่ารักออกมา “ขอโทษนะคะคุณฟาง รอนานเลยสินะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมเองก็เพิ่งมา” ฟางไหลหยางส่ายศีรษะ เปิดประตูหลังแล้ววางกระเป๋าไว้ด้านใน ส่วนตัวเองนั่งลงที่เบาะหน้าฝั่งคนนั่ง
เพิ่งจะนั่งลง เหมียวเหมี่ยวก็ก้มหน้าเปิด GPS “คุณฟาง คุณจะไปไหนเหรอคะ”
“เขาฟางซาน” ฟางไหลหยางตอบ
“ได้ค่ะ” เหมียวเหมี่ยวเซ็ต GPS เสร็จเรียบร้อยก็ตะโกนด้วยความรื่นเริง “ออกเดินทางกันเลย!”
เหมียวเหมี่ยวกลับรถ ออกเดินทางตามการชี้ทางของ GPS ไปยังเขาฟางซาน
การไปเขาฟางซานจะต้องขับผ่านเขตเศรษฐกิจเกาซินที่เหมียวเหมี่ยวอาศัยอยู่ เหมียวเหมี่ยวเป็นคนปากอยู่ไม่สุข พอมีความสุขก็โพล่งออกมาว่าตัวเองพักอยู่ที่ไหน “คุณฟาง บ้านของคุณอยู่ใกล้กับเขตเศรษฐกิจเลยนี่นา บ้านของฉันเองก็อยู่แถวๆ นี้ค่ะ”
“คุณพักอยู่ในเขตเศรษฐกิจเหรอ” ฟางไหลหยางมองไปที่เธอ
เหมียวเหมี่ยว “ใช่ค่ะ ใกล้ๆ กับโซนมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ ย่านอพาร์ตเมนต์ของฉันมีคนพักอยู่น้อยที่สุด ค่าเช่าก็เลยถูก แต่ว่าเงื่อนไขดีมากๆ เลยนะคะ”
คำพูดประโยคนี้เผยตำแหน่งบ้านของเธอออกมา ทำเอาฟางไหลหยางที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ล็อกตำแหน่งที่อยู่ของเธอในสมองอย่างรวดเร็วว่าเป็นอพาร์ตเมนต์กึ่งโรงแรม และมั่นใจว่าเธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่ครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน โลกใบเล็กขนาดนี้เชียวเหรอ
ตอนนี้รถแล่นผ่านสี่แยกไฟแดง เข้าโค้งแล้วออกไปยังเขตชานเมือง
“ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันขับรถออกนอกเมืองเลยนะคะ ทักษะการขับรถของฉันค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ คุณฟางกล้าหาญจังเลยค่ะ” เหมียวเหมี่ยวหัวเราะเยาะตัวเองพลางเอ่ย “กล้านั่งรถที่ฉันเป็นคนขับ”
“เรียกผมว่าฟางไหลหยางก็พอครับ” ฟางไหลหยางกล่าว “ผมรู้จักคนขับรถแค่คนเดียวนี่ครับ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวผมขับให้เองก็ได้”
“ได้ยังไงล่ะคะ” เหมียวเหมี่ยวพึมพำ “อย่างนั้นฉันก็รับค่าจ้างมาฟรีๆ เลยน่ะสิ”
แม้จะพูดออกมาแบบนั้น แต่ไม่ทันถึงห้านาทีฟางไหลหยางก็เริ่มเมารถอีกแล้ว เหมียวเหมี่ยวชำเลืองมองเห็นว่าในมือของฟางไหลหยางกำกระดาษทิชชูปิดปากไว้แน่นและสีหน้าซีดขาว เธอรีบจอดรถที่ข้างทาง รถที่ถูกเบรกกะทันหันกระชากเล็กน้อยก่อนจะหยุดลง
ตอนนั้นเองที่ฟางไหลหยางรู้สึกว่าในกระเพาะปั่นป่วนไปหมด อยากให้เหมียวเหมี่ยวขับรถชนต้นไม้ให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณ…ฟาง…คุณฟางไหลหยาง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เหมียวเหมี่ยวมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ขอโทษด้วยนะคะ ทักษะการขับรถของฉันไม่ได้พัฒนาเลยสักนิด ฉันหยิบถุงพลาสติกให้นะคะ”
พูดไปพร้อมกับเอื้อมไปหยิบถุงพลาสติกที่เบาะหลัง แต่ว่าถูกฟางไหลหยางดึงตัวไว้ “ช่างเถอะ”
“แต่ว่า…”
ฟางไหลหยางเงยหน้าขึ้น สีหน้ายังคงไม่ดีสักเท่าไร นัยน์ตาแดงก่ำ ภายในมีน้ำตาคลออยู่ เมื่อชายหนุ่มหน้าตาโดดเด่นบุคลิกดีเยี่ยมอย่างเขามองมาที่เธอ ใจของเหมียวเหมี่ยวก็หวั่นไหวเสียเหลือเกิน ความหวั่นไหวนี้ทำให้เธออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคนเดียวเลย!
“ไม่เป็นไรครับ” ฟางไหลหยางเห็นเหมียวเหมี่ยวทำหน้าม่อยคอตกโทษตัวเองอยู่อย่างนั้นก็ปลอบใจ “อย่างนั้นผมขับเองก็แล้วกัน ผมเป็นคนขับก็ไม่เมารถแล้วล่ะ”
“อ๊ะ ไม่ดีหรอกมั้งคะ…” เป็นคนขับรถแท้ๆ กลับถูกผู้โดยสารรังเกียจรังงอนจนกลายเป็นผู้โดยสารเสียเอง…ถ้าคนในสายงานเดียวกันรู้เข้าคงหัวเราะกันแทบตายเลยใช่หรือเปล่า เหมียวเหมี่ยวตัดสินใจว่าจะปฏิเสธ
แต่ฟางไหลหยางเอ่ยออกมาว่า “ไม่อย่างนั้นหักค่าจ้างก็ได้ ไม่ต้องลำบากใจหรอกครับ ยังไงนี่ก็รถคุณนะ”
มีคนให้…รถคันนี้มาน่ะ
เหมียวเหมี่ยวตอบกลับในใจ
โธ่เอ๊ย คิดแบบนี้ฉันก็จะยิ่งรู้สึกผิดน่ะสิ
“ผลัดกันก็แล้วกันนะ คุณพักหน่อยเถอะ” คราวนี้ท่าทีและน้ำเสียงของฟางไหลหยางแสดงออกว่าไม่ให้เธอต่อรองอีก เหมียวเหมี่ยวได้ยินก็นิ่งอึ้งไป ตกใจกับรังสีแบบนี้ของเขา จึงลงจากรถสลับตำแหน่งกับเขาแต่โดยดี
ฟางไหลหยางนั่งลงบนที่นั่งคนขับด้วยท่าทีช่ำชอง เปลี่ยนเกียร์เปิดไฟเลี้ยวอย่างไหลลื่น
เหมียวเหมี่ยวคาดเข็มขัดนิรภัยไปอยากร้องไห้ไป พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ฉันจะต้องเป็นคนขับรถที่ล้มเหลวที่สุดบนโลกนี้แน่ๆ เลย ขอโทษจริงๆ นะคะ”
ฟางไหลหยางได้ยินน้ำเสียงปนสะอื้นของเธอก็ยิ้มออกมา “ถือซะว่าไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่เป็นไรนะครับ”
เหมียวเหมี่ยวมุ่ยปาก ศีรษะพิงกับหน้าต่างรถ เห็นทัศนียภาพนอกหน้าต่างแตกต่างกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง มันผ่านสายตาของเธอไปด้วยความเร็วสูง ทว่ารถก็ยังคงมั่นคง ฟางไหลหยางขับรถได้นิ่มมากๆ เลย เหมียวเหมี่ยวรู้สึกได้ถึงความห่างชั้นก็ยิ่งสลดเข้าไปใหญ่
หลังจากที่ฟางไหลหยางขับรถด้วยตัวเอง เขาก็ไม่เมารถแล้ว สีเลือดบนใบหน้าก็กลับสู่สภาพเดิม
เหมียวเหมี่ยวยิ่งเศร้าสร้อยขึ้นไปอีก เธอซึมจนผล็อยหลับไปในที่สุด
ฟางไหลหยางฟังเพลงร็อกสไตล์ญี่ปุ่นอย่างที่เคยฟังบนรถเมื่อครั้งก่อน เหลือบตามองศีรษะของเหมียวเหมี่ยวที่เอนไปอีกฟากหนึ่ง จะตกแหล่มิตกแหล่ ก็ถอนหายใจด้วยความจนใจ หลังจากลดเสียงเพลงลงแล้วก็ยื่นแขนยาวออกไป เกี่ยวเอาผมที่เหมียวเหมี่ยวกินเข้าไปออกมา แล้วจึงย้ายไปไว้ที่หลังหู
ผู้หญิงคนนี้ออกไปไหนมาไหนกับคนที่เคยเจอกันแค่สามครั้งก็หลับไปเลยงั้นเหรอ กล้าไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย
เป็น ‘ผู้กล้า’ จริงๆ เสียด้วย
ฟางไหลหยางหัวเราะเบาๆ เขาอารมณ์ดีเหมือนกับอากาศวันนี้ที่พระอาทิตย์สดใสตระการตา
ตลอดทางเขาตั้งใจลดเสียงเพลงให้เบาลง ได้ยินเพียงเสียงจังหวะกลองเบาๆ และเสียงลมหายใจแผ่วเบาของหญิงสาว ก็ไม่รู้ว่าเธอเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าถึงได้ไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย เธอหลับลึกมาก ฟางไหลหยางกลัวว่าเธอจะหลับจนเป็นหวัด ก็เลยเพิ่มอุณหภูมิแอร์ในรถให้สูงขึ้นแล้วจอดรถเข้าข้างทางอีกครั้ง คว้ากระเป๋าหยิบเสื้อกันลมออกมา เขาเอามาด้วยเพราะกลัวจะทำเสื้อผ้าเลอะเทอะ ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงในตอนนี้
เขาแผ่เสื้อกันลมออกมาคลุมตัวเหมียวเหมี่ยวเอาไว้ ฟางไหลหยางถึงได้เริ่มขับรถต่ออีกครั้ง
เมื่อรถเข้าใกล้กับเขาฟางซาน ในที่สุดเหมียวเหมี่ยวก็ตื่นขึ้นมา
แค่ขยับก็รู้สึกได้ถึงเสื้อที่คลุมตัวเธอเอาไว้ สติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ กลับคืนมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้นมาได้เหมียวเหมี่ยวก็โวยวายหน้าแดงซ่าน
“ว้าย…ตายจริง ขอโทษด้วยนะคะ! ฉันหลับไปซะอย่างนั้น!” เหมียวเหมี่ยวอับอายจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ให้คุณขับรถมาตลอดทางเลย แถมยังเอาเสื้อมาห่มให้ฉันอีก ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฉันต้องขอโทษคุณจริงๆ ค่ะ”
พอเห็นว่าสีหน้าของเหมียวเหมี่ยวเหมือนจะร้องไห้ออกมา ฟางไหลหยางก็อดจะขำไม่ได้ “เอาล่ะ ใกล้จะถึงแล้ว เตรียมตัวได้แล้วนะ”
“ค่ะ…” เหมียวเหมี่ยวก้มหน้าลง ไม่ได้ตอบโต้อะไร
เธอยังคงถือเสื้อกันลมของผู้ชายคนนี้เอาไว้ในมือ รู้สึกได้ถึงเนื้อผ้ามันขลับ เหมียวเหมี่ยวใจเต้นจนรู้สึกชา บอกไม่ถูกว่าเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติหรือว่าอะไรกันแน่ เธอรู้แค่ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจปั่นป่วนไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าชายคนนี้เป็นพวกน่ารำคาญที่ช่างแปลกประหลาด แต่ดูตอนนี้แล้ว เขาช่างเป็นคนดีเสียจริง แถมยังอ่อนโยนเอาใจใส่ เหมียวเหมี่ยวก้มหน้าลง แอบชำเลืองตาขึ้นมองฟางไหลหยาง
ฟางไหลหยางจดจ่อกับการขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจ กรอบหน้าด้านข้างคมชัดอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก ทั้งยังแลดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ เหมือนกับสายฟ้าผ่าลงมาที่ตัวเหมียวเหมี่ยว เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าความอ่อนล้าพุ่งขึ้นมาจากขา แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายไปจนถึงหน้าผาก
เหมียวเหมี่ยวจับหน้าอกไว้ รู้สึกว่าข้างในมีอะไรบางอย่างขยายขึ้นเป็นรสชาติหวานอมเปรี้ยว ก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก
ให้ตายสิ ฉันคงจะไม่ได้…
ชอบเขาคนนี้เข้าแล้วหรอกนะ?!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.