บทที่ 5 อกหักซะแล้ว
ได้ยินวิทยุบอกว่าหลังจากปีใหม่เมืองฝูเฉิงจะเริ่มดำเนินการใช้กฎใหม่กับบริการรถร่วมโดยสาร เหมียวเหมี่ยวเล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นดูเงื่อนไขของกฎใหม่ เมื่อเทียบกับสถานะของตัวเองแล้วถึงได้โล่งใจ อย่างน้อยเธอก็ยังทำอาชีพนี้ต่อไปได้ ยังหารายได้เพิ่มเพื่อสะสมไว้จ่ายค่ารถได้
ทว่าเมื่อเหมียวเหมี่ยวเช็กเงินเก็บในบัญชีก็พบว่าเงินเก็บไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เงินที่ฝากไว้ก็ยังเป็นค่าลิขสิทธิ์การ์ตูนเสียส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจ่ายเงินค่ารถคืนได้ แต่ว่าคิดไปทำไปก็แล้วกัน ข้อดีที่สุดของเหมียวเหมี่ยวก็คือเธอมองโลกในแง่ดี
แต่เมื่อเหมียวเหมี่ยวที่มองโลกในแง่ดีเห็นว่าในตู้เก็บของเหลืออาหารแมวเพียงกระป๋องเดียว ขนทั้งร่างกายก็พลันลุกซู่ เธอรีบไปเช็กดูอาหารเม็ด ก็พบว่าอาหารเม็ดเองก็เหลือแค่มื้อสุดท้ายแล้ว
“เหมียว…” เสี่ยวทู่ยกหางขึ้นอย่างสง่างาม ย่างเท้าเข้ามาข้างกายเหมียวเหมี่ยว ใช้หางเกี่ยวพันน่องของเธอ เดินวนได้รอบหนึ่ง ศีรษะที่มีขนปุกปุยก็แนบถูกับน่องของเหมียวเหมี่ยว มันกระดิกหูวนอีกรอบ จ้องมองอาหารเม็ดที่อยู่ในมือของเธอเงียบๆ เร่งทาสให้เทอาหารเร็วขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียง
เหมียวเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวทู่ คือว่า…ระยะนี้แม่ยุ่งกับการหาเงิน ก็เลยลืมซื้อของกินไว้ให้ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ไปกินข้าวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ชั้นล่างกับแม่มั้ยจ๊ะ”
เสี่ยวทู่หรี่ตาลง ลงเสียง ‘หึ’ เบาๆ หางแกว่งไกวด้วยความรำคาญใจ เบือนหน้าแล้วจึงวิ่งหนีไป จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนหลังแอร์ตั้งพื้นอย่างกับกษัตริย์ที่กำลังออกตรวจตราข้าราชบริพารและราษฎรของตน มองนางทาสผู้ละอายต่อตนอยู่จากด้านบน
ถูกปฏิเสธเข้าแล้วสินะ
เหมียวเหมี่ยวทำได้เพียงนำอาหารเม็ดมื้อสุดท้ายกับอาหารกระป๋องคลุกเคล้าเข้าด้วยกันแล้วเทลงในชามใส่อาหาร ร้องเรียกให้เสี่ยวทู่มากิน เสี่ยวทู่วิ่งเข้ามา ส่งเสียง “ครืดๆ” ด้วยความดีใจอยู่ในลำคอ เหมียวเหมี่ยวยื่นมือออกไปลูบหัว มันก็ไม่ได้อารมณ์เสียใส่
เหมียวเหมี่ยวเอ่ยขอโทษกับมัน “แม่จะไปซื้ออาหารให้ ขอโทษมากๆ เลย ลืมไปจริงๆ น่ะ ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แม่รักแกที่สุดเลย จุ๊บๆ!” เอ่ยไปเหมียวเหมี่ยวก็วอนหาเรื่องอยากจะอุ้มเสี่ยวทู่ขึ้นมาจุ๊บสักที ก็เลยถูกอุ้งเท้าเสี่ยวทู่ยันเอาไว้ที่หน้าผากไม่ให้เธอก่อกวน
“เหมียว…” เสี่ยวทู่ร้องออกมาด้วยความรำคาญใจ
เหมียวเหมี่ยววางมันลงด้วยความหดหู่ เสี่ยวทู่ก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารทันที
เธอจ้องมองท่าทางการกินอาหารด้วยความพึงพอใจ เสียง “ครืดๆ” ของเสี่ยวทู่เงียบลงสักครู่หนึ่ง สมองก็ขาดการควบคุมอีกครั้งทำให้คิดถึงฟางไหลหยางขึ้นมา ใบหน้าด้านข้างของฟางไหลหยางภายใต้แสงอาทิตย์ รอยยิ้มที่มุมปาก แล้วก็เวลาที่เขาพูดถึง ‘เหมียวไก่ฉีก’ ด้วยสายตาเปล่งประกาย
ถ้าเกิดว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีใจต่อกัน…เรื่องจะงดงามแค่ไหนกันนะ
เหมียวเหมี่ยวอดคิดเพ้อเจ้อไม่ได้ พวงแก้มทั้งสองแดงซ่าน เธอเอามือปิดหน้าแล้วค่อยๆ ลูบเสี่ยวทู่
“ฉันคิดบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย ไม่ใช่ต่างคนต่างมีใจให้กันสักหน่อย เขาก็แค่ชื่นชม ‘เหมียวไก่ฉีก’ เท่านั้นเอง…” คิดถึงตรงนี้เหมียวเหมี่ยวก็รู้สึกซึมเซาอยู่เล็กน้อย
“ไม่คิดแล้ว!” เหมียวเหมี่ยวตบตีใบหน้าแล้วลุกขึ้นจากพื้นห้อง จัดแต่งทรงผมนิดหน่อย ยังไม่ได้กินข้าวเลยนี่นา เธอไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาก็แบกกระเป๋าสะพายทั้งหน้าสดออกจากบ้านไป
อาหารเม็ดแพงมาก เหมียวเหมี่ยวเปิดเครื่องคิดเลขในมือถือคำนวณออกมาก็พบว่าหลังจากซื้ออาหารเม็ดแล้วช่วงนี้เธอคงจะทำได้แค่แทะหมั่นโถวประทังชีวิต เหมียวเหมี่ยวถอนหายใจด้วยความระทมทุกข์ แล้วขับรถไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต ระหว่างทางก็ซื้อของกินนิดๆ หน่อยๆ เข้าครัว
เหมียวเหมี่ยวซื้อของเสร็จก็เปิดแอพฯ เรียกรถปาปา คิดว่าจะรับสักสองบิลแล้วค่อยกลับบ้าน เธอกำลังเตรียมวางของลงในท้ายรถ แอพฯ เรียกรถปาปาก็ส่งบิลมาให้แล้ว
ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ใหญ่เอามากๆ อยู่ข้างๆ ทางแยกต่างระดับของทางด่วน รถของเหมียวเหมี่ยวจอดอยู่ในลานจอดรถแบบเก็บเงินข้างทาง ด้านข้างมีรถแท็กซี่จอดผิดกฎจราจรอยู่สองคันรอให้ลูกค้าออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็จะได้เรียกผู้โดยสารได้เลย คนขับรถแท็กซี่เปิดหน้าต่างรถสูบบุหรี่อยู่ภายในตัวรถ สูดควันแล้วพ่นออกมา เขาได้ยินเสียงดัง ‘ติ๊ดๆ’ สองครั้งจากมือถือของเหมียวเหมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวรถ ก็พลันหรี่สายตาด้วยท่าทีอันตราย
เหมียวเหมี่ยวปิดฝาท้ายลง เตรียมอ้อมตัวรถแท็กซี่ที่ขวางทางเพื่อขึ้นรถ ก็ได้ยินเสียงคนขับรถแท็กซี่เรียกเธอเอาไว้ ถามเธอด้วยเสียงเหลาะแหละ “นี่ น้องสาว เธอขับปาปาใช่หรือเปล่า”
เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้งหันกลับไปมองคนขับรถคนนั้น คุณลุงแก่ๆ ผิวดำไว้หนวดหยุบหยับคนหนึ่ง มองจากด้านนอกแล้วก็ดูไม่ใช่คนตัวสูงอะไร แต่ดูสุขภาพดีอย่างเห็นได้ชัด จ้องมองเธอด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรอยู่ในขณะนั้น เหมียวเหมี่ยวยกมุมปากขึ้น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาฉับพลัน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลุงคนนั้นถึงได้ถามเธอแบบนี้
เหมียวเหมี่ยวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ลำตัวแนบกับตัวรถ ถามกลับไปด้วยความตื่นตระหนก “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะคะ”
ท่าทางของเหมียวเหมี่ยวแสดงออกว่าเธอขี้ขลาดและระแวดระวัง ทำให้คุณลุงคนนั้นยิ่งมีความมั่นใจที่จะสั่งสอนคนขับรถปาปามากขึ้นไปอีก เขาเอาก้นบุหรี่โยนออกไปนอกหน้าต่าง เปิดประตูลงจากรถ อ้อมหน้ารถเข้าประชิดตัวเหมียวเหมี่ยว
เหมียวเหมี่ยวอยากบอกเขาเหลือเกินว่า ‘คุณลุงโยนก้นบุหรี่ไม่เป็นที่จะถูกปรับเอาได้นะคะ’ แต่ว่าเมื่อเห็นคุณลุงผิวคล้ำคนนี้เข้ามาใกล้ตนก็ยิ่งหวาดกลัว
อย่างกับว่าใจของเหมียวเหมี่ยวถูกคนใช้มือบีบอัดเอาไว้แน่น ทั้งตกใจและหวาดกลัว เธอใช้มือขวาขยับไปทางขวามือ ให้ถึงประตูรถฝั่งคนขับ เตรียมตัวดูลาดเลาอยู่ตลอด หากดูท่าไม่ดีก็จะเปิดประตูขึ้นรถทันที
“ถามเฉยๆ น่ะ น้องสาวหน้าตาน่ารักขนาดนี้ยังต้องขับรถอีกเหรอ ลำบากหรือเปล่า?” คุณลุงผิวคล้ำถามด้วยรอยยิ้ม ทว่าเหมียวเหมี่ยวกลับไม่ได้รู้สึกว่าเขาอารมณ์ดีสักเท่าไร
เหมียวเหมี่ยวเคยได้ยินมาก่อนว่าระหว่างคนขับรถแท็กซี่กับคนขับรถผ่านแอพฯ เป็นรายรายได้เสริมอย่างเธอมีการกระทบกระทั่งกันเพราะแย่งชิงผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะถูกเข้ามาหาเรื่องถึงที่ขนาดนี้ คนขับรถแท็กซี่ไม่พอใจที่ถูกแย่งอาชีพไป มักจะต่อว่าต่อขานคนขับรถผ่านแอพฯ อยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ตอนเหมียวเหมี่ยวเรียกใช้บริการแท็กซี่ก็เคยเจอคนขับแท็กซี่บ่นว่าถูกแย่งผู้โดยสาร แต่ว่าเธอก็ไม่เคยเจอคนเลวร้ายอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอคนขับที่ออกตัวต่อว่าคนอื่น
กลางวันแสกๆ อย่างนี้เหมียวเหมี่ยวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกับเธอ แต่ว่าก็ยังรู้สึกกลัวมากอยู่ดี ลุงผิวคล้ำคนนั้นลงมาจากรถ ร่างกายแข็งแรงอย่างที่คิดเอาไว้ สูงกว่าเธอประมาณสิบห้าเซนติเมตร ไม่ถือว่าสูง ทว่าอย่างไรก็เป็นผู้ชายตัวใหญ่อยู่ดี ลึกๆ ภายในใจก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าคืนนี้เธอต้องฝันร้ายแน่ๆ ก็เธอขี้ขลาดเอามากๆ เลยนี่นา
เหมียวเหมี่ยวฉีกยิ้ม เอ่ยอย่างประดักประเดิด “เอ่อ…ก็…ก็ดีนะคะ”
“ลำบากแล้วจะมาขับรถทำไมล่ะ แต่งงานกับคุณชายรวยๆ ก็พอแล้ว จะออกมาทำงานข้างนอกทำไมกัน” คุณลุงผิวคล้ำยังคงใช้สีหน้าอบอุ่นเหมือนเดิม ทำเอาเหมียวเหมี่ยวพลันขนลุกไปทั้งตัว
เหมียวเหมี่ยวไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา เพียงแต่ตอบโต้กลับไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผู้หญิงก็ต้องอยู่เองให้ได้เหมือนกัน…”
“พ่อแม่หนูวางใจให้หนูออกมางั้นเหรอ”
สีหน้าของเหมียวเหมี่ยวนิ่งสนิท ดูไม่ดีเอามากๆ
คุณลุงผิวคล้ำคนนั้นยังคงถามต่อไปว่า “วันหนึ่งเธอได้เงินเท่าไหร่กัน จะสบายกว่าไปแต่งงานกับคนมีเงินได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย?”
คำพูดดูถูกคนอื่นขนาดนี้ทำให้เธอไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“…เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลุงนี่คะ” เหมียวเหมี่ยวโกรธขึ้นมาทันที แต่อย่ามีเรื่องจะดีกว่า เหมียวเหมี่ยวพยายามอย่างที่สุดที่จะผ่อนคลายน้ำเสียงของตัวเอง เมื่อเอ่ยจบ เธอก็อยากเปิดประตูรถเพื่อขึ้นรถ
คิดไม่ถึงว่าคุณลุงผิวคล้ำคนนั้นจะไวกว่าเธอไปก้าวหนึ่ง มือใหญ่ผลักประตูรถของเหมียวเหมี่ยวเอาไว้ ประตูรถที่เพิ่งเปิดเป็นช่องจึงถูกปิดลง
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลของอีกฝ่าย ใจเริ่มเต้นรัว เธอไม่ยินดีจะปะทะกับอีกฝ่ายตัวต่อตัว โดยเฉพาะเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองอยู่ในสถานะอ่อนแอกว่า แต่เธอก็ไม่มีแม้แต่ที่จะหลบซ่อนตัว ทำให้ไฟแห่งความคับแค้นภายในใจยิ่งเผาไหม้แรงขึ้นทุกขณะ
“คุณลุงคะ ฉันยังต้องไปรับผู้โดยสารอีก หลีกทางให้ฉันขึ้นรถด้วยค่ะ” เหมียวเหมี่ยวในตอนนี้ยังสามารถสงบจิตใจพูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพได้อยู่
แต่ว่าคุณลุงคนนั้นเห็นว่าเหมียวเหมี่ยวพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวาย ก็เริ่มรุกคืบเข้ามาอีก
เขาทำท่าจะแย่งมือถือของเหมียวเหมี่ยวไป ปากก็พูดว่า “รับผู้โดยสารอะไรล่ะ คนวงนอกอย่างเธออย่าหวังจะเป็นสุขเลย เอาเบอร์โทรศัพท์ของผู้โดยสารให้ฉัน ฉันจะไปรับเอง”
เหมียวเหมี่ยวตกใจกับมือที่ยื่นเข้ามากะทันหัน ถอยหลังไปสองก้าว เอ่ยถามด้วยเสียงสูง “จะทำอะไรน่ะ”
เหมียวเหมี่ยวโมโหกับอากัปกิริยาของเขามาก ใบหน้าก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา จดจ้องอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม
ถูกเหมียวเหมี่ยวจ้องอย่างนี้ คุณลุงผิวคล้ำก็ยังคงไม่พอใจท่า “ฉันจะช่วยเธออยู่นี่ไง เห็นว่าเด็กสาวอายุยังน้อยอย่างเธอจะไปรับผู้โดยสารนี่” เอ่ยไปเขาก็ยังคงเอื้อมมือมาแย่งมือถือของเหมียวเหมี่ยวไป
“นี่เป็นบิลที่ฉันรับมานะ! มีสิทธิ์อะไรมาแย่ง!” เหมียวเหมี่ยวตะโกน มาแย่งของคนอื่นไปฟรีๆ แบบนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เหมียวเหมี่ยวรู้สึกโกรธจนปอดจะระเบิด
“ดีจะตาย จะมาโกรธอะไรล่ะ ไม่รู้จักการเคารพผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กเล็กหรือไง? อายุยังน้อยก็ไม่มีมารยาทขนาดนี้เชียวเหรอ” คุณลุงผิวคล้ำรู้อยู่แก่ใจว่าเหมียวเหมี่ยวหวาดกลัวเขา ก็ยิ่งพูดจาเลอะเทอะไปใหญ่ “พ่อแม่เธอสอนมายังไง ไม่มีการศึกษาเอาซะเลย”
คนรอบข้างค่อยๆ สนใจการทะเลาะกันตรงนี้ ผู้คนที่เดินผ่านกันเป็นกลุ่มๆ หยุดฝีเท้าอยู่ไม่ไกลนัก แอบกระซิบกระซาบพากันจ้องมองมาทางนี้
ได้ยินคำพูดที่คุณลุงคนนี้เอ่ยออกมา ไฟในใจของเหมียวเหมี่ยวก็พลันลุกโชน ทำให้เธอโต้ตอบด้วยเสียงอันเฉียบขาด “ใครไม่มีการศึกษากันแน่! ไสหัวไปเลยนะ!” เอ่ยไปก็จะหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟันอยากจะพุ่งตัวเข้าไปไล่คุณลุงผิวคล้ำ
จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นมาจากทางซ้าย มือใหญ่จับกระเป๋าของเธอเอาไว้ ถือโอกาสกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนอันโอบอ้อมอารีและอบอุ่น
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกว่าตรงหน้ามืดไปหมด ไม่ทันได้รู้ตัวก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไม่ทราบว่าแฟนของผมไปชนคุณตรงไหนหรือเปล่า”
คุณลุงผิวคล้ำเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสูงใหญ่ตรงหน้า ใจก็พลันเข็ดขยาด เขาขับรถแท็กซี่มาหลายสิบปี เจอคนมาทุกประเภท มองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนหนุ่มสีหน้าไม่เป็นมิตรที่สวมชุดพิถีพิถันทั้งตัวตรงหน้าเขาคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะเอาความด้วยได้ ก็รีบโบกไม้โบกมือแล้วหัวเราะ “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก เห็นทำอาชีพเดียวกันก็เลยอยากคุยด้วยหน่อยน่ะ”
เขาพูดเสียดูเป็นเรื่องเล็ก ภายในใจของเหมียวเหมี่ยวยังคงคุกรุ่น กำหมัดได้ก็อยากจะตอบโต้กลับไป ทว่าถูกฟางไหลหยางรับเอาไว้แทน แล้วก็ถือโอกาสจับมือของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
เหมียวเหมี่ยวรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมือใหญ่ที่กุมหมัดของเธอเอาไว้ กระแสความร้อนผ่านมือบริเวณทั้งสองข้างที่สัมผัสกันเป็นระลอก อย่างกับว่าเหมียวเหมี่ยวได้ยินเสียงชีพจรของตัวเองเต้นอยู่ สั่นสะเทือนหัวใจของเธอทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสั่นสะเทือนไปทั้งศีรษะ เธอได้ยินเสียงหัวใจเต้นรุนแรงถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ และเสียงอันทุ้มต่ำน่าดึงดูดของฟางไหลหยาง รวมไปถึงหน้าอกของเขาที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการพูด
“เธอไม่ได้ทำอาชีพเดียวกับคุณ” มืออีกข้างของฟางไหลหยางกุมศีรษะของเหมียวเหมี่ยวเอาไว้เบาๆ เหมียวเหมี่ยวเงยหน้ามองเขาทันที พอดีกับที่ฟางไหลหยางก้มหน้าลงมายิ้มให้ สายตาของทั้งสองประสานกัน เหมียวเหมี่ยวสะดุ้งจนหน้าแดง เมื่อได้ยินฟางไหลหยางถามเธอว่า “ใช่มั้ยครับ ที่รัก?”
เหมียวเหมี่ยวสูดอากาศเย็นเข้าไปเฮือกหนึ่ง รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างกับว่าจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เธอรับคำอย่างเชื่องช้าพลางพยักหน้าไปด้วย
คุณลุงผิวคล้ำถูกคู่รักหนุ่มสาวดึงดูดความสนใจ ก็เดินเตะเข้ากับเหล็กท่อนหนึ่งที่วางในมุมอับสายตาจนสะดุดเหยียบเท้าของตัวเองเจ็บ ถือว่าเขาโชคร้ายเอง คุณลุงผิดคล้ำก่นด่าเสียงเบาคำหนึ่งก็หันไปจะขึ้นรถ
ฟางไหลหยางเรียกเขาเอาไว้ด้วยเสียงเรียบ “ช้าก่อนครับคุณ”
“มีอะไรอีกล่ะ ฉันจะรีบไปหาผู้โดยสาร” คุณลุงผิวคล้ำถามด้วยความรำคาญใจ
ฟางไหลหยางโค้งมุมปากขึ้น ชี้ไปข้างหลังคุณลุงผิวคล้ำ “คุณจอดรถผิดที่ ยังไงปฏิบัติตามกฎจราจรจะดีกว่านะครับ อีกอย่างกรุณาอย่าโยนก้นบุหรี่ไม่เป็นที่ มันเป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม”
คุณลุงผิวคล้ำแอบสบถคำหยาบออกมา เดินไปเก็บก้นบุหรี่ข้างๆ ตัวรถ หันไปจ้องเหมียวเหมี่ยวที่มองอยู่อย่างโหดเหี้ยม ตอนนั้นเองก็มีคนประคองเอวของเธอเอาไว้ เธออาศัยบารมีของฟางไหลหยางถลึงตากลับไป
คุณลุงผิวคล้ำนิ่งอึ้ง กำลังจะพูดอะไรขึ้นมาก็ถูกตำรวจจราจรที่เดินมาจากข้างหลังตบไหล่ “เพื่อนฝูง จอดรถผิดกฎจราจร ใบจ่ายค่าปรับอยู่ในมือคุณแล้ว กรุณาไปจ่ายค่าปรับภายในสิบห้าวันด้วย ขอบคุณนะครับที่ให้ความร่วมมือ”
เหมียวเหมี่ยวเห็นสถานการณ์ก็อดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาไม่ได้ คุณลุงผิวคล้ำรับใบจ่ายค่าปรับแล้วหันมาถลึงตามองเธอ เหมียวเหมี่ยวชี้ไปยังเส้นจอดรถของตัวเองด้วยความสะใจ หน้าบานเป็นจานเชิง คุณลุงผิวคล้ำหันกลับไปด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว รู้สึกเพียงว่าวันนี้ตัวเองโชคร้ายเป็นที่สุด
เดิมทีเขาก็แค่เห็นว่าเด็กสาวน่ารังแก อยากกู้หน้าแท็กซี่อย่างตัวเองกลับคืนมา คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีหนุ่มสูงรวยหล่อคอยปกป้อง
รถแท็กซี่ขับออกไปแล้ว เหมียวเหมี่ยวเองก็ผละจากอ้อมแขนของฟางไหลหยางนานแล้ว เธอเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าแดงซ่าน “ได้คุณช่วยไว้แท้ๆ เลย เมื่อกี้นี้ฉันตกใจมากเลยค่ะ”
ฟางไหลหยางเลิกคิ้ว มองเธออย่างไม่เห็นด้วย “ถ้าเมื่อกี้ผมไม่หยุดคุณเอาไว้ คุณจะเอากระเป๋าหนังใบเล็กนั่นฟาดเขาจริงๆ เหรอ”
เหมียวเหมี่ยวเม้มริมฝีปาก เหยียดยิ้มด้วยความรู้สึกผิด บีบนิ้วมือพลางตอบออกไป “แบบว่า…หุนหันพลันแล่นก็ทำไปตามสถานการณ์…เท่านั้น…เอง…”
“เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่แข็งแรงขนาดนั้น คุณเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่กลัวเสียเปรียบบ้างหรือไง” ฟางไหลหยางขมวดคิ้ว รู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก
เหมียวเหมี่ยวเกาหัวแกรกๆ เมื่อเห็นว่าฟางไหลหยางอารมณ์ไม่ดีเพราะความหุนหันพลันแล่นของเธอก็รีบยิ้มสู้ เธอเอ่ย “ขอบคุณนะคะ คุณดูสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย! ฉันโกรธจริงๆ นะคะ ก็เขาปากไม่ดีนี่นา”
“เขาว่าอะไรคุณ” ฟางไหลหยางเพียงแต่เห็นทั้งสองคนมีเรื่องกันอยู่ไกลๆ ก็เลยรีบจอดรถที่ข้างทางแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้ามา เห็นเหมียวเหมี่ยวผลุนผลันเตรียมจะฟาดลงไปพอดี ตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร
เหมียวเหมี่ยวเบะปาก คิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ก็ตลกดีนะคะ…พอดีเขาเห็นฉันเปิดแอพฯ เรียกรถปาปา รู้สึกว่าฉันไปแย่งลูกค้าเขาก็เลยไม่พอใจ สั่งสอนฉันมาหลายคำเลย ฉันก็เป็นคนนิสัยดีนะคะ ปกติก็คงไม่โกรธหรอก แต่ใครให้เขา…”
ฟางไหลหยางสงสัย “เขาพูดอะไรเหรอ”
เหมียวเหมี่ยวกัดริมฝีปาก พอนึกถึงคำพูดของชายคนเมื่อกี้ก็รู้สึกน้อยใจ ขอบตาแดงรื้นขึ้นเล็กน้อย เธอเบือนหน้าไปอีกฝั่งหนึ่ง เอ่ยเสริมด้วยความอัดอั้น “ใครให้เขาบอกว่าฉันไร้การศึกษาล่ะ”
ฟางไหลหยางนิ่งอึ้ง ยังอยากถามต่อ แต่เหมียวเหมี่ยวก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เอ๊ะ ยังไม่ได้ถามคุณเลยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“มาซื้อของทำอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะ”
เหมียวเหมี่ยวยิ้มพลางเอ่ย “เถ้าแก่ใหญ่ก็ทำกับข้าวเองด้วยเหรอคะ”
“ผมชอบลงมือทำเองน่ะ” ฟางไหลหยางยกมุมปากขึ้น เอ่ยถามเหมียวเหมี่ยว “แล้วคุณล่ะ? มาส่งผู้โดยสารแถวนี้เหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ มาซื้ออาหารแมว ถ้าไม่ซื้อให้เจ้านายจะดื้อน่ะค่ะ” เหมียวเหมี่ยวยิ้มเจื่อนๆ หยอกล้อกับตัวเอง
ฟางไหลหยางเลิกคิ้ว เขาเคยเห็นเสี่ยวทู่ของเหมียวเหมี่ยวหลายครั้งแล้วในไลฟ์สด แฟนคลับส่วนใหญ่ต่างก็ถือเป็นแมวทิพย์ของตัวเอง ล้วนแต่ชอบเสี่ยวทู่กันมากๆ เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ทำเป็นตื่นเต้น “คุณเลี้ยงแมวด้วยเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อเมริกันช็อตแฮร์ นิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาใช้ได้เลย แต่ว่าเชื่องมากนะคะ น่ารักมากๆ เลยค่ะ”
“จะให้ผมเจอได้เมื่อไหร่ล่ะครับ” ฟางไหลหยางเอ่ยอย่างจริงจัง
เหมียวเหมี่ยวมองเขาด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าฟางไหลหยางที่ดูเย็นชาจะสนใจแมวขนปุกปุยกับเขาด้วย การได้มีความชอบและงานอดิเรกคล้ายๆ กันกับคนที่ตัวเองชอบทำให้เธอมีความสุข นี่ก็หมายความว่าพวกเขาสองคนจะมีเรื่องให้คุยกันมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นมือถือก็ดังขึ้น เสียงสายเข้าเสี่ยวทู่ร้องเหมียวๆ ดังขึ้นมา เหมียวเหมี่ยวชะงักงัน นึกถึงผู้โดยสารที่ถูกความจำปลาทองของเธอทอดทิ้งไว้ที่มหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นมาได้ทันที ก็ร้อนรนจนสะดุ้งไปทั้งตัว รีบรับโทรศัพท์
“ฮัลโหลๆ สวัสดีค่ะ อ๊ะ ขอโทษค่ะขอโทษ เมื่อสักครู่เกิดเรื่องนิดหน่อยก็เลยไม่ได้ติดต่อคุณไป ขอโทษจริงๆ นะคะ! ขอโทษจริงๆ ค่ะ! อะไรนะคะ จะยกเลิกบิลเหรอคะ ได้ค่ะๆ ได้ค่ะได้! ขอโทษจริงๆ ค่ะ!” เหมียวเหมี่ยวโต้ตอบกับโทรศัพท์จากผู้โดยสารที่โทรมาต่อว่า ยอมรับผิดด้วยท่าทีที่สุภาพ
ฟางไหลหยางเห็นเหมียวเหมี่ยวพยักหน้าด้วยท่าทางเคารพนบนอบ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์มองไม่เห็นท่าทางของเธอเสียหน่อย แต่เขากลับได้เห็นท่าทางทั้งหมด เวลานี้เหมียวเหมี่ยวเหมือนแมวน้อยที่รีบร้อนย่ำเท้าไปมา อยากจะจับไม้ตกแมวให้ได้
เมื่อคิดถึงท่าทางบันดาลโทสะของเหมียวเหมี่ยวเมื่อสักครู่ ก็เหมือนแมวเหมียวกำลังพองขน กดศีรษะให้ต่ำลงเพื่อเตรียมมุ่งหน้าโจมตีศัตรูให้สิ้นชีพ
ต้องบอกว่าน่ารักมากๆ เลยล่ะ
แต่ว่าเวลานี้สีหน้าของฟางไหลหยางยังคงเฉยเมย ท่าทางสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าฟางไหลหยางโค้งมุมปากขึ้นนิดหน่อย เจือด้วยรัศมีของความอบอุ่น
บิลนี้ของเหมียวเหมี่ยวเป็นอันจบสิ้นลง ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์รับผู้โดยสารแล้ว หลังจากที่จัดการบิลก่อนหน้านี้เรียบร้อยก็ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ หันกลับไปเห็นฟางไหลหยางกำลังมองเธออยู่ ใบหน้าเล็กก็พลันแดงซ่าน ถามเขาด้วยความขวยเขิน “วันนี้ขอบคุณคุณจริงๆ นะคะ คุณมีเวลาหรือเปล่า ยังไงให้ฉันเลี้ยงข้าวกลางวันคุณนะคะ?!”
ฟางไหลหยาง “แต่ว่าผมกินมื้อกลางวันมาแล้ว”
“…เอ่อ…” เหมียวเหมี่ยวยังไม่ได้กินมื้อกลางวัน แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับเทพบุตรหนุ่ม ใช่แล้วล่ะ เมื่อสักครู่นี้เธอตัดสินใจไปแล้วว่าจะมองฟางไหลหยางเป็นเทพบุตรหนุ่มของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น “งั้นชายามบ่ายก็ได้ค่ะ!”
“แต่ว่า…ยังไม่ถึงสองโมงครึ่งเลย ผมยังไม่หิวน่ะ…”
“งั้นฉันเลี้ยงของหวานคุณก็ได้! ได้โปรดรับการตอบแทนจากฉันด้วยนะคะ!” เหมียวเหมี่ยวเงยหน้า ดวงตาเป็นประกาย เชิญชวนฟางไหลหยางเป็นครั้งที่สามด้วยความคาดหวัง
ฟางไหลหยางถูกเธอมองจนขนลุก แต่พอเห็นสีหน้าน่ารักเหมือนแมวน้อยกำลังขอของกินก็ใจอ่อน เขาพยักหน้าตอบตกลง ลืมไปหมดแล้วว่าบ่ายวันนี้ตนรับปากกับเฉินตั๋วเอาไว้แล้วว่าจะไปตรวจแผนการออกแบบของร้านใหม่
ชั้นหนึ่งของซูเปอร์มาร์เก็ตมีร้านของหวาน เหมียวเหมี่ยวเคยซื้อเครปเค้กชาเขียวมาก่อน รสชาติใช้ได้เลย เหมียวเหมี่ยวเห็นว่าที่ตู้โชว์มีเค้กคัสตาร์ดเต้าหู้ที่ดังในอินเตอร์เน็ตออกมาใหม่ ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างจึงสั่งมากล่องหนึ่ง แล้วก็สั่งชานมอีกหนึ่งแก้ว แล้วจึงหันไปถามฟางไหลหยางว่าจะกินอะไร
ความจริงแล้วฟางไหลหยางชอบกินของหวานมาก แล้วตัวเขาเองก็ชอบของหวานประเภทขนมอบแบบตะวันตก พูดได้เลยว่ามีจิตใจชื่นชอบสิ่งของน่ารักๆ ทุกอย่างแบบเด็กผู้หญิง แต่เนื่องจากเขาเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว อีกทั้งภาพลักษณ์ของเขายังดูนิ่งเงียบ มีอุปนิสัยไม่คลุกคลีกับคนแปลกหน้า ยิ่งทำให้เขาเก้อเขินที่จะแสดงตัวว่าชอบกินของหวาน
เขาเล็งเครปเค้กช็อกโกแลตที่ดูน่ากินเอาไว้นานแล้ว ทว่ายังคงเก๊กท่าอยู่ “ผมไม่รู้จะกินอะไรดี ไม่ค่อยรู้จักของหวานสักเท่าไหร่ คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ”
“อ๋อ คราวก่อนฉันกินเครปเค้กชาเขียว อร่อยดีนะคะ งั้นสั่งอันนั้นก็แล้วกันนะคะ” เหมียวเหมี่ยวชี้ไปยังเครปเค้กชาเขียวที่อยู่ข้างๆ เครปเค้กช็อกโกแลต
ฟางไหลหยางอยากบอกเธอเหลือเกินว่าเขาไม่ชอบชาเขียว แต่เมื่อเห็นสายตาที่ทอประกายด้วยความหวังของเหมียวเหมี่ยวก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้าให้เธอ ชั่วขณะนั้นเองฟางไหลหยางรู้สึกได้ว่าดวงตาของเหมียวเหมี่ยวเต็มไปด้วยความยินดีและภาคภูมิใจที่แนะนำเขาสำเร็จ
ช่างเถอะ…จิตใจของแฟนคลับน่ะ ของที่เหมียวเหมี่ยวชอบคงจะรสชาติไม่แย่นักหรอก ฟางไหลหยางมองเครปเค้กช็อกโกแลตครั้งหนึ่งแล้วถอนสายตากลับมาด้วยความเสียดาย
ทั้งสองหาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลง พูดคุยกันเรื่องแมวที่เหมียวเหมี่ยวเลี้ยงเอาไว้กับเรื่องเล่าจากอาชีพขับรถจากแอพฯ เรียกรถปาปาอยู่สักครู่ ฟางไหลหยางเว้นระยะห่างได้เป็นอย่างดีมาตลอด ไม่ได้ถามเหมียวเหมี่ยวเรื่องอาชีพหลัก ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างออกรส
เหมียวเหมี่ยวเบิกบานใจเป็นที่สุด จิตใจของสาวน้อยแตกใบอ่อน ทุกครั้งที่ฟางไหลหยางคล้อยตามคำพูดของเธอ หรือหัวเราะเพราะคำพูดของเธอ หัวใจของเธอจะรู้สึกเจ็บเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วตามด้วยความหวานชื่นและดีอกดีใจอย่างไร้ขอบเขต ฟางไหลหยางยิ้มออกมา รัศมีของมุมปากช่างน่ามองเสียจริง
เหมียวเหมี่ยวก้มหน้ามองเค้กคัสตาร์ดเต้าหู้ของตัวเอง ฉวยโอกาสช่วงที่เรือนผมบดบังใบหน้าแอบขำออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วก็เอ่ยปากแกล้งต่อว่าอย่างจนใจ “ทำไมถึงดังได้นะ ธรรมดาจะตายไป…ฉันไม่ชอบรสชาติของน้ำเต้าหู้เลย”
ฟางไหลหยางเคยทำเค้กคัสตาร์ดเต้าหู้มาก่อน เห็นว่าเหมียวเหมี่ยวไม่ชอบกินจริงๆ จังๆ ก็ใช้มือหนึ่งยันลำคอไปตามอารมณ์ หันหน้ามามองเหมียวเหมี่ยว “คราวหน้าผมจะชวนคุณไปกินเค้กคัสตาร์ดเต้าหู้ รับประกันว่าอร่อยแน่ๆ”
เหมียวเหมี่ยวกะพริบตาปริบๆ มุมปากเปื้อนด้วยวิปครีม “ร้านไหนเหรอคะ”
“เอ่อ…” ฟางไหลหยางใช้นิ้วมือเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงงึมงำ “เพื่อนผมทำเอง ฝีมือดีเชียวล่ะ”
เหมียวเหมี่ยวมองดูขนตาที่หลุบลงเล็กน้อยของฟางไหลหยางที่ถูกแสงแดดฤดูหนาวสาดส่องทะลุบานกระจกยาวระพื้นเข้ามา หัวใจของเธอก็ราวกับถูกค้อนอันเล็กทุบลงเบาๆ เป็นจังหวะ
เธอไม่มีสมาธิ ก็เลยรีบร้อนตั้งสติกลับคืนมาแล้วเอ่ยล้อเล่นกับเขา “แฟนเหรอคะ”
อย่ายอมรับเด็ดขาดเลยนะ ห้ามยอมรับเด็ดขาดเลย เหมียวเหมี่ยววิงวอนจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไม่ใช่ครับ แต่ว่าสนิทกันกว่านั้นอีก” ฟางไหลหยางโค้งมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างลึกลับ ก็ตัวเขานี่ไง ยังไงก็ต้องสนิทกว่าแฟนอยู่แล้วสิ
รอยยิ้มที่มุมปากของเหมียวเหมี่ยวแน่นิ่งไปชั่วขณะ สนิทกว่าแฟนอย่างนั้นเหรอ แถมยังพูดจามีลับลมคมใน ถ้าไม่ใช่ภรรยาก็คงจะเป็นคู่หมั้นแล้วล่ะ…
อารมณ์ของเหมียวเหมี่ยวเหมือนกับนั่งรถไฟเหาะ ตอนนี้ถึงจุดต่ำสุด พุ่งเข้าไปในบ่อน้ำ น้ำกระเซ็นเปียกไปทั้งตัว ใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว
นี่มันหมายความว่ายังไง…เหมียวเหมี่ยวหายใจหอบ ถามตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันชอบเขาเข้าจริงๆ แล้วเหรอ ตอนนี้ก็เลยอิจฉา ก็เลยเสียใจอย่างนั้นเหรอ
จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้สิ เหมียวเหมี่ยวปลุกใจให้ฮึกเหิม ยิ้มให้ฟางไหลหยางพลางเอ่ย “ฉันรอคอยเลยล่ะค่ะ!”
ความจริงแล้วเทพบุตรก็ต้องเป็นของคนอื่นอยู่แล้วนี่นา
แม้ว่าเทพบุตรคนนี้จะเป็นนักอ่านของเธอก็เถอะ
“จริงสิครับ คราวหน้าจะให้ ‘เขา’ ทำแครกเกอร์ปลาด้วย เอาไว้เป็นขนมให้เสี่ยวทู่นะครับ” ฟางไหลหยางเอ่ย
เหมียวเหมี่ยวพยักหน้าอย่างสองจิตสองใจ “ได้ค่ะ…ได้ ขอบคุณนะคะ”
“อีกอย่างนึง คราวก่อนคุณลืมสมุดสเก็ตช์ภาพเอาไว้ในกระเป๋าของผม วันนี้ผมไม่ได้เอามาด้วย คราวหน้าจะเอาให้คุณทีเดียวเลยนะครับ” ฟางไหลหยางคิดถึงสมุดสเก็ตช์ภาพขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนเหมียวเหมี่ยว
พอเหมียวเหมี่ยวถูกเขาเตือนเข้า ก็คิดถึงสมุดสเก็ตช์ที่หายไปขึ้นมาได้ เธอหาอยู่ตั้งนาน ทำไมถึงนึกไม่ออกเลยนะว่าลืมไว้ที่ไหน คิดไม่ถึงเลยว่าจะลืมเอาไว้ในกระเป๋าของฟางไหลหยาง
พอคิดขึ้นมาได้ว่าสมุดสเก็ตช์ภาพเล่มนั้นไม่ใช่แค่สมุดที่เธอสเก็ตช์ หรือออกแบบการ์ตูนยามว่างแล้วก็ฝึกเซ็นชื่อเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือมีรูปที่เธอแอบสเก็ตช์ภาพฟางไหลหยางเอาไว้ด้วย! ตายแล้ว ถ้าเกิดฟางไหลหยางเห็นขึ้นมาล่ะก็ ไม่ใช่แค่ตัวตนของฉันจะถูกเปิดเผย แต่ฟางไหลหยางยังจะรู้ความในใจของฉันด้วย ฉันต้องตายแน่ๆ!
“ที่แท้ก็อยู่ที่คุณนี่เอง เมื่อไหร่จะคืนให้ฉันล่ะคะ ฉันต้องรีบใช้น่ะค่ะ” เหมียวเหมี่ยวเอ่ยไปก็จะตรวจตราสีหน้าของฟางไหลหยางอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่าฟางไหลหยางไม่ได้เปิดดูภายในสมุด ความลับยังไม่ถูกเปิดเผย เธอก็พลันโล่งใจ
“งั้น…ว่างแล้วค่อยนัดกันนะคะ หรือจะส่งไปรษณีย์มาก็ได้” เหมียวเหมี่ยวไม่กล้ามองฟางไหลหยางอีก
เหมียวเหมี่ยวที่รู้สึกดีกับเขาและเป็นนักวาดการ์ตูนที่อีกฝ่ายชื่นชอบ แต่เธอกลับปิดบังเขา แถมเขายังดูแลเธอเป็นอย่างดีอีก แค่นี้ก็ละอายใจจะแย่แล้ว ตอนนี้มารู้ว่าเขามีคู่รักที่อยู่ในระดับคู่หมั้นขึ้นไป ความรู้สึกของเธอก็เป็นอันจบบริบูรณ์ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น
เพื่อไม่ให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่านี้ เหมียวเหมี่ยวจึงไม่อยากพบหน้าฟางไหลหยางอีก ทางที่ดีแม้แต่คืนสมุดสเก็ตช์ก็ไม่ต้องเจอกันไปเลยดีกว่า
“ทำไมต้องใช้ไปรษณีย์ด้วยล่ะ เดี๋ยวคราวหน้าผมเอาเค้กกับแครกเกอร์ปลาให้คุณทีเดียวเลย แล้วเราค่อยนัดวันเวลากันอีกที” ฟางไหลหยางเป็นคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ให้คนอื่นพูดแทรกเสมอมา เหมียวเหมี่ยวรู้ว่าเขาก็แค่สงสัย แต่ไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไรดี
“เอ่อ…อาทิตย์หน้าก็แล้วกันค่ะ อาทิตย์นี้ฉันไม่ค่อยว่าง” ยังไงก็แค่ห้าหกวันเท่านั้น เหมียวเหมี่ยวอยากสงบจิตใจลงหน่อย
ฟางไหลหยางพยักหน้า “ไว้นัดกันทางโทรศัพท์นะครับ”
ทั้งสองกินของหวานกันเสร็จแล้ว พูดคุยกันอีกสักพักก็โบกมือลากันและกัน ฟางไหลหยางจ้องมองแผ่นหลังของเหมียวเหมี่ยวที่ก้มหน้าขึ้นรถไป สังเกตความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เหมียวเหมี่ยวได้อย่างฉับไว ดูเหมือนว่าเธอจะมีเรื่องอะไรในใจตั้งแต่เมื่อกี้นี้
ฟางไหลหยางไม่ทันได้เรียกเธอเพื่อไถ่ถาม จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นยับยั้งเขาเอาไว้
ฟางไหลหยางรับสายอย่างจนใจ เพิ่งจะพูดว่า “ฮัลโหล” ไปได้คำเดียว ก็ได้ยินเฉินตั๋วที่อยู่อีกฝั่งตะโกนร้องอย่างกระวนกระวายใจ “ประธานฟาง! แล้วแผนงานล่ะครับ! แล้วการตรวจแผนงานที่คุยกันไว้ล่ะครับ! พรุ่งนี้จะต้องส่งให้ฝ่ายการตลาดแล้วนะครับ!”
ฟางไหลหยางพอจะจินตนาการอีกฝ่ายที่ร้อนรนจนย่ำเท้าได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก่อนที่เขาจะรู้จักการ์ตูนของเหมียวไก่ฉีก ตอนนั้นฟางไหลหยางจัดการเรื่องภายในบริษัทแบบเลื่อนได้ก็เลื่อนไปก่อน
เฉินตั๋วขอบคุณคุณเหมียวเหมี่ยวเป็นอย่างมาก แต่ฟางไหลหยางในตอนนี้ก็กลับเลื่อนเรื่องการตรวจแผนงานออกไปอีกแล้ว เขากลัวเป็นที่สุดว่าฟางไหลหยางจะวนกลับไปสู่ช่วงผัดวันประกันพรุ่งอีกครั้ง เวลานี้หัวใจแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว
“ไม่ต้องรีบนะ จะกลับบริษัทเดี๋ยวนี้แหละ” ฟางไหลหยางตอบกลับอย่างหมดความอดทน สุดท้ายก็ต่อว่าเฉินตั๋ว “ไม่สงบเอาซะเลย แล้วจะทำงานยังไงล่ะ”
ด้วยหวาดกลัวว่าหัวหน้าจะกลับมาเจอกับเฉินตั๋วที่อยู่ในภาวะรับมือไม่ไหว ก็รู้สึกว่าตัวเองรีบร้อนยิ่งกว่าฟางไหลหยางเสียอีก
เป็นผู้ช่วยให้กับเถ้าแก่ที่เอาแต่ใจตัวเองทั้งยังเผด็จการและเย็นชา เฉินตั๋วรู้สึกว่าอายุสั้นไปเป็นสิบปี
เมื่อคิดถึงที่ไปเขาฟางซานครั้งก่อน เพื่อไม่ให้ความจริงที่ฟางไหลหยางไม่มีเพื่อนแพร่งพรายต่อหน้าคุณเหมียว เขาเรียกเจ้านายว่า ‘หยางจื่อ’ จนถูกเจ้านายหักเงินโบนัสปลายปี เฉินตั๋วรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมาทันที ก็ได้แต่หวังว่าความสัมพันธ์ของเจ้านายกับคุณเหมียวจะพัฒนาไปข้างหน้า เขาจะได้สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคุณเหมียวได้ เมื่อมีที่พึ่ง ต่อไปก็ไม่ต้องถูกหักโบนัสตามใจชอบแล้ว
ตอนนี้เฉินตั๋วไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้เป็นนายของเขาอาจจะหักโบนัสของเขามากขึ้นเพราะสนิทสนมกับเหมียวเหมี่ยวมากเกินไปก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลังจากมีข่าวดาราถูกผู้จัดการสวมเขา ฟางไหลหยางก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
เหมียวเหมี่ยวขับรถกลับบ้านในสภาพที่แทบจะใจลอยมาตลอดทาง
ในฐานะผู้หิวโหยและชื่นชอบการกิน ของหวานหนึ่งจานกับชานมแก้วหนึ่งไม่เพียงพอต่อการปลอบขวัญเธอในเวลานี้ ยิ่งเธอเสียใจเท่าไรกระเพาะก็ยิ่งว่างเปล่าเท่านั้น
เหมียวเหมี่ยวกลับมาที่บ้าน นำอาหารเม็ดของเสี่ยวทู่ ขนมนมเนย และวัตถุดิบสำหรับทำอาหารที่ตัวเองซื้อมาจัดวางให้เรียบร้อย แล้วก็รีบเผ่นลงจากอาคารไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวทันที เสียง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เธอก็นั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะประจำที่มุมร้านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอาหาร หวงหรูหรูไปเรียนหนังสือไม่ได้อยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เจิ้งหลินเทียนยกเท้าขึ้นนั่งงอตัวดูวิดีโออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์เก็บเงิน พอเห็นเหมียวเหมี่ยวพุ่งตัวเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความหงอยเหงาเศร้าซึมแล้วฟุบลงบนโต๊ะ ก็รีบร้อนปิดวิดีโอแล้ววิ่งเข้ามาไต่ถาม “พี่เหมียว เป็นอะไรไปเหรอครับ”
เหมียวเหมี่ยวเบะปาก แล้วกลอกตาใส่เขา “เรื่องของผู้หญิง อย่ายุ่งนักเลยน่า”
“โธ่ ก็ผมเป็นห่วงพี่นี่นา” เจิ้งหลินเทียนจิ้มแขนของเธอ “พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว เล่าความในใจกับหรูหรูตลอดแต่ไม่คุยกับผมได้ไงล่ะ เห็นผมเป็นเพื่อนสนิทของพี่หรือเปล่า”
เจิ้งหลินเทียนไม่ได้พักแขนทั้งสองของตนเลย คอยจัดแต่งผมสีแดงที่เขาเพิ่งย้อมมาใหม่อยู่บ่อยๆ ผมแต่ละเส้นถูกฉีดด้วยสเปรย์ ตั้งตรงโด่เด่ชี้ขึ้นฟ้า มองดูแล้วเท่สมาร์ตอย่างคนมีเงิน
เหมียวเหมี่ยวจ้องมองผมสั้นสีแดงที่เจิ้งหลินเทียนเพิ่งย้อมมาใหม่แล้วฉีกยิ้มมุมปาก “นายย้อมผมแดงให้กลับไปเหมือนเดิมก่อนแล้วค่อยว่ากัน นายเป็น ‘ชนเผ่าจั้งอ้าย’* หรือไง”
“ไม่เอาหรอก! เพิ่งจะย้อมมาวันนี้เอง หล่อจะตาย!” เจิ้งหลินเทียนขยุ้มศีรษะเอาไว้ด้วยสองมือ
“เถ้าแก่ไม่ว่าเลยหรือไง เป็นพ่อครัวแล้วยังจะมาย้อมสีผมอีก”
“สวมหมวกทำครัวแล้วใครจะไปเห็นล่ะ” เจิ้งหลินเทียนหัวรั้นหาเหตุผลข้างๆ คูๆ
ชายร่างสูงใหญ่ออกมาจากประตูครัว คล้อยตามเหมียวเหมี่ยวด้วยเสียงเคร่งขรึม “เหมียวเหมี่ยวพูดถูกแล้ว นายย้อมผมกลับไปเหมือนเดิมซะ”
เจิ้งหลินเทียนร้องขอ “อาจารย์ครับ ผมจ่ายค่าย้อมผมไปสองร้อยกว่าหยวนเลยนะ น่าเสียดายออก”
“สีสันฉูดฉาดเกินไปจะมีผลกระทบกับการลิ้มรสได้ แถมยังดูสกปรกด้วย อีกอย่างผมของนายก็ยาวเกินไป จะทำให้ร่วงได้ง่าย ถูกลูกค้าฟ้องร้องได้เลยนะ อีกเดี๋ยวจะพานายไปไถให้เกรียน เหมาะกับพ่อครัวที่สุดแล้วล่ะ” หานต้งใบหน้าเย็นชา
เจิ้งหลินเทียนร้องไห้เสียใจ วิ่งเข้าไปกอดเอวของหานต้งเอาไว้ “อาจารย์ครับ อาจารย์ไว้ผมเกรียนก็อย่าให้ผมต้องไว้ด้วยเลยนะครับ อาจารย์ดูดีมาตั้งแต่เกิด ไถหัวเกรียนก็ยังน่ามอง แต่ไม่ใช่กับผม หัวผมเป็นทรงเรียวแหลมนะครับ! ผมไม่อยากเป็นนักโทษ” ขณะที่เจิ้งหลินเทียนอ้อนวอนอยู่ก็ไม่ลืมที่จะประจบประแจงและทับถมตัวเอง
“ไปเคี่ยวซุปไก่เลยนะ” หานต้งดึงมือของเขาออกจากเอวตัวเอง สีหน้ามึนตึงพลางชี้ไปยังห้องครัว
เจิ้งหลินเทียนก้มหน้าลงรับเคราะห์กรรมทันที ลากเท้าเข้าไปในห้องครัวด้วยใบหน้าโศกเศร้า ไม่มีทางเลือกอื่น เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นพ่อไปตลอดชีวิต ไฉนเลยอาจารย์ผู้นี้จะเที่ยงธรรม
ขณะที่หานต้งเดินเฉียดไหล่เขาไป เจิ้งหลินเทียนกลับเหลือบมองหานต้งพลางส่งสายตาให้ มือขวาค่อยๆ ยกสูงขึ้น แอบกำหมัดไว้ เอ่ยด้วยเสียงเบา “สู้เขานะครับอาจารย์!”
หานต้งจ้องมองเขาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เจิ้งหลินเทียนยักไหล่ทำสีหน้าชั่วร้ายแล้วหลบเข้าไปในครัว
“เคี่ยวซุปเสร็จแล้ว ฉันจะพานายไปโกนผม” หานต้งตอกย้ำตามหลังไป
“โธ่…” เจิ้งหลินเทียนส่งเสียงร้องไห้โวยวายด้วยความทุกข์ทรมาน
เหมียวเหมี่ยวใจสั่นพลางเกาที่ใบหน้า “เกินไปหน่อยหรือเปล่าคะ”
หานต้งถอดหมวกทำครัวออกแล้วเสียบเอาไว้ที่เข็มขัด ก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเหมียวเหมี่ยว “ถ้าไม่ขัดเกลานิสัยแบบนี้ของเขา ต่อไปฝึกงานจบแล้วจะเสียเปรียบได้นะ”
หานต้งแก่กว่าเจิ้งหลินเทียน ผ่านประสบการณ์มามาก เหมียวเหมี่ยวเชื่อในการตัดสินใจของหานต้งจึงพยักหน้าให้
“รับอะไรดีครับ” หานต้งคว้าสมุดโน้ตเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถามเหมือนกับทุกๆ ครั้ง
ทุกครั้งที่หานต้งสนทนากับเหมียวเหมี่ยว ก็จะเริ่มต้นด้วยสี่คำนี้ เหมียวเหมี่ยวได้ฟังประโยคนี้ก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนกับได้กลับบ้าน ขอบตารื้นแดงขึ้นมากะทันหัน
เมื่อคิดถึงความรู้สึกที่จบไปแล้วของตัวเองก็พลันไม่อยากอาหาร เธอสูดหายใจฟืด ขณะเดียวกันก็หัวเราะเสียงเจื่อน “เถ้าแก่คะ…ฉันไม่อยากอาหารเลยค่ะ…เฮ้อ ทั้งๆ ที่ตอนเข้ามาก็อยากจะกินอะไรอร่อยๆ สักมื้อแท้ๆ เลย ฉันยังไม่ได้กินมื้อกลางวันเลยน่ะค่ะ”
หานต้งขมวดคิ้ว วางสมุดเล่มเล็กและปากกาลงอีกฝั่งหนึ่ง ไต่ถามอย่างจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ…” เหมียวเหมี่ยวกะพริบตาให้ความทุกข์ตรมสลายไปอย่างรวดเร็ว เสียงของหานต้งเจือด้วยพลังงานของการปลอบขวัญ เหมียวเหมี่ยวทอดถอนใจ เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ก็แค่อกหักเท่านั้นเอง”
หานต้งขมวดคิ้ว ผ่อนคลายลงช้าๆ แล้วขยับนิ้วเล็กน้อย
เหมียวเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองหานต้ง ก็พบว่านัยน์ตาของเขาช่างลึกซึ้ง จ้องมองเธอด้วยสายตาคลุมเครือ เธอจึงยิ้มพลางเอ่ยอย่างรีบร้อน “โธ่เอ๊ย ก็แค่ความรู้สึกดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นน่ะค่ะ ฉันกับเขาคนนั้นไปกันไม่ได้หรอก ล้อเล่นค่ะ ไม่ถือว่าอกหักสักหน่อย อย่ามองฉันอย่างนั้นเลยนะคะ ฮ่าๆ”
เหมียวเหมี่ยวเอ่ยอย่างสบายๆ แผ่วเบาและรวดเร็ว ทว่าหานต้งก็ยังคงมองเหมียวเหมี่ยวอยู่เหมือนเดิม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมจะเลี้ยงหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวคุณเอง”
“หา?” เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้ง ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็เห็นหานต้งลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป
ในร้านก๋วยเตี๋ยวมีเธอเป็นลูกค้าแค่คนเดียว เหมียวเหมี่ยวรอด้วยความไม่เข้าใจอยู่ไม่กี่นาที หมาล่าไก่ฉีกราดข้าวปริมาณจุใจร้อนระอุก็มาเสิร์ฟ
แถมหานต้งยังแถมซุปกระดูกหมูต้มหัวไช้เท้าให้อีกชามด้วย “หัวไช้เท้าลดความร้อนได้ ป้องกันร้อนใน”
เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมา “ขอบคุณค่ะ! งั้นฉันกินเลยนะคะ!”
วันนี้หมาล่าไก่ฉีกราดข้าวเผ็ดร้อนกว่าที่เคยกิน แถมยังรสจัดอีกด้วย เหมียวเหมี่ยวเป็นคนกินเผ็ดเก่ง แต่คราวนี้กลับถูกความเผ็ดร้อนในเนื้อไก่หอมกรุ่นทำเอากลั้นน้ำมูกน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ดึงกระดาษทิชชูแผ่นแล้วแผ่นเล่าไม่หยุดหย่อนเพื่อเช็ดน้ำตาและน้ำมูก กินไปได้ค่อนจาน กระดาษทิชชูก็กองเป็นภูเขาขนาดย่อม
ดื่มซุปกระดูกหมูต้มหัวไช้เท้าที่มาคู่กันจนหมด หานต้งก็ไปตักซุปให้อีกชามทันที จากนั้นก็นั่งมองเธอกินอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม
เหมียวเหมี่ยวดิ้นรนกินหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวที่ทั้งเผ็ดร้อนทั้งเลิศรสจนหมดจาน สุดท้ายก็คว้ากระดาษทิชชูสามสี่แผ่นปาดหน้าอย่างโหดร้าย หายใจฟืด ขอบตามีน้ำตารื้นออกมา ดวงตาพร่ามัวไปหมด
ทว่าในใจกลับรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด อย่างกับว่าหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวจานเมื่อครู่บีบคั้นให้ความอับเฉาและไม่ยินยอมพร้อมใจให้กลายเป็นน้ำตา หยิบยืมความเผ็ดและชาอย่างสุดกำลังเพื่อให้น้ำตานั้นไหลรินออกมา ความจริงแล้วก็ไม่ได้เสียใจถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว เรื่องแอบรักแล้วอกหักมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ อยู่แล้วนี่นา แต่อย่างกับว่าหมาล่าไก่ฉีกราดข้าวรสจัดจ้านจะเป็นยาบำรุงหัวใจเข็มหนึ่งที่ทำให้ความทุกข์ตรมในใจรุนแรงขึ้นไปอีก
เหมียวเหมี่ยวเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายเมื่อสายตาค่อยๆ ชัดเจนขึ้นอีกครั้งก็จ้องมองไปยังกองกระดาษทิชชูกองพะเนินตรงหน้า จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความเก้อเขิน “ให้ตายสิ ฉันใช้กระดาษทิชชูของพวกคุณหมดถุงเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กินเสร็จแล้วเหรอ” หานต้งเอ่ยถาม
เหมียวเหมี่ยวพยักหน้า ทว่าหานต้งก็ยังคงทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึก นัยน์ตาไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวของอารมณ์ใดๆ กระทั่งมองมาที่เธอก็ยังไร้ความรู้สึก เขาเม้มริมฝีปาก บนคางมีตอหนวดขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับที่หวงหรูหรูกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด ความจริงแล้วเถ้าแก่เป็นคนหล่อใช้ได้เลยล่ะ
เหมียวเหมี่ยวอดยิ้มออกมาไม่ได้ หานต้งซ่อนความรู้สึกเอาไว้ลึกเสียเหลือเกิน “ขอบคุณนะคะเถ้าแก่ ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ”
“อร่อยหรือเปล่า” หานต้งกลับถามออกมาอย่างนั้น
เหมียวเหมี่ยวนิ่งอึ้ง สุดท้ายก็เบิกบานใจเหมือนอย่างทุกครั้ง หยีตาเป็นรอยยิ้มเจิดจ้า “ค่ะ อร่อย ยังไงอาหารที่เถ้าแก่ทำก็อร่อยที่สุดจริงๆ ค่ะ”
เถ้าแก่ที่ใช้อาหารเลิศรสปลอบประโลมคนอื่น ช่วยให้ผ่อนคลายความรู้สึก ช่างเป็นพ่อครัวที่เจ๋งที่สุดในโลกจริงๆ!
เหมียวเหมี่ยวดีอกดีใจ ใคร่ครวญว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญที่เถ้าแก่ดูแลเธอเป็นอย่างดี
เจิ้งหลินเทียนฟุบอยู่เยื้องกับประตูครัว แอบจ้องเงาหลังของหานต้ง คิดในใจ ไม้นี้ของอาจารย์มีแค่พี่เหมียวที่กินเผ็ดเก่งเท่านั้นที่จะเข้าใจ เป็นคนอื่นคงคิดว่าถูกอาจารย์แกล้งอยู่แน่ๆ จะต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีอย่างแน่นอน
แต่ว่า…คนใสซื่ออย่างพี่เหมียวจะไปรับรู้ถึงความรู้สึกของอาจารย์ได้ยังไง
เจิ้งหลินเทียนเป็นกังวลแทนหานต้งที่พูดน้อยจนเหงื่อออกมือ
เหมียวเหมี่ยวกินข้าวเสร็จก็รู้สึกสดชื่นเป็นที่สุด อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เธอกินข้าวเม็ดสุดท้ายในจานเสียจนสะอาด เช็ดน้ำตาที่ไหลจากขอบตาเพราะความเผ็ดร้อนแล้วเอ่ยถามหานต้ง “เถ้าแก่ เท่าไหร่คะ”
“ผมบอกแล้วว่าจะเลี้ยงคุณเอง” หานต้งเก็บกวาดชามและตะเกียบ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องครัวไป
เหมียวเหมี่ยวเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะเถ้าแก่ งั้นฉันไม่เกรงใจละนะ กลับก่อนแล้วค่ะ”
หานต้งตอบรับเธอทั้งๆ ที่หันหลังอยู่ เขาเดินเข้าไปในห้องครัว เหมียวเหมี่ยวเห็นเขาเข้าครัวไปแล้วก็สะพายกระเป๋าออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว
เจิ้งหลินเทียนมองหานต้งเดินเข้ามาตาปริบๆ หานต้งนำชามและตะเกียบในมือยื่นให้เขา “ไปล้างซะ”
เจิ้งหลินเทียนนิ่งอึ้ง ทำหน้างอรับชามและตะเกียบมา ล้างน้ำไปก็เอ่ยกับหานต้งไปด้วย “อาจารย์ครับ ถ้าจีบสาวด้วยวิธีนี้มันจะไม่ติดเอานะครับ”
หานต้งเหม่อไปสักครู่ แล้วหันหน้ามามองเขา “ใครบอกว่าฉันจะจีบเหมียวเหมี่ยวกันล่ะ”
“ดูสิ ผมยังไม่ทันพูดเลยว่าเป็นใคร อาจารย์ก็ชิงตำแหน่งไปซะแล้ว” เจิ้งหลินเทียนหัวเราะคิกๆ
หานต้งส่ายหน้าอย่างจนใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
“อาจารย์ครับ อาจารย์จะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่ยอมบอกพี่เหมียวไปว่ารู้สึกยังไง คอยทำดีกับเธอเป็นพิเศษไปอย่างนี้เธอก็ไม่รู้หรอกครับ” เจิ้งหลินเทียนเอ่ยยืนยัน
หานต้งจ้องมองหม้อความดันที่มีไอน้ำ ‘ปุดๆ’ ขึ้นมา สีหน้าเรียบเฉย เงียบอยู่เป็นนานสองนานถึงได้เอ่ยถามเจิ้งหลินเทียน “ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ครับ?”
“ว่าฉันชอบ…เธอน่ะ”
“เพราะว่าไม่ชัดไงครับถึงต้องทำให้ชัดกว่านี้หน่อย! ถ้าผมไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาจารย์ก็มองไม่ออกหรอกครับ! พี่เหมียวน่ะซื่อจะตายไป” เจิ้งหลินเทียนลูบคางด้วยมือที่สวมถุงมืออยู่ สุดท้ายก็ลูบจนฟองเต็มคาง รีบร้อนล้างน้ำออก ใช้แขนเสื้อเช็ดคาง คิดอะไรขึ้นได้ก็ยิ้มออกมา “แต่ว่าพี่เหมียวก็น่ารักจริงๆ นั่นแหละครับ ผมเข้าใจความรู้สึกผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กของอาจารย์ได้ เห็นเด็กสาวอ้อนแอ้นก็อยากจะกอดเอาไว้ในอ้อมแขน”
หานต้งสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองเจิ้งหลินเทียนด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก “งั้นเหรอ”
เจิ้งหลินเทียนถูกจ้องเสียจนสันหลังเย็นวาบ รีบร้อนปฏิเสธ “ไม่ใช่ครับไม่ใช่! ผมไม่ได้คิดแบบนั้น! อาจารย์อย่าเข้าใจผิดไป! ผมชอบแบบหวงหรูหรูต่างหากล่ะ!”
เพิ่งจะจบคำพูดก็ได้ยินเสียงร่าเริงของหวงหรูหรูดังขึ้น “เถ้าแก่คะ! ฉันมาทำงานแล้วค่ะ!”
หานต้งมองเจิ้งหลินเทียนด้วยสายตาเจือรอยยิ้ม
เจิ้งหลินเทียนหน้าหมอง โค้งมุมปากขึ้น “เหอะๆ… ผมก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นเอง…”
เหมียวเหมี่ยวกลับไปที่บ้าน อุ้มเสี่ยวทู่แล้วเอนตัวลงบนเตียง นวดคลึงขนสั้นอันนุ่มนิ่มของมัน ระบายความทุกข์ความกลัดกลุ้มออกมา “เสี่ยวทู่…ช่วงนี้แม่ไปชอบคนคนนึงเข้าน่ะ”
เสี่ยวทู่หดขาทั้งสี่ นอนคว่ำอยู่บนตัวของเหมียวเหมี่ยว มันหรี่ตาลงไม่ได้ฟังที่เธอพูดจ้ออยู่เลยด้วยซ้ำ ทว่าก็ไม่ได้ขัดขวางการพูดกับตัวเองของเหมียวเหมี่ยว
“เขาเป็นผู้ชายที่ดูภายนอกก็เย็นชาใช้ได้ แต่ว่าเขาน่ะใจดีมากๆ เลย อ่อนโยนมากเลยล่ะ แถมยังชอบการ์ตูนของฉันด้วยนะ” เหมียวเหมี่ยวเบะปาก “แต่ทำไมเขาถึงมีคนรักแล้วล่ะ เสี่ยวทู่ แกว่าแม่ควรจะไปวาดรูปเพื่อผ่อนคลายอารมณ์หน่อยมั้ย”
“เหมียว” เสี่ยวทู่กระดิกหู หรี่ดวงตาลง ร้องออกมาเบาๆ แล้วหาวหวอด
“ได้! งั้นแม่จะไม่ไปวาดรูป” เหมียวเหมี่ยวกำหมัด โกหกตัวเองเพื่ออู้งานต่อไป จากนั้นก็เอ่ยกับตัวเองว่า “ต่อไปจะต้องลดโอกาสที่จะเจอกับคุณฟางให้ได้เลย! ปรับอารมณ์กลับมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
เหมียวเหมี่ยวเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด เวลาเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทำให้ลำบากใจก็รู้จักที่จะย้อนกลับหรือเดินอ้อมไปในเวลาที่เหมาะสม เธอจดจำสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอนมาได้เป็นอย่างดี จำไว้อย่างแม่นยำว่าจะต้องให้ตัวเองมีความสุขเป็นอันดับแรก อะไรที่ทำให้ไม่มีความสุขหรือกลุ้มใจจะต้องถูกกำจัดเป็นอันดับหนึ่ง เป้าหมายแรกคือทำให้ตัวเองมีความสุข
ดังนั้นเหมียวเหมี่ยวจึงไม่เคยทำให้ตัวเองลำบากใจมาก่อน ถึงจะไม่เคยคบกับใครก็รู้จักการอกหักเสียก่อนแล้ว เธอตัดสินใจว่าจะหลบเลี่ยงการเจอกับฟางไหลหยาง หาเรื่องสนุกๆ อื่นๆ ทำให้มากเข้าไว้ ไม่มีทางจมดิ่งอยู่กับอารมณ์เชิงลบแบบนี้แน่
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มกราคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.