X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 34-35

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 34

เฉินหลุนกับองค์หญิงหย่งไท่เพิ่งจะรู้เอาตอนเช้าวันรุ่งขึ้นว่าเมื่อคืนอ๋องผู้สำเร็จราชการกลับเมืองหลวงไปแล้ว

หญิงสกุลจวงเล่า “วันนี้ครบกำหนดห้าวันที่ต้องประชุมใหญ่ราชสำนักพอดีเพคะ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการทรงสะสมงานมาสองวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ประสงค์จะเลื่อนการประชุมใหญ่ออกไปอีก มีพระบัญชาให้หม่อมฉันถ่ายทอดพระดำรัส ขอให้องค์หญิงกับราชบุตรเขยพักผ่อนที่นี่ต่อให้สำราญ ท่านอ๋องจะเสด็จกลับก่อนเพคะ”

สองปีที่ผ่านมาอ๋องผู้สำเร็จราชการจัดการราชกิจอย่างขยันขันแข็งเพียงไร ขุนนางทั้งราชสำนักรู้ดี เฉินหลุนฟังแล้วหาได้สงสัยเป็นอื่น องค์หญิงก็มิได้คิดมาก แค่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็กลัวว่าเจียงหานหยวนจะไม่พอใจ จึงช่วยแก้ต่างให้ญาติผู้น้องเล็กน้อย ระหว่างวันก็ลากนางออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันต่อ

วันนี้ทุกคนไปล่องเรือในทะเลสาบแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบหลี่ แล้วกลับตำหนักเซียนเฉวียนอย่างสนุกสนานชื่นบาน ตอนแรกนัดแนะกันว่าวันพรุ่งนี้จะออกไปล่าสัตว์ด้วยกันใหม่ ใครจะรู้ว่าในช่วงค่ำกลับได้รับข่าวว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการเรียกตัวเฉินหลุนเข้าเฝ้าทันที

แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเรียกตนกลับไปก่อนกำหนดเช่นนี้ เฉินหลุนก็สังหรณ์ใจว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก เขารีบออกเดินทางเดี๋ยวนั้นโดยไม่กล้ารอช้า องค์หญิงเห็นว่าเจียงหานหยวนอยู่คนเดียว และญาติผู้น้องของนางนั้นยุ่งกับงานขึ้นมาเมื่อไรเป็นได้ลืมวันลืมคืน นางจึงไม่กลับไปด้วย ตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ทัพหญิงต่ออีกสองสามวัน

เฉินหลุนเร่งเฆี่ยนม้าไปตลอดทางและตรงดิ่งถึงวังหลวงในยามไฮ่ของคืนเดียวกัน อ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังรอเขาอยู่ในหอเหวินหลิน

“กระหม่อมมาช้า ท่านอ๋องโปรดทรงอภัยด้วย!” เฉินหลุนเดินดุ่มๆ เข้ามาถวายคำนับ

“ข้าอนุญาตให้เจ้าลาหยุด แต่ยังไม่ทันครบกำหนดก็เรียกตัวกลับเสียแล้ว อย่าได้ถือโทษกันเลยนะ” ซู่เซิ่นฮุยมีสีหน้ารู้สึกผิด

“มิกล้า เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ซู่เซิ่นฮุยเลื่อนรายงานไปตรงหน้าอีกฝ่าย เฉินหลุนรับมากวาดตาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตา

เพราะอ๋องผู้สำเร็จราชการถูกลอบสังหารในคืนแต่งงาน ต่อมาจึงเกิดการตรวจสอบโดยละเอียดในฉางอันเป็นวงกว้าง แม้ภายหลังจะไม่พบสิ่งใดน่าสงสัยและถอนกำลังคนในที่แจ้งไปแล้ว ทว่าในที่ลับตามสถานที่มังกรงูปะปนกันซึ่งเกิดสถานการณ์ได้ง่ายที่สุดอย่างเรือนแรมหรือโรงเตี๊ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่มีขบวนพ่อค้าเข้าพักเป็นจำนวนมาก นอกจากจะไม่ผ่อนคลายการตรวจตรา ยังเพิ่มคนให้คอยจับตามองอย่างลับๆ อีกด้วย

คดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเฉินหลุน วันนี้เองที่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของเขาสืบจนพบจุดน่าสงสัย ขบวนพ่อค้าสัญจรจากมณฑลทางเหนือขบวนหนึ่งเข้าพักในโรงเตี๊ยมแถวประตูเหยียนกวงทางฝั่งตะวันตกของเมือง มีด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดแปดคน ฉากหน้านำสินค้าอย่างหนังและขนสัตว์มาขาย หนังสือหลักฐานที่ได้จากด่านต่างๆ ตลอดเส้นทางพร้อมพรัก ซ้ำยังไม่ใช่เอกสารปลอม ในเมืองฉางอันที่มีคนอยู่อาศัยเป็นร้อยหมื่นชีวิต ขบวนพ่อค้าเช่นนี้เล็กกระจิริดยิ่งกว่าฝุ่นทราย แรกเริ่มเดิมทีจึงไม่เป็นที่สนใจของใครทั้งนั้น แต่ผ่านไปนานวันเข้าคนเหล่านี้ดูมีพิรุธเวลาเข้าออกโรงเตี๊ยม กองทหารประตูจึงเริ่มจับตามองเงียบๆ พร้อมสั่งให้หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมคอยลอบสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่

ตอนกลางคืนหลงจู๊ลุกไปห้องน้ำ เมื่อเดินผ่านห้องพักแบบเตียงรวมของคนกลุ่มนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยด้วยภาษาต่างแคว้นลอยออกมาประโยคหนึ่ง ทันทีที่พูดประโยคนั้นคนข้างในก็รีบเงียบเสียงเหมือนรู้ตัว จากนั้นก็มีคนเปิดหน้าต่างชะโงกออกมากวาดตามองข้างนอก บังเอิญเหลือเกินที่หลงจู๊คนนี้เคยไปมณฑลทางเหนือสมัยหนุ่มๆ จึงฟังภาษาของพวกเป่ยตี๋ออก คนผู้นั้นเหมือนจะสบถว่าที่นอนมีตัวหมัด ด้วยเวลานี้สองแคว้นเป็นศัตรูกัน ประกอบกับตนได้รับคำสั่งจากกองทหารประตู เจออย่างนี้เลยอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นจะต้องรับผิดชอบ วันนี้จึงแอบออกมาส่งข่าวแต่เช้า ทว่าเฉินหลุนไม่อยู่ ข่าวจึงถูกส่งมาถึงเบื้องหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการโดยตรง

“เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายให้รู้กันเยอะเกินไป ข้าส่งคนไปจับตามองคนกลุ่มนั้นแล้ว เรื่องหลังจากนี้เจ้ามาจัดการต่อ ดูซิว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์ใด ยังมีพวกพ้องอีกหรือไม่ จะต้องจับให้หมดในคราเดียวให้ได้”

เฉินหลุนรับคำสั่ง หลังจากหารือรายละเอียดกันว่าจะจัดการอย่างไร เขาก็รีบออกจากวังหลวง

หลังจับตาดูอยู่หลายวันเฉินหลุนก็พบว่าขบวนพ่อค้าขบวนนั้นกำลังจะปิดฉากการเดินทางและเริ่มทยอยออกจากเมืองหลวงแล้ว เขาจึงตัดสินใจนำกำลังคนไปล้อมจับทันที ไม่ผิดจากที่คิด คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือ พอเห็นคนของทางการปรากฏตัวก็ต่อสู้อย่างดุดันเหี้ยมหาญ ทว่าเฉินหลุนเตรียมการมาอย่างดี ไหนเลยจะยอมปล่อยให้หลุดมือ แม้ผู้ใต้บังคับบัญชาจะบาดเจ็บไปหลายคน แต่สุดท้ายก็จับคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด หลังทรมานไปหนึ่งชุด หนึ่งในนั้นทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหว ยอมคายออกมาว่าพวกตนเป็นคนของหนานอ๋องชื่อซู องค์ชายหกแห่งชนเผ่าตี๋ ติดตามเจ้านายลอบเข้าแคว้นต้าเว่ยตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนจนมาถึงฉางอัน พอมาถึงฉางอัน ชื่อซูไม่ได้พักอยู่กับพวกตน ส่วนเจ้าตัวอยู่แห่งหนใดพวกตนก็ไม่รู้เช่นกัน หน้าที่ของพวกตนคือรอเคลื่อนไหวตามคำสั่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุผลกลใดทางนั้นถึงได้เงียบเฉยมาโดยตลอด จนเมื่อหลายวันก่อนถึงได้รับคำสั่งว่าให้พวกตนสิ้นสุดการเดินทางครานี้

เฉินหลุนตื่นตระหนกเสียไม่มีดี ด้วยไม่คิดว่าสุดท้ายจะเกี่ยวพันไปถึงบุคคลระดับชื่อซู เขาเร่งเดินทางตลอดทั้งคืนเพื่อรุดเข้าวังหลวง แล้วขอพบอ๋องผู้สำเร็จราชการโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเวลาย่ำรุ่ง

ซู่เซิ่นฮุยเพิ่งเข้านอนได้ไม่นาน พอรู้ว่าเป็นเฉินหลุนก็ออกมาพบ หลังฟังรายงานจบก็เอ่ยถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดชื่อซูนั่นถึงได้ยอมเสี่ยงลอบเข้าฉางอัน”

“จากคำให้การของคนผู้นั้น ฮ่องเต้เป่ยตี๋ให้ความสำคัญแก่ชื่อซูอย่างมาก มีโอกาสได้สืบทอดบัลลังก์สูง แต่เขาอยู่ในลำดับหก ก่อนจะถึงเขายังมีองค์ชายหลายพระองค์ที่เก่งกาจมากความสามารถเช่นกัน หากเขาอยากโดดเด่นกว่าพี่น้องคนอื่นก็จำต้องสร้างผลงานให้ได้ นี่คือสาเหตุที่เขามาสร้างจวนหนานอ๋องขึ้นในเมืองเยียนมณฑลโยวโจวเพื่อรักษาการณ์พื้นที่แถบนั้นด้วยตนเอง”

ซู่เซิ่นฮุยผงกศีรษะ “ตำแหน่งฮ่องเต้เป่ยตี๋มักเป็นของคนมีความสามารถ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนผู้นี้มานานแล้ว เห็นว่าอุปนิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต เย่อเหยิ่งทะนงตน ในเมื่อมาสร้างจวนหนานอ๋องไว้ที่นั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด ครานี้เขาชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียลอบแฝงตัวเข้าฉางอันด้วยตนเองเพื่อสร้างความดีความชอบในวันข้างหน้า นับว่ากล้าอยู่ไม่น้อย”

เฉินหลุนถาม “จะให้ปิดเมืองตรวจค้นและกำหนดเวลาห้ามออกจากที่พักในยามวิกาลเพื่อจับคนผู้นี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ซู่เซิ่ยฮุยใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ในฉางอันน่ะช่างเถิด คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้ออกจากเมืองแล้ว ตัวเขาเองคงไม่ได้อยู่ในเมืองหรอก เชื่อว่าจะต้องออกไปนานแล้ว ข้าจะให้หลันหรงมาประสานงานกับเจ้า ส่งคนไปตั้งด่านสกัดตามทางที่มุ่งหน้าสู่มณฑลทางเหนือ ดูซิว่าพอจะได้อะไรบ้างหรือไม่ แต่ข้าคิดว่าเขาน่าจะเดินทางไปตามเส้นทางธรรมชาติมากกว่าทางหลัก เช่นนั้นจะต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร…”

เฉินหลุนเห็นเขากล่าวไปได้สักพักเสียงพูดก็เริ่มชะลอลงจนเงียบไปในที่สุด

เฉินหลุนรออยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่พูดอะไรต่อ พอจะเอ่ยเรียกก็พลันได้ยินเจ้าตัวเอ่ยขึ้นมาว่า “ทางพระชายา…เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ข้าจะจัดการเอง ตอนนี้เจ้าจงรีบไปตำหนักเซียนเฉวียนแล้วรับนางกลับมาก่อน”

ราชบุตรเขยชะงัก

“รีบไปเร็ว!”

แม้จะยังไม่รู้ว่าชื่อซูผู้นั้นอยู่ที่ใด แต่ในเมื่อรู้ว่าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น การปล่อยพระชายาไว้ที่ตำหนักแปรพระราชฐานคนเดียวย่อมอันตรายเกินไป กระทั่งลักลอบเข้าเมืองฉางอันชื่อซูยังกล้า หากอีกฝ่ายสืบรู้ว่าพระชายาแม่ทัพหญิงอยู่ที่ตำหนักเซียนเฉวียนเพียงลำพัง…

เฉินหลุนสะท้านวาบ ใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที รีบรุดออกจากวังหลวงเดินทางไปตำหนักเซียนเฉวียนตลอดทั้งคืน

องค์หญิงหย่งไท่ภรรยาเขาอยู่เป็นเพื่อนพระชายาที่ตำหนักสองสามวัน เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน เชื่อว่าไม่น่าเกิดเหตุร้ายขึ้น

เขามาถึงตำหนักแปรพระราชฐานในยามอิ๋น หญิงสกุลจวงที่ยังหลับอยู่ถูกปลุกขึ้นมา นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบร้อนสวมเสื้อผ้าออกมาพบเขา

“รบกวนจวงหมัวมัวไปทูลเชิญพระชายาให้เสด็จออกมาทีได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะทูลรายงาน” เฉินหลุนใช้น้ำเสียงปกติเพราะกลัวจะทำให้ผู้อื่นแตกตื่น

หญิงสกุลจวงตอบ “คลาดกันเสียแล้วเจ้าค่ะ หลังองค์หญิงเสด็จกลับเมืองหลวงไปเมื่อวานซืน เช้าเมื่อวานนี้พระชายาก็เสด็จออกเดินทาง ตรัสว่าหากตกค่ำแล้วยังไม่กลับจะทรงค้างแรมข้างนอก อย่าได้เป็นห่วง เมื่อคืนพระชายาไม่ได้เสด็จกลับเจ้าค่ะ”

“ทรงพาคนไปด้วยกี่คน” เฉินหลุนใจหายวาบ รีบถามอย่างนั้น

“ทรงพาองครักษ์ไปด้วยสองคน มีอะไรหรือ เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”

แม้ราชบุตรเขยจะไม่ได้ปริปากพูดแม้เพียงครึ่งคำ หญิงสกุลจวงก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แล้วเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

เฉินหลุนปลอบโยนอีกฝ่ายสองสามประโยคว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จากนั้นก็บอกว่าหากพระชายากลับมาแล้วให้รีบส่งข่าวไปแจ้งทันที กำชับเสร็จก็รีบรุดควบม้ากลับเมืองหลวงโดยไม่หยุดพัก

ซู่เซิ่นฮุยได้รู้ข่าวนี้หลังเลิกประชุมราชสำนักในช่วงเช้า ตอนที่เฉินหลุนกลับมาถึง เขากำลังหารือเรื่องงานกับขุนนางอาวุโสหลายคน เฉินหลุนรอจนคนอื่นไปหมดแล้วถึงค่อยเข้าไปรายงานข่าวที่ได้มา

อ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างทิศใต้ของหอเหวินหลินหันมาสั่งการ

“ให้หลิวเซี่ยงนำกำลังคนไปเดี๋ยวนี้ จะต้องหาพระชายาให้พบแล้วพากลับมาให้ได้ รีบจัดการให้เร็วที่สุด!” เขาสั่ง

เมื่อวานเจียงหานหยวนออกจากตำหนักแปรพระราชฐานแต่เช้าอย่างไร้จุดหมาย ได้แต่ควบม้าไปเรื่อยๆ ในสวนป่ากว้างใหญ่

องค์หญิงดีกับนางมาก นางเองก็ชอบองค์หญิงและรู้สึกซาบซึ้งที่อีกฝ่ายดีกับตนถึงเพียงนี้ ทว่านางถูกลิขิตให้อยู่อย่างเดียวดายมาแต่กำเนิด ดังนั้นความหวังดีและไมตรีขององค์หญิงมีแต่จะทำให้นางรู้สึกวางตัวไม่ถูก จริงอยู่ว่าความรู้สึกนี้เบาบางลงบ้างเล็กน้อยเมื่อนางเริ่มคุ้นเคยกับองค์หญิงมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้หายไปทั้งหมดอยู่ดี

นางเป็นคนพูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ถนัดคบค้าสมาคมกับใครก็ตามที่ไม่ใช่คนในกองทัพ นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำตัวอย่างไรถึงจะสมกับน้ำใจไมตรีที่ผู้อื่นมีให้ คืนนั้นนางปฏิเสธที่จะแช่น้ำพุร้อนกับองค์หญิง เหตุผลไม่มีอะไรอื่น เพียงแต่นางไม่อยากให้องค์หญิงเห็นรอยแผลเป็นบนแผ่นหลังแล้วหวาดกลัวเท่านั้นเอง

เวลานี้นางกำลังควบม้ารับลมพัดโหมเพียงลำพัง อยากหาความรู้สึกของตนเองตอนอยู่ด่านชายแดนซีสิงเมื่อหลายเดือนก่อนกลับมาอีกครั้ง

ตอนนั้นเวลาและพละกำลังเกือบทั้งหมดของนางถูกใช้ไปกับเรื่องทางการทหารและการฝึกซ้อม วันๆ สมองคิดถึงแต่เรื่องในกองทัพ ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความสุขใจ ซึ่งนางก็ไม่ต้องการด้วย นางชาชินและยินดีที่จะใช้ชีวิตแสนราบเรียบจำเจเช่นนั้นวันแล้ววันเล่า ชีวิตที่ควบคุมทุกอย่างได้เองทั้งหมดทำให้นางรู้สึกปลอดภัย ไม่เหมือนอย่างตอนนี้ นางสัมผัสได้ว่าตนเองอัดอั้นตันใจ อารมณ์ดิ่งวาบเป็นพักๆ โดยที่ควบคุมอะไรไม่ได้เลย

เพิ่งจะจากเยี่ยนเหมินมาได้กี่เดือนเอง

หลังคืนนั้นนางรู้สึกอัดอั้นทรมานเหมือนมีก้อนหินอุดอยู่ในหัวใจ เวลาอยู่กับองค์หญิงหย่งไท่ช่วงสองสามวันก่อนหน้านี้นางพยายามสุดความสามารถที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ตอนนี้พอแยกตัวแล้วก็นึกอยากระบายออกมาเต็มที

หลังจากเจียงหานหยวนควบม้ากลางทุ่งคนเดียวมาวันหนึ่งแล้วก็ยังหาความรู้สึกเดิมๆ กลับมาไม่ได้เสียที ใกล้ค่ำแล้ว ยามสายัณห์วันนี้ฟ้าใสไร้เมฆ พระอาทิตย์กำลังลาลับหลังภูเขาที่อยู่ถัดออกไปจากทุ่งหญ้า นางรั้งบังเหียนม้า เหม่อมองอาทิตย์อัสดงอยู่สักพักก็พลันนึกถึงเย็นวันที่ได้เจอเด็กหนุ่มผู้นั้นโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา รวมทั้งยามอรุณรุ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาในชีวิตนั่นด้วย

คืนที่ค้างแรมคืนนั้น ตอนที่เฉินหลุนรำลึกความหลังถึงวันนั้นกับเขาขึ้นมาอย่างปุบปับ นางก็รู้เลยว่าเขาลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว นางเองก็เช่นกัน เนื่องจากหยกพกที่เขามอบให้ ‘เจ้าหนู’ คนนั้นถูกนางเก็บไว้ตรงก้นหีบ ไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันมานานปี

สำหรับนางแล้วสิ่งที่น่าพึงพอใจมากที่สุดของการแต่งงานนี้คือการเป็นสามีภรรยากันแต่ในนาม วันหนึ่งในอนาคตเมื่อเขาไม่ต้องการนางแล้วจะได้ต่างคนต่างกลับไปใช้ชีวิตของตนเองตามเดิมอย่างสันติ เขาสามารถรักคนที่อยากรัก ส่วนนางก็กลับไปอยู่ในค่ายทหาร ปกปักรักษาชายแดนอย่างที่เคยทำต่อไป ทั้งยังสามารถไปเมืองอวิ๋นลั่วเพื่อฟังอู๋เซิงแสดงธรรม…หากตอนนั้นเจ้าตัวยังไม่ไปที่อื่นล่ะก็ นางจะใช้ชีวิตชาตินี้ให้หมดไปเงียบๆ เช่นนี้ ในกรณีที่ไม่ตายในสนามรบเสียก่อน

หากไม่อาจแต่งงานกันแค่ในนาม นางก็สามารถเป็นสามีภรรยากับเขาอย่างแท้จริงได้เช่นกัน แต่ก็เพียงเท่านั้น เพราะการแต่งงานครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึก นางเองก็ไม่อยากผูกสัมพันธ์ใดๆ กับเขามากเกินกว่าที่จำเป็น ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว

เป็นต้นว่าเป็ดสรงน้ำหวานที่ตอนแรกนางชื่นชอบในรสชาติเมื่อได้ชิมจานนั้น

หรืออย่างจุมพิตดูดดื่มที่ต้องให้ริมฝีปากและลิ้นเคล้าคลอกัน

ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าทำเพื่อผลประโยชน์เชิงอำนาจ จะสวมบทบาทเป็นจริงเป็นจังกันไปไย นางเล่นละครไม่เก่ง และยิ่งกลัวว่าวันใดวันหนึ่งตนเองจะมองบทบาทที่สวมอยู่เป็นความจริงขึ้นมาจนไม่ใช่เจียงหานหยวนคนเดิมอีกต่อไป ส่วนเขายังเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ลืมการพบเจอกันโดยบังเอิญในวันวาน เช่นนั้นนางที่ไม่ใช่เจียงหานหยวนอีกแล้วจะไปอยู่ที่ใดได้เล่า

“พระชายา! พระชายา!”

องครักษ์สองคนที่ถูกนางสลัดทิ้งไว้ข้างหลังไล่ตามทันจนได้ พวกเขาเห็นนางนั่งอยู่บนหลังม้า หันหน้าเข้าหาตะวันรอนก็ตะโกนเรียกแล้วควบม้าเข้ามาจนใกล้ ถามว่าจะกลับกันได้หรือยัง

เจียงหานหยวนหันไปมองอาทิตย์อัสดงอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างของกวางที่แสนคุ้นตาก็วิ่งผ่านไปตรงหน้า มันคือกวางตัวผู้ที่ทุกคนพยายามล่าเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง! เขาข้างหนึ่งของมันมีรอยบิ่น นางจำได้ดี

แม่ทัพหญิงเอื้อมมือไปหยิบธนูโดยไม่ต้องคิด แล้วชักบังเหียนให้ม้าบ่ายหน้าไล่ตามไปอย่างไม่ลังเล

ผ่านไปหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นนางยังคงไล่ตามรอยเท้าและร่องรอยของมันต่อ ได้เห็นตัวมันอีกสองครั้ง แต่ก็คลาดไปอย่างฉิวเฉียดทุกที ครั้นพอวันที่สาม หลังจากตากน้ำค้างพักแรมกลางแจ้งมาสองวัน ในที่สุดโชคก็เข้าข้างนางบ้างแล้ว

นางเห็นตัวมันอีกครั้งตอนมาถึงข้างเนินเขาแห่งหนึ่งในช่วงเย็น

มันถูกนางไล่ล่ามาสามวัน เวลานี้จึงมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความแข็งแรงปราดเปรียวในตอนแรกอีกแล้ว มันยืนอยู่บนเนิน เขาคู่ที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิและหน้าผากค้อมต่ำ ทันใดนั้นมันก็เห็นนางขี่ม้าเข้ามาใกล้ จึงรีบดีดตัววิ่งหนีอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้งในสองวันที่ผ่านมา

แต่ครั้งนี้เจียงหานหยวนไม่ให้โอกาสมันอีกต่อไป นางทรงตัวนั่งอย่างมั่นคงบนหลังม้าที่ยังวิ่งห้อด้วยความเร็วสูง น้าวสายธนูเล็งเป้าไปยังร่างเดรัจฉานที่กำลังหนีเตลิดอยู่ด้านหน้า แล้วปล่อยลูกธนู

ลูกธนูของนางพุ่งฉิวไปหากวาง ปักเข้าที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ ตีนหน้าของมันสะดุดกึก ก่อนจะงอเข่าล้มลงนอนหงายท้องบนพื้น ตีนทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้าแน่นิ่งไม่ขยับ แต่ชั่วอึดใจให้หลังมันก็เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ตวัดตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่องไว เหลียวมามองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดขาออกวิ่ง เหลือแต่ก้านธนูเปล่าๆ ที่หัวแหลมถูกหักออกตกอยู่บนพื้น

เจียงหานหยวนรั้งบังเหียนม้าให้หยุดวิ่ง มองตามร่างที่วิ่งหนีอุตลุดของกวางหนุ่มแล้วคลี่ยิ้ม ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกมาหลายวันหายวับไปทันตา!

ในเมื่อยิงกวางสำเร็จ การล่าสัตว์ของนางก็สิ้นสุดได้เสียที

แม่ทัพหญิงลดคันธนูลงแล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อจับทิศทางกลับไปสมทบกับองครักษ์ทั้งสอง แต่ทันใดนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย

พริบตาที่ความจดจ่อละออกจากตัวกวางที่ไล่ล่ามาถึงสามวัน นางก็สัมผัสได้ทันควันว่าด้านหลังคล้ายกับมีคนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ไม่ใช่พวกองครักษ์ หากแต่เป็นคนแปลกหน้า

แรกสุดนางทำเฉยเหมือนไม่ทันรู้สึก มือที่คลายจากคันธนูค่อยๆ กระชับแน่นใหม่อีกครั้ง เตรียมความพร้อมที่จะหันขวับไปยิงธนูใส่ด้วยความเร็วสูงสุด

นางพร้อมแล้ว ทว่าเสียงปรบมือสองครั้งลอยตามลมมาในจังหวะนั้นเสียก่อน

“นิสัยหนักแน่นเยือกเย็น ความสามารถในการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เลิศล้ำ ในขณะเดียวกันก็มีจิตเมตตา เลื่อมใสแม่ทัพฉางหนิงมานานแล้ว วันนี้ได้เจอตัวเสียที ไม่ผิดจากคำเล่าลือเลยจริงๆ!”

นางค่อยๆ เหลียวหลังไปมอง ชายผู้หนึ่งขี่ม้าออกจากหลังเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าวตรงมาหานาง

อีกฝ่ายเป็นบุรุษหนุ่มที่ดูอายุไล่เลี่ยกับซู่เซิ่นฮุย สวมชุดสีเทา รองเท้าหุ้มแข้งสีดำ ดูเผินๆ ไม่ต่างจากนักเดินทางทั่วไป ทว่านัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยวและรูปร่างสูงใหญ่กำยำนั้นมองอย่างไรก็รู้ว่าจะประมาทไม่ได้

นี่ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

เจียงหานหยวนมองอีกฝ่ายชักม้าเข้ามาใกล้ตนเองขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายหยุดห่างจากม้านางไปเพียงเจ็ดแปดก้าว

“เจ้าเป็นใคร” นางถาม

ชายหนุ่มยิ้ม “ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน อยากทำความรู้จักแต่แรกแล้ว จนใจที่แต่ก่อนไม่มีโอกาสเสียที ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบกัน นับว่าโชคเข้าข้าง บ้านข้าแม้คับแคบแต่ก็ยังพอมีที่รับรองแขก เตรียมที่นั่งอย่างดีไว้ต้อนรับแม่ทัพฉางหนิงนานเต็มทีแล้ว ครานี้ข้าเดินทางรอนแรมมาไกล โชคดีที่ได้เจอตัว จึงอยากเชิญแม่ทัพฉางหนิงไปเป็นแขกที่จวนข้าหน่อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพจะว่าอย่างไร”

เจียงหานหยวนมองคนตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ก็โพล่งถาม “เจ้าเป็นชาวตี๋?”

รอยยิ้มหายวับ ชายหนุ่มผงะไปจนสังเกตได้ ทว่าหลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ในเมื่อเจ้ามองออก ข้ายอมรับก็ได้ เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“รูปร่างหน้าตาเจ้าไม่แตกต่างจากต้าเว่ยเรา ซ้ำยังพูดภาษาฮั่น ถือว่าปลอมตัวได้แนบเนียนดี แต่เจ้าลืมซ่อนรอยเจาะหู ไม่มีบุรุษต้าเว่ยคนใดใส่ตุ้มหู และหน้าตาเจ้าก็ไม่เหมือนพวกคนแดนประจิม ก็เหลือแค่ชาวตี๋ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับชาวต้าเว่ยแต่ขนบธรรมเนียมแตกต่างกันเท่านั้นล่ะ”

ชายผู้นั้นยกมือแตะติ่งหูโดยไม่รู้ตัว แล้วหัวเราะอีกครั้ง “ถูกต้องยิ่งแล้ว! ข้าสะเพร่าเอง! จุดเล็กๆ เพียงเท่านี้เจ้ายังสังเกตเห็น มิเสียแรงที่เป็นคนชิงแนวชายแดนชิงมู่กลับไปได้!”

“เจ้าเป็นใครกันแน่”

เจียงหานหยวนมองบุรุษตรงหน้า ในใจพอจะมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งแล้ว

ไม่ผิดจากที่คิด คนผู้นั้นหุบยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าแฝงความภาคภูมิ “ในเมื่อเจ้ามองออก ข้าจะบอกให้ก็ได้ ข้าองค์ชายหกแห่งราชวงศ์ต้าตี๋ หนานอ๋องชื่อซู”

บทที่ 35

แม่ทัพหญิงนึกถึงชื่อซูได้ตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ตอบ

หลังแนวชายแดนชิงมู่กลับคืนมาอยู่ในมือต้าเว่ยเมื่อสามปีก่อน องค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ผู้นี้ก็มาตั้งจวนในเมืองเยียนมณฑลโยวโจวด้วยบรรดาศักดิ์หนานอ๋อง ระหว่างสามปีมานี้ได้ส่งไพร่พลมาล้อมแนวชายแดนชิงมู่จนสองแคว้นทำศึกกันหลายครั้ง โดยกองทัพตี๋เป็นฝ่ายบุกตีก่อนทุกคราวไป ทว่าล้วนไม่ใช่ศึกใหญ่ เจียงหานหยวนวิเคราะห์ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการหยั่งเชิงและดูศักยภาพของทัพตน จึงมิได้ทุ่มเทสรรพกำลังมากนัก เพียงให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำทัพแทนทุกครั้ง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปะทะกันที่เกิดขึ้นจะต้องมาจากคำสั่งของชื่อซูแน่นอน

ในฐานะผู้บัญชาการของแนวหน้าที่ต้องเผชิญกับการปะทะของสองกองทัพโดยตรง เจียงหานหยวนย่อมทำการสืบข่าวผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายศัตรูเช่นกัน เท่าที่นางรู้มาชื่อซูอายุยังน้อย เรียนภาษาและขนบธรรมเนียมจงหยวนกับบัณฑิตชาวฮั่นที่เป็นขุนนางในราชสำนักเป่ยตี๋มาตั้งแต่เด็ก จึงสามารถพูดภาษาฮั่นได้อย่างคล่องแคล่ว อุปนิสัยทะนงตน วรยุทธ์เป็นเลิศ ทั้งยังกล้าเสี่ยง ระหว่างที่ฮ่องเต้เป่ยตี๋ผู้เป็นบิดาทำสงครามผนึกแว่นแคว้นต่างๆ ได้ตกเข้าไปในกับดักที่ข้าศึกสร้างไว้และถูกโอบล้อมหมดทุกด้าน ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเขาสลับม้ากับบิดา ปลอมธงประจำตัว เอาตนเองล่อศัตรูสู้ยิบตาจนสามารถทะลวงฝ่าวงล้อมและช่วยบิดาให้รอดพ้นความตายมาได้ ความองอาจกล้าหาญนี้ทำให้เขาเริ่มโดดเด่นขึ้นมาเหนือเหล่าองค์ชายที่มีอยู่มากมายและเป็นที่จับตามองนับแต่ศึกครานั้น

นางสืบข่าวผู้มีอำนาจสูงสุดของฝ่ายศัตรูได้ ฝ่ายตรงข้ามก็ย่อมทำได้เช่นกัน คนตรงหน้าในเวลานี้ไม่เพียงหนุ่มแน่นและมีความสามารถ ยังมีท่าทีถือดีไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา สอดคล้องกับคุณสมบัติของชื่อซูทุกประการ และเท่าที่ฟังจากคำพูดคำจา ฝ่ายตรงข้ามก็รู้เรื่องของนางโดยละเอียดเช่นกัน

ในบรรดาบุคคลที่มีตำแหน่งและฐานะของเป่ยตี๋ นอกจากชื่อซูแล้วนางก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้อีก

แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือองค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ผู้นี้จะบ้าบิ่นถึงขั้นกล้าแฝงตัวเข้ามาในฉางอัน

ในเมื่อแสดงตัวต่อหน้านางเวลานี้ ย่อมไม่มีทางมาคนเดียวเด็ดขาด

“เจ้าคือชื่อซู? ข้ารู้จักเจ้า เจ้าลอบเข้าฉางอันด้วยจุดประสงค์ใด”

นางโต้ตอบกับอีกฝ่ายพลางกวาดตาสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว เป็นไปดังคาด มีหัวคนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านหลังเนินเตี้ยที่ห่างออกไปไม่ไกล พวกเขากำลังจับจ้องมาทางนี้ มีด้วยกันทั้งสิ้นสิบกว่าคน

เจียงหานหยวนไม่กล้าประมาทเลินเล่อใดๆ เท่าที่นางประเมินหากตนเองกับชื่อซูต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว โอกาสแพ้ชนะมีเท่ากัน แต่หากต้องรับมือกับผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนของอีกฝ่ายด้วย คิดจะอาศัยการต่อสู้ด้วยกำลังอย่างเดียวน่าจะตีฝ่าหนีไปไม่ได้ ชื่อซูบุกเข้าถิ่นศัตรูทั้งที เชื่อว่าคนที่พามาด้วยย่อมต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ

ชื่อซูที่อยู่ตรงข้ามสังเกตว่านางเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตนให้ซุ่มรออยู่ข้างหลังแล้ว จึงมองนางพลางยิ้มบางๆ “แม่ทัพเจียง เจียงหานหยวน! ข้าก็รู้จักเจ้าเช่นกัน ในเมื่อเจ้าเป็นแม่ทัพของแคว้นเว่ย ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงสตรีทั่วไป และยิ่งจะไม่หยามเกียรติเจ้า แต่ข้าจะบอกอะไรให้ วันนี้เจ้าไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้แน่ ไม่สู้ยอมจำนนแล้วตามข้ากลับไปโดยดีเถิด ข้ารับรองว่าจะไม่ทำอันตรายเจ้า มีแต่จะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยซ้ำ ว่าอย่างไร”

คำพูดฟังแล้วดูสุภาพก็จริง ทว่าความหยิ่งผยองในน้ำเสียงกลับสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน

เจียงหานหยวนไม่โต้ตอบ

“นอกจากข้า ผู้ใต้บังคับบัญชาข้าก็ฝีมือไม่ใช่ธรรมดา ล้วนแต่เป็นขุนศึกเหี้ยมหาญที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน นึกหรือว่าวันนี้ตนเองจะหนีรอดไปได้ เจ้ายังสาวยังงดงาม ซ้ำเป็นแม่ทัพมากพรสวรรค์ จะเป็นชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้นเว่ยให้รำคาญใจไปไยเล่า ข้าจะบอกให้นะ วันข้างหน้าฉางอันแห่งนี้จะต้องตกเป็นสมบัติของราชวงศ์ต้าตี๋เราอย่างแน่นอน! เมื่อข้าขึ้นครองราชย์ เจ้าจะได้เป็นแม่ทัพของต้าตี๋ นั่นแตกต่างจากเป็นแม่ทัพต้าเว่ยอย่างไร”

แม่ทัพหญิงยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ทว่าในใจมีแผนการแล้ว

ชื่อซูเห็นนางไม่ยอมให้คำตอบเสียทีก็พยักหน้า “ได้ ข้าอยากเห็นมานานแล้วว่าเจ้าเก่งกาจเพียงใดกันแน่ แม้ที่นี่จะไม่ใช่สนามรบ แต่ได้ประมือลองเชิงกับเจ้าเช่นนี้ก็เป็นโอกาสที่หายาก!”

พูดจบเขาก็ผิวปาก ผู้ใต้บังคับบัญชาสิบคนที่อยู่หลังเนินดินควบม้าเข้ามาใกล้แล้วเรียงแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างหลังเขา

“เจียงหานหยวน ข้าไม่อยากใช้คนมากกว่ารุมเจ้าคนเดียวให้เป็นที่ครหา ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี”

เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณ นักรบจมูกเหยี่ยวนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบคนหนึ่งขี่ม้าออกมาจากข้างหลัง ดูก็รู้ว่าเหี้ยมโหดดุดัน ไม่ใช่คนดี

เจียงหานหยวนมองอีกฝ่ายชักดาบพลางควบม้าเข้ามาใกล้ ตัวนางยังคงจับบังเหียนม้าไว้ด้วยมือข้างเดียวโดยไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งนักรบผู้นั้นใกล้เข้ามาจนอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งช่วงหัวม้าแล้วเงื้อดาบ นางก็ถีบเท้าทั้งสองข้างพาตัวทะยานขึ้นไปในอากาศและโผเข้าใส่ สองแขนคว้ากระชากอีกฝ่ายให้ร่วงตกลงจากหลังม้า ก่อนจะร่อนลงบนพื้น

นางรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้กระบวนท่าที่ได้จากการซ้อมต่อสู้ในลานฝึกใช้งานไม่ได้ มีแต่ต้องสู้ประชิดตัวแบบจะฆ่ากันให้ตายไปข้างเหมือนเวลาอยู่ในสนามรบเท่านั้น

นักรบจมูกเหยี่ยวรู้สึกเสียหน้าที่ต้องให้เจ้านายกับพรรคพวกเห็นตนเองร่วงตกจากหลังม้า ประกายอำมหิตในดวงตายิ่งวาวโรจน์ เขากลิ้งตัวลุกจากพื้น ตวัดดาบใส่เจียงหานหยวนเป็นครั้งที่สอง ครานี้ทั้งรวดเร็วและหนักหน่วงปานสายฟ้าฟาด คมดาบที่มาพร้อมแรงลมหมายจะฟันฉัวะลงมากลางกระหม่อมนาง

ชื่อซูติดตามการเคลื่อนไหวมาถึงตรงนี้ก็แววตาไหววูบ นึกบริภาษความวู่วามของผู้ใต้บังคับบัญชาในใจ

สตรีผู้นี้เป็นแม่ทัพหญิงของต้าเว่ย บุตรสาวของเจียงจู่วั่ง และชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ หากได้นางมาไว้ในมือย่อมถือเป็นดอกผลอันมหาศาลที่ได้มาอย่างเหนือความคาดหมายในการเดินทางลงใต้ครานี้

เขากำลังจะยื่นมือเข้าไปห้าม กลับเห็นว่าเจียงหานหยวนเอี้ยวตัวหลบการจู่โจมได้ คมดาบเพียงแค่เฉียดกระหม่อมตัดผมนางลงมาปอยหนึ่ง

เจียงหานหยวนอาศัยจังหวะที่ดาบของคู่ต่อสู้ยังเหลือแรงโถมลงข้างล่าง รีบยกมือกระชากแขนข้างที่ถือดาบของเจ้าตัวอย่างแรงจนร่างนั้นเอียงวูบแล้วหงายหลังล้มลงกับพื้น ตัวนางเองก็ถลาเซลงกับพื้นตามแรงดึงจากร่างใหญ่ยักษ์ด้วยเช่นกัน ทว่าในพริบตานั้นเองหญิงสาวก้มลงไปดึงมีดสั้นออกมาจากรองเท้าหุ้มแข้งที่สวมอยู่ แล้วเงื้อมือจ้วงแทงใส่ท้องน้อยฝ่ายตรงข้ามในระยะประชิด

คนผู้นั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่ความบึกบึนเหี้ยมหาญทำให้ยังคงลุกพรวดขึ้นมาได้และทำท่าจะจู่โจมกลับ ทว่าเจียงหานหยวนไหนเลยจะยอมให้โอกาสอีกฝ่าย นางดึงมีดออกมาพร้อมกระโจนราวกับพยัคฆ์เข้าไปแทงซ้ำตรงตำแหน่งหัวใจ มือจับด้ามมีดควงคว้านขยับโยกจนเลือดสดๆ พุ่งกระฉูดประหนึ่งน้ำพุ นักรบจมูกเหยี่ยวล้มตึงลงกับพื้นอย่างสุดทานทน ชักกระตุกได้ไม่กี่ทีก็สิ้นใจ

ตั้งแต่กระโดดออกจากหลังม้า โผเข้าปะทะ ร่อนลงพื้น จนถึงปลิดชีพคู่ต่อสู้ได้ในมีดที่สอง ทุกอย่างเกิดขึ้นในไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น

ชื่อซูกับพวกพ้องของนักรบตะลึงงันไปตามๆ กัน พอตั้งสติได้องค์ชายแห่งเป่ยตี๋ก็จ้องมองเจียงหานหยวนด้วยแววตาที่ต่างไปจากเดิม

นักรบที่ส่งออกไปจับกุมนางเมื่อครู่ติดตามรับใช้เขามานานปี ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา เป็นหนึ่งในสิบทหารกล้าใต้บังคับบัญชาของเขา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้น เขากลับต้องมาตายตกใต้คมมีดนางเช่นนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

คราวนี้ในที่สุดเขาก็เชื่อแล้วว่าแม่ทัพหญิงแห่งต้าเว่ยผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือเหนือที่ราบชิงมู่นั้นเป็นอสุราหญิงที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาจริงๆ ต่างจากรูปลักษณ์ที่ชวนให้เขาเข้าใจผิดเมื่อแรกเห็นจนเกิดสงสารอย่างสิ้นเชิง

การรับมือกับศัตรูที่ไม่อาจประมาทเช่นนี้จะชะล่าใจใดๆ ไม่ได้อีกแล้ว จากที่เคยพะวักพะวนเรื่องให้คนหมู่มากรุมนางคนเดียวก็ต้องเลิกคิด เป้าหมายเพียงหนึ่งที่มีคือต้องจับนางกลับไปให้ได้

เขาหรี่ตา จากนั้นก็ยกมือให้สัญญาณอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่คนเดียวที่มาประลองด้วย แต่สิบกว่าคนที่เหลือเข้ามาล้อมนางไว้ทั้งหมด

เจียงหานหยวนถอยกรูดไปที่ม้าของตนเอง ตอนแรกชื่อซูคิดว่านางจะขี่ม้าหนี ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางทำได้ เขาจึงไม่ร้อนรน ปรากฏว่านางกลับใช้ม้าเป็นที่กำบังกาย ก่อนจะล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากถุงหนังที่ห้อยอยู่ข้างอานม้า แล้วคำรามลั่น “ชื่อซู!”

องค์ชายหกหันไปมองตามเสียง เห็นเชือกเส้นหนึ่งลอยลิ่วมาเหนือศีรษะตนเองราวกับงูขดตัว พอร่วงลงมาคล้องร่างเขาไว้ก็กระตุกรัดแน่นทันที

เป็นบ่วงบาศ

บ่วงบาศประเภทนี้ใช้สำหรับคล้องสัตว์ใหญ่เวลาล่าสัตว์หรือคล้องม้าพยศตามคอกม้า ชื่อซูนึกไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะกลายเป็นเป้าที่ถูกคล้อง กว่าจะชักมีดสั้นที่เอวมาฟันเชือกทิ้งก็สายไปก้าวหนึ่ง เจียงหานหยวนที่อยู่ทางนั้นผูกเชือกเข้ากับอานม้าแล้วรั้งรูดบ่วงบาศให้รัดตัวเขาอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ฟาดด้ามมีดลงบนสะโพกม้าโดยแรง ความเจ็บปวดทำให้อาชาวิ่งเตลิดไปข้างหน้าด้วยความตกใจ องค์ชายหกถูกลากไปตามพื้น ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด พริบตาเดียวก็ถูกม้าตื่นตัวนั้นลากออกไปหลายจั้ง

ผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอได้สติก็รีบควบม้าไล่ตามไปช่วยชีวิตเจ้านาย ไม่มีอารมณ์มาสนใจเจียงหานหยวนอีก

วิธีนี้ช่วยให้เอาตัวรอดได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อชื่อซูถูกช่วยกลับมาได้ นิสัยอย่างเขาไม่มีทางเลิกราเท่านี้แน่

เจียงหานหยวนกวาดตามองรอบตัว

อาทิตย์จวนเจียนลาลับ ฟ้าใกล้มืดเต็มที นางขึ้นขี่ม้าของชื่อซูที่ยังอยู่ตรงนั้นแล้วกระทุ้งสีข้างเร่งให้มันควบตะบึงไปทางแนวป่าที่อยู่ด้านข้าง

เป็นไปตามที่นางคาด ชื่อซูถูกม้าลากไปตามพื้นได้สักพักก็อาศัยความเยือกเย็นแม้ในสถานการณ์คับขันและฝีมือเก่งฉกาจเกร็งตัวพลิกร่างเอาหลังลงพื้น ดิ้นขลุกขลักจนในที่สุดก็สามารถชักมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเชือกให้ขาดในครั้งเดียว เอาตัวรอดจากวิกฤตสำเร็จ

หลังเสื้อครูดไปตามพื้นขาดเป็นริ้วๆ ถัดจากเสื้อผ้าขาดวิ่นคือผิวเนื้อเหวอะหวะที่เจ็บร้อนราวถูกไฟเผา เขานอนหอบหายใจอยู่บนพื้นในสภาพดูไม่ได้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไล่ตามมาจนทันพากันขอขมาด้วยความตื่นตระหนกแล้วประคองเขาขึ้นจากพื้น ทำท่าจะสำรวจบาดแผลบนแผ่นหลังให้

องค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ทำหน้าบึ้งตึง ปัดมือที่ยื่นเข้ามาหาตัวออกไปทั้งหมด เพียงแค่รับเสื้อคลุมตัวหนึ่งมาสวมไว้

รอบตัวมืดลงเรื่อยๆ ทุกคนเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไร นักรบนาม ‘หนูกาน’ ที่เป็นหัวหน้าพวกนักรบละล้าละลังเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หนานอ๋อง นางคงหนีไปแล้ว พวกเรารีบเดินทางกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เดิมทีการจับตัวชายาอ๋องแม่ทัพหญิงแห่งต้าเว่ยก็แค่ทำไปเพราะสบโอกาสเท่านั้น แน่นอนว่าหากสำเร็จย่อมประเสริฐสุด แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่นับว่าขาดทุน เพราะไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสแต่แรกอยู่แล้ว จุดประสงค์สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของพวกเขาในตอนนี้คือเร่งเดินทางให้พ้นจากอาณาเขตฉางอันอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด แล้วมุ่งหน้ากลับเมืองเยียนมณฑลโยวโจว

หลายวันก่อนผู้ใต้บังคับบัญชาในฉางอันไม่ได้ออกมาเจอกันตามนัดหมายและขาดการติดต่อไป เป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าคนโดนจับตัวไปแล้ว ดีไม่ดีป่านนี้ทหารต้าเว่ยอาจกำลังค้นหาพวกเขาอยู่ทั่วทุกพื้นที่

ชื่อซูจ้องไปข้างหน้าเขม็ง

ความมืดโรยตัว เห็นเงาป่าดำทะมึนอยู่เบื้องหน้า นกที่กลับรังบินวนเวียนเหนือแมกไม้เป็นจุดสีดำเล็กๆ ส่งเสียงร้องเป็นพักๆ

“ตามไป! จับตัวนางมาให้ได้!”

เขากัดฟันกรอดแล้วออกคำสั่ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: