บทนำ
รถม้าหรูหราสีน้ำเงินครามคันหนึ่งแล่นไปตามถนนที่ตัดผ่านป่าที่ขนาบด้วยไม้ใหญ่สองฝั่ง มีองครักษ์ตามคุ้มกันทั้งหมดสามสิบคน ดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ ใครพบเห็นก็ต้องรู้ว่าคนที่อยู่บนรถเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง
บุรุษที่นั่งบนรถไม่ใช่คนทั่วไปจริงๆ เขามีใบหน้าหล่อเหลางดงามอย่างหาตัวจับยาก ดูเย่อหยิ่งและร้ายกาจ สวมใส่อาภรณ์สีเงินหรูหรา มีเบาะขนแกะขนาดใหญ่รองนั่ง วางเท้าอยู่บนพรมนุ่มที่ถักทออย่างงดงาม ท่าทางเอกเขนกสบายอารมณ์ เขาผู้นี้คืออ๋องลำดับสิบซึ่งเป็นลำดับสุดท้อง หลิ่นอ๋องลิ่นจื่อเชิน นอกจากนั้นยังเป็นดาวอสูรผู้โด่งดังที่ใครได้ยินชื่อเป็นต้องหน้าซีด
ต้องร้ายกาจเท่าใดกันนะ ถึงจะถูกเรียกว่าดาวอสูร?
ลิ่นจื่อเชินได้รับใบหน้างดงามมาจากมารดา เปลือกกายทรงเสน่ห์ชวนลุ่มหลงนั่นมักจะทำให้พวกสตรีหลงรักเขาอย่างหน้ามืดตามัวราวกับโดนมนตร์ดำ แม้แต่สนมที่จักรพรรดิเพิ่งจะรับเข้ามาใหม่ก็เคยหลงเขามาแล้ว สุดท้ายเลยถูกส่งตัวไปอยู่ตำหนักเย็น แต่เขาผู้เป็นตัวต้นเรื่องกลับไม่เดือดร้อน ยังคงเข้าออกวังหลวงอย่างอิสระ กล่าวกันว่าแม้แต่จักรพรรดิก็โดนเขาร่ายมนตร์ดำใส่เช่นกัน ถึงได้ยอมให้เขาทำตัวเหิมเกริมมาหว่านเสน่ห์ใส่สนมตนเอง ลิ่นจื่อเชินเป็นพี่น้องร่วมอุทรกับจักรพรรดิ ดังนั้นย่อมเป็นที่โปรดปรานและไว้เนื้อเชื่อใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้จักรพรรดิยังเอาใจใส่ให้ความสำคัญกับเรื่องคู่ครองของน้องชายผู้นี้อย่างมาก เมื่อสองปีก่อนจักรพรรดิมีดำริจะให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางผู้ใหญ่ เหล่าขุนนางที่มีลูกสาวในวัยเหมาะจะออกเรือนต่างพากันมาคุกเข่าเบื้องพระพักตร์ อ้างเหตุผลต่างๆ นานาว่าบุตรสาวตนเองไม่คู่ควร จักรพรรดิฟังแล้วสะบัดแขนเสื้อลุกเดินออกไปอย่างกริ้วจัด เรื่องแต่งงานเลยค้างเติ่งอยู่แค่นั้น แต่พอข่าวแพร่มาในหมู่สามัญชนกลับกลายเป็นประเด็นครึกโครม ทุกคนต่างพากันอัศจรรย์ใจว่าบุรุษผู้มีความงามเป็นเลิศอย่างลิ่นจื่อเชินกลับไม่มีใครกล้ายกลูกสาวให้แต่งงานด้วย
ตัวลิ่นจื่อเชินเองก็ไม่ประสงค์จะแต่งงาน ที่ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ชอบสตรี ตั้งแต่เล็กจนโต สตรีเห็นเขาทีไรเป็นต้องปรี่เข้าใส่เหมือนผึ้งเห็นน้ำหวาน แม้แต่นางกำนัลที่คอยรับใช้ยังกำเริบเสิบสานริอ่านปีนขึ้นเตียงเขา ทำเอาเขารังเกียจขยะแขยงเป็นที่สุด ลือกันว่าเขาเคยสั่งให้ลากสตรีที่ขึ้นมานอนเปลือยกายรออยู่บนเตียงออกไปโบย อีกทั้งยังโบยรุนแรงจนถึงขั้นพิการ นอกจากนั้นยังลือกันอีกว่าแม้แต่บุรุษยังพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของเขา ส่งตาหวานมาให้ตอนที่ยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร ผลคือ…สุดท้ายคนผู้นั้นก็กลายไปเป็นขันที
นอกจากลิ่นจื่อเชินจะไม่ชอบเป็นชิ้นเนื้อมันย่องที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาหื่นกระหายแล้ว เขายังไม่ชอบให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์ที่งดงามเกินไปของตนเอง
เคยมีบุตรชายขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตหลังสุราเข้าปากว่าเขางามจนเย้ายวนราวกับปีศาจ อาจนำหายนะมาสู่ปวงชนได้ เลยโดนลิ่นจื่อเชินสั่งสอนด้วยการจับไปแขวนห้อยหัวไว้กับประตูเมืองทั้งคืน ขุนนางผู้นั้นต้องไปอ้อนวอนจักรพรรดิถึงจะพาลูกชายลงมาได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าว่าร้ายรูปร่างหน้าตาของเขาอีกเลย
เวลานี้ทุกคนต่างรู้กันว่าลิ่นจื่อเชินเป็นคนโปรดของจักรพรรดิ สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ชี้เป็นชี้ตาย จึงไม่มีใครกล้าทำให้เขาโกรธเคือง
แน่นอนว่าที่จักรพรรดิโปรดปรานเขาเป็นพิเศษไม่ใช่เพียงเพราะเป็นน้องชายร่วมบิดามารดรเท่านั้น ตอนที่ลิ่นจื่อเชินเพิ่งเกิด โหรหลวงทำนายว่าเขาจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการช่วยเหลือจักรพรรดิซึ่งในขณะนั้นยังดำรงศักดิ์เป็นรัชทายาท ต่อไปจะคอยปัดป้องภัยร้ายให้ และลิ่นจื่อเชินก็เคยได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยจักรพรรดิมาแล้วจริงๆ จึงไม่แปลกที่จักรพรรดิจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ เรียกว่าสถานะของเขาในพระทัยจักรพรรดิมั่นคงไม่สั่นคลอน
“ท่านอ๋อง จะเสวยอีกสักจอกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลงที่รับใช้เขามานานถามพลางโบกพัดให้ รถม้าโอ่อ่าคันนี้มีทุกอย่างพร้อมสรรพ แค่ดึงลิ้นชักอันใดอันหนึ่งก็จะเจอสุราเลิศรสและขนมนานาชนิดอยู่ข้างใน
หลิ่นอ๋องส่งจอกสุราไปให้ แล้วปฏิเสธอย่างเกียจคร้าน “ไม่ล่ะ หนทางยังอีกไกล ข้าจะงีบสักหน่อย” พูดจบก็ปิดตาลง
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าเร็วรี่ก็ดังขึ้นข้างหลัง หนวกหูจนเขาต้องลืมตาขึ้น
หวังเจาหัวหน้าองครักษ์ส่งเสียงรายงานตรงข้างหน้าต่างทันที “ท่านอ๋อง มีคนขี่ม้าตามมาข้างหลัง…แม่นางเฮ่อเหลียนพ่ะย่ะค่ะ!”
ชื่อของเฮ่อเหลียนหรงทำให้ลิ่นจื่อเชินชักสีหน้ารำคาญใจ เขามาหลันโจวเพื่อตรวจสอบคดีความให้จักรพรรดิ แล้วได้เจอสตรีผู้นี้ที่อาสาตัวจะเป็นสายสืบให้ เขาตอบตกลงไปเพราะเห็นว่านางมีความสามารถ นึกไม่ถึงว่าหลังจากปิดคดีนางจะตามตื๊อเขาอย่างไม่ลดละ แสดงออกทั้งโจ่งแจ้งทั้งเป็นนัยว่าต้องการมอบกายให้ ขนาดตอนนี้เขาจากหลันโจวมาแล้วก็ยังไล่ตามมาอย่างไร้ยางอาย
“ท่านอ๋อง แม่นางเฮ่อเหลียนใกล้ตามทันแล้ว จะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ” หวังเจาถาม
“ท่านอ๋องต้องการให้เร่งความเร็วหนีนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เซียวหลงถามบ้าง
ลิ่นจื่อเชินมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย หากหนีจะมิเท่ากับเขากลัวสตรีผู้หนึ่งจนต้องหนีเปิดเปิงหรอกหรือ “หยุดรถ ไล่นางไป”
รถม้าหยุดลง สตรีบนหลังม้าไล่ตามทันอย่างรวดเร็วแล้วหยุดตรงข้างรถ
นางเป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม เนื่องจากรักและชื่นชมในตัวลิ่นจื่อเชินอย่างลึกซึ้ง จึงเก็บสัมภาระอย่างง่ายๆ ขี่ม้าไล่ตามมาเพื่อกลับเมืองหลวงกับเขา
ตอนแรกนางนึกว่าที่อ๋องหนุ่มสั่งให้หยุดรถม้าแสดงว่านางยังพอมีหวัง ที่ไหนได้เขากลับไม่ประสงค์จะพบนาง และให้คนอื่นลงจากรถมาแทน
เซียวหลงนำคำพูดของเจ้านายมาถ่ายทอดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่นางเฮ่อเหลียนอย่าได้เสียเวลาเปล่าเลย ท่านอ๋องของพวกเราไม่ทรงพาเจ้ากลับเมืองหลวงด้วยแน่ เจ้ารีบกลับไปเถิด อย่าทำให้ท่านอ๋องกริ้วเลย”
จากนั้นเขาก็พูดต่อในใจ แม่นางผู้นี้ตัดใจเสียดีกว่า ฉายาดาวอสูรของท่านอ๋องไม่ได้มีแต่ชื่อ เขาอ่อนโยนกับสตรีเป็นเสียที่ใด หากทำให้เขาโกรธขึ้นมามีแต่จะทำให้ตนเองได้อายเปล่าๆ
เฮ่อเหลียนหรงส่ายหน้าทันทีแล้วอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พี่เซียวหลง โปรดให้ข้าได้พบท่านอ๋องสักครั้งเถิด ข้าอยากพูดกับท่านอ๋องเอง”
“ท่านอ๋องของพวกเราต้องรีบเสด็จกลับเมืองหลวง ไม่มีเวลามาพบเจ้าหรอก”
“เช่นนั้นโปรดช่วยทูลท่านอ๋องแทนข้าที่ ข้าไม่ต้องการอยู่ในฐานะใดทั้งสิ้น แค่อยากอยู่ข้างกายคอยถวายรับใช้ก็พอแล้ว…”
“แม่นางเฮ่อเหลียนจะลำบากไปไย เจ้าออกจะงดงาม ไม่เห็นต้องกลัวว่าจะหาบุรุษที่จริงใจกับเจ้าไม่ได้” เซียวหลงพยายามพูดให้นางหวั่นไหว
ทว่าหญิงสาวไม่คล้อยตาม และตอบกลับไปอย่างหนักแน่น “หากท่านอ๋องไม่เสด็จลงมาพบข้า ข้าก็จะขวางทางพวกท่านอย่างนี้ล่ะ ไม่ให้รถม้าแล่นผ่านไปได้!” นางรีบไปยืนขวางหน้ารถ ท่าทางจริงจังขึงขังเหมือนจะบอกว่าหากอยากไปก็ต้องข้ามศพนางไปก่อน
นี่คือการข่มขู่ใช่หรือไม่ เซียวหลงโอดครวญอยู่ในใจ ทีนี้ท่านอ๋องได้กริ้วแน่!
มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในรถม้าจริงๆ ลิ่นจื่อเชินยอมลดตัวลงมาเสียที เซียวหลงเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก็รู้แล้วว่าแม่นางเฮ่อเหลียนผู้นี้กำลังจะถึงคราวเคราะห์แล้ว
ชายในดวงใจยอมลงจากรถแล้ว ดวงตาคู่งามของเฮ่อเหลียนหรงมองเขาอย่างเขินอาย “ท่านอ๋องโปรดทรงพาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันยินดีเป็นบ่าวไพร่ปรนนิบัติรับใช้ แม้ในภายหน้าท่านอ๋องมีชายา หม่อมฉันก็จะรับใช้พระชายาเต็มที่เช่นกัน”
เฮ่อเหลียนหรงงดงามยิ่งยวด บุรุษทั่วไปเห็นนางมีแต่จะอยากทะนุถนอมทั้งนั้น เสียดายที่ลิ่นจื่อเชินไม่ใช่บุรุษทั่วไป จึงมองนางด้วยสายตาเช่นคนที่อยู่สูงกว่า ไม่หวั่นไหวกับคำพูดของนางแม้แต่นิดเดียว เวลาเขานิ่งเงียบยิ่งดูอ่านยาก เห็นแล้วชวนให้กระวนกระวายใจ
ในที่สุดลิ่นจื่อเชินก็ขยับปากเอ่ยเอื้อนกับนาง แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นประโยคแสดงความขยะแขยงที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดขีด “หน้าด้านเสียเหลือเกิน คิดหรือว่าตนเองงามจริง หน้าตาเช่นนี้ยังริอ่านอยากเป็นสาวใช้ของข้า มองตนเองสูงเกินไปแล้ว รู้หรือไม่ว่าในสายตาข้าเจ้าเป็นอะไร” เขาหันไปถามคนสนิท “แมลงที่ปล่อยกลิ่นเหม็นๆ นั่นเรียกว่าอะไรนะ”
ท่านอ๋องจะใจร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่ เซียวหลงกลั้นใจตอบกลับไป “แมลงตดพ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่นอ๋องแค่นยิ้มเหยียดหยาม “ใช่ แมลงตด ที่สามารถปล่อยกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนออกมา ได้กลิ่นแล้วจะอาเจียน” จากนั้นก็หันไปพูดกับนางอย่างเย็นชา “ถ้ายังรู้จักเจียมตัวก็ไสหัวไปเสีย อย่ามาขวางทางข้า”
เฮ่อเหลียนหรงหน้าซีดเผือดขณะเซไปข้างหลังหลายก้าว นางรับไม่ได้จริงๆ ที่ตนเองถูกเปรียบเป็นแมลงตด
นางมองชายในดวงใจซึ่งหันหลังให้อย่างเฉยชา พอเห็นเขากำลังจะขึ้นรถม้านางก็เอ่ยผ่านริมฝีปากที่สั่นระริก “ท่านอ๋องจะต้องไม่ทรงเคยรักใครอย่างจริงจัง จะต้องไม่ทรงทราบว่าการชอบใครสักคนคือความรู้สึกอย่างไรเป็นแน่ ท่านอ๋องทรงเย้ยหยามหม่อมฉัน เหยียบย่ำหม่อมฉัน เปรียบหม่อมฉันเป็นแมลงตด หม่อมฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ…แต่ต่อให้หม่อมฉันตายไปเบื้องพระพักตร์ตอนนี้ก็ทรงไม่รู้สึกรู้สาสินะ!”
ลิ่นจื่อเชินไม่หันมามองด้วยซ้ำ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปตายเสียสิ” เขาทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ดังหึพลางพูดอย่างไม่แยแส แล้วก้าวขึ้นรถม้า
เซียวหลงเห็นหญิงสาวสีหน้าย่ำแย่ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ บอกแต่แรกแล้วอย่างไรเล่าว่าอย่าได้ทำให้ท่านอ๋องกริ้ว เฮ้อ!
“ยังไม่ขึ้นรถอีก”
เซียวหลงได้ยินลิ่นจื่อเชินพูดดังนั้นก็จำใจต้องทิ้งหญิงงามไว้แล้วตามขึ้นรถไป
ด้านนอกรถม้าน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น
“ลิ่นจื่อเชิน ข้าขอสาปแช่งเจ้า วันนี้เจ้าทำกับข้าไว้อย่างไร เหยียดหยามข้าให้อัปยศอดสูเพียงใด ต่อไปขอให้เจ้าถูกกรรมตามสนองเป็นเท่าทวี เจ้าจะกลายเป็นเดรัจฉานที่ต่ำต้อยที่สุด จะได้รู้รสของการถูกเหยียบย่ำ จะได้เสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตนเอง เว้นเสียแต่เจ้าจะได้พบหญิงที่เจ้ารักจากใจจริง และยอมสละชีวิตตนเองเพื่อนาง และหญิงผู้นั้นก็ต้องใจตรงกันกับเจ้า ยินดีเสียสละเพื่อเจ้าเช่นกัน หากไม่ได้พบหญิงดังกล่าว คำสาปจะติดตัวเจ้าไปตลอดชาติ ไม่ให้เจ้าได้พบจุดจบที่ดี…”
เว้นเสียแต่อะไรนะ เซียวหลงเพิ่งจะฟังได้ครึ่งเดียว รถม้าก็แล่นออกมาเสียก่อนเลยไม่ได้ยินครึ่งหลัง แต่แค่คำว่าสาปแช่ง กรรมตามสนอง กับเดรัจฉานก็เพียงพอจะทำให้เขาขนหัวลุกแล้ว “ท่านอ๋องทรงได้ยินหรือไม่ นางกำลังสาปแช่งพระองค์อยู่หรือ”
ลิ่นจื่อเชินเองก็ได้ยินแค่ครึ่งแรกเช่นกัน ตอนแรกยังคิดจะเพิ่มความผิดให้นางอีกหนึ่งกระทงฐานลบหลู่เชื้อพระวงศ์ แล้วจับตัวนางไปดำเนินคดี แต่คิดๆ ดู เหตุใดเขาต้องมาใส่ใจคำพูดโง่เง่าพวกนี้ แล้วทำให้การเดินทางล่าช้าเพราะนางด้วยเล่า “ไม่ต้องสนใจหรอก”
ปรากฏว่าเดินทางต่อได้สักพักหวังเจาก็ส่งเสียงร้อนรนอยู่ตรงนอกหน้าต่าง “ท่านอ๋อง แม่นางเฮ่อเหลียนใช้ปิ่นฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหลงทำหน้าตื่นตระหนก รู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูกเมื่อคิดถึงคำสาปแช่งของนาง
แต่ผู้เป็นนายกลับยิ้มอย่างเฉยชา บอกหวังเจาว่า “อยากตายก็ปล่อยให้นางตายไป หากสตรีที่หลงรักข้า อยากตามมาอยู่กับข้า อยากมาปรนนิบัติรับใช้ข้ากันหมด ตำหนักข้าไม่ต้องเลี้ยงสาวใช้เป็นฝูงหรือ”
เซียวหลงไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แน่นอนว่าไม่กล้าบอกให้กลับไปช่วยนางด้วย เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นห่างออกไปไกลขึ้นทุกทีๆ
รถม้าแล่นต่อไปเรื่อยๆ ประมาณสองเค่อ ถัดมาก็มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง คนรถชะลอความเร็วลงเพื่อความปลอดภัย
น่าแปลกตรงที่เมื่อหนึ่งเค่อก่อนท้องฟ้ายังอร่ามใสอยู่ดีๆ มาตอนนี้ฟ้าทั้งผืนกลับมืดทึบราวกับเป็นกลางคืน ลมพัดกระโชก สายฝนกระหน่ำ ซ้ำยังมีฟ้าผ่า
เซียวหลงนึกถึงคำสาปของเฮ่อเหลียนหรงขึ้นมาจึงพูดเสียงสั่นๆ “ท่านอ๋อง ฟ้าโปร่งอยู่หยกๆ กลับมีฝนตกฟ้าคะนอง หรือว่าคำสาปก่อนตายของแม่นางเฮ่อเหลียน…”
ลิ่นจื่อเชินขึงตาใส่คนสนิท “อากาศแปรปรวนง่ายอยู่แล้ว สั่งการลงไป ให้พักหลบฝนใต้ต้นไม้ด้านหน้า”
เพิ่งจะพูดจบลมก็พัดเร็วแรงขึ้นทันที ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ดังสนั่นจนชวนให้ขนลุกซู่ สายฟ้าสายหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาในระยะประชิด หนึ่งในม้าเทียมรถตื่นตกใจจนควบตะบึงไปข้างหน้าราวกับเสียสติ
“เร็ว! ลงจากรถเดี๋ยวนี้…” เซียวหลงตะโกนบอกคนรถ จากนั้นก็หกคะเมนทันที ศีรษะถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรงจนสลบไป
ลิ่นจื่อเชินไม่ได้หัวทิ่มหัวตำเช่นคนสนิท แต่อาการที่ใช้สองมือยึดม่านหน้าต่างรถไว้ก็ไม่ได้ดูดีเท่าไรนัก
“หวังเจา รีบหาวิธีทำให้ม้าหยุดเร็วเข้า…” เขาตะโกนออกไปทางหน้าต่าง ทว่าด้านนอกมีแต่ความมืดมิด…หวังเจากับองครักษ์คนอื่นเล่า
ต่อมาเขารับรู้ได้ว่ารถม้าพลิกคว่ำไปทางด้านขวาโดยแรง และด้านขวาคือหน้าผา
จะตกหน้าผาแล้ว! ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวลิ่นจื่อเชิน เขารีบหันไปจับอะไรที่พอจับได้ในรถม้า และคว้าเซียวหลงไว้พร้อมกัน เพื่อพาอีกฝ่ายกระโดดหนีตายออกจากรถ
จากนั้นรถม้าก็ดิ่งลงไปด้วยความเร็วสูง ลิ่นจื่อเชินรู้สึกมึนหัวราวกับโลกหมุนเป็นอันดับแรก ก่อนที่ร่างเขาจะกระแทกกับอะไรบางอย่างแล้วหมดสติไป…
บทที่หนึ่ง
เมืองเฉาหยาง อำเภอหนานหยาง
ท้องถนนในยามบ่ายเต็มไปด้วยแผงต่างๆ มีแผงหนึ่งที่พิเศษกว่าแผงอื่น ปักร่ม แขวนป้ายเขียนว่า ‘รักษาด้วยเมตตา ฝีมือเลิศล้ำ’ มองออกได้ในทันทีว่าตั้งแผงจับชีพจรตรวจโรครักษาคน เพียงแต่หมอเป็นแม่นางน้อยวัยกำดัด ดังนั้นจึงไม่มีใครแวะแผงนางแล้วให้นางตรวจโรคเลย
“นั่งมาทั้งวันยังไม่มีลูกค้า ตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ย…” ซย่าหมิ่นเอามือเท้าคางพลางโบกพัดในมือ
ในตอนนี้เองชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบผู้หนึ่งก็เดินผ่านมา เห็นหมอหญิงมาตั้งแผงอย่างที่พบได้ไม่บ่อยนักจึงมองนางอย่างสนใจใคร่รู้
ซย่าหมิ่นรีบส่งยิ้มไปให้ทันที “ท่านลุงท่านนี้ ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่” นางมองหน้าเขา “ท่านลุง หน้าตาท่านดำคล้ำ ตัวเหลือง ท่านตับไม่ดีสินะ นั่งก่อน ข้าจะจับชีพจรให้ เดี๋ยวข้าคิดค่าตรวจให้ถูกๆ แล้วกัน”
ชายผู้นั้นตับไม่ดีจริงๆ ในเมื่อนางบอกจะคิดให้ถูกๆ ให้นางตรวจจะเป็นไรไป ทว่ายังไม่ทันได้นั่ง เสียงคุยจ้อกแจ้กของหญิงมีเรือนหลายคนก็ดังมาให้ได้ยิน
“แผงนั้นน่ะคุณหนูร้านยาก่วงจี้ไม่ใช่หรือ น่าขันจริงๆ นางตรวจโรคเป็นหรือไร”
“หมอใหญ่ซย่าอาจถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ลูกสาวก็ได้ แต่ว่านะ เป็นสตรีมานั่งตากหน้าตรวจโรคให้คน ไม่น่ามองเลยจริงๆ…”
“ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก ความจริงแม่นางซย่าน่าสงสารมากนะ เดิมทีมีคู่แต่งงานที่ดีรออยู่แท้ๆ แต่พอร้านยาก่วงจี้ล้ม ฝ่ายชายก็ขอยกเลิกงานแต่ง นี่เพราะต้องหาเลี้ยงน้องชายน้องสาวกับลูกๆ ที่พี่ชายที่ตายไปทิ้งไว้หรอก ถึงต้องมานั่งตากหน้ารักษาคน…”
“หึ วิชาแพทย์นางเลิศล้ำแล้วหรือไร! ในเมืองมีคนกินยาที่เป็นพิษของพี่ชายนางแล้วถ่ายท้องไปไม่รู้กี่คน บางคนถึงขั้นตายด้วยซ้ำ ขนาดตาแก่บ้านข้ายังท้องเดินเสียจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เดี๋ยวนี้ใครยังกล้าให้คนสกุลซย่าตรวจโรคให้อีกบ้าง! ถ้าจะหาหมอเขาก็ไปหาที่ร้านยาเหรินเต๋อกันทั้งนั้นล่ะ!”
“แต่ร้านยาเหรินเต๋อกับร้านยาก่วงจี้ก็เป็นญาติกันนี่นา…”
“ยาร้านยาเหรินเต๋อไม่เหมือนยาร้านยาก่วงจี้เสียหน่อย อีกอย่างท่านหมอร้านยาเหรินเต๋อก็รักษาด้วยเมตตาและมีฝีมือเลิศล้ำจริงๆ ร้านยาก่วงจี้น่ะไม่มีวันเทียบได้หรอก”
“นั่นน่ะสิ! สมัยหมอใหญ่ซย่ายังอยู่ ร้านยาก่วงจี้กิจการดีอย่างกับอะไร แต่พอหมอใหญ่ซย่าตายไป แล้วลูกชายคนโตซย่ายงขึ้นมารับช่วงแทน ร้านก็ไปไม่รอด อีกทั้งตัวซย่ายงยังถูกกฎหมายเล่นงานจนติดคุกและตายไป อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะฮวงจุ้ยไม่ดีถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้สตรีตัวเล็กๆ เลยต้องพลอยมาลำบาก น่าสงสารเสียจริง ต้องเหนื่อยยากหาเลี้ยงครอบครัว ยังจะขายออกอยู่อีกหรือ”
ฟังจากคำพูดเหล่านี้ก็รู้ว่าบางคนสงสารซย่าหมิ่น แต่ก็ยังน้อยกว่าพวกที่หัวเราะเยาะหยันร้านยาก่วงจี้ พวกนั้นคุยกันเสียงดัง ต่อให้ซย่าหมิ่นไม่อยากได้ยินก็ยังได้ยินชัดเจน
แต่นางไม่ได้ทำอะไร ยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า เชิญชวนลูกค้าที่อยู่หน้าแผง “ท่านลุง รีบนั่งก่อนเถิด ข้าจะช่วยจับชีพจรให้”
ชายวัยกลางคนได้ฟังบทสนทนาของหญิงกลุ่มนั้นก็ทำท่าลังเลขึ้นมา “เอ่อ…ข้าว่าเอาไว้คราวหน้าดีกว่า…”
“ท่านลุง อย่าเพิ่งไป…” ฝ่ายตรงข้ามเผ่นแน่บไปเรียบร้อยแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน อุตส่าห์มีลูกค้าแวะเข้ามาแล้วเชียว ซย่าหมิ่นหันไปมองหญิงกลุ่มนั้น พวกหน้าบางรีบหลบไปแล้ว เหลือแค่สองคนที่ฝีปากจัดจ้าน สองคนนี้นางรู้จัก คนที่บ้านพวกนางกินยาต้มที่เป็นพิษของร้านยาก่วงจี้เข้าไป ดังนั้นจึงผูกใจแค้น คอยเที่ยวพูดจาว่าร้ายนางไปทั่ว
ซย่าหมิ่นส่งยิ้มอย่างสนิทสนมไปให้สองคนนั้น “ท่านป้าที่อยู่ทางซ้าย ผิวท่านดูหยาบกร้าน ริมฝีปากแห้งแตก อีกทั้งยังมีสิว แสดงว่าช่างพูดเป็นชีวิตจิตใจ วันๆ ว่าร้ายคนอื่นได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไฟตับถึงได้สูงขึ้น…”
พอเห็นหญิงผู้นั้นทำหน้าเสียแล้วถอยไปข้างหลัง นางก็หันไปหาอีกคน “อ๊ะ ท่านป้าท่านนี้ ท่านเองก็สภาพผิวไม่ดีนัก เป็นร้อนใน ปกติคงปากเหม็นใช่หรือไม่ เช่นนี้คนอื่นจะรังเกียจเอานะ…” นางชี้ไปทางด้านหลังอีกฝ่าย “นั่นสามีท่านไม่ใช่หรือ กำลังคุยกับสาวขายดอกไม้อยู่นี่ ยิ้มแก้มแทบปริเชียว ดูท่าสาวขายดอกไม้จะกลิ่นปากสดชื่นน่าดู…”
หญิงวัยกลางคนหันไปมอง เห็นสามีตนเองกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับแม่ม่ายขายดอกไม้จริงๆ ก็ยิ่งทำหน้าบูดบึ้งแล้วปรี่เข้าไปเล่นงานทันที
“ไปเร็วจริงนะ” ซย่าหมิ่นเอามือเท้าสะเอวพูดอย่างดุดัน กล้าซุบซิบนินทานางก็รอดูแล้วกัน นางไม่ใช่คนอ่อนแอให้รังแกง่ายๆ หรอก
“พี่ใหญ่ ข้ามาช่วยเก็บโต๊ะ”
เมื่อเห็นว่าซย่าจื้อที่เป็นน้องชายมาหา หญิงสาวก็เอ่ยอย่างดีใจ “อาจื้อ เหตุใดถึงมาได้ล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนเสียหน่อย”
“วันนี้อาจารย์มีธุระเลยให้เลิกเรียนเร็วกว่าปกติน่ะ” ซย่าจื้อกล่าวต่อไปว่า “พี่ใหญ่ ข้าหิวแล้ว รีบกลับบ้านไปกินข้าวกันดีกว่า”
“ได้สิ ถึงจะยังไม่พลบค่ำ แต่วันนี้เลิกร้านเร็วสักวันก็แล้วกัน” ซย่าหมิ่นพูดพลางช่วยกันกับน้องชายเก็บโต๊ะ เก้าอี้ และแผ่นป้าย แล้วยกใส่รถเข็นคันเล็กและเข็นกลับบ้าน
ระหว่างทางมีเด็กสาวๆ หลายคนลอบมองซย่าจื้อ นางเห็นแล้วอดจะปลาบปลื้มไม่ได้ ซย่าจื้อในวัยสิบหกหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นบุรุษหมื่นคนหลงที่ทำให้ทุกคนตกบ่วงเสน่ห์กันหมด
“พี่ใหญ่ ลำบากท่านแล้วจริงๆ หากข้าเองก็ได้เรียนวิชาแพทย์จากท่านพ่อ คนที่ควรมาตั้งแผงรักษาคนก็คือข้า” เข็นรถไปเรื่อยๆ ซย่าจื้อก็พึมพำออกมา
นางรู้ว่าเขาได้ยินคำพูดว่าร้ายเมื่อครู่ จึงปลอบโยนว่า “เจ้าน่ะตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวก็พอแล้ว เผื่อต่อไปได้เป็นขุนน้ำขุนนางก็ช่วยเหลือสกุลซย่าได้เหมือนกัน การกอบกู้ร้านยาก่วงจี้น่ะยกให้เป็นหน้าที่พี่ใหญ่เถอะ ข้าจะต้องทำให้ร้านที่อยู่มาเป็นร้อยปีของเราได้เปิดกิจการใหม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเชิญหมอมาตรวจที่ร้านเยอะๆ ให้ร้านยาก่วงจี้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนอดีตอีกครั้ง” นางตบอกให้สัญญาอย่างหนักแน่น
ท่าทางมั่นอกมั่นใจในตนเองของพี่สาวทำให้ซย่าจื้อรู้สึกไม่ชินเท่าไร “พี่ใหญ่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แต่ก่อนท่านเก็บตัวออกจะตาย มีอะไรก็เก็บไว้กับตนเอง ไม่ยอมพูดให้ใครฟัง ที่บ้านเลยไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นทุกข์ถึงขนาดจะคิดสั้น เดี๋ยวนี้พี่ใหญ่ไม่เพียงแต่จะเปิดเผย ยังเก่งกาจจนถึงกับมาเปิดแผงรักษาคนข้างนอก พวกเราคิดไม่ถึงกันจริงๆ พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านเป็นเสาหลักของบ้านเลยนะ”
ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นซย่าหมิ่นก็หัวเราะแห้งๆ อย่างร้อนตัว “เป็นเพราะเมื่อก่อนข้าโง่เง่า แค่ถูกยกเลิกการแต่งงานก็หดหู่ซึมเศร้าจนเกิดเรื่องอย่างนั้น ในเมื่อสวรรค์อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง จะเอาแต่หดหัวอยู่ในโลกของตนเองอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไรกันล่ะ อีกอย่างเมื่อพี่ใหญ่ตายไป ข้าก็กลายเป็นพี่คนโต ข้ายังมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนที่เขาทิ้งไว้ให้เติบใหญ่ ดังนั้นก็ต้องฮึดขึ้นมายืนหยัดอยู่แล้วสิ”
“เมื่อไม่มีพี่ชายคนโต ลูกชายคนโตของตระกูลก็คือข้า ข้าจะช่วยพี่ใหญ่ จะดูแลเสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ด้วยกันกับท่าน!” ซย่าจื้อพูดจาขึงขังจริงจังไม่ผิดจากผู้ใหญ่
“เจ้านี่พึ่งพาได้จริงๆ ต่อไปพี่ใหญ่ก็ต้องอาศัยเจ้านั่นล่ะ” ซย่าหมิ่นตบบ่าเขาพลางหัวเราะร่า เห็นเขาฮึกเหิมขึ้นมา ซ้ำยังไม่ติดใจสงสัยคำพูดของตน นางก็แอบถอนหายใจเงียบๆ ด้วยความโล่งอกแล้วเดินต่อ
ชาติก่อนซย่าหมิ่นมีชื่อว่าซ่งอวิ่นเวย อายุยี่สิบห้า เป็นแพทย์แผนโบราณ ที่บ้านเปิดโรงพยาบาลแพทย์แผนโบราณ ซึ่งนางจะเป็นผู้สืบทอดในอนาคต เรียกได้ว่ามีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า นึกไม่ถึงว่าหลังจากอดนอนติดกันหลายคืน ร่างกายของนางจะอ่อนเพลียจนถึงขั้นเสียชีวิต เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองเดินทางข้ามมิติมาอยู่ในร่างบุตรสาวเจ้าของร้านยาที่ใจสลายเพราะถูกยกเลิกการแต่งงาน แล้ววิ่งเตลิดเปิดเปิงออกจากบ้านจนถูกรถม้าชนตาย
ปัจจุบันนางอาศัยอยู่ในร่างนี้มาได้สี่เดือนแล้ว ช่วงแรกๆ นางไม่มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมจึงโกหกไปว่าตนเองความจำเสื่อม พอได้รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นเด็กสาวเงียบๆ เรียบร้อยที่มีนิสัยเก็บตัว นางก็คิดว่าต้องอกแตกตายแน่หากต้องแสร้งทำตัวเรียบร้อยตาม เลยแสดงนิสัยเดิมที่ตรงไปตรงมา พึ่งพาตนเองได้ออกมาให้รู้กันไป ไหนๆ ก็ความจำเสื่อมแล้วนี่นา นิสัยจะเปลี่ยนก็ไม่เห็นแปลก ระหว่างช่วงเวลาสี่เดือนที่เป็นซย่าหมิ่น ความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างค่อยๆ กลับมาทีละเล็กทีละน้อย แม้จะไม่ถึงขั้นนึกออกทั้งหมดโดยสมบูรณ์ แต่ก็ช่วยให้นางทำตัวกลมกลืนในบ้านสกุลซย่าได้เร็วขึ้น
เท่าที่ซย่าหมิ่นรู้ แผ่นดินที่นางข้ามมิติมามีชื่อว่าอาณาจักรต้าเซียว นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเฉาหยางซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของอำเภอหนานหยาง แม้เมืองเฉาหยางจะไม่เจริญและคึกคักเท่าเมืองหลวงและเมืองใหญ่อื่นๆ แต่ก็ถือเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรต้าเซียว มักจะมีพ่อค้าจากที่ต่างๆ เดินทางผ่าน แล้วตั้งแผงขายของกันมากมาย
ในเมืองเฉาหยางแห่งนี้เดิมทีร้านยาก่วงจี้เป็นร้านยาเก่าแก่อายุนับร้อยปีที่มีชื่อเสียงโด่งดังและชาวเมืองเชื่อถือกันมาก เจ้าของร่างเดิมซึ่งเป็นบุตรสาวของเจ้าของร้านจึงตกเป็นเป้าหมายที่เหล่าแม่สื่อแม่ชักพากันแวะเวียนมาทาบทามเสมอ สุดท้ายนางก็ถูกจับคู่กับคุณชายตระกูลดังเมืองข้างๆ หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสียก่อน นางจะมีคู่ครองที่สมน้ำสมเนื้อกันทุกประการ นึกไม่ถึงว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนบุพการีของเจ้าของร่างเดิมมีอันต้องเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุรถม้าพลิกคว่ำ ซย่ายงซึ่งเป็นลูกชายคนโตขึ้นมาสืบทอดร้านยาแทน การแต่งงานของนางจึงถูกยกเลิก
ซย่ายงเป็นคนจับจด ทำงานไม่จริงจัง ไม่สามารถบริหารกิจการร้านยาได้ ซ้ำยังติดพนัน ขโมยเงินในร้านไปถลุงในบ่อนบ่อยๆ ไม่พอ ยังเลอะเลือนจนถึงขั้นเผลอใส่ตัวยาที่มีโทษต่อร่างกายลงไปในชุดยาบำรุงอันโด่งดังที่ขายดีที่สุดของร้านยาก่วงจี้ เป็นเหตุให้ชาวเมืองหลายร้อยคนกินแล้วท้องร่วงจนหมดแรง หนึ่งในนั้นป่วยอยู่ก่อนแล้ว พอมากินยานี้เข้าจึงถึงแก่ชีวิต
ซย่ายงถูกฟ้องร้อง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล สุดท้ายก็ถูกจับเข้าคุก ไม่ถึงเดือนก็มีอันป่วยตายอยู่ข้างใน สกุลซย่าต้องคืนค่ายาและจ่ายเงินชดเชยให้เหล่าผู้เคราะห์ร้ายแทน ประกอบกับจ่ายคืนหนี้สินที่ซย่ายงไปกู้ยืมไว้ข้างนอก เงินในบ้านจึงหมดเกลี้ยง ส่วนที่ยังขาดก็ต้องใช้ตัวยาจ่ายแทน จึงเท่ากับว่าในร้านไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง แล้วยังจะจ้างหมอมานั่งตรวจกับลูกจ้างมาช่วยงานได้อย่างไรเล่า อีกอย่างพอชื่อเสียงของร้านยาก่วงจี้ตกต่ำก็ไม่มีใครอยากอยู่ต่อ ท้ายที่สุดจึงต้องปิดร้านไป
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือภรรยาของซย่ายงทิ้งลูกที่ยังเล็กทั้งสองคนแล้วหนีตามบุรุษอื่นไป เจ้าของร่างเดิมนอกจากต้องดูแลน้องชายน้องสาวยังต้องมาเลี้ยงดูลูกทั้งสองที่พี่ชายทิ้งไว้ แล้วไหนจะถูกยกเลิกการแต่งงาน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเข้าใส่จนเด็กสาวขลาดอายที่มีนิสัยเก็บตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสติแตก วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปจนถูกรถม้าชนตาย
ซย่าหมิ่นเลือกที่จะใช้ชีวิตแทนเจ้าของเดิมต่อไปอย่างกล้าหาญ นางมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยตนเองก็มาเข้าร่างลูกสาวร้านยา เท่ากับความรู้ที่มีไม่สูญเปล่า นางสามารถใช้วิชาความรู้ของนางเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรต้าเซียวแห่งนี้ต่อไปได้ ทั้งยังจะกอบกู้ร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่ ชดเชยที่ชาติก่อนตนเองไม่มีโอกาสสืบทอดกิจการครอบครัวได้อีก
เพียงแต่ชื่อเสียงของร้านยาก่วงจี้นั้นป่นปี้ยับเยิน ไม่เป็นที่เชื่อถือของชาวเมืองอีกแล้ว ตัวยาในร้านก็หมดเกลี้ยง ทั้งยังไม่มีเงินจะจ้างคน แล้วนางจะกอบกู้ขึ้นมาได้อย่างไรเล่า
ซย่าหมิ่นรู้ว่าอันดับแรกนางต้องทำให้ฝีมือการรักษาของตนเองเป็นที่ประจักษ์เสียก่อน หากนางสามารถรักษาคนไข้ให้หายจากโรค ชื่อเสียงก็จะดีขึ้น และหาลูกค้าได้ใหม่เอง หากแต่สมัยโบราณยกย่องบุรุษ เหยียดสตรีกันทั้งนั้น หมอหญิงจึงดูไม่น่าเชื่อถือ อีกอย่างผู้คนยังลือเรื่องร้านเสียๆ หายๆ การจะพิสูจน์ฝีมือตนเองนั้นทำได้ยากยิ่ง ทว่านางก็ต้องสู้ต่อไป
สองพี่น้องเดินไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านถนนสองสายก็มาถึงหน้าร้านยาก่วงจี้ ตอนนี้ประตูใหญ่ปิดตาย ดูหดหู่ เวิ้งว้างจนน่าสะท้อนใจ เทียบกับร้านยาเหรินเต๋อฝั่งตรงข้ามที่มีลูกค้าแน่นขนัดจนถึงกับต้องเข้าแถวรอตรวจก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ร้านยาเหรินเต๋อนี้เป็นร้านยาที่ท่านป้าของซย่าหมิ่นเปิด เท่าที่นางรู้ ป้าคนนี้อายุมากกว่าบิดาของเจ้าของร่างเดิมถึงสิบปี เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของท่านปู่ แต่ถึงอย่างไรท่านปู่ก็มองว่ากิจการของครอบครัวต้องให้ลูกชายสืบทอด สร้างความไม่พอใจให้ท่านป้าอย่างมาก หลังออกเรือนไปก็ยุแยงให้สามีซึ่งเป็นพ่อค้าร่ำรวยเปิดร้านยาเหรินเต๋อขึ้นฝั่งตรงข้าม คิดจะแข่งขันกับร้านยาก่วงจี้อย่างจงใจ
ซย่าหมิ่นเป็นสตรียุคปัจจุบันจึงเข้าใจความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของท่านป้าดี หากท่านป้าทำการค้าอย่างสง่าผ่าเผย นางก็จะชื่นชมอย่างมาก แต่นี่จงใจเปิดร้านตรงข้ามร้านของบ้านตนเอง และใช้วิธีต่างๆ นานามาแย่งลูกค้าทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีธรรมาภิบาลที่ต่ำช้า กับพวกนางพี่น้องก็ไม่เห็นว่าเป็นหลานร่วมสายเลือด หลังจากร้านยาก่วงจี้ปิดตัวลง ท่านป้าแสร้งทำเป็นห่วงใยใส่ใจบ้านนางเป็นอย่างดี คอยส่งข้าวสารมาให้อยู่เรื่อย แต่ความจริงตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งกว่าอะไร ข้าวสารที่ให้มามีแต่ข้าวสารเก่าที่เก็บไว้นานจนมอดกินทั้งนั้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกขยะแขยงป้าคนนี้เข้าไปใหญ่ แต่เพราะไม่อยากตกเป็นประเด็นให้ชาวบ้านร้านตลาดเก็บไปลือกันยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ต่อหน้านางจึงพยายามรักษามารยาทด้วยดี แต่ความจริงนางกลับไม่ยอมไปมาหาสู่กับบ้านนั้น
เมื่อเดินอ้อมร้านยาก่วงจี้ ในที่สุดซย่าหมิ่นกับซย่าจื้อก็กลับถึงบ้าน
ซย่าหมิ่นมองเรือนสามประสานแห่งนี้แล้วคิดว่าต่อให้ตกทุกข์ได้ยากอย่างไร อย่างน้อยครอบครัวของนางก็ยังมีหลังคาคุ้มหัว
“พี่ใหญ่ พี่รอง วันนี้กลับมาเร็วจังเลย ป้าอิ๋นฮวาเอาข้าวขาวหนึ่งหม้อกับกับข้าวอีกนิดหน่อยที่ลูกค้ากินไม่หมดกลับมาจากโรงเตี๊ยมด้วย กินข้าวกันได้เลย”
ซย่าเจวี้ยน น้องสาวคนสุดท้องอายุสิบสี่ผู้มีใบหน้ากลมป้อมและน่ารักน่าชังวิ่งออกมาต้อนรับพวกนาง
ซย่าหมิ่นเห็นน้องสาวคนนี้ทีไรเป็นต้องนึกถึงขนมสายไหมขาวฟู ใครเห็นเป็นต้องอยากกัดสักคำ ข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ได้ข้ามมิติเวลามาก็คือลูกสาวคนเดียวอย่างนางได้มีน้องชายน้องสาวอย่างที่อยากมีมานานเสียที
“ในเมื่อมีข้าวขาว เช่นนั้นข้าผัดอะไรง่ายๆ อีกสักอย่างแล้วกัน” นางพูดพลางช่วยซย่าจื้อเข็นรถเข้ามาในบ้าน
ซย่าเจวี้ยนเดินตามมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“คุณหนูหมิ่น คุณชายจื้อ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ป้าอิ๋นฮวาเห็นสองพี่น้องกลับมาก็รีบวางมือจากงานเย็บปักแล้วส่งเสียงทักทาย
บิดาของซย่าหมิ่นเคยมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตป้าอิ๋นฮวาเอาไว้ พอสามีตายนางจึงอยู่ทำงานในร้านยาก่วงจี้เรื่อยมา กระทั่งร้านยาก่วงจี้ปิดตัวลง ทั้งที่นางมีโอกาสให้ลูกสาวที่แต่งงานแล้วรับไปอยู่ด้วยอย่างสุขสบาย แต่นางกลับยินดีอยู่ในสกุลซย่าต่อเพื่อดูแลทุกคน ซย่าหมิ่นซาบซึ้งในจุดนี้อย่างมาก
ลำพังตัวนางคนเดียวจะเอาปัญญาที่ใดมาเลี้ยงดูเด็กตั้งสี่คน ก็ได้ป้าอิ๋นฮวานี่ล่ะไปรับจ้างล้างจานในโรงเตี๊ยม พอได้ค่าแรงนิดๆ หน่อยๆ ซ้ำยังสามารถห่ออาหารที่ลูกค้ากินไม่หมดกลับบ้าน นอกจากนั้นป้าอิ๋นฮวายังมักจะรับงานเย็บปักถักร้อยกลับมาทำ เพิ่มรายได้ให้ครอบครัว ประกอบกับตัวนางเองก็ขึ้นเขาไปขุดสมุนไพรมาขายตามร้านยาเล็กๆ เป็นระยะ บ้านสกุลซย่าจึงพอประคับประคองกันไปได้
“ป้าอิ๋นฮวา ขอบคุณมากที่วันนี้เอาของอร่อยกลับมาอีกแล้ว ข้าขอไปล้างมือก่อน เดี๋ยวจะมาผัดกับข้าว” ซย่าหมิ่นกางนิ้วมือทั้งสองข้าง บนมือมีรอยแผลที่เกิดจากตอนขุดสมุนไพร นางพูดพลางเดินไปทางครัว
ป้าอิ๋นฮวาคว้ามือนางเอาไว้ก่อนที่นางจะเดินเข้าครัวพร้อมขมวดคิ้ว “ตายแล้ว คุณหนูหมิ่นของป้า ไปทำท่าใดมือถึงกลายเป็นเช่นนี้ นอกจากจะเป็นแผลแล้วยังสากกร้าน วันนี้ไม่ต้องผัดกับข้าวแล้วเจ้าค่ะ ป้าทำเอง”
ซย่าหมิ่นหัวเราะเสียงดังอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”
ป้าอิ๋นฮวาอายุมากแล้ว ต่อมรับรสไม่ค่อยดี มักจะทำกับข้าวออกมาเค็มเกินหรือหวานเกิน ดังนั้นนางจึงเข้าครัวเองเสมอ โชคดีที่การทำกับข้าวบ้านๆ ไม่กี่อย่างนั้นไม่เกินแรงนาง
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกันเล่า มือของสตรีสำคัญมากนะเจ้าคะ” หญิงสูงวัยถอนหายใจเฮือก “หากไม่เพราะคุณชายยง ป่านนี้คุณหนูก็ได้ออกเรือนไปอย่างมีหน้ามีตานานแล้ว ไม่ต้องมาลำบากเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องทำกับข้าวเอง…เฮ้อ ต้องทำอย่างไรดีนะ คุณหนูอายุสิบแปดเข้าไปแล้ว ชื่อเสียงของร้านยาก่วงจี้ตกต่ำเหลือเกิน มิหนำซ้ำคุณหนูยังออกไปตั้งแผงรักษาคนอีก จะได้แต่งงานกับคนดีๆ ได้อย่างไร…”
ซย่าหมิ่นไม่อยากแต่งงานเลยแม้แต่นิดเดียว นางเพิ่งอายุสิบแปดเท่านั้น ยังสาวสะพรั่งกำลังดี นางไม่ได้เสียสตินี่ถึงได้อยากแต่งงาน แล้วอีกอย่างนางยังต้องกอบกู้ร้านยาก่วงจี้ ยังต้องเลี้ยงดูน้องๆ กับหลานๆ ยุ่งออกจะตายไป
นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นทันที “ป้าอิ๋นฮวา เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ไปที่ใดเสียแล้วล่ะ เหตุใดไม่เห็นเลย”
ซย่าเจวี้ยนร้องว้าย ท่าทางเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเขาเล่นดินอยู่หลังบ้าน ข้าจะไปเรียกมาเดี๋ยวนี้…”
ซย่าหมิ่นห้ามน้องสาวเอาไว้ “ดูท่าคงเล่นจนมอมแมมอีกแล้ว ข้าไปจับตัวกลับมาเองดีกว่า”
เดินออกไปจากประตูหลังก็คือลานหลังบ้าน ลานขนาดเล็กมีแปลงดอกไม้ กองดิน แล้วก็ชิงช้า เป็นสวรรค์น้อยๆ ที่ซย่าหมิ่นทำให้หลานๆ เด็กสองคนมักจะมาเล่นอยู่ตรงนี้ได้ทั้งวัน
ซย่าหมิ่นหาจอมซนทั้งสองเจอในทันที กำลังจะอ้าปากดุไม่ให้เอาแต่เล่นดินก็เห็นพี่ชายน้องสาวตัวน้อยกำลังนั่งยองๆ ดูอะไรอยู่ตรงกำแพง นางชะโงกหน้าเข้าไปมอง เห็นแมวดำตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น
นางสูดหายใจเฮือก เด็กสองคนนี้กล้าแอบผู้ใหญ่หนีออกไปข้างนอก มิหนำซ้ำยังเก็บแมวกลับมาด้วย! ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เหตุใดถึงไม่หลาบจำเสียที
ซย่าหมิ่นหยุดยืนข้างหลังหลานๆ เท้าสะเอวเอ็ดใส่อย่างฉุนเฉียว “ดีจริงนะ พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของท่านอาใหญ่ ไปเก็บสัตว์กลับมาอีกแล้ว! ไหนรับปากท่านอาใหญ่ว่าจะไม่เที่ยวเก็บสัตว์กลับมาเลี้ยงแล้วอย่างไรล่ะ”
เด็กสองคนหันขวับมามองด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงซย่าหมิ่น เสียงเอ๋อร์พี่ชายกลัวว่าอาหญิงจะโกรธก็รีบอธิบาย “ไม่ใช่นะท่านอาใหญ่ เจ้าโฮ่งไล่กวดมัน แมวน้อยมันหนีเข้ามาในกำแพงเอง”
เฉี่ยวเอ๋อร์น้องสาวช่วยพูดอีกแรง “ท่านอาใหญ่ แมวน้อยมันถูกเจ้าโฮ่งกัดขาด้วยล่ะ”
“อ้าว อย่างนี้เองหรือ…” ซย่าหมิ่นได้ฟังถึงรู้ว่าตนเองเข้าใจผิด เสียงเอ็ดตะโรของนางคงจะทำให้แมวดำตกใจ ดวงตาสีเขียวถึงได้จ้องนางเขม็งอย่างระแวดระวัง ซ้ำยังพยายามยันขาหลังที่บาดเจ็บทรงตัวยืน ทำขนพองใส่นาง
ใครต่อใครพูดกันว่าแมวดำอัปมงคลอยู่แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดซย่าหมิ่นถึงได้รู้สึกว่าแมวตัวนี้ดูดุดันน่ากลัวเป็นพิเศษ ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเย็นเยียบจนน่าตกใจ แค่เห็นก็หนาวยะเยือก…
“ท่านอาใหญ่ ช่วยแมวน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ แมวน้อยถูกหมากัด น่าสงสารออก” เฉี่ยวเอ๋อร์กอดขานางอ้อนวอน ดวงตากลมโตใสแจ๋วกะพริบปริบๆ
“แมวน้อยน่าสงสารมากเลย ท่านอาใหญ่ช่วยมันด้วยเถิด ข้าอยากเลี้ยงมัน” เสียงเอ๋อร์ก็ดึงชายกระโปรงนางวอนเว้าบ้าง
“ท่านอาใหญ่ ข้าก็อยากเลี้ยง” เฉี่ยวเอ๋อร์พูดตามพี่ชาย
จะให้ซย่าหมิ่นช่วยแมวตัวนี้น่ะไม่มีปัญหา นางมีโสมซานชีอยู่ เอามาทำเป็นยาก็เรียบร้อย แต่พอได้ยินหลานๆ บอกว่าจะเลี้ยง นางก็ชักโมโหเมื่อนึกถึงที่เด็กสองคนนี้เก็บสัตว์เล็กสัตว์น้อยกลับมาเวลาแอบออกไปนอกบ้าน…ไก่เอย นกเอย ค้างคาวเอย กระรอกเอย จากนั้นก็ร่ำร้องว่าจะเลี้ยงหมดทุกอย่าง ขนาดเคยมีวัวพลัดฝูงเดินหลงเข้ามาในบ้าน เด็กๆ ก็ขอจะเลี้ยงให้ได้ ตอนนี้อยากจะเลี้ยงแมวขึ้นมาอีกแล้ว คิดจะเปิดสวนสัตว์หรืออย่างไร
ปกติซย่าหมิ่นรักและเอ็นดูหลานทั้งสองที่พี่ชายทิ้งไว้มาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กอายุห้าขวบกับสี่ขวบเป็นวัยที่น่ารัก ไร้เดียงสาที่สุด แค่คิดว่าทั้งคู่กำพร้าพ่อ ส่วนแม่ก็ทิ้งลูกหนีตามบุรุษอื่นไป นางก็ยิ่งสงสารหลานตัวน้อยเป็นที่สุด แต่จะให้ตามใจจนเสียเด็กนั้นนางไม่ทำเด็ดขาด รายได้ครอบครัวในปัจจุบันแค่เลี้ยงตนเองยังกระเบียดกระเสียรเต็มที บางทีอยากให้หลานๆ ได้กินเนื้อบ้างก็ต้องพยายามหาเงินเพิ่ม ไม่มีเหลือกินเหลือใช้พอจะเลี้ยงแมวหรอก
ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่อยากให้พวกเขาเลี้ยงเพราะเกิดสงสารและนึกสนุกขึ้นมาชั่วคราว ต่อไปพอเบื่อก็ไม่อยากเลี้ยง เหมือนอย่างครั้งก่อนเสียงเอ๋อร์เคยถูกกระรอกที่เลี้ยงไว้กัดก็ร้องห่มร้องไห้บอกว่าจะไม่เลี้ยงแล้ว ให้นางเอามันไปปล่อยบนเขา ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพอเบื่อแมวแล้วจะบอกว่าไม่เลี้ยงอีกหรือไม่
“ท่านอาใหญ่ ได้โปรดเถิด พวกเราเลี้ยงมันไว้ได้หรือไม่ แมวน้อยน่าสงสารมากเลย…”
“ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่าสงสารเหลือเกิน…”
สองคนพี่น้องหน้าตาน่ารักน่าชังช่วยกันอ้อนวอนนางเช่นนี้ผิดกฎชัดๆ ซย่าหมิ่นบอกตนเองว่าจะติดกับไม่ได้เป็นอันขาด นางแกล้งสวมบทคนใจร้ายพูดอย่างรังเกียจ “ไม่ได้! แมวตัวดำมิดหมีเช่นนี้อัปมงคล หน้าตาดุร้ายน่ากลัว มองอย่างไรก็อัปลักษณ์ อีกทั้งมันยังอาจจะกัดคนด้วย ท่านอาใหญ่ไม่อยากเลี้ยง”
สองพี่น้องเริ่มร้อนรน ผลัดกันอ้อนวอนนาง “ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่ารักออก ไม่ได้อัปลักษณ์เลย แค่ตัวดำไปหน่อยเท่านั้น มัน…มันไม่กัดคนหรอก…ท่านอาใหญ่ ขอร้องล่ะ แมวน้อยน่าสงสารเหลือเกิน ถ้าเราไม่เลี้ยงมันก็ต้องเร่ร่อนต่อไป…”
“ท่านอาใหญ่ แมวน้อยน่าสงสารมากจริงๆ นะ มันเองก็กำพร้าพ่อแม่เหมือนข้ากับพี่ชาย…”
ซย่าหมิ่นฟังมาถึงตรงนี้ก็ใจอ่อนยวบ เมื่อได้รู้ว่าเด็กๆ อยากเลี้ยงแมวตัวนี้เพราะมันไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน แต่นางจะอนุญาตง่ายๆ ไม่ได้ ต้องชี้นำให้พวกเขามีทัศนคติที่ถูกต้องในการเลี้ยงสัตว์เสียก่อน
ดังนั้นนางจึงทำหน้าขึงขังจริงจัง “ได้ ถ้าอย่างนั้นอาขอถามพวกเจ้าหน่อย เลี้ยงแมวต้องใช้เงินซื้ออาหาร หากวันใดบ้านเรามีเงินไม่พอใช้ มีข้าวไม่พอกิน พวกเจ้าจะให้มันกินอะไร”
การดูแลสิ่งมีชีวิตเป็นภาระหนักอึ้ง เมื่อทำแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด นางอยากให้พวกเด็กๆ มีความรับผิดชอบ เหมือนอย่างที่ตอนที่นางตัดสินใจจะเลี้ยงดูพวกเขาทั้งคู่ ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากเพียงไรก็จะไม่ถอย
สองคนพี่น้องหันไปมองตากัน เห็นได้ชัดว่าลังเล จากนั้นเสียงเอ๋อร์ก็นึกอะไรออก “ให้มันกินข้าว ข้ากินแต่ผักก็ได้”
“จริงด้วย ข้ากินแต่ผักก็ได้” เฉี่ยวเอ๋อร์พูดตามพี่ชาย
ซย่าหมิ่นขำแกมอึ้งจนแทบหัวเราะออกมา แต่นางห้ามตนเองไว้แล้วพูดอย่างเคร่งเครียด “แล้วถ้าหากแม้แต่ผักยังไม่มีให้กินเล่า ท่านอาใหญ่บอกไว้ก่อนนะ แมวตัวนี้พวกเจ้าอยากเลี้ยงเอง ท่านอาใหญ่จะไม่แบ่งข้าวของตัวเองให้พวกเจ้ากิน และพวกเจ้าก็จะขอแบ่งข้าวส่วนของท่านอารอง ท่านอาเล็ก แล้วก็ป้าอิ๋นฮวาไม่ได้ด้วย พวกเจ้าต้องหาทางออกกันเอาเอง”
นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กๆ แต่ความอยากเลี้ยงแมวชนะข้าวไปได้ “เช่นนั้นข้าจะแบ่งข้าวให้แมวน้อยครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
“ข้าก็ด้วย”
ได้ยินสองพี่น้องพูดดังนั้นซย่าหมิ่นก็ถามขึ้นอีก “ต่อไปหากแมวน้อยไม่สวยแล้ว พวกเจ้าเบื่อมันแล้ว หรือไม่ก็พวกเจ้าหิวเพราะกินไม่อิ่ม พวกเจ้าจะเอามันไปปล่อยหรือไม่”
“ไม่ปล่อย! แมวน้อยเป็นครอบครัวเดียวกับเรา พวกเราไม่ทอดทิ้งมันหรอก จริงหรือไม่เฉี่ยวเอ๋อร์”
“ใช่ แมวน้อยเป็นครอบครัวเดียวกับเรา”
คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้ซย่าหมิ่นไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น นางยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วลูบหัวหลานๆ “ดี ถ้าเช่นนั้นท่านอาใหญ่อนุญาตให้เจ้าเลี้ยง”
“ดีจริง! ขอบคุณท่านอาใหญ่”
สองคนพี่น้องพากันกอดนางแน่นอย่างลิงโลด ในความคิดของพวกเขาท่านอาใหญ่ที่บางทีก็อบรมพวกเขาอย่างเฉียบขาดคนนี้ดีกว่าท่านอาใหญ่ผู้อ่อนโยนและเก็บตัวคนเดิมเป็นกอง ทั้งคู่รู้สึกสนิทสนมกับท่านอาใหญ่คนปัจจุบันมากกว่า
กอดอาหญิงเสร็จ เด็กๆ ก็รีบปรี่เข้าไปลูบตัวแมวดำ ซย่าหมิ่นเห็นแล้วทำท่าจะร้องห้าม เพราะกลัวว่านิสัยขี้ระแวงและสัญชาตญาณของแมวจะทำให้มันข่วนหลานๆ
แต่น่าแปลก แมวดำเพียงแค่พยายามลากขาหลังที่บาดเจ็บหนีมือเด็กๆ เท่านั้น เมื่อหนีไม่ได้ก็ข่มใจให้ทั้งคู่ลูบเนื้อลูบตัว ไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายคน นางเห็นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก ทีนี้ก็สามารถให้หลานๆ เลี้ยงแมวได้อย่างสบายใจขึ้น
“แมวแค่ตัวเดียว เลี้ยงไว้ก็กินไม่เยอะหรอก ถ้าไม่มีจะกินจริงๆ อย่างมากก็ให้มันไปจับหนูกินแล้วกัน แมวจับหนูกินเป็นทุกตัวนี่นา…”
ซย่าหมิ่นพึมพำกับตนเอง แล้วเห็นนัยน์ตาสีเขียวของแมวดำวาววับ ฉายประกายดุดันจนนางอดจะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
เหตุใดแววตาของเจ้าแมวตัวนี้ถึงได้เย็นชาน่ากลัวนัก มองมาทีรู้สึกเหมือนถูกคนถลึงตาจ้องอย่างไรอย่างนั้น…นางแค่คิดไปเองหรือเปล่านี่! ซย่าหมิ่นนึกในใจ
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงมาอยู่หลังบ้านกันนานนัก” ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเดินมาตามทุกคน
“ท่านอารอง ท่านอาเล็ก ท่านอาใหญ่อนุญาตให้พวกเราเลี้ยงแมวน้อยล่ะขอรับ ข้าจะแบ่งข้าวของตนเองให้แมวน้อยกินครึ่งหนึ่ง”
“ข้าก็ด้วย ข้าจะแบ่งข้าวให้แมวน้อยกินครึ่งหนึ่ง”
เด็กสองคนวิ่งเข้าไปจูงมืออาอีกสองคนมาดูแมว พอซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเห็นแมวดำตัวนั้นก็หันไปมองพี่สาวอย่างตกตะลึง
ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่เคยพูดไม่ใช่หรือว่าคนยังได้กินไม่อิ่มท้อง จะเลี้ยงสัตว์ไม่ได้
ซย่าหมิ่นยักไหล่ให้น้องๆ เป็นเชิงบอกว่าหลานอยากเลี้ยงก็ปล่อยให้เลี้ยงไป
แม้ซย่าเจวี้ยนจะไม่รู้ว่าหลานๆ ชอบแมวตัวดำมิดหมีเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ตัวนางชอบแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงดีใจมากที่ได้เลี้ยง
ซย่าจื้อนั้นไม่ชอบแมวดำเพราะเห็นว่าอัปมงคล แต่ขอแค่หลานๆ มีความสุขก็พอ “พี่ใหญ่ แล้วเจ้าแมวดำตัวนี้ชื่ออะไรเล่า”
“ชื่อหรือ…” ซย่าหมิ่นลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จะให้เรียกแมวน้อยๆ ตลอดก็ใช่ที่
“ท่านอาใหญ่ ตัวมันดำปี๋เลย เรียกเจ้าดำแล้วกัน” เสียงเอ๋อร์ได้ยินว่าจะตั้งชื่อให้แมวก็เสนอความเห็นอย่างตื่นเต้น
“เจ้าดำๆ” เฉี่ยวเอ๋อร์เรียกตามพี่ชาย
นั่นชื่อหมาชัดๆ! ซย่าหมิ่นขมวดคิ้ว
จากนั้นนางก็เดินเข้าไปใกล้ ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ อุ้มมันขึ้นมา แมวดำร้องม้าวเป็นเชิงขู่ และดิ้นแรงยิ่งกว่าตอนที่พวกเด็กๆ ลูบตัวมันเมื่อครู่
ดุจริงนะ! ชาติที่แล้วซย่าหมิ่นเคยเห็นเพื่อนเลี้ยงแมวจึงรู้ว่าต้องจับอย่างไรถึงจะไม่โดนแมวข่วน นางจ้องตาสีเขียวของมัน แล้ววางท่าเฉียบขาดในฐานะผู้นำสกุลซย่า “ในเมื่อเป็นแมวก็ชื่อมีมีแล้วกัน ฟังให้ดีล่ะ จากนี้ไปเจ้าแซ่ซย่า ซย่ามีมี เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเรา”
แมวดำทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่า…ซย่ามีมี ชื่อบ้าอะไรนี่!
ซย่าหมิ่นเห็นหน้ามันแล้วหัวเราะขัน แมวตัวนี้ฉลาดจริง ฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วย
“เอาล่ะ ทำตัวดีๆ นะ ข้าจะทำแผลให้เจ้า จากนั้นก็จะหาข้าวให้กิน”
กลางดึกสงัด ในห้องมีเพียงเสียงหายใจที่บ่งบอกว่ากำลังหลับสนิทของเด็กๆ
ซย่าหมิ่นนอนเตียงเดียวกับหลานทั้งสอง นับแต่พี่ชายพี่สะใภ้จากไป เด็กสองคนนี้ก็ติดนาง ตอนกลางคืนนางเลยต้องนอนด้วย
มุมหนึ่งตรงข้ามเตียงมีชามข้าวชามน้ำกับลังกระดาษวางไว้ นั่นคือเตียงที่ซย่าหมิ่นทำไว้ให้มีมี แต่เวลานี้ลังกระดาษไม่มีแม้แต่เงาแมว แมวดำตัวนั้นกำลังลากขาหลังที่มีผ้าสีขาวพันเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
จากนั้นมันก็เล็งโต๊ะพร้อมย่อตัว ใช้ขาถีบตัวกระโดดขึ้นจากพื้น แต่เนื่องจากขาหลังบาดเจ็บจึงเกือบลื่นตกลงมา เรียกได้ว่ากระโดดพ้นอย่างหวุดหวิด โชคดีที่สุดท้ายมันทรงตัวได้
บนโต๊ะมีกระจกสำริด มันกระโดดขึ้นโต๊ะเครื่องแป้งก็เพราะมีเป้าหมายอยู่ที่กระจกบานนี้นี่ล่ะ
เมื่อส่องกระจกแล้วเห็นภาพที่สะท้อนอยู่ในนั้น มันก็ทำท่าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสีเขียวประหลาดฉายให้เห็นโทสะ ความหดหู่ ความสิ้นหวัง และความชิงชัง เท้าหน้าทั้งสองข้างกางอ้าเหมือนอยากตะปบกระจกให้แตกเป็นเสี่ยง ท่าทางเช่นนั้นดูอย่างไรก็ไม่ใช่ท่าทางของแมว
ถูกต้อง ภายในร่างของแมวตัวนี้มีวิญญาณคนสิงอยู่
วิญญาณของลิ่นจื่อเชิน
ตอนที่รถม้าร่วงตกจากหน้าผาเขาได้รับบาดเจ็บเพราะแรงกระแทก จากนั้นก็หมดสติไป เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในน้ำใกล้จมเต็มทีจึงรีบพุ้ยมือทั้งสองข้างตะเกียกตะกายขึ้นมา แล้วต้องตกตะลึงที่ได้เห็นว่าสรรพสิ่งรอบกายดูใหญ่โตไปหมด ส่วนตนเองเหมือนหดลงเหลือตัวนิดเดียว เขาพยายามร้องเรียกเซียวหลงกับหวังเจา แต่เสียงที่เปล่งออกมามีแต่เสียงเมี้ยวๆ ชายหนุ่มตกใจแทบสิ้นสติ รีบทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ จึงได้เห็นว่ามือเท้าและทั่วร่างตนเองเป็นสีดำปลอด สมองปั่นป่วนยุ่งเหยิงเหมือนระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว
เป็นไปไม่ได้ เขากลายเป็นแมวไปได้อย่างไร
ไม่ เขากำลังฝันอยู่ ต้องฝันอยู่แน่ๆ!
ความพรึงเพริดในใจยังไม่ทันสงบ หญิงแก่ท่าทางดุร้ายคนหนึ่งเห็นเขาเข้าก็คว้าไม้กวาดปรี่เข้าใส่ทันที
‘ไอ้แมวผีเก้าชีวิต จับกดน้ำยังไม่ตายอีกนะ! ข้าไม่ให้แมวโสโครกอย่างเจ้าแอบมาขโมยปลาในบ้านกินอีกแล้ว จะตีให้ตายเลยคอยดู!’
ลิ่นจื่อเชินขนหัวลุก ช่างเป็นหญิงร้ายกาจที่ใจไม้ไส้ระกำอะไรอย่างนี้ ถึงกับจับเขากดน้ำ นี่ยังคิดจะตีเขาให้ตายอีก
อ๋องหนุ่มอยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า ‘บังอาจ’ เอาให้ยายแก่ผู้นี้หน้าหงายไปเลย แต่พอเห็นไม้กวาดหวดลงมา สัญชาตญาณก็ฉุดขาเขาให้ออกวิ่ง เขาพบว่าขาทั้งสี่พาตนเองวิ่งได้ว่องไวนัก ซ้ำยังกระโดดได้คล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็หนียายแก่มาได้
ระหว่างที่กำลังถอนหายใจหินก้อนหนึ่งก็ปลิวมาเกือบจะถูกเขาเข้า
‘แมวดำนี่นา อัปมงคลจริงๆ เอาหินเขวี้ยงมันให้ตายเลย!’
ลิ่นจื่อเชินสบถว่าบ้าจริงอยู่ในใจแล้วออกโกยอ้าวอีกครั้ง เด็กผู้ชายกลุ่มนั้นวิ่งไล่กวดพลางเขวี้ยงหินใส่เขา หัวเราะร่วนอย่างชอบใจเหมือนกำลังเล่นสนุกกัน
เขาวิ่งออกจากตรอกเล็กสู่ถนนใหญ่ ตอนกระโดดหนีผ่านแผงขายปลาแห้ง เจ้าของแผงส่งเสียงเอ็ดตะโรไล่หลัง ‘แมวสกปรกจากที่ใดมันกล้ามันขโมยกินปลา! จับมันไว้ซิ!’
ใครขโมยกินปลากัน ข้าเลือกกินออกจะตายไป!
หนีกลุ่มเด็กพ้นก็ต้องมาเจอเจ้าของแผงปลาแห้งไล่กวดต่อ โชคดีที่ร่างเล็กๆ นี้นอกจากจะวิ่งเร็วยังกระโดดได้สูง เขาเลยกระโดดขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้
เจ้าของแผงวิ่งตามมา แต่หาแมวไม่เจอเลยต้องกลับไปมือเปล่า ลิ่นจื่อเชินอยู่บนต้นไม้ต่อเพราะกลัวจะถูกไล่ตามอีก ไม่เคยรู้เลยว่าการเกิดเป็นแค่แมวตัวหนึ่งจะถูกคนรังแกถูกคนทำร้ายมากมาย แมวตัวนี้ผิดตรงที่ใดกัน
เขาพักอยู่บนต้นไม้ พยายามอยู่ตามที่สูงให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกฆ่าตาย กระทั่งฟ้ามืดก็ยังค้างคืนอยู่บนต้นไม้จนเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วได้พบว่าฝันร้ายยังตามมาหลอกหลอน ตนยังอยู่ในร่างแมวเหมือนเดิม ก็รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง นี่เป็นฝันซ้อนฝันที่เขายังไม่ตื่นขึ้นมา หรือว่าตอนนี้เขาอยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่
สิ่งที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดจนเขาหาคำอธิบายไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจอยู่เฉยๆ แล้วเอาแต่หลบอย่างเดียว เขาจะต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ บางทีเซียวหลงกับพวกองครักษ์ก็อาจเจอเรื่องแบบเดียวกัน เขาจะต้องตามหาพวกนั้นให้พบ
แต่ลิ่นจื่อเชินไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะดวงตกได้ถึงเพียงนี้ แค่กระโดดลงจากต้นไม้ก็เจอสัตว์ประหลาดเข้าทันที
มันคือสุนัขขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าเขาไม่รู้กี่เท่า กำลังแยกเขี้ยวเห่าเขาพลางวิ่งรี่เข้าใส่ สำหรับเขาแล้วมันคือสัตว์ประหลาดดีๆ นี่เอง
ลิ่นจื่อเชินไม่เคยกลัวสุนัข แต่เวลานี้ร่างอันโอฬารของมันสร้างความพรั่นพรึงให้เขาอย่างรุนแรง เป็นเพราะสัญชาตญาณกลัวสุนัขของแมวนั่นเอง เขาจึงเตรียมวิ่งหนีอีกครั้ง
ตอนนี้เขามีสี่ขา มั่นใจว่าตนเองวิ่งได้เร็วกว่าสุนัขโฉดตัวนี้แน่ ทว่าเขาดันถูกไล่กวดมาจนมุมตรงกำแพง ซ้ำยังถูกกัดขาหลังเสียอีก
ในเวลาที่ถูกคุกคามถึงชีวิต เขาพยายามดิ้นสุดแรง ใช้กรงเล็บคมๆ ข่วนหน้าสุนัข พอได้ยินเสียงร้องเอ๋งก็รีบลากขากระโดดขึ้นมาอยู่บนกำแพง
ไอ้หมาโง่! เขาทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่องมองสุนัขหน้าโง่ตัวนั้นเห่าอยู่ข้างล่าง ดูซิว่าจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้ เสียดายก็แต่เขาไม่มีแรงจะอวดศักดาให้เจ้าหมาโง่นั่นประจักษ์ ขาหลังเจ็บแทบขาดใจจนไม่อาจอยู่บนกำแพงเฉยๆ ได้ ต้องกระโดดลงมาข้างล่าง
ไม่นึกเลยว่าระหว่างกำลังนอนพักอยู่บนพื้นอย่างเหนื่อยล้า เขาจะถูกเด็กสองคนหมายตาอีกครั้ง ลิ่นจื่อเชินนึกถึงกลุ่มเด็กที่เขวี้ยงหินใส่ตนเอง แล้วเบิกตามองสองคนนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ขนตั้งชันจนตัวพองฟูเหมือนจะระเบิด
โชคดีที่เด็กคู่นี้ไม่ได้เข้ามาทำร้ายเขา แต่จ้องมองมาด้วยแววตาสงสาร ถัดจากนั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนหลัง นั่นคือเขากลายมาเป็นแมวของบ้านนี้
ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าตนเองจะกลายเป็นแมวที่ถูกคนเลี้ยง เรื่องนี้เหลวไหลเหลือเชื่อเกินไป!
แต่จะดีจะร้ายอย่างไรตนเองก็มีที่ปลอดภัยให้อยู่ เด็กสองคนนี้ก็ดูจะชอบเขามาก ไม่เหมือนคนอื่นที่แค่เห็นเขาก็ตรงเข้ามาทำร้าย คิดได้ดังนั้นเขาพอจะฝืนใจยอมรับความจริงได้ว่าตนเป็นแมวที่ถูกคนบ้านนี้เลี้ยงชั่วคราว และยอมให้เด็กทั้งสองคนลูบขน
แต่ที่ทนไม่ได้เลยจริงๆ ก็คืออาใหญ่ของเด็ก สตรีท่าทางร้ายกาจที่ใจดำจนถึงขีดสุดผู้นั้น!
ดวงตาคมกริบของลิ่นจื่อเชินเป็นประกายวาววับขณะกัดฟันกรอด หญิงผู้นั้นไม่ยอมให้เด็กๆ เลี้ยงเขา ซ้ำยังเหยียดหยามเขาว่าตัวดำมิดหมีดูอัปมงคล อีกทั้งยังหน้าตาดุร้ายน่ากลัว จากนั้นยังตั้งข้อรังเกียจว่าเขาอาจกินอาหารของนางจนหมด ถึงขั้นใช้ความหิวมาข่มขู่ไม่ให้เด็กๆ เลี้ยงเขา จนท้ายที่สุดเมื่อนางจำใจอนุญาตให้หลานเลี้ยงเขาได้ ยังไม่วายพึมพำว่าเวลาไม่มีอะไรจะกินก็ให้เขาไปจับหนูกินเอาเอง ช่างโอหังเหลือร้าย ถึงกับจะให้เขาไปจับหนูกิน!
ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือนางยังตั้งชื่อให้เขาว่า ‘มีมี’ เอาแซ่ตนเองมาพ่วงด้วยเสร็จสรรพ เป็น ‘ซย่ามีมี’ ช่างเป็นชื่อที่ทุเรศทุรังอะไรอย่างนี้! เขาไม่มีวันให้อภัยนางแน่!
แต่…แม้ในอกจะอัดแน่นด้วยโทสะ เขาก็ได้แต่โมโห ทำอะไรนางไม่ได้ เพราะตอนนี้วิญญาณของเขาติดอยู่ในร่างแมว
ลิ่นจื่อเชินมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกให้ชัดถนัดตา ไม่ว่าในใจจะตะลึงพรึงเพริดอย่างไร รู้สึกว่าเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเหลือเชื่อเพียงใด เขาก็จำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง…ว่าตนเองกลายเป็นแมวตัวหนึ่ง เขาถูกสุนัขกัดเข้าจริงๆ ขาหลังเจ็บระบมอย่างแสนสาหัสจริงๆ นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง!
เขาในตอนนี้ไม่ใช่หลิ่นอ๋องผู้สูงส่งอีกแล้ว เขาต้องอยู่บ้านนี้ต่อไปเพื่อรักษาชีวิต ยอมให้คนในบ้านเลี้ยงยังดีกว่าถูกคนใจร้ายไล่ตะเพิดหรือถูกสุนัขกวดแล้วกัน
ชายหนุ่มยิ้มเยาะตนเอง ที่ผ่านมาหลิ่นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่มีแต่คนยกย่องนอบน้อม ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาต้องยอมลดศักดิ์ศรี
เหตุใดเขาถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้เล่า หรือว่าหลังจากตกหน้าผา เขาจะได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต วิญญาณเลยมาเข้าร่างแมวใกล้ตายอย่างนั้นหรือ
‘ลิ่นจื่อเชิน ข้าขอสาปแช่งเจ้า วันนี้เจ้าทำกับข้าไว้อย่างไร เหยียดหยามข้าให้อัปยศอดสูเพียงใด ต่อไปขอให้เจ้าถูกกรรมตามสนองเป็นเท่าทวี เจ้าจะกลายเป็นเดรัจฉานที่ต่ำต้อยที่สุด จะได้รู้รสของการถูกเหยียบย่ำ จะได้เสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตนเอง…’
เขานึกถึงคำสาปแช่งก่อนตายของหญิงแซ่เฮ่อเหลียนผู้นั้นขึ้นมาแล้วหนาวเยือกอยู่ในใจ ทว่าจากนั้นก็รีบปฏิเสธ บอกตนเองว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หากคำสาปแช่งมีอยู่จริง แค่ด่าใครส่งๆ แล้วกลายเป็นจริงไปหมด โลกมิอลหม่านยกใหญ่หรือ อีกอย่างเขาก็ไม่อยากยอมรับด้วยว่าคนอย่างเขาจะถูกสตรีผู้หนึ่งเล่นงาน!
แต่นอกเหนือจากนี้ก็หาคำอธิบายไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้ร่างของตนเองเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ เขาจะต้องยังมีชีวิตอยู่สิ! เขาตกจากหน้าผาพร้อมเซียวหลง พวกองครักษ์จะต้องออกตามหาอย่างแน่นอน ไม่มีวันปล่อยให้เขาตายไปหรอก!
ลิ่นจื่อเชินสงบสติอารมณ์ ที่ทำได้ตอนนี้คือต้องปรับตัวตามสถานการณ์ไปก่อน ไว้พอขาดีขึ้นเมื่อไรค่อยหาวิธีติดต่อกับคนของตนเองแล้วกลับเข้าร่างเดิม
พอคิดหาวิธีรับมือได้ หัวใจก็ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เขาเริ่มเลียขนแต่งเนื้อแต่งตัวตามสัญชาตญาณ
แต่พอดวงตาสีเขียวเหลือบไปทางกระจก เขาก็ทำหน้าตื่นตระหนกสุดขีด เขาจะเลียขนทำบ้าอะไรกัน เขาไม่ใช่แมวเสียหน่อย!
เมื่อจิตใจผ่อนคลาย ท้องก็หิวเสียจนทนไม่ไหว เพื่อแสดงความไม่พอใจชื่อซย่ามีมีที่สตรีผู้นั้นตั้งให้ เขาจึงประท้วงด้วยการไม่ยอมกินข้าวและทนหิวมาจนตอนนี้
ลิ่นจื่อเชินบอกตนเองว่าต้องกินให้ท้องอิ่ม แผลถึงจะดีขึ้นแล้วไปจากที่นี่ได้ ดังนั้นเขาจะยอมฝืนใจให้เกียรติกินอาหารที่หาความอร่อยไม่เจอก็แล้วกัน
ข้าวขาวคลุกเศษเนื้อจะอร่อยสักเท่าไรกันเชียว สตรีผู้นั้นจงใจแน่ๆ ถึงได้ไม่ยอมให้เขากินข้าวผัดหอมกรุ่นกับอาหารที่เก็บกลับมาจากโรงเตี๊ยม
ลิ่นจื่อเชินกระโดดลงจากโต๊ะเครื่องแป้ง ลองก้มหน้าเล็มข้าวกินอย่างมีอคติ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เอาเข้าจริงก็ไม่ถึงกับแย่ แต่รสอ่อนเกินไป เขาชอบกินอาหารรสจัดๆ
เนื่องจากหิวจนท้องกิ่ว เขาจึงกินหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กินน้ำ อาจเป็นเพราะตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้นี่เป็นเวลาที่เขาผ่อนคลายที่สุด พอท้องอิ่มแล้วจึงรู้สึกอ่อนเพลีย เปลือกตาหนักอึ้ง แต่จะนอนที่ใดเล่า
อ๋องหนุ่มไม่พอใจลังกระดาษที่เตรียมไว้ให้ตนเองนัก อาจพูดได้ว่ารู้สึกเหยียดหยามด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาตั้งใจจะเดินไปนอนที่อื่น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เปลี่ยนความคิดลงไปขดตัวในกล่อง ประหลาดแท้ อยู่ๆ เขาก็เกิดโปรดปรานที่เล็กแคบเช่นนี้ขึ้นมา รู้สึกว่าแค่ขดตัวนอนในนี้จะต้องหลับสบายแน่
หากตื่นขึ้นมาแล้วได้กลับไปอยู่ในร่างเดิมของตนเองจะดีเพียงใดกันนะ…เขาคิดอย่างนั้นก่อนจะหลับไป
อึดใจต่อมาซย่าหมิ่นปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย นางเหมือนได้ยินเสียงกุกกักเลยลองกวาดตาไปรอบๆ แล้วเหลือบไปทางลังกระดาษตรงมุมห้อง แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จากนั้นนางก็ดึงผ้าห่มที่ถูกหลานๆ ถีบทิ้งมาห่มคลุมร่างเล็กๆ ใหม่ แล้วปิดตาหลับไปอีกครั้ง
บทที่สอง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วซย่าหมิ่นไม่ได้ออกไปเปิดแผงรักษาโรคในทันที แต่ไปขุดดินตรงหลังบ้านหลานๆ เห็นเข้าก็ร้องถามอย่างดีอกดีใจ “ท่านอาใหญ่จะมาเล่นดินกับพวกเราหรือ”
“ท่านอาใหญ่ มาเล่นด้วยกันนะ เล่นด้วยกัน”
ซย่าหมิ่นตอบอย่างขันๆ “อย่ากวนสิ อากำลังทำงานอยู่”
จากนั้นนางก็วางกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เตรียมมาไว้กับพื้น นั่งยองๆ ขุดดิน แล้วตักดินร่วนซุยใส่กล่อง เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่รู้ว่าอาหญิงกำลังทำอะไร ดวงตากลมโตใสแจ๋วสองคู่เฝ้ามองเหมือนสิ่งที่นางกำลังทำดูน่าสนุกมากๆ
ซย่าหมิ่นเกลี่ยดินให้เรียบเสมอกัน แล้วเงยหน้าขึ้นบอก “เสร็จเรียบร้อย นี่คือกล่องมูลแมว เป็นส้วมของมีมี เอาวางไว้ตรงที่ใดดีนะ”
“มีมีก็มีส้วมเหมือนกันหรือ” พวกเด็กๆ พากันตื่นเต้น
“ใช่ พวกเรามีส้วม มีมีก็ต้องมีส้วมเป็นของตนเองเหมือนกัน”
ดินเช่นนี้ไม่ดีเท่าทรายแมวก็จริง แต่อย่างน้อยยังพอใช้ได้
“ส้วมอะไรกัน” ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเดินออกมาทางประตูหลังบ้านแล้วได้ยินเข้าจึงสาวเท้าเข้ามาหา
“เหตุใดแมวถึงต้องมีส้วมด้วยเล่า ปัสสาวะไปทั่วเหมือนหมาไม่ได้หรือ” น้องชายถามอย่างข้องใจ
“ไม่ได้ แมวมีนิสัยรักสะอาด อีกอย่างเช่นนี้ดีต่อสุขอนามัยด้วย มันเข้าๆ ออกๆ บ้านที่เราอยู่ จะได้สะอาดหน่อย” ซย่าหมิ่นอธิบาย
ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนพยักหน้ายิกๆ สมแล้วที่เป็นพี่ใหญ่ ความคิดกว้างไกลกว่าพวกตนจริงๆ
ท่านมีมี…หรือก็คือลิ่นจื่อเชินตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองยังติดอยู่ในร่างแมวเหมือนเดิมก็ทำหน้าบูดราวกับเบื่อโลก อยากเดินหนีไปให้พ้นๆ เพื่อปฏิเสธว่าตนไม่ใช่มีมี แต่คำว่า ‘ส้วม’ ดึงดูดความสนใจได้ชะงัด จนเขาอดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
นี่น่ะหรือส้วมของเขา
ลิ่นจื่อเชินพิพักพิพ่วนกับกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใส่ดินไว้จนเต็ม แต่กระนั้นก็ยังก้าวขึ้นไปย่ำตามสัญชาตญาณ ปรากฏว่าให้ความรู้สึกดีมากทีเดียว สามารถใช้ดินกลบได้โดยไม่ทำให้เท้าของเขาสกปรก
“มีมีท่าทางจะชอบส้วมนี้มากเลย” เสียงเอ๋อร์ร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
“มีมีกำลังจะชิ้งฉ่องในนั้นแล้วใช่หรือไม่” เฉี่ยวเอ๋อร์ทำตาโต
เขาไม่ใช่แมว เรื่องอะไรจะปัสสาวะในนี้! ลิ่นจื่อเชินฟังแล้วโมโห รีบกระโดดออกจากกล่องมูลแมวทันที
ซย่าหมิ่นเห็นมีมีทำท่าอายก็หัวเราะ “มีมีคงอายน่ะ ดูท่าข้าต้องหาผ้ามาบังให้เสียแล้ว มีมีจะได้ชิ้งฉ่องได้อย่างสบายใจ”
สตรีผู้นี้! ลิ่นจื่อเชินมองนางด้วยสายตาเย็นชาเมื่อถูกนางหัวเราะเยาะ
เจ้าแมวตัวนี้จ้องหน้านางอีกแล้ว ตอนแรกนางยังคิดว่าสายตาเย็นชาของมันดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่คิดดูอีกที ต่อให้เย็นชาเพียงใดมันก็เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง นางจะกลัวไปไยเล่า “ขี้โมโหจริงนะ”
แมวตัวนี้ทั้งเจ้าอารมณ์ทั้งเย่อหยิ่งจนนางอยากแกล้งแหย่เล่น
จริงสิ! ซย่าหมิ่นนึกครึ้มเลยไปหาไม้ไผ่มาผูกกับพู่ซึ่งทำมาจากเศษผ้า
“ท่านอาใหญ่ นี่คืออะไรหรือ” จอมซนทั้งสองถามด้วยความอยากรู้
นางมองมีมีพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “หึๆ นี่เรียกว่าไม้ตกแมว”
“ไม้ตกแมว?”
“พี่ใหญ่ ไม้ตกแมวนี่มีไว้ทำอะไร” ซย่าเจวี้ยนถามอย่างสงสัย
“ลองเล่นดูเดี๋ยวก็รู้” ซย่าหมิ่นเดินเข้าไปหามีมี
ลิ่นจื่อเชินมองพู่ในมือนางแล้วอยากเมินใส่ คำว่า ‘ไม้ตกแมว’ ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรชอบกล พอเห็นนางย่างสามขุมเข้ามาหา เขาก็พยายามบังคับขาไม่ให้วิ่งหนีแล้วพูดกับตนเองว่า ‘ไม่ต้องกลัวสตรีผู้นี้ นางจะมาไม้ใดก็มา!’
ทว่าไม้ตกแมวนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อมันมาแกว่งไกวอยู่ตรงหน้า เขาก็เกิดคันไม้คันมืออยากขยับอย่างบอกไม่ถูก…จากนั้นเท้าหน้าของเขาก็ขยับเข้าไปตะปบพู่นั่นจริงๆ
เหตุใดเขาถึงอยากตะปบพู่ได้ล่ะ อ๋องหนุ่มพิศวงงงงวยอยู่ในใจ ขณะที่ขาหน้าตะปบปั้บๆ อย่างหยุดไม่อยู่ เขารู้สึกสนุกตื่นเต้นเหลือเกิน หากไม่ติดว่าเจ็บขาหลัง เขาคงยืนสองขาและโผเข้าไปตะปบพู่ทั้งตัวแล้ว
ช้าก่อน เพราะอะไรกันแน่เขาถึงได้ชอบเล่นของสิ่งนี้ ลิ่นจื่อเชินรู้สึกพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนจ้องมองมีมีเล่นไม้ตกแมว ต่างรู้สึกสนุกสนานกันถ้วนหน้า
“ท่านอาใหญ่ ขอข้าเล่นบ้าง!” เสียงเอ๋อร์รับไม้ตกแมวมาจากมืออาหญิง แล้วนั่งยองๆ ล่อแมวน้อย “มีมี มองทางนี้!”
ข้าไม่ใช่แมว! ไม่ใช่แมว! ลิ่นจื่อเชินตะโกนบอกตนเองอย่างบ้าคลั่ง แต่ควบคุมสัญชาตญาณอีกทั้งห้ามขาหน้าไม่ให้ตะปบออกไปไม่ได้เลย เขาอยากคว้าพู่นั่นมาเล่นใจแทบขาด
“มีมีเก่งจังเลย!”
“มีมีสนุกใหญ่เชียวนะ!”
คนทั้งหมดพากันหัวเราะขัน โดยที่ซย่าหมิ่นหัวเราะดังกว่าใครเพื่อน
น่าโมโห! ลิ่นจื่อเชินถลึงตามองนางอย่างเคียดแค้น ทว่าขณะเดียวกันก็เล่นอย่างสนุกสนาน
ซย่าหมิ่นมองมีมีเอาเป็นเอาตายกับการไล่ตะปบพู่ก็คิดในใจว่าดีแล้วที่ยอมเลี้ยงแมวตัวนี้ มันจะได้เป็นเพื่อนเล่นให้เด็กๆ จากนั้นนางก็เหลือบไปเห็นกรงเล็บของแมวน้อยอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วรีบดึงไม้ตกแมวออกจากมือหลาน
ลิ่นจื่อเชินกำลังเล่นติดลมบน หน้าดำๆ จึงบูดสนิทเหมือนกำลังถามนางว่าเอาออกไปด้วยเหตุใด
“ท่านอาใหญ่ ข้ายังอยากเล่นอีก”
“ข้าก็อยากเล่น”
“สักครู่ค่อยเล่นนะ มีมีเล็บยาวมาก เดี๋ยวจะโดนข่วนเอา ให้ท่านอาใหญ่ตัดเล็บมีมีก่อน” ถ้าเล่นๆ กันอยู่เกิดข่วนโดนเด็กเป็นแผลล่ะไม่ดีแน่
ทันทีที่เอ่ยคำว่า ‘ตัดเล็บ’ ลิ่นจื่อเชินก็อยากหนีไปทันทีด้วยสัญชาตญาณแมว ทว่าซย่าหมิ่นเข้าไปตะปบเขาจากข้างหลังได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
“ม้าว!” บังอาจ! อย่ามาแตะต้องข้านะ! อ๋องหนุ่มคำรามลั่น เขาไม่เคยชอบให้สตรีเข้าใกล้ ยิ่งถ้าสตรีผู้นั้นเหิมเกริมและไร้มารยาท เขาจะยิ่งรังเกียจเดียดฉันท์เป็นพิเศษ ไม่มีวันเสียล่ะที่จะยอมให้นางแตะต้องแม้แต่ปลายขน
ซย่าหมิ่นเห็นเขาขัดขืนสุดแรงก็พูดขู่เหนือหัวเขา “อยู่นิ่งๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าต้องไปจับหนูกินเองเป็นข้าวเย็น”
ลิ่นจื่อเชินแข็งทื่อทั้งตัว ไม่กระดุกกระดิก แม้ใบหน้าจะปกคลุมด้วยขนสีดำปลอดก็ยังมองออกอย่างชัดเจนว่าเขากลัวจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว
พวกเด็กๆ เห็นก็พากันร้องแจ้วๆ “ท่านอาใหญ่ มีมีกลัวหนูล่ะ!”
“เพิ่งเคยเห็นแมวกลัวหนูเป็นครั้งแรก แมวตัวนี้ตลกจริงๆ” ซย่าจื้อหัวร่องอหาย ขณะที่ซย่าเจวี้ยนเอามือป้องปาก หัวเราะขันอย่างห้ามไม่อยู่
ซย่าหมิ่นได้ยินดังนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็ขำพรวด “จริงด้วยสิ มีมีกลัวหนู เชื่อเขาเลย ทำหน้าตลกเหลือเกิน กลัวจนไม่กล้าขยับตัวแล้ว ฮ่าๆ!” นางหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจ
คนพวกนี้กล้าหัวเราะเยาะข้ากันดีนักนะ! ลิ่นจื่อเชินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาเคียดแค้นสตรีที่จับตัวเขาเป็นพิเศษ เพราะนางหัวเราะดังกว่าใครเพื่อน
ข้ากลับเข้าร่างเดิมได้เมื่อไร จะมาจัดการเจ้าเป็นคนแรก!
ลิ่นจื่อเชินมีหลักการสำคัญอยู่สามอย่าง
หนึ่ง ไม่เลียขน
สอง ไม่ใช้กล่องมูลแมว
สาม ไม่เล่นไม้ตกแมว
เขาจะไม่ยอมเป็นแมวเด็ดขาด!
ทว่า…หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน สามวัน หลายต่อหลายวัน เขาก็คุ้นเคยกับการเป็นแมวไปแล้ว
เลียขนไม่เห็นมีอะไรเสียหาย เขารักสะอาดนี่นาก็ต้องคอยดูแลตนเองให้สะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้าสิ ตอนเช้าๆ พอได้เลียขนแต่งตัวให้เรียบร้อย อารมณ์ก็เบิกบานไปด้วย ไม่อยากจะบอก ถึงเขาจะดำมิดหมีไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่ขนก็สวยนุ่มเป็นประกายวาววับ
กล่องมูลแมวเขาก็ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย ช่างสะอาดดีเหลือเกิน
ส่วนไม้ตกแมวเห็นเจ้านี่ทีไรเขาเป็นต้องอยากเล่นทุกครั้ง…แค่กๆ คิดเสียว่าฝึกฝนร่างกายก็แล้วกัน เหมือนอย่างแต่ก่อนที่เขาต้องฝึกกระบี่หรืออะไรทำนองนี้ทุกวัน ตอนนี้กลายเป็นแมว ฝึกไม่ได้ หาอะไรทำขยับแข้งขยับขาก็ดีไม่น้อย
สรุปก็คือลิ่นจื่อเชินสัมผัสข้อดีของการเป็นแมวได้อย่างถ่องแท้ มีที่ให้อยู่ให้กิน ได้รับการดูแลอย่างดีไม่ต่างจากตอนเป็นอ๋องตรงที่ใด คนบ้านนี้มีแต่ทาสแมวที่ต้องคอยรับใช้เขาทั้งนั้น
ทว่าสวรรค์มักไม่ให้เราสมปรารถนาทุกอย่าง…เหตุใดเขาถึงต้องกลายเป็นแม่นมคอยดูแลทาสแมวน้อยทั้งสองด้วยเล่า
อย่างตอนนี้เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์กำลังเล่นชิ้นไม้เล็กๆ ที่แต่ละชิ้นทาสีต่างๆ กัน สามารถเอามาต่อกันเป็นบ้านได้ นี่คือตัวต่อที่ซย่าหมิ่นประดิดประดอยให้หลานๆ เล่น
ลิ่นจื่อเชินนอนปรายตามองอย่างเกียจคร้าน เขารู้ว่าเป็นของเล่นที่สตรีผู้นั้นทำให้เด็กๆ เอามาต่อเป็นบ้านได้ เห็นเด็กสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนานก็นึกหมั่นไส้เลยแกล้งเอาหางปัดให้ล้ม
“บ้านพังแล้ว!”
“มีมีเอาหางปัด…”
“มีมีนิสัยไม่ดี!”
“ต่อใหม่แล้วกัน”
พวกเด็กโง่! เด็กๆ นอกจากจะไม่โกรธยังลงมือต่อบ้านใหม่ ลิ่นจื่อเชินเห็นแล้วเลยขี้เกียจแกล้งซ้ำ
เล่นตัวต่อเสร็จ พวกเด็กๆ ก็เล่นบัตรภาพกัน โดยปูผ้าสะอาดลงบนพื้นดินแล้วเรียงบัตรไว้เต็มผ้า
บัตรภาพนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของซย่าหมิ่น นางวาดรูปดอกไม้ ใบไม้ สัตว์นานาชนิดไว้ข้างบนพร้อมเขียนตัวเลขกำกับ วิธีเล่นคือคนหนึ่งกำหนดลาย อีกคนหาภาพบนบัตรให้ตรง โดยจะต้องหาให้เจอในเวลานับห้าถอยหลัง ใครหาได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ จุดประสงค์ของของเล่นชนิดนี้คือกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของเด็กและช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้
“หมา!”
“หมาอยู่นี่! หอยทาก!”
“เจอหอยทากแล้ว! ซาลาเปาเนื้อ!”
“เจอแล้ว! นก!”
รูปวาดฝีมือหยาบ อัปลักษณ์สิ้นดี ลิ่นจื่อเชินเหล่มองอย่างรังเกียจก่อนจะเบือนหน้าหนี คำว่า ‘น่าเบื่อ’ เขียนอยู่บนใบหน้าดำๆ
“นกอยู่ที่ใด เหตุใดถึงหาไม่เจอ” เฉี่ยวเอ๋อร์กวาดตามองหาจากบัตรภาพยี่สิบกว่าใบ
เสียงเอ๋อร์กระหยิ่มยิ้มย่อง “ตานี้ข้าชนะแน่! ข้าจะเริ่มนับล่ะนะ ห้า สี่ สาม…”
เจ้าเด็กบ้า ยอมให้น้องหน่อยก็ไม่ได้! ลิ่นจื่อเชินเดินเข้าไปแกว่งหางเบาๆ แอบบอกให้เฉี่ยวเอ๋อร์รู้ว่าบัตรรูปนกอยู่ตรงที่ใด
“เจอแล้ว!” เด็กหญิงมองเห็น แล้วรีบไปหยิบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“มีมีโกง!” เสียงเอ๋อร์ประท้วง
โกงแล้วจะอย่างไร อ๋องหนุ่มคร้านจะสนใจ แต่ไม่นึกว่าเสียงเอ๋อร์จะหยิบไม้ตกแมวมาแกว่งไปมาตรงหน้า
ลิ่นจื่อเชินตาวาว กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ขณะใช้เท้าหน้าตะปบไม้ตกแมว
เด็กบ้า น่าจะเอาออกมาเล่นตั้งนานแล้ว ปล่อยให้ข้าเบื่ออยู่ได้! เขาบ่นในใจ
เมื่อเด็กๆ เล่นจนเต็มที่และเริ่มเพลียแล้วก็ได้เวลานอนกลางวัน โดยซย่าเจวี้ยนเป็นคนพาหลานไปนอน
ส่วนเขาจะออกไปข้างนอก
แน่นอนว่าลิ่นจื่อเชินไม่ยอมอยู่ไปวันๆ อย่างนี้แน่ เขาอยู่ที่บ้านนี้ก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ขาหลังดีขึ้นมากแล้ว จึงเริ่มออกไปสืบข่าวคราวความเป็นไป เขาอยากรู้ว่าเวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ขึ้นในเมืองหลวงบ้างหรือไม่ แล้วร่างของเขาเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
แต่เวลาเขาอ้าปากทีก็มีแต่เสียงเมี้ยวๆ อย่างเดียว ควรต้องสืบอย่างไรดีเล่า
เขามีหูแมวสองข้างที่ใช้ฟังสิ่งต่างๆ ได้ ตั้งแต่มาอยู่ในบ้านสกุลซย่า เขาเคยได้ยินคนบ้านนี้พูดกันว่าที่นี่คือเมืองเฉาหยาง เมืองนี้เขารู้จัก อยู่ในอำเภอหนานหยาง ไม่นับว่าใกล้เมืองหลวงแต่ก็ไม่ไกล ถือเป็นศูนย์กลางสำคัญที่คนค้าขายมาชุมนุมกัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสืบข่าวของเขา
เนื่องจากมีประสบการณ์ชวนผวาของการถูกไล่ฆ่ามาก่อน เดี๋ยวนี้เวลาออกไปข้างนอกเขาจะคอยเลี่ยงฝูงชนอย่างระมัดระวัง ลอบประเมินสถานการณ์ก่อนค่อยเดินออกไป เขามาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘หวังจี้’ เป็นโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองเฉาหยาง มีพ่อค้าเข้ามาพักมากมายจึงเป็นจุดสืบข่าวอันดีเลิศ พวกเสี่ยวเอ้อร์วิ่งทำงานกันหัวหมุน จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา เขาเลยค่อยๆ แอบเข้าไปนั่งฟังคนคุยกันใต้โต๊ะตัวหนึ่ง
เหมือนอย่างหลายครั้งก่อนหน้าที่ออกมาสืบข่าว ลิ่นจื่อเชินมักจะได้ข้อมูลที่ต้องการกลับไปเสมอ เขาไม่ตาย แต่นอนไม่ได้สติ เห็นว่าในเมืองหลวงลือเรื่องที่เขาสลบไม่ฟื้นกันใหญ่โต เสด็จพี่จักรพรรดิประกาศให้หมอสามัญชนชื่อดังมาลองรักษา ดูท่าอาการของเขาจะไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็มีความหวังว่าจะได้กลับเข้าร่างเดิมของตนเอง
คนค้าขายคุยกันย่อมเลี่ยงไม่พ้นเรื่องขั้นตอนการขนส่งสินค้าและจุดหมายปลายทาง ครั้งนี้เขาอยากสืบรู้เส้นทางกลับเมืองหลวง หากมีขบวนพ่อค้าเดินทางไปเมืองหลวงพอดี เขาจะได้กระโดดขึ้นรถไปด้วย น่าเสียดายที่ตอนนี้มีแต่พ่อค้าเดินทางจากเมืองหลวงมาแวะเฉาหยาง แล้วเดินทางต่อไปจุดหมายอื่นทั้งนั้น
พอนั่งฟังเสร็จลิ่นจื่อเชินก็รีบกลับบ้าน เขาต้องกลับไปให้ถึงก่อนที่เด็กสองคนนั้นจะตื่น เพราะจอมซนทั้งคู่ติดเขาแจ หากไม่ได้เห็นเขานานๆ จะกอดรัดเขาโดยแรงจนเขาแทบหายใจหายคอไม่ออก
ระหว่างทางกลับบ้านชายหนุ่มเห็นร่างคุ้นตาร่างหนึ่งเดินไปตามถนน ซย่าหมิ่นนั่นเอง ปกติเวลาเช่นนี้นางต้องเปิดแผงรักษาคนไม่ใช่หรือ แล้วนั่นนางจะไปที่ใด
แค่คิดถึงซย่าหมิ่น ลิ่นจื่อเชินก็อดโมโหไม่ได้ เขารู้ว่าสกุลซย่ายากจน แต่ไม่รู้ว่าจะแร้นแค้นขนาดเนื้อยังไม่มีปัญญาซื้อ อาหารแต่ละมื้อล้วนเป็นผัก ถ้ามื้อใดมีเศษเนื้อให้กินสักนิดก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว เขาเองก็ไม่เลือกมากนักหรอก
แต่เขาไม่สามารถให้อภัยสตรีผู้นั้นได้เลย ทั้งที่นางทำอาหารอร่อยมาก สามารถใช้เครื่องปรุงง่ายๆ มาทำข้าวผัดเลิศรสที่ส่งกลิ่นหอมฉุยจนเขาท้องร้อง แต่นางกลับไม่ยอมให้เขากิน อาหารที่เขากินล้วนแต่จืดชืดไม่มีรสไม่มีชาติ นอกจากนางจะขี้เหนียวอย่างน่าโมโห ยังจงใจไม่ให้เขากินของดี ไว้เขาได้คืนร่างกลับเป็นคนเมื่อไร ค่อยมาคิดบัญชีกับนางทีหลัง
แน่นอนว่าลิ่นจื่อเชินไม่รู้ว่าแมวกินอาหารคนไม่ได้ เพราะรสเค็มในอาหารเป็นภาระที่หนักหน่วงเกินไปต่อร่างกาย สิ่งที่เขากินจึงมีแต่อาหารแมวที่ซย่าหมิ่นทำให้เป็นพิเศษอย่างใส่ใจ
นางจะไปร้านยาเหรินเต๋ออย่างนั้นหรือ เขาเดินอยู่ข้างหลังหญิงสาว มองไปยังทางที่นางเดินไป พบว่าข้างหน้าเป็นร้านยาเหรินเต๋อ
ในเมืองเฉาหยางนี้ดูเหมือนเรื่องเสื่อมเสียของร้านยาก่วงจี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครพากันพูดถึง แน่นอนว่าเรื่องที่ซย่าหมิ่นถูกยกเลิกการแต่งงานก็รู้กันทั่ว ชาวบ้านพูดกันอย่างสนุกปากว่าสตรีผู้หนึ่งถูกยกเลิกการแต่งงาน ชื่อเสียงก็ป่นปี้หมด นี่ยังออกมาตากหน้าตั้งแผงรักษาโรค แสดงว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว ฝีมือการรักษาของนางก็เป็นที่กังขาเช่นกันว่านางเป็นสตรีจะมีความรู้วิชาแพทย์อะไรได้ แต่ละคำที่พูดออกมาล้วนบาดหูทั้งนั้น
ลิ่นจื่อเชินฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป เพราะไม่ใช่เรื่องของเขา สำหรับเขาแล้วบ้านสกุลซย่าเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว อีกไม่นานเขาก็จะกลับเมืองหลวง ที่ตอนนี้เดินตามซย่าหมิ่นไปร้านยาเหรินเต๋อก็เพราะเคยได้ยินมาว่าร้านยาก่วงจี้ที่ปิดตัวลงแล้วกับร้านยาเหรินเต๋อเป็นทั้งญาติและคู่แข่งกัน เขาก็แค่อยากรู้เท่านั้นล่ะว่านางจะไปร้านยาเหรินเต๋อด้วยเหตุใด
อยู่ๆ นางก็เดินเร็วขึ้น อ๋องหนุ่มจึงเร่งฝีเท้าตามบ้าง
ซย่าหมิ่นตั้งใจจะไปร้านยาเหรินเต๋อจริงๆ นางลังเลอยู่ถึงหนึ่งวันเต็ม หลังตั้งแผงเสร็จก่อนเวลาเมื่อครู่ก็เดินมาตามถนนช้าๆ เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ แต่สุดท้ายนางก็ก้าวเท้าอย่างหนักแน่น เดินไปทางร้านยาเหรินเต๋อให้เร็วขึ้น
เพื่อหาค่าเล่าเรียนให้ซย่าจื้อ นางไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ค่าเล่าเรียนงวดก่อนหน้าของน้องชายจ่ายไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เพิ่งครบกำหนดเมื่อไม่นานมานี้ ซย่าจื้อกลัวจะเพิ่มภาระให้นางจึงไม่กล้าบอก มักจะเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกแล้วโกหกว่าอาจารย์ให้เลิกเรียนเร็ว เพราะนางไปเจอเพื่อนร่วมสำนักของเขาโดยบังเอิญถึงได้รู้ว่ามีแต่น้องชายที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียน
ศักดิ์ศรีกินได้ที่ใดกันเล่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องยอมบากหน้ามายืมเงินให้ซย่าจื้อได้เรียนหนังสือต่อไป อีกอย่างท่านป้าก็เคยพูดเองว่าเดือดร้อนอะไรก็ให้มาหา แล้วนางจะเกรงใจไปด้วยเหตุใด
ซย่าหมิ่นฉวยโอกาสที่ตนยังมีแรงฮึดเดินมาถึงหน้าร้านยาเหรินเต๋อ พอก้าวเข้าไปกลิ่นหอมของยาก็ตลบอบอวลอยู่ใต้จมูก นางนึกถึงสมัยยังมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันขึ้นมาทันที นางจะได้กลิ่นยาเหล่านี้ทุกวัน ชวนให้คิดถึงยิ่งนัก ที่โต๊ะยาวเก็บเงินมีตัวยาชนิดต่างๆ วางเต็มไปหมด เด็กในร้านกำลังสาละวนอยู่กับการชั่งยาห่อยา มุมตรวจโรคที่อยู่อีกด้านก็เนืองแน่นไปด้วยคนไข้ กิจการรุ่งเรืองจนนางนึกชื่นชมอยู่ในใจ อยากให้ร้านยาก่วงจี้กลับมาเฟื่องฟูเช่นนี้บ้างเหลือเกิน…
“หมิ่นเอ๋อร์ เหลือเชื่อที่เจ้ามาที่นี่ มาหาข้าอย่างนั้นหรือ”
ซย่าหมิ่นได้สติกลับมา พบว่าหลี่หรูเซิงลูกพี่ลูกน้องของนางกำลังยืนอยู่ตรงหน้า เขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา ทำงานเป็นหมอตรวจโรคในร้านยาเหรินเต๋อ อุปนิสัยอ่อนแอ ขี้ขลาด ชอบเจ้าของร่างเดิม แต่เพราะมารดาคัดค้านจึงไม่กล้าตามติดพัน กระทั่งจะเอาของกินมาให้ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ควรแล้วล่ะที่เจ้าของร่างเดิมจะรู้สึกว่าเขาน่ารำคาญและไม่ชอบเขา
“พี่ชาย ข้ามาหาท่านป้า” ในเมื่อมาขอยืมเงิน แม้จะไม่ชอบชายผู้นี้นางก็ต้องทำตัวสุภาพกับเขา
หลี่หรูเซิงได้ยินก็แสดงความผิดหวังออกมาทางสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มให้นางอย่างกระตือรือร้น “ท่านแม่อยู่ในห้องด้านในพอดี เดินเข้าไปได้เลย…อาเซียน นำทางคุณหนูเข้าไป” ชายหนุ่มหันไปสั่งเด็กคนหนึ่งในร้าน ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ซย่าหมิ่นอย่างเอาใจ “หมิ่นเอ๋อร์ เดี๋ยวเรามานั่งคุยกันนะ”
ซย่าหมิ่นยิ้มตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินตามอาเซียนเข้าไปด้านใน ซย่าซื่อ* ผู้เป็นป้ากับหลี่อวิ๋นเม่ยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกำลังนั่งกินผลไม้พลางสนทนากันอยู่บนตั่งยาว
ซย่าซื่อดูแลตัวเองดีแม้จะอายุใกล้เลขห้า ผิวพรรณเนียนเกลี้ยง ใบหน้าผุดผ่อง ทว่าประกายตาคมกริบ จมูกโด่งตรง ดูเป็นหญิงแกร่ง
หลี่อวิ๋นเม่ยเพิ่งอายุครบสิบหกปี หน้าตาอ่อนหวานน่ารัก ไม่ว่ามองมุมใดก็สวย พอเห็นซย่าหมิ่นเดินเข้ามาก็รีบลุกจากตั่งมาจับมือนางอย่างสนิทสนม “พี่หมิ่นเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ข้ากำลังอยากไปหาท่านอยู่พอดี…” จากนั้นก็ปล่อยมือนางพลางพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ “ตายจริง พี่หมิ่นเอ๋อร์ เหตุใดมือท่านถึงได้หยาบกร้านเพียงนี้ ดูท่าการต้องขึ้นเขาไปขุดยากับตั้งแผงตรงริมถนนจะเหนื่อยยากมากทีเดียว…”
ซย่าหมิ่นมุมปากกระตุก นางรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้เห็นตนเป็นคู่แข่งมาโดยตลอด และริษยาที่นางเคยมีคู่แต่งงานดีพร้อม เมื่อนางตกระกำลำบากอย่างปัจจุบันจึงคอยหาโอกาสถากถางนางอยู่เสมอ นางไม่ได้สนใจอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายปั้นหน้าเก่งจนไปเล่นละครน้ำเน่าได้
“เอาล่ะ พี่หมิ่นเอ๋อร์ของเจ้าอุตส่าห์มาถึงนี่ ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญจะพูด เจ้ากลับห้องไปปักผ้าเถิดไป” ซย่าซื่อปรายตามองลูกสาวพลางเอ่ยไล่
หลี่อวิ๋นเม่ยกระเง้ากระงอด งึมงำอยู่ในคอว่าไม่อยากปักผ้า แต่ก็ยังเดินออกไปตามคำสั่งของมารดา
เมื่อลูกสาวลับตัวไปแล้ว ซย่าซื่อก็ยิ้มให้ซย่าหมิ่นอย่างอารีแล้วจูงมานั่งที่ตั่งยาว “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าคงมีเรื่องเดือดร้อนสินะถึงได้มาหาป้า พวกเราครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด”
ตอนทรุดตัวลงนั่งซย่าหมิ่นเหลือบไปเห็นหางดำๆ อยู่ตรงขาตนเอง แต่พอมองอีกทีก็ไม่มีแล้ว นางตาฝาดหรืออย่างไรกันนะ
จากนั้นนางก็นึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ จึงเรียบเรียงคำพูดในหัวซ้ำอีกครั้งแล้วเอ่ยกับซย่าซื่ออย่างระมัดระวัง “ท่านป้า คืออย่างนี้เจ้าค่ะ อาจื้อต้องนำค่าเล่าเรียนไปจ่ายสำนักศึกษาเดือนนี้ แต่ข้ามีเงินไม่พอ จึงอยากมาขอยืมเงินท่านป้า ข้าจะจ่ายดอกให้ด้วย โปรดให้ข้ายืมด้วยเถิด”
ซย่าซื่อฟังจบก็ตอบอย่างมีน้ำใจ “หมิ่นเอ๋อร์ คนบ้านเดียวกันเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือเกินอยู่แล้ว เจ้าคงกลุ้มใจน่าดูเลยสินะ น่าจะมาบอกป้าให้เร็วกว่านี้ อีกอย่างยืมเงินยังจะพูดถึงดอกเบี้ยไปไย ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้…” พูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของหญิงสูงวัยก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงอย่างไรป้าก็ต้องขอพูดจากใจจริง คนที่มุมานะร่ำเรียนหนังสือมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีสักกี่คนกันที่สอบเป็นขุนนางได้ ต่อให้ซย่าจื้อหัวดีเพียงใดก็สู้บรรดาคุณชายตระกูลใหญ่ที่มีพรสวรรค์จริงๆ ไม่ได้หรอก อีกอย่างตอนนี้เจ้าอยู่ในสภาพนี้ คิดวิธีหาเงินมาซื้อข้าวกินให้อิ่มท้องจะดีกว่า ส่งอาจื้อเรียนหนังสือไปมีแต่จะลำบากตัวเองเปล่าๆ…”
ซย่าหมิ่นนึกด่าตนเองในใจว่าโง่เง่า น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่ามาที่นี่มีแต่จะถูกเยาะเย้ยโดยไม่ได้อะไรติดมือกลับไป
หลังจากเย้ยหยันหลานสาวเสร็จ ซย่าซื่อก็กลับไปทำหน้าอารี “หมิ่นเอ๋อร์ ป้ามองว่าเทียบกับเรียนหนังสือแล้วน่าจะให้อาจื้อทำการค้ามากกว่า ลุงเขยของเจ้ารู้จักเถ้าแก่มากมาย สามารถช่วยฝากอาจื้อไปเรียนรู้วิชาค้าขายได้ ทำการค้าหาเงินได้มากกว่าเรียนหนังสืออีกนะ ส่วนเจ้ากับเจวี้ยนเอ๋อร์ ป้าจะช่วยหาคู่ดีๆ ให้พวกเจ้าแต่งงาน พ่อแม่เจ้าก็ตายไปหมดแล้ว ป้าคนนี้จะดูดายพวกเจ้าได้อย่างไร ป้าไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองคนอยู่เป็นสาวเทื้อในเมืองเฉาหยางจริงๆ หรอก
“หมิ่นเอ๋อร์ ป้ารู้ดีว่าเจ้าอยากกอบกู้ร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาอีกครั้งถึงได้ไปตั้งแผงรักษาโรคทุกวัน แต่ชื่อเสียงของร้านยาก่วงจี้ย่อยยับไปแล้ว จะกอบกู้ขึ้นมาใหม่ได้หรือ เจ้าจะลำบากไปเพื่ออะไรกัน แต่งงานแต่งการเสีย ครึ่งชีวิตที่เหลือจะได้มีที่พึ่ง ไม่ดีหรือไร”
หลังพูดออกมายาวเหยียดซย่าซื่อก็คลี่ยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้านึกออกหรือยังว่าพ่อเจ้าเก็บตำรับยาจำพวกน้ำแกงสิบสมุนไพรบำรุงร่างกายไว้ที่ใด หากมีตำรับยาพวกนี้ป้าก็จะพอช่วยเจ้าหาเงินได้บ้าง เจ้าก็รู้นี่นา ไม่ว่าจะให้อาจื้อเรียนการค้าหรือหาคู่แต่งงานให้พวกเจ้าสองคนพี่น้องก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น…”
ซย่าหมิ่นนั่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนถึงตรงนี้แล้วแค่นหัวเราะอยู่ในใจ พูดมานานสองนานนอกจากจะไม่ให้นางยืมเงิน ยังคิดจะมาเอาตำรับยาที่ท่านพ่อทิ้งไว้สมัยยังมีชีวิตไปจากนางอีก ช่างละโมบอะไรอย่างนี้!
นางแกล้งทำเป็นโง่ “แปลกจริง ยามีพิษที่พี่ใหญ่ทำขายก็ทำจากตำรับที่ท่านพ่อทิ้งไว้นี่ล่ะ ร้านยาก่วงจี้ต้องมาปิดตัวลงก็เพราะยานี้ เหตุใดท่านป้าถึงยังอยากได้อีกเล่า”
“เอ่อ…” ซย่าซื่อพยายามปั้นหน้ายิ้ม “นั่นเพราะพี่ชายเจ้าผสมยาผิดต่างหากเล่า ไม่ใช่ความผิดของตำรับยาเสียหน่อย อีกอย่างพ่อเจ้าก็ทิ้งตำรับยาที่ไม่มีปัญหาไว้ให้อีกหลายตำรับ ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อคนไข้ทั้งนั้น หากไม่นำออกมาใช้ก็น่าเสียดายแย่ จะได้ช่วยหาเงินให้พวกเจ้าด้วยอย่างไรล่ะ…”
ซย่าหมิ่นลุกขึ้นจากตั่ง แผ่นหลังบอบบางตรงแน่ว น้ำเสียงหนักแน่นทรงพลังในทุกคำ “เรื่องแต่งงานของข้าท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง เงินค่าเล่าเรียนของอาจื้อก็ไม่ต้องยืมท่านป้าแล้ว ข้าที่เป็นพี่สาวคนโตจะพยายามสุดความสามารถ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อส่งอาจื้อเรียนหนังสือ ข้าจะให้เขาสอบจ้วงหยวน*”
ความมุ่งมั่นของนางทำให้หญิงวัยกลางคนตะลึงงันไป พอจะพูดอะไรต่อก็เหลือบไปเห็นร่างดำๆ ตรงปลายเท้าเข้าเสียก่อน ซย่าซื่ออุทานลั่นด้วยความตกใจ “ว้าย…นั่นตัวอะไรน่ะ!” พอเห็นชัดว่าเป็นแมวก็ร้องเสียงแหลม “แมวดำเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร”
แมวดำ?! ซย่าหมิ่นก้มหน้าลงมอง แล้วก็ต้องตกใจเช่นกัน “มีมี เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
ซย่าซื่อกลัวแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแมวที่ดำทะมึนน่ากลัวเช่นนี้ นางเห็นเข้าก็รีบถอยกรูดไปยืนหลบอยู่ห่างๆ พลางตะเบ็งเสียงเรียกคนให้มาไล่มันออกไป “ใครก็ได้ มาไล่ไอ้แมวตัวนี้ไปที…”
ลูกจ้างในร้านได้ยินเสียงเจ้านายหวีดร้องก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้น เลยวิ่งพรวดพราดเข้ามาพร้อมกันทีเดียวหลายคน
คนอื่นยังไม่ทันไล่ ซย่าหมิ่นก็ก้มลงไปอุ้มมีมีขึ้นมากอดแล้วตวาดเสียงดัง “นี่แมวข้า ห้ามใครทำอะไรมันทั้งนั้น! พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” ประโยคสุดท้ายนางหันไปบอกผู้เป็นป้าที่ยืนแอบอยู่ตรงผนังห้อง ก่อนจะก้าวเดินออกไป
นางเดินเร็วจนไม่ได้ยินเสียงหลี่หรูเซิงร้องเรียก พอก้าวออกมาจากร้านยาเหรินเต๋อก็เดินฉับๆ ต่ออีกสักพักถึงค่อยหยุด
หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจเฮือก “ทำอย่างไรดี ข้าดันทำปากเก่งไปแล้วว่าจะให้อาจื้อสอบจ้วงหยวน แต่ปัญหาคือตอนนี้ข้ายังไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขาด้วยซ้ำ…ข้าน่าจะใจเย็นกว่านี้ ปั้นหน้าเล่นละครพูดจาดีๆ ใส่ท่านป้า แล้วขอร้องให้นางให้ยืมเงินมาสักก้อน”
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกจั๊กจี้ที่มือ พอก้มหน้าดูก็พบว่ามีมีกำลังเอาหัวมาไถๆ เข้ากับมือตนเอง นางกอดแมวดำให้แน่นขึ้นแล้วพูดอย่างซึ้งใจ “มีมี เจ้ากำลังปลอบข้าอยู่หรือ”
เปล่าเสียหน่อย…เขาแค่…
ลิ่นจื่อเชินอธิบายไม่ถูกว่าเหตุใดตนเองถึงทำเช่นนี้ ภาพในหัวเต็มไปด้วยสิ่งที่นางทำ…นางปฏิเสธข้อเสนอของหญิงแก่คนนั้น นางบอกอย่างองอาจแน่วแน่ว่าจะอาศัยกำลังของตนเองส่งเสียน้องชายจนเขาสอบจ้วงหยวน นอกจากนั้นนางยังประกาศเสียงดังว่าเขาเป็นแมวนาง ห้ามไม่ให้ใครทำอะไรเขาทั้งนั้น สั่นคลอนหัวใจของเขาให้ไหวสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้พอได้ยินนางพึมพำอย่างหดหู่ เขาเลยอดจะเอาหัวถูกับมือนางไม่ได้
มันอะไรกันนี่ บ้านนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด!
“มีมี ขอบใจนะที่ช่วยปลอบ ข้าดีใจมากเลย” ซย่าหมิ่นลูบขนแมวดำในวงแขนแล้วกอดมันแน่นขึ้น
ลิ่นจื่อเชินไม่อาจหนีออกจากอ้อมกอดนางเลยได้แต่ร้องม้าวๆ อย่างดุดัน
หญิงสาวถามสัตว์ตัวน้อยด้วยความฉงนสงสัย “จริงสิ มีมี เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่ร้านยาเหรินเต๋อได้ล่ะ ตามข้าเข้าไปในร้านอย่างนั้นหรือ” ดวงเนตรงามเป็นประกายแวววาว “หรือว่าเจ้า…มาช่วยคุ้มครองข้า”
ใครช่วยคุ้มครองเจ้ากัน ข้าแค่เข้าไปแอบฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นล่ะ! ลิ่นจื่อเชินดิ้นสุดแรงเกิดเพื่อสลัดตัวออกจากอ้อมแขนของนาง
ซย่าหมิ่นกลัวว่าแมวจะตกลงไปเลยกอดมันให้แน่นกว่าเดิม เดินต่อไปเรื่อยๆ พลางว่า “เจ้านี่ไม่น่ารักเลยนะ ออกมาเที่ยวตะลอนๆ ข้างนอกเช่นนี้ หากถูกหมาไล่กวดแล้วกัดเข้าให้อีกจะทำอย่างไร”
ข้าไม่ดวงซวยถึงขนาดจะถูกหมากัดซ้ำสองหรอกน่า! ลิ่นจื่อเชินตะโกนใส่อย่างหัวเสีย แต่เสียงที่เปล่งออกมากลายเป็นเสียงม้าวๆ เหมือนเดิม ไม่ได้ทรงอำนาจหรือน่ากลัวแม้แต่นิดเดียว
น่ารักจังเลย! เลี้ยงแมวนี่ช่วยเยียวยาจิตใจจริงๆ! ซย่าหมิ่นมองแมวดำที่ทั้งดุทั้งน่ารักแล้วรู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นมาก ขณะอุ้มมันเดินกลับบ้าน
ค่าเล่าเรียนของซย่าจื้อที่นางกลัดกลุ้ม สุดท้ายก็ทำได้แค่ขึ้นเขาไปขุดสมุนไพรมาขายเท่านั้น
นางไม่รู้จริงๆ ว่าค่าเล่าเรียนตามสำนักวิชาจะแพงเหลือใจ แพงกว่าค่ากินใช้หนึ่งหรือสองเดือนของบ้านนางทั้งบ้านเสียอีก แต่ซย่าจื้อเรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว ผลการเรียนก็ดี ซ้ำตัวเขาเองก็อยากเรียน นางจึงยอมกัดฟันส่งเขาเรียนต่อไปไม่ว่าจะลำบากเพียงใด ที่พูดจาใหญ่โตว่าจะให้เขาสอบจ้วงหยวน นางไม่ดีแต่พูดหรอก
ทว่า…ขุดสมุนไพรขายได้เงินเท่าไรขึ้นอยู่กับดวง ซย่าหมิ่นขึ้นเขาไปขุดอยู่นานก็ยังไม่เคยเจอสมุนไพรสูงค่า ดังนั้นตอนแรกนางถึงตั้งใจจะไปขอยืมเงินซย่าซื่อ แต่ตอนนี้นางได้แต่ภาวนาขอให้ตนเองดวงขึ้นเท่านั้น
ขึ้นเขารอบนี้ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนตามมาเป็นลูกมือด้วย ความจริงซย่าหมิ่นไม่อยากให้น้องชายตามมา เพราะประสงค์ให้เขาทบทวนตำราเรียนอยู่กับบ้านมากกว่า แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนของเขา เขาจึงยืนกรานจะมาด้วยให้ได้
วันนี้ซย่าหมิ่นคลำทางลุกลงจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มาเตรียมข้าวปั้นง่ายๆ ไว้เป็นอาหารกลางวัน แล้วออกจากบ้านพร้อมน้องชายน้องสาวและมีมี ส่วนป้าอิ๋นฮวาอยู่บ้านเพื่อดูแลเด็กๆ
เหตุใดถึงพามีมีไปด้วยน่ะหรือ เรื่องเป็นเช่นนี้…
เมื่อคืนจอมซนทั้งสองได้ยินว่านางจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรก็ร่ำร้องว่าจะตามมา
‘ท่านอาใหญ่ ข้าก็จะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรด้วย’
‘ข้าก็จะไปด้วย ข้ากับพี่ชายช่วยท่านอาใหญ่หาสมุนไพรได้’
ช่วยหรือ อยากไปเที่ยวล่ะไม่ว่า! ‘ไม่ได้ ท่านอาใหญ่ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะ’
‘ไม่รู้ล่ะ ข้าจะไปๆๆๆ’
‘ข้าก็จะไปๆๆๆ’
ซย่าหมิ่นฟังเสียจนเจ็บหู ‘บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ท่านอาใหญ่ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปหาค่าเล่าเรียนมาให้อารองของเจ้า พวกเจ้าสองคนต้องอยู่เฝ้าบ้านกับป้าอิ๋นฮวา’
เห็นหลานทั้งคู่เงียบไปยังนึกว่าพูดกันรู้เรื่องแล้ว ปรากฏว่าเด็กน้อยกลับโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…
‘ถ้าอย่างนั้นให้มีมีไปแทนพวกเราก็ได้’
‘ดี มีมีตามท่านอาใหญ่ไป ข้ากับพี่ชายอยู่เฝ้าบ้าน’
มีมี…ลิ่นจื่อเชินที่กำลังหลับสบายได้ยินเสียงหนวกหูจนตื่น ตั้งแต่กลายเป็นแมวเขาก็ขี้เซาเหลือเกิน นอกจากไม้ตกแมวแล้ว สิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุดก็คือการนอนนี่ล่ะ เวลานี้ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวาบอย่างไม่ไว้ใจ จะพาเขาไปที่ใดนะ
‘จะให้มีมีขึ้นเขาไปด้วยเหตุใด’ ซย่าหมิ่นอดถามอย่างขันๆ ไม่ได้
‘มีมีช่วยขุดดินหาสมุนไพรได้’ เสียงเอ๋อร์บอกเสียงดัง
ให้เขาไปขุดดิน? ลิ่นจื่อเชินหรี่ตาลงอย่างน่ากลัว
‘มีมีช่วยดมกลิ่นสมุนไพรได้’ เฉี่ยวเอ๋อร์พูดบ้าง
เขาไม่ใช่สุนัขเสียหน่อย! อ๋องหนุ่มกวัดแกว่งหางอย่างไม่สบอารมณ์
‘มีมีช่วยจับงู ปกป้องท่านอาใหญ่ได้’
ไม่ได้เสียหน่อย! ถ้าเจองู พวกเจ้าต่างหากที่ต้องปกป้องข้า จะให้ข้าช่วยหรือ อย่าแม้แต่คิด!
ลิ่นจื่อเชินนึกว่าซย่าหมิ่นจะปฏิเสธ ในเมื่อเป็นความคิดของเด็กๆ จะไปสนใจด้วยเหตุใดเล่า
แต่ปรากฏว่านางกลับหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มละไม ‘ก็ได้ เจ้าหน้าตาดุดันออกอย่างนี้ ถ้าเจอคนไม่ดีเข้ากลางทางจะได้ข่มขู่ให้คนเลวหนีไป พาเจ้าไปด้วยแล้วกัน’
บ้าไปแล้วหรือ! ลิ่นจื่อเชินถลึงตามองนางอย่างตกตะลึง
ด้วยเหตุนี้สุดท้ายหลิ่นอ๋องผู้ไร้หนทางต่อต้านจึงถูกจับใส่ตะกร้าออกเดินทาง ซ้ำยังปิดฝาตะกร้าไว้เสียอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะอารมณ์เสียสักเพียงใด หน้าดำๆ บูดสนิทราวกับว่าหากคนแปลกหน้าเฉียดกรายเข้ามาใกล้เป็นต้องถูกกัด
สามพี่น้องโบกเกวียนเทียมวัว ก่อนจะเดินเท้าต่ออีกค่อนข้างนาน สักประมาณชั่วยาม กว่าจึงขึ้นมาถึงบนเขาแล้วปล่อยแมวออกจากตะกร้า
ตอนแรกลิ่นจื่อเชินยังอารมณ์ขุ่นมัว แต่พอได้ก้าวเหยียบพื้นดิน เป็นอิสระอีกครั้ง อารมณ์ก็ผ่องใสขึ้นทันที
เขามองไปโดยรอบ ต้นไม้รายล้อมร่มรื่น นกกาขับขาน กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่ว บรรยากาศไม่เลวเลยจริงๆ เช่นนั้นก็หาที่นอนดีกว่า เขายืดตัวบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน
“มีมี อย่าเที่ยวเดินไปที่ใดสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ บนเขามีหนูภูเขาตัวใหญ่มากๆ ถ้าเจ้าไม่อยู่ให้เป็นที่จะไม่มีใครไปช่วยนะ” แน่นอนว่าซย่าหมิ่นไม่คาดหวังว่าแมวจะช่วยหาสมุนไพรได้ นางแกล้งขู่มันพร้อมทำมือให้ดูว่าหนูตัวใหญ่เพียงใด มันฉลาดออกจะตาย ต้องฟังรู้เรื่องแน่นอน
ให้หนูตัวใหญ่เท่าหมูป่าไปเลยยิ่งดี อีกอย่างนางก็พูดผิดด้วย เขาไม่ได้กลัวหนู! ลิ่นจื่อเชินถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น จากนั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไป ไม่อยากสนใจคนพวกนี้อีก
เขาตั้งใจจะไปหาที่นอนงีบ…แต่เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ
ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง เป็นประกายวาววับ ห่างออกไปไม่ไกลมีนกบินเข้าไปจิกผลไม้กินด้านหน้า สัญชาตญาณของแมวทำให้เขาอยากจับนก เขาค่อยๆ ย่องเข้าไปทางนั้น ตั้งใจจะแอบซุ่มรอจังหวะกระโจนเข้าไปตะปบ
ระหว่างนั้นซย่าหมิ่นก็ไม่ยอมเสียเวลา ลงมือหาสมุนไพรทันทีพร้อมด้วยน้องๆ ทั้งสอง เขาลูกนี้เป็นที่ที่นางมาขุดสมุนไพรบ่อยที่สุด เพราะมีสมุนไพรป่าให้หามากมาย ลองว่าเมื่อไรนางได้ใจจดใจจ่อกับการขุดสมุนไพรก็มักจะลืมเวลาเสมอ
ในยุคปัจจุบันสมุนไพรที่เห็นล้วนผ่านกระบวนการมาหมดแล้ว แต่ในยุคนี้นางต้องลงมือขุดเอง ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ นางจึงขุดได้อย่างสนุกสนานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ส่วนซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเกิดในร้านยา จึงพอรู้จักสมุนไพรพื้นฐานเช่นกัน
ครึ่งชั่วยามให้หลังสามพี่น้องได้ผลงานมามากมาย ตะกร้าที่นำมาด้วยเต็มแล้วครึ่งหนึ่ง
“วันนี้ขุดได้แต่สมุนไพรดีๆ มีหลายชนิดด้วย…” แต่ต่อให้เอาไปขายจนหมดก็ยังได้เงินไม่มากอยู่ดี ต้องหาสมุนไพรชนิดที่มีราคา…นางจะจ่ายค่าเล่าเรียนน้องชายภายในเดือนนี้ได้จริงหรือไม่นะ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพบว่าซย่าจื้อกำลังขมวดคิ้ว ความรู้สึกที่สะท้อนอยู่บนใบหน้านางคงส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา
นางรีบบอกน้องชาย “ไม่ต้องห่วง เขาลูกนี้ยังมีอีกหลายที่ที่ไม่เคยไป พวกเราพักกินข้าวเที่ยงกันก่อน กินอิ่มแล้วค่อยไปหาต่อ วันนี้หาไม่เจอ พรุ่งนี้อาจเจอก็ได้…” นางยื่นข้าวปั้นไปให้เขา “กินเสีย”
ซย่าจื้อได้ยินพี่สาวพูดดังนั้นก็พยักหน้า นั่งลงกินข้าวปั้นอย่างสบายใจ
ซย่าหมิ่นเตรียมข้าวปั้นมาทั้งหมดสี่ก้อน พอส่งให้ซย่าเจวี้ยนแล้วยังเหลืออีกก้อน นางนึกอะไรขึ้นมาได้ “มีมีล่ะ”
น้องสองคนช่วยกันมองหาแล้วอุทานอย่างตกใจ “มีมีหายไปแล้ว!”
หญิงสาวมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น นางพูดอย่างหัวเสีย “ข้าขู่ไปแล้วนี่นาว่าบนเขามีหนูตัวใหญ่ ไม่ให้มันเที่ยวเดินไปที่ใดส่งเดช ตอนนี้หายไปที่ใดเสียแล้วล่ะ รู้อย่างนี้ใช้เชือกล่ามไว้ก็ดีหรอก”
“ทำอย่างไรดี เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ชอบมันมาก หากมันหลงหายไปจริงๆ พวกเด็กๆ จะต้องเสียใจจนร้องไห้ยกใหญ่แน่…” ซย่าเจวี้ยนพูดอย่างนั้นพร้อมทำท่าจะร้องไห้ออกมาเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงมันมาก
“เจ้าแมวนั่นชอบวางท่ายิ่งใหญ่เหมือนเป็นเจ้านาย รับรองว่าล่าเหยื่อมากินเองไม่เป็นหรอก หากพลัดหลงบนเขามีแต่จะอดตายเท่านั้น ต้องรีบออกตามหามันเดี๋ยวนี้เลย” แม้แต่ซย่าจื้อที่ไม่ชอบแมวดำยังอดเป็นกังวลไม่ได้
แสดงว่าน้องชายน้องสาวเห็นมีมีเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว ซย่าหมิ่นยิ้มน้อยๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปตามหามันกันดีกว่า ถ้าเจ้าแมวโง่นั่นได้ยินเสียงพวกเราก็น่าจะวิ่งออกมาหา”
ถัดจากนั้นสามพี่น้องจึงช่วยกันตามหามีมี พวกเขาขึ้นเขากันอยู่เสมอ แม้จะไม่ถึงขั้นเดินจนปรุทุกซอกทุกมุม แต่ก็คุ้นเคยกับเส้นทางโดยรอบเป็นอย่างดี แต่ละคนร้องเรียกมีมีพลางสอดส่ายสายตามองหาแมว
บทที่สาม
ลิ่นจื่อเชินอยู่ที่ใดน่ะหรือ
ตอนแรกเขาดักซุ่มรอจับนก แต่น่าโมโหที่เจ้านกนั่นบินเร็วเหลือเกิน เขาเลยตะปบมันไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าวิ่งออกมาไกลแล้วเลยหาที่นอนงีบแถวนั้น ขณะกำลังหลับสบายอยู่บนต้นไม้ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกมีมีไม่ขาดหูเลยตื่นขึ้นมาในที่สุด
“มีมี เจ้าอยู่ไหน”
“มีมี ออกมานี่เร็ว”
“มีมี!”
ลิ่นจื่อเชินปรือตาสีเขียวของตนขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน แล้วเห็นคนที่กำลังตามหาเขาใต้ต้นไม้
พวกทาสโง่ เขาอยู่ข้างบนนี่ ไม่เห็นหรืออย่างไร ถ้าเช่นนั้นก็หาต่อไปเถิด! เขาหรี่ตา นอนหลับอุตุต่อไป
คนข้างล่างตามหาจนร้อนใจ ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่ามีมีอยู่บนต้นไม้เหนือหัวนี่เอง
“มีมีไปถึงที่ใดของมัน” ซย่าจื้อเอ่ยอย่างเป็นกังวล
“คงไม่ได้ถูกงูกินไปแล้วหรอกนะ” ซย่าเจวี้ยนคาดเดา
“ไม่หรอก ข้ามาที่นี่หลายครั้งแล้วยังไม่เคยเห็นงู พวกเราตามหาต่อเถิด…” ความจริงซย่าหมิ่นเองก็ใจไม่ดี แต่ทำได้แค่รีบหาแมวให้เจอโดยเร็วที่สุด
หาอยู่ร่วมชั่วยามจนเลยเที่ยงไปแล้ว ทั้งสามก็ยังตามหาแมวต่อทั้งที่ท้องหิว
จะต้องหาไปถึงเมื่อไร
ลิ่นจื่อเชินนอนอยู่บนต้นไม้ มองสามพี่น้องเดินผ่านไปผ่านมาอยู่หลายครั้งขณะส่งเสียงเรียกชื่อเขาอยู่ข้างล่าง เช่นนี้ใครจะนอนต่อได้ ความเย็นชาแกมเหยียดหยามที่เขามีต่อคนพวกนั้นถูกความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีชื่อว่าความซาบซึ้งแทรกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
โง่เง่ากันเหลือเกิน เหตุใดถึงต้องตามหาเขาให้ได้ด้วย เขาเป็นแค่แมวตัวหนึ่งแท้ๆ!
ผ่านไปอีกสองเค่อ…
“มีมี ออกมาเร็วเข้า!”
“มีมี ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามากนะ ออกมาสิ!”
ลิ่นจื่อเชินเห็นคนพวกนั้นยังตามหาไม่เลิกก็รู้สึกรำคาญเต็มแก่ ในที่สุดเลยยอมแสดงน้ำใจกระโจนลงมาจากต้นไม้
เขาไม่ยอมรับหรอกนะว่ารู้สึกซาบซึ้งใจ ที่ลงมาก็เพราะว่าเขาหิวต่างหาก
“มีมีออกมาแล้ว!” ซย่าจื้อตาไวเห็นเขาก่อนใครเพื่อน
ซย่าเจวี้ยนวิ่งเข้ามาอุ้มเขาอย่างดีใจ “มีมี วิ่งไปเล่นที่ใดมา พวกเราช่วยกันหาอยู่ตั้งนาน ยังกลัวว่าเจ้าจะถูกงูกินไปแล้วเสียอีก”
ข้าไม่กลัวงูเสียหน่อย…ลิ่นจื่อเชินทำท่าจะส่งเสียงขู่ด้วยความโมโห แต่ถูกตบหัวเข้าเสียก่อน คนตบคือซย่าหมิ่น
“จริงๆ เลยเชียว เจ้าไปที่ใดมา ทำเอาคนอื่นเป็นห่วงกันหมด”
น่าโมโห! ห้ามตบหัวข้านะ! อ๋องหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ แต่กลับได้เห็นซย่าหมิ่นมองตนด้วยสายตาห่วงใย พร้อมทั้งลดน้ำหนักมือเปลี่ยนมาลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนแทน
“กลับมาก็ดีแล้วล่ะ ทีหลังอย่าเที่ยววิ่งไปที่ใดส่งเดชอีกนะ รู้หรือไม่” หญิงสาวสอนสั่ง แม้จะโกรธที่มันซุกซน แต่หามันเจอนางก็สบายใจแล้ว เรียวปากสวยหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“มีมี เจ้าทำพวกเราตกใจมากนะ” ซย่าเจวี้ยนบ่น ทว่าสายตาที่มองมันเต็มไปด้วยความรักใคร่
“หามีมีเจอก็ดีแล้วล่ะ มีมีคงหิวแย่แล้ว รีบกลับไปกินข้าวกันดีกว่า” ซย่าจื้อเอ่ยด้วยสีหน้าโล่งใจ
ลิ่นจื่อเชินมองซย่าหมิ่น จากนั้นก็มองซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยน รู้สึกแปลกใจเหลือล้นที่คนบ้านนี้ใส่ใจเขาที่เป็นแมวตัวหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะสตรีนามซย่าหมิ่นที่แสดงความอ่อนโยนและความดีใจต่อเขา ทำเอาเขาตาค้าง
“มีมี ปัญญาอ่อนไปแล้วหรือ” ซย่าหมิ่นชะโงกหน้าเข้ามาจ้องมันใกล้ๆ เพิ่งเคยเห็นแมวมองหน้านางจนเหม่อก็ครั้งนี้นี่ล่ะ
ปัญญาอ่อนบ้านเจ้าสิ! ลิ่นจื่อเชินสะบัดหน้าหนี รู้สึกอับอายสุดแสน พอถูกวางลงบนพื้นเขาก็รีบตั้งหน้าตั้งตากินข้าวปั้นที่ซย่าจื้อยื่นให้ เหมือนต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง
ซย่าหมิ่นเห็นมีมีกินเอาๆ อย่างหิวโซ ถึงเพิ่งนึกออกว่าตัวนางและน้องๆ ยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จ จึงบอกให้ทั้งคู่รีบกินข้าวที่เหลือเสีย
เมื่อกินข้าวหมดแล้วนางก็มองรอบตัว ก่อนจะบอกอย่างฮึกเหิม “แถวนี้ข้ายังไม่เคยมา ดูแล้วน่าจะมีสมุนไพรดีๆ อยู่มาก มาหากันดีกว่า…”
ทั้งสามคนจึงเริ่มขุดหาสมุนไพรอีกครั้ง
ไม่นานนักซย่าหมิ่นก็ร้องอุทาน “สวรรค์! พวกเจ้ามาดูนี่เร็ว ข้าขุดเจอโสม ถึงจะแค่เหง้าเล็กๆ แต่เท่านี้ก็มีราคาแล้วนะ!”
น้องชายน้องสาวรีบเข้ามามุงดู พอเห็นสมุนไพรรูปร่างคล้ายมนุษย์เหง้านั้นก็ร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ “โสมจริงๆ ด้วย!”
“พี่ใหญ่ เพราะมีมีแท้ๆ ที่หาที่นี่เจอ เราถึงขุดได้โสม” ซย่าจื้อยิ้มร่า
“อย่าบอกนะว่ามีมีนำทางพวกเรามาเจอโสม” ซย่าเจวี้ยนคิดไปไกล
“มีมี เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ที่รู้ว่าที่นี่มีโสม” ซย่าหมิ่นหันมาชมเขา
ลิ่นจื่อเชินกินข้าวจนอิ่มหนำ กำลังเลียขนแต่งตัวอย่างสบายอารมณ์ ได้ยินสามพี่น้องพากันชมตนยกใหญ่ก็ด่าในใจว่าพวกโง่
ซย่าหมิ่นมองเหง้าโสมในมือพลางเอ่ยอย่างดีใจ “ข้าจะต้องใช้โสมเหง้านี้ให้คุ้มค่า ใช้ทำยาอะไรดีนะ…” ไม่สิ! นางกำลังพูดอะไรอยู่ นางรีบหันไปบอกน้องชาย “อาจื้อ พรุ่งนี้ข้าจะรีบนำโสมไปขาย แล้วจ่ายค่าเล่าเรียนให้เจ้า เจ้าจะได้ไปเรียนเสียที”
ตอนแรกพี่สาวบอกว่าจะเอาโสมมาทำยา แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนคำพูด เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก “พี่ใหญ่ ขออภัยด้วย ท่านอยากฟื้นกิจการร้านยาก่วงจี้มากกว่าใครทั้งหมด อยากเก็บโสมเหง้านี้ไว้ทำยารักษาคน แต่ต้องเอามันไปขายแลกเงินเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้ข้า…”
ซย่าหมิ่นตบไหล่เขาแรงๆ “พูดจาโง่เง่าอะไรของเจ้า เก็บโสมเหง้านี้ไว้จะทำอะไรได้ ไม่มีลูกค้ามาให้ตรวจเสียหน่อย เก็บไว้ก็เจ็บใจเปล่าเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือค่าเล่าเรียนของเจ้า แค่เราเอาโสมไปขาย เจ้าก็จะได้ไปเรียนหนังสือต่อแล้ว พี่ใหญ่ทำปากดีพูดกับท่านป้าไว้ว่าจะให้เจ้าสอบจ้วงหยวน ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจเรียนให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเข้าใจหรือไม่”
น้องชายพยักหน้าทั้งตาแดงๆ แล้วรับปากอย่างมุ่งมั่น “พี่ใหญ่ ข้าจะต้องสอบจ้วงหยวนให้ได้!”
ซย่าหมิ่นคลี่ยิ้มอย่างเบาใจ ก่อนจะหันไปหาน้องสาว “เจวี้ยนเอ๋อร์ พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าก็อยากเรียนหนังสือเช่นกัน ข้าจะหาวิธีหาเงินให้ได้มากกว่านี้ เจ้าจะได้ไปเรียนหนังสือด้วย”
ซย่าเจวี้ยนมีสีหน้าตกใจแกมยินดีเป็นอันดับแรก ทว่าหลังจากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ พี่ใหญ่ ข้าไม่ต้องเรียนหนังสือหรอก สตรีใช่จะสอบจ้วงหยวนได้ ข้าจะเรียนหนังสือไปไย…”
ซย่าหมิ่นตอบอย่างขันๆ “เจ้าเองก็พูดจาโง่เง่าเช่นกัน ถึงสตรีจะสอบจ้วงหยวนไม่ได้ แต่เรียนหนังสือเอาไว้ก็มีประโยชน์ต่อตนเอง สมัยก่อนท่านพ่อยังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้พวกเราอ่านออกเขียนได้เลย นี่ก็เพราะท่านพ่ออยากให้พวกเรามีความรู้ติดตัว หูตากว้างไกลกว่าสตรีทั่วไปอย่างไรเล่า เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ข้าก็จะส่งพวกเขาเรียนเช่นกัน ข้าอยากให้พวกเจ้ารู้หนังสือกันทุกคน”
ในยุคปัจจุบันประชาชนทุกคนจะต้องจบการศึกษาภาคบังคับ น่าเสียดายที่ในยุคนี้คนจนอยากเรียนหนังสือเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่ซย่าหมิ่นไม่คิดจะยอมแพ้ที่จะให้น้องๆ หลานๆ ได้มีโอกาสร่ำเรียนเขียนอ่าน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพยายามทำให้ได้
“แต่พี่ใหญ่ เช่นนี้ท่านก็ลำบากแย่สิเจ้าคะ…” น้องสาวถามเสียงเครือ รู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่ของตนอย่างสุดซึ้ง
ซย่าจื้อไม่ได้พูดอะไรอีกก็จริง แต่ดวงตาแดงเรื่อ บ่งบอกว่าสงสารพี่สาวมากเพียงไร เขาอยากโตเร็วๆ จะได้มีกำลังช่วยแบ่งเบาภาระนางบ้าง
ซย่าหมิ่นหัวเราะอย่างไม่คิดมาก “ลำบากอะไรกันเล่า ข้าเป็นพี่สาวคนโตนะ นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว นอกจากนั้นข้าไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเจ้าได้เรียนหนังสือกันทุกคน ยังจะทำให้ร้านยาก่วงจี้เปิดกิจการได้ใหม่ แม้จะทำให้สำเร็จไม่ได้ในทันที แต่ขอแค่เราเดินทีละก้าวเล็กๆ ก็จะเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ…” นางโยนโสมในมือเล่น “ต่อไปยังมีโอกาสขุดเจอโสมที่ราคาแพงยิ่งกว่านี้ วันนี้เอาเหง้าเล็กๆ ไปขายก่อน จ่ายค่าเล่าเรียนแล้วยังเหลือเงินอีกนิดหน่อย ไปซื้อของดีๆ มากินบำรุงร่างกายแล้วกัน พวกเจ้าอยากกินอะไรล่ะ”
ซย่าจื้อคิดอย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็คิดออก “ข้าอยากกินปลาทอดกรอบ”
ซย่าเจวี้ยนพยักหน้า “ข้าก็ด้วย ปลาทอดกรอบของพี่ใหญ่อร่อยที่สุด ไม่ได้กินมานานแล้ว”
ซย่าหมิ่นนึกถึงครั้งก่อนที่ที่บ้านขาดแคลนอาหารแล้วนางพาน้องๆ ไปตกปลา ปลาทอดกรอบวันนั้นรสชาติอร่อยล้ำจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ป้าอิ๋นฮวาไปซื้อปลาตัวโตๆ เย็นนี้จะได้ทำปลาทอดกินกัน” น้องชายน้องสาวทำหน้าคาดหวัง ดูน่ารักน่าชังจนนางต้องเอื้อมมือไปลูบหัวทั้งคู่
ส่วนลิ่นจื่อเชินในเวลานั้นกำลังจ้องซย่าหมิ่นจนตาค้างอีกครั้ง
ทั้งที่เขาคิดอย่างเหยียดหยามว่าสตรีผู้นี้ตั้งปณิธานไว้เกินตัวที่คิดจะให้น้องชายสอบจ้วงหยวน จะให้คนทั้งบ้านได้เรียนหนังสือ แค่จะกินให้อิ่มท้องยังลำบากเลยแท้ๆ ยังกล้าพูดจาใหญ่โต อีกทั้งยังบอกด้วยว่าจะทำให้ร้านยาก่วงจี้ที่ปิดตัวลงไปแล้วเปิดกิจการขึ้นมาใหม่ ไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเองเอาเสียเลย
แต่น่าแปลกที่ท่าทางทุ่มเทสุดตัวอย่างเชื่อมั่นในตนเองของนางกลับแผดเผาหัวใจของเขาให้ร้อนเร่า ราวกับว่านางทำทุกอย่างที่พูดให้เป็นจริงได้ จนเขาไม่อาจถอนสายตาจากนางได้เลย
“มีมีก็ต้องบำรุงร่างกายเหมือนกัน มันต้องกินผักตามพวกเราตลอดเลย น่าสงสาร” ซย่าเจวี้ยนพลันทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ลูบหัวแมวดำ
“นั่นสิ ต้องบำรุงร่างกายให้มีมีด้วย” ซย่าจื้อย่อตัวลงมาลูบมันบ้าง
“ได้ ข้าจะให้เจ้ากินของอร่อยด้วย” ทีนี้ก็ถึงตาซย่าหมิ่น
พวกเจ้าอย่ามาแตะตัวข้านะ! ลิ่นจื่อเชินอยากหนีจากอุ้งมือมารทั้งสามแต่ก็หนีไม่พ้น ต้องยอมปล่อยให้มือทั้งสามข้างนั้นลูบเอาๆ ทั้งตัว หน้าดำๆ บูดบึ้งราวกับกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนั้น
“เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่า วันนี้ได้ของติดมือกลับไปเยอะแยะเลย” ซย่าหมิ่นลุกขึ้นยืน มองตะกร้าไม้ไผ่สามใบที่ใส่สมุนไพรจนเต็ม แล้วสะพายใบหนึ่งขึ้นหลังอย่างอารมณ์ดี
น้องชายน้องสาวแบ่งกันสะพายคนละใบ เตรียมตัวลงเขา
สามคนพี่น้องเดินออกมาได้แค่ไม่กี่ก้าว ซย่าจื้อก็ร้องอ๊ะ เพิ่งนึกออกว่าตะกร้าที่สะพายอยู่ไม่เหลือที่ว่างจะใส่แมวแล้ว เขาหันไปมอง เช่นเดียวกับซย่าหมิ่นและซย่าเจวี้ยน
“มีมี รีบตามมาสิ หรือว่าเจ้าอยากอยู่จับหนูกินบนนี้” ซย่าหมิ่นร้องบอกแมวดำที่อยู่ข้างหลังตัวเดียว
ห้ามพูดถึงหนูให้ข้าได้ยินอีกนะ! ลิ่นจื่อเชินรู้สึกขัดเคืองนัยน์ตากับรอยยิ้มของสตรีผู้นี้เหลือเกิน เขาถลึงตาใส่นาง ก่อนจะย่างเท้าอย่างหยิ่งผยอง ไม่ทันไรก็เดินมาตรงหน้าทั้งสามคน
เขาสลับเท้าอย่างว่องไว ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าหลังจากออกมาข้างนอกทั้งวัน ตอนนี้เขาอยากกลับบ้านหลังนั้นจนแทบทนรอไม่ไหว
ทั้งสามรีบกลับบ้านทันก่อนฟ้าจะมืด แต่ละคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ซย่าหมิ่นไล่น้องๆ ไปอาบน้ำ ส่วนตนเองเอาโสมออกมาให้ป้าอิ๋นฮวาดู บอกว่าเรื่องค่าเล่าเรียนของซย่าจื้อมีทางออกแล้ว ความยินดีปรีดาสะท้อนอยู่บนใบหน้าของนางอย่างปิดไม่มิด
จากนั้นนางก็ล้วงเศษเงินที่ยังมีออกมา บอกกับหญิงสูงวัยว่า “ขุดโสมเหง้านี้ได้ วันนี้ทุกคนกินของดีหน่อยแล้วกัน อาจื้อกับเจวี้ยนเอ๋อร์บอกว่าอยากกินปลาทอดกรอบ เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ชอบกินปลา ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อปลาตัวโตๆ มาทำปลาทอดมากินกันให้อร่อยไปเลย”
ป้าอิ๋นฮวารับเงินแล้วเดินออกไปซื้อปลาอย่างดีอกดีใจ
หลังจากนั้นซย่าหมิ่นเห็นน้องชายน้องสาวอาบน้ำเสร็จแล้วก็ตั้งใจจะไปอาบบ้าง แต่เหลือบไปเห็นเข้าเสียก่อนว่าขนดำขลับเป็นมันของมีมีที่กำลังสัปหงกเปรอะเปื้อนเศษดิน จึงอุ้มมันขึ้นมา “มีมี ข้าจะอาบน้ำให้เจ้าก่อนแล้วกัน”
ตอนแรกลิ่นจื่อเชินตาใกล้ปิดเต็มที แต่พอได้ยินคำว่า ‘อาบน้ำ’ เท่านั้น ดวงตาสีเขียวก็เบิกโพลงจนแทบระเบิด
“เมี้ยวๆๆๆ” ข้าไม่อาบน้ำ! ไม่อาบเด็ดขาด
ต้องย้ำกันก่อนว่าแต่เดิมลิ่นจื่อเชินเป็นคนรักสะอาด จะต้องอาบน้ำทุกวัน แต่พอกลายเป็นแมว สัญชาตญาณทำให้เขาขยาดคำว่า ‘อาบน้ำ’ การโดนน้ำเปลี่ยนเป็นเรื่องน่ากลัวสุดแสน
แต่ซย่าหมิ่นไม่สนว่าเขาจะยอมหรือไม่ จับเข้าห้องอาบน้ำให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
สตรีกักขฬะอย่างเจ้า ข้าจะไม่ละเว้นเด็ดขาด…ลิ่นจื่อเชินเบี่ยงหัวแมวของตนหนี แยกเขี้ยวพลางออกแรงดิ้นสุดชีวิต ทันทีที่เท้าหลังทั้งสองข้างแตะโดนน้ำก็รีบกางเล็บพร้อมตะเกียกตะกายเพื่อสลัดนางให้หลุด
ซย่าหมิ่นร้องด้วยความเจ็บเมื่อถูกข่วนเข้า แล้วปล่อยมือจากแมวดำ
นางได้แผลหรือ ความรู้สึกผิดวิ่งเข้ามาในใจเป็นอันดับแรก แต่แล้วพอคิดว่านางจะต้องเอ็ดตะโรใส่เขาอย่างฉุนเฉียวก็เปลี่ยนมามองนางอย่างระแวดระวัง
หญิงสาวมองมือตนเองก็เห็นว่าแค่เป็นรอยแดงขึ้นมาเท่านั้น “นึกว่าจะถลอกแล้วเสียอีก ดีนะที่ก่อนหน้านี้ข้าตัดเล็บให้เจ้ากันไว้ ไม่เป็นไรๆ…” พูดจบก็คลี่ยิ้มให้แมวดำ “มีมี มาอาบน้ำมา ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าจมน้ำหรอก เชื่อข้านะ”
ลิ่นจื่อเชินมึนเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนางครู่หนึ่ง ซย่าหมิ่นรีบฉวยโอกาสอุ้มเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกอ๋องหนุ่มยังคิดจะดิ้นต่อ แต่พอนึกได้ว่าตอนตัดเล็บให้ นางก็ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บ จึงยอมอยู่นิ่งในที่สุด
ซย่าหมิ่นวางแมวลงในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน ใช้สบู่ฟอกขนสีดำแล้วขัดถูให้อย่างเบามือ
ถึงอย่างไรลิ่นจื่อเชินก็ยังไม่วายกลัวอยู่ดี ครึ่งร่างที่แช่อยู่ในน้ำอุ่นทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย จึงกระโดดขึ้นจากอ่างไปเกาะบนร่างนาง
คราวนี้ยิ่งเลวร้ายหนัก เพราะเขาดันเกาะตรงอกนางเข้าให้
“มีมีเป็นแมวลามกจริงๆ” หญิงสาวมองแมวดำที่เกาะหน้าอกตนเองแน่นพลางล้อยิ้มๆ
“เมี้ยวๆๆๆ” ไม่ใช่นะ ไม่ได้ลามกเสียหน่อย! ลิ่นจื่อเชินพยายามอธิบาย อยากเอาอุ้งเท้าหน้าออกจากอกอิ่มแต่ก็กลัวจะร่วงตกน้ำ
“มีมี เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะ ข้าไม่ทำให้เจ้าสำลักน้ำหรอก…” นางจับแมวดำขึ้นมาอุ้ม แล้วค่อยๆ หย่อนลงอ่างน้ำอีกครั้ง วักน้ำล้างตัวแล้วนวดต้นคอให้
ลิ่นจื่อเชินค่อยๆ สงบลง นางลงน้ำหนักมือกำลังสบาย ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาก
เนื่องจากนางก้มตัวลงมาอาบน้ำให้เขาจากบนม้านั่งเตี้ยๆ อ๋องหนุ่มจึงเห็นรอยเปียกบนเนินอกที่ตนเกาะแน่นเมื่อครู่ได้ถนัดตา ตลอดจนเส้นโค้งเว้าของโนมเนื้อ พอคิดถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่แนบชิดตนเมื่อครู่ ใบหน้าก็ร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที
ลิ่นจื่อเชินไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าหลิ่นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาก็อายเป็นเหมือนกัน
“มีมี ต้องล้างอุ้งเท้าด้วยนะ…” ซย่าหมิ่นบอกยิ้มๆ พลางนวดคลึงอุ้งเท้าแมว “อุ้งเท้าเจ้าน่ารักจังเลย เป็นสีชมพูเชียว”
เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าเสียงของนางฟังแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้มเหลือเกิน ลิ่นจื่อเชินอยากอุดหูตนเองให้รู้แล้วรู้รอด
“มีมีเป็นเด็กดีจริง” ซย่าหมิ่นชมเปาะที่มันยอมให้นางจับอาบน้ำอย่างว่าง่าย ไอร้อนจากในอ่างกระจายฟุ้งอยู่ในดวงตา นางอดไม่อยู่ที่จะระบายความในใจให้แมวตรงหน้าฟัง
“ข้าดีใจมากจริงๆ ที่วันนี้ขุดเจอโสม แต่พอถึงวันพรุ่งนี้ข้าก็ต้องกลับมาอยู่กับความจริงแล้ว ทำเป็นพูดจาใหญ่โตว่าจะส่งทุกคนเรียนหนังสือ อีกทั้งจะทำให้ร้านยาก่วงจี้กลับมาเปิดกิจการใหม่ ข้าทำได้จริงหรือ เฮ้อ ข้าเป็นพี่สาวคนโตนะ จะพูดจาท้อแท้เช่นนี้ได้อย่างไร ต้องพยายามให้มากกว่านี้ต่างหากเล่า…แต่พูดจริงๆ นะ ถ้ามีเงินสักก้อนหล่นลงมาจากฟ้าล่ะก็ ข้าคงไม่ต้องมัวแต่กลุ้มใจเรื่องกินเรื่องอยู่ แล้วแสดงความสามารถทางการแพทย์ของตนเองได้เต็มที่…แปลกจริง มีมี เหตุใดข้าถึงพูดเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังได้นะ เจ้าฟังรู้เรื่องหรือ”
ดวงตาสีเขียวจ้องมองนางเขม็ง ฟังนางพูดจนจบ
ไม่นานนักจอมซนทั้งสองที่เพิ่งตื่นจากนอนกลางวันได้ยินว่ามีมีกำลังอาบน้ำอยู่ก็วิ่งมาที่ห้องอาบน้ำ เห็นแมวดำเพิ่งอาบน้ำเสร็จพอดี ขนเปียกม่อล่อกม่อแล่กไปทั้งตัว ขณะที่ดวงตาเป็นประกายวาววับ
“มีมี ขนเปียกเช่นนี้เดี๋ยวไม่สบาย พวกเราจะช่วยเช็ดตัวให้นะ”
“เช็ดตัวๆๆๆ”
ลิ่นจื่อเชินขนลุกเกรียว พอจะวิ่งหนีก็ถูกซย่าเจวี้ยนที่เดินเข้ามาในห้องอาบน้ำจับตัวไว้ได้ก่อน ผ้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งคลุมลงมาบนร่าง จากนั้นมือเล็กๆ สองคู่ก็ถูไปตามตัว เขาทำได้แค่ร้องเมี้ยวๆๆๆ เป็นการประท้วง เสียงหัวเราะสดใสของเด็กดังเข้าหูไม่ขาดสาย สลับกับเสียงของซย่าเจวี้ยนที่คอยบอกหลานๆ ไม่ให้มือหนักเกินไปนัก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มีแต่ความจำยอมและความอ่อนใจ
“คุณหนูหมิ่น ตอนแรกข้าตั้งใจจะซื้อปลาตัวใหญ่หนึ่งตัว แต่ไปตอนนี้ตลาดปลาเหลือแต่ปลาตัวเล็กแล้ว เลยซื้อมาทั้งหมดหกตัว กินกันคนละตัวกำลังดี” ป้าอิ๋นฮวาอธิบาย
“แค่นี้ก็พอกินแล้วล่ะ ไว้คราวหน้าค่อยซื้อปลาตัวใหญ่มาทำกินกัน” ซย่าหมิ่นรับปลามาทอดกรอบ กลิ่นหอมฉุยลอยออกมากระตุ้นความอยากอาหารจนท้องร้อง
“ปลานี่นา ข้าจะกินปลา”
“ข้าก็จะกินปลา”
เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์เห็นปลาบนโต๊ะก็ร่ำร้องว่าจะกินอย่างดีอกดีใจ
“อย่าใจร้อน รอให้ท่านอาใหญ่ทอดเสร็จก่อนค่อยกินด้วยกัน” ป้าอิ๋นฮวาบอก
ลิ่นจื่อเชินเองก็อยากกินปลาทอดกรอบ เขามองชามว่างๆ ของตนเองที่อยู่ตรงมุมโต๊ะ ซย่าหมิ่นบอกว่าจะให้เขากินของอร่อย แสดงว่าเขาจะได้กินปลาเหมือนกันใช่หรือไม่
ร่างสีดำปลอดวิ่งเข้าไปในครัวอย่างอดใจรอไม่ไหวเพื่อดูว่าซย่าหมิ่นได้เตรียมปลาไว้ให้เขากินหรือยัง แต่กลับได้เห็นนางตักปลาตัวหนึ่งขึ้นจากหม้อต้ม
ซย่าเจวี้ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่สาวถามอย่างงุนงง “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องต้มปลาแยกอีกตัวล่ะ”
ซย่าหมิ่นอธิบายว่า “ปลาตัวนี้ของมีมี อาหารที่พวกเรากินเค็มเกินไปสำหรับแมว กินมากๆ ไม่ดีต่อไต ข้าเลยต้มปลารสอ่อนๆ ให้มีมีกินโดยเฉพาะ”
“อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าพี่ใหญ่ถึงได้ใส่ใจทำอาหารให้มีมีเป็นพิเศษ พี่ใหญ่รักมีมีจังเลย”
ลิ่นจื่อเชินเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าอาหารที่เขาบ่นว่ารสอ่อนจืดชืดนั้น ซย่าหมิ่นตั้งใจปรุงให้เป็นพิเศษสำหรับร่างแมวของเขาโดยเฉพาะ
ครู่หนึ่งทุกคนก็มานั่งล้อมวงกินข้าวที่โต๊ะอย่างพร้อมหน้า
ซย่าหมิ่นคีบกับข้าวให้หลานทั้งสอง “พวกเจ้าสองคนห้ามกินแต่ปลานะ จะต้องกินผักเข้าไปมากๆ ด้วย อย่าเลือกกินเป็นอันขาด”
“ท่านอาใหญ่ ปลาของท่านเล่าขอรับ” เสียงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย ทุกคนมีปลาหนึ่งตัวใส่จานวางอยู่ตรงหน้า ยกเว้นแต่ท่านอาใหญ่ของเขาคนเดียว
ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนได้ยินดังนั้นก็หันมามองพี่สาว
“ป้าซื้อปลามาหกตัวชัดๆ เหตุใดถึงหายไปตัวหนึ่งเล่า” ป้าอิ๋นฮวาถามอย่างงุนงง
“หรือว่าให้มี…”
ซย่าเจวี้ยนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกพี่สาวเอ่ยแทรก “ข้าหิวจนทนไม่ไหว ตอนอยู่ในครัวเลยกินส่วนของตนเองไปหมดแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปคุมหลานๆ กินข้าว “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต้องกินผักด้วย กินเข้าไปเดี๋ยวนี้…”
ลิ่นจื่อเชินนั่งอยู่ใต้โต๊ะ มองเนื้อปลารสอ่อนๆ ที่เลาะก้างออกหมดแล้วในชาม หัวใจเจ็บแปลบอย่างน่าประหลาด
นางไม่ได้แอบกินก่อนหรอก แต่ยกปลาของตนเองให้เขา แม้แต่แมวอย่างเขายังมีปลากิน
เขานึกถึงตอนแรกสุดที่ตนเองเพิ่งมาอยู่บ้านนี้ ซย่าหมิ่นเคยบอกว่าเวลาไม่มีอะไรกินจะให้เขาไปจับหนูมากินเอง แต่นี่ก็ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว นางไม่เคยปล่อยให้เขาหิวเลยสักครั้ง นึกถึงสิ่งที่นางทำให้คนบ้านนี้ นางมักจะทุ่มเททั้งหมดที่มีให้น้องชาย น้องสาว แล้วก็หลานๆ เสมอ ขนาดตัวเขา นางยังรักและปกป้องเหมือนเป็นคนในครอบครัว นึกถึงสีหน้ายามนางระบายความในใจให้เขาฟังตอนอาบน้ำ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าสตรีที่ดูแข็งแกร่ง ภายในใจจะมีด้านที่ทุกข์ทนและอ่อนแอเช่นกัน…
พอได้เข้าใจสตรีผู้นี้ ได้เห็นแง่มุมอื่นของนาง ลิ่นจื่อเชินก็รู้ว่าเขาชิงชังนางไม่ลงมาตั้งนานแล้ว
นอกจากลิ่นจื่อเชินจะทำใจเกลียดซย่าหมิ่นไม่ลง สายตาของเขายังเฝ้าแต่มองตามนาง จ้องมองร่างของนาง ฟังเสียงนาง
อ๋องหนุ่มรู้สึกว่าตนเองจะต้องผิดปกติแน่ๆ เขาจดจ่ออยู่กับนางถึงเพียงนี้เพราะจงรักภักดีตามประสาแมวหรืออย่างไรนะ
ไม่ใช่ ว่าไปแล้วนางเป็นทาสแมว ต้องเป็นฝ่ายจงรักภักดีต่อเขาถึงจะถูก ลิ่นจื่อเชินบอกตนเองอย่างนั้น
ตอนกลางคืนซย่าหมิ่นมักจะเล่านิทานให้หลานๆ ฟัง ก่อนหน้านี้ลิ่นจื่อเชินฟังอย่างเหยียดหยาม เจ้าหญิงหิมะขาวเอย ลูกหมูสามตัวเอย มีแต่นิทานประหลาดพิสดารทั้งนั้น โง่เง่าเหลือเกิน แต่ตอนนี้เขา…กลับชอบฟังนิทานของนางไปเสียแล้ว
ซย่าหมิ่นเล่านิทานจบ เห็นหลานๆ ยังนอนตาใสแจ๋ว ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงก็ถามอย่างอ่อนใจ “เล่านิทานจนจบแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงยังไม่นอนอีก”
เด็กทั้งสองเอื้อมมือออกไปตบตัวมีมีที่นอนอยู่ตรงมุมเตียง
“ท่านอาใหญ่ มีมีกระโดดขึ้นมาบนเตียงล่ะ”
ซย่าหมิ่นหันไปมอง เห็นแมวดำนอนอยู่ตรงนั้น ค่อยๆ เลียขนตนเองอย่างเกียจคร้าน “มีมี ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้นอนในรังของเจ้า ห้ามขึ้นมาบนเตียง”
เขาไม่ได้โง่เสียหน่อย มีเตียงนุ่มๆ เรื่องอะไรจะไปนอนลังกระดาษ ไม่นอนเตียง ลิ่นจื่อเชินเงยหน้าขึ้นมาปรายตามองนาง ซย่าหมิ่นสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากำลังถูกแมวมองเหยียด
“ท่านอาใหญ่ มีมีอยากนอนกับพวกเรา”
“นอนด้วยกันๆๆๆ”
ยังไม่ทันที่ซย่าหมิ่นจะร้องห้ามว่าไม่ได้ มีมีก็ถูกเสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์อุ้มเข้ามานอนในผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว
แมวดำทำหน้าขัดขืนทว่าก็อ่อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ซย่าหมิ่นเห็นแล้วนึกขัน นางรู้สึกแต่แรกแล้วว่ามีมีฉลาดแสนรู้มาก แต่เพิ่งจะเคยได้เห็นความอ่อนโยนของมันก็ตอนนี้
ถูกต้อง มันเป็นแมวอ่อนโยน แม้จะชอบทำท่าเย่อหยิ่ง ไม่แยแส ไม่ชอบอ้อนคน เวลาเด็กๆ ลูบตัวมันแรง มันก็จะถลึงตาใส่ เรียกว่าเป็นแมวที่ไม่น่าเอ็นดูเอาเสียเลย แต่ไม่ว่าเด็กๆ จะเล่นซนเพียงใด มันก็ไม่เคยกางเล็บใส่หรือกัดพวกเขาเลย อย่างมากก็แค่เบี่ยงตัวหลบอย่างเหนื่อยใจเท่านั้น เห็นป้าอิ๋นฮวาเล่าว่าเวลาหลานๆ ไปเล่นกันตรงหลังบ้านมันก็จะคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ซ้ำยังจับตามองอย่างเคร่งครัดราวกับเป็นแม่นมก็ไม่ปาน มีอยู่ครั้งหนึ่งเด็กๆ คิดจะแอบหนีออกไปข้างนอก มันก็แกล้งเอาตัวถูออดอ้อนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหลานๆ จากการหนีออกไปเที่ยว
ซย่าหมิ่นรู้สึกจากใจจริงว่าดีเหลือเกินที่มีมีมาอยู่ด้วย แม้มันจะชอบวางทางเย่อหยิ่งสูงส่ง แต่ก็เป็นแมวที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาเถิด ข้าอาบน้ำให้เจ้าแล้วนี่ ตัวสะอาดก็ไม่เป็นไรหรอก” นางกล่าวยิ้มๆ ยอมประนีประนอมอย่างรวดเร็ว
ข้าเลียขนตนเองทุกวัน สะอาดออกจะตายไป! ลิ่นจื่อเชินถลึงตาใส่นางอย่างดุดันพลางนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่บนเตียงขณะถูกมือเล็กๆ สองคู่ลูบไล้
รอจนหลานๆ หลับสนิทแล้ว ซย่าหมิ่นก็เตรียมตัวเข้านอนบ้าง นางเหลือตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นเตียง เอนตัวนอนตะแคงตรงริมนอกสุด พอกำลังจะปิดตาลงก็เห็นเงาดำๆ ขยับยุกยิก ยังนึกว่าอะไรเสียอีก ที่แท้ก็มีมีที่พยายามดิ้นให้หลุดจากมือของเด็กๆ เลยโดดแผล็วออกมา ดวงตาสีเขียวประสานเข้ากับสายตาของนางเข้าพอดี
ซย่าหมิ่นมองแมวดำพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “มีมี มานี่”
ดวงตาสีเขียวของลิ่นจื่อเชินเป็นประกายแวววามเหมือนต้องมนตร์สะกดของหญิงงามบนเตียง เขาเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย ก่อนจะหาตำแหน่งเหมาะๆ นอนขดตัวข้างกายนาง
หญิงสาวลูบไล้ขนอ่อนนุ่มสีดำ “มีมี ดีจริงที่มีเจ้า”
ลิ่นจื่อเชินไม่ชอบถูกลูบตัว เนื่องจากพวกเด็กๆ มักควบคุมน้ำหนักมือไม่เป็นและลูบดะไปทั่ว ถึงไม่ชอบเขาก็ได้แต่ทน ทว่าการลูบไล้ของนางเป็นสัมผัสที่เพลิดเพลินอย่างยิ่ง นางลูบตัวเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยน พึมพำว่าดีจริงที่มีเขา ทำให้บางซอกมุมในใจเขาอ่อนนุ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“มีมี นอนเถิด” ซย่าหมิ่นปิดตาลงอย่างง่วงงุน
ลิ่นจื่อเชินไม่ได้หลับตามไปด้วย แต่ใช้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องมองใบหน้าของนาง ส่วนต่างๆ บนใบหน้าดูอ่อนหวานนุ่มนวลเป็นพิเศษยามหลับใหล สุดท้ายก็หยุดสายตาลงกับใบหูขวาที่ขาวผ่องราวกับหิมะ เพ่งพิศอยู่อย่างนั้น เหมือนชอบใบหูของนางเป็นพิเศษ
นานทีเดียวกว่าที่เปลือกตาจะเริ่มหนัก เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ซย่าหมิ่นให้มากขึ้น จนดูคล้ายนอนแอบอิงหลับไปด้วยกัน
ทุกวันลิ่นจื่อเชินจะต้องออกไปสืบข่าวข้างนอก จนได้รู้จักพ่อค้าที่มาจากเจียงซูคนหนึ่ง ตอนที่พ่อค้าคนนั้นเห็นเขาแอบอยู่ใต้โต๊ะกลับไม่ไล่ตะเพิดเหมือนเวลาคนอื่นเห็นแมวดำ อีกทั้งยังเอาอาหารมาป้อนให้เขากินซึ่งล้วนแต่เป็นเนื้อเป็นปลาดีๆ ที่ไม่มีทางได้กินในบ้านสกุลซย่าทั้งสิ้น แต่เขากลับรู้สึกว่าอาหารเหล่านั้นเค็มเหลือใจ เทียบกับอาหารที่ซย่าหมิ่นทำไม่ได้เลย สรุปก็คือของที่นางทำอร่อยกว่า
เข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวพ่อค้าเจียงซูคนนี้ได้สักพัก เขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายจะขนสินค้าไปเมืองหลวง เพียงแต่ยังไม่รู้กำหนด ในที่สุดวันนี้ก็แน่ใจว่าพ่อค้าจะออกเดินทางไปเมืองหลวงพรุ่งนี้ ข่าวที่สืบได้สร้างความยินดีปรีดาให้ลิ่นจื่อเชินอย่างยิ่ง เขาจะแอบขึ้นรถไปด้วย ต่อให้ถูกเจอก็ไม่เป็นไร เพราะพ่อค้าคนนี้ชอบเขามาก เชื่อว่าคงเต็มใจพาเขาไปด้วย เมื่อไปถึงเมืองหลวง เขาก็จะสามารถกลับเข้าร่างตนเองได้แล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งที่เป็นข่าวดีออกอย่างนี้ ซอกมุมหนึ่งในใจกลับห่อเหี่ยวอย่างประหลาด
เขากำลังจะไปจากบ้านสกุลซย่า กำลังจะจากลาครอบครัวนี้…
ไม่สิ แต่เดิมเขาก็แค่มาพักอยู่ชั่วคราว ไม่มีอะไรต้องอาลัยเสียหน่อย เขาบอกตนเอง พยายามลบความรู้สึกหม่นๆ ในใจทิ้งไป
หลังสืบข่าวเสร็จพ่อค้าเจียงซูผู้นั้นก็ทำท่าจะลุกออกไป ลิ่นจื่อเชินตั้งใจจะตามไปด้วย เพราะเดินออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมคนผู้นี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่พลันเห็นคู่สามีภรรยาแต่งกายหรูหราเดินเข้ามานั่งเสียก่อน ข้างหลังมีบ่าวไพร่ติดตามมาเป็นขบวน เขาเลยพลาดโอกาสเดินออกไป ต้องกลับมาแอบอยู่ใต้โต๊ะเหมือนเดิม
“ตกลงว่านางเด็กซย่าหมิ่นนั่นความจำเสื่อมจริงหรือแกล้งความจำเสื่อมกันแน่ นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าก่อนพี่ชายตายได้เอาตำรับยาที่พ่อทิ้งไว้ให้ไปซ่อนไว้ที่ใด”
ได้ยินคำว่า ‘ซย่าหมิ่น’ ลิ่นจื่อเชินก็ทำหูผึ่งพร้อมแอบมุดออกจากใต้โต๊ะมาดู เป็นป้าของซย่าหมิ่น ซย่าซื่อผู้กุมอำนาจในร้านยาเหรินเต๋อจริงๆ ด้วย ส่วนบุรุษที่นั่งข้างกันเขาไม่รู้จัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นสามีของนาง
“เรื่องความจำเสื่อมนี้จะแกล้งกันได้อย่างไร เด็กผู้นั้นถูกรถม้าชนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ใครก็รู้กันทั้งนั้น เคยได้ยินว่าคนบางคนพอได้กลับจากประตูผีก็เปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ ซ้ำยังลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้น เจ้าลองคิดดูสิ ตอนได้เจอพวกเราครั้งแรกหลังจากเกิดเรื่อง นางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยและจำพวกเราไม่ได้ไม่ใช่หรือ ดังนั้นถ้าจะลืมว่าตำรับยาซ่อนอยู่ที่ใดก็เป็นไปได้สูง” ชายผู้นี้เป็นสามีของซย่าซื่อจริงๆ นามว่าหลี่คัง เปิดร้านรวงกิจการดีหลายร้านในเมืองเฉาหยาง นับเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยอย่างยิ่งของเมืองนี้
ได้ยินสามีพูดดังนั้น ซย่าซื่อก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “พอความจำเสื่อมก็ปัญญาอ่อนเสียด้วย ร้านยาก่วงจี้เสียชื่อจนกู้กลับคืนมาไม่ได้แล้วแท้ๆ นางเอาอะไรมาคิดว่าตนเองจะทำให้ร้านกลับมาเปิดกิจการใหม่ได้ ช่างไม่รู้จักประมาณตัว ออกไปตั้งแผงรักษาโรคทุกวันราวกับคนเสียสติ ให้ชาวบ้านเขาหัวเราะเอาเปล่าๆ”
“จริงของเจ้า นางมันไม่รู้จักประมาณตัว ไว้เดี๋ยวพอรู้ว่าไม่มีปัญญาจะทำเมื่อไรก็ล้มเลิกความคิดเองนั่นล่ะ…” หลี่คังเป็นพวกกลัวภรรยา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คล้อยตามภรรยาหมด เขาพูดแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามอย่างฉงน “ช้าก่อน ในเมื่อชื่อเสียงร้านยาก่วงจี้เสียหายถึงเพียงนั้น เจ้าจะยังอยากได้ตำรับยามาด้วยเหตุใดเล่า”
“ตำรับยาพวกนั้นเป็นของที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ สูงค่าอย่างยิ่ง แค่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อเอาออกมาขาย รับรองว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมื่อถึงเวลานั้นใครจะไปรู้เล่าว่านี่คือยาตำรับร้านยาก่วงจี้” ซย่าซื่อปรายตามองสามี “ที่ข้าอยากได้ตำรับยาของร้านยาก่วงจี้ก็เพราะชุดยาต้มของร้านยาเหรินเต๋อขายไม่ดีพอไม่ใช่หรือไร หมอที่ท่านหามาคิดค้นตำรับยามีแต่ท่าดีทีเหลวทั้งนั้น”
แม้กิจการของร้านยาเหรินเต๋อจะดีเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองเฉาหยาง แต่ก็สู้ความยิ่งใหญ่ของร้านยาก่วงจี้สมัยที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ลำพังแค่ยอดขายชุดยาต้มก็เทียบกันไม่ติดแล้ว นางอยากให้กิจการของร้านยาเหรินเต๋อรุ่งเรืองยิ่งกว่าร้านยาก่วงจี้และสร้างกำไรให้ได้มากกว่านี้
หลี่คังถูกภรรยาเอ็ดก็ได้แต่ลูบจมูก
“ตำรับยาที่พ่อของนางทิ้งไว้หากไม่อยู่ในร้านยาก่วงจี้ก็ต้องอยู่ในบ้านของพวกนาง ไม่อย่างนั้นจะเอาไปเก็บไว้ที่ใดได้เล่า” ซย่าซื่อมุ่งมั่นจะเอาตำรับยามาครองให้ได้ พูดต่อไปอย่างเคร่งเครียด “เมื่อก่อนข้าเคยส่งคนไปค้นบ้านตอนที่พวกนั้นไม่อยู่ คราวก่อนที่นางเด็กนั่นมาขอยืมเงิน ข้าตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมนางให้แต่งงาน แล้วก็ให้อาจื้อเรียนทำการค้า ข้าจะได้อยู่ในฐานะผู้ดูแล แล้วครอบครองร้านยากับบ้านเพื่อจะได้ค้นหาตำรับยาได้สะดวก แต่นางเด็กนั่นปฏิเสธว่าไม่คิดจะแต่งงาน ไม่ให้ข้าเป็นห่วงนางเรื่องนี้ มันหัวไวขึ้นมาก ไม่จัดการง่ายเหมือนเมื่อก่อนที่ข้าสามารถบังคับให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกแล้ว…”
หลี่คังเสนอความคิด “ถ้าเกลี้ยกล่อมให้นางแต่งงานไม่ได้ ก็หาบุรุษสักคนมาตีสนิทกับนาง ทำให้นางหลงหน้ามืดตามัวจนเสียชื่อเสียง นางจะยังไม่ยอมแต่งอีกหรือ ข้ารู้จักพ่อค้าม่ายที่อยากแต่งงานใหม่อยู่ผู้หนึ่ง เด็กซย่าหมิ่นหน้าตาดี พ่อค้านั่นน่าจะยินดีรับเลี้ยงดูซย่าเจวี้ยนกับเด็กสองคนด้วยหรอก ส่วนซย่าจื้อในเมื่อชอบเรียนหนังสือ ส่งไปเรียนในเมืองหลวงเสียก็สิ้นเรื่อง เมื่อถึงเวลานั้น ซย่าหมิ่นออกเรือน จะหอบบ้านหอบร้านไปด้วยได้อย่างไร ซย่าจื้อก็อยู่ไกลบ้าน ต้องอาศัยญาติผู้ใหญ่อย่างพวกเราช่วยดูแลแทนอยู่แล้ว…”
หลี่คังงัดเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของพ่อค้าออกมาใช้อย่างเต็มที่กับแผนการนี้
ซย่าซื่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปจัดการเถิด ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี…”
ลิ่นจื่อเชินที่อยู่ใต้โต๊ะได้ยินหมดทุกอย่าง เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขนพองไปทั้งตัวด้วยความโกรธ คนต่ำช้าสองคนนี้วางแผนจะทำให้ชื่อเสียงของซย่าหมิ่นด่างพร้อย นางจะได้แต่งงาน จากนั้นตนเองก็จะเข้าไปยึดร้านกับบ้านของนางเพื่อค้นหาตำรับยาของร้านยาก่วงจี้ เอาไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อออกวางขายใหม่ ฝันไปเถิด!
โดยไม่รู้ตัว ลิ่นจื่อเชินเกิดความรู้สึกอยากปกป้องคนสกุลซย่า ไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแก
แน่นอนว่าเขายังไม่ยอมรับ เขาบอกกับตนเองว่าบ้านสกุลซย่าคืออาณาเขตของเขา ส่วนคนในบ้านทั้งหมดก็เป็นทาสแมวของเขา ปล่อยให้คนอื่นมารังแกทาสแมวของตนเองก็เท่ากับให้คนอื่นเหยียบหัวเขาชัดๆ ยิ่งกับซย่าหมิ่นด้วยแล้วยิ่งแตะต้องไม่ได้!
จากนั้นเขาก็นึกออกทันทีว่าวันรุ่งขึ้นตนจะเดินทางกลับเมืองหลวง เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เขาต้องรีบเตือนซย่าหมิ่นโดยเร็ว
แมวดำออกจากใต้โต๊ะแล้ววิ่งผ่านห้องโถงของโรงเตี๊ยมโดยไม่สนใจว่าจะถูกเห็น ลูกค้ากับเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกอาหารออกมาตกใจไปตามๆ กัน เสียงก่นด่าดังไม่ขาดหู
“แมวดำมาจากที่ใดน่ะ!”
“เร็วเข้า ไล่มันออกไป!”
หลังออกจากโรงเตี๊ยมเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปหาซย่าหมิ่นในอึดใจเดียว แต่พอไปถึงริมถนนที่นางตั้งแผงประจำกลับพบว่านางไม่อยู่ เขาเลยต้องวิ่งกลับบ้านสกุลซย่า เห็นแต่ป้าอิ๋นฮวากำลังทำงานเย็บปักอยู่ในห้องโถง ลองวิ่งไปดูที่ห้องของซย่าหมิ่นก็พบว่าไม่อยู่อีก ทีนี้เขาวิ่งไปที่ห้องเด็กๆ พบว่าซย่าเจวี้ยนกำลังนอนกลางวันอยู่กับหลานๆ แต่ไม่เห็นซย่าหมิ่น เวลาอย่างนี้นางอยู่ที่ใดได้นะ
หลังจากวิ่งหาอยู่หลายห้องเขาก็กลับมาเจอป้าอิ๋นฮวา หญิงสูงวัยเห็นเขาวิ่งไปวิ่งมาเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ก็ก้มตัวลงมาถาม “มีมี เจ้าหาอะไรอยู่หรือ”
“เมี้ยวๆๆๆ” ลิ่นจื่อเชินบอกว่าเขากำลังตามหาซย่าหมิ่น แต่เสียงที่เปล่งออกมามีแค่เสียงร้องของแมว
ป้าอิ๋นฮวามองเขาอย่างอารี “เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์นอนอยู่ในห้องแน่ะ”
“เมี้ยวๆๆๆ” เขาไม่ได้หาตัวซนสองคนนั้น เขาหาซย่าหมิ่น!
“หาคุณหนูหมิ่นอยู่หรือ”
คราวนี้นางเดาถูก
“เมี้ยวๆ” ใช่ นางอยู่ที่ใด
“วันนี้คุณชายจื้อไม่ต้องไปเรียนหนังสือ คุณหนูหมิ่นเลยพาออกไปรักษาคนด้วยกัน เฮ้อ คุณหนูหมิ่นจิตใจดีเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีเงินจะจ่ายค่ารักษาก็ยังไป…” ป้าอิ๋นฮวายิ้มอีกครั้ง “มีมี เจ้านี่ชอบคุณหนูหมิ่นมากจริงๆ ติดนางแจเชียว”
เขาไม่ได้ชอบนางเสียหน่อย! ลิ่นจื่อเชินร้องเมี้ยวๆ ประท้วง จากนั้นเขาก็นึกได้ว่าจะมามัวเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับหญิงสูงวัยอยู่ด้วยเหตุใด เขาต้องไปหาซย่าหมิ่นให้เจอโดยเร็วแล้วเตือนนาง…ช้าก่อน ซย่าหมิ่นฟังภาษาแมวของเขารู้เรื่องที่ใดกันเล่า
จริงสิ ใช้วิธีเขียนเอาก็ได้นี่นา!
ชายหนุ่มวิ่งไปที่ห้องหนังสือของซย่าจื้อ เขารู้ว่าหมึกเอย พู่กันเอยอยู่ตรงที่ใด ซย่าหมิ่นไม่เคยกระเหม็ดกระแหม่กับเครื่องเขียนของน้องชาย ขอแค่เขาเขียนเตือนนางได้ก็เรียบร้อย!
บังเอิญเหลือเกินที่บนโต๊ะมีพู่กัน หมึก แล้วก็กระดาษวางอยู่พอดี เพราะซย่าจื้อวางทิ้งไว้ก่อนออกไปกับพี่สาว ลิ่นจื่อเชินกระโดดขึ้นโต๊ะ พอจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนก็พบว่าอุ้งเท้าหน้าอันปุกปุยทั้งสองข้างจับพู่กันไม่ได้ เรื่องจะจุ่มลงแต้มหมึกนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง สุดท้ายเขาเลยต้องใช้เท้าหน้าของตนเองจุ่มน้ำหมึกเขียนลงบนกระดาษ
ลายมืออะไรนี่ทุเรศทุรังที่สุด! เขามองตัวหนังสืออัปลักษณ์ที่เขียนด้วยอุ้งเท้าแมวของตนเอง แสนจะน่าเกลียดน่าชังผิดกับลายมือสวยงามในยามปกติของเขาโดยสิ้นเชิง
ช่างเถิด แค่เขียนได้ก็ดีแล้ว
กระดาษขาวที่อยู่บนโต๊ะมีจำกัด จะเขียนยาวเกินไปไม่ได้ เขียนแค่ประเด็นสำคัญแล้วกัน
‘ระวังซย่าซื่อ บุรุษ บังคับแต่งงาน กับดัก ตำรับยา’
ทั้งที่เป็นคำง่ายๆ ไม่กี่คำ แต่ลิ่นจื่อเชินต้องเขียนอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังต้องใช้เวลานาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเขียนเสร็จ
สุดท้ายเขายืนมองลายมือตนเอง ถึงจะไม่พอใจกับลายมืออัปลักษณ์ที่ใช้อุ้งเท้าแมวเขียน แต่อย่างน้อยก็ยังอ่านรู้เรื่อง…สตรีผู้นั้นน่าจะเข้าใจกระมัง
“ฮ่าๆ…”
เสียงหัวเราะของเด็กๆ ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ลิ่นจื่อเชินเพิ่งนึกออกว่าเด็กๆ น่าจะตื่นจากนอนกลางวันแล้ว หน้าต่างห้องหนังสือของซย่าจื้อมองออกไปเห็นลานหลังบ้าน เขามองซย่าเจวี้ยนกำลังเล่นตัวต่อไม้อยู่กับหลานทั้งสอง
ลิ่นจื่อเชินขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างเพื่อมองให้ชัดขึ้น เขามองเด็กสองคนเล่นกันอยู่นานโดยไม่รู้ตัว อดคิดไม่ได้ว่าจอมซนคู่นี้โตขึ้นจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
ไม่สิ เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังจะกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว เรื่องของคนบ้านนี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย…
“ว้าย…งู…”
เด็กสาวหวีดร้องเสียงดัง ลิ่นจื่อเชินเห็นสามคนอาหลานนั่งอยู่บนพื้นหญ้าก็รีบกระโจนลงจากหน้าต่างโดยไม่ทันคิดอะไรทั้งสิ้น
งูตัวหนึ่งกำลังแลบลิ้นใส่ซย่าเจวี้ยนกับเด็กๆ อยู่ในพงหญ้าด้านหน้า ดูจากลวดลายฉูดฉาดสวยงามบนตัวก็รู้ได้ว่าเป็นงูพิษ บ้านนี้ไม่เคยมีงูมาก่อน ไม่รู้ว่ามันเลื้อยมาจากที่ใด
ซย่าเจวี้ยนจับมือหลานไว้คนละข้างแล้วออกวิ่ง แต่เพิ่งจะวิ่งได้ไม่กี่ก้าว เสียงเอ๋อร์ก็สะดุดล้มแล้วร้องไห้จ้า เด็กสาวหันกลับไปหมายจะอุ้มเขา ทว่างูพิษเลื้อยออกมาแล้วทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามาฉกกัด นางเห็นดังนั้นก็แข้งขาอ่อนจนขยับตัวไม่ได้ เฉี่ยวเอ๋อร์กอดอาหญิงร้องไห้เสียงดังลั่นด้วยความตกใจ ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความอลหม่าน
“เมี้ยว!” ลิ่นจื่อเชินกระโจนเข้าไปขวางหน้าทั้งสามคนไว้ในจังหวะนั้น แล้วส่งเสียงขู่คำรามใส่งูอย่างเกรี้ยวกราดด้วยท่าทางดุดันน่ากลัว เพื่อไล่สัตว์ร้ายให้ทั้งสาม
ออกไปห่างๆ เดี๋ยวนี้! ดวงตาสีเขียวจ้องมองงูด้วยประกายคมกริบ ขณะส่งเสียงขู่ไม่หยุด
งูพิษอ้าปากเตรียมพุ่งเข้ามาฉก ลิ่นจื่อเชินไม่ยอมแพ้ กระโจนเข้าไปกัดอีกฝ่ายบ้าง
ข้าจะกัดเจ้าให้ตายเลย! ไม่มีทางเสียล่ะที่เขาจะปล่อยให้งูตัวนี้ทำอันตรายทั้งสาม เขาอ้าปากฝังเขี้ยวลงบนลำตัวเรียวยาว โรมรันกับงูอย่างกล้าหาญ
เมื่อเห็นมีมีออกมาช่วยพวกตน ซย่าเจวี้ยนก็แข็งใจลุกขึ้นจากพื้น รีบจูงหลานทั้งสองหนีออกมาไกลๆ แล้วมองหากิ่งไม้บนพื้น “มีมี รอก่อนนะ ข้าจะหาท่อนไม้มาช่วยเจ้าตีงู”
“มีมี กัดมันให้ตายเลย!” เด็กๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ส่งเสียงตะโกนอยู่ห่างๆ
เสียงของทั้งสามยิ่งเพิ่มพละกำลังให้ลิ่นจื่อเชิน เขาออกแรงสะบัดหมายจะทึ้งร่างงูให้ขาด ในที่สุดหลังจากที่พันตูกันได้สักพัก งูพิษก็ตัวอ่อนปวกเปียก เหลือแค่ลมหายใจรวยริน
เขาชนะแล้ว!
ลิ่นจื่อเชินกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ไม่นึกเลยว่างูร้ายจะยังจู่โจมเขาอีกครั้งก่อนตาย
เขาถูกฉก!
แมวดำสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด เขาขย้ำร่างงูจนตายคาที่ จากนั้นตัวเขาเองก็ล้มลงไปบนพื้น เขาพบว่าตัวเองขยับเขยื้อนไม่ได้ ภาพตรงหน้าพร่ามัว ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ระงมของซย่าเจวี้ยนกับเด็กๆ
“มีมี อย่าตายนะ!”
“มีมี ขอร้องล่ะ เจ้าจะตายไม่ได้นะ!”
“มีมี…”
เขา…จะตายแล้วหรือ
เขามันช่างโง่แท้ๆ พรุ่งนี้ก็จะได้เดินทางไปเมืองหลวงอยู่แล้วกลับต้องมาถูกงูพิษกัดตายเพื่อช่วยคนบ้านนี้…
ประโยคเยาะหยันตนเองดังขึ้นในหัวก่อนที่สติจะขาดหาย
บทที่สี่
ในวังหลวง บนเตียงหลังใหญ่แบบสี่เสาที่ขึงม่านแพรสีแดงเข้มโดยรอบ มีร่างของบุรุษผู้งดงามนอนอยู่
เขาคือลิ่นจื่อเชิน ตั้งแต่รถม้าตกหน้าผาในครานั้นเขาก็นอนไม่ได้สติมาถึงหนึ่งเดือน เหล่าแพทย์หลวงหมดปัญญาจะช่วยเหลือ จักรพรรดิมีคำสั่งให้นำตัวน้องชายเข้ามาดูแลในวังหลวงเพื่อประคองชีวิตเขา ใช้เห็ดหลิงจือกับโสมช่วยต่อลมหายใจ เนื่องจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หากไม่นับใบหน้าที่ซูบตอบไปเล็กน้อย เขาก็ดูไม่เหมือนคนป่วยแต่อย่างใด
ตำหนักในเวลานี้เงียบกริบ นอกจากข้าหลวงที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ในตำหนักก็มีเซียวหลงคอยดูลิ่นจื่อเชินอยู่คนเดียว จึงไม่มีเสียงใดให้ได้ยินทั้งสิ้น ภายในห้องจุดเครื่องหอมเอาไว้ เป็นเครื่องหอมหลงเสียนที่ลิ่นจื่อเชินโปรดปราน จักรพรรดิเป็นคนรับสั่งให้จุด ด้วยหวังว่าจะช่วยให้น้องชายฟื้นขึ้นมาเร็วขึ้น
กลิ่นหอมอันคุ้นเคยนี้ปลุกลิ่นจื่อเชินให้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ เขาปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เห็นม่านเพดานเตียงขึงอยู่เหนือศีรษะ ห้อยชายแพรโอบล้อมอยู่รอบกาย มองผ่านผ้าสีแดงเข้มเนื้อโปร่งบางออกไปเห็นข้างนอกได้รำไร ความคิดเพิ่งทำงานเอาตอนนี้ว่าตนอยู่ในวังหลวง
เขากำลังอยู่ในวังหลวง…เขากลับมาแล้วหรือ
ลิ่นจื่อเชินดึงมือทั้งสองข้างใต้ผ้าห่มออกมาดูอย่างตื่นเต้น ไม่ใช่อุ้งเท้าแมวที่ปกคลุมด้วยขนสีดำเป็นเงาอีกแล้ว แต่เป็นสิบนิ้วขาวเกลี้ยงเกลา หน้าเขา…เขายกมือสั่นระริกขึ้นลูบหน้าตนเองแล้วยิ่งลิงโลด จากนั้นเขาก็แหวกม่านแพรพยายามลุกลงจากเตียงไปดูให้แน่ใจว่าแท้ที่จริงตนเองไม่ได้ลงมาอยู่ในยมโลกหลังความตาย และทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพฝัน
ความเคลื่อนไหวของเขาทำให้เซียวหลงแตกตื่นทันที คนสนิทแหวกม่านแพรรวดเร็วกว่า พอเห็นว่าอีกฝ่ายฟื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตานองหน้า “ท่านอ๋อง ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดก็ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว กระหม่อมกลัวเหลือเกินว่าจะไม่ทรงตื่นขึ้นมาอีก ต้องอธิษฐานขอพระพุทธองค์ทุกวัน”
ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตารวมทั้งเสียงสะอื้นของเซียวหลงช่วยให้ลิ่นจื่อเชินมั่นใจว่าตนอยู่ในวังหลวงและกลับเข้าร่างตนเองแล้วจริงๆ เขาถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
“เช็ดน้ำมูกเสีย อย่าให้กระเซ็นมาถูกตัวข้า สกปรกจริง…” เนื่องจากไม่ได้พูดมานาน เสียงที่เอ่ยออกมาจึงแหบต่ำบาดหูอย่างยิ่ง…
“พ่ะย่ะค่ะ…” เซียวหลงรีบใช้แขนเสื้อเช็ดหน้า
“ข้าหมดสติไปนานเท่าไร” เขาถาม
“นับตั้งแต่ตกหน้าผาท่านอ๋องก็ทรงไม่ได้สติมาหนึ่งเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนสนิทตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ท่านอ๋อง องค์จักรพรรดิทรงเป็นห่วงพระองค์มาก ต้องเสด็จมาดูพระอาการทุกวัน กระหม่อมจะรีบส่งคนไปทูลให้ทราบเดี๋ยวนี้…อ้อ แล้วก็หมอหลวงด้วย” พูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นส่งเสียงเรียกคนข้างนอก
“ช้าก่อน…” ลิ่นจื่อเชินร้องห้ามเสียงแหบ
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะบัญชา” เซียวหลงตบหัวตนเองพลางกล่าว “กระหม่อมนี่ช่างโง่เง่าแท้ๆ ท่านอ๋องพระศอแห้ง ย่อมต้องโปรดจะเสวยน้ำอยู่แล้ว…”
ระหว่างที่พูดอย่างนั้นก็เดินไปรินน้ำที่โต๊ะด้านหน้า เวลาอยู่ตำหนักตนเอง ลิ่นจื่อเชินไม่ชอบให้นางกำนัลปรนนิบัติ ที่ผ่านมาจึงมีแต่เขากับพวกองครักษ์ที่ผลัดเปลี่ยนกันมารับใช้
ลิ่นจื่อเชินอยากลุกจากเตียง แต่นอนมานานเกินไปจนไม่มีแรง เซียวหลงที่รินชาเสร็จเรียบร้อยแล้วปราดเข้ามาประคองเขาอย่างคล่องแคล่ว โดยหยิบหมอนมาหนุนหลังให้นั่งสบายๆ
อ๋องหนุ่มดื่มชาแล้วถามขึ้นเนิบๆ “เซียวหลง หากข้าบอกว่า…ช่วงที่ผ่านมาข้ากลายเป็นแมว ติดอยู่ในร่างแมว กลับมาไม่ได้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
ฝ่ายตรงข้ามชะงัก ก่อนจะถามอย่างงงงัน “เอ่อ…ท่านอ๋องทรงพระสุบินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝันหรือ” ลิ่นจื่อเชินแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วโบกมือวูบ “เอาเถิด เจ้าจะไปทำอะไรก็ไป”
เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ดูแปลกๆ นะ เซียวหลงคิดทว่าไม่กล้าพูดอะไรมาก ออกไปสั่งงานคนตามที่ตั้งใจไว้
เขาฝันไปจริงๆ น่ะหรือ ลิ่นจื่อเชินถามตนเอง ทว่าฝันนั้นช่างสมจริงเหลือเกิน เขากลายเป็นแมวไปจริงๆ ใช้ชีวิตเช่นแมวในบ้านสกุลซย่า อยู่ร่วมกับคนบ้านนั้นถึงหนึ่งเดือน
นั่นสิ สมจริงเหลือเกิน เสียงร้องไห้ของเด็กๆ ยังดังอยู่ข้างหูบอกเขาว่าอย่าตายนะ เป็นเสียงที่สั่นคลอนหัวใจอย่างรุนแรง อีกทั้งก่อนตายเขายังไม่ทันได้เจอซย่าหมิ่น ไม่ทันได้บอกลานาง…ไม่สิ โง่เง่าอะไรอย่างนี้! เขาเป็นถึงหลิ่นอ๋องผู้สูงส่ง จะมัวคิดถึงบ้านนั้นไปด้วยเหตุใดกัน คนพวกนั้นก็แค่ข้ารับใช้ที่เคยปรนนิบัติเขา แค่สละชีวิตตอนเป็นแมวเพื่อปกป้องก็ถือว่าเขาโง่เหลือเกินแล้ว คิดเสียว่าเป็นแค่ความฝันแล้วลืมความทรงจำนี้ไปนั่นล่ะดีที่สุด การกลายเป็นแมวถือเป็นรอยด่างที่สร้างความอัปยศให้ชีวิต เขาควรต้องลบมันทิ้งไปให้หมดถึงจะถูก
ลิ่นจื่อเชินสั่งให้ตนเองมองข้ามความรู้สึกปวดแปลบอ้างว้างที่เกิดขึ้นในใจ แล้วย้ำกับตนเองว่าเขาในเวลานี้ได้กลับมาเป็นหลิ่นอ๋องผู้ทรงอำนาจอีกครั้ง คิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นความฝันแล้วลืมไปเสียดีกว่า
บ้านสกุลซย่าทั้งหลังตกอยู่ในบรรยากาศหดหู่เศร้าสร้อยจากการตายของมีมี
ซย่าหมิ่นรู้ตอนกลับถึงบ้านว่ามีมีสู้กับงูพิษจนตัวตายเพื่อปกป้องเด็กๆ นางอยากรักษามัน แต่ก็สายเกินการณ์ เพราะมีมีหมดลมไปแล้ว
หญิงสาวเสียใจมาก ถึงอย่างไรก็เป็นแมวที่เลี้ยงมาตั้งหนึ่งเดือน รู้สึกผูกพันราวกับเป็นคนในครอบครัว ย่อมต้องอาลัยอยู่ดี นอกจากนั้นมีมียังไม่เหมือนแมวทั่วไป มันชอบวางท่าเย่อหยิ่งสูงส่ง ฟังภาษาคนรู้เรื่อง ซ้ำยังมักจะปรายตามองคนอย่างเหยียดๆ จากนี้ไปนางคงจะหาแมวเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว
น้องชาย น้องสาว และหลานๆ ล้วนร้องไห้ด้วยความเสียใจ แต่แมวตายแล้วไม่ฟื้นคืน ซย่าหมิ่นจำใจต้องนำมันไปฝัง โดยฝังไว้ในสวนหลังบ้านแล้วทำป้ายหน้าหลุมศพให้แทนคำขอบคุณที่มันช่วยชีวิตคนในครอบครัว
“มีมี ขอบใจนะ บุญคุณของเจ้าครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยชั่วชีวิต” ซย่าหมิ่นพูดกับป้ายหน้าหลุมศพ แล้วหันไปบอกหลานชาย “มา ขอบใจมีมีสิ”
“มีมี ขอบใจนะที่ช่วยข้า…” น้ำตาหยดใหญ่ๆ ร่วงพรูลงมาตามแก้มเสียงเอ๋อร์ สุดท้ายเด็กชายก็ร้องไห้โฮ “มีมี อย่าตายนะ!”
เฉี่ยวเอ๋อร์พลอยสะเทือนใจตามไปด้วย จากที่สะอื้นอยู่แล้วก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม “มีมี…อย่าตายนะ…อย่าตายนะ…”
“เอาล่ะๆ นิ่งได้แล้ว…” ป้าอิ๋นฮวาปลอบโยนเด็กสองคน กระนั้นตนเองก็ต้องยกมือเช็ดน้ำตาไปด้วย
ขนาดเด็กหนุ่มอย่างซย่าจื้อยังตาแดงก่ำ อดจะหลั่งน้ำตาไม่ได้ ส่วนซย่าเจวี้ยนสะอื้นเบาๆ ตลอดเวลาพลางเช็ดน้ำตาไม่หยุด
ซย่าหมิ่นที่เป็นพี่สาวคนโตจึงต้องกลั้นน้ำตาแล้วปลอบโยนทุกคน “มีมีไปเกิดใหม่แล้วล่ะ ทีนี้ได้ไปเกิดเป็นลูกของครอบครัวดีๆ มันจะต้องมีความสุขมากแน่ พวกเจ้าเอาแต่ร้องไห้เช่นนี้ มันจะไปอย่างไม่หมดห่วงนะ”
เสียงเอ๋อร์ถามอย่างไร้เดียงสา “มีมีไม่ไปเกิดเป็นแมวแล้วหรือขอรับ ข้าอยากเลี้ยงมีมีอีกครั้ง”
หญิงสาวยิ้มอย่างเข้าใจ “เกิดเป็นคนดีกว่าเกิดเป็นแมว มันจะต้องมีชีวิตที่ดีมากแน่”
เฉี่ยวเอ๋อร์ถามบ้าง “แล้วมีมีจะยังจำพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
“มันไม่มีวันลืมเจ้าหรอก” เฮ้อ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ไปแล้ว จะยังจำได้อย่างไรเล่า
ซย่าหมิ่นเห็นหลานๆ เสียใจมากก็อดคิดในใจไม่ได้ว่าไว้ค่อยหาแมวดำที่หน้าตาเหมือนกันมาเลี้ยงอีกตัว แต่นางไม่ได้พูดออกมา เพราะต่อให้เหมือนกันเพียงใดก็ไม่ใช่มีมี
“เอาล่ะ พวกเรามาขอบใจมีมีแล้วบอกลามันกันดีกว่า พูดกับมันให้มากๆ ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสล่ะ อย่าร้องไห้” นางพูดกับน้องๆ และหลานๆ
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พยายามกลั้นน้ำตาแล้วบอกลามีมี
บนโต๊ะเล็กหน้าหลุมฝังศพมีข้าวผัด ปลาทอดกรอบ และไม้ตกแมว นี่เป็นสิ่งที่ซย่าหมิ่นเตรียมให้มีมี ตอนยังมีชีวิตอยู่มันกินอาหารรสจัดไม่ได้ ตายแล้วน่าจะไม่เป็นไรกระมัง
หลังไหว้ศพเสร็จนางก็กลับเข้าห้อง ลังกระดาษที่วางอยู่ตรงมุมห้องทำให้อดจะเศร้าเสียใจกว่าเดิมไม่ได้ เพราะนั่นเป็นรังที่นางทำให้มันนอน พอมองไปที่เตียงก็ยังเหมือนเห็นมันนั่งเลียขนอยู่บนนั้นอย่างสง่างาม แต่นับจากนี้ไป นางไม่มีวันได้เห็นภาพนี้อีก
แมวที่แสนรู้เช่นนั้น หาอย่างไรก็หาไม่เจออีกแล้ว ซย่าหมิ่นถอนหายใจ
“พี่ใหญ่ มีของสิ่งนี้อยู่ในห้องหนังสือของข้า ไม่รู้ว่าใครเขียนเอาไว้ ท่านดูสิ!” อยู่ๆ ซย่าจื้อก็พรวดพราดเข้ามาโดยไม่ให้ตั้งตัว แล้วส่งกระดาษที่เขียนอะไรบางอย่างมาให้นาง
ซย่าหมิ่นรับมาดู พอเห็นตัวหนังสือหวัดชุ่ยอยู่บนแผ่นกระดาษพร้อมด้วยขนและรอยอุ้งเท้าแมว ความตกตะลึงก็สะท้อนออกมาบนใบหน้านาง…นี่มันอะไรกัน!
เมืองเฉาหยางคึกคักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนปกติ และมักจะเป็นจุดผ่านของขบวนรถม้าของพ่อค้ามากมาย หนึ่งในนั้นคือรถม้าสีน้ำเงินครามที่ตกแต่งอย่างหรูหราสะดุดตา รายล้อมด้วยองครักษ์บนหลังม้ากลุ่มใหญ่ที่คอยอารักขา รวมกันเป็นขบวนยาวเหยียด กล่าวได้ว่าอวดศักดาอย่างเต็มที่ ชาวบ้านร้านตลาดล้วนแต่มองตาค้างไปตามๆ กัน พ่อค้าร่ำรวยที่แวะเมืองนี้มีมากมาย แต่ยังไม่เคยเห็นขบวนใดยิ่งใหญ่อลังการถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงพากันคาดเดาว่าน่าจะเป็นบุคคลสำคัญจากเมืองหลวง
“คงจะเป็นรถม้าของคุณชายสักตระกูลสินะ”
“ไม่ใช่ ข้าว่าน่าจะขุนนางใหญ่มากกว่า…”
“ข้ามองอย่างไรก็เหมือนเชื้อพระวงศ์ น่าจะเป็นอ๋องกระมัง!”
“โง่หรือ คนสูงส่งระดับอ๋องอยู่ๆ จะมาเมืองเฉาหยางนี่ด้วยเหตุใด…”
หนึ่งในนั้นเดาถูกเข้าจริงๆ เพราะบุคคลที่นั่งอยู่บนรถม้าคือหลิ่นอ๋องผู้สูงส่งที่ได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจและความโปรดปรานจากจักรพรรดิมากที่สุด
ตอนที่ลิ่นจื่อเชินแหวกม่านมองออกไป รูปกายหล่อเหลางดงามดึงดูดสายตาทุกคนทันที เสียงฮือฮาดังแซ่ด หญิงสาวหลายคนหน้าแดงซ่านไปตามๆ กัน
“ท่านอ๋อง เมืองเฉาหยางแห่งนี้ดูดีทีเดียว กระหม่อมอยากพบแม่นางซย่าคนนั้นเหลือเกิน จะได้ขอบคุณนางที่ช่วยชีวิตพระองค์…”
ลิ่นจื่อเชินเอาม่านลง หันมามองเซียวหลงด้วยสายตาเฉียบขาดเยียบเย็น “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ได้มาตอบแทนบุญคุณ”
“พ่ะย่ะค่ะๆ ท่านอ๋องไม่ได้เสด็จมาตอบแทนบุญคุณ แค่เสด็จมาพักฟื้นพระวรกาย…” คนสนิทเออออตาม ริมฝีปากยกมุมขึ้นอย่างผิดสังเกต
เขาพยายามกลั้นยิ้ม ท่านอ๋องใส่ใจแม่นางซย่าผู้นั้นแท้ๆ จึงได้มาหาถึงเมืองเฉาหยาง แต่กลับทำปากแข็งปฏิเสธ เห็นแล้วน่าสนุกจริงๆ เขาอยากเจอแม่นางผู้นั้นเหลือเกิน ท่านอ๋องของเขาขึ้นชื่อว่าเกลียดสตรี เขาจึงอยากรู้ว่านางมีดีอะไรถึงทำให้ท่านอ๋องติดใจถึงเพียงนี้
ส่วนท่านอ๋องรู้จักกับแม่นางซย่าได้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ค่อนข้างจะอัศจรรย์พันลึกอยู่สักหน่อย
ความคิดของเซียวหลงย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนที่แล้วถึงคำสาปแช่งของหญิงนามเฮ่อเหลียนหรงระหว่างที่ท่านอ๋องเดินทางกลับเมืองหลวง หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่เขากับท่านอ๋องนั่งอยู่ก็เสียหลักตกหน้าผา
เขาโชคดีที่ฟื้นขึ้นมาได้ แต่ท่านอ๋องสลบไสลไม่ได้สติ หมอหลวงรักษาอย่างไรก็ไม่บังเกิดผล หมอสามัญชนยิ่งจนปัญญา จักรพรรดิจึงรับสั่งให้โหรหลวงที่คุ้นเคยกับดวงชะตาของท่านอ๋องมาช่วยทำนาย ถึงได้รู้ว่าวิญญาณของท่านอ๋องหลุดลอยออกจากร่าง พูดทำนองว่าโดนคำสาปสักอย่างจึงเรียกกลับมาไม่ได้ จักรพรรดิฟังแล้วกริ้วจัด โหรหลวงและคนอื่นๆ ลนลานทิ้งตัวลงคุกเข่าพลางหน้าซีดอยู่กับพื้น ไม่กล้าขยับตัว
เรื่องนี้จักรพรรดิเพิ่งตรัสขึ้นหลังจากที่ท่านอ๋องฟื้นแล้ว ตัวท่านอ๋องเองก็เล่าความเป็นไปตั้งแต่ต้นจนจบว่าช่วงที่ผ่านมาดวงวิญญาณสิงอยู่ในแมว เมื่อแมวตายถึงได้กลับเข้าร่างตนเอง ตอนนั้นเซียวหลงฟังแล้วตาค้าง ยากจะเชื่อว่าท่านอ๋องของตนกลายเป็นแมวไปได้ โลกเรามีเรื่องประหลาดพิสดารอยู่มากมายจริงๆ แม่นางซย่าผู้นั้นรับเลี้ยงท่านอ๋องในร่างแมวจึงเท่ากับมีบุญคุณต่อท่านอ๋องของเขา
หลังจากได้กลับเข้าร่างท่านอ๋องนึกว่าตนหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น คำสาปที่ไม่รู้ชื่อยังคอยรังควานเจ้าตัวไม่เว้นวาย ทำให้ทุกคืนเมื่อหลับแล้วดวงวิญญาณจะออกจากร่างไปสิงอยู่ในร่างเดรัจฉานอื่น ต่อเมื่อฟ้าสางถึงค่อยกลับเข้าร่างใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องจึงนอนไม่ใคร่หลับ สีหน้าอิดโรยลงมาก จักรพรรดิกลัวว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป น้องชายจะมีอันตรายถึงชีวิต โหรหลวงก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่บอกว่าไม่เคยเห็นคำสาปร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน เมื่อไม่เคยเห็นจึงไม่มีทางแก้ จักรพรรดิจึงสั่งให้หานักเวทสามัญชนที่มีอาคมแก่กล้ามาช่วยแก้คำสาปให้
สุดท้ายก็ไปพบคนผู้หนึ่งที่อ้างตัวเป็นศิษย์น้องของนักพรตหยาง บอกว่าใบหน้าของท่านอ๋องหมองคล้ำเพราะต้องมนตร์ดำที่สาบสูญไปนานแล้ว คำสาปร้ายแรงทำให้ดวงวิญญาณออกจากร่าง คนผู้นั้นแก้คำสาปให้ไม่ได้ แต่นักพรตหยางผู้เป็นศิษย์พี่อาจจะแก้ได้ เพียงแต่นักพรตหยางใช้ชีวิตถือสันโดษ ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะตามตัวเจอ
ท่านอ๋องไม่อยากรอนักพรตหยางด้วยความทรมาน จึงเดินทางออกจากเมืองหลวงมาหาแม่นางซย่าที่เมืองเฉาหยาง
สำหรับเซียวหลงแล้วการติดตามเจ้านายมาเมืองเฉาหยางเป็นเรื่องน่าสนุก เขาจะได้เห็นเสียทีว่าแม่นางซย่าที่ตนอยากเจอตัวมานานคนนั้นหน้าตาอย่างไร มีอะไรพิเศษตรงที่ใดถึงทำให้ท่านอ๋องติดใจได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็นึกกังวล ท่านอ๋องจากเมืองหลวงมาโดยไม่ทูลจักรพรรดิก่อน หากจักรพรรดิทรงทราบเข้า รับรองต้องกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟแน่…
“ท่านอ๋อง องค์จักรพรรดิยังไม่ทรงทราบว่าพระองค์เสด็จมาพักฟื้นพระวรกายที่นี่ หากทรงทราบว่าเสด็จออกจากเมืองหลวงเองโดยพลการ…” เซียวหลงเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ
ลิ่นจื่อเชินปรายตามองคนสนิทแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้ายังไม่กลัว เจ้าจะกลัวไปไย ในเมื่อต้องใช้เวลาตามหานักพรตหยางคนนั้น ข้าก็จะรออยู่ในเมืองนี้แทน องค์จักรพรรดิจะต้องทรงตามหาข้าจนเจออยู่แล้ว รอให้ข้าหลุดพ้นจากคำสาปบ้าๆ นั่นเมื่อไร…” ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเหี้ยมเกรียม “ข้าจะลากศพหญิงที่ชื่อเฮ่อเหลียนหรงนั่นขึ้นจากหลุมมาโบยให้หนัก นางอยากให้ข้ากลายเป็นเดรัจฉาน ให้ลิ้มรสการถูกคนอื่นเหยียบย่ำว่าเป็นอย่างไร ข้าก็จะทำให้นางเป็นยิ่งกว่าเดรัจฉาน ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในไฟนรก ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปตลอดกาล”
ลิ่นจื่อเชินต้องแค้นอยู่แล้ว แววตาเจ็บแค้นชิงชังและถ้อยคำที่เอ่ยออกมาดูอำมหิตจนขนหัวลุก
เซียวหลงเข้าใจดีกว่าใครเพื่อนว่าเจ้านายต้องทุกข์ทนเพียงไรที่ต้องคำสาป หนึ่งเดือนที่ผ่านมาท่านอ๋องต้องไปสิงอยู่ในร่างเดรัจฉานต่ำต้อยทุกคืน ทำให้นอนหลับไม่เต็มอิ่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ดูท่าการมาพบแม่นางซย่าคนนี้จะเป็นการเยียวยาที่ดีที่สุดของท่านอ๋องกระมัง
เวลานั้นลิ่นจื่อเชินเลิกม่านขึ้นแล้วมองออกไปอีกครั้ง นัยน์ตาเฉยชาเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็นร้านรวงและตรอกอันคุ้นเคย เพราะล้วนแต่เป็นที่ที่เขาเคยเดินผ่านมาก่อน เห็นแล้วใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ด้วยความคิดถึง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดถึงได้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นในใจ และยิ่งไม่เข้าใจ…ว่าเหตุใดเขาถึงได้อยากกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง
บอกตนเองแล้วไม่ใช่หรือว่าใช้ชีวิตแมวตอบแทนไปแล้ว ต่อไปครอบครัวนั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก บอกตนเองแล้วไม่ใช่หรือว่าจะลบความทรงจำช่วงที่เป็นแมวไปจากสมอง เพราะนั่นเป็นช่วงชีวิตที่อัปยศที่สุด ในเมื่ออยากทำลายมันทิ้ง เหตุใดเขาถึงมาที่นี่ได้เล่า
มาตอบแทนบุญคุณอย่างที่เซียวหลงพูด…
หรือว่า…เขาห่วงใยครอบครัวนั้นจริงๆ
ไม่สิ หลิ่นอ๋องผู้สูงส่งอย่างเขาจะใส่ใจครอบครัวชาวบ้านธรรมดาได้อย่างไร เขามาเมืองเฉาหยางเพียงเพราะอยากดูว่าสตรีผู้นั้นจะต่อกรกับป้าตนเองอย่างไร ดูว่าเขาอุตส่าห์ทิ้งข้อความเตือนนางแล้ว นางจะยังเซ่อซ่าจนไม่รู้จักป้องกันตัวแล้วถูกคนต่ำช้าทำร้ายเข้าหรือไม่
ที่อยากรู้ยิ่งกว่านั้นคือสตรีที่ทั้งโอหังทั้งเหิมเกริมอย่างนางจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา เขาอยากเห็นนางแสดงท่าทางนอบน้อมต่อเขา แค่คิดภาพอารมณ์ก็เบิกบานขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงเท่านั้นจริงๆ
ความรู้สึกในใจซับซ้อนอธิบายยาก แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจนัก รู้เพียงอย่างเดียวว่าความอยากเจอซย่าหมิ่นเจือไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
“ให้เหล่าเฉินเลี้ยวขวาตรงทางแยกข้างหน้าแล้วตรงไป พอถึงร้านขายยาที่ชื่อร้านยาก่วงจี้ก็ค่อยเลี้ยวเข้าไปในตรอกขวามือ แล้วจอดตรงหน้าบ้านหลังแรก” ลิ่นจื่อเชินมีแผนที่ผืนหนึ่งอยู่ในสมอง สามารถบอกทางไปบ้านสกุลซย่าได้อย่างชำนาญ
สักพักหนึ่งรถม้าก็เลี้ยวขวาเข้าถนนใหญ่ ยังไม่ทันถึงร้านยาก่วงจี้ก็เห็นร้านยาเหรินเต๋อก่อน
อ๋องหนุ่มเหลือบมองป้ายร้านยาเหรินเต๋ออย่างไม่คิดอะไร แต่แล้วสายตาก็สะดุดลงกับร่างของใครคนหนึ่ง
นั่นซย่าหมิ่นไม่ใช่หรือ
นางกำลังเดินไปทางร้านยาเหรินเต๋อ มีซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเดินตามหลัง เขาเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงสั่งคนสนิท “ตามไปซิ ข้าจะไปดู”
ซย่าหมิ่นเดินนำน้องชายน้องสาวไปทางร้านยาเหรินเต๋อ ซย่าเจวี้ยนดึงแขนเสื้อนางเบาๆ อย่างเป็นกังวล “พี่ใหญ่…”
นางหันไปมอง นอกจากสีหน้ากังวลใจของซย่าเจวี้ยนยังได้เห็นท่าทางกระสับกระส่ายของซย่าจื้อ จึงคลี่ยิ้มให้น้องๆ อย่างเชื่อมั่นในตนเอง “ไม่ต้องกลัว มีคนอยู่ด้วยเยอะแยะถึงเพียงนั้น นางจะกล้าทำอะไรพวกเรา พวกเราจะยอมให้คนอื่นมารังแกไม่ได้ จะเล่นก็ต้องเล่นให้ใหญ่เข้าไว้ ให้ชาวบ้านได้รู้กันว่านางต่ำช้าเพียงไร”
ได้ยินเช่นนั้นซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนก็อุ่นใจขึ้นมาก จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ซย่าหมิ่นพยักหน้าให้น้องๆ พลางกล่าว “ไปกันเถิด”
ทั้งสามเดินมาถึงหน้าประตูร้านยาเหรินเต๋อ หลี่หรูเซิงก้าวออกมาพอดีเลยปะกันเข้าอย่างจัง
“หมิ่นเอ๋อร์ เจ้ามาหรือ…” ชายหนุ่มทำหน้าดีอกดีใจเป็นอันดับแรก แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถอยหนีแล้วบอกอย่างร้อนตัว “หมิ่นเอ๋อร์ เรื่องนั้น…เรื่องนั้น…ข้าไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ นะ…”
ซย่าหมิ่นมองสีหน้าขลาดกลัวของเขา ก่อนตอกกลับไปอย่างไม่เกรงใจ “เรื่องที่แม่ท่านทำ ท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร พี่ชายไม่ได้ชอบข้าหรอกหรือ ชอบแล้วยังเชื่อแม่หมดทุกอย่าง ปล่อยให้ข้าถูกรังแกถูกเล่นงานได้อย่างไรกัน”
ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธอย่างลนลาน “ไม่ใช่นะ เชื่อข้าสิ ข้าเพิ่งมารู้ทีหลังจริงๆ ว่าท่านแม่…”
ซย่าหมิ่นไม่อยากฟังอยู่แล้ว คนพรรค์นี้บอกว่าชอบนาง นางหรือจะเชื่อ นางเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามาวันนี้เพื่อให้ชาวเมืองเฉาหยางช่วยตัดสิน ท่านป้าเห็นว่าพวกเราพี่น้องไม่มีพ่อแม่ปกป้องถึงได้ข่มเหงอย่างนั้นสิ ถึงกับจะยึดร้านยากับบ้าน แล้วไล่ครอบครัวเราออกมา”
นางพูดปาวๆ ด้วยเสียงอันดังอย่างเจตนา ถนนใหญ่มีผู้คนเดินผ่านไปมาจอแจ ยิ่งตกเป็นเป้าสายตามากเท่าไรยิ่งดี ซึ่งนางก็คิดไม่ผิด ชาวบ้านที่เดินอยู่บริเวณนั้นล้วนแต่หยุดยืนมอง
หลี่หรูเซิงยกมือเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นว่าคนบนถนนเริ่มมุงดู กระทั่งคนไข้ที่เดินเข้าออกร้านยังหันมามอง “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรของเจ้า ท่านแม่ไม่ได้…พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า…”
“ฮึก…พวกเราไม่มีบ้านอยู่แล้ว…” ซย่าเจวี้ยนยกมือปิดหน้าร่ำไห้
“ทำกันเกินไปจริงๆ พวกเราเรียกนางว่าท่านป้า แต่นางกลับใจร้ายใจดำ ถึงกับจะให้พวกเราออกไปเร่ร่อนริมถนน…” ซย่าจื้อพูดขึ้นมาบ้างด้วยท่าทางเจ็บปวด
นี่เป็นบทที่ทั้งสามซักซ้อมกันมาล่วงหน้า ต้องเล่นละครให้เกินจริงเข้าไว้เพื่อเรียกความสงสารจากคนนอก ถัดมาก็ถึงคราวซย่าหมิ่นปลอบโยนน้องๆ “อาจื้อ เจวี้ยนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว นั่นเป็นร้านยาของพวกเรา เป็นบ้านของพวกเรา พี่ใหญ่จะไม่ให้ใครมาแย่งไปได้เด็ดขาด”
“เกิดอะไรขึ้น พวกนี้บอกว่าเจ้าของร้านซย่าจะมายึดร้านยากับบ้านไป ให้พวกเขาออกมาเร่ร่อนริมถนนกันทั้งครอบครัว…”
“ไหนว่าเจ้าของร้านซย่าแห่งร้านยาเหรินเต๋อดูแลหลานชายหลานสาวเป็นอย่างดีอย่างไรล่ะ”
หลี่หรูเซิงเห็นชาวบ้านเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ อาเซียนที่เป็นเด็กในร้านหัวไว รีบไปเชิญท่านเจ้าของร้านมารับศึก
ไม่นานนักซย่าซื่อก็เดินลิ่วๆ ออกมา พอเห็นว่าเป็นสามพี่น้อง ทั้งโดยรอบยังมีคนยืนมุ่งแน่นขนัด นางก็รีบสะกดโทสะ ปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดกับหลานสาว “หมิ่นเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่เข้ามาในร้านเล่า ยืนพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่ข้างนอกเช่นนี้จะทำให้คนเข้าใจผิดนะ ป้าจะแย่งร้านยากับบ้านของเจ้ามาได้อย่างไร ร้านยาน่ะต้องซ่อมแซมตกแต่งใหม่ ป้ากลัวว่าเสียงจะดังรบกวนเลยให้พวกเจ้าย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก่อนชั่วคราวเท่านั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่นายผู้เฒ่าหวังอยากทำให้เจ้า เขาดีกับเจ้ามากนะ รู้ว่าเจ้าตั้งใจจะเปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่ก็อยากช่วยเหลือ”
ช่างกล้าพูดนะ! ซย่าหมิ่นแค่นยิ้มอยู่ในใจ แต่ภายนอกปั้นหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน “แปลกจริง ข้าปฏิเสธน้ำใจนายผู้เฒ่าหวังไปแล้ว ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาเสียหน่อย เขาจะลวนลามข้า ยังถูกข้าเล่นงานจนได้แผลบนร่าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงยังยืนกรานจะช่วยข้าอยู่อีก”
อะไรนะ! ลวนลาม!?
ตนเองเป็นป้า แต่กลับแนะนำบุรุษเช่นนั้นให้หลานสาว ออกจะ…
ซ้ำยังมีแผลบนตัวอีกด้วย? ตรงใดกันที่ได้แผล
เหล่าคนที่ยืนมุงพากันหูผึ่ง คนที่หยุดยืนดูด้วยความอยากรู้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทันไรหน้าร้านยาเหรินเต๋อก็เนืองแน่นไปด้วยฝูงชน
ชาวบ้านจำนวนมากยืนอออยู่หน้าร้าน เสียงคาดคะเนบาดหูดังขึ้นทุกที ซย่าซื่อโมโหจนอยากกรากเข้าไปปิดปากซย่าหมิ่นนัก ทว่าสิ่งที่ทำได้มีเพียงปั้นยิ้มอธิบายอย่างใจเย็น “นายผู้เฒ่าหวังบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด อยากจะปรับความเข้าใจกับเจ้า เขาไม่ถือสาที่เจ้าลงไม้ลงมือกับเขา ที่ยืนกรานจะช่วยเจ้าปรับปรุงร้านยาก่วงจี้ใหม่ให้ได้กลับมาเปิดกิจการอีกครั้งก็เพราะอยากให้เจ้ายกโทษให้อย่างไรล่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นท่านป้าก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะ ข้าไม่ชอบนายผู้เฒ่าหวัง ไม่อยากแต่งงานไปเป็นภรรยาใหม่เขา ท่านป้าไม่ต้องคอยนัดแนะให้ข้าไปตรวจโรคให้เขาตามลำพังแล้วนะ ทำเช่นนี้ชื่อเสียงของข้าจะด่างพร้อย” ซย่าหมิ่นโต้กลับไปตรงๆ อย่างไม่คิดจะไว้หน้าผู้เป็นป้า เปิดโปงความจริงว่าอีกฝ่ายพยายามทำลายชื่อเสียงนางเพื่อบีบบังคับให้แต่งงาน
ซย่าซื่อฟังแล้วแทบกระอัก นางเด็กนี่กล้าพูดออกมาโต้งๆ ว่านางจงใจทำลายชื่อเสียง คนอื่นได้ฟังจะมองนางอย่างไร
หญิงสูงวัยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซย่าหมิ่นมีไหวพริบฉับไวเกินกว่าจะติดกับ ทุกครั้งที่ไปตรวจโรคให้ฝ่ายชายจะพาคนอื่นไปด้วยเสมอ ซ้ำยังไม่ยอมดื่มแม้แต่ชา แล้วจะเอาโอกาสที่ใดวางยาได้ นอกจากนั้นนางไม่รู้เลยว่าซย่าหมิ่นจะดุร้ายถึงเพียงนี้ แค่ถูกนายผู้เฒ่าหวังจับมือนิดเดียวก็ถึงกับยกเท้าถีบกล่องดวงใจอีกฝ่าย ทีนี้ผู้เฒ่าหวังเลยโมโห บอกว่าไม่คิดจะแต่งงานอีกแล้ว แผนการของนางจึงล้มเหลวหมด
แน่นอนว่าเพื่อตำรับยาและเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตน ซย่าซื่อจำต้องฝืนใจฉีกยิ้ม สวมบทบาทญาติผู้ใหญ่ที่แสนอารีเล่นละครให้คนนอกดูต่อไป
“หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดนะ ป้าเห็นว่านายผู้เฒ่าหวังท่าทางสง่าผ่าเผยจึงมองว่าเขาเป็นตัวเลือกคู่ครองที่ดี ไม่คิดว่าจะเป็นพวกตัณหาจัด นอกจากนั้นป้ายังไม่เคยคิดจะบีบบังคับให้เจ้าแต่งงานด้วย หากเจ้าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงร้านยาก่วงจี้ถือเสียว่าป้าให้เจ้าแล้วกัน หากสามารถช่วยเหลือเจ้าให้เปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่ได้ พ่อแม่เจ้าที่ล่วงลับไปแล้วก็จะสบายใจ”
พูดเสียสวยหรู ตอนแรกไม่ยอมให้ความช่วยเหลือนาง เพิ่งจะมาช่วยอะไรเอาตอนนี้? วางแผนมาอย่างดีว่าจะช่วยนางปรับปรุงซ่อมแซมร้าน ให้พวกนางย้ายออกไปอยู่ที่อื่น อีกฝ่ายทำไปเพื่ออะไร
ก็เพื่อตำรับยาอย่างไรเล่า!
ซย่าหมิ่นสรุปเช่นนี้ได้เพราะผู้เป็นป้าเคยถามเรื่องตำรับยากับนางอยู่บ่อยๆ ซ้ำร้ายบ้านนางยังเคยถูกขโมยขึ้นมาหลายครั้ง แต่น่าแปลกที่ของมีค่าในบ้านยังอยู่ครบ แล้วยัง…
‘ระวังซย่าซื่อ บุรุษ บังคับให้แต่งงาน กับดัก ตำรับยา’
นางนึกถึงข้อความที่เห็นบนกระดาษเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ใครเป็นคนเขียนกันนะ
ลายมือหวัดชุ่ย ตัวใหญ่โย้เย้ พูดได้เต็มปากว่าลายมือน่าเกลียด ซ้ำบนกระดาษยังมีรอยเท้าแมวและขนสีดำของแมวติดอยู่หลายเส้น นางเห็นแล้วจึงนึกถึงมีมีเป็นอันดับแรก
มีมีจะมีความสามารถพิเศษเขียนหนังสือเตือนภัยนางได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
ใจซย่าหมิ่นโอนเอนเชื่อว่ามีมีเป็นคนเขียน โลกนี้มีเรื่องประหลาดนับไม่ถ้วน บางทีมีมีอาจเป็นแมวเทวดา ล่วงรู้อนาคตว่าท่านป้าจะทำร้ายนางจึงเขียนเตือนภัยไว้
และเพราะคำเตือนของมีมีนี่ล่ะ ซย่าหมิ่นถึงได้ระวังผู้เป็นป้ามากขึ้นเป็นพิเศษ เมื่ออีกฝ่ายทำใจดีแนะนำคนไข้ให้นางไปรักษา นางจึงจงใจพาคนที่บ้านไปด้วยกันทุกครั้ง ไม่ยอมอยู่กับคนไข้ตามลำพังเป็นอันขาด ทั้งยังไม่ยอมดื่มชาแม้แต่อึกเดียว ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่มีโอกาสเล่นงาน
เวลานี้แผนทำลายชื่อเสียงและบังคับให้นางแต่งงานล้มเหลว ท่านป้าก็ทำเป็นพูดอย่างมีเมตตาว่าจะออกเงินช่วยนางซ่อมแซมร้าน นึกหรือว่านางจะเชื่อ คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวจนแม้แต่ค่าเล่าเรียนยังไม่ยอมให้ยืมน่ะหรือจะอยากช่วยนาง
ต่อให้นางร้อนเงินเพียงใด อยากได้เงินมาเปิดกิจการร้านยาก่วงจี้ใหม่อีกครั้งอย่างไร ก็ไม่มีวันรับเงินของอีกฝ่ายแน่
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะให้ท่านป้าช่วยได้อย่างไร ข้าอยากปลุกร้านยาก่วงจี้ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ด้วยกำลังของข้าเอง หวังแต่ว่าจากนี้ไปท่านป้าจะไม่มายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าอีก”
คำพูดของนางทำให้คนอื่นสูดหายใจเฮือกไปตามๆ กัน เพราะถึงอย่างไรซย่าซื่อก็เป็นญาติผู้ใหญ่ ทำเช่นนี้เท่ากับฉีกหน้าป้าตนเองกลางธารกำนัล
นั่นเป็นเพราะซย่าหมิ่นต้องการเปิดโปงธาตุแท้ของซย่าซื่อให้ชาวบ้านรู้ และทำให้ซย่าซื่อเข็ดหลาบ จะได้ไม่ทำเกินเลยเช่นนี้กับครอบครัวนางอีก
“กลับ!” เป้าหมายสำเร็จแล้ว ซย่าหมิ่นหมุนตัวเตรียมเดินแหวกกลุ่มคนออกไป โดยมีน้องชายน้องสาวเดินตามและต่างยืดอกเชิดหน้าอย่างฮึกเหิมกันทั้งคู่
ซย่าซื่อมองตามแผ่นหลังหลานสาวอย่างแค้นเคือง ตอนที่นางขัดแย้งกับบ้านตนเองเพราะเรื่องเปิดร้านยาในอดีตยังไม่กล้าพูดเลยว่าจะอาศัยกำลังของตนเอง ต้องแต่งงานกับสามีคนปัจจุบันแล้วยืมเงินเขาถึงสามารถเปิดร้านยาขึ้นมาได้ นางเด็กนี่น่ะหรือจะมีกำลังเปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่ จะเอาเงินและความสามารถมาจากที่ใด ก็ได้แต่ทำปากเก่งเท่านั้นล่ะ ไม่รู้จักประมาณตัวเอาเสียเลย นางจะยั่วโมโหนางตัวดีนี่ให้ได้!
“เจ้าตัวคนเดียวจะเอาอะไรมาเปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่เล่า เจ้ายังมีน้องๆ มีหลานสองคนต้องเลี้ยง นึกหรือว่าหากไม่แต่งงาน ไม่พึ่งพาบุรุษจะทำสำเร็จ แค่ปณิธานอย่างเดียวกินไม่ได้หรอกนะ” ซย่าซื่อพูดแทงใจ
เหล่าคนนอกได้ยินเช่นนั้นก็เออออตาม “นั่นน่ะสิ มีปณิธานก็ดีอยู่หรอก แต่สตรีอ่อนแอตัวคนเดียวไม่พึ่งสามี จะเอาอะไรมาเปิดร้านยาขึ้นมาใหม่ ลำพังแค่เรื่องเก็บเงินก็กลุ้มจะแย่แล้ว…”
“ร้านยาก่วงจี้เสียชื่อถึงเพียงนั้น จะยังเปิดขึ้นมาได้ใหม่จริงหรือ แม่นางผู้นี้พูดจาปากเก่งเกินไป ไม่มีทางสำเร็จหรอก…”
“แม่หนูหมิ่น ป้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เจ้าแต่งงานเสียเถิด ร้านยานี่เป็นร้านเน่าเหม็นที่พี่ชายเจ้าทิ้งไว้ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า สตรีหาคนดีๆ แต่งงานด้วยถึงจะมีความสุข…”
“นั่นน่ะสิ เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียว ไม่มีทางชุบชีวิตร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาได้หรอก…”
แม้ฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วซย่าหมิ่นจะยังเหยียดหลังตรงอย่างสง่าได้เหมือนเก่า แต่ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็โกหก นางถูกคำพูดที่ได้ยินตรึงไว้กับที่ เดินไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเห็นนางไม่ขยับก็ทำอะไรไม่ถูก
“เหตุใดจะชุบชีวิตขึ้นมาไม่ได้ อ๋องผู้นี้พนันข้างแม่นางก็แล้วกัน ห้าร้อยตำลึงพอหรือไม่”
อยู่ๆ เสียงทุ้มห้าววางอำนาจก็ดังขึ้นดุจดังสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่มีเค้าฝน
ใครกันนะเป็นคนพูด ซ้ำยังเรียกตนเองว่า ‘อ๋องผู้นี้’ เสียด้วย ซย่าหมิ่นมองไปรอบตัวเช่นเดียวกับฝูงชนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น
“หลิ่นอ๋องประทับอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบคุกเข่าคำนับอีกหรือ!”
พอได้ยินเสียงตะโกนประโยคนั้น ทุกคนก็ได้สติ รีบเปิดทางให้แม้จะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นองครักษ์กลุ่มใหญ่กับตราประจำราชวงศ์ที่ผู้มาใหม่แสดง รวมทั้งคำว่า ‘หลิ่นอ๋อง’ ชาวบ้านก็พากันคุกเข่าลงทั้งหมด
หลิ่นอ๋องคือนามของอ๋องผู้ได้ฉายาว่า ‘ดาวอสูร’ เป็นที่โปรดปรานและเชื่อใจที่สุดของจักรพรรดิ ทั้งยังมีนิสัยเหี้ยมโหด ชอบวางอำนาจ!
เพิ่งจะได้เห็นเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในชีวิตก็เป็นคนใหญ่คนโตระดับนี้ ชาวบ้านแต่ละคนหวาดหวั่นยำเกรงเสียไม่มีดี ขณะส่งเสียงคำนับอย่างพร้อมเพรียง “ขอทรงพระเจริญพันปีพันๆ ปี!”
ซย่าหมิ่นคุกเข่าตามคนอื่นๆ ไปด้วย สักพักหนึ่งถึงเพิ่งตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น นางได้เจออ๋องผู้หนึ่งในเมืองเฉาหยางแห่งนี้! ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมบอกนางว่าหลิ่นอ๋องเป็นชายผู้ได้ฉายาว่า ‘ดาวอสูร’ รูปกายหล่อเหลางดงาม ความประพฤติเลวทรามโหดเหี้ยม เนื่องจากเป็นที่ไว้วางใจของจักรพรรดิจึงมีอำนาจมากล้นชนิดเรียกลมเรียกฝนได้ ใครเห็นเป็นต้องกลัวเกรง เวลานี้ดาวอสูรมาที่เมืองเฉาหยาง บอกว่าจะวางเดิมพันข้างนาง ถามนางว่าห้าร้อยตำลึงพอหรือไม่…ความคิดแรกของซย่าหมิ่นก็คือนางไปโชคดีมาจากที่ใดกันนะ
ซย่าหมิ่นกระวนกระวายในใจ อยู่ๆ ก็มีเงินก้อนโตร่วงลงมาตรงหน้า แต่นางไม่มีท่าทางดีใจอย่างคนถูกหวยเลยสักนิด เท่าที่เห็นในละครย้อนยุค การเงยหน้าขึ้นมองชนชั้นสูงเป็นสิ่งไม่บังควร นางเลยทำได้แค่มองชายเสื้อคลุมกับรองเท้าของหลิ่นอ๋องที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทีละน้อยจนหยุดลงตรงหน้า…เอ๋? เหตุใดเขาถึงได้เดินเข้ามาตรงหน้านางเล่า
ลิ่นจื่อเชินมองชาวบ้านที่คุกเข่าเรียงราย แล้วเดินเข้ามาตรงหน้าซย่าหมิ่นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอนางในร่างมนุษย์ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้เกิดความตื่นเต้นยินดีขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด ความยินดีนี้สะสมตัวตั้งแต่ได้ฟังนางปะทะคารมกับผู้เป็นป้าเมื่อครู่ ในใจคิดว่าสตรีผู้นี้ฉลาดดังที่คาด ถึงได้ไม่ตกหลุมพรางผู้คิดร้าย ไม่เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ลำบากลำบนเขียนข้อความเตือนไว้
“เงยหน้าขึ้นมา” เขาสั่ง
ซย่าหมิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างหวาดๆ แล้วประสานสายตากับชายหนุ่ม
นางรู้อยู่แล้วว่าหลิ่นอ๋องเป็นหนุ่มรูปงาม แต่ความงามที่ว่านั้นนางเพิ่งจะได้ประจักษ์วันนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหล่อเหลาบาดตายิ่งกว่าดาราที่เคยเห็นในโทรทัศน์เสียอีก เครื่องหน้าทุกส่วนสมบูรณ์แบบไปหมด หาที่ติไม่เจอแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง บุคลิกดูอันตราย ทว่ามีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงแบบผู้ชายร้ายๆ แค่มองอย่างเดียวก็เคลิ้มจนไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้ว
ซย่าหมิ่นรีบก้มหน้า นางไม่คิดว่าตนเองจะเคลิ้มไปกับความงามของเขา แค่สัมผัสอันตรายของเขาได้ต่างหาก กลัวว่าหากจ้องมากๆ เข้าเขาจะโมโห
เดิมทีลิ่นจื่อเชินคิดว่าตนจะวางท่าสูงส่งทรงอำนาจได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้ แต่แล้วเขากลับพบว่าเขาไม่ชอบเห็นนางทำตัวต่ำต้อย คุกเข่าหมอบกราบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนอย่างคนอื่น จึงสั่งไปว่า “เจ้า…ลุกขึ้นได้”
แม้จะนึกฉงนอยู่ในใจ แต่ซย่าหมิ่นก็ลุกขึ้นโดยดี แล้วพยายามห้ามตนเองไม่ให้ถอยหนีเมื่อเห็นอ๋องหนุ่มสาวเท้าเข้ามาหา
เขาคิดจะทำอะไรกันนะ
ลิ่นจื่อเชินเดินเข้ามาใกล้แล้วเพ่งพิศนางอย่างถ้วนถี่
ตอนที่ยังเป็นแมว เขาต้องแหงนหน้ามองนางตลอด มาตอนนี้สามารถมองนางอย่างคนตัวสูงกว่าได้แล้ว ตัวนางหดลงเหลือเล็กบางนิดเดียวเท่านั้น มองลงไปจากมุมนี้ เขาเห็นนางได้เต็มตา
“ข้าบอกว่าจะพนัน โดยช่วยออกทุนให้เจ้าห้าร้อยตำลึง เจ้าเห็นเป็นอย่างไร” เขาถามขึ้น
ซย่าหมิ่นสัมผัสได้ถึงความชื้นของเหงื่อบนฝ่ามือ หลิ่นอ๋องผู้สูงส่งซ้ำยังได้ฉายาว่า ‘ดาวอสูร’ บอกว่าจะช่วยออกทุนห้าร้อยตำลึง ให้นางเปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ เขาจะ…มีเจตนาไม่ชอบมาพากลแอบแฝงหรือไม่
เพราะรูปโฉมนางอย่างนั้นหรือ
ไม่ นางไม่ได้งดงามมากมายอะไร ไม่เข้าตาเขาหรอก…
แล้วนาง…ปฏิเสธได้หรือไม่
“ข้าอยากทราบว่า…เหตุใดท่านอ๋องถึงได้จะช่วยข้า” นางรวบรวมความกล้าถามออกไปตรงๆ
ลิ่นจื่อเชินมองออกว่าแรกสุดซย่าหมิ่นกลัวเขา แต่ไม่นานนางก็สลัดความกลัวทิ้ง เรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ ใช้ดวงตาคู่สวยมองตรงมาอย่างแน่วแน่ เขาเห็นแล้วคลี่ยิ้มละมุนอย่างพึงพอใจ สมแล้วที่เป็นซย่าหมิ่น มีแต่นางเท่านั้นที่จะกล้าตั้งคำถามเขา
“ข้าผ่านมา เห็นความอยุติธรรมเข้า เลยอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือ” เขาตอบอย่างอารมณ์ดี
ใครจะไปเชื่อ! ซย่าหมิ่นมองบุรุษที่วางท่าเหนือกว่าและดูแสนอันตราย ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่คนจิตใจดีได้เลย มิหนำซ้ำสายตาของเขาทำให้นางนึกถึงมีมี…นี่นางคิดบ้าอะไรกันนี่!
“ว่าอย่างไร ตอนนี้ข้ากำลังใจดี แต่ผ่านไปสักพักอาจเปลี่ยนใจ ยกเลิกคำสั่งได้ทุกเมื่อ” ลิ่นจื่อเชินหัวเราะด้วยท่าทางปลอดโปร่ง
ความคิดของซย่าหมิ่นตีกันอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เป็นดาวอสูรที่ไม่ใช่คนดี นางสามารถปฏิเสธข้อเสนอของเขาหรือไม่ ไม่สิ นางอยากปฏิเสธข้อเสนอของเขาจริงๆ หรือ
นางไม่ได้อิ่มทิพย์ ที่พูดปาวๆ ว่าจะทำให้ร้านยาก่วงจี้กลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้งนั้นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ หากพลาดข้อเสนอดีๆ เช่นนี้อาจไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว
แต่เท่ากับนางกำลัง…ทำข้อตกลงกับดาวอสูรอยู่ชัดๆ!
ซย่าหมิ่นได้ยินเสียงตนเองเอ่ยออกไปอย่างใจกล้า “ข้า…ข้าขอยืมจากท่านอ๋องแล้วกัน จะจ่ายดอกเบี้ยให้ ข้าอยากทำสัญญาลงนามที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนด้วย”
อ๋องหนุ่มฟังแล้วหัวเราะลั่น เขายังกลัวว่านางจะอาจหาญปฏิเสธกลับมาเสียอีก คิดไม่ถึงนางกลับบอกเขาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยให้ด้วย กลัวว่าถ้ารับเงินเขาไปโดยไม่มีเงื่อนไขจะโดนเขาจับไปขายอย่างนั้นหรือไร
“ฮ่าๆๆๆ ข้าชอบคนที่ทั้งใจกล้าทั้งไหวพริบดีเช่นเจ้านี่ล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำสัญญาไปให้ รับรองว่าจะใช้หมึกดำเขียนบนกระดาษขาวเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว” หลังจากหัวเราะลั่นจนหนำใจ ดวงตาเรียวยาวของลิ่นจื่อเชินก็หรี่ลงมองนางอย่างน่ากลัว “เจ้า…ทำให้ข้าดูหน่อยซิว่าเจ้าเก่งเพียงใด”
ใบหน้าหล่อเหลาดวงนั้นดูชั่วร้ายเต็มไปด้วยอันตราย ซย่าหมิ่นมองแล้วอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
นางนึกสงสัยในใจว่าตนเองเสียสติไปแล้วหรือไม่ ถึงได้กล้าทำข้อตกลงกับดาวอสูร
แต่พอเห็นผู้เป็นป้าที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองมาทางตนเองด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชังราวกับงูพิษที่จ้องจะทำลายนาง หญิงสาวก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
นางจะเปิดร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาใหม่ให้สำเร็จ แม้จะต้องทำข้อตกลงกับดาวอสูรผู้นี้ก็ตาม
นางจะไม่เสียใจเป็นอันขาด!
บทที่ห้า
วันรุ่งขึ้น ซย่าหมิ่นได้รับหนังสือสัญญาสองฉบับที่ลิ่นจื่อเชินให้คนนำมาให้ นางกลัวว่าจะมีหลุมพรางซ่อนอยู่ข้างในจึงอ่านสัญญาโดยละเอียด ในนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการให้ยืมเงิน ไม่มีเงื่อนไขแปลกๆ เห็นดังนี้ก็ค่อยโล่งอก แต่ดอกเบี้ยที่สูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงทำให้นางกัดฟันก่นด่าอยู่ในใจ พอองครักษ์นามหวังเจาผู้นั้นมองมา นางก็รีบยิ้มบอกว่าไม่มีอะไรแล้วลงนามในสัญญา
หลังจากลงนามและประทับตราเสร็จ ซย่าหมิ่นก็ส่งสัญญาคืนให้หวังเจาพร้อมฉุกใจอะไรบางอย่าง เหตุใดชายผู้นั้นถึงได้รู้ชื่อแซ่และที่อยู่นางได้นะ แต่คิดดูอีกที เขาเป็นถึงอ๋อง อยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนางคงไม่ใช่เรื่องยาก
จัดการเรื่องสัญญาเรียบร้อย ซย่าหมิ่นก็ได้รับตั๋วเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงมาอย่างรวดเร็ว ดวงเนตรงามเป็นประกายวาววับ
ห้าร้อยตำลึงช่างเป็นเงินมากมายอะไรอย่างนี้ ชาวบ้านทั่วไปมีรายรับต่อเดือนไม่กี่ตำลึง เงินห้าร้อยตำลึงจึงถือว่ามหาศาล!
ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนก็ไม่เคยเห็นตั๋วเงินจำนวนเท่านี้มาก่อนในชีวิต พากันมาลูบๆ คลำๆ พลางฮือฮากับความสูงค่าของมัน
ซย่าหมิ่นใจคอไม่ดีอยู่เหมือนกันที่ถือตั๋วเงินราคาสูงถึงเพียงนี้ ชาวบ้านร้านตลาดรู้กันทั่วว่านางได้เงินห้าร้อยตำลึงจากหลิ่นอ๋อง นางกลัวจะถูกชิงทรัพย์ จึงไหว้วานให้หวังเจาช่วยอารักขาตนไปส่งที่ร้านฝากเงิน ห้าร้อยตำลึงมากเกินไป จำต้องแตกเป็นเงินปลีกเสียก่อน
หญิงสาวไม่รู้ว่าความจริงองครักษ์หนุ่มได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้คุ้มกันนางไปร้านฝากเงินอยู่แล้ว และนางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ทุกคนรู้กันทั่วว่าเงินจำนวนนี้ หลิ่นอ๋องเป็นคนให้ยืม หากถูกปล้นชิงหรือเกิดเหตุใดๆ ที่ทำให้แผนเปิดกิจการใหม่ของนางไม่ประสบผลสำเร็จขึ้นมา ดาวอสูรอย่างลิ่นจื่อเชินอาจมาเอาเรื่องถึงที่ ดังนั้นไม่มีใครกล้าบ้าบิ่นริอ่านแตะต้องเงินจำนวนนี้ของนางแน่นอน
หลังฝากเงินเรียบร้อยแล้ว ซย่าหมิ่นก็วางแผนอย่างอารมณ์ดีว่าจะบริหารเงินก้อนนี้อย่างไร ในเมื่อเป็นเงินที่ยืมมา นางต้องใช้ทุกอย่างระมัดระวังยิ่ง จะสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้
ก่อนอื่นนางจัดการปรับปรุงซ่อมแซมร้านยาก่วงจี้ ทำป้ายร้านเสียใหม่ สร้างบรรยากาศที่แปลกไปจากเดิมเพื่อดึงดูดสายตาลูกค้า ถัดจากนั้นคือการซื้อตัวยาจำเป็นเข้าร้านให้ครบ ตู้เก็บยาที่เคยว่างเปล่ากลับมาเต็มไปด้วยยา กลิ่นยาหอมอบอวลไปทั้งร้าน ชวนให้หัวใจอิ่มเอมยิ่งนัก
ต่อมาคือหมอตรวจโรคประจำร้าน ซย่าหมิ่นไปเชิญหมอเฉินที่เคยทำงานแต่เดิมกลับมาอีกครั้ง หมอเฉินมีประสบการณ์มานานกว่าสามสิบปี เป็นหมอชราคนดังสมัยที่ร้านยาก่วงจี้ยังรุ่งโรจน์ ได้รับความเชื่อถือจากชาวเมืองอย่างกว้างขวาง
เห็นได้ชัดว่าสตรีเช่นนางเป็นหมอตรวจโรค ผู้คนไม่เชื่อถือ ดังนั้นการจ้างหมอชายจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไว้รอให้กิจการร้านยาก่วงจี้เข้าที่เข้าทาง ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทุกคนอีกครั้ง นางเชื่อว่าก็จะค่อยๆ มีคนมาให้นางรักษาเอง
จากนั้นซย่าหมิ่นพาน้องชายน้องสาวไปพิมพ์ใบประกาศ อาณาจักรต้าเซียวมีการพิมพ์แล้ว จะพิมพ์เท่าไรก็ได้ทั้งนั้น ที่น่าท้อใจก็คือต่อให้เห็นคนโยนใบประกาศร้านยาก่วงจี้ทิ้งพื้นเหมือนเป็นขยะ นางก็ยังต้องแจกต่อแผ่นแล้วแผ่นเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ใบประกาศได้ผล วันแรกที่ร้านยาก่วงจี้เปิดกิจการใหม่ก็มีคนมาจนแน่นร้านจริงๆ เสียดายที่ไม่ได้มาตรวจโรค แต่มาดูว่าหญิงที่ได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่นอ๋องเช่นนางหน้าตางดงามเพียงไรถึงได้เข้าตาเชื้อพระวงศ์หนุ่ม บุรุษบางคนเห็นว่านางได้เงินก้อนมาก็บอกว่าจะแต่งงานกับนาง ทว่าโดนป้าอิ๋นฮวาไล่ตะเพิดไปหมด
ถัดจากนั้นวันที่สอง…วันที่สาม…ในที่สุดก็มีคนไข้จริงๆ มาให้รักษา ล้วนแต่มาหาหมอเฉินโดยเฉพาะ เพราะเป็นคนไข้เก่าตั้งแต่ร้านยาก่วงจี้ยุคก่อน
วันที่สี่ มีแต่คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา นางจึงรับเป็นคนไข้ตรวจโรคให้
ครั้นพอวันที่ห้า…ในร้านก็เหลือแต่นางกับหมอเฉิน นางเบื่อเสียจนอยากหาว
วี้…วี้…
ซย่าหมิ่นกลอกตามอง แล้วลุกพรวดขึ้นมากางมือตบเมื่อเห็นยุงตัวหนึ่งบินอยู่ตรงหน้า แต่ตบไม่โดน
หมอเฉินเห็นนางเบื่อจนนั่งตบยุงก็พูดอย่างละอายแก่ใจ “เฮ้อ เป็นเพราะข้าไม่ใช่หมอชื่อดังนั่นล่ะ ถึงดึงคนไข้เข้าร้านไม่ได้…”
หญิงสาวรีบแย้งเมื่อได้ยิน “ท่านลุงเฉินพูดอะไรอย่างนั้น สมัยที่ท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นหมอที่ได้รับความเชื่อถืออันดับหนึ่งของร้านยาก่วงจี้เชียวนะ วันก่อนก็เพิ่งจะมีคนไข้มาหาท่านโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ ข้าเพิ่งจะเปิดร้านได้ไม่กี่วัน ลูกค้าจะไม่เยอะก็ไม่แปลกหรอก”
“ฮ่าๆ ข้ามาช่วยเจ้า กลับกลายเป็นถูกเจ้าปลอบไปเสียได้” หมอเฉินหัวเราะพลางลูบเครา แล้วพูดต่อ “หมิ่นเอ๋อร์ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าร้านยาก่วงจี้จะมีวันได้กลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความทุ่มเทของเจ้า วิญญาณของพ่อแม่เจ้าที่อยู่บนสวรรค์คงจะภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
แม้ว่าซย่าหมิ่นจะดูแข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดี แต่ความจริงในใจก็กังวลไม่น้อย ทว่าคำพูดของหมอเฉินเป็นกำลังใจให้นางได้อย่างดี นางบอกตนเองว่าชาวบ้านไม่ได้สูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อร้านยาก่วงจี้ภายในวันเดียว การจะดึงลูกค้ากลับมาใหม่นั้นจึงเป็นศึกระยะยาวที่ต้องสู้กันอีกนาน
ถ้าเช่นนั้นจะทำศึกอย่างไรเล่า
แจกใบประกาศอย่างเดียวยังไม่พอ
ซย่าหมิ่นเริ่มวางกลยุทธ์การตลาดว่าควรจะดึงดูดคนไข้เข้าร้านอย่างไรดี อย่าได้คิดเชียวว่าแค่แจกใบปลิว ปรับปรุงร้านใหม่ ให้หมอชื่อดังอย่างหมอเฉินมานั่งตรวจโรคแล้วจะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ นางต้องใช้วิธีเชิงรุกยิ่งกว่านี้
จริงด้วย นางต้องมีสินค้าเด็ด!
สินค้าเด็ดช่วยให้ผู้คนวางอคติแล้วเดินเข้าร้าน ขอเพียงมีคนยอมเข้ามาซื้อยา เข้ามาตรวจโรค นางก็จะมีโอกาสกอบกู้ชื่อเสียง เรียกความเชื่อมั่นของชาวบ้านกลับมาได้อีกครั้ง
ดังนั้นซย่าหมิ่นจึงเริ่มวิเคราะห์ว่าร้านยาเหรินเต๋อที่อยู่เยื้องกันมีดีอะไร กิจการถึงได้รุ่งเรืองนัก แน่ละว่าต้องมีหมอเก่งๆ มานั่งประจำร้าน นอกจากนั้นยังขายชุดยาต้มบำรุงร่างกายตำรับต่างๆ ลูกค้าจำนวนหนึ่งเข้าร้านมาซื้อชุดยาต้มพวกนี้ สมัยที่ร้านยาก่วงจี้ยังเฟื่องฟู ชุดยาต้มเช่นนี้ก็ขายดีอย่างยิ่ง หากนางสามารถ…
ไม่สิ ร้านยาก่วงจี้ต้องมีอันตกต่ำอย่างปัจจุบันก็เพราะชุดยาต้มเป็นพิษนี่ล่ะ หากนางทำออกขายใหม่จะมีคนกล้าซื้อหรือ เรื่องจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนห่อนั้นทำได้ ที่ท่านป้าอยากได้ตำรับยานักหนาก็ต้องเป็นเพราะคิดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเห็นว่าค่อนข้างเสี่ยง เพราะเรื่องในอดีตสร้างผลเสียไว้ร้ายแรงเกินไป ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตำรับยาซ่อนอยู่ที่ใด นี่เป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่นางยังนึกไม่ออก…ช่างเถิด อย่าเพิ่งทำยาชุดเลย ลองอะไรใหม่ๆ ดีกว่า แต่ปัญหาก็คือจะทำอะไรดีล่ะ
วันนั้นซย่าหมิ่นนั่งเอามือเท้าคางพลางเค้นสมองครุ่นคิดอยู่ในร้านทั้งวัน แต่ก็ยังคิดไม่ออก
ทันใดนั้นซย่าเจวี้ยนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาข้างใน “พี่ใหญ่ หน้าข้าเป็นสิว ข้าป่วยเป็นโรคประหลาดอะไรหรือไม่”
ซย่าหมิ่นรีบเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน จับหน้าน้องสาวเงยขึ้น “ไม่ต้องกลัว เช่นนี้เรียกว่าสิวสาว แล้วก็เป็นสิวอักเสบ คงเพราะช่วงนี้เจ้าร้อนใน นอนไม่ค่อยหลับ สิวเลยขึ้น ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวข้าจะจัดยาแก้ร้อนในให้ ที่สำคัญคือห้ามไปบีบมันเป็นอันขาด…” พูดมาถึงตรงนี้เสียงหวานก็สะดุดลงกะทันหัน เมื่อความคิดบางอย่างวาบเข้ามาในสมอง
จริงด้วย เหตุใดถึงคิดไม่ถึงกันนะ!
ในยุคปัจจุบันแพทย์แผนโบราณมีแขนงเพื่อความงามโดยเฉพาะ นำสมุนไพรมาวิจัยทำเป็นเครื่องประทินผิวประเภทต่างๆ โรงพยาบาลบ้านนางยังมีแผนกความงามที่ใช้สมุนไพรครบถ้วนทั้งแบบกินแบบทา กิจการไปได้ดีมากทีเดียว
ถัดจากนั้นนางก็นึกได้ว่าร้านยาใหญ่ที่สุดในเมืองเฉาหยางคือร้านยาเหรินเต๋อ หากแต่ร้านยาเหรินเต๋อไม่ให้ความสำคัญกับด้านความงาม ร้านเล็กอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากสตรีในเมืองอยากซื้อเครื่องประทินผิวก็ต้องไปซื้อที่ร้านขายแป้งผัดหน้า มีตัวเลือกไม่หลากหลายซ้ำยังราคาแพง หากนางสามารถวิจัยสมุนไพร ผลิตเป็นเครื่องประทินผิวออกมาขายในวงกว้าง จะต้องทำกำไรได้อย่างแน่นอน สตรีรักสวยรักงามเป็นนิสัย นางไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนซื้อ
“พี่ใหญ่…ท่านยิ้มอะไรอยู่คนเดียว” ทั้งยังอ้าปากเสียกว้างจนน้ำลายแทบไหลออกมาอยู่แล้ว…ซย่าเจวี้ยนยกมือขึ้นโบกตรงหน้าพี่สาว
ซย่าหมิ่นได้สติกลับคืนมา จับไหล่อีกฝ่ายกล่าวว่า “เจวี้ยนเอ๋อร์ พี่ใหญ่รักเจ้าเหลือเกินเลยจริงๆ ขอบใจมากนะที่เจ้ามีสิว พี่เลยคิดได้ พวกเรามาทำเรื่องดีๆ ด้วยกันเถิด!”
ไป๋จู๋ โกฐสอ ไป๋จี๋ ไป๋เลี่ยน โป่งรากสนขาว ไป๋เสา…ล้วนเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณให้ขาวใส ลดจุดด่างดำ สิวและฝ้า เอามาทำมาสก์เพื่อความงามหรือทำครีมทาสิวเพื่อผิวเรียบเนียนก็ดีทั้งนั้น
แน่นอนว่าการนำสมุนไพรเหล่านี้มาทำเครื่องประทินความงามชั้นดีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซย่าหมิ่น เพราะนางเคยร่วมทำงานวิจัยกับแผนกความงามของโรงพยาบาลที่บ้านมาแล้ว รังสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่ทั้งขายดีและได้รับเสียงชื่นชมจากลูกค้า นอกจากมาสก์ สบู่สมุนไพรก็ได้รับความนิยมมาก ซ้ำยังมีหลากหลายสูตร ดังนั้นนางจึงคิดว่าตนเองน่าจะลองดูสักตั้ง
นางอยากทดลองทำขี้ผึ้งพอกหน้าก่อน ขี้ผึ้งพอกหน้าก็คือมาสก์ในยุคปัจจุบันนั่นเอง นางเคยร่วมศึกษาค้นคว้ากับแผนกความงาม รู้ว่าสมัยถังนิยมขี้ผึ้งพอกหน้ากันอย่างมาก ขี้ผึ้งนี้ทำจากสมุนไพรธรรมชาติที่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณ นางถามจากพ่อค้าร้านสมุนไพรมาแล้ว ตลับหนึ่งราคาไม่ใช่เล่นๆ ส่วนใหญ่มีแต่พวกฮูหยินกับคุณหนูตระกูลร่ำรวยใช้กัน นางเลยเกิดความคิดว่าน่าจะทำขี้ผึ้งพอกหน้าราคาย่อมเยาออกขาย
โชคดีที่ซย่าหมิ่นยังจำสูตรทำขี้ผึ้งแบบโบราณได้และเคยทดลองทำจนสำเร็จมาแล้วด้วยความอยากรู้ ตอนนี้ร้านยาก่วงจี้มีสมุนไพรครบถ้วน นางจึงรีบตีเหล็กเมื่อร้อนลองทำดู โดยนำสมุนไพรที่ต้องใช้มาหั่นและบดให้ละเอียด แช่ทิ้งไว้ในสุรานึ่งคืน จากนั้นนำไปเคี่ยวบนเตาให้ส่วนผสมค่อยๆ งวดลงจนเหนียว ขั้นตอนนี้ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนมากทีเดียว
ในที่สุดซย่าหมิ่นก็ทำขี้ผึ้งพอกหน้าตลับแรกสำเร็จ ขี้ผึ้งขาวขุ่น โปร่งแสงเล็กน้อย พอกหน้าแล้วสัมผัสได้ว่าผิวนุ่มลื่นขึ้น หากใช้ต่อเนื่องเป็นประจำจะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี นางตั้งชื่อขี้ผึ้งตลับนี้ว่า ‘ขี้ผึ้งโฉมอัปสร’
วันนี้ซย่าจื้อเลิกเรียนกลับมาเดินเข้าบ้านก็เห็นคนสี่คนนอนอยู่บนตั่ง ทำเอาเขาถอยหลังติดๆ กันหลายก้าวด้วยความตกใจ
“พี่ใหญ่ พวกท่าน…พวกท่านเป็นอะไรไป” เขายกมือสั่นระริกชี้คนเหล่านั้น
ซย่าหมิ่น ซย่าเจวี้ยน แล้วก็หลานทั้งสองหน้าขาววอกจากโคลนสีขาวขุ่นที่พอกอยู่ โผล่มาให้เห็นแค่ลูกตา รูจมูก แล้วก็ปาก ดูราวกับผีหน้าขาวอย่างไรอย่างนั้น
“พี่รอง นี่เป็นขี้ผึ้งพอกหน้าที่พี่ใหญ่คิดค้น พอกแล้วช่วยให้งามขึ้นได้” ซย่าเจวี้ยนพูดอย่างชื่นชม
“ท่านอาใหญ่ ข้าก็จะงามขึ้นเหมือนกันหรือเจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์ถาม
“ใช่แล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์จะงามขึ้นอย่างแน่นอน” ซย่าหมิ่นตอบ
“ข้าก็อยากงามขึ้นเช่นกัน” เสียงเอ๋อร์ส่งเสียงตะโกนแบบเด็กๆ
จากนั้นดวงตาสี่คู่ก็เหลือบมองไปทางซย่าจื้ออย่างพร้อมเพรียง คล้ายกำลังเชิญชวนเขาว่า ‘มางามไปด้วยกันกับพวกเราสิ’ ทำเอาเด็กหนุ่มถอยกรูดไปอีกหลายก้าว เพราะยังไม่อยากมีสภาพเหมือนผี…
ซย่าหมิ่นออกคำสั่ง “จับตัวเขาไว้”
หนึ่งเค่อให้หลังเมื่อป้าอิ๋นฮวากลับจากจ่ายตลาดแล้วเดินเข้ามาเห็นใบหน้าขาววอกห้าดวงอยู่ในบ้าน นางก็อุทานด้วยความตกใจ “พวกท่าน…เป็นอะไรกัน…”
ซย่าหมิ่นยิ้มละไม “ป้าอิ๋นฮวา นี่เป็นขี้ผึ้งพอกหน้าที่ข้าทำขึ้นมา พอกแล้วผิวจะเนียนนุ่ม กระจ่างใส ท่านเองก็มาพอกด้วยกันสิ”
หญิงสูงวัยถอยหนีไปก้าวหนึ่ง “มะ…ไม่ต้องหรอก ข้าอายุปูนนี้แล้ว…”
“สตรีจะวัยใดก็รักสวยรักงามทั้งนั้น”
ป้าอิ๋นฮวาเลยถูกลากเข้าไปร่วมทดลองด้วยเหตุนี้ มีเพียงหมอเฉินที่นั่งประจำร้านผู้เดียวเท่านั้นที่รอดตัว
ซย่าหมิ่นผลิตขี้ผึ้งโฉมอัปสรออกมาอย่างมั่นใจ ด้วยความคิดที่ว่าสตรีรักสวยรักงามเป็นนิสัย นางจึงเชื่อมั่นว่าขี้ผึ้งพอกหน้านี้จะช่วยฟื้นฟูกิจการร้านยาก่วงจี้ขึ้นมาได้
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาตรงข้าม นางแขวนแผ่นป้ายประกาศขนาดใหญ่ไว้หน้าร้าน บรรยายสรรพคุณขี้ผึ้ง ทั้งยังไปสั่งพิมพ์ใบปลิวใหม่ โดยเขียนคำว่า ‘ราคาพิเศษ’ ตัวใหญ่ๆ แต่วางขายอยู่หลายวันก็ยังไม่มีลูกค้ามาซื้อ
ความจริงก็ใช่จะไม่มีลูกค้าเสียทีเดียว…
หญิงมีเรือนกลุ่มหนึ่งชะเง้อคอมองอยู่หน้าร้าน หนึ่งในนั้นผิวหน้าขรุขระ ซย่าหมิ่นรีบพุ่งเข้าไปหาทันที แล้วฉีกยิ้มพูดกับคนที่ผิวมีปัญหาว่า “คารวะท่านลูกค้า มาซื้อขี้ผึ้งโฉมอัปสรใช่หรือไม่ ซื้อตอนนี้ได้ราคาพิเศษนะเจ้าคะ…”
สตรีที่ผิวไม่ดีถูกคนอื่นดึงไปข้างหลังแล้วพากันกระซิบกระซาบ “ข้าว่าอย่าดีกว่า บรรยายสรรพคุณเสียเลิศลอย ใครจะไปรู้ว่าใช้แล้วหน้าจะกระดำกระด่างหรือไม่…”
“นั่นน่ะสิ นางยังสาวยังแส้ จะรู้จักผสมยาเป็นได้อย่างไรเล่า หากทาแล้วหน้าเน่าขึ้นมา…”
อะไรทาแล้วหน้าเน่า! ซย่าหมิ่นพยายามอธิบายอย่างระมัดระวัง “ข้าสืบทอดวิชาแพทย์จากท่านพ่อ รับรองว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ขี้ผึ้งโฉมอัปสรนี้ข้าศึกษามาแล้วอย่างละเอียด ทดลองใช้เองก็ได้ผลดี ข้าจะลองพอกให้ตอนนี้ก็ได้นะเจ้าคะ…”
“ข้าอยากลอง…”
“ไปเถิดน่า อย่าเชื่อเลย บ้านข้ามีตำรับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ลองเอาไปทำทาดู…”
“แต่…”
“ไปเร็ว…”
ซย่าหมิ่นจึงได้แต่ยืนมองลูกค้าที่อยากซื้อขี้ผึ้งถูกดึงไปต่อหน้าต่อตา ในใจโมโหเสียไม่มีดี
การเขียนป้ายและพิมพ์ใบปลิวประกาศขายขี้ผึ้งโฉมอัปสรช่วยดึงความสนใจของสตรีในเมือง หลายคนมาชะเง้อชะแง้คอมองหน้าร้าน แต่ไม่เชื่อถือในตัวนางหรือไม่ก็มีอคติกับร้านยาก่วงจี้จึงไม่กล้าเข้ามาซื้อ
เหตุใดขายขี้ผึ้งบำรุงความงามถึงได้ยากเย็นอย่างนี้นะ…นางแหงนมองฟ้าพลางทอดถอนใจ
“พี่สาว ได้ยินว่าท่านทำสิ่งที่เรียกว่าขี้ผึ้งโฉมอัปสรออกขายหรือ ดูท่าจะขายไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะ ท่านต้องลำบากแล้วจริงๆ”
ซย่าหมิ่นหันไปมองตามเสียง เห็นซย่าซื่อกับหลี่อวิ๋นเม่ยเดินเข้ามา ข้างหลังมีบ่าวไพร่ติดตามหลายคน ดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ
ปกติไม่ยักมา ทีวันนี้ล่ะมาได้ คงรู้ว่าขี้ผึ้งของนางขายไม่ได้เลยตั้งใจจะมาเยาะเย้ยล่ะสิ! ซย่าหมิ่นฉีกยิ้มรับศึก “ขี้ผึ้งโฉมอัปสรนี้เป็นยาดีที่ข้าค้นคว้าขึ้นอย่างตั้งใจ ต้องใช้เวลาให้คนรู้จักเสียก่อน ใจร้อนไม่ได้”
ซย่าซื่อแย้มยิ้ม ความชิงชังที่มีต่อหลานสาวซุกซ่อนอยู่ในแววตา “เห็นเจ้าเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ ป้าอยากช่วยอะไรเจ้าบ้าง เสียดายเจ้าไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ป้าก็ไม่อยากฝืนใจ เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าป้าคิดร้ายกับเจ้า”
หลี่อวิ๋นเม่ยยกมือขึ้นมาเป่าเล็บที่เคลือบสีเอาไว้อย่างสวยงาม “ท่านแม่พูดถูก ออกเรือนไปเสียดีกว่า ท่านแม่หาคู่ครองดีๆ ไว้ให้ข้า ข้าเคยเห็นเขาแล้ว หน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ทั้งยังนิสัยดี ข้าจะต้องมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์พร้อมอย่างแน่นอน”
“หมิ่นเอ๋อร์ ตอนที่น้องอวิ๋นของเจ้าแต่งงาน เจ้าต้องมาร่วมดื่มสุรามงคลด้วยล่ะ ต่อให้เจ้าโกรธแค้นข้าที่เป็นป้าอย่างไร พวกเราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันนะ” ซย่าซื่อยกมือป้องปากพลางกล่าวยิ้มๆ
สองแม่ลูกรับส่งบทกัน โอ้อวดใส่ซย่าหมิ่นอย่างจงใจ
ซย่าซื่อเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมากที่หลิ่นอ๋องให้ความสำคัญกับหลานสาวผู้นี้ พอเห็นว่าร้านยาก่วงจี้กิจการไม่ดีก็นึกในใจว่าหลิ่นอ๋องช่วยออกทุนให้แล้วอย่างไรเล่า ทำการค้าก็ต้องอาศัยลูกค้าอยู่ดี ช้าเร็วอย่างไรนางเด็กนี่ก็ต้องทำให้หลิ่นอ๋องเสียหน้าและโมโหเอาแน่
เมื่อเป้าหมายลุล่วงสมใจ นางก็พาลูกสาวกับสาวใช้เดินจากไปอย่างยิ่งใหญ่
พอกลุ่มคนเหล่านั้นไปแล้วซย่าหมิ่นก็คำรามลั่น “ต้องเอาเกลือมาสาดล้างซวย!”
จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เข้าไปในร้าน แล้วถือเกลือกลับออกมาสาดโครมไปบนพื้น
เช่นนี้ค่อยสะใจหน่อย
ตกกลางคืนซย่าหมิ่นนั่งเอามือสองข้างเท้าคางคิดแผนการตลาดต่อ ต้องทำอย่างไรนะขี้ผึ้งโฉมอัปสรที่ผลิตขึ้นมาถึงจะขายออก น้องชายกับน้องสาวก็มาช่วยคิดด้วย
ซย่าเจวี้ยนช่วยบ่นแทนนาง “ขี้ผึ้งโฉมอัปสรของพี่ใหญ่ใช้ดีถึงเพียงนั้นแท้ๆ เหตุใดถึงได้ไม่มีคนซื้อนะ ขอแค่ลองใช้ก็จะรู้เองว่าใช้ดีจริง ผิวเนียนนุ่มขึ้นมากเลย”
ส่วนซย่าจื้อไม่รู้เรื่องเครื่องประทินผิวของสตรี เขาแค่พูดไปตามเหตุผล “ก็เพราะไม่เคยใช้น่ะสิถึงได้ไม่รู้ว่าใช้ดี”
ซย่าหมิ่นได้ยินน้องๆ พูดเช่นนั้นก็ตบโต๊ะดังป้าบ ทำเอาสองคนที่เหลือสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ใช่ เพราะไม่มีคนเคยใช้ ไม่กล้าใช้กันนี่ล่ะ ถึงได้ไม่มีคนซื้อ ขนาดข้าบอกว่าจะลองพอกให้ที่ร้าน พวกนางยังไม่กล้าให้ลองเลย ดังนั้น…” ดวงเนตรงามเป็นประกายวาววับ “ทำตลับทดลองใช้ไปเลย! คนชอบของแจกเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว ได้ตลับทดลองใช้กลับไปวางที่บ้าน ต้องมีคนอยากลองพอกดูบ้างล่ะน่า พอลองแล้วรู้ว่าเป็นของดีก็จะกลับมาซื้อเอง!”
ลิ่นจื่อเชินพบว่าตนเองถูกขังอยู่ในกรงเหล็กเล็กๆ…ถูกต้อง กรงเล็กๆ
เขาเกลียดที่สุดเวลาตนเองถูกขัง คราวนี้เขากลายเป็นตัวอะไรอีกล่ะ
เขามองไปรอบกรง ด้านซ้ายมือมีชามน้ำวางไว้ ขวามือมีหัวผักกาดแดง…อย่าบอกนะว่ากลายเป็นกระต่าย
พอลองยกมือขึ้นดูก็เห็นอุ้งเท้าที่ปกคลุมด้วยขนปุกปุยสีขาว เขากลายเป็นกระต่ายจริงๆ!
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.