X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน แม่ทัพใหญ่ผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 1

การเดินทางไกลฝ่าความทุรกันดารในฤดูหนาวช่างทารุณเสียจริง

หลี่ชีฉือนั่งอยู่ในรถม้า กระถางไฟที่วางใกล้เท้ายังแดงฉ่า ทว่าสัมผัสไอร้อนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แม้จะปิดม่านหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนา ทว่าลมหนาวก็ยังเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี

มือทั้งคู่ของนางจับกันไว้ใต้แขนเสื้อ ถูไปถูมาจนเริ่มอุ่นขึ้นบ้างถึงค่อยยอมยื่นสองนิ้วออกมาเพื่อแหวกม่านหน้าต่างมองไปข้างนอก

หิมะที่ตกหนักตั้งแต่เมื่อวานเพิ่งหยุดลงหมาดๆ ยังจับตัวไม่ละลาย มองไปทางใดก็เห็นเป็นสีขาวพิสุทธิ์พร่างพราย

ต้นไม้แห้งโกร๋นตรงริมทางยื่นกิ่งก้านสีดำมีใบไม้แห้งติดหร็อมแหร็มออกมา ปุยหิมะขาวเกาะเป็นเส้นคดเคี้ยวอยู่ตามกิ่ง โยกไหวตามแรงลมทีไรก็ปลิดปลิวไปทีละนิด

ที่แห่งนี้คืออาณาเขตแดนเหนือ แตกต่างจากทุกที่ที่นางเคยเยี่ยมเยือนโดยสิ้นเชิง เท่าที่จำได้ นางยังไม่เคยเห็นหิมะหนาถึงเพียงนี้มาก่อน

ม้าเทียมรถล้วนเป็นอาชาสูงใหญ่กำยำที่นำเข้าจากซีอวี้ กระนั้นทุกจังหวะย่างย่ำเท้าของพวกมันยังจมลงไปในหิมะถึงครึ่งแข้ง การลากรถเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง

ม่านประตูหนาหนักพลันกระเพื่อมไหว จากนั้นเสียงใครผู้หนึ่งก็ดังเข้ามาข้างใน

ซินลู่ สาวใช้ที่เมื่อครู่ลงไปดูทางนั่นเอง ฝ่ายนั้นกระซิบถามเบาๆ อยู่หน้ารถ “นายหญิงงีบตื่นแล้วหรือยังเจ้าคะ”

หลี่ชีฉือมองออกไปข้างนอก “ข้าไม่ได้หลับ มีอะไรก็ว่ามา”

“ซื่อจื่อเจ้าค่ะ…” สาวใช้เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ซื่อจื่อฝากให้บ่าวมาเรียนนานแล้วว่าอยากนั่งรถม้าคันเดียวกับนายหญิง”

หลี่ชีฉือหันไปมองรถม้าคันที่ตามหลังมาติดๆ ก่อนจะลดม่านลง ไม่เอ่ยเอื้อนคำใด

ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหลังคือหลานชายของนาง กวงอ๋องซื่อจื่อ หลี่เยี่ยน

ซินลู่ที่อยู่ข้างนอกเงี่ยหูรอพักใหญ่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

สาวใช้คนสนิทเช่นนางรู้ตื้นลึกหนาบางดี ซื่อจื่อกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่อายุน้อยๆ ต้องอาศัยผู้เป็นนายของนางเลี้ยงดูมาอย่างเดียวดาย

นายหญิงทะนุถนอมและให้ความสำคัญกับซื่อจื่อมาโดยตลอด แต่ระหว่างรอนแรมเดินทางไกลครานี้กลับปล่อยเด็กชายไว้ในรถม้าอีกคัน เชื่อว่าต้องเป็นเพราะเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงก่อนหน้า

ไม่นานมานี้ซื่อจื่อได้แผลกลับมาจากสำนักศึกษา ทำเอาทั้งตำหนักแตกตื่นกันยกใหญ่ เห็นว่าไปมีเรื่องวิวาทกับผู้อื่น

ต่อมาอยู่ๆ นายหญิงก็ออกคำสั่งให้ย้ายนิวาสสถานแบบปุบปับ เตรียมตัวอย่างรวบรัด จัดขบวนเดินทางเรียบง่ายดั้นด้นสู่แดนเหนืออันเวิ้งว้างแห่งนี้ ไม่รู้ว่าตั้งใจจะเลียนแบบมารดาเมิ่งจื่อที่ย้ายบ้านถึงสามครั้ง หรือไม่

ซินลู่กำลังคิดมาถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงหลี่ชีฉือดังออกมาจากในรถอีกครั้ง “ร่างกายเขายังมีแผลไม่ใช่หรือ ให้เขาอยู่นิ่งๆ ดีกว่า อย่าลำบากเลย”

เป็นอันว่าไม่อนุญาต

ซินลู่ถอนหายใจรับคำว่า ‘เจ้าค่ะ’ พลางครุ่นคิดว่าอีกเดี๋ยวจะให้คำตอบซื่อจื่ออย่างไรดี ตลอดทางที่ผ่านมาเด็กผู้นั้นรบเร้านางไม่รู้กี่ครั้ง นางเพิ่งจะสบโอกาสเอ่ยขอให้เมื่อครู่นี้เอง แต่แล้วก็ไม่สำเร็จ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เป็นนายก็ถามขึ้นว่า “อีกไกลเท่าไร”

สาวใช้เอ่ยตอบ “ไม่ถึงสิบลี้เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

บทสนทนาเงียบหาย เหลือเพียงเสียงล้อรถบดลึกลงไปในพื้นหิมะดังแซ่กๆ

หลี่ชีฉือนั่งสำรวมตัวตรง อันที่จริงหัวใจนางก็พะวงห่วงหลานชายเช่นกัน

เด็กที่แสนน่าสงสารผู้นั้นเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของกวงอ๋อง พี่ชายนาง

แรกสุดชายากวงอ๋องเสียชีวิตตอนคลอดเขา ต้องจากโลกนี้ไปทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าเลือดในอก

พี่ชายนางพรวดพราดเข้ามาในห้อง อุ้มลูกน้อยคุกเข่าร่ำไห้ต่อหน้าศพชายา ลั่นสัตย์สาบานว่าจะฟูมฟักเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาและนางเป็นอย่างดี

แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี พี่ชายก็ไม่เคยแต่งงานครั้งที่สอง

จวบจนปีกลาย สองพ่อลูกไปเซ่นไหว้และทำความสะอาดสุสานชายากวงอ๋อง ขากลับเจอน้ำป่าจากภูเขาไหลหลากลงมาอย่างฉับพลัน ผู้ติดตามในขบวนไม่รอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว

พี่ชายนางใช้ร่างปกป้องลูกไว้อย่างแน่นหนา บุตรชายจึงปลอดภัยดีทุกประการ ส่วนตนเองนั้นกว่าจะช่วยออกมาได้ก็อยู่ในสภาพหมดสติ เปียกปอนด้วยดินโคลนทั้งเนื้อทั้งตัว เมื่อกลับมาถึงตำหนักก็ไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้อีกเลย

หลังบุพการีตายจาก หลี่ชีฉือเติบโตมาได้ด้วยการดูแลของพี่ชายผู้ซึ่งทั้งรักทั้งตามใจและให้อิสระนางเสมอมา แม้นางจะออกไปตะลอนๆ อยู่ข้างนอกตลอดเวลา เขาก็ไม่เคยยุ่มย่ามก้าวก่ายว่าไปทำอะไรที่ใดบ้าง

ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าระหว่างที่นางจากบ้านจากเรือนไปครานั้น พี่ชายจะประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ เมื่อนางรีบรุดกลับเรือนมา เสาหลักของตำหนักกวงอ๋องก็ได้ล้มลง เกียรติยศความยิ่งใหญ่ที่เคยมีสิ้นสูญ

อาการของเขาเกินเยียวยา ได้แต่ต้องรอวันตายเท่านั้น

ในวาระสุดท้ายของชีวิต พี่ชายยังมีห่วงอยู่แค่เพียงสองเรื่องคือ…บุตรชายกับน้องสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน

วันนั้นเขาบอกกับนางอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่าได้ส่งหนังสือไปเร่งรัดคนของจวนเหอลั่วโหวแล้ว

หลี่ชีฉือหมั้นหมายกับซื่อจื่อของจวนเหอลั่วโหวแห่งลั่วหยางมานานหลายปี บุพการีนางเป็นผู้จัดการเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

นางเคยฟังมาว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เหอลั่วโหวมาเยี่ยมเยือนที่ตำหนัก เห็นนางเข้าก็ตกตะลึงในความงดงามของรูปโฉม ถึงกับเอ่ยปากขอนางให้บุตรชายตนเองตรงนั้นเลย

แน่นอนว่านั่นเป็นคำกล่าวของทางเหอลั่วโหว ส่วนหลี่ชีฉือจำอะไรไม่ได้เพราะยังเล็กนัก นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงชมตนเสียเลิศลอย

ตำหนักกวงอ๋องส่งจดหมายไปนานแล้ว ทางจวนเหอลั่วโหวก็ยังไม่มาเจรจาเรื่องแต่งงานเสียที

รออยู่สามเดือน ในที่สุดก็มีคนมาเข้าพบ ทว่าจุดประสงค์คือขอถอนหมั้น

เห็นว่าเหอลั่วโหวซื่อจื่อผู้นั้นไปผูกสมัครรักใคร่กับผู้อื่น คนเป็นพ่อเองก็จนปัญญา

คนจากจวนโหวพร่ำขอขมาไม่รู้กี่ครั้ง ซ้ำยังนำของทำขวัญมาชดเชยให้มากมาย กระนั้นพี่ชายนางก็ยังโมโหจนกระอักเลือด

เขาถึงกับฝืนสังขารลงจากเตียงโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของคนรอบตัว เขียนฎีกานำขึ้นทูลถวายฮ่องเต้ขอพระราชทานสมรสแก่น้องสาวมาลบล้างความอัปยศครานี้

ฮ่องเต้คงจะเมตตา จึงกำหนดคู่สมรสให้อย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นคือผู้บัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดร ฝูถิง

กองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรมีทหารกล้าอยู่ใต้อาณัติ ทว่าฝูถิงผู้นี้ถือกำเนิดจากสามัญชนต่ำต้อย มองกันที่ชาติตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับหลี่ชีฉือผู้มีสายเลือดราชวงศ์อยู่ในตัว

เมื่อได้รู้ข่าวนี้ นางก็ตระหนักแจ้งว่าตนไม่ได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้เท่าใดหรอก แต่กลายเป็นเครื่องมือที่โอรสสวรรค์ใช้ผูกสัมพันธ์กับขุนศึกฝ่ายเหนือต่างหาก

แต่ในเมื่อมีราชโองการลงมาแล้วก็จำต้องทำตาม

บางทีก็คงมีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ผู้บัญชาการผู้นั้นก็ไม่เคยสอดมือเข้ามายุ่มย่ามเรื่องงานสมรส อ้างว่าการศึกรัดตัวและไม่สันทัด ‘ธรรมเนียมราชวงศ์’ จึงยกทุกอย่างให้เป็นธุระของตำหนักกวงอ๋องทั้งหมด

เพราะเหตุนี้งานวิวาห์จึงจัดขึ้นที่เมืองกวงโจว ฤกษ์ยามก็เลือกเอาช่วงที่กวงอ๋องอาการกระเตื้องขึ้น พี่ชายจะได้เบาใจที่ได้เห็นน้องสาวออกเรือนไปกับตา

น่าเสียดายที่งานมงคลกลับไม่นำความแช่มชื่นมาให้ เพราะกวงอ๋องอาการทรุดหนักในคืนวิวาห์นั่นเอง ที่สีหน้าดูดีขึ้นเป็นเพียงพลังเฮือกสุดท้ายก่อนลาลับเท่านั้น

หลี่ชีฉือวิ่งหน้าเริดออกจากโถงพิธีมาที่ห้อง พี่ชายนอนหงายอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

‘ชีฉือ…’ เขาควานจับมือนางเอาไว้ ‘ไม่รู้ว่าพี่จัดการเช่นนี้…จะกลายเป็นทำร้ายเจ้าแทนหรือไม่…’

กวงอ๋องผู้หนุ่มแน่นไม่เคยยอมก้มหัวให้โชคชะตามาก่อน ทว่าเวลานี้กลับดูร่วงโรยอย่างน่าใจหาย

‘จะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ ข้าพอใจการเลือกคู่ครองนี้มาก’ นางประคองมือเย็นเฉียบของเขาไว้ ค่อยๆ ถูมอบไออุ่นให้อย่างระมัดระวัง

‘ต่อไปตำหนักกวงอ๋อง…ต้องพึ่งเจ้าแล้วนะ’

‘ข้าทราบเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ข้าทราบ’

‘อาเยี่ยน…’ เขาพูดได้เพียงเท่านั้นก็หมดลม

ใกล้ยามจื่อ ในคืนนั้น ข้ารับใช้มารายงานว่าท่านผู้บัญชาการได้รับข่าวทางการทหาร จึงออกเดินทางกลับแดนเหนือไปแล้วโดยไม่รอให้ถึงวันพรุ่ง

ครั้นพอฟ้าสาง หลี่ชีฉือก็เปลี่ยนชุดเจ้าสาวมาสวมชุดไว้ทุกข์ เริ่มปกครองตำหนักกวงอ๋องทั้งตำหนักมานับแต่นั้น

เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นปุบปับ ดึงสติหญิงสาวให้หลุดออกจากภวังค์ความหลัง

“ซื่อจื่อ!” ซินลู่หวีดร้องอยู่ข้างนอก

ม้าร้องฮี้ คละเคล้าด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งของคนจำนวนมาก

หลี่ชีฉือใช้มือแหวกม่านและชะโงกตัวออกไป

สารถีกับซินลู่วิ่งโร่ไปหารถม้าคันข้างหลังแล้ว

รอยเท้าย่ำพื้นหิมะสะเปะสะปะสับสนไปเป็นทาง รถเทียมม้าสองตัวจอดเอียงกระทะเร่อยู่ตรงนั้น อาชาทั้งคู่ใช้เท้าตะกุยหิมะอย่างกระสับกระส่าย ลำไม้ขนาดใหญ่หนาร่วงลงมาทับหลังคารถ

เหตุเกิดมาจากต้นไม้ใหญ่ข้างทางหักโค่น ล้มเอนลงมาทับรถเข้าพอดิบพอดี

ประทุนรถที่ทำจากไม้แตกหักไปเกือบครึ่งจากแรงกระแทก หวังหมัวมัวที่เป็นแม่นมของซื่อจื่อนั่งข้างประตูรถในตอนแรกปลิวไปอีกทาง นางยกมือข้างหนึ่งกุมหัว มืออีกข้างตบอกตนเองอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ปากก็ร้องลั่นว่า ‘สวรรค์ช่วยด้วย’

กวงอ๋องซื่อจื่อยังอยู่ในรถม้า

ระหว่างที่ใครต่อใครรีบรุดเข้าไปช่วยมือไม้เป็นระวิง หลี่ชีฉือกลับตะลึงงันอยู่กับที่

ดวงหน้าใกล้สิ้นลมของพี่ชายคืนนั้นผุดขึ้นในมโนนึก จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็รำพึงอย่างยังไม่หมดห่วง ‘อาเยี่ยน…’

นางจับมือเขาไว้แน่นพลางตอบไปว่า ‘ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี รับรองว่าจะต้องดูแลเขาเป็นอย่างดีแน่นอน’

ต่อเมื่อได้ยินคำมั่นสัญญา ดวงตาของพี่ชายถึงค่อยปิดลง

ทว่าตอนนี้นางกลับปล่อยให้หลานคนเดียวเป็นอันตรายต่อหน้าต่อตาตนเอง

หญิงสาวเอามือรั้งชายกระโปรงเตรียมก้าวเท้าลงจากรถม้า ทว่าเหลือบไปเห็นร่างของใครผู้หนึ่งมุดออกมาจากประทุนรถคันข้างหลังเสียก่อน

หวังหมัวมัวรีบถลาเข้าไปหาทันที “ซื่อจื่อ! บ่าวตกใจแทบตาย”

หลี่เยี่ยนเอามือป้องจมูกไอสองที แล้วปัดเศษหิมะออกจากเสื้อ ปลอบโยนแม่นมสองสามคำก่อนจะหันมาหาหลี่ชีฉือพร้อมร้องบอก “ท่านอาหญิงไม่ต้องเป็นห่วง หลานไม่เป็นไรขอรับ”

ปลายเท้าที่กำลังจะก้าวลงจากรถม้าหยุดชะงัก เมื่อได้เพ่งมองหลานชายโดยละเอียด หัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลของนางก็ค่อยสงบลง นางปล่อยมือจากชายกระโปรงแล้วกลับเข้าไปในรถช้าๆ

เพิ่งนั่งลงไม่ทันไรก็มีคนตามเข้ามา จะเป็นใครได้หากไม่ใช่หลี่เยี่ยน

เด็กชายเกล้าผมมวยครอบเกี้ยวทองแล้วทั้งที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ เขาทำคอหดเข้าไปในเสื้อคลุมตัวใหญ่เนื้อหนาที่สวมอยู่ ปลายจมูกแดงก่ำ ตรงมุมหน้าผากเป็นรอยแผลตกสะเก็ด เขาเข้ามานั่งข้างๆ มองนางพลางถูมือเข้าหากัน “ท่านอาหญิง…”

หลี่ชีฉือหลุบตานวดปลายนิ้วมือเบาๆ อาการตื่นตระหนกถึงค่อยคลายลงบ้าง เมื่อครู่นางขยุ้มชายกระโปรงแน่นเกินไป

เนตรงามทอดมองกระถางไฟ สักพัก…ก็เหลือบมาหารองเท้าหุ้มแข้งบุนวมข้างในที่หลานชายสวมอยู่ รองเท้าคู่นี้นางซื้อกลับมาฝากเขาระหว่างออกจากตำหนักไปเดินทางอยู่ข้างนอก

หลี่เยี่ยนเอ่ยถาม “ท่านอาหญิงหนาวหรือไม่”

จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “ข้าหนาวเหลือเกินขอรับ”

หลี่ชีฉือไม่ตอบคำ แต่ใช้เท้าเลื่อนกระถางไฟไปทางเขาอีกนิด

เด็กชายเห็นดังนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายสงสารตนเอง จึงรีบฉวยโอกาสทำตัวเป็นเด็กดีทันที “ท่านอาหญิง หลานผิดเองขอรับ วันนั้นไม่น่าก่อเหตุวิวาทกับคนอื่นในสำนักศึกษาเลย ท่านอย่าเมินหลานเลยนะขอรับ”

หลี่ชีฉือเอนหลังกึ่งนั่งกึ่งนอน “แบบนั้นเรียกว่าก่อเหตุได้อย่างไร”

“หลานได้แผลกลับมาก็ถือว่าเป็นเหตุใหญ่แล้ว” หลี่เยี่ยนตอบอย่างสำนึกผิด

“เจ้าเป็นฝ่ายถูกต่อยแท้ๆ จะนับว่าเจ้าก่อเหตุได้หรือ” หลี่ชีฉือรักษาหน้าหลานชายด้วยการแจกแจงข้อเท็จจริงเบาๆ เพราะเกรงบ่าวไพร่จะได้ยิน “สำนักศึกษาในจวนผู้ว่าการเมืองกวงโจวที่เจ้าไปเรียนมีเพื่อนร่วมสำนักทั้งสิ้นเจ็ดคน ในจำนวนนี้มีอยู่สี่คนที่รุมรังแกเจ้าโดยมียงอ๋องซื่อจื่อเป็นหัวโจก เจ้าไม่เคยปริปากอุทธรณ์ น่ากลัวว่าครานี้หากไม่เพราะคนพวกนั้นลงไม้ลงมือจนเจ้าได้แผล เจ้าก็คงจะปิดบังต่อไป”

หลี่เยี่ยนก้มหน้านิ่งเงียบ

คนเหล่านั้นมักบริภาษเขาลับหลังว่าเป็นดาวหายนะทำมารดาตาย ต่อมายังเป็นเหตุให้บิดาจากไป เป็นดาวหายนะแต่เกิดขนานแท้ พอเขาข่มใจอดทนยอมลงให้ ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งได้ใจใหญ่ จากที่แต่ก่อนยังทำแอบๆ กลายเป็นกล้ารังแกเขาซึ่งหน้า

หลังเลิกเรียนวันนั้นอีกฝ่ายขวางทางเขาไว้แล้วพูดจาเสียดสีแดกดัน จนสุดท้ายพาดพิงไปถึงอาหญิง

หาว่าถึงอย่างไรท่านอาหญิงก็เป็นเซี่ยนจู่ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่กลับไร้ชายใดแลเหลียว ต้องให้ฮ่องเต้ออกหน้าจนต้องลดตัวแต่งไปกับแม่ทัพที่มีศักดิ์ต่ำกว่า นั่นเป็นเพราะดาวหายนะอย่างเขานำโชคร้ายมาให้เช่นกัน

พอเขาถลึงตาใส่คนพวกนั้นไปทีหนึ่งอย่างเหลืออด ก็ถูกผลักจนเซล้มไปชนมุมโต๊ะจนเหลี่ยมหน้าผากแตก ตอนลุกขึ้นมาเขายังหมายจะเอาคืนบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังยั้งใจไว้อยู่ดี

เสียดายก็แต่รอยแผลอยู่ในที่เตะตาจนไม่อาจปกปิด พอกลับถึงตำหนักจึงถูกเห็นเข้าจนได้

อันที่จริงตอนต้นไม้หักโค่นลงมาทับรถม้าเมื่อครู่ เขาคิดด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเย้ยหยันอาจเป็นจริง เขาคงเป็นดาวหายนะดังคำบริภาษ เป็นตัวต้นเหตุแห่งโชคร้ายทั้งหมดทั้งปวง

ทว่าก็ได้แต่คิดเท่านั้น หากท่านอาหญิงทราบว่าเขามีความคิดหดหู่มืดมนเช่นนี้ เป็นได้ถูกเอ็ดเอาแน่

เด็กชายงึมงำในคอโดยไม่เงยหน้า “ช่างเถิดขอรับท่านอาหญิง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว หลานเองก็ปลอดภัยดี”

“เจ้านี่ช่างยอมคนเสียจริง” หลี่ชีฉือกล่าว

“หลานทราบขอรับ” หลี่เยี่ยนก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “เวลานี้ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว พวกเราไม่ยิ่งใหญ่เหมือนแต่ก่อน หลานจะต้องไม่ทำให้ท่านอาหญิงเดือดร้อน”

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองเขานิ่งงัน เพิ่งจะอายุแค่สิบเอ็ดขวบเท่านั้น แต่ถูกพี่ชายนางอบรมสั่งสอนเสียจนเป็นผู้ใหญ่เกินตัว บุคลิกไม่มีความเป็นเด็กแม้แต่นิดเดียว เพราะอย่างนี้เลยยิ่งทำให้นางปวดใจ

ยงอ๋องมีสายเลือดใกล้ชิดกับฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันมากกว่า ขนาดบุตรชายมาอาศัยร่ำเรียนวิชาในถิ่นพวกนางแท้ๆ ยังกล้าวางก้ามข่มเขื่องอย่างไม่เกรงกลัว

บุตรยงอ๋องยังพอว่า เพราะเป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ แต่พวกลูกสมุนนี่สิ ถือดีอย่างไรถึงได้กล้าข่มเหงรังแกซื่อจื่อของชินอ๋องผู้หนึ่งถึงเพียงนี้

แต่เพราะเขายังเป็นซื่อจื่ออยู่นี่ล่ะ

ทั้งที่พี่ชายนางจากโลกนี้ไปแล้ว บุตรควรได้สืบบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา แต่จนบัดนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่มีราชโองการแต่งตั้ง ได้แต่ให้ขันทีเป็นตัวแทนมาแสดงความอาลัยและมอบทรัพย์สินจำนวนหนึ่งให้เป็นการปลอบโยน พร้อมบอกว่าเวลานี้ฮ่องเต้ป่วยซมมานานแล้ว รอให้ซื่อจื่อเจริญวัยก่อนค่อยแต่งตั้งก็ยังไม่สาย แต่ตอนที่พี่ชายนางได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง เขาก็มีอายุได้เพียงสิบสามปีเท่านั้น

ความอยุติธรรมที่ได้รับเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตำหนักกวงอ๋องอาจตกต่ำลงได้ทุกเมื่อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผู้อื่นข่มเหงอย่างไรได้

แต่ก่อนยังแค่คะนองปากถากถางด้วยวาจา ตอนนี้ถึงกับกล้าลงไม้ลงมือ แล้วภายหน้าเล่า

หลี่ชีฉือเศร้าสะท้อนใจกับตนเอง แล้วทอดถอนใจเอ่ย “อาให้เจ้านั่งรถม้าคนเดียวมาตลอดทาง จนป่านนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดอาถึงโกรธเจ้า”

หลานชายเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “ท่านอาหญิงโปรดวางใจ ต่อไปหลานจะไม่ก่อเหตุกับคนอื่นอีกแล้ว”

เสียง ‘กึง’ ดังขึ้นเบาๆ หลี่เยี่ยนหดเท้าหนี เพราะหลี่ชีฉือถีบกระถางจนสะเก็ดไฟสีแดงแตกกระเซ็น หวุดหวิดจะโดนชายเสื้อคลุมเขา

เด็กชายเบิกตากว้าง มองผู้เป็นอาอย่างฉงนงงงวย

“โง่เง่า อาโมโหที่เจ้าไม่เอาคืนบ้างต่างหากเล่า” นางเอ็ดเบาๆ “เจ้ายังอายุน้อย อยู่ในวัยคะนอง ต่อไปหากใครรังแกมาก็รังแกกลับไปเสีย มีอะไรให้พะวักพะวนนักหนา ต่อให้เกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เจ้าก็ยังมีอาอยู่ทั้งคน”

หลี่เยี่ยนผงะนิ่งไปนาน ปลายจมูกแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า ไม่รู้เพราะอากาศหนาวหรือเพราะคับแค้นใจกันแน่ “ท่านอาหญิงสงสารหลาน แต่หากทำเช่นนั้นได้จริง ท่านอายังต้องพาหลานออกจากกวงโจวมาด้วยเหตุใดกันขอรับ”

จะต้องเป็นเพราะหนียงอ๋องซื่อจื่อกับลูกสมุนนั่นล่ะ

แต่เนื่องจากกลัวผู้เป็นอาจะเสียใจ เขาจึงไม่กล้าเอ่ยตรงๆ

หลี่ชีฉือยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ซินลู่ก็ส่งเสียงรายงานอยู่ด้านนอกว่าดึงรถม้าคันข้างหลังให้ตั้งตรงได้แล้ว ส่วนข้าวของในนั้นได้ย้ายไปไว้ในรถม้าคันอื่น รอจัดให้เรียบร้อยอีกสักครู่ก็สามารถออกเดินทางต่อได้

หลี่ชีฉือมองหน้าหลานชายแล้วก็อดจะเวทนาไม่ได้ นางโบกมือวูบโดยไม่คิดจะพูดอะไรเกินความจำเป็นอีก “ช่างเถิด เจ้าแค่ทำตามที่อาบอกก็พอ”

หลี่เยี่ยนเบียดเข้ามานั่งสงบเสงี่ยมข้างๆ โดยไม่ลืมที่จะโน้มเอวไปใช้สองมือประคองกระถางไฟให้ตั้งตรง ก่อนจะทิ้งตัวหนุนตักนาง แล้วสูดจมูกอย่างน่าสงสาร “หลานย่อมทำตามคำท่านอาหญิงอยู่แล้วขอรับ”

บทที่ 2

สองคนอาหลานกลับมาสมัครสมานกันดังเดิม

หลี่ชีฉือโอบกอดหลานเอาไว้ ตอนแรกเนื้อตัวเขายังเย็นเฉียบ มาบัดนี้ค่อยพอจะมีไออุ่นขึ้นมาบ้าง

พอก้มหน้าลงมองอีกทีหลังผ่านไปสักพัก ก็พบว่าเด็กชายผล็อยหลับไปแล้ว

นางทั้งขันทั้งสงสาร เดินทางครานี้ทั้งคนทั้งม้าเหนื่อยล้าไปตามๆ กัน เมื่อครู่เขายังเจอเหตุน่าตกใจ ไม่เพลียก็แปลกเต็มที

หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ

ซินลู่แหวกม่านมองเข้ามาเห็นภาพนี้เข้าก็เม้มปากกลั้นยิ้ม ก่อนจะกลับออกไป

นึกแล้วเชียวว่าท่านใจอ่อนไม่มีใครเกิน…

ชายแดนทางเหนือกินอาณาเขตเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ได้สมญานามว่า ‘แดนแปดกองพลสิบสี่เมือง’

ทุกคนเหน็ดเหนื่อยเต็มทีกว่าจะใกล้ถึงที่หมาย ไม่ประสงค์จะพบเจอเหตุขัดข้องใดๆ อีก เมื่อออกเดินทางอีกครั้งแล้วเร่งรุดจนถึงนอกเมือง แสงสายัณห์ก็แผ่คลุมผืนพิภพ ประตูเมืองปิดลงไปนานแล้ว

เสียงเอะอะอึงอลนอกเมืองปลุกหลี่เยี่ยนจากห้วงนิทรา เขาขยี้ตาลุกขึ้นมานั่ง ถามขึ้นมึนๆ อย่างยังไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ซินลู่ที่นั่งอยู่ข้างนอกเหน็บชายม่านหน้าประตูรถให้มิดชิดกว่าเก่าพลางตอบเบาๆ “ซื่อจื่ออย่าส่งเสียงเจ้าค่ะ เดินทางอยู่ข้างนอกต้องพึงระวังตัวเข้าไว้”

หลี่ชีฉือเลิกม่านมองออกไป คนจำนวนมากชุมนุมกันอยู่บนพื้นหิมะนอกประตูเมือง ส่วนใหญ่แต่งกายซอมซ่อ มองดูคล้ายเงาลอยไปลอยมาใต้แสงสลัวยามพลบค่ำ

“ไม่มีอะไรหรอก แค่ผู้อพยพเท่านั้น ไม่ใช่โจรร้ายที่ใด”

หลี่เยี่ยนกังขา “ผู้อพยพคืออะไรขอรับ”

“คนที่เดินทางจากถิ่นอื่นเพื่อมาปักหลักที่แดนแปดกองพลสิบสี่เมืองแห่งนี้ นั่นล่ะผู้อพยพ”

เด็กชายเดาะลิ้น “ที่นี่อากาศหนาวเย็นแทบแข็งตาย ยังมีคนอยากมาอยู่อีกหรือ แสดงว่าการปกครองต้องดีสินะขอรับ”

ผู้เป็นอาตอบ “การปกครองดีหรือไม่นั้นยังไม่แจ้ง อารู้แค่ว่ามีการเกณฑ์ทหารใหม่ตลอดเวลา ผู้อพยพมาถึงที่นี่สามารถแผ้วถางที่ดินไว้ทำไร่ทำนา หรือไม่ก็ไปเป็นทหารเลี้ยงปากท้อง แล้วเหตุใดจะไม่มาเล่า”

หลี่เยี่ยนมีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน ได้ฟังดังนั้นก็จดจำไว้ในใจ แล้วยิ่งนึกเลื่อมใสอาหญิงของตนยิ่งกว่าเก่า มิน่าเล่าตอนท่านพ่อยังมีชีวิตถึงได้ปรารภอยู่บ่อยครั้งว่าท่านอาหญิงท่องมาแล้วทั่วสารทิศ เห็นโลกกว้างขวางไม่แพ้บุรุษ สิ่งเหล่านี้หากไม่ออกไปดูให้เห็นด้วยตาตนเอง มีหรือจะเข้าใจถ่องแท้

“แดนเหนือไม่เหมือนกวงโจวเลยจริงๆ” เขาทบทวนความรู้ที่ร่ำเรียนมาแล้วพูดขึ้น “จำได้ว่าที่นี่น่าจะอยู่ใต้การปกครองของกองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดรนะขอรับ”

เขาพูดไปแล้วก็ชะงักค้าง

กองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดร? เหตุใดถึงได้คุ้นนัก

“อ๊ะ?!” เด็กชายผงะเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นอา

แค่ได้ยินหลานชายพูดถึงกองบัญชาการกองทัพพิทักษ์อุดร หลี่ชีฉือก็เดาได้แล้วว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร นางจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย

หลี่เยี่ยนเห็นนางไม่พูดไม่จาก็เข้าใจไปอีกทาง กลับไปสลดหดหู่ใหม่ “เพราะหลานเป็นตัวถ่วงแท้ๆ ท่านอาหญิงถึงต้องอยู่โยงในกวงโจวทั้งที่ออกเรือนแล้ว”

“อย่าพูดจาเหลวไหล เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”

แม้นางจะไม่รู้จักสามีตนเองเท่าใดนัก แต่ก็นับว่าเขาเป็นคนใจกว้าง อย่างน้อยๆ แต่งงานกันมานานถึงเพียงนี้ก็ไม่เคยเอ่ยปากให้นางย้ายมาอยู่ที่จวนผู้บัญชาการ ขึ้นปีใหม่หรือถึงเทศกาลคราใดก็จะให้คนส่งของไปให้ทางกวงโจวพร้อมออกตัวอย่างสุภาพว่ามีงานติดพันจนปลีกตัวมาไม่ได้

นางเองเสียอีกที่แสดงไมตรีต่อเขาน้อยนิดมาตั้งแต่ต้น ความคิดมีเพียงหลานชายอย่างเดียว

เขาอยู่ทางเหนือ นางอยู่ทางใต้ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ก้าวก่ายกันและกัน

สามีภรรยาเช่นนี้เห็นจะมีเพียงคู่เดียวในโลก แล้วเด็กเช่นหลี่เยี่ยนจะเข้าใจได้หรือ

บางครั้งแม้แต่ตัวนางเองยังไม่ใคร่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ

ซินลู่ถามอยู่ข้างนอก “นายหญิง จะให้ทหารสักนายบนกำแพงเมืองนำข่าวเข้าไปแจ้งหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่ชีฉือนิ่งคิด นี่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ยุ่งยากเกินไป ถูกล่ะว่าเขากับนางเป็นสามีภรรยากัน ทว่าไม่ได้มีธุระเร่งด่วน อาจตกเป็นที่ครหาได้โดยง่าย อีกอย่างหากเปิดประตูเมืองแล้วผู้อพยพเหล่านี้ฉวยโอกาสกรูตามเข้าไปด้วย เกิดอะไรขึ้นมานางก็ต้องรับผิดชอบอีก

สุดท้ายหลี่ชีฉือจึงตอบไปว่า “บ่ายหน้าไปโรงเตี๊ยมแทน”

นอกเมืองมีเรือนแรมไว้ให้นักเดินทางพักค้างคืน เป็นโรงเตี๊ยม

กว่าขบวนรถม้าจะไปถึงที่หมาย ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว

ในเมื่อเจ้านายเป็นสตรี อีกทั้งจะให้ซื่อจื่อน้อยออกหน้าก็ไม่ได้ ซินลู่จึงให้สารถีเข้าไปเจรจาขอเปิดห้อง

สารถีผู้หนาวใจจะขาดแล้วเช่นกันรีบทิ้งแส้ม้าวิ่งเหยาะๆ เข้าไปข้างใน เพียงครู่เดียวก็วิ่งกลับออกมาแจ้งซินลู่…ทางโรงเตี๊ยมบอกว่าห้องพักเต็มหมดแล้ว รองรับจำนวนคนมากมายในขบวนของพวกเขาไม่ได้

ซินลู่ที่หนาวจนตัวสั่นถูมือเข้าหากันแล้วเป่าลมจากปากใส่ กำลังหมายใจจะเข้าไปซดน้ำแกงร้อนๆ สักอึก ได้ยินดังนั้นก็ร้อนรนยิ่งนัก รีบมุดม่านรถม้าไปรายงานทันที

หลี่เยี่ยนที่ตื่นเต็มตาแล้วงึมงำ “เป็นไปได้อย่างไรกัน ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นคนไม่กี่มากน้อย แล้วโรงเตี๊ยมนอกเมืองจะมีแขกเข้าพักจนเต็มได้หรือ”

หลี่ชีฉือลูบหัวหลานชาย “เจ้าพูดถูกเผงเลย” จากนั้นนางก็สั่งสาวใช้ “หยิบหมวกม่านแพรของข้ามา”

ซินลู่ชะงัก “นายหญิงจะเข้าไปจัดการด้วยตนเองหรือเจ้าคะ”

“อืม”

หมวกม่านแพรอยู่ในรถม้าคันข้างหลังที่ไว้ขนสัมภาระโดยเฉพาะ ซินลู่ไปหยิบมาสวมให้ผู้เป็นนายอย่างคล่องแคล่วว่องไว ก่อนจะหันไปผูกเสื้อคลุมของหลี่เยี่ยนให้กระชับขึ้น

สารถีที่อยู่ข้างนอกแหวกม่านหน้าประตูและวางไม้รองเหยียบรอไว้อยู่แล้ว

ตะเกียงสองดวงโผล่ขึ้นมาเหนือขอบกำแพง หิมะทับถมกันบังหน้าประตู หยดน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็งย้อยยาวลงมาจากชายคา

หลี่ชีฉือจูงหลี่เยี่ยนเดินเข้าโรงเตี๊ยม

เป็นดังที่หลานชายกล่าว ข้างในมีแขกแค่ไม่กี่คน นางกวาดตามองอย่างรวดเร็ว ห้องครัวที่อยู่ถัดเข้าไปจากห้องโถงก็ไม่มีควันไฟลอยออกมาให้เห็นนักเช่นกัน

“กลายเป็นทำให้ฮูหยินต้องลำบากเข้ามาถามด้วยตนเอง ล่วงเกินแล้วจริงๆ…”

หลงจู๊โรงเตี๊ยมถูกสารถีพาตัวออกมา พอเขาเห็นหลี่ชีฉือแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นดี แม้สวมหมวกม่านแพรยาวยังแลเห็นผิวขาวผ่องดุจหิมะกับเรือนผมดำขลับได้รำไร เช่นนี้ไม่มีทางเป็นหญิงสามัญชนทั่วไปเด็ดขาด ยิ่งเหลือบมองไปยังคุณชายน้อยหน้ามนสวมเกี้ยวทองที่ยืนอยู่ข้างนางก็ยิ่งมั่นใจ เขาจึงรีบประสานมือคำนับพร้อมขอขมาเสียงอ่อนเสียงหวานทันที

“ได้ยินว่าห้องเต็มหรือ” หลี่ชีฉือถาม

“ก็ไม่ได้เต็มหรอกขอรับ” หลงจู๊อึกๆ อักๆ “แต่ฤดูหนาวสภาพอากาศโหดร้าย ผู้อพยพก็มากมาย ข้าจึงไม่กล้ารับแขกสุ่มสี่สุ่มห้า”

เช่นนี้ก็ตำหนิกันไม่ได้

หลี่ชีฉือสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ล้วงอะไรบางอย่างมายื่นไปทางสาวใช้คนสนิท ให้นางนำไปให้หลงจู๊ดู

หลงจู๊รับของจากมือซินลู่มายกขึ้นส่องดูใกล้ๆ

สิ่งนั้นคือชิ้นหยกสีเขียวเข้มแกะสลักเป็นรูปปลา เนื้องามเป็นมันวาว ทว่านอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ

แต่หลงจู๊เห็นแล้วกลับหน้าเปลี่ยนสี รีบส่งของคืนซินลู่แทบไม่ทัน จากนั้นก็หันมาทางหลี่ชีฉืออย่างพินอบพิเทา “ข้าน้อยตาไร้แวว ฮูหยินโปรดอย่าได้ถือโทษ ข้าน้อยจะรีบจัดการอาหารและที่พักให้อย่างครบครันเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบเขาก็รีบวิ่งไปเรียกเด็กรับใช้หลังร้าน

ซินลู่พรูลมหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินออกไปเรียกคนที่เหลือ สั่งการให้ผูกม้า ยกของลงจากรถกันอลหม่านวุ่นวาย

หลี่เยี่ยนแอบกระซิบถามด้วยความแปลกใจ “เมื่อครู่ท่านอาหญิงเอาสิ่งใดให้เขาดูหรือขอรับ”

หลี่ชีฉือเก็บหยกใส่แขนเสื้อดังเดิม กรีดนิ้วชี้แตะเรียวปากทีหนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ตราสัญลักษณ์ จะว่าไปแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้ถือเป็นกิจการในชื่ออา”

“อะไรนะ” หลานชายตะลึงงัน

ซินลู่เดินเข้ามาได้ยินประโยคนั้นพอดีก็ให้เบิกบานในอารมณ์ กำลังจะเอ่ยปากเรียก ‘ซื่อจื่อ’ แต่พลันนึกได้ว่าที่นี่ไม่เหมาะ จึงเปลี่ยนคำเรียกขาน “นายน้อยคิดว่าที่ผ่านมานายหญิงท่องไปทั่วใต้หล้าเพื่อเที่ยวเล่นหรือไรกันเจ้าคะ”

หลี่เยี่ยนเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เขามองผู้เป็นอาด้วยความทึ่งงัน ริมฝีปากเพิ่งจะขยับ ก็เห็นหลงจู๊นำเด็กรับใช้เดินกลับมาพาพวกเขาไปห้องพักเสียก่อน จึงจำต้องกลืนคำพูดลงคอ

ระหว่างที่คนอื่นสาละวนเตรียมอาหารบ้าง ต้มน้ำร้อนบ้าง สองคนอาหลานก็เข้าห้องไปพักผ่อนกันก่อน

หลี่ชีฉือเพิ่งจะเดินเข้าห้องพักแล้วถอดหมวกม่านแพร เด็กชายก็ดึงแขนเสื้อนางพลางชะโงกตัวเข้ามาหา ดวงตาเบิกกว้างจนกลมดิก ปากอ้าพะเยิบพะยาบ กระซิบเสียงแผ่วหวิวราวกับเสียงหายใจ “ท่านอาหญิง มีแต่พวกคนชั้นต่ำถึงจะทำการค้ากันนะขอรับ”

หญิงสาวแกล้งลดเสียงลงกระซิบกระซาบเลียนแบบเพื่อเย้าเขาเล่น “นั่นสินะ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า”

หลี่เยี่ยนก้มหน้าใช้ฝ่าเท้าขยี้พื้นไปมา ไม่ตอบคำ

หะแรกหลี่ชีฉือนึกว่าหลานกำลังกลัดกลุ้ม พอเพ่งมองดีๆ ถึงได้พบว่ามุมปากเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม คราวนี้กลับเป็นนางเสียเองที่ประหลาดใจ “เจ้ายิ้มอะไร”

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองนาง “หลานยิ้มเพราะคิดว่าสมกับเป็นท่านอาหญิงของหลานจริงๆ กล้ากระทั่งแอบทำการค้า”

นางใช้นิ้วเขกหลังหัวเขาทีหนึ่ง

หลี่เยี่ยนเอามือกุมหัวเบี่ยงตัวหลบ

หลังจากนั้นทั้งสองก็กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เป็นเพราะหลี่เยี่ยนไม่ยอมออกจากห้องอาสาว และขอให้นางเล่าประสบการณ์ที่พบเจอระหว่างเดินทางท่องเที่ยวให้ฟังด้วยความสนใจใคร่รู้

จนกินข้าวเสร็จแล้วก็ยังไม่ยอมกลับห้องตนเอง

“ท่านพ่อทราบหรือไม่ขอรับ”

หลี่ชีฉือที่บ้วนปากล้างมือเรียบร้อยแล้วกำลังยืนเขี่ยไส้ตะเกียง เปลวไฟโชนขึ้นมาสะท้อนนัยน์ตาคู่งามเป็นประกายวับวาว “ทราบ ท่านพ่อของเจ้าก็มีท่าทีไม่ต่างจากเจ้านักหรอก”

หลี่เยี่ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง แผลตกสะเก็ดบนหน้าผากคันนัก ยิ้มไปยิ้มมาก็ทำท่าจะยกมือขึ้นจับ แต่ถูกผู้เป็นอาเห็นเข้าแล้วปัดมือออก

“เงินเป็นของดี อีกไม่นานเจ้าจะอยากยิ้มยิ่งกว่านี้” นางว่า

“…” เด็กชายทำตาปริบๆ ครุ่นคิดว่าท่านอาหญิงหมายความว่าอย่างไร ทว่าไร้คำตอบ

แต่เขาพลันเข้าใจอะไรบางอย่างว่าเหตุใดสมัยก่อนท่านพ่อปรารภเรื่องที่ท่านอาหญิงออกไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกหลายครั้งหลายครา แต่กลับไม่พูดถึงนักว่านางทำอะไร ที่แท้นางก็ไปหาเงินนี่เอง

เอาเข้าจริงหลี่เยี่ยนจะไปรู้เรื่องรู้ราวได้อย่างไรเล่า ที่หลี่ชีฉือต้องแอบทำเช่นนี้ลับๆ ก็เพราะมีความจำเป็น

ตั้งแต่สมัยที่บิดาของนางได้บรรดาศักดิ์กวงอ๋อง ฮ่องเต้ก็เริ่มควบคุมเจ้าศักดินาที่ปกครองดินแดนนอกเมืองหลวงเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ทุกที ทั้งลิดรอนอำนาจตระกูลใหญ่ ทั้งสนับสนุนขุนนางที่มีเชื้อสายจากสามัญชนไปพร้อมกัน มาถึงยุคพี่ชายนางยิ่งชัดเจนกว่าเก่า สินบรรณาการที่ต้องส่งให้วังหลวงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว

กวงโจวนับเป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยทรัพยากรและพลเมือง แต่นานไปก็เริ่มลำบากเหมือนกัน พี่ชายไม่อยากขึ้นภาษีแบบเจ้าศักดินาอื่นๆ จึงแก้ปัญหาด้วยการเอาที่ดินไปค้ำ

ทว่านั่นยิ่งเข้าทางฮ่องเต้พอดี เพราะเท่ากับคืนที่ดินศักดินาที่ได้รับพระราชทานไปทีละนิด เมื่อคืนจนไม่เหลือจะคืนก็ต้องไปอยู่ฉางอันหรือลั่วหยางอย่างไร้อิสระ มีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของโอรสสวรรค์

นโยบายของฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จริงอยู่ว่าปัจจุบันกลับกลายมาอะลุ่มอล่วยอีกครั้ง แต่ช่วงหลายปีนั้นยากเข็ญเหลือใจ

หลี่ชีฉือได้รับการแต่งตั้งเป็นชิงหลิวเซี่ยนจู่ ตอนนั้นนางจึงอ้างว่าจะไปดูอำเภอชิงหลิวอันเป็นเขตปกครองของตนเอง เมื่อกลับตำหนักมาอีกครั้งนางก็นำเงินก้อนหนึ่งมามอบแด่พี่ชาย ช่วยสมทบเป็นสินบรรณาการให้เขาถวายฮ่องเต้

พอพี่ชายถามว่าเงินก้อนนี้มาจากที่ใด นางก็ตอบตามจริงว่านำคฤหาสน์ในชื่อตนเองไปเปลี่ยนเป็นเงินจากโรงจำนำของสามัญชน

กวงอ๋องตกใจเสียไม่มีดี โรงจำนำคิดดอกเบี้ยทบต้น หากนำเงินไปไถ่คืนไม่ได้จะทำอย่างไร มิกลายเป็นเรื่องน่าขันให้คนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะเอาหรือ

หลี่ชีฉือกัดฟันตอบไปว่า ‘ไว้ค่อยหาเงินไปไถ่คืนมาให้ได้ก็พอ’

พี่ชายทำหน้าเครียดอยู่นาน สุดท้ายกลับเอามือปิดหน้าหัวเราะลั่น ยกนิ้วชี้นางพลางส่ายหัวดิก ‘เจ้านี่ช่างบ้าบิ่นจริงๆ!’

หลังจากนั้นไม่ว่านางจะออกจากตำหนักเดินทางไปที่ใด เขาก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เคยถามไถ่

ในเมื่อถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก ก็มีแต่ต้องกลั้นใจทำไปเท่านั้น

ใครเลยจะคาดคิดว่าทำไปทำมา กิจการของนางจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหยุดไม่ได้เสียแล้ว

ก็เงินเป็นของดีจริงๆ นี่นา

 

แขกส่วนใหญ่ของโรงเตี๊ยมเป็นพ่อค้าเร่ที่นำของไปตระเวนขายตามที่ต่างๆ เพื่อหาเงินยังชีพ ปกติจะออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อเดินทางต่อตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

กลุ่มเก่าออกไปก็มีกลุ่มใหม่เข้าพักแทน

แสงอรุโณทัยส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ซินลู่กำลังเกล้าผมให้ผู้เป็นนาย

หลี่ชีฉือมองปิ่นทองคำที่ถืออยู่ในมืออย่างลังเลกับน้ำหนักของมัน แต่สุดท้ายก็ยังยื่นให้สาวใช้

“นายหญิงจะปักปิ่นอันนี้หรือเจ้าคะ” ซินลู่ถามอย่างพิศวง แต่ไหนแต่ไรเจ้านายไม่ชอบเครื่องประดับหนักๆ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ

เมื่อคืนเจ้าหลานชายรบเร้าให้นางเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังอยู่เป็นนานจนได้นอนไม่เต็มอิ่ม หลี่ชีฉือพยักหน้าตอบสาวใช้อย่างเกียจคร้านทั้งที่ยังไม่ลืมตา

ซินลู่ปักปิ่นให้แต่โดยดี

เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ฝ่ายตรงข้ามเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำอนุญาต

ซินลู่หันไปตั้งท่าจะเอ็ด แต่พอเห็นผู้มาใหม่ ความขุ่นใจก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ปรีดา “ชิวซวงตามมาถึงแล้ว”

หลี่ชีฉือลืมตาหันไปมองชิวซวง สาวใช้คนสนิทอีกคนเดินเข้ามาในชุดเสื้อคลุมคอกลม อันเป็นเครื่องแต่งกายแบบบุรุษเพื่อความสะดวกยามตะลอนๆ อยู่ข้างนอก

“คารวะนายหญิง” ชิวซวงย่อตัวคำนับ แล้วรีบรายงานด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าโดยไม่สนใจว่าตนเองจะเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการเดินทาง “บ่าวจัดการงานที่นายหญิงมอบหมายเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คนของตำหนักยงอ๋องตามบ่าวมาถึงที่นี่ มุ่งมั่นจะขอพบนายหญิงให้ได้”

หลี่ชีฉือลุกขึ้นยืนยิ้มๆ “ดีที่ข้าเดินทางช้า หาไม่หากเข้าเมืองก่อน เขาอาจตามไม่ทัน”

แม้บัดนี้จะพักอยู่ในโรงเตี๊ยม แต่หลังตื่นนอน หลี่เยี่ยนก็ไม่ลืมที่จะไปคารวะอาหญิงของตน

ทว่าพอเดินมาถึงหน้าห้องกลับเห็นซินลู่กับชิวซวงยืนขนาบประตูทั้งซ้ายขวา ในห้องมีเสียงพูดคุยดังลอดออกมาแว่วๆ

เด็กชายเองก็เป็นคนไหวพริบดี จึงเดินกลับห้องโดยไม่ถามอะไร

โรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างเป็นรูปตัวอักษร ‘หุย’ ห้องของเขากับห้องของอาสาวอยู่ติดกันตรงมุมพอดี เปิดหน้าต่างออกไปจะพอมองเห็นข้างในห้องนางได้เล็กน้อย

นับว่าโชคเข้าข้าง ห้องผู้เป็นอาไม่ได้ปิดหน้าต่าง เขาจึงเห็นใครคนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้านหน้าฉากบังตา ท่านอาหญิงของเขาน่าจะนั่งอยู่ด้านหลัง แต่ถูกฉากบังไว้อย่างมิดชิดจนมองเห็นตัวไม่ถนัด

ลองเพ่งมองดูอีกทีก็พบว่าคนที่นั่งคุกเข่าดูคุ้นตายิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นบ่าวสูงวัยคนสนิทของยงอ๋องซื่อจื่อนั่นเอง

“เซี่ยนจู่โปรดเมตตา ซื่อจื่อของข้าผิดเอง ไม่ควรล่วงเกินกวงอ๋องซื่อจื่อ ขอเซี่ยนจู่โปรดอภัย…โปรดอภัยด้วยเถิดขอรับ”

บ่าวสูงวัยโขกศีรษะลงกับพื้นจนได้ยินเสียงโป๊กๆ ดังกังวานอยู่ในห้อง

ด้านหลังฉากบังตา หลี่ชีฉือนั่งตัวตรงสง่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย กำลังรอให้กาน้ำชาบนโต๊ะเดือด

ยงอ๋องซื่อจื่อมาขอพำนักในกวงโจวเพื่อร่ำเรียนวิชา ทว่าใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อเหลือร้าย เห็นว่าเงินที่ทางบ้านให้มาไม่พอใช้ จึงแอบขโมยเครื่องประดับของมารดาตนเองไปแลกเงินจากโรงจำนำ

บังเอิญเหลือเกินที่โรงจำนำแห่งนั้นเป็นของนาง

แน่นอนว่านางพูดออกมาโต้งๆ ไม่ได้จึงสั่งให้หลงจู๊โรงจำนำตรวจนับข้าวของแล้วนำออกขาย จะให้ดีที่สุดต้องนำไปขายในเขตปกครองของยงอ๋องเพื่อให้เกียรติเจ้าของทรัพย์เดิม

พอยงอ๋องซื่อจื่อรู้ข่าวก็รีบส่งคนไปขัดขวาง แต่หลงจู๊กล่าวว่ากวงอ๋องซื่อจื่อมีบุญคุณต่อตน เวลานี้กลับถูกยงอ๋องซื่อจื่อข่มเหงรังแกหลายครั้งหลายครา ต่อให้ตัวตาย ตนก็จะขอระบายความคับแค้นแทนผู้มีพระคุณให้ได้

ยงอ๋องซื่อจื่อเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง จะเอาอะไรมาต่อกรกับสามัญชนเขี้ยวลากดินไม่กลัวตายพรรค์นี้ มีแต่จะยิ่งร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก แล้วสั่งให้บ่าวสูงวัยคนสนิทจัดเตรียมของมีค่าจำนวนมากมาขอขมาที่ตำหนักกวงอ๋องโดยด่วน

ทว่าชิงหลิวเซี่ยนจู่ผู้ปกครองตำหนักยงอ๋องได้พาซื่อจื่อออกเดินทางไปแล้ว เหลือเพียงสาวใช้ชิวซวงที่ยังอยู่ระหว่างทาง

สถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ต้องไล่ตามไปเท่านั้น

จวบจนน้ำชาเดือด และบ่าวสูงวัยโขกศีรษะจนหน้าผากแตก ในที่สุดหลี่ชีฉือก็ส่งเสียงทอดถอนใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าเป็นหญิงอยู่แต่ในเรือน เข้าใจซื่อจื่อของเจ้าก็จริง แต่จนใจที่ไม่อาจช่วยอะไรได้ โรงจำนำแห่งนั้นคิดดอกเบี้ยทบต้น ขูดเลือดขูดเนื้อน่ากลัวยิ่งนัก ข้าว่าเจ้ากลับไปวิงวอนต่อทางยงอ๋องให้เขาออกเงินช่วยไถ่ของกลับมาให้ดีกว่า”

บ่าวสูงวัยได้ฟังดังนั้นก็นิ่งงัน

“ซินลู่ ส่งแขก”

ประตูถูกเปิดออก ซินลู่กับชิวซวงเดินเข้ามาคู่กัน

ก่อนจะถูกพาตัวออกไป บ่าวตำหนักยงอ๋องยังไม่ล้มเลิกความคิดจะอ้อนวอน ขอของแทนตัวจากอีกฝ่ายสักชิ้นเพื่อเอาไปใช้ถ่วงเวลากับทางโรงจำนำสักสองสามวันก็ยังดี แต่พอเงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปโดยไม่เจตนา ก็พบว่าปิ่นทองบนเรือนผมชิงหลิวเซี่ยนจู่ที่ส่องสะท้อนอยู่บนฉากบังตาช่างดูคุ้นตายิ่งนัก เหมือนจะเป็นอันเดียวกับที่ซื่อจื่อของตนให้เอาไปจำนำ เห็นดังนั้นก็มือไม้สั่น ไม่มีหน้าจะพูดอะไรอีก

พอผู้มาเยือนจากไป ฉากบังตาก็ถูกยกออก

หลี่ชีฉือมองไปนอกหน้าต่าง หลี่เยี่ยนกำลังเหลียวมองไปตามทางที่บ่าวตำหนักยงอ๋องเดินออกจากห้องพร้อมเม้มปากแน่น

ที่จริงเขาก็เป็นเด็กเข้มแข็งผู้หนึ่ง นางรู้อยู่หรอก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: