บทที่ 1
ต้นหญ้าบนทุ่งกว้างเหลืองแห้งดูเวิ้งว้างหนาวเหน็บ
เจียงหานหยวนยืนอยู่บนเชิงเทิน ทอดสายตามองหมู่บ้านบนเนินเขาทางเหนือที่เห็นอยู่ลิบๆ
เปลวไฟที่นั่นดับมอดลงแล้ว ทว่าบ้านเรือนได้ถูกเพลิงเผาผลาญจนเหลือเพียงเศษซาก สายลมจากทุ่งร้างทางเหนือพัดกระโชกผ่านหมู่บ้าน ไล่เรียดไปตามสันเขา ส่งเสียงหวีดหวิวสูงต่ำดุจหวนไห้กังวาน
ที่แห่งนี้ถูกชาวตี๋ บุกโจมตีช่วงฟ้าสางเมื่อเช้า
ผู้รุกรานเป็นกองทหารม้าจำนวนร่วมร้อย อาศัยความมืดมิดของรัตติกาลหลบเลี่ยงแนวชายแดนอ่อนไหวที่มีการรักษาการณ์อย่างแน่นหนา ลอบเข้ามาทางบริเวณหอส่งสัญญาณที่อยู่ห่างจากที่นี่หลายสิบหลี่
นายกองควันสัญญาณประจำหอส่งสัญญาณอยู่กินกับแม่ม่ายคนหนึ่งในหมู่บ้าน ปีนี้เพิ่งได้บุตรสาว บังเอิญเหลือเกินที่เมื่อคืนเขาแอบกลับหมู่บ้านโดยพลการ ทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาไว้เฝ้าหอจุดไฟสัญญาณเพียงสองคน พื้นที่แถบนี้สงบเงียบมานานจนทุกคนชะล่าใจ ทหารรักษาการณ์สองนายนั้นฉวยโอกาสอู้งานดื่มสุรา กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดเหตุก็สายไปเสียแล้ว
ทหารม้าชาวตี๋อาศัยความมืดมิดพรางตัวลอบเคลื่อนไหวและมาถึงที่นี่ช่วงรุ่งสาง
กองทหารม้าเป่ยตี๋เหล่านี้มักเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ หลังปล้นชิงเสร็จ อะไรเอาไปไม่ได้ก็เผาทิ้ง
ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามบ้านเรือนก็ถูกเผาไปกว่าครึ่ง ทรัพย์สินถูกปล้น สตรีถูกจับเป็นเชลยสิบกว่าคน จำนวนไล่เลี่ยกับบุรุษที่ต้องสังเวยชีวิตใต้เกือกม้าผู้รุกรานเพราะหนีไม่ทัน
เจียงหานหยวนผ่านมาแถบนี้โดยบังเอิญ
เดิมทีครานี้นางออกเดินทางไปเยี่ยมญาติที่เมืองอวิ๋นลั่ว อาศัยพักแรมตามริมทางเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว วันนี้เริ่มออกเดินทางต่อตั้งแต่ยามโฉ่ว ช่วงฟ้าสางมาถึงบริเวณนี้ก็เห็นควันดำหนาทึบลอยโขมงมาแต่ไกล
แม้ว่ากลุ่มควันดังกล่าวไม่เหมือนควันสัญญาณที่คุ้นเคย กระนั้นนางก็ยังหยุดม้าเพื่อไปตรวจดูตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบส่งคนไปแจ้งกองของหลี่เหอที่รักษาการณ์พื้นที่แถบนี้ให้นำกำลังหนุนมาโดยด่วน สั่งเสร็จก็มิได้หยุดพักแม้แต่อึดใจเดียว เร่งนำทหารม้ายี่สิบสี่นายไล่ตามร่องรอยที่ทหารม้าชาวตี๋ทิ้งไว้ระหว่างทางหนีขึ้นเหนือ จวบจนบ่ายคล้อยชาวตี๋ผ่อนคลายขึ้นเพราะคิดว่าหนีเข้ามาในเขตปลอดภัยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมาเมื่อใดกองกำลังรักษาชายแดนต้าเว่ยพบเจอเหตุปล้นชิงเล็กๆ ทำนองนี้ก็มักปล่อยให้ชาวตี๋หนีไปได้อย่างลอยนวล เพราะพิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้ว การส่งกำลังพลไล่ล่ามีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวตี๋เหิมเกริมล่วงล้ำเขตแดนเข้ามาก่อเหตุครั้งแล้วครั้งเล่า
อีกประการหนึ่งต่อให้ชาวเว่ยไล่ล่าจริงก็ไม่มีทางตามทันเร็วถึงเพียงนี้ กองทหารม้าเป่ยตี๋บุกโจมตีและถอยหนีมาหนึ่งคืน ทั้งหิวกระหายและเหนื่อยล้าเป็นกำลัง จึงพากันลงจากหลังม้า ปลดดาบพักผ่อน พร้อมถือโอกาสข่มเหงสตรีที่จับเป็นเชลยเยี่ยงสัตว์ป่าเพื่อความรื่นเริงใจ ระหว่างกำลังสำเริงสำราญอยู่นั้น เจียงหานหยวนและผู้ติดตามก็บุกเข้าโจมตีรวดเร็วปานทหารเทพดุจสายฟ้าฟาดผ่า นางยิงธนูปลิดชีพหัวหน้าเป็นอันดับแรก ก่อนจะควบม้าบุกตะลุยเข้าไปหวดอาวุธใส่ตลอดทาง ชาวตี๋ที่ไม่ทันตั้งตัวแม้แต่นิดล้มหัวหกก้นขวิดทั้งคนและม้า พากันตั้งรับศึกอย่างลนลาน กระนั้นก็ยังบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ประกอบกับไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีกองหนุนตามมาข้างหลังอีกกี่มากน้อย ไม่ทันไรจึงเลิกต้านศึกแล้วหนีเอาชีวิตรอดแทน
นายทหารวัยกลางคนรูปร่างบึกบึนหนวดเคราเฟิ้มเดินลิ่วๆ ขึ้นเนินมาหยุดอยู่ข้างหลังนางแล้วรายงานว่า “ทรัพย์สินที่นำกลับมาถูกตรวจนับและแบ่งสรรคืนเจ้าของแล้วขอรับ พวกสตรีก็มีครอบครัวมารับกลับไป หลี่เหอเข้ามารับช่วงจัดการเรื่องหลังจากนี้แล้ว พวกชาวบ้านซาบซึ้งใจเป็นอันมาก เมื่อครู่จะขอขึ้นมาโขกศีรษะขอบคุณท่านแม่ทัพ แต่ผู้น้อยปฏิเสธแทนให้แล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีนามว่าฝานจิ้ง เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคู่ใจของเจียงหานหยวน
“อาการบาดเจ็บของพวกชีหลางเป็นอย่างไรบ้าง” นางหันไปถาม
แม้ว่าการสะกดรอยโจมตีเมื่อตอนกลางวันจะได้รับชัยชนะอย่างหมดจด ไม่เพียงสามารถช่วยสตรีที่ถูกฉุดคร่ากลับมาได้ กองทหารม้าชาวตี๋จอมอหังการกลุ่มนี้ยังบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง หากไม่นับพวกที่หนีรอดไปได้ ที่เหลือล้วนถูกบั่นคอทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ห้าวหาญดุดัน ซ้ำยังได้เปรียบที่มีจำนวนมากกว่า คนฝ่ายนางจึงบาดเจ็บไปเจ็ดแปดคนเช่นกัน
“ไม่เป็นอะไรมากขอรับ เมื่อครู่จัดการทำแผลเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่…” ฝานจิ้งเว้นช่วงไปเล็กน้อย “นายกองควันสัญญาณผู้นั้นทนพิษบาดแผลไม่ไหว เพิ่งสิ้นลมไปเมื่อครู่ ภรรยาเขาอุ้มลูกมาดูศพแล้วขอรับ”
นายกองควันสัญญาณรู้ว่าความผิดของตนมีโทษถึงตาย จึงขอชดเชยด้วยการติดตามไปต่อสู้กับชาวตี๋ด้วย สุดท้ายก็บาดเจ็บสาหัสกว่าใคร
“พลควันสัญญาณสองนายที่ละเลยหน้าที่ก็ถูกมัดไว้แล้ว รอท่านแม่ทัพพิจารณาโทษ นอกจากนั้นหลี่เหอก็มาขอรับโทษด้วยเช่นกันขอรับ”
ด้านล่างเนินหญิงสาวคนหนึ่งคุกเข่ากุมศีรษะร้องไห้ปิ้มว่าจะขาดใจอยู่ข้างศพ ทารกหญิงที่ยังไม่ครบปีถูกวางไว้กับพื้น แขนขาทั้งสี่คลานตุ้บตั้บไปรอบๆ ข้างตัวมารดาอย่างไม่ประสีประสา ปากก็ส่งเสียงอ้อแอ้ไปตามสัญชาตญาณ
เหล่าผู้ติดตามรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้ๆ แม่ทัพหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งที่เพิ่งทำแผลเสร็จแสดงความไม่พอใจออกมาดังๆ อย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “…ท่านแม่ทัพใหญ่เอาแต่สั่งให้ตั้งรับๆ ทั้งปีทั้งชาติ! เอาแต่ให้พวกเราหมกตัวอยู่ในด่านเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง! มันน่าหงุดหงิดนัก! มณฑลนอกด่านทั้งซั่วโจวเอย! เหิงโจวเอย! เยียนโจวเอย! และโยวโจวเอย! ถูกไอ้พวกโจรเหนือยึดไปยังพอทำเนา น่าเจ็บใจที่สุดตรงที่พวกมันยังข้ามแดนมาฆ่าฟันชาวบ้านกับฉุดคร่าสตรีของพวกเราอีก! เมื่อไรถึงจะออกนอกด่านไปทำศึกใหญ่ขับไล่ชาวตี๋ให้กลับไปในที่ที่พวกมันควรอยู่ได้เสียที ถ้าได้ออกไปทำศึก ต่อให้ตายก็คุ้ม!”
อันที่จริงทหารนายอื่นก็กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ต่างกัน แต่เมื่อได้ยินเจ้าตัวพาดพิงไปถึงท่านแม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
หลี่เหอผู้บัญชาการกองกำลังทหารรักษาการณ์ประจำพื้นที่ที่เพิ่งมาถึงรู้ว่าทหารหนุ่มเลือดร้อนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนจากค่ายชิงมู่ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจียงหานหยวน เจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนั่นมีนามว่าหยางหู่ ชื่อรองซิวหมิง ชื่อเล่นชีหลาง เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ ใช้ทวนวงเดือนเก่งเป็นเลิศ ฮึกเหิมห้าวหาญ ไม่หวาดหวั่นเมื่ออยู่ในสนามรบ ในการศึกที่มีพื้นที่จำกัดคราหนึ่งเคยฝ่าทะลวงทัพข้าศึกกลับไปกลับมาหลายรอบ แต่ละรอบเด็ดหัวศัตรูไปได้ยี่สิบกว่าคน มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งกองทัพว่าใจกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตาย จนได้รับฉายาว่า ‘ชีหลางห่ามระห่ำ’ ชาติกำเนิดก็มิใช่สามัญ ปู่ของเขาเคยเป็นถึงเจ้าเมือง แม้เวลานี้วงศ์ตระกูลจะตกต่ำจนต้องมาเป็นทหารเพื่อสร้างความดีความชอบ แต่อูฐจะผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า มิหนำซ้ำตัวหลี่เหอเองยังมีความผิดฐานบกพร่องในหน้าที่ ไหนเลยจะพูดอะไรได้ ดังนั้นจึงเอาแต่นิ่งเงียบ
“หุบปากนะ!”
ฝานจิ้งตวาดเสียงดัง
หยางหู่หันไปมอง เห็นฝานจิ้งผู้มีหนวดเคราดกเฟิ้มเดินมาพร้อมท่านแม่ทัพ ถึงค่อยปิดปากอย่างไม่เต็มใจ
หลี่เหอลนลานคุกเข่าละล่ำละลักขอรับโทษทัณฑ์ที่บกพร่องในหน้าที่
หญิงสาวนางนั้นโขกศีรษะให้เจียงหานหยวนพลางร่ำไห้อ้อนวอน “เป็นความผิดข้าเจ้าค่ะ! ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย! เขาไม่ได้กลับบ้านหลายเดือนเต็มทีแล้ว ข้าจึงฝากคนนำจดหมายไปบอกให้เขากลับบ้านมาดูบุตรสาวสักครั้ง เขาต้องมาเจอเคราะห์ร้ายก็เพราะข้า…เขาต้องมาเจอเคราะห์ร้ายก็เพราะข้า…”
นางโศกศัลย์ปานใจจะขาด หมอบกราบฟุบหน้าลงกับพื้น ความสิ้นหวังและความเสียใจสะท้อนอยู่ในเสียงครวญคร่ำ
ตะวันรอนราแสงลับไปตรงชายทุ่ง ความมืดโรยตัวลงโดยรอบ ลมป่าพัดตะบึงทึ้งชายเสื้อคลุมเปื้อนเลือดของเจียงหานหยวนให้สะบัดพึ่บพั่บ
ชายผ้าพลิ้วดึงดูดความสนใจทารกน้อยเพราะนึกว่ามีใครเล่นด้วย ทารกน้อยคลานเข้ามาหานางพลางเอื้อมมือจับชายผ้า แกว่งแขนไปมาพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
หญิงสาวสัมผัสได้ว่าสถานการณ์แปลกไปจึงช้อนตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นแม่ทัพหญิงที่ยังมีคราบเลือดติดบนใบหน้าหลุบตามองทารกตรงปลายเท้าด้วยสีหน้าเครียดทะมึน
นางนึกขึ้นได้โดยพลันว่าแม่ทัพหญิงผู้นี้ถูกขนานนามว่า ‘อสุราหญิง’ ดาบด้ามห่วง ที่ห้อยเอวฆ่าคนมานับไม่ถ้วน นอกจากนั้นยังมีข่าวลือว่าในวัยเด็กหญิงผู้นี้มีหมาป่าเป็นมารดา นางจึงเป็นธิดาของหมาป่า จนบัดนี้ก็ยังต้องดื่มเลือดในคืนจันทร์เต็มดวง หาไม่จะกลายร่างเป็นหมาป่าเขี้ยวยาว
หญิงสาวเชื่อข่าวลือดังกล่าวอย่างฝังใจ หากไม่ใช่ความจริง มีหรือสตรีนางหนึ่งจะสามารถกรำศึกในสมรภูมิเช่นเดียวกับบุรุษ เข่นฆ่าศัตรูเอาเลือดสังเวยดาบมานักต่อนัก
นางไม่กล้าร้องไห้ต่อ ได้แต่ลนลานขอขมาพลางคลานไปข้างหน้าหมายจะห้ามปรามบุตรสาว กลับเห็นแม่ทัพหญิงก้มตัวลงเสียก่อน
ภายใต้การจับจ้องจากสายตาพรั่นพรึงของหญิงสาวผู้เป็นมารดาเด็กน้อย เจียงหานหยวนค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเล็กกระจ้อยร่อยของทารกที่ดึงชายเสื้อคลุมตนไว้
มือที่จับผิวนุ่มนิ่มของเด็กน้อยข้างนั้นเต็มไปด้วยตุ่มไตแข็งๆ จากการจับดาบ ทั้งฝ่ามือและปลายนิ้วสากกร้าน
คงเพราะรู้สึกระคายผิว เด็กน้อยจึงร้องไห้โฮออกมา
คนเป็นมารดายิ่งหวาดหวั่น จะยื้อลูกกลับมาก็ไม่กล้า ได้แต่ตัวสั่นงันงกโขกศีรษะไม่หยุดหย่อนขอการละเว้นจากนาง
เจียงหานหยวนชะงัก ก่อนจะปล่อยมือจากทารกหญิงแล้วหมุนตัวเดินออกไป
“นายกองควันสัญญาณทำศึกไถ่โทษ ทว่าแม้สู้จนตัวตายก็มิอาจลบล้างความผิดได้ทั้งหมด พลทหารสองนายนั้นให้ตัดหัวทันทีตามกฎทหาร แล้วออกหนังสือเตือนไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างทั่วทั้งกองทัพ ส่วนความผิดของหลี่เหอนั้นข้าตัดสินแทนไม่ได้ ให้ไปขอรับผิดจากท่านแม่ทัพใหญ่เอง!”
หลังประโยคนั้นนางรับบังเหียนม้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งส่งให้ แล้วผินหน้าไปมองฝานจิ้งที่ติดตามอยู่ไม่ห่าง
“อาฝาน รบกวนท่านช่วยอยู่ที่นี่ต่อเพื่อดูแลเรื่องที่เหลือ พร้อมทั้งตรวจตราแนวชายแดนแถบนี้ทั้งหมดอีกครั้งจนแน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ อีก”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพเดินทางต่อเถิด อย่าได้กังวลเลย”
“แล้วก็…” เจียงหานหยวนเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะมองแผ่นหลังของสตรีที่ยังนั่งคุกเข่ากอดบุตรสาวร่ำไห้อยู่ไกลๆ “มอบเงินบำรุงขวัญให้พวกนางแม่ลูกสองเท่า ให้หักไปจากเบี้ยหวัดข้า” นางบอกเบาๆ
ฝานจิ้งผงะอึ้ง เขาหันไปมองตาม ก่อนจะรับคำ
“วันนี้ใครได้รับบาดเจ็บให้กลับค่ายทั้งหมด! ส่วนที่เหลือตามข้าออกเดินทางต่อ!”
นางพลิกตัวขึ้นหลังม้าหลังกล่าวจบ กำบังเหียนด้วยมือข้างเดียว ทำท่าจะควบม้าออกไป
หยางหู่ปรี่เข้าไปขวางหน้าม้านางอย่างร้อนรน จากนั้นก็แกว่งแขนข้างที่เพิ่งพันแผลเสร็จหมาดๆ ให้ดู “ท่านแม่ทัพ ข้าสบายดีขอรับ! แผลเล็กน้อยไกลหัวใจ ข้าจะตามท่านไปด้วย!”
“กลับไปเดี๋ยวนี้!”
เจียงหานหยวนเอ็ดเบาๆ แล้วบังคับม้าขี่อ้อมเขาไป
ทหารอีกสิบกว่านายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหัวเราะคิกคักทำมือทำไม้ใส่หยางหู่พลางผิวปาก ก่อนจะขึ้นม้าควบตะบึงตามออกไปทันที ทิ้งให้หยางหู่กับพวกที่ได้รับบาดเจ็บยืนอยู่ที่เดิมอย่างฮึดฮัดขัดใจ
หยางหู่มองตามแผ่นหลังตรงหน้าที่เล็กลงทุกที ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จนอดจะตะโกนด่าสหายร่วมทัพคนหนึ่งที่ขี่ม้าจากไปไม่ได้
“เจ้าลิงจาง ไอ้ทุเรศเอ๊ย! วันนี้ถ้าไม่ได้ข้าช่วยรับดาบให้ เจ้ากลายเป็นศพไปแล้ว! ทีนี้ล่ะได้ติดตามท่านแม่ทัพอย่างสบายใจเชียวนะ! รอก่อนเถิด กลับมาเมื่อไรข้าจะเล่นงานให้น่าดู!”
สหายร่วมทัพที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าลิงจาง’ นอกจากจะไม่เหลียวหลังแล้วยังเร่งควบม้าให้เร็วขึ้น พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
คนอื่นที่ถูกทิ้งไว้ด้วยกันเห็นแล้วรู้สึกสาแก่ใจอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ ได้แต่กลั้นหัวเราะไว้อย่างลำบากยากเย็น
“พอทีๆ! ทำตามคำบัญชาท่านแม่ทัพ คืนนี้พวกเจ้านอนพักกันก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกลับ…”
ฝานจิ้งเองก็ปวดหัวนิดๆ กับคนหนุ่มเลือดร้อนผู้นี้ที่แม่ทัพหญิงคัดเลือกมาด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นคนโปรดเสียด้วย
แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางแสดงความรู้สึกนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด ใบหน้าที่ฉายแววเฉียบขาดและรกครึ้มไปด้วยหนวดเครานั้นเคร่งขรึม เอ่ยทวนคำสั่งของเจียงหานหยวนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หยางหู่จำต้องเลิกราเพียงแค่นั้น เขาเหลือบมองทางที่มาอย่างหดหู่ ไม่นึกว่าจะเห็นพลส่งสารนายหนึ่งขี่ม้าเร็วมุ่งหน้าตรงดิ่งมาทางนี้อยู่ลิบๆ
“แม่ทัพฉางหนิงอยู่ที่ใด ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งด่วนให้แม่ทัพฉางหนิงเร่งกลับค่ายทันที…” พลส่งสารเห็นพวกฝานจิ้งก็เหยียบโกลนม้าลุกขึ้นยืนต้านลมบนหลังอาชาพร้อมกล่าวเสียงดัง
พลส่งสารมาพร้อมข่าวจากแม่ทัพใหญ่เจียงจู่วั่ง
เจียงหานหยวนจำต้องหยุดเดินทางกลางคันแล้วย้อนกลับไปยังค่ายที่บิดานางประจำอยู่ ซึ่งเป็นค่ายใหญ่ใกล้กับด่านซีสิงของเมืองเยี่ยนเหมิน
นางมาถึงที่หมายในช่วงกลางดึกของหลายวันให้หลัง
บทที่ 2
ยามนั้นค่ายซีสิงถูกปกคลุมอยู่ในความมืด ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย นอกจากยามลาดตระเวนตอนกลางคืน ทหารทั้งหมดล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว
เจียงหานหยวนเดินผ่านกระโจมหลังแล้วหลังเล่าจนมาหยุดลงตรงหน้ากระโจมหลังใหญ่อันเป็นที่พักของบิดา
แสงตะเกียงลอดออกมาจากรอยแยกประตูกระโจม นางไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่หยุดรออยู่ข้างนอก สั่งให้ทหารยามเข้าไปรายงานก่อน
“เชิญท่านแม่ทัพขอรับ”
เพียงครู่เดียวทหารยามก็กลับออกมาบอกอย่างนอบน้อม
เจียงหานหยวนถึงค่อยเดินเข้าไป
ภายในกระโจมไม่มีคนอื่นนอกจากบิดาที่สวมชุดลำลองของกองทัพนั่งตัวตรงแหน็ว กำลังจุดตะเกียงอยู่หลังโต๊ะ
ถึงแม่ทัพใหญ่ติ้งอันโหวเจียงจู่วั่งกรำศึกจนเลื่องชื่อลือชา ทว่ามิได้รูปร่างบึกบึนกำยำหนวดเคราเฟิ้มเยี่ยงขุนศึกที่ผู้คนนึกภาพไว้แม้แต่นิดเดียว
เขามีใบหน้าคมสัน คิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาหงส์ เมื่อครั้งยังหนุ่มเรียกได้เต็มปากว่าบุรุษรูปงาม เพียงแต่บัดนี้การใช้ชีวิตอย่างโชกโชนได้ทิ้งร่องรอยไว้กับสังขาร แม้เห็นไม่ชัดนักภายใต้แสงตะเกียง กระนั้นความชราและความอิดโรยบนใบหน้าก็ยังปกปิดไม่มิด
สมัยวัยหนุ่มเขาเคยถูกธนูยิงจนอวัยวะภายในเสียหาย หวิดเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาอาศัยความแข็งแรงของร่างกายผ่านมาได้ก็จริง แต่หลายปีมานี้อายุเพิ่มขึ้น ยิ่งเจออากาศหนาวเย็นที่ชายแดน แผลเก่าจึงกำเริบอยู่เนืองๆ มีอาการทีไรจะเจ็บปวดทรมานไม่น้อย แต่เพราะเขาเป็นคนแกร่ง ความอดทนสูง จึงมีคนรู้อยู่ไม่กี่คน
พอเห็นบุตรสาวเดินเข้ากระโจมมาเจียงจู่วั่งก็รีบลุกจากโต๊ะก้าวไปหานาง
“ซื่อซื่อมาแล้วหรือ เดินทางเหนื่อยล่ะสิ หากอ่อนเพลียก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้” เขาเรียกนางด้วยชื่อในวัยเยาว์ หัวคิ้วคลายออก รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ท่านแม่ทัพใหญ่เรียกข้ามาอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”
กองทัพภายใต้บังคับบัญชาของเจียงหานหยวนตั้งค่ายอยู่ที่ชายแดนชิงมู่ ห่างจากที่นี่ไปทางทิศเหนือหลายร้อยหลี่ ถัดออกไปหลายสิบหลี่คือจุดที่พวกนางปะทะกับพวกเป่ยตี๋ ปกติหากไม่มีกิจด้านการทหารก็แทบไม่เคยเจอเจียงจู่วั่ง
นางทำความเคารพบิดาอย่างทหารผู้น้อยเคารพผู้บังคับบัญชาตามธรรมเนียมกองทัพ จากนั้นก็ยืดตัวยืนตรง ถามเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
เจียงจู่วั่งชะงักเท้าผงะอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะนั่งกลับลงไปช้าๆ
ภายในกระโจมเงียบกริบ ลมกลางคืนแทรกตัวเข้ามาทางรอยแยกของประตูกระโจม พัดเปลวเทียนให้ส่ายไหว
เมื่อเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเจียงจู่วั่งก็ไม่เหลือรอยยิ้มให้เห็น “หลี่เหอมาขอรับโทษกับข้าแล้ว แต่เจ้าเองก็ประมาทเกินไป ออกไล่ตามพวกมันโดยไม่รอทัพหนุน! ตนเองมีกำลังพลแค่เท่าไร ฝ่ายตรงข้ามมีกันเท่าไร ไปช้ากว่านั้นหน่อยพวกสตรีก็ไม่ถึงตายหรอก! ต่อให้เจ้าพอมีประสบการณ์อยู่บ้างก็ยังต้องรบแบบหนึ่งต่อสี่! เดิมทีข้านึกว่าเจ้าไม่ใช่คนวู่วามเสียอีก!” น้ำเสียงเจียงจู่วั่งเคร่งเครียดเฉียบขาดอย่างยิ่งเมื่อพูดมาจนถึงประโยคสุดท้าย
“ถูกต้อง พวกสตรีอาจไม่ถึงตาย แต่กว่าคนของหลี่เหอจะมาสมทบแล้วไล่ตามพวกมันไป เกรงว่าพวกนางคงได้ตายทั้งเป็น”
เจียงหานหยวนตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง
ไพร่พลระดับล่างที่ไม่ถูกกฎเกณฑ์ผูกมัดของกองทัพเป่ยตี๋จะประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ป่าได้ถึงขั้นใด เจียงจู่วั่งย่อมกระจ่างแก่ใจดี ที่เขาตำหนิบุตรสาวนั้นแท้จริงแล้วมาจากความรู้สึกส่วนตน ทั้งกังวลทั้งห่วงใยผสมผสานกัน พอถูกบุตรสาวโต้กลับมาเขาก็นิ่งเงียบไป เมื่อเอ่ยวาจาอีกทีสีหน้าก็นุ่มนวลขึ้นและเสไปพูดเรื่องอื่นแทน
“หานหยวน ถ้าพ่อจำไม่ผิด เจ้าน่าจะยี่สิบแล้วกระมัง”
ผู้เป็นบิดาดึงสายตาออกจากบ่าที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินของบุตรสาว ค่อยๆ ไล่ขึ้นไปมองใบหน้าที่มีประพิมพ์ประพายคล้ายมารดาเจ้าตัวพลางถาม
“ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องอันใด” เจียงหานหยวนถามซ้ำโดยไม่ตอบคำถามเมื่อครู่
เจียงจู่วั่งนิ่งงันไป
ผู้สูงศักดิ์ที่ราชสำนักส่งมาครานี้คือเสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์เสียนอ๋องซู่อวิ้น หลังได้พบเจียงจู่วั่งและปราศรัยทักทายกันสักพัก ประโยคแรกที่เอ่ยคือการไถ่ถามถึงบุตรสาวของเขา…แม่ทัพฉางหนิงเจียงหานหยวน
“เจ็ดปีก่อนตอนที่ฉีอ๋องผู้สำเร็จราชการในปัจจุบันดำรงบรรดาศักดิ์เป็นอันเล่ออ๋อง เคยเป็นผู้แทนพระองค์ฮ่องเต้เซิ่งอู่มาที่นี่เพื่อบำรุงขวัญกองทัพ เวลานั้นเจ้าก็อยู่ด้วย น่าจะพอจำได้อยู่บ้างกระมัง”
แพขนตาของเจียงหานหยวนสั่นไหวเบาๆ มองบิดาตนเองด้วยสายตาติดจะระแวงเล็กน้อย โดยไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น
“ครานี้เสียนอ๋องซู่อวิ้นมาด้วยตนเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดประสงค์คืออะไร”
บุตรสาวยังเอาแต่นิ่งเงียบ
ผู้เป็นบิดากัดฟันเอ่ย “เขาได้รับมอบหมายจากอ๋องผู้สำเร็จราชการให้มาเจรจากับพ่อเพื่อสู่ขอเจ้าไปเป็นชายา”
อากาศในกระโจมเหมือนนิ่งค้างไปโดยพลัน
เจียงจู่วั่งมองบุตรสาวพลางฝืนยิ้ม “พ่อรู้ว่าเรื่องนี้กะทันหันเกินไป เจ้าคงยังเตรียมใจไม่ทัน อย่าว่าแต่เจ้าเลย พ่อเองก็ด้วย แต่…” เขาเปลี่ยนน้ำเสียง ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะอีกครั้งแล้วเดินระบายยิ้มไปหาบุตรสาวที่แผ่นหลังแข็งทื่อไปเล็กน้อย “แต่อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นคนเหนือคน เก่งกาจสามารถไม่เป็นสองรองใคร รูปร่างหน้าตาหรือก็โดดเด่นยากจะหาใครมาเทียมเทียบ ตอนนั้นเจ้าก็น่าจะได้ประจักษ์กับตาตนเองมาแล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นคือถึงอย่างไรเจ้าก็มิใช่บุรุษ สมัยวัยเยาว์ยังพอทำเนา ทว่าเวลานี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว จะเอาแต่ผลาญความอ่อนเยาว์ไปในค่ายทหารก็ใช่ที่ ถึงเวลาควรต้องหาสามีที่เหมาะสม…”
“ท่านพ่อ!” เจียงหานหยวนโพล่งออกมา “ท่านพ่อคิดจริงหรือว่าซู่เซิ่นฮุยคือสามีที่เหมาะสมสำหรับลูก ท่านพ่อคิดจริงหรือว่าคนอย่างลูกเหมาะจะออกเรือน”
นางถามติดกันสองประโยค
เจียงจู่วั่งผงะอึ้ง สบประสานกับดวงตาที่ถอดแบบมาจากมารดาของเจ้าตัวคู่นั้นอยู่ชั่วครู่ ความละอายแก่ใจอันเข้มข้นถาโถมเข้ามาในอกจนเขาแทบทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาบุตรสาวต่อ ต้องหลบสายตาที่จ้องมองมาตรงๆ ของอีกฝ่าย
กระโจมใหญ่เงียบสงัด
ผ่านไปสักพักนางก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่กลับไปราบเรียบดังเดิม
“ช่างเถิด ข้าทราบว่าท่านเองก็ลำบากใจ ท่านตกปากรับคำไปก็ได้”
นางหมุนตัวเดินออกจากกระโจมทันทีเมื่อพูดจบ ไม่รั้งรอแม้เพียงชั่วอึดใจ
แม่ทัพหญิงสาวเท้ายาวๆ ท่ามกลางค่ายใหญ่ที่ถูกปกคลุมไว้ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี ตรงดิ่งออกไปข้างนอก ฝีเท้าเร็วขึ้นทุกที พอเดินพ้นประตูค่ายนางก็ปลดม้าที่ผูกทิ้งไว้กับหลักหินแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพใหญ่ตามท่านมาด้วยเรื่องอันใด อ้าว แล้วนั่นท่านจะไปที่ใด รอข้าด้วยสิขอรับ!”
เมื่อครู่หยางหู่ไม่ยอมไปพักผ่อน รั้นจะหอบแขนที่ได้รับบาดเจ็บมารออยู่ที่นี่ พอเห็นดังนั้นก็รีบขึ้นม้าควบตามไปทันที
อาชาพ่วงพีสีแดงพุทราที่นางขี่อยู่ตัวนี้มีชื่อว่า ‘เทียนหลง’ เป็นม้าพันธุ์ดีจากแคว้นต้ายวนที่ท่านตาของนางมอบให้ หากวิ่งเต็มฝีเท้าไม่มีทางที่ม้าธรรมดาทั่วไปจะไล่ตามทัน
หยางหู่เพิ่งจะตามออกมาได้ไม่นาน หนึ่งคนหนึ่งอาชาตรงหน้าก็หายลับเข้าไปในความมืดของรัตติกาลจนไม่เห็นแม้แต่เงา
เจียงหานหยวนควบม้าเต็มเหยียด เพียงอึดใจเดียวข้างหน้าก็เป็นผากระบี่เหล็กที่อยู่ห่างออกมาสิบกว่าหลี่ ไม่มีทางให้ไปต่อ จึงรั้งบังเหียนแล้วลงจากม้า
นางปล่อยอาชา ส่วนตนเองปีนขึ้นไปยืนอยู่บนยอดสูงของหน้าผา
หน้าผาละแวกค่ายซีสิงเมืองเยี่ยนเหมินส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผาหินดำ มองจากไกลๆ ในเวลากลางวันดูราวกับภูเขาเหล็กลูกแล้วลูกเล่าตั้งเรียงราย ชะง่อนผาที่นางยืนอยู่ในเวลานี้ก็เช่นกัน และด้วยลักษณะที่สูงชะลูด มันจึงได้ชื่อว่า ‘ผากระบี่เหล็ก’
คืนนี้เมฆดำหนาแน่นเต็มฟ้า แหงนหน้ามองไม่เห็นดวงจันทร์ แม้แต่ดวงดาวยังเร้นแสง
นางยืนรับลมหนาวยามค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงคนเดียวอยู่นาน ก่อนจะหันกลับมาอุ้มหินก้อนหนึ่งแล้วโผนร่างลงจากหน้าผา
ในวัยเยาว์นางมาที่นี่เป็นประจำ เคยกระโดดลงจากหน้าผาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ด้านล่างเป็นสระน้ำ ในเวลานี้ผืนน้ำดำมะเมื่อมราวกับปากยักษ์ที่โผล่อ้าขึ้นมาจากพื้นดิน
ร่างของนางทิ้งดิ่งลงไปในน้ำราวกับก้อนหิน จวบจนถึงก้นสระที่ลึกเหมือนอยู่ใต้พสุธา
ชั่วอึดใจนั้นโลกทั้งใบสงัดเงียบไร้สรรพเสียง กระทั่งหัวใจยังเหมือนหยุดเต้นโดยสิ้นเชิง
เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิท นางเก็บแขนขาคู้ตัวแน่นใต้น้ำ แน่นิ่งไม่ขยับดุจทารกซุกตัวอยู่ในครรภ์มารดา
เนิ่นนานเจียงหานหยวนถึงค่อยลืมตาขึ้น เหยียดแขนขาออก ใช้ปลายเท้าถีบก้อนหินใกล้ๆ พาร่างพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็วประหนึ่งงูปราดเปรียว
ผืนธาราส่งเสียงดังซ่าเมื่อนางทะลึ่งตัวขึ้นพ้นผิวน้ำ
นางยกมือปาดน้ำออกจากใบหน้าลวกๆ เดินขึ้นมาเขียนข้อความไว้ริมน้ำ แล้วผิวปากเรียกเทียนหลง ก่อนขึ้นขี่อาชาควบทะยานออกไปอีกครั้ง
กว่าหยางหู่จะนำกำลังคนตามมาถึงตรงนี้ก็ช่วงฟ้าสาง และได้เห็นตัวอักษรที่ใช้ปลายดาบขีดเขียนไว้ตรงริมน้ำว่า
‘ไม่ต้องตามหา’
เสียนอ๋องซู่อวิ้นยังอยู่ที่นี่ เจียงจู่วั่งเรียกฝานจิ้งกลับมาหารือกันที่ค่ายใหญ่เป็นการลับ
เดิมทีฝานจิ้งเป็นคนทางฝั่งมารดาของเจียงหานหยวน เพิ่งเข้ากองทัพเมื่อสิบกว่าปีก่อน เห็นเจียงหานหยวนเป็นเจ้านายอีกคน น่ากลัวว่ามอบความจงรักภักดีให้นางมากกว่าให้เจียงจู่วั่งเสียด้วยซ้ำ จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้กับเจ้าตัว
ฝานจิ้งเพิ่งรู้จุดประสงค์การเดินทางขึ้นเหนือของซู่อวิ้นก็ตอนนี้เอง ไม่ต้องบอกเลยว่าจะสะท้านใจด้วยความตระหนกสักเพียงใด
“ท่านแม่ทัพใหญ่ตอบรับไปแล้วหรือ”
เขาถามอย่างตกตะลึง แต่ประโยคนั้นเพิ่งหลุดออกจากปากก็รู้ตัวทันทีว่าเผลอพูดจาไม่ควรเข้าเสียแล้ว
ฝ่ายชายเป็นถึงผู้สำเร็จราชการจัดการงานราชสำนัก ฐานะแทบไม่ต่างจากฮ่องเต้ เมื่อเอ่ยปากถึงเรื่องเช่นนี้ ซ้ำยังให้ซู่อวิ้นมาเจรจาด้วยตนเอง คนเป็นขุนนางมีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยหรือ
คิดให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่านั้น แม้เรื่องนี้ออกจะกะทันหันไปบ้าง ทว่าก็ไม่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
แต่เดิมองค์เกาจู่ปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นเป็นเจ้าครองแคว้นทางเหนือ ยึดครองพื้นที่แถบฉินยงไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน สร้างแคว้นขึ้นในยุคที่บ้านเมืองปั่นป่วนจากการยกทัพปราบปรามกันระหว่างฝักฝ่ายต่างๆ ฮ่องเต้เซิ่งอู่ที่ขึ้นสืบราชสมบัติในกาลต่อมายิ่งเชี่ยวชาญแผนการศึก สู้ศึกออกตกเหนือใต้ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ครองราชย์ จนสามารถทำลายการใช้กำลังยึดครองดินแดนครั้งสุดท้ายได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน รวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ปิดฉากการแตกแยกและสงครามรบพุ่งอันยาวนานลงโดยสมบูรณ์
ทว่าในเวลาเดียวกันความระส่ำระสายวุ่นวายนานปีของจงหยวน ก็เปิดโอกาสทองให้ชาวตี๋ที่อยู่ทางเหนือรุกลงใต้
เวลานั้นทางเหนือมีแคว้นใหญ่เรืองอำนาจอยู่สองแคว้น หนึ่งคือเว่ย หนึ่งคือจิ้น มีแม่น้ำหวงเหอไหลกั้นกลาง ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำคือเว่ย ฝั่งตะวันออกคือจิ้น แต่เดิมทั้งสองแคว้นยื้อแย่งชิงอำนาจกันมาช้านาน ทว่าในยุคหลังแคว้นต้าเว่ยเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้แคว้นจิ้นหมายจะจับมือเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าตี๋ที่เป็นดินแดนเพื่อนบ้านนอกด่านทางเหนือ ยืมกำลังชาวตี๋มาช่วยตนต้านต้าเว่ย ดังนั้นเมื่อพวกเป่ยตี๋ยกทัพมารุกรานจึงชักศึกเข้าบ้านด้วยการถอยให้ ผลสุดท้ายนอกจากจะไม่สามารถรักษาเขตแดนของตนเอาไว้ได้ ยังพลอยเสียมณฑลสำคัญทางเหนือที่แต่เดิมเคยเป็นของแคว้นจิ้นอย่างซั่วโจว เหิงโจว เยียนโจว และโยวโจวไปให้ชาวตี๋ทั้งหมด
หลังจัดการกับความวุ่นวายภายในจนสงบ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แผ่นดินได้แล้ว ฮ่องเต้เซิ่งอู่ก็เบนสายตามายังชายแดนเหนือ วางแผนชิงมณฑลใหญ่อย่างซั่วโจว เหิงโจว เยียนโจว และโยวโจวกลับมา ปรากฏว่าระหว่างทางยกทัพออกศึกขึ้นเหนือ โรคเก่ากำเริบจนได้แต่นอนติดเตียง แผนการจึงถูกล้มเลิกไปเพียงเท่านั้น
หลายปีให้หลังฮ่องเต้เซิ่งอู่เสด็จสวรรคต รัชทายาทขึ้นสืบราชบัลลังก์ มีสมัญญานามว่า ‘หมิงตี้’
สมัยที่ยังเป็นรัชทายาทฮ่องเต้หมิงตี้เป็นคนที่ความสามารถไม่โดดเด่นที่สุดในหมู่พี่น้อง แต่เนื่องจากมีนิสัยโอบอ้อมอารีเปี่ยมคุณธรรมมาตั้งแต่เด็ก เมื่อขึ้นครองแผ่นดินจึงชนะใจผู้คน เสียดายก็แต่ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ครองราชย์แผ่นดินเกิดความวุ่นวายมิได้หยุดหย่อน แรกสุดมีภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ภายหลังยังเกิดเหตุองค์ชายก่อกบฏ ฮ่องเต้หมิงตี้เหนื่อยล้าทั้งกายใจจนไม่มีแรงเหลือให้สนใจดินแดนทางเหนือที่สูญเสียไป หลังป่วยหนักจนลาลับไปเมื่อปีกลาย เหล่าขุนนางได้มอบบัลลังก์แด่องค์ชายเจี่ยนวัยสิบสองพรรษา ให้เป็นฮ่องเต้องค์ที่สี่ของต้าเว่ย ปีถัดมาซึ่งก็คือปีนี้ได้เปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นเทียนเหอ กล่าวคือเวลานี้อยู่ในสมัยของฮ่องเต้น้อยนั่นเอง
ฮ่องเต้น้อยยังเยาว์วัย ไม่อาจจัดการงานราชกิจด้วยตนเอง ก่อนฮ่องเต้หมิงตี้จะสวรรคตจึงได้แต่งตั้งให้ฉีอ๋องน้องชายคนที่สามของตนเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ฝากฝังให้เขาและที่ปรึกษาราชการอีกคนช่วยกันช่วยเหลือเกื้อหนุนฮ่องเต้น้อย
แม้ฝานจิ้งจะประจำการอยู่ชายแดนมาชั่วนาตาปี แต่ก็พอรู้คร่าวๆ ว่าราชสำนักในเวลานี้ค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว
ในอดีตฉีอ๋องดำรงบรรดาศักดิ์เป็นอันเล่ออ๋อง ถือกำเนิดจากมารดาผู้มีสายเลือดสูงส่ง สมัยที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่ยังมีชีวิตก็รักใคร่โปรดปรานโอรสผู้นี้เป็นอันมาก ระหว่างนอนป่วยซมอยู่บนเตียงยังเคยแต่งตั้งให้อีกฝ่ายเป็นผู้แทนพระองค์เดินทางมาชายแดนทางเหนือเพื่อบำรุงขวัญทหาร สง่าราศีของอันเล่ออ๋องหนุ่มน้อยในครานั้นยังประทับติดตรึงอยู่ในใจฝานจิ้งมิรู้เลือนแม้จะผ่านมาหลายปี ทว่าหากพูดกันในฐานะผู้สำเร็จราชการ ทั้งประสบการณ์และอายุของเจ้าตัวยังทำให้ผู้คนศรัทธาไม่ได้
หลายปีก่อนหน้านี้พื้นที่ที่ราชสำนักให้ความสำคัญยังไม่ใช่ทางเหนือ เจียงจู่วั่งที่รักษาชายแดนมายี่สิบกว่าปีเหมือนถูกลืม เพิ่งจะไม่กี่ปีมานี้เองที่ปัญหาแนวชายแดนทางเหนือชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม่ทัพใหญ่จึงพลอยเป็นที่จับตามองตามไปด้วย พิจารณาจากชื่อเสียงในเวลานี้ของเจียงจู่วั่งก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าเหตุใดอ๋องผู้สำเร็จราชการถึงเลือกเจียงหานหยวนมาเป็นชายา
เจียงจู่วั่งนิ่งเงียบ
ฝานจิ้งรีบขอขมา “ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดอภัยด้วย ผู้น้อย…”
เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“โชคดี…โชคดีที่อ๋องผู้สำเร็จราชการ…หล่อเหลามากความสามารถ เรียกได้ว่า…เหมาะสมกับ…ท่านแม่ทัพยิ่งนัก…”
สุดท้ายเขาได้แต่งึมงำพูดไปอย่างนั้น แต่กระทั่งตนเองยังรู้สึกได้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาไร้น้ำหนักเพียงใด
เจียงจู่วั่งโบกมือ “เจ้าอยู่เคียงข้างนางมานาน สนิทกับนางมากกว่าข้าเสียอีก รู้หรือไม่นางพอจะไปที่ใดได้”
ฝานจิ้งรีบแก้ต่างแทนเจียงหานหยวนทันที “ท่านแม่ทัพสุขุมเยือกเย็น เก่งกาจกล้าหาญมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางเป็นอะไรหรอกขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดอย่าได้เป็นห่วง ตอนนี้นางอาจจะยังคิดไม่ตกเลยไปผ่อนคลายอารมณ์คนเดียวเท่านั้น อันที่จริงครานี้นางกำลังเดินทางไปเมืองอวิ๋นลั่ว หรือว่าจะไปที่นั่น?”
หัวคิ้วเจียงจู่วั่งขมวดมุ่น “ข้าไม่คิดเลยว่าหานหยวนจะมีท่าทีกับเรื่องดังกล่าวรุนแรงถึงเพียงนี้ ต้องโทษที่ข้าไม่รอบคอบ เจ้าเร่งนำกำลังคนไปดูที่เมืองอวิ๋นลั่วเดี๋ยวนี้เลย”
“รับบัญชา!”
ฝานจิ้งเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เจียงจู่วั่งนั่งเหม่อคนเดียวอยู่นาน ทันใดนั้นก็ไอโขลกออกมา เขาต้องเอามือยันมุมโต๊ะด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ก่อนค่อยๆ นั่งกลับลงไปใหม่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเป็นกำลัง
ครึ่งเดือนให้หลัง หรือก็คือวันนี้ เดือนสิบ วันอี่ไฮ่* อากาศกลางฤดูใบไม้ร่วงโปร่งสบายต้อนรับวันพิเศษของวัดฮู่กั๋ว วัดหลวงที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง
หลิวเซี่ยงแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์มาเตรียมพื้นที่ในวัดตั้งแต่เมื่อวาน กันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปทั้งหมด วันนี้ก็คุมทหารรักษาพระองค์ห้าร้อยนายมาด้วยตนเอง แล้วจัดสรรให้รักษาการณ์ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และบริเวณโดยรอบวัด
หากจะพูดถึงความแน่นหนา แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าได้หวังจะบินข้ามกำแพงเข้าไปข้างใน
ที่ต้องระมัดระวังขั้นสูงสุดก็เพราะวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของหลันไทเฮา พระมารดาของฮ่องเต้น้อย ไทเฮายึดมั่นในความสมถะเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหราฟุ้งเฟ้อ และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในเทพเจ้าและศาสนาพุทธ เป็นผู้อุปถัมภ์วัดฮู่กั๋ว อารามแห่งนี้จึงได้วาดภาพบนกำแพงเพื่อถวายพระพรในวันคล้ายวันพระราชสมภพ
วันนี้ไทเฮาจะมาพร้อมฮ่องเต้น้อยและคณะผู้ติดตามเพื่อเปิดผ้าคลุมภาพวาด
ไม่เพียงเท่านั้นในขบวนยังมีเชื้อพระวงศ์ชายและเหล่าขุนนางภายใต้การนำของอ๋องผู้สำเร็จราชการ เวลานี้แม้ทุกคนจะเข้าไปในอารามแล้ว หลิวเซี่ยงก็ยังไม่กล้าชะล่าใจแม้เพียงนิด
ทั้งในและนอกอารามจัดวางกำลังพลไว้พร้อมสรรพ กระนั้นหลิวเซี่ยงก็ยังเจียดเวลาเดินออกมาตรวจตราทุกจุดด้วยตนเองอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ อย่างแท้จริงถึงค่อยคลายกังวล
เขาเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาสั่งการคร่าวๆ ที่นอกประตูด้านหลังของอาราม พอจะเดินกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ด้านในก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาจากสุดปลายทางฝั่งตรงข้าม สวมชุดสีคราม รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ บนศีรษะมีหมวกสาน ปีกหมวกหลุบต่ำ ประกอบกับยังเข้ามาไม่ใกล้พอ จึงมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าตัดสินจากรูปร่างแล้ว อายุน่าจะยังไม่มาก
หลิวเซี่ยงรีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปไล่คนผู้นั้น ฝ่ายตรงข้ามหยุดยืนริมถนนบนเขา พูดอะไรบางอย่างกับทหารรักษาพระองค์
ผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งกลับมา แต่คนผู้นั้นยังไม่ยอมไป หลิวเซี่ยงเห็นแล้วอดโมโหไม่ได้จึงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปเอ็ดอึงเสียงดัง
“ท่านแม่ทัพ คนผู้นั้นบอกว่าเป็นคนคุ้นเคยของท่าน ขอเชิญท่านไปเจรจากันสักหน่อยขอรับ”
หลิวเซี่ยงผงะ ก่อนเหลือบตาพิจารณาผู้มาใหม่อีกครั้ง
ฝ่ายนั้นยังยืนนิ่งริมถนนอย่างเยือกเย็น
หลิวเซี่ยงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไม่รู้หรือว่าวันนี้ปิดถนน รีบไปเสีย…”
ฝ่ายตรงข้ามยกมือเลิกปีกหมวกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์สะอาดสะอ้านและดวงตาใสกระจ่างภายใต้หมวก
“อาหลิว ข้าเอง หานหยวน”
ผู้ที่มากล่าวเช่นนั้นพลางส่งยิ้มบางๆ มาให้
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ก.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.