X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 3

หลิวเซี่ยงชะงัก กวาดตามองอย่างถ้วนถี่อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะอุทานด้วยความแปลกใจแกมยินดี “นายหญิงน้อย! เหตุไฉนเป็นท่านได้ล่ะนี่!”

ในอดีตหลิวเซี่ยงเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงจู่วั่ง รักษาชายแดนทางเหนือแถบเมืองเยี่ยนเหมินด้วยกันมาโดยตลอด จวบจนสิบกว่าปีก่อนถึงค่อยแยกกันไปคนละทาง เจียงจู่วั่งยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่พิทักษ์อุดร ดูแลแนวชายแดนต่อไป ขณะที่หลิวเซี่ยงโรคเก่ากำเริบจนต้องถอดชุดเกราะทหารแล้วเดินทางเข้าเมืองหลวงมาเป็นแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์ ควบคุมการจัดกำลังทหารรักษาพระองค์ทั้งในและนอกเขตพระราชฐาน

สมัยที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่ทำสงครามรวมเก้าเมืองให้เป็นหนึ่งได้มีแม่ทัพนายกองสร้างความดีความชอบทางการศึกนับไม่ถ้วน ระหว่างช่วงเวลานั้นเขาอยู่แต่ในกองทัพทางเหนือของเจียงจู่วั่ง ไม่เคยสร้างผลงานโดดเด่น ที่สามารถเงยหน้าอ้าปากมีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันก็เพราะเจียงจู่วั่งช่วยสนับสนุน เนื่องจากติดข้อห้ามไม่ให้ขุนนางในและนอกเมืองหลวงติดต่อกัน หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่มีโอกาสได้พบหน้า กระนั้นหลิวเซี่ยงก็ยังเคารพและซาบซึ้งบุญคุณเจ้านายเก่ามาโดยตลอด

กับเจียงหานหยวนนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเขาเห็นนางในค่ายทหารมาตั้งแต่เล็กจนโต

พอจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความสนิทสนมก็สะท้อนออกมาทางสีหน้าทันที

“เหตุใดนายหญิงน้อยถึงได้มาเมืองหลวงอย่างปุบปับเล่า ที่ผ่านมาท่านแม่ทัพใหญ่สุขสบายดีหรือไม่ ไม่ได้เจอกันหลายปี พริบตาเดียวนายหญิงน้อยก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว! ถึงตัวข้าจะอยู่ในเมืองหลวง แต่สองปีมานี้ก็ได้ยินข่าวนายหญิงน้อยชนะศึกอยู่เนืองๆ ราวกับเป็นดาวอู่ฉวี่จุติลงมา มิเสียแรงที่สืบสายเลือดตระกูลแม่ทัพจริงๆ ชายอกสามศอกที่ได้แต่ทำงานรอความตายไปวันๆ อย่างข้าเห็นแล้วละอายใจยิ่งนัก!”

เขาก้าวเข้าไปหาเพื่อคารวะเจียงหานหยวน แต่ถูกนางห้ามไว้

“มิกล้า อาหลิวไม่ต้องเกรงใจไป ขอบอกอย่างไม่ปิดบัง ข้ามาหาอาหลิววันนี้เพราะมีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย” นางบอกยิ้มๆ

หลิวเซี่ยงพยักหน้าทันควัน “นายหญิงน้อยมีเรื่องอันใดก็ว่ามาได้เต็มที่เลย ขอเพียงอาหลิวผู้นี้ช่วยได้ ไม่มีเสียล่ะที่จะปฏิเสธ!”

เจียงหานหยวนเหลือบมองไปทางวัดฮู่กั๋ว

แมกไม้ฤดูสารทแผ่กิ่งก้านบดบังแสงแดด ลึกเข้าไปด้านหลังกำแพงอารามสูงตระหง่านเสียงสวดมนต์ลอยตามลมออกมาแว่วๆ ตัวชือเหวิ่น* ประดับอยู่บนสองฝั่งสันหลังคากระเบื้องสีทองตัดเขียวหยกของหอใหญ่โอ่อ่า สะท้อนแสงเป็นประกายแวววาว

“เช่นนั้นก็ขอบคุณอาหลิวมาก ข้าอยากเข้าไปข้างใน”

หลิวเซี่ยงชะงัก

“เรื่องนี้…”

เขาอึกๆ อักๆ พูดต่อไม่ออก

เจียงหานหยวนอมยิ้ม “ข้ารู้ว่าสิ่งที่ขอฟังดูไร้เหตุผลและทำให้ท่านลำบากใจ แต่โปรดวางใจได้ ข้าไม่มีวันทำให้ท่านเดือดร้อนเด็ดขาด”

หากผู้อื่นแม้กระทั่งญาติพี่น้องเอ่ยปากขอเช่นนี้ หลิวเซี่ยงจะปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเลเลยทีเดียว

แต่คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าคือบุตรสาวเจ้านายเก่า…

“เรียนถามนายหญิงน้อย วันนี้ท่านต้องการเข้าไปในอารามด้วยเหตุใด ไม่ใช่ว่าอาหลิวไม่อยากช่วย แต่…นายหญิงน้อยก็ทราบ ข้ามีหน้าที่ค้ำคอ จะให้เกิดเหตุผิดพลาดใดๆ ไม่ได้ทั้งนั้น”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามเลียบๆ เคียงๆ

“ข้าอยากเห็นหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการสักครา”

เสียงที่ตอบกลับมาราบเรียบเป็นปกติ

หลิวเซี่ยงชะงักไปเป็นอันดับแรก จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้

ปีนี้อ๋องผู้สำเร็จราชการอายุยี่สิบสี่ปี ทว่ายังไม่เคยผ่านการแต่งงาน ตำแหน่งชายาจึงว่างมาจนทุกวันนี้

หลายเดือนก่อนหลิวเซี่ยงได้ยินข่าวลือที่ไม่รู้จริงเท็จอย่างไรว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเข้าวังหลวงไปเยี่ยมไท่เฟย สูงวัยของฮ่องเต้เซิ่งอู่ ไท่เฟยสงสารที่จวบจนบัดนี้เขายังไม่มีคนรู้ใจไว้คอยปรนนิบัติดูแล จึงคะยั้นคะยอให้เขาหาชายา อ๋องผู้สำเร็จราชการยิ้มรับแล้วบอกว่าตนชื่นชมบุตรสาวเจียงจู่วั่งมานาน หากได้แต่งนางมาเป็นชายาก็ไม่เสียชาติเกิด

ภรรยาของเจียงจู่วั่งด่วนจากโลกนี้ไปนานแล้ว มีบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งก็คือเจียงหานหยวนที่ผู้เป็นบิดาเลี้ยงดูด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก

ยังมีอีกหนึ่ง เดือนก่อนพระพันปีเสียนอ๋องซู่อวิ้นเสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์ออกเดินทางจากเมืองหลวงขึ้นเหนือ ไม่มีผู้ใดรู้จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ แต่ยิ่งลือก็ยิ่งมีมูลว่าพระพันปีไปสู่ขอชายาให้อ๋องผู้สำเร็จราชการ

วันนี้เจียงหานหยวนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าหมายจะเข้าเมืองหลวงเงียบๆ

ชะรอยข่าวลือจะเป็นจริง

หลิวเซี่ยงพรูลมหายใจอย่างโล่งอก

อย่างนี้นี่เอง…แม้ยามอยู่ในสมรภูมินายหญิงน้อยจะแกล้วกล้าไม่แพ้ชายชาติอาชาไนย แต่ถึงจะเก่งกาจสามารถอย่างไรก็ยังเป็นสตรี หากอยากเห็นว่าว่าที่สามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็อยู่ในปกติวิสัย

นับแต่ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ ฉีอ๋องก็ตรากตรำจัดการงานราชสำนัก ทำนุบำรุงพุทธศาสนา อยู่สะสางงานราชกิจจนดึกดื่นหรือกระทั่งรุ่งสางบ่อยครั้ง จึงมักจะนอนค้างคืนในวังหลวงเพื่อความสะดวก คนนอกอยากเข้าวังไปยลโฉมจึงเป็นไปไม่ได้ วันนี้นับว่าเป็นโอกาสเหมาะที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ นั่นล่ะ

หลิวเซี่ยงลอบพิจารณาบุตรสาวของเจ้านายเก่าอีกครั้ง เห็นนางมีท่าทางเยือกเย็น วางตัวสบายๆ เป็นปกติ ก็คิดว่านางย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

ข้อนี้เขาเชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยแม้แต่นิดเดียว

แม้พิจารณาจากด้านอื่น ไม่ต้องเห็นแก่สายสัมพันธ์เก่าก่อนกับสกุลเจียง วันข้างหน้าหากนางได้เป็นชายาจริงย่อมต้องอยู่ในเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี แล้วเขาจะไม่ตอบรับคำขอเล็กน้อยเพียงเท่านี้ได้อย่างไร

หลิวเซี่ยงเลิกลังเล ตอบกลับไปเบาๆ ว่า “ก็ได้ วันนี้ข้าจะยอมให้นายหญิงน้อยเป็นกรณีพิเศษสักครั้ง เมื่อครู่ชมภาพวาดบนกำแพงอุโบสถไปแล้ว เวลานี้อ๋องผู้สำเร็จราชการมาพร้อมกับไทเฮาและฝ่าบาทไปฟังพระธรรมาจารย์เทศนา ท่านแต่งชุดทหารในอาณัติข้าเข้าไปข้างใน ใช้รหัสลับผ่านทางจะเข้าออกได้โดยสะดวก แต่นายหญิงน้อยโปรดจำไว้ให้มั่น อย่าได้ทำให้ผู้ใดระแคะระคายเป็นอันขาด…ไม่ต้องไปดูอ๋องผู้สำเร็จราชการใกล้ๆ หรอก นายหญิงน้อยเพียงมองจากไกลๆ ก็ได้ประจักษ์รูปโฉมแล้ว”

ประโยคสุดท้ายเขาขยับเข้าไปใกล้นางอีกนิดแล้วพูดกระเซ้านางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าสนิทสนมประสาผู้ใหญ่

“ขอบคุณอาหลิวมาก ข้าทราบว่าควรต้องทำเช่นไร”

เจียงหานหยวนไม่สะเทิ้นอายสักนิด เพียงค้อมกายน้อยๆ พลางยิ้มขอบคุณ

 

ด้านนอกโถงแสดงธรรมร่มครึ้มด้วยเงาต้นอูจิ้ว สงัดเงียบไร้เสียงวิหค กระถางธูปม่วงทองสามขาใบหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง มีขนาดโอฬารสูงใหญ่ท่วมหัว หงายปากหาท้องฟ้า ข้างในปักธูปส่งควันขาวลอยคดเคี้ยวอย่างต่อเนื่อง

หลันไทเฮานั่งอยู่บนแท่นไม้ทางทิศเหนือของหอ ตั้งสมาธิสดับฟังเสียงกังวานของพระธรรมาจารย์ที่นั่งเหนือขึ้นไปอย่างตั้งใจ นางเป็นบุตรสาวของสมุหนายกหลัน อายุราวสามสิบปี ทว่าดูเหมือนเพิ่งจะยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น เรือนผมดำขลับ ดวงหน้างามแฉล้ม ท่วงท่าสุขุมทรงสง่า กลิ่นหอมกรุ่นกำจายอยู่รอบตัวเพราะนางกำนัลสองคนคอยใช้พัดหยกแซมทองโบกลมให้ไม่ขาดระยะ มีฮ่องเต้น้อยวัยสิบสามพรรษานั่งเคียงข้าง วันนี้มีสตรีสูงศักดิ์จากทั้งในและนอกวังหลวงตามมาด้วยเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่หนานคังต้าจ่างกงจู่ลงมา เรียงเป็นแถวยาวตามบรรดาศักดิ์อยู่ทางฝั่งตะวันตกของหอใหญ่ แสงแดดลอดเข้ามาทางประตู ส่องกระทบเครื่องประดับตามเรือนผมและอาภรณ์สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นเป็นประกายวาววับ ก่อเกิดรัศมีเลือนๆ อันงามตา

ที่ฝั่งตรงข้าม ณ ฟากตะวันออกของหอแสดงธรรมคือเชื้อพระวงศ์ชายและเหล่าขุนนางที่ตามมาในวันนี้ แน่นอนว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการนั่งเก้าอี้พิเศษเป็นผู้นำอยู่ตรงกลาง ที่ข้างกันยังมีเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เป็นของบุรุษร่างสูงใหญ่บึกบึนผู้ห้อยห่วงหยกทองไว้ตรงสายคาดเอว

ชายผู้นี้คือที่ปรึกษาราชการคนปัจจุบัน สมุหกลาโหมเกาอ๋องซู่ฮุย

อันที่จริงเกาอ๋องอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่เนื่องจากเป็นแม่ทัพมาก่อน จนบัดนี้ก็ยังขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ไม่ว่างเว้น ร่างกายจึงยังแข็งแรงกำยำไม่เปลี่ยน หากมองแต่รูปร่างโดยไม่สังเกตริ้วรอยตรงหางตาจะต้องคิดว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์อย่างไม่ต้องสงสัย ฐานะเล่าก็สูงส่ง เพราะเป็นโอรสขององค์เกาจู่ อนุชาของฮ่องเต้เซิ่งอู่ สมัยยังหนุ่มเคยติดตามพี่ชายออกศึกหลายครั้ง นับเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญเลื่องลือของต้าเว่ย สร้างความดีความชอบในสงครามมานักต่อนัก เมื่อประกอบคุณสมบัติสองประการนี้เข้าด้วยกัน ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยองค์ปัจจุบันจะเคารพยกย่องเขาเป็นพระอัยกา แม้แต่ฉีอ๋องผู้สำเร็จราชการยังต้องนอบน้อมต่อเสด็จอาผู้นี้ ไม่กล้าเสียมารยาทด้วยแม้เพียงน้อย

วันนี้พระธรรมาจารย์แสดงธรรมเรื่องหมิงอ๋องที่วาดเป็นภาพถวายไทเฮาเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ความว่า…หมิงอ๋องคือพระโพธิสัตว์จำแลงกายมาโปรดปุถุชนผู้โง่เขลา โดยอยู่ในรูปลักษณ์เกรี้ยวกราดดุดันเพื่อเรียกสติกระตุ้นสำนึกปุถุชนผู้มัวเมาในกิเลสตัณหา แล้วใช้แสงสว่างแห่งปัญญาขจัดอกุศลธรรมในใจคนหลงผิดเหล่านั้น จึงได้ชื่อว่า ‘หมิงอ๋อง’

พระธรรมาจารย์มีชั้นเชิงการเทศนาอันแพรวพราว แต่พระอัยกาไหนเลยจะมีแก่ใจฟังธรรม นั่งได้สักพักหางตาก็เหลือบไปมองฉีอ๋องผู้สำเร็จราชการซู่เซิ่นฮุย หลานชายหนุ่มแน่นของตนเองที่นั่งอยู่ข้างๆ

มารดาของฉีอ๋องมาจากแคว้นอู๋เยวี่ย ท่านตาเป็นอ๋องผู้ครองแคว้น เคยสวมเกราะออกรบทั่วทุกสารทิศในยุคที่แผ่นดินยังอลหม่านวุ่นวาย ทว่าจนแล้วจนรอดก็มิได้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ได้แต่ครองแคว้นในฐานะอ๋องอยู่อย่างนั้น เมื่อฮ่องเต้เซิ่งอู่กรีธาทัพพิชิตดินแดนทางใต้ ชักนำผู้คนให้สวามิภักดิ์ต่อต้าเว่ย เวลานั้นฮองเฮาคนแรกสิ้นบุญไปแล้ว เดิมทีธิดาอ๋องนางนี้ได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาปกครองฝ่ายใน หลังให้กำเนิดอันเล่ออ๋อง ฮ่องเต้เซิ่งอู่หมายจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา ทว่านางปฏิเสธ หลังจากนั้นฮ่องเต้เซิ่งอู่ก็ไม่เคยแต่งตั้งสตรีนางใดเป็นฮองเฮาอีกเลย ยังคงให้นางปกครองหกตำหนักสืบมา ครั้นพอฮ่องเต้เซิ่งอู่เสด็จสวรรคตนางก็เดินทางกลับบ้านเกิดโดยให้เหตุผลว่า ‘อยากศึกษาพระธรรม’ แล้วปลีกวิเวกใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบนับแต่นั้น ไม่ออกสู่โลกภายนอกอีก

สมัยยังเยาว์วัยธิดาอ๋องนางนี้งามตระการดุจซีซือ และฉีอ๋องก็ได้รับรูปโฉมมาจากมารดา วันนี้เจ้าตัวอยู่ในชุดพิธีการสีดำ สวมหมวกทรงสูงประดับปิ่นหยกร้อยเชือกผูกคางสีแดง คาดสายคาดเอวเส้นกว้าง อิริยาบทผ่อนคลาย เอนหลังน้อยๆ พิงพนักโอ่อ่าของเก้าอี้ สายตาทอดมองตรงไปจับจ้องพระธรรมาจารย์ที่นั่งอยู่กลางหอ สีหน้าจดจ่อตั้งใจคล้ายกำลังดื่มด่ำในรสพระธรรม มิได้ระแคะระคายถึงสายตาที่จ้องมองมาจากด้านข้างแม้แต่น้อย

เกาอ๋องไม่กล้ามองนานเพราะกลัวจะถูกจับได้ ระหว่างที่ดึงสายตากลับมา หางตาก็เผลอไปหยุดอยู่ที่สายคาดเอวบนเอวอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

ระเบียบการแต่งกายของราชวงศ์กำหนดไว้ ฮ่องเต้คาดสายคาดเอวหยกทองเก้าห่วง ชินอ๋องแปดห่วง ที่เหลือให้ลดหลั่นลงไปตามระดับขั้น แบ่งแยกชัดเจน จะก้าวล่วงกันไม่ได้

ด้วยฐานะของเกาอ๋องในเวลานี้ยังได้คาดสายคาดเอวหยกทองเพียงแปดห่วง แต่เจ้าหนุ่มรุ่นหลานอายุแค่ยี่สิบกว่าที่นั่งข้างๆ กลับมีสิทธิ์คาดสายคาดเอวจำนวนห่วงเท่าผู้ปกครองแผ่นดิน เพราะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ซ้ำก่อนตายฮ่องเต้หมิงตี้ยังปลดสายคาดเอวของตนมอบให้เองกับมือ ทว่าฉีอ๋องไม่เคยนำมาใช้ ยังคงคาดสายคาดเอวแปดห่วงเยี่ยงชินอ๋องเหมือนที่ผ่านมา

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น สายคาดเอวหยกเลี่ยมทองแปดห่วงเสมอกันที่อยู่บนเอวหลานชายกลับทิ่มแทงสายตาผู้เป็นอามากกว่าเดิม

ในอกงุ่นง่านปั่นป่วน หัวใจเต้นรัวแรง ทว่าถึงอย่างไรเกาอ๋องก็เคยกรำศึกมาอย่างโชกโชน อุปสรรคใหญ่กว่านี้ก็เคยผ่านมาหมดแล้ว ไม่นานจึงตั้งสติสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ แล้วปรายตามองแสงแดดนอกหอโดยไม่ตั้งใจ

ทันใดนั้นก็เห็นข้ารับใช้ของหลานชายที่คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อจางเป่าโผล่มาตรงหน้าประตูหอใหญ่ ค้อมหลังยอบตัวเดินย่องเลียบผนังเข้ามาหาเจ้านายอย่างว่องไว จากนั้นก็ชะโงกตัวเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างตรงข้างหู

อ๋องผู้สำเร็จราชการยังมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อฟังจบ แต่ก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วเดินออกไปเงียบๆ จนลับตัวไปที่หลังบานประตู

เกาอ๋องยังโสตประสาทดีไม่ด้อยไปกว่าวันวาน เห็นเมื่อครู่ที่เขามีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ ความจริงแล้วกลับตั้งสมาธิเงี่ยหูฟังสุดความสามารถ แต่จนใจที่จางเป่าพูดเบาเหลือเกิน จึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น พอฉีอ๋องลุกออกไป เหล่าขุนนางโดยรอบต่างก็สังเกตเห็น พากันมองตามทิศทางที่อ๋องผู้สำเร็จราชการลับหายไปเมื่อครู่

เกาอ๋องกระสับกระส่ายในใจ รออยู่สักพักฉีอ๋องก็ยังไม่กลับมา เขาทนจนสุดทนแล้ว จึงลุกออกไปบ้างโดยอ้างว่า ‘อยากเปลี่ยนชุด’

เขาก้าวข้ามธรณีประตู พาข้ารับใช้คู่ใจสองคนที่รออยู่ข้างนอกค่อยๆ เดินเลียบไปตามเฉลียงแล้วเลี้ยวขวา จากนั้นค่อยๆ เดินลึกเข้าไปจวบจนเดินมาสุดทาง

สุดเฉลียงคือตำหนักข้างหลังหนึ่ง บานประตูแง้มอ้า ภายในมืดสลัว เห็นพระพุทธรูปทองได้เพียงวอมแวมท่ามกลางควันธูปคดเคี้ยวอ้อยอิ่ง แต่นอกจากนั้นคือความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาคน

พระอาทิตย์ทำมุมเฉียงกับพื้นโลก ต้นสนมังกรเก่าแก่แหย่กิ่งหงิกงอของมันเข้ามาทางช่องว่างของรั้วเชิงเทิน ส่ายไหวเบาๆ ตามแรงลม ยามใบเรียวเล็กร่วงหล่นลงบนพื้นแทบจะได้ยินเสียงแซ่กๆ อย่างชัดเจน

เกาอ๋องชะงักเท้าเหลียวมองไปโดยรอบ หลังความงุนงงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผ่านพ้น ลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลอันรุนแรงก็วาบเข้ามาจู่โจมหัวใจ ความรู้สึกนี้บอกเขาว่าอันตรายรออยู่ข้างหน้า

นี่คือวิธีที่ช่วยให้เขาหนีรอดจากความตายได้นับครั้งไม่ถ้วนในครึ่งชีวิตที่ผ่านมา สัญชาตญาณของเขาฉับไวประดุจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ การใช้ไหวพริบสติปัญญาและความกล้าหาญเอาตัวรอดจากกับดักที่มีอยู่ทุกที่เหมือนฝึกฝนหล่อหลอมเขาให้สำเร็จสุดยอดเคล็ดวิชาแห่งการรักษาชีวิต

เส้นขนทั้งสรรพางค์กายลุกเกรียว ความหวาดกลัวเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก เขาตัดสินใจอย่างฉับไวว่าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ แล้วสั่งยกเลิกปฏิบัติการทันที

ทว่าสายเกินการณ์

ราชองครักษ์สองคนปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เหมือนเป็นวิญญาณที่จู่ๆ ก็โผล่ทะลุพื้นมาอยู่ข้างหลังเขา

ประกายดาบสะบัดพลิ้วราวกับริ้วผ้าขาว เพียงเท่านั้นสองข้ารับใช้คู่ใจของเขาก็ทรุดฮวบลงกับพื้น

ลำคอของทั้งคู่ถูกฟันเป็นแผลลึก เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด พยายามขยับปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดน้ำ ทว่าเปล่งเสียงใดๆ ไม่ออกทั้งสิ้น มีเพียงเลือดเป็นฟองฟอดที่ทะลักออกจากปากไม่ขาดสาย

เกาอ๋องตกตะลึงจังงัง ทว่าการตอบสนองก็ยังว่องไวเป็นเลิศ เขายกมือขึ้นมาที่เอว หมายจะชักดาบออกมา แต่จับได้เพียงอากาศเปล่าๆ

เขากระจ่างแจ้งในบัดดล

ในการตามเสด็จไทเฮากับฮ่องเต้น้อยมาไหว้พระในวันนี้ ตามระเบียบแล้วนอกจากทหารรักษาพระองค์กับราชองครักษ์ เหล่าเชื้อพระวงศ์ชายและขุนนางไม่อาจพกอาวุธของมีคม เพื่อแสดงความซื่อสัตย์จริงใจ

แรกทีเดียวเขานึกว่านี่เป็นโอกาสทองที่สวรรค์ประทานมาให้ ใครเล่าจะรู้ว่าที่แท้สวรรค์วางกับดักไว้เพื่อกำจัดเขาต่างหาก

เพียงพริบตาเดียวผู้จู่โจมสองคนที่ลงมือสำเร็จไปแล้วคราหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขาต่อ ประกบเขาเอาไว้ตรงกลางด้วยการเคลื่อนไหวว่องไวราวกับเงา

เกาอ๋องรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ

ชั่วขณะจิตนั้นพระอัยกาที่ควบตำแหน่งสมุหกลาโหมผู้สูงส่งก็ได้กลิ่นอายที่ชวนให้พรั่นพรึงของความตายชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาตัวแข็งทื่อ ดวงตาเหลือบขึ้นช้าๆ

ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทก้าวเอื่อยๆ ออกจากมุมลับตาของหอใหญ่มาหยุดยืนใต้ร่มต้นสนเก่าแก่หน้าบันไดตำหนัก

บทที่ 4

พระอาทิตย์เดือนสิบส่องแสงสว่างเจิดจ้าลงมากระทบร่างเกาอ๋อง แต่เขากลับรู้สึกสันหลังเย็นวาบ เหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นตามขมับ อากาศเย็นๆ ไหลลอดไรฟัน

พริบตาที่เห็นร่างนั้น ทุกอย่างพลันกระจ่างแจ้ง

เขาจ้องมองหลานชายที่ยืนหน้าบันไดตำหนัก ยกนิ้วชี้อีกฝ่ายพลางกัดฟันแค่นหัวเราะ

“วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อนซานหลางยังจำตอนข้าจับมือเจ้าสอนยิงนกสมัยเจ้ายังเล็กๆ ได้หรือไม่! เวลานี้ปากยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนมก็ริวางแผนเล่นงานอาแท้ๆ ของตนเองแล้วหรือ! ที่ข้ามีวันนี้ก็เพราะเจ้าบีบบังคับนั่นล่ะ!”

แสงแดดทาบเงาแมกไม้ลงบนใบหน้าชายหนุ่มเป็นดวงๆ ครึ่งหนึ่งสว่าง ครึ่งหนึ่งตกอยู่ในเงา

เขามิได้โต้ตอบ เพียงแค่บอกเรียบๆ ว่า “เสด็จอา หากเป็นไปดังคาด คนในสำนักอู่โหวและกองทหารประตูในเมืองที่จะคอยรับสัญญาณจากท่านเวลานี้น่าจะถูกฆ่าไปแล้ว หลานให้เกียรติท่าน เห็นแก่ที่ท่านเคยสร้างความดีความชอบทางการศึกมามากในอดีต ท่านจงปลิดชีพตนเองเสียเถิด เกียรติยศจะได้ไม่มัวหมอง เมื่อท่านจากไปแล้ว ขอเพียงลูกหลานสายเลือดท่านยอมสงบเสงี่ยม หลานรับรองว่าพวกเขาจะได้มีชีวิตทรงเกียรติสุขสบายไม่ด้อยกว่าที่แล้วมาแม้แต่นิดเดียว”

องครักษ์คนหนึ่งก้าวเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าเกาอ๋อง ใช้สองมือประเคนมีดสั้นเปื้อนเลือดที่เมื่อครู่จ่อลำคอเจ้าตัวขึ้นไปให้พลางบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เชิญพ่ะย่ะค่ะ เกาอ๋อง”

เกาอ๋องหน้าซีดเหมือนศพ “…ข้าเป็นโอรสแท้ๆ ขององค์เกาจู่ เป็นญาติของเจ้า ครองป้ายเหล็ก ละเว้นโทษตาย…”

ชายหนุ่มสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้ยิน

ใบหน้าเกาอ๋องกระตุกริกๆ เขาดึงสายตาออกจากดวงหน้าหลานชายมาจ้องมองมีดสั้นที่ถูกชูอยู่ตรงหน้าตนเองเขม็ง ในที่สุดก็ค่อยๆ เอื้อมมือสั่นเทาออกไปทีละนิดอย่างยากลำบาก จับมีดสั้นเล่มนั้นยกขึ้นมาจ่ออกแนวขวางช้าๆ แล้วหลับตาแสร้งทำท่าสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นก็พลันลืมตาสะบัดข้อมือเร็วแรง ขว้างมีดสั้นให้ลอยพุ่งใส่บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าบันได

ด้วยฝีมือระดับเขา หากขว้างมีดเข้าเป้า อ๋องผู้สำเร็จราชการมีแต่จะล้มลงไปนอนจมกองเลือด!

ในชั่วพริบตานั้นเององครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็ดีดตัวลุกพรวดอย่างแคล่วคล่องว่องไวดุจวานร ดุดันทรงพลังราวกับพยัคฆ์ ปัดมีดสั้นเล่มนั้นออกไปอย่างฉิวเฉียด

จากนั้นองครักษ์อีกคนก็ล้วงบ่วงเชือกในแขนเสื้อออกมาตวัดพันรอบลำคอเกาอ๋อง สองคนจับเชือกกันคนละข้าง ออกแรงดึงซ้ายขวาจนเงื่อนรูดรัดแน่น

ทว่าเกาอ๋องเป็นคนระดับใด การตอบสนองของเขาว่องไวเป็นเลิศ มีหรือจะยอมตายโดยไม่ดิ้นรน เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในบ่วงแล้วง้างออกเต็มแรง เสียดายที่แม้เขาจะเหี้ยมหาญทรงพลัง องครักษ์สองคนนั้นก็ไม่ใช่พวกกระจอก ต่อให้ซู่ฮุยพยายามสุดชีวิต บ่วงเชือกบนคอก็ไม่คลายออกแต่อย่างใด

เส้นเชือกรัดคอแน่นขึ้นทุกทีจนมือทั้งสองข้างของเขากดจมลงไปในลำคอตนเอง สองตาเหลือกถลน ใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงค่อกๆ ในคอประหนึ่งสัตว์ป่าที่กำลังพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด

“สวรรค์ส่งมาให้แล้วไม่รับ…สุดท้ายต้องถูกลงทัณฑ์…ข้าผิดเองที่ไม่อำมหิตพอ ตอนนั้นพี่ชายจอมปวกเปียกของเจ้าไม่มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ด้วยซ้ำ…”

พระอัยกาเกาอ๋องพยายามดิ้นสุดแรงเกิด เท้าทั้งสองข้างเตะถีบปัดป่ายจนเศษดินกับใบไม้แห้งปลิวว่อน ร่างสูงใหญ่กำยำบิดเร่าทุรนทุรายเหมือนปลาดุกบนเขียง

“…ซานหลาง…เจ้าวางแผนฆ่าข้าเช่นนี้…กล้าพูดหรือไม่…ว่าเจ้ามิได้มีใจใฝ่สูงแม้แต่นิดเดียว…” เชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกาอ๋องเค้นแรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยปัจฉิมวาจาออกมาอย่างคลุมเครือ “…อย่าได้คิดว่าวันข้างหน้าเจ้าจะมีจุดจบอันงดงาม…วันนี้ของข้า…ก็คือวันพรุ่งนี้ของเจ้า…”

เสียงพูดอัดแน่นด้วยความอำมหิตเคียดแค้น ราวกับเป็นคำสาปจากห้วงเหวลึก

องครักษ์สองคนหันไปมองอ๋องผู้สำเร็จราชการพร้อมกัน

ฝ่ายนั้นยังคงยืนนิ่ง หลุบตาน้อยๆ มองผู้เป็นอาที่ทรหดไม่ยอมตาย ความอาดูรระคนเวทนาฉายบางๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น องครักษ์ทั้งสองออกแรงเพิ่มจนกระดูกต้นคอของเกาอ๋องลั่นกร๊อบ ในที่สุดอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเว่ยก็หยุดดิ้น ร่างทั้งร่างกลายเป็นก้อนเนื้อนุ่มๆ ศีรษะตกพับไปข้างหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง

องครักษ์ทั้งสองยังคงดึงเชือกต่อสักพักหนึ่ง หลังมั่นใจว่าเกาอ๋องตายแน่นอนแล้วถึงค่อยผ่อนแรง เก็บเชือกแล้วหลบไปยืนรอตรงมุมหนึ่งเงียบๆ

อ๋องผู้สำเร็จราชการยังคงยืนบนบันไดตำหนักอยู่อย่างนั้น

สายลมพลันรำเพยผ่าน พัดใบสนที่เกลื่อนกล่นอยู่บนหลังคากระเบื้องดินเผาให้ร่วงกระทบไหล่เขาเงียบๆ ก่อนจะตกลงไปกองอยู่ตรงปลายเท้า

เขาเดินไปหยุดยืนข้างร่างไร้ลมหายใจของเกาอ๋อง ก้มหน้ามองใบหน้าบิดเบี้ยวดวงนั้น สักพักหนึ่งก็โน้มเอวยื่นมือไปลูบดวงตาเบิกโพลงของอีกฝ่ายให้ปิดลง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเดินผ่านเลยไป

เมื่อมาถึงหอแสดงธรรม เขาเดินกลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ตนเองอย่างเยือกเย็น ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่มองมาเงียบๆ จากทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของหอ

หลันไทเฮาใช้พัดบังดวงหน้า ชำเลืองมองไปยังร่างของบุรุษทางฝั่งตะวันออกที่ไม่รู้ว่าหายออกจากหอไปที่ใดอยู่พักหนึ่ง พอชักสายตากลับมา หางตาก็ปรายมองร่างในอาภรณ์สีแดงเข้มตรงสุดปลายฝั่งตะวันตกของหอ ก่อนที่มุมปากจะหยักยิ้มน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น

 

ด้านนอกหลิวเซี่ยงเดินตามผู้ใต้บังคับบัญชาไปหลังหอแสดงธรรม พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของราชบุตรเขยเฉินหลุน สติก็ตื่นโพลงเหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน รู้ได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว

ศพที่นอนเรียงรายกันบนพื้นล้วนมีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าหมู่คุมกำลังพลกองเล็กที่เขามอบหมายงานสำคัญให้ทำ นั่นคือรับผิดชอบอารักขาอ๋องผู้สำเร็จราชการระหว่างเส้นทางในวันนี้

ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการวางกำลังทหารองครักษ์ที่ตนคิดว่าแน่นหนาราวกับถังเหล็กแท้ที่จริงได้กลายเป็นกระชอนมาตั้งแต่ต้น

เกาอ๋องได้ส่งคนเข้ามาแฝงตัวตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งมารับช่วงดูแลกองทหารรักษาพระองค์ใหม่ๆ ข้อนี้ไม่เท่าไรหรอก น่ากลัวตรงที่สามารถรอดหูรอดตาการปรับเปลี่ยนกำลังพลในช่วงแรกที่เขารับตำแหน่งมาได้ หลายปีที่ผ่านมาเกาอ๋องไม่เคยใช้งานคนเหล่านี้เลย เขาจึงไม่ระแคะระคายสักนิด

แผนการของเกาอ๋องคือฉวยโอกาสระหว่างเดินทางกลับหลังไหว้พระเสร็จ เพราะเป็นช่วงที่กำลังพลทุกฝ่ายผ่อนคลายที่สุด โดยจะโยนเกี้ยวครอบผมเป็นสัญญาณ ให้นักรบเดนตายกลุ่มนี้ลงมือจู่โจมเอาชีวิตอ๋องผู้สำเร็จราชการพร้อมกัน

คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารฝีมือฉมังที่เลือกเฟ้นมาอย่างดีจากหนึ่งในร้อย อยู่ใกล้อ๋องผู้สำเร็จราชการมากกว่าใคร แม้ว่าการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เป็นความสามารถที่เหล่าองค์ชายและบุรุษผู้มีชาติตระกูลต้องฝึกฝน ทว่าฉีอ๋องเชี่ยวชาญเชิงอักษรมากกว่า ซ้ำยังไร้อาวุธป้องกันตัว หากฝ่ายตรงข้ามลงมือก็ย่อมจบชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันใดนั้นเองหลิวเซี่ยงก็กระจ่าง เข้าใจต้นสายปลายเหตุโดยตลอด

อ๋องผู้สำเร็จราชการน่าจะวางแผนกำจัดเกาอ๋องมานานแล้ว จึงจงใจปล่อยข่าวลือว่าสู่ขอบุตรสาวเจียงจู่วั่งมาเป็นชายา เพื่อกดดันเกาอ๋องให้ร้อนรนจนอยู่เฉยไม่ไหว

สมัยที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่ครองราชย์ บารมีแผ่ไพศาลสยบสี่มหาสมุทร ทุกคนก้มกราบกรานใต้อำนาจ แต่เมื่อมาถึงสมัยฮ่องเต้หมิงตี้ อำนาจของฮ่องเต้ลดน้อยลงถนัดตา กลับเป็นแม่ทัพที่คุมกำลังพลขนาดใหญ่รักษาชายแดนเช่นเจียงจู่วั่งที่โดดเด่นขึ้นมา ประกอบกับเขาได้ชื่อว่ารักไพร่พลเยี่ยงบุตรในอุทร ทหารใต้อาณัติจงรักภักดีต่อเขามากกว่าฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ มองจากจุดนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบ อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง แม่ทัพผู้ทรงธรรมจึงมักไม่ได้พบจุดจบที่ดีนับแต่โบราณมา

ทว่ากลับกันหากรู้วิธีใช้สอยแม่ทัพเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาวุธฉกาจฉกรรจ์ป้องกันแคว้น เป็นเสาหลักที่ปักตรึงแผ่นดินให้สงบมั่นคง

หากอ๋องผู้สำเร็จราชการซื้อใจเจียงจู่วั่งให้จงรักภักดีต่อตนเองได้ จะต่างอะไรกับเสือติดปีก

เกาอ๋องคงสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามในข้อนี้เช่นกัน ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังภัยดังกล่าวด้วย

ก่อนหน้านี้เกาอ๋องอาจยังไม่มีความคิดที่จะลงมือในทันทีจริงๆ แต่แน่นอน…เพราะมีประสบการณ์ขับเคี่ยวมานักต่อนักจนเจนจัดแหลมคม จึงกระจ่างใจยิ่งกว่าใครทั้งนั้นว่าหากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในสถานการณ์บีบคั้น ฝ่ายใดฉวยโอกาสลงมือจู่โจมอีกฝ่ายให้ถึงตายได้ก่อนย่อมได้อยู่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นวันนี้จึงยอมเสี่ยงเรียกใช้งานคนที่เขาสั่งให้แฝงตัวมานานปีเพื่อชิงลงมือก่อน

เขาไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังย่างเท้าแต่ละก้าวไปตามทางที่ฝ่ายตรงข้ามปูรอไว้ ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ จนหลงเข้าไปติดบ่วงแร้วตรงปลายทาง

ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้เมื่อเกาอ๋องสิ้นอำนาจ อ๋องผู้สำเร็จราชการยังสามารถข่มขวัญเหล่าขุนศึกที่มีกองทัพขนาดใหญ่อยู่ในมือไปพร้อมกัน…รวมทั้งเจียงจู่วั่ง

อ๋องผู้สำเร็จราชการที่หนุ่มแน่นเปรียบดุจคนยิงธนู ขณะที่คนอย่างซู่ฮุยหรือเจียงจู่วั่งเป็นเพียงฝูงนกชราที่จะถูกน้าวศรยิงเท่านั้น

การสู่ขอชายาครานี้ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวอย่างแท้จริง

หลิวเซี่ยงมองศพที่เรียงรายอยู่ตรงปลายเท้า บรรยายความรู้สึกยามนี้ไม่ออก ราวกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจอย่างนั้น

ไม่กล้าคิดเลยว่าหากแผนการของเกาอ๋องสำเร็จดังหมายจนเกิดเหตุนองเลือดขึ้นจริง เรื่องราวจะดำเนินไปในทางใด และสถานการณ์น่าอเนจอนาถเช่นไรที่กำลังรอตนเองอยู่

ความผิดจะตกอยู่กับเขา ใครสักคนจะถูกปรักปรำว่าเป็นผู้บงการ ขณะที่สมุหกลาโหมเกาอ๋องได้ถือครองอำนาจสำเร็จราชการแทนฉีอ๋องในพริบตา

ยามที่ยังอยู่ในกองทัพทางเหนือเขาเคยผ่านสงครามนองเลือดมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เคยหวาดกลัวจนหนาวเข้าไปถึงกระดูกเหมือนครั้งนี้มาก่อน

ขาทั้งสองข้างค่อยๆ อ่อนแรงจนสุดท้ายต้องคุกเข่าลงกับพื้น เหงื่อเย็นไหลโกรก

ทันใดนั้นเสียงดนตรีก็ลอยตามลมมาเข้าหู

การแสดงธรรมในหอด้านหน้าสิ้นสุดลงแล้ว ท่ามกลางเสียงดนตรีท่วงทำนองสูงต่ำและเสียงพระสวดสงบขรึม นางกำนัลในอาภรณ์สีสันสดใสสองกลุ่มถือถาดที่พูนด้วยกลีบดอกไม้เข้ามาแล้วโปรยกลีบดอกไม้ขึ้นไปในอากาศ อ๋องผู้สำเร็จราชการอารักขาหลันไทเฮาและฮ่องเต้น้อยเดินฝ่าฝนบุปผาออกจากหอ

บรรยากาศแช่มชื่น ราวกับไม่มีใครสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งหายไปจากกลุ่มเชื้อพระวงศ์ชายที่เดินตามหลัง ต่อให้ใครสักคนสังเกตเห็นก็ไม่มีทางคาดคิดหรอกว่าเมื่อครู่ได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญที่รุนแรงพอจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของแคว้นแห่งนี้ขึ้นในมุมลับตาของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

ทุกคนออกจากซุ้มประตู

อ๋องผู้สำเร็จราชการส่งหลันไทเฮากับฮ่องเต้น้อยขึ้นราชรถ เหล่าสตรีสูงศักดิ์และบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจทยอยแยกย้ายกันขึ้นพาหนะของตน บ้างโดยสารรถม้า บ้างขี่อาชา

ฉีอ๋องกลับไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วย

เขายืนค้อมกายส่งเสด็จอยู่ตรงริมทาง จวบจนขบวนเสด็จพ้นไปแล้วถึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยืนข้างๆ ซุ้มประตู สายตายังคงมองตามขบวนอันหรูหรางดงามจนหายลับไปจากคลองจักษุทีละนิด

หลิวเซี่ยงที่อยู่ข้างหลังทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตุ้บในจังหวะนั้น แล้วโขกศีรษะให้เขา

“ท่านอ๋อง! กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ตายสักหมื่นครั้งก็มิอาจลบล้างความผิด! ท่านอ๋อง…”

อดีตทหารกล้าผู้เคยสำแดงศักดาในสนามรบโขกศีรษะซ้ำๆ จนเริ่มเห็นรอยเลือดบนหน้าผากภายในเวลาไม่นาน

ซู่เซิ่นฮุยหมุนตัวมาหยุดสายตาเฉยชาบนใบหน้าเขา

“ความจงรักมีเกินพอดี แต่สติปัญญายังไม่มากพอ” หลังผ่านไปสักพักก็เอ่ยเนิบๆ

หลิวเซี่ยงก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าแม้แต่นิดเดียว “กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่! ท่านอ๋องทรงลงโทษเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“ไปจัดการเก็บกวาดกองพลของเจ้าให้ดี ข้าไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”

หลิวเซี่ยงผงะอึ้ง ก่อนจะเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าตนรอดแล้ว

เขาแทบไม่กล้าเชื่อ ยังนึกว่าฝันไปเสียด้วยซ้ำ พอได้สติอีกครั้งก็ตื้นตันใจเป็นล้นพ้นจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

ตอนนี้ต่อให้ควักหัวใจออกมามอบแด่อ๋องผู้สำเร็จราชการหนุ่มตรงหน้าเขาก็ยังยินดี ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความเต็มตื้น ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวใจอย่างแน่วแน่ว่าจะจงรักภักดีต่อคนผู้นี้จนถึงที่สุด สองตาแดงก่ำ เขาโขกศีรษะโดยแรงอีกครั้ง ก่อนจะกัดฟันแล้วตอบกลับไปอย่างหนักแน่นทุกคำทุกประโยค “ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย หากมีเหตุผิดพลาดอีก กระหม่อมจะปลิดชีพตนเองก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ!”

นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงหน้าซึ่งแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งพลันดูอบอุ่นนุ่มนวลขึ้นในพริบตา ก่อนจะยกมือชี้เขา “เจ้าตายน่ะเรื่องเล็ก แต่อย่าได้ทำให้ข้าเสียการอีกเป็นอันขาด” พูดจบก็เดินลอดซุ้มประตูกลับเข้าไปในอาราม

“พ่ะย่ะค่ะๆ…กระหม่อมจะจำให้ขึ้นใจ…”

หลิวเซี่ยงสัมผัสได้ว่าประโยคสุดท้ายที่อ๋องผู้สำเร็จราชการพูดกับตนเองแฝงนัยตำหนิติเตียนอยู่ไม่เท่าใด ตรงข้าม…ประโยคสั้นๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเหมือนเป็นการยอมรับเขาในระดับหนึ่งด้วยซ้ำ

เลือดร้อนๆ พลุ่งพล่านอยู่ในกาย ใบหน้าแดงก่ำ จวบจนบัดนี้เขาก็ยังคุกเข่าหันไปตามทิศทางที่ร่างนั้นเดินจากไป ก่อนจะโขกศีรษะตามหลังอย่างนอบน้อมอีกครั้ง เมื่อเหลือบตาขึ้นมองหลังผ่านไปสักพัก ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทก็ลับสายตาไปแล้ว

เขารู้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะต้องไปจัดการเรื่องที่ตามมาหลังเหตุการณ์เมื่อครู่

เกาอ๋องตัดสินใจลงมือวันนี้ แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานอย่างสำนักอู่โหวและกองทหารประตูย่อมต้องมีคนคอยรับสัญญาณลงมือในลำดับถัดไป และคนที่ว่าไม่มีทางตำแหน่งต่ำกว่าตนอย่างแน่นอน แต่ในเมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการจัดการกับเกาอ๋องได้แล้ว ที่เหลือคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

เพียงแต่…นับจากวันนี้ไปเมืองหลวงคงเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินสำหรับคนบางกลุ่ม

หลิวเซี่ยงยิ่งคิดก็ยิ่งพรั่นใจไม่หาย นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสนามรบดีกว่าเมืองหลวงอันหรูหรางดงาม อย่างน้อยๆ ต่อให้ตัวตายในสนามรบก็ยังรู้ว่าตายเพราะเหตุใด และได้ตายอย่างกล้าหาญ

สายลมพัดผ่านระลอกหนึ่ง พอสัมผัสได้ถึงเสื้อที่แนบติดแผ่นหลังเพราะเปียกเหงื่อจนชุ่มก็เย็นวาบจับใจ

เขาตั้งสติ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง เพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าตนลืมบางอย่างไปเสียสนิท

หานหยวน!

นางอยู่ที่ใดกันนี่!

เมื่อครู่เกิดเหตุใหญ่ร้ายแรง ตอนนี้นางอยู่ที่ใด จากไปแล้วหรือยังแฝงตัวอยู่ในอาราม

หลิวเซี่ยงร้อนใจดังไฟลน ก่อนจะมองเข้าไปข้างในเงียบๆ อยู่ชั่วครู่

ช่างเถิด ด้วยฝีมือของนาง ข้าเชื่อว่านางเอาตัวรอดได้

ราชรถของฮ่องเต้น้อยเคลื่อนออกไปพักใหญ่แล้ว เขาไม่มีเวลาให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ได้แต่รีบลุกขึ้นไล่ตามขบวนเสด็จไปอย่างเร่งร้อน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: