X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 36-37

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 36

ก่อนหน้านี้ไม่นานเจียงหานหยวนยังเป็นนักล่าที่จะยอมหยุดต่อเมื่อบรรลุเป้าหมาย เพลิดเพลินกับการไล่ตามเหยื่อของตนอย่างไม่ลดละ ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวนางกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกล่าแทน ต่างกันตรงที่นางยิงเหยื่อด้วยลูกธนูไร้หัว กวางตัวนั้นถูกยิงล้มยังลุกขึ้นวิ่งหนีไปได้ แต่หากนางถูกยิง ไม่มีหรอกที่จะโชคดีอย่างนั้น

นางถูกพวกชื่อซูไล่ตามอย่างกัดไม่ปล่อย แม้จะหนีมาสองวันกับอีกสามคืนแล้วก็ยังสลัดฝ่ายตรงข้ามโดยสมบูรณ์ไม่ได้เสียที ตลอดทางที่หนีมานี้ ยิ่งไกลเท่าไร ร่องรอยสิ่งที่สร้างโดยมนุษย์ตามป่าเขาและลำน้ำยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ทุกที มองไปทางใดก็เห็นแต่ความเปลี่ยวร้าง

แม่ทัพหญิงรู้ว่าตนเองได้ออกจากอาณาเขตสวนป่าต้องห้ามเข้าสู่ความรกชัฏที่แท้จริงแล้ว รอบตัวมีเพียงป่าไม้และหุบเขา ไร้ซึ่งสัญญาณมนุษย์

ถุงหนังข้างอานม้าของชื่อซูมีเสบียงกับเนื้อแห้งที่ช่วยถนอมเรี่ยวแรงขั้นพื้นฐานให้ร่างกาย นางไม่กล้ากินหมด ได้แต่แบ่งออกเป็นส่วนๆ กินเพียงวันละนิด ที่เหลืออาศัยเก็บผลไม้ป่ากินประทังหิว รอยเกือกม้า มูลที่มันขับถ่าย อีกทั้งร่องรอยเล็มหญ้าและยอดไม้ของมันเพิ่มความเสี่ยงที่นางจะถูกตามรอยจนเจอ เมื่อวานพอมาถึงตีนเขาที่มีต้นไม้รกทึบอีกแห่งนางจึงปล่อยม้าให้เป็นอิสระแล้วเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง

ชื่อซูกับผู้ใต้บังคับบัญชาขึ้นมาหาบนเขาแล้วทั้งช่วงกลางวัน หนึ่งในลูกน้องของเขาคือนายพรานมือฉมังด้านการแกะรอย ทว่าสุดท้ายก็ยังเจอแค่ม้าที่แต่เดิมเป็นของชื่อซู ส่วนเจียงหานหยวนอันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิงนับจากขึ้นเขา ไม่ทิ้งร่อยรอยใดๆ ไว้อีกเลย

ใกล้พลบค่ำเต็มที นางเหมือนเหยื่อที่ว่องไวและตื่นตัวตลอดเวลา มักให้ความหวังนายพรานที่ตามมาข้างหลัง แต่ทุกคราวที่ตามมาจนใกล้กลับพบว่าเข้าใจผิดไป

ผ่านมาสองวันสามคืนเต็มแล้ว

หนูกานเหลียวกลับไปมองทางที่พวกตนเดินผ่านมา ทุ่งร้างและหุบเขานอนสงบภายใต้แสงแดงฉานราวกับโลหิตของตะวันรอน ยอดหญ้าส่ายไหวตามแรงลม ไม่มีร่างมนุษย์ปรากฏให้เห็น ความกระสับกระส่ายในหัวใจเขาทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากตักเตือนเบาๆ อย่างระมัดระวังอีกครั้ง “หนานอ๋อง ฟ้าจวนมืดแล้ว หญิงชาวต้าเว่ยผู้นี้อำพรางร่องรอยเก่งนัก หาจนวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเจอตัว อีกทั้งนางยังมีฐานะสูงส่ง ไม่กลับไปหลายวัน ชาวต้าเว่ยไม่มีทางอยู่เฉยแน่ กระหม่อมกลัวว่าป่านนี้คงมีคนไล่ตามมาแล้ว หากพวกเรายังเสียเวลากับนางต่อแล้วถูกเจอเข้าจะได้ไม่คุ้มเสียนะพ่ะย่ะค่ะ ล้มเลิกเพียงเท่านี้แล้วเร่งเดินทางเสียตอนกลางคืนเพื่อกลับไปโดยเร็วจะปลอดภัยกว่า”

ในอดีตราชวงศ์ต้าตี๋ช่วงชิงพื้นที่ขนาดใหญ่แถบเยียนโจว โยวโจว พร้อมทั้งประชากรในพื้นที่จากแคว้นจิ้น ทว่าในสายตาขององค์ชายหกผู้ทะเยอทะยานนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป้าหมายของเขาคือรุกลงใต้เพื่อผนวกรวมต้าเว่ย ให้ชาวฮั่นก้มกรานในฐานะขุนนาง เขาอยากเข้าต้าเว่ยด้วยตนเองสักครั้งมานานแล้ว จะได้มาสำรวจพื้นที่และดูหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้กุมอำนาจที่แท้จริงในราชสำนักต้าเว่ย ปลายปีกลายเมื่อได้ข่าวว่าแม่ทัพเจียงจู่วั่งผู้พิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมินยกแม่ทัพหญิงผู้เป็นบุตรสาวให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขาก็ออกเดินทาง โดยให้ผู้ติดตามทั้งหมดปลอมตัวลอบข้ามชายแดนเข้าต้าเว่ย จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมกลับ หนึ่งอึดใจที่ยังรั้งรออยู่ที่นี่คืออันตรายหนึ่งส่วนที่เพิ่มพูนขึ้น

ชื่อซูยืนข้างพุ่มโคกกระสุนป่า สองตาจ้องเขม็งไปยังภูเขาอาบแสงอาทิตย์อัสดงตรงหน้า ก่อนจะทะลุกลางปล้องขึ้นว่า “เผาภูเขา! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะไม่ออกมา!”

หนูกานท้วงด้วยความตกใจ “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! อันตรายเกินไป! เปลวไฟอาจเรียกพวกต้าเว่ยมาได้!”

องค์ชายหกตอบอย่างเย็นชา “ขอแค่บีบให้นางโผล่ออกมาเท่านั้น พวกเจ้ามีกันตั้งมากเพียงนี้จะจับนางไม่ได้อีกหรือไร ยังไม่ต้องพูดว่าข้าก็อยู่ด้วย! นางมีค่ามากพอให้ยอมเสี่ยงหมดทุกอย่าง!” เขาหันไปมองข้างหลังแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก “กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ อย่าว่าแต่พวกต้าเว่ยไม่อาจไล่ตามมาได้เลย ถึงพวกมันตามติดมาข้างหลังจริง พอเราได้ตัวนางก็จะไปทันที ใช้เส้นทางลัดกลับขึ้นเหนือ ต่อให้พวกมันมีสามเศียรหกกรก็อย่าได้คิดจะตามทัน มิหนำซ้ำพวกเรายังมีนางอยู่ในมือ!”

น้ำเสียงของเขาเฉียบขาดชนิดไม่ยอมรับฟังคำท้วงติงใดๆ

หนูกานกับพวกที่เหลือรู้ว่าองค์ชายหกผู้นี้สั่งอย่างไรต้องทำตามนั้น ในเมื่อเจ้าตัวพูดถึงเพียงนี้เขาจึงไม่กล้าแย้งต่อ พอลองใคร่ครวญตามก็พบว่าอีกฝ่ายมีเหตุผล ทุกคนจึงหันไปมองตากัน สุดท้ายก็ทำตามคำบัญชา เลือกปากทางลงเขาที่ง่ายต่อการล้อมปิด มีแต่ทางตรงเส้นเดียว ถัดไปข้างหน้าไม่ไกลคือหน้าผาที่ด้านล่างเป็นหุบเขาลึก

พวกเขามีเครื่องมือสำหรับจุดไฟติดตัวกันทุกคน หลังเลือกปากทางได้แล้วก็กระจายตัวออกไปตามแนวหน้าผา จุดไฟเผากอหญ้าและพุ่มไม้ที่ติดไฟง่าย เปลวเพลิงลุกพึ่บพั่บตามแรงลม ไหม้กิ่งไม้ใบหญ้าขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็ขยายลามเป็นวงกว้างอย่างน่ากลัว

เจียงหานหยวนกำลังซ่อนตัวอยู่บนไหล่เขาในซอกหลืบมิดชิดปลอดภัยที่หาพบ เหลือแค่รอให้พระอาทิตย์ตกดินโดยสมบูรณ์ คืนนี้ก็จะได้พักผ่อนบ้างเสียที

ร่างกายนางต้องการพักผ่อนอย่างเร่งด่วน พวกชื่อซูเหมือนจิ้งจอกเลี่ยไฉลองว่าได้กลิ่นเลือดแล้วมีแต่จะตามอย่างกัดไม่ปล่อย สามคืนที่ผ่านมาระหว่างนอนพักผ่อนนางจะคงความตื่นตัวของประสาทสัมผัสไว้ในระดับสูงสุด แค่ยอดหญ้ารอบตัวไหวตามลมนิดเดียวก็ทำให้นางลืมตาตื่นขึ้นมาได้แล้ว ช่วงกลางวันของวันนี้ฝ่ายตรงข้ามไล่ตามกระชั้นขึ้น หลายครั้งหลายครานางได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขาลอยแว่วมาตามลมด้วยซ้ำ จึงไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้พอเริ่มผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย ทั้งความอ่อนเพลียและความหิวกระหายก็ถาโถมเข้าจู่โจมพร้อมกัน

เสบียงกรังหมดไปแล้วเมื่อเย็นวาน ตั้งแต่เมื่อเช้าจนถึงตอนนี้วันทั้งวันนางกินแค่ผลไม้ป่าไม่กี่ลูกที่พบเห็นริมทาง ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเนื้อม้าแห้งแค่แผ่นเดียว

ท้องร้องด้วยความหิว นางนั่งอยู่ในซอกหลืบที่เว้าลึกเข้าไปของหน้าผา ล้วงเนื้อม้าแห้งออกมากัดกินเพียงไม่กี่คำด้วยความเสียดาย ทั้งยังไม่กล้ากินหมด เพราะไม่รู้ว่าชื่อซูจะตามล่าตนเองอีกนานเท่าไรกว่าจะยอมถอดใจ นี่เป็นเสบียงอย่างสุดท้ายสำหรับช่วงที่เหลือแล้ว หากไม่จำเป็นจริงๆ นางไม่อยากจับสิ่งมีชีวิตอย่างหนูภูเขามากินดิบๆ

หญิงสาวพิงหน้าผาด้านหลังพลางหลับตา ค่อยๆ เคี้ยวเนื้อม้าที่ทั้งแข็งทั้งหยาบช้าๆ ระหว่างรอให้ฟ้ามืด ทันใดนั้นเสียงนกร้องก็ดังขึ้นเหนือศีรษะเป็นห้วงๆ อย่างผิดวิสัย คล้ายเกิดเหตุใหญ่ร้ายแรงขึ้นด้านล่าง นางกลืนอาหารในปากลงคอ เก็บส่วนที่เหลือไว้กับตัว แล้วลืมตาลุกขึ้นมาสำรวจสถานการณ์อย่างว่องไว

ที่ข้างล่างนั่นมีควันทึบกำลังคลุ้งโขมงขึ้นมาจากรอบทิศ ด้วยแรงลมที่ช่วยหนุน ปลายลิ้นของพระเพลิงแลบเลียวัชพืชและกิ่งไม้แห้งดังพึ่บพั่บ ไล่ลามขึ้นบนภูเขาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำหลาก

เจียงหานหยวนตกตะลึงพรึงเพริด นึกไม่ถึงว่าชื่อซูจะกล้าทำถึงขั้นนี้เพื่อบีบให้นางปรากฏตัว

ท่ามกลางควันโขมงและเปลวเพลิงที่ลุกท่วมภูเขา เจียงหานหยวนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็ล้วงเนื้อม้าแห้งชิ้นเมื่อครู่ออกมากัดกินช้าๆ อีกคำ

เหล่านกกาและส่ำสัตว์ที่แต่เดิมทำรังอยู่บนภูเขาแตกตื่นเพราะเปลวไฟ กำลังหนีอุตลุดอยู่เหนือศีรษะและรอบตัวนาง

แม่ทัพหญิงกลืนอาหารลงคอ แล้วลัดเลาะไปตามทางที่ไม่มีไฟจนลงมาถึงตีนเขา จากนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง ทันทีที่มาถึงปากทางตรงตีนเขาก็มีร่างคนโผล่ออกมาจากซ้ายขวาเข้าสกัดด้านหน้านางไว้

นางหยุดเท้า เหลือบตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้า แล้วสบประสานเข้ากับดวงตาขององค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋

เปลวไฟบนเขาค่อยๆ ลามเลียมาบรรจบกันบนทางที่นางเดินลงมาเมื่อครู่ เพียงไม่นานก็ลุกท่วมทาง แสงไฟทาทาบใบหน้าชายหนุ่ม สะท้อนดวงตาคู่นั้นให้ส่องประกายแดงฉาน ฉายแววตื่นเต้นสุดขีดจนแทบทนรอไม่ได้ เหมือนสัตว์ป่าเหือดหิวได้เจอเหยื่อโอชะที่ต้องใจ

“ข้าต้องการตัวเป็นๆ!”

เขาออกคำสั่ง เป็นคำสั่งหนักแน่นที่ต้องบรรลุเป้าหมายเท่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนกรูเข้ามาล้อมเจียงหานหยวนไว้ทันที เว้นแต่หนูกานที่ยังยืนข้างกายผู้เป็นนาย

เจียงหานหยวนก้าวเท้าเดินต่อ ชื่อซูยืนอยู่นอกวงล้อม มองนางด้วยรอยยิ้มสนุกสนานเหมือนกำลังมองสัตว์ที่อยู่ในกรง

คนสองคนเข้ามาขวางหน้าปิดทางไม่ให้นางเดินต่อ จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่

ชื่อซูเห็นนางหยุดเท้าแล้วโรมรันกับสองคนนั้น ด้านหลังยังมีอีกหลายคนที่เข้ามาจู่โจมพร้อมกัน นางโดนถองหนักๆ เข้าที่หลังจนร่างปลิวถลาตามแรงไปฟุบหมอบอยู่บนพื้น

รอยยิ้มบนเรียวปากชื่อซูกว้างขึ้น

ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนที่อยู่ใกล้หญิงสาวกว่าใครเห็นดังนั้นก็ลิงโลด ก้าวเข้าไปหมายจะควบคุมการเคลื่อนไหวของนางให้ได้ แต่แล้วทันใดนั้นเจียงหานหยวนที่อยู่บนพื้นก็พลิกตัว สะบัดแขนใส่สองคนนั้น มือทั้งสองข้างที่กำแน่นพลันกางออก

ดินทรายที่เมื่อครู่ขยุ้มไว้เต็มกำมือถูกสาดออกไปทั้งหมด ฝุ่นดินละเอียดและเม็ดทรายกระเด็นเข้าตาฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองคนร้องลั่น ฝีเท้าหยุดชะงัก ยกมือปิดตาอย่างเจ็บปวด ทำอย่างไรก็ลืมตาไม่ขึ้น

โดยไม่รอให้คนที่เหลือได้สติกลับมา เจียงหานหยวนดีดตัวขึ้นจากพื้นทันที ไม่ยอมหยุดยั้งแม้เพียงพริบตาเดียว อาศัยช่องว่างระหว่างนั้นฝ่าออกจากวงล้อม ทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลัง ชักมีดสั้นออกมาพลางพุ่งเข้าใส่ชื่อซู

หนูกานที่ยืนข้างเจ้านายใจหายวาบ นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ เหตุการณ์จะพลิกผันไปถึงขั้นนี้

ตอนได้เห็นท่าทางของนางยามใช้มีดสั้นฆ่าพรรคพวกเมื่อสามวันก่อนเขาก็รู้แล้วว่านางใช้มีดได้เชี่ยวชาญเพียงใด หนูกานรีบปราดเข้ามาเอาตัวบังชื่อซูไว้ พร้อมชักดาบออกมา หวดสันดาบเข้าใส่หญิงสาว

เขาเป็นคนสนิทของชื่อซูที่ได้ชื่อว่าจอมพลัง ประกอบกับสันดาบทั้งหนาทั้งหนัก หากหวดโดนเป้าหมาย พละกำลังที่ถาโถมลงมาย่อมไม่ต่างจากถูกทับด้วยเขาไท่ซาน

เจียงหานหยวนใช้มีดสั้นรับดาบ แรงสะเทือนมหาศาลที่ส่งมาทำให้เลือดไหลจากง่ามนิ้วทันที สุดจะจับมีดต่อไปได้ มีดสั้นหลุดมือลอยหวือออกไปตกลงบนพื้น

หนูกานจู่โจมนางสำเร็จในครั้งเดียว พอเห็นนางถลาเข้าไปหามีดสั้นเหมือนอยากเก็บขึ้นมา มีหรือเขาจะยอมให้โอกาสนางได้จับมีดเป็นครั้งที่สอง รีบชิงเข้าไปเตะมีดกระเด็นไปอีกทางเสียก่อน แต่กลับไม่คิดว่านางจะทิ้งมีดแล้วเปลี่ยนทิศทางกลางคัน

ความจริงแล้วเมื่อครู่เจียงหานหยวนจงใจยกมีดสั้นขึ้นรับสันดาบที่หวดลงมาด้วยกำลังมหาศาล แม้แรงสะเทือนจะทำให้ง่ามนิ้วเลือดไหลก็ยังไม่หลบ จุดประสงค์ของนางคือใช้มีดสั้นเบี่ยงเบนความสนใจคนผู้นี้

พอโอกาสมาถึงนางก็ไม่ยอมรั้งรอแม้ชั่วขณะจิตเดียว รีบพุ่งตัวไปข้างหน้า กระโจนเข้าใส่ชื่อซูอีกครั้งอย่างห้าวหาญ หนูกานเพิ่งตระหนักตอนนี้เองว่าหลงกลนางเข้าเสียแล้ว เขาทั้งเดือดดาลทั้งตกใจ แต่จะเข้าไปปกป้องเจ้านายก็สายเกินยับยั้ง เพราะพอมองไป แม่ทัพหญิงต้าเว่ยผู้นั้นก็เข้าถึงตัวชื่อซูแล้ว

กว่าหนูกานจะหันกลับมามอง พวกที่อยู่ข้างหลังก็กรูเข้ามาเช่นกัน แต่เจียงหานหยวนได้เข้าต่อสู้โรมรันกับชื่อซูเรียบร้อยแล้ว

นางรู้ดีว่าตนเองมีเวลาน้อยนิด หากไม่สามารถสยบชื่อซูภายในการยื้อยุดไม่กี่ที เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาของฝ่ายตรงข้ามมาถึง สิ่งที่รอนางอยู่จะมีแค่การถูกจับอย่างขัดขืนไม่ได้เท่านั้น

ทางเลือกเดียวคือต้องจู่โจมสุดแรง เอาชีวิตเข้าแลกกับโอกาส!

เห็นชัดว่าชื่อซูยังไม่ได้สติกลับมาเต็มที่จากความมั่นอกมั่นใจในตอนแรก พอนางโถมเข้ามาจู่โจมเต็มกำลังเหมือนยอมตายไปพร้อมกัน ตัวเขาจึงตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วพลาดพลั้งถูกนางจับบิดแขนกดหน้าลงกับพื้นจนขยับตัวไม่ได้

ชายหนุ่มกัดฟันพยายามดิ้นอยู่หลายครั้ง กระนั้นแขนซ้ายก็ยังถูกบิดกดไว้บนหลังอย่างแน่นหนา ออกแรงอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด

เป้าหมายของเจียงหานหยวนคือฟาดคนผู้นี้ให้สลบเพื่อจับเป็นตัวประกัน

ผู้ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายเข้ามาตรงหน้าแล้ว

โอกาสเหลืออยู่ไม่มาก ปรากฏว่าพอจะยกมือขึ้นทุบศีรษะชื่อซู คนที่อยู่ใต้ร่างพลันคำรามดังลั่นในจังหวะนั้น พร้อมแหงนหน้ายกอกออกแรงงัด กัดฟันทนความเจ็บร้าวที่แขนถูกบิดไพล่ ใช้ข้อได้เปรียบจากร่างกายที่หนาและสูงใหญ่กว่าดันร่างของเจียงหานหยวนที่นั่งคร่อมตนเองอยู่ให้ล้มลงบนพื้น

จากนั้นในพริบตาที่แม่ทัพหญิงตวัดตัวอย่างว่องไวเพื่อลุกขึ้นมา ชื่อซูก็โถมตัวเข้าใส่ ใช้หัวเข่ากดทับลำคอนางไว้

กล้ามเนื้อใบหน้ายังกระตุกริกๆ จากความเจ็บปวดสาหัสที่แขนถูกบิดในทิศทางผิดธรรมชาติ หัวเข่ายังคงกดสกัดลมหายใจของแม่ทัพหญิงต้าเว่ยไว้แน่น จนนางขยับตัวขัดขืนไม่ได้ ขณะหันไปตะโกนสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “เข้ามาจับนางไว้!”

จังหวะที่เขาหันไปพูดกับคนของตนเอง เจียงหานหยวนพลันเงื้อแขนขึ้นดึงปิ่นออกจากมวยผมอีกฝ่าย แล้วแทงใส่คอเขาอย่างว่องไว

ปิ่นอันนั้นเป็นปิ่นสำริดธรรมดาทั่วไป ปลายไม่แหลมเหมือนมีด แต่หากแทงแรงพอก็ทะลุเข้าเนื้อได้เหมือนกัน

ลำคอที่เจ็บเสียดและเลือดที่ไหลออกมาทำให้ร่างของชื่อซูชะงักไปเล็กน้อย เจียงหานหยวนรีบสะบัดตัวลุกจากพื้น เปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุกใส่ ใช้ท่อนแขนงัดคอฝ่ายตรงข้ามไว้ มืออีกข้างกำปิ่นที่ส่วนปลายยังปักคาอยู่ในลำคออีกฝ่าย

“จูงม้ามา!” นางคำราม

สถานการณ์พลิกผันอย่างปุบปับ หนูกานกับพวกที่เหลือยืนอึ้งงันอยู่รอบๆ ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครไปจูงม้า ได้แต่มองไปทางเจ้านายตนเอง

ชื่อซูกัดฟันเอ่ย “เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”

“เช่นนั้นก็ลองดู! อย่างมากวันนี้ได้ตายพร้อมหนานอ๋อง ข้าก็ไม่ขาดทุนแล้ว!”

ความผิดหวังและความเดือดดาลอย่างรุนแรงทำให้ชื่อซูหน้ากระตุก เขาพยายามออกแรงสลัดตัวให้หลุดจากพันธนาการของนาง เจียงหานหยวนเพิ่มน้ำหนักมือข้างที่จับปิ่นอย่างไม่ลังเล เลือดทะลักพรูออกจากปลายปิ่นเป็นสาย

“หนานอ๋องระวังด้วย!” พวกหนูกานเห็นดังนั้นก็พากันร้องเสียงดังด้วยความตระหนก

“หากปิ่นในมือข้ากดลึกลงไปอีกครึ่งชุ่นก็จะโดนหลอดลมเจ้า องค์ชายหก ชีวิตเจ้าสูงค่ายิ่ง ข้าขอเตือนให้เจ้าถนอมมันไว้ดีกว่า ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หากเจ้าตายไป จวนหนานอ๋องจะต้องเปลี่ยนเจ้าของอย่างแน่นอน” นางพูดเรียบๆ ด้วยท่าทางเยือกเย็น

ไฟบนภูเขาโหมแรงขึ้นทุกที ลุกโชนแสงส่องท้องฟ้าบริเวณนั้นให้แดงฉาน แผ่ไอร้อนลวกผิวจนเส้นขนหงิกงอ

ชื่อซูตัวแข็งทื่อพลางกำมือแน่น แววตาไหวระริก พวกหนูกานเหงื่อไหลโกรก แม้แต่จะหายใจแรงยังไม่กล้า ด้วยกลัวจะทำให้แม่ทัพหญิงตรงหน้าตื่นตกใจ หากนางแทงปิ่นลึกขึ้นอีกเพียงนิดเดียว น่ากลัวว่าหนานอ๋องคงได้มอดม้วยอาสัญลงตรงนี้จริงๆ พวกเขาอยากหาจังหวะช่วยเจ้านาย แต่จนใจที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีประสบการณ์ในสมรภูมิมานาน สองมือเปื้อนเลือดมาไม่รู้ตั้งเท่าไร ไหนเลยจะเปิดโอกาสให้พวกเขาพลิกสถานการณ์โดยง่าย

ระหว่างที่คุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังเข้าหู กึกก้องจนหุบเขาสะเทือน

ทุกคนหันไปมอง แลเห็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวหนึ่งโผนทะยานออกมาจากสุดปลายตีนเขา สัตว์น้อยใหญ่ในบริเวณนี้กำลังหนีตายจ้าละหวั่น เสือโคร่งก็คงถูกพระเพลิงไล่ต้อนให้แตกตื่นและหนีลงจากเขาเช่นกัน พอมาปะกับกลุ่มคนตรงหน้า ดวงตาแดงฉานของมันก็ส่องประกายวาววับขณะกระโจนมาทางนี้

พวกหนูกานตื่นตระหนก เสือโคร่งตัวนั้นวิ่งห้อเร็วรี่ เพียงพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้า คนที่อยู่ใกล้ที่สุดเงื้อดาบขึ้นฟัน แต่ถูกมันยกเท้าตะปบพร้อมกระซวกด้วยกรงเล็บแหลมคม ภายใต้เสียงร้องโหยหวน ท้องของคนผู้นั้นเป็นแผลเหวอะหวะ ไส้ไหลออกมากองข้างนอก

“เอาธนูมายิงมันเร็ว!”

หนูกานตะโกนบอกพวกพ้องดังลั่น ส่วนตนเองวิ่งเข้าใส่พยัคฆ์ร้าย พยายามหยุดมันอย่างสุดความสามารถพลางหลบอุ้งเท้ามันไปด้วย รุกรับอยู่แค่ไม่กี่ทีก็ถูกเดรัจฉานขย้ำเข้าที่แขนแล้วฉีกเนื้อออกมาริ้วหนึ่งสดๆ หนูกานจึงต้องกลิ้งตัวหลบ เสือโคร่งคำรามลั่น ก่อนวิ่งเข้าใส่เจียงหานหยวนกับชื่อซูต่อ

เหตุกะทันหันนี้อยู่เหนือความคาดหมายของแม่ทัพหญิง นางจำใจต้องปล่อยมือจากตัวประกัน จากนั้นก็หลบไปอีกทาง

ตอนนี้หนูกานได้ลุกจากพื้นแล้ววิ่งเข้ามาบังหน้าชื่อซูไว้ด้วยกันกับพรรคพวกที่กลับมาพร้อมคันศรกับลูกธนู จากนั้นก็จัดกระบวนพลอย่างว่องไว ยิงธนูเข้าใส่เสือร้ายไม่หยุด ลูกธนูแหลมคมที่ใส่พลังเต็มแน่นพุ่งไปทางร่างโอฬารของมันแล้วเข้าเป้าอยู่หลายดอก เดรัจฉานเลยต้องยอมล่าถอยกลับไป

“ข้าไม่เป็นไร! ตามไปจับนางกลับมาให้ได้!”

จนป่านนี้ชื่อซูก็ยังจ้องจะจับตัวเจียงหานหยวน เขาดีดตัวขึ้นจากพื้นพลางคำรามลั่น

ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาก็มีแต่คนของชื่อซูที่ถือธนูอยู่ในมือ ขณะที่นางมีเพียงกำปั้น ซ้ำยังไม่มีตัวประกันไว้ต่อรอง ไม่อาจพุ่งเข้าปะทะด้วยตรงๆ ได้อีก

เจียงหานหยวนรัวเท้าวิ่งไปจนถึงหน้าผา จากนั้นก็หยุดยืน แล้วหันไปมอง

ชื่อซูนำผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหลือไล่ตามมาติดๆ ล้อมนางไว้ตรงกลางอีกครั้ง

องค์ชายหกหอบหายใจ ยกมือขึ้นปาดคอที่ยังเจ็บระบมลวกๆ มองเลือดที่เปื้อนติดมือ จากนั้นก็ค่อยๆ เหลือบตาขึ้นจ้องไปยังหญิงสาวตรงริมผา

เปลวเพลิงลุกโชนวูบวาบทาบสะท้อนลงบนใบหน้านาง

“เจียงหานหยวน! วันนี้แม้แต่สวรรค์เบื้องบนยังช่วยข้า เจ้าไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว!” รอยยิ้มอำมหิตแฝงความรื่นรมย์ผุดขึ้นบนใบหน้าคนพูด

แม่ทัพหญิงหันไปมองโตรกผาสูงชันเบื้องล่างทีหนึ่ง แล้วทิ้งตัวลงไปอย่างไม่ลังเล

“จับนางไว้!”

ชื่อซูแผดเสียงคำรามพร้อมถลาเข้าไปเอื้อมมือคว้า แต่คว้าได้เพียงอากาศ

เขาหยุดเท้าตรงริมผาแล้วมองลงไป เห็นร่างนั้นม้วนตัวร่วงดิ่งลงไปตามหน้าผาสูงชันเหมือนว่าวสายป่านขาด พริบตาเดียวก็ถูกยอดผาที่ยื่นออกมาเป็นชะง่อนบดบังจนมองไม่เห็น

คำสบถพรั่งพรูออกจากปาก องค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ชักดาบมาฟันผาหินซ้ำๆ หลายครั้งด้วยความเดือดดาล คมดาบสะบัดพลิก สะเก็ดไฟกระเด็นประปราย

ผมเผ้าของเขาสยายยุ่ง สองตาแดงฉาน หลังเดินกลับไปกลับมาตรงริมผาอยู่หลายรอบก็สั่ง “ลงไปหาเดี๋ยวนี้! หานางให้เจอให้ได้! อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!”

ถูกล่ะว่าหน้าผานี้ไม่ใช่ผาตัดหน้าเรียบ แต่ด้วยความชันระดับนี้ หากไม่มีเชือกเป็นหลักยึดไม่มีทางไต่ลงไปได้อย่างแน่นอน นอกจากจะม้วนตัวลงไปอย่างที่แม่ทัพหญิงทำเมื่อครู่ ทว่าต่อให้ม้วนตัวลงไปตามผาได้อย่างราบรื่น ใครเล่าจะรู้ว่าพื้นที่ใต้หุบเหวเป็นอย่างไร นับว่ามีความเสี่ยงสูง เป็นไปได้ยากที่จะไม่ได้รับอันตราย

หนูกานมองนัยน์ตาแดงฉานของเจ้านายแล้วให้ร้อนใจดังไฟลน ทิ้งตัวลงคุกเข่าดังตุ้บโดยไม่สนใจว่าตนเองบาดเจ็บอยู่ “หนานอ๋องโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด! อย่าได้ไล่ตามนางต่อเลย! หากยังไม่ไปอีก พวกเราจะหนีไม่รอดนะขอรับ!” พูดจบก็โขกศีรษะโดยแรง พวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างหลังพากันคุกเข่าวิงวอนตาม

ชื่อซูยืนสูดหายใจฟืดฟาดอยู่ตรงนั้นสักพัก แล้วมองลงไปในหุบเขาเบื้องล่างอีกครั้ง เปลือกตากระตุกสองสามที สุดท้ายก็กัดฟันกรอด “ไป!”

หนูกานพรูลมหายใจอย่างโล่งอก รีบลุกขึ้นมาเรียกรวมพล จากนั้นก็ปลิดชีพผู้ใต้บังคับบัญชาที่โดนเสือตะปบจนเห็นชัดว่าไปต่อไม่ไหวให้ตายในดาบเดียว จะได้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ระหว่างทาง หลังจัดการทุกอย่างเสร็จก็ได้เวลาเคลื่อนพล ทว่าทันใดนั้นเสียงสุนัขเห่ากระโชกก็พลันดังมาให้ได้ยิน พอลองเงี่ยหูฟังก็พบว่าเหมือนมีคนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าเข้ามาใกล้ เพียงแต่เมื่อครู่ถูกเสียงลมและเสียงไฟกลบจนไม่ทันได้ยิน

อยู่ๆ พรรคพวกที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุดก็เหมือนถูกอะไรตรึงไว้กับที่ นั่งตัวแข็งทื่อไม่กระดิกกระเดี้ยอยู่บนหลังม้า ไม่กี่อึดใจถัดมาก็หงายหลังร่วงตกลงมาล้มตึงลงบนพื้น

ธนูดอกหนึ่งที่ถูกยิงมาจากทิศทางตรงข้ามปักลึกอยู่กลางอก

หนูกานเงยหน้ามองตรงไป

สุนัขรูปร่างแข็งแรงประเปรียวหลายสิบตัวเห่าเสียงขรมตรงเชิงเขาด้านหน้า แล้วถูกม้าที่ตามมาต้อนให้หลบไปข้างๆ เปิดทางให้คนกลุ่มใหญ่ที่ควบม้าด้วยความเร็วสูง เพียงพริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ แสงไฟป่าทาทาบดวงหน้าของบุรุษที่อยู่ตรงกลาง ส่องให้เห็นดวงตาเคร่งเครียดเยียบเย็นคู่นั้น หนูกานจำได้ในทันที แม้จะแค่เคยแอบมองเจ้าตัวจากไกลๆ ในกลุ่มคน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางจำใบหน้าดวงนี้ผิดอย่างแน่นอน

นั่นคืออ๋องผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบันของต้าเว่ย ฉีอ๋องซู่เซิ่นฮุย!

เขาหน้าถอดสี รีบหันไปแผดเสียง “คุ้มกันหนานอ๋อง หนีเร็ว!”

บทที่ 37

หนูกานตะโกนอย่างนั้นแล้วหมุนตัววิ่งไปหาชื่อซูเช่นกัน แต่เพิ่งจะวิ่งได้สองก้าว ชายลักษณะเหมือนทหารที่อยู่ข้างๆ อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ประทับลูกธนูเข้ากับคันศรเป็นคำรบสองแล้วยิงใส่เขา

ธนูอีกดอกพุ่งฉิวราวกับสายฟ้า ทั้งที่อยู่ห่างกันหลายสิบจั้ง แต่ก็มาถึงเป้าหมายในชั่วพริบตา

หัวธนูแหลมคมปักเข้าข้อพับเข่าซ้ายของเขาดังฉึกแล้วทะลุออกไปอีกด้าน หนูกานล้มคะมำลงกับพื้น ทว่าตะกายตัวอยู่สองสามครั้งก็ลุกกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เขาใช้ดาบฟันก้านธนูทิ้ง แล้วลากขาข้างที่ถูกยิงวิ่งกลับไปอยู่ข้างกายชื่อซู

ทหารที่ยิงธนูล้มฝ่ายตรงข้ามได้สองคนติดกันคือหลิวเซี่ยง แม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์นั่นเอง

วันนั้นเขาได้รับคำสั่งให้มารับพระชายาออกจากสวนป่าต้องห้าม จึงนำคนมากระจายกำลังค้นหาตามที่ต่างๆ ที่คิดว่านางน่าจะไป แต่หาจนทั่วก็ยังไม่พบ ระหว่างกำลังร้อนใจอยู่นั้นก็ได้รับข่าวจากองครักษ์สองคนที่ติดตามพระชายาเข้าป่ามาหลายวัน

องครักษ์ทั้งสองกำลังเร่งเฆี่ยนม้าย้อนกลับมาทางเดิม แล้วพบกับคนของหลิวเซี่ยงเข้ากลางทาง ทั้งคู่บอกว่าหลายวันมานี้พระชายาเข้าป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เพราะอยากล่ากวางตัวหนึ่ง ม้าที่นางขี่เป็นอาชาพันธุ์ดีรูปร่างพ่วงพีแข็งแรง พวกตนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลังระหว่างตามรอยกวางเมื่อวาน เมื่อไล่ตามขึ้นไปกลับหาพระชายาไม่พบ ครั้นลองเป่าสัญญาณเขากวางที่ส่งเสียงได้ไกลตามที่นัดแนะกัน นางก็ยังไม่กลับมา พวกตนจึงออกตามหาในบริเวณนั้น พอไปถึงเนินเตี้ยแห่งหนึ่งแล้วเห็นพื้นที่มีร่องรอยการต่อสู้ก็รู้ว่าจะต้องเกิดเหตุขึ้นเป็นแน่ พวกตนไม่กล้าปล่อยเวลานานเนิ่น รีบย้อนกลับมาทันที จนปะเข้ากับคนของหลิวเซี่ยงกลางทางและได้แจ้งเรื่องนี้ให้รู้

หลิวเซี่ยงฟังแล้วตื่นตระหนก เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับพระชายา ไม่รู้ว่าเวลานี้นางอยู่ที่ใดกันแน่ สวนป่าต้องห้ามกว้างใหญ่ไพศาล หากเป็นจริงดังที่เขาคาดการณ์ไว้ การตามหาอย่างไร้จุดหมายจะต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร ซ้ำเวลายังไม่คอยท่า เขาตั้งใจจะส่งคนกลับเมืองหลวงไปรายงานข่าวนี้แก่อ๋องผู้สำเร็จราชการ และขอให้กองทหารประตูส่งคนที่เชี่ยวชาญการแกะรอยมาช่วยเสริมกำลัง นึกไม่ถึงว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะรุดมาถึงที่ด้วยตนเองในเวลานั้น โดยมีเฉินหลุนนำคนตามมาพร้อมกับสุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยน จากคอกสุนัขล่าเนื้อ สุนัขพันธุ์ซี่เฉวี่ยนเป็นสุนัขล่าเนื้อที่วังหลวงเลี้ยงไว้ จมูกไวเป็นเลิศ ทั้งหมดเร่งควบม้าไปยังเนินแห่งนั้นด้วยกัน นอกจากจะพบร่องรอยการต่อสู้และรอยเท้าของคนจำนวนมากหน้าเนินดินตามที่องครักษ์บอกแล้ว ใกล้ๆ กันยังมีศพที่ถูกพรางไว้ใต้กอหญ้า ท้องน้อยและกลางอกศพมีรอยแผลที่ถูกแทงด้วยมีดสั้น คิดว่าอาจเป็นฝีมือพระชายา

ศพนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ แม้จะตายมาหลายวันก็ยังมองเห็นเค้ารอยของมัดกล้ามกำยำบนตัว เชื่อว่าตอนที่มีชีวิตอยู่จะต้องเป็นนักรบที่แข็งแรงบึกบึนผู้หนึ่ง ประเมินจากรอยเท้าบนพื้น ฝ่ายตรงข้ามมีกันไม่ต่ำกว่าสิบคน แม้แต่ศพที่ตายยังเป็นเช่นนี้ พวกที่เหลือรอดน่าจะเป็นนักรบที่ฝีมือไม่ห่างกันเท่าไร

แต่พระชายามีอยู่แค่คนเดียว

ถึงนางเป็นแม่ทัพ ทว่าต่อให้เก่งกล้าห้าวหาญสักเพียงใด หากถูกรุมด้วยศัตรูฝีมือฉกาจจำนวนมากเช่นนี้ มีหรือจะเอาตัวรอดได้โดยง่าย

ไม่ว่าใครก็ตามตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แม้จะแข็งแกร่งองอาจเพียงไรก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมืออีกฝ่ายถึงเก้าในสิบส่วน

ตอนนั้นหลิวเซี่ยงได้รับเบาะแสเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามว่าน่าจะเป็นหนานอ๋องชื่อซูแห่งเป่ยตี๋

เจียงหานหยวนเป็นบุตรสาวของเจียงจู่วั่งผู้รักษาชายแดนเยี่ยนเหมิน ต้องประจันหน้ากับเป่ยตี๋โดยตรง เป็นแม่ทัพหญิงฉางหนิงผู้เกรียงไกรของต้าเว่ย อีกทั้งตอนนี้นางยังครองฐานะสำคัญเพิ่มอีกอย่าง นั่นคือเป็นชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการคนปัจจุบัน

หากนางตกอยู่ในเงื้อมมือชื่อซูจริง แล้วถูกพวกเป่ยตี๋ใช้เป็นตัวประกัน นอกจากความปลอดภัยของตัวนางเองจะน่าเป็นห่วงแล้ว ยังถือเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของต้าเว่ย ซ้ำร้ายยังจะทำลายขวัญกำลังใจทหารชายแดนอย่างร้ายกาจ

เพียงคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ก็ให้พรั่นพรึงนัก เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาตามแผ่นหลัง พอมองอ๋องผู้สำเร็จราชการก็เห็นฝ่ายนั้นหน้าบึ้งตึง สั่งให้คนฝึกสุนัขฝูงใหญ่ให้ดมกลิ่นที่หลงเหลืออยู่บนพื้น แล้วนำพวกเขาไล่ตามกลิ่นไปโดยไม่รอช้า

เส้นทางที่แกะรอยได้คดเคี้ยววกวนผิดคาด พ้นเขตสวนป่าต้องห้ามไปคือพงไพรตามธรรมชาติ พื้นที่ข้างในเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ ไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่าน ลมพัดแรงเป็นระยะ แม้แต่สุนัขยังหลงทิศหลายครั้ง ต้องเปลี่ยนมาใช้กำลังคนมองหารอยเท้ากับรอยมูลม้าที่ยังหลงเหลือตามพื้นหญ้ารกเรื้อถึงไปต่อได้ เรียกว่าทุลักทุเลอย่างยิ่ง

ทว่าเส้นทางที่แกะรอยมาเรื่อยๆ นี้ดูไม่เหมือนเส้นทางที่ใช้หนีหลังจับคนได้ แต่เหมือนเส้นทางหลบหลีกการไล่ล่ามากกว่า เช่นนั้นก็อาจคิดไปได้ว่าพระชายายังไม่ตกอยู่ในกำมือพวกมัน แต่กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนี

ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด นางก็ตกอยู่ในอันตราย สามารถเกิดเหตุร้ายได้ทุกเมื่อทั้งสิ้น เพราะอย่างนี้พวกเขาจึงแกะรอยตามหาทั้งกลางวันกลางคืนโดยแทบไม่หยุดพัก หลังผ่านมาหลายวันจนถึงบริเวณนี้ในช่วงพลบค่ำ ระหว่างที่กำลังค้นหาอยู่นั้นก็เห็นเปลวไฟลุกโชติช่วงท่วมภูเขา จึงเร่งตามมาถึงที่นี่

ธนูดอกนี้หลิวเซี่ยงตั้งใจยิงให้อีกฝ่ายล้มลงเพื่อจับมาถามว่าพระชายาอยู่ที่ใด สมัยอยู่ในกองทัพเขาขึ้นชื่อว่ายิงธนูได้แม่นยำ ในอดีตยังเคยเป็นอาจารย์สอนด้านนี้ให้บุตรสาวแม่ทัพใหญ่เมื่อครั้งนางยังเด็กมาแล้ว ธนูที่ยิงออกไปเสียบทะลุขา พละกำลังมากพอที่จะทำให้กระดูกสะบ้าแตกเป็นเสี่ยง ข้อนี้เขามั่นใจอย่างมาก แต่นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทั้งแกร่งทั้งอึดราวกับหมี ยังสามารถทนพิษบาดแผลลุกขึ้นวิ่งหนีได้

นอกจากความประหลาดใจ หลิวเซี่ยงยังนึกเป็นห่วงพระชายามากกว่าเดิม จึงรีบขี่ม้าไล่ตามไปพร้อมอ๋องผู้สำเร็จราชการ

ซู่เซิ่นฮุยควบม้ามาถึงช่องเขาที่อยู่ถัดไปไม่ไกล แล้วนำทุกคนหยุดม้าทอดสายตามองไปข้างหน้า

บุรุษร่างสูงใหญ่ปล่อยผมยาวสยาย อายุอานามไล่เลี่ยกับเขา ขึ้นขี่ม้าท่ามกลางวงล้อมของผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคน กำลังควบม้าด้วยความเร็วสูงตรงมาทางช่องเขานี้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงเผชิญหน้ากันตรงๆ

ฝ่ายตรงข้ามกระชากบังเหียนอย่างฉับพลัน อาชาที่อยู่ใต้ร่างสะบัดหัวดีดขาหน้าร้องฮี้ด้วยความตื่นกลัว คนที่ถูกธนูยิงเข่าเมื่อครู่นำผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนที่ไม่ได้ขึ้นขี่ม้าเหมือนกันมากระจายตัวเรียงแถวหน้ากระดานแล้วยิงธนูฟิ้วๆ ใส่ทางนี้ทันทีโดยไม่ยอมให้มีช่องว่างแม้ชั่วพริบตา

ชายผมสยายผู้นั้นแสดงฝีมือขี่ม้าอันล้ำเลิศ ทั้งที่ขาหน้าของม้ายังลอยขึ้นจากพื้น กลับสามารถดึงบังเหียนให้มันบ่ายหัวเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศแล้วขี่ควบไปอีกฝั่งหนึ่งของตีนเขาอย่างรวดเร็วภายใต้การอารักขาของคนที่เหลือ สามารถมองจุดประสงค์ได้อย่างชัดเจนว่าสี่คนข้างหน้ายอมใช้ชีวิตตนเองเข้าแลกกับเวลาช่วงสั้นๆ เพื่อที่คนด้านหลังจะได้มีโอกาสหนีรอด

หลิวเซี่ยงเคลื่อนไหวฉับไว ชั่วอึดใจที่คนผู้นั้นนำผู้ใต้บังคับบัญชายืนเรียงแถวหน้ากระดานน้าวสายธนูเตรียมยิง เขาก็ชักดาบพร้อมกระโดดลงจากหลังม้า ยกดาบขึ้นบังอ๋องผู้สำเร็จราชการไว้พร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่วิ่งปรี่ออกมาจากด้านหลัง ตั้งใจจะใช้ดาบกันธนู ดาบใบกว้างหลายสิบเล่มเรียงต่อกันเป็นโล่โลหะสีขาววับ แน่นหนาชนิดที่อากาศยังแทรกผ่านไม่ได้ ดีดลูกธนูที่ยิงเข้าใส่ให้กระเด็นตกพื้นทั้งหมด

พร้อมกันนั้นกำลังพลอีกกลุ่มได้ไล่ตามชาวตี๋เจ็ดแปดคนที่พยายามหนีไป สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนเห่าอย่างบ้าคลั่งพลางวิ่งห้อปานลมพัด พอไล่กวดจนถึงบั้นท้ายอาชาก็กระโดดเข้ากัดทึ้งขาของมัน ม้าหวีดร้องเสียงแหลมพร้อมหยุดวิ่ง เตะขาอุตลุดเพื่อสลัดสุนัขออกไป คนบนหลังม้าร่วงตกพื้นแล้วถูกสุนัขรุมขย้ำซ้ำ เสียงร้องโหยหวนกับเสียงสุนัขเห่าดังไม่ขาดหู

สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่ม้าของชื่อซูแล้วกัดน่องเขาจมเขี้ยว องค์ชายแห่งเป่ยตี๋ข่มความเจ็บปวดสะบัดขาเตะมันออกไป เลือดไหลโกรกลงมาตามขาพร้อมเนื้อที่ฉีกรุ่งริ่งเป็นริ้ว สลัดตัวนี้ได้ อีกตัวก็โจนเข้ามากัดซ้ำเข้าที่น่องข้างเดิม จากนั้นตัวที่สามก็กระโดดมาฉีกทึ้งขาอีกข้าง เขาชักดาบฟันสุนัขร้ายกาจพวกนี้ทิ้ง พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่าคนต้าเว่ยกลุ่มใหญ่ขี่ม้ากรูเข้ามาทั้งทางซ้ายทางขวา ปรับกำลังคนเรียงแถวขวางหน้าพวกตนไว้อย่างรวดเร็ว

ณ เวลานั้นความสิ้นหวังและความหวาดกลัวเหมือนทะลักล้นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจแล้วห่อหุ้มเขาไว้ทั้งร่าง

แม้กระทั่งตอนบุกตะลุยฝ่าทหารนับหมื่นพันของข้าศึกเพื่อช่วยบิดา ชื่อซูยังไม่รู้สึกเช่นนี้ ชั่วขณะที่เสียสมาธิ ดาบในมือช้าลงเล็กน้อย สุนัขสามานย์อีกตัวฉวยโอกาสกระโจนเข้างับข้อมือเขา ปลายเขี้ยวแหลมคมเจาะลึกลงมาในผิวเนื้อ เจ็บเสียจนเขาเย็นวาบที่สันหลัง ดาบที่ถืออยู่ร่วงหลุดมือหล่นแกร๊งลงบนพื้น

“หนานอ๋อง! โดดหน้าผา!”

ผู้ติดตามคนหนึ่งพาตัวออกจากคมเขี้ยวสุนัขในสภาพโชกเลือดแล้ววิ่งหน้าตั้งมาหาเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ชื่อซูผงะ ใจเต้นแรง

นั่นสิ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าในวันนี้แล้ว แม้รู้อยู่เต็มอกว่าตกลงไปในเหวนั่นอาจไม่มีทางรอด เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากกระโดด…กระโดดลงไปเหมือนแม่ทัพหญิงผู้นั้น ไม่แน่ว่าอาจยังพอมีโอกาสรักษาชีวิตไว้ได้ หากต้องตายก็แสดงว่าสวรรค์เบื้องบนไม่อยากให้เขาอยู่ ไม่มีเสียหรอกที่เขาจะยอมปล่อยให้ตนเองกลายเป็นตัวประกันของชาวฮั่น ให้เป็นที่ตลกขบขันของพี่ๆ น้องๆ คนอื่น

หากถูกจับเป็นเชลยจริง แม้ภายภาคหน้าจะรอดกลับไปได้ แต่ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความอัปยศอดสู ถ้าต้องอยู่เยี่ยงนั้นก็สู้ตายไปเสียดีกว่า

เขาได้สติ สลัดสุนัขออกจากตัวอีกครั้ง ในเมื่อรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ผู้ติดตามสี่คนที่ยังอยู่บนหลังม้าก็ควบเข้ามาไล่ตะเพิดสุนัขออกไปแล้วล้อมเขาไว้ตรงกลางพลางมุ่งหน้าไปยังหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

ลูกธนูพุ่งฟิ้วๆ มาทางนี้ราวกับห่าฝน เพียงไม่นานทุกคนก็โดนยิงจนครบ คนหนึ่งร่วงตกจากหลังม้า อีกสามคนที่เหลืออารักขาชื่อซูลงจากหลังม้าเช่นกัน ใช้อาชาเป็นเครื่องกำบังธนูชั่วคราวขณะรุดหน้าต่อ พอวิ่งรี่มาถึงหน้าผาด้วยความเร็วราวกับพายุหมุน ทั้งสามก็คล้องแขนกัน โอบร่างชื่อซูเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

พวกเขาตัดสินใจใช้ตนเองเป็นโล่มนุษย์คุ้มกันหนานอ๋องให้กระโดดหน้าผา

แม้ร่างจะแหลกเหลวก็ไม่หวั่น ขอเพียงหนานอ๋องมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นแม้เสี้ยวเล็กๆ ก็ยังดี

การอยู่ในฐานะแขนขาและคนสนิทขององค์ชายหกไม่เพียงถือเป็นเกียรติยศ เพราะวงศ์วานว่านเครือทั้งหมดก็ผูกชีวิตไว้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน หากหนานอ๋องตายลงตรงนี้หรือตกอยู่ในมือต้าเว่ย ครอบครัวญาติพี่น้องทุกคนของพวกเขาก็ต้องดับดิ้นตามไปด้วย

นี่เป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่มี ไม่เหลือทางอื่นอีกแล้ว

หลิวเซี่ยงกำราบพวกเป่ยตี๋ที่เมื่อครู่พยายามขวางตนไว้ได้ พออ่านเจตนาทางนี้ออกก็รีบบ่ายหน้านำผู้ใต้บังคับบัญชาไล่ตามมา ยกธนูขึ้นยิงอีกครั้ง

หนึ่งในสามที่หันหลังมาทางนี้ถูกธนูยิงมากเกินกว่าจะทนไหว เพิ่งจะคล้องแขนสร้างโล่มนุษย์กับพวกพ้องได้ไม่ทันไรก็ขาดใจตาย ร่างไถลลงไปกองกับพื้น

อีกสองคนที่เหลือก็มีลูกธนูปักร่างคนละสิบกว่าดอกจนกลายเป็นเม่น ทว่ายังไม่ล้ม สหายตายไปคนหนึ่งก็เหมือนไม่รู้เรื่อง ยังเกี่ยวแขนกันสองคนอย่างมุ่งมั่น ประกบชื่อซูไว้ทั้งหน้าและหลังพลางวิ่งไปทางริมผาต่อ

หลิวเซี่ยงนำกำลังคนไล่ตามมาจนอยู่ห่างจากทั้งสามเพียงเจ็ดแปดก้าว

ด้วยระยะเพียงเท่านี้ ลูกธนูยิงออกไปกระทบร่างคนก็หมดแรงเสียก่อน ปักเข้าเนื้อได้ไม่กี่ชุ่นเท่านั้น พวกเขาจึงเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนหลายตัววิ่งตามไปกัดทึ้งอย่างบ้าคลั่ง แต่สองคนที่อยู่ข้างนอกทำราวกับไม่รู้สึกรู้สา หลิวเซี่ยงจึงได้แต่ยืนมองโล่มนุษย์ทั้งสองคุ้มกันชื่อซูที่อยู่ตรงกลางวิ่งไปข้างหน้าต่อ ระหว่างที่กำลังมองด้วยความคับแค้นจนลูกตาเบิกกว้าง อ๋องผู้สำเร็จราชการที่เมื่อครู่เอาแต่นั่งดูสถานการณ์บนหลังม้ามาตลอดก็ยื่นมือออกไปทางองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ องครักษ์รีบส่งธนูให้ทันที

เขารับมาน้าวสายจนสุด จนคันธนูโค้งกลมราวกับจันทร์เพ็ญ หรี่ตาเล็งเป้า แล้วปล่อยลูกธนูออกไป

ลูกธนูดีดฟุ่บออกจากสาย พุ่งฉิวไปหาโล่มนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ทรงพลังแรงกล้า แหวกลมส่งเสียงหวีดหวิวราวกับมีจิตวิญญาณ พริบตาเดียวก็ถึงตัวโล่มนุษย์ที่อยู่นอกสุด หัวธนูสามแฉกเสียบฉึกเข้าที่กลางหลัง ตัดผ่านหัวใจทะลุอก จากนั้นก็พุ่งทะลุอกชื่อซูที่ถูกปกป้องไว้ตรงกลาง จนถึงตอนนี้แรงก็ยังไม่ตก พุ่งต่อเข้าไปในร่างโล่มนุษย์อีกคน ก่อนจะทะลุออกกลางหลัง หลังได้เสียบร่างของคนสามคนเข้าด้วยกันลูกธนูถึงค่อยหมดแรง

ทั้งสามชะงักค้างอยู่กับที่ในสภาพถูกลูกธนูดอกเดียวเสียบร้อยไว้ด้วยกัน

โล่มนุษย์ที่อยู่นอกสุดถูกหัวธนูพุ่งตัดเป็นเส้นตรงจนเกิดรูกลวงกว้างถึงสองเฟินหลังสูดหายใจได้สองสามครั้งก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ค่อยๆ ทรุดลงไปบนพื้น โล่มนุษย์อีกคนตัวอ่อนล้มลงตาม พาชื่อซูซึ่งหนีไปที่ใดไม่พ้นเพราะอยู่ตรงกลางล้มลงกับพื้นด้วยกัน

หลิวเซี่ยงวิ่งไปดูพร้อมไล่สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนออกไป โล่มนุษย์ที่ประกบหัวท้ายร่อแร่ใกล้ตายเต็มที ส่วนชื่อซูที่อยู่ตรงกลางตาปิดสนิท แน่นิ่งไม่ขยับเหมือนหมดสติ เลือดไหลทะลักออกมาทางปากอย่างต่อเนื่อง

ชื่อซูหันหน้าเข้าหาโล่มนุษย์ที่อยู่ด้านนอก ลูกธนูดอกนี้ของอ๋องผู้สำเร็จราชการจึงทะลุเข้าอกขวา ไม่ถึงแก่ความตาย ชะรอยท่านอ๋องจะมีเจตนาเก็บชีวิตเจ้าตัวไว้

หลิวเซี่ยงโน้มตัวลงใช้นิ้วอังจมูกองค์ชายเป่ยตี๋ ก่อนจะหันไปเรียกคนของตน จังหวะนั้นเองชื่อซูพลันลืมตาพึ่บ กู่เสียงร้องคำรามอย่างเดือดดาลพร้อมออกแรงกลิ้งตัวลงจากหน้าผาทั้งที่มีคนปักตรึงประกบหน้าหลังอีกสองคน

หลังความตกตะลึงช่วงสั้นๆ ผ่านพ้น หลิวเซี่ยงได้สติอย่างรวดเร็ว เขารีบเอื้อมมือไปคว้าแขนซ้ายของชื่อซูไว้

ร่างสามร่างที่ห้อยต่องแต่งตรงริมผาหนักอึ้งราวกับหินยักษ์ ดึงหลิวเซี่ยงให้ลื่นไถลไปข้างหน้า กระนั้นมือเขาก็ยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนวิ่งจากข้างหลังมาฉุดเขากลับไปถึงค่อยพอขืนตัวไว้ได้

มือของชื่อซูชุ่มเลือด ซ้ำเจ้าตัวยังพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ ไม่มีทางที่จะจับไว้ได้นานอยู่แล้ว เพิ่งจะยืนเต็มสองเท้า หลิวเซี่ยงก็ใช้โซ่สำหรับมัดคนที่ผู้ใต้บังคับบัญชายื่นให้พันแขนชื่อซูไว้อย่างว่องไว แน่นหนาชนิดไม่มีทางสลัดหลุด

ใต้ขอบผา ลูกธนูที่เสียบทะลุอกคนสามคนรับน้ำหนักโล่มนุษย์ที่ตายไปแล้วไม่อยู่ ร่างของทั้งคู่แกว่งไปมากลางอากาศกับชื่อซูได้ไม่กี่ที ก้านธนูก็หักจนกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามหน้าผาทีละร่าง สุดท้ายเหลือแค่ชื่อซูที่ถูกหลิวเซี่ยงยึดแขนไว้ด้วยโซ่

หลิวเซี่ยงกัดฟันออกแรงสาว พยายามดึงฝ่ายนั้นขึ้นมา

องค์ชายหกแห่งเป่ยตี๋ผมสยายรุ่ยร่าย หน้าอกมีเลือดไหลทะลัก ลูกตาแดงฉาน กัดฟันกรอด ทันใดนั้นก็หัวเราะหึๆ “ข้าจะทำให้อ๋องผู้สำเร็จราชการของพวกเจ้าต้าเว่ยได้รู้ว่าแม้ตัวตาย องค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าตี๋เช่นข้าก็ไม่ยอมตายให้พวกเจ้าเห็นหรอก” พูดจบก็ยกแขนอีกข้างขึ้น ปรากฏว่ามือข้างนั้นกำมีดสั้นที่เมื่อครู่แอบดึงออกจากตัวโล่มนุษย์ ชื่อซูตวัดมีดฟันฉับ เลือดพุ่งกระฉูดเป็นสาย ปลายแขนที่ถูกโซ่พันยึดไว้ขาดทันตา ร่างสูงใหญ่กลิ้งหล่นลงไปข้างล่างราวกับก้อนศิลา เศษหินบนหน้าผาร่วงกราว เพียงพริบตาเดียวก็พ้นไปจากคลองจักษุ

หลิวเซี่ยงอุทานลั่น สุดจะคาดคิดว่าหนานอ๋องแห่งต้าตี๋จะใจเด็ดถึงเพียงนี้ ถึงกับตัดแขนตนเองทิ้งอย่างไม่สะทกสะท้านเพื่อหลบหนี

เขาถือสายโซ่ที่มีท่อนแขนชุ่มเลือดห้อยต่องแต่งยืนตะลึงงันอยู่กับที่ ครู่ใหญ่ถึงเพิ่งได้สติ เมื่อหันไปเห็นว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการตามมาแล้วก็รีบคุกเข่าให้

“กระหม่อมไร้สามารถ ไม่อาจจับมันไว้ได้ ปล่อยให้มัน…ร่วงลงไป…”

ซู่เซิ่นฮุยมองท่อนแขนบนพื้น แล้วเดินไปชะโงกหน้ามองตรงริมผาเล็กน้อย “ช่างเถิด คนใจเด็ดเยี่ยงนี้หาได้น้อยนัก ตกลงไปแล้วก็ตกลงไป ส่งคนลงไปดูซิว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”

ฟังจากน้ำเสียง อ๋องผู้สำเร็จราชการไม่คิดจะตำหนิเขาจริงๆ หลิวเซี่ยงรีบลุกขึ้นคัดเลือกผู้ใต้บังคับบัญชามารับหน้าที่ ตรงนี้ไม่มีเชือกที่ยาวพอ หากแต่เขาไม่รั้งรอ นำคนไปเสาะหาตรงหน้าผาที่เตี้ยและลาดกว่าในบริเวณใกล้เคียง แล้วไต่ลงไปช้าๆ

เฉินหลุนเดินเข้ามาหาระหว่างที่ซู่เซิ่นฮุยยังยืนอยู่ตรงริมผา

เมื่อครู่เขาเร่งมือสอบปากคำผู้ใต้บังคับบัญชาสี่คนของชื่อซูที่พยายามขวางพวกเขาไว้ มาตอนนี้ก็บอกเบาๆ “เจ้าพวกนี้มันปากแข็งเหลือเกิน กระทั่งโดนทรมานก็ยังไม่ยอมปริปาก เรื่องจะถามว่าพระชายาอยู่ที่ใดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูจากลักษณะ ในสี่คนนี้คนที่โดนยิงเข่าน่าจะเป็นหัวหน้า”

ซู่เซิ่นฮุยเดินกลับไปหยุดยืนตรงหน้าคนทั้งสี่

สุนัขพันธุ์ซี่เฉวี่ยนเห่าขรมอยู่รอบด้าน ก่อนหน้านี้ทั้งสี่คนโดนทรมานอย่างหนัก ใบหน้าจึงขาวซีด กระนั้นแต่ละคนก็ยังเอาแต่หลับตา ไม่เคลื่อนไหว

อ๋องผู้สำเร็จราชการมองชายที่มีรูปร่างบึกบึนกำยำกว่าใคร แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้จักเจ้า หนูกาน เจ้าเป็นทหารกล้าอันดับหนึ่งขององค์ชายหกชื่อซู ข้าขอบอกให้เจ้ารู้ไว้ว่าองค์ชายชื่อซูหนีจนหมดทางไป เลยโดดหน้าผาไปแล้ว คาดว่าคงไม่รอด ข้าเคารพผู้กล้าเสมอ ยินดีไว้ชีวิตเจ้าให้ หากเจ้ายอมกลับตัวกลับใจ ข้าจะหาวิธีรับบิดามารดา ลูก และภรรยาเจ้ามาอยู่ในฉางอันอย่างเป็นสุข ฉางอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูเพียงไร เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าน่าจะได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว ราชวงศ์ต้าตี๋ของเจ้ารับชาวฮั่นเป็นขุนนาง ส่วนต้าเว่ยเราเป็นดั่งมหาสมุทรที่โอบรับลำน้ำทุกสาย เหตุใดจะไม่มีที่ให้พวกเจ้าอยู่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

สามคนในพวกที่เหลือเหลือบตาขึ้นมอง และเห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเว่ยยืนพูดอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้านุ่มนวล

หนูกานยังคงหลับตานิ่ง ก่อนถ่มน้ำลายปนเลือดลงพื้นทีหนึ่งแล้วตอบอย่างเย็นชา “สองแคว้นเป็นศัตรู ในเมื่อพวกข้าตกอยู่ในกำมือพวกเจ้าชาวฮั่นแล้ว จะฆ่าจะแกงกันอย่างไรก็สุดแท้แต่ใจเถิด!”

ซู่เซิ่นฮุยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เพียงแค่มองเจ้าตัวนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งเฉินหลุน “เช่นนั้นก็ทำตามที่เขาปรารถนา บั่นคอเขาไปให้สุนัขกินเสีย ถือเป็นการส่งลาองค์ชายหกแล้วกัน”

ระหว่างที่พูดอย่างนั้นน้ำเสียงของเขายังคงสงบนิ่ง ฟังแล้วไม่ต่างจากตอนที่พูดหว่านล้อมเมื่อครู่แม้แต่น้อย

เฉินหลุนรับคำ แล้วเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาของตนมาจัดการ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามสี่คนเข้ามาลากหนูกานที่ถูกจับมัดแยกจากพวกพ้องมากดไว้กับพื้น หนูกานดิ้นสุดแรงเกิดพร้อมด่ากราด นักรบที่เชี่ยวชาญการใช้ดาบผู้หนึ่งชักดาบออกมาพาดต้นคอเขา จากนั้นก็เริ่มเลื่อยกลับไปกลับมาจากด้านข้างลำคอเหมือนหั่นคอไก่

ทัณฑ์ทรมานเช่นนี้สร้างความกดดันพรั่นพรึงให้คนที่ดูอยู่ได้รุนแรงกว่าทัณฑ์หลิงฉือเสียอีก

เลือดทะลักจากรอยบั่นออกมาข้างนอก ตอนแรกหนูกานยังสบถไม่หยุดปาก ทว่าผ่านไปสักพักก็ด่าต่อไม่ออก เหลือเพียงเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน เลื่อยเช่นนี้อยู่หลายสิบครั้งจนลำคอขาดครึ่งหนึ่ง เสียงถึงค่อยๆ เงียบหาย จนสุดท้ายลำคอถูกบั่นขาดโดยสมบูรณ์ นักรบผู้นั้นจิกมวยผมหนูกานแล้วโยนศีรษะเจ้าตัวไปกลางฝูงสุนัขดุร้ายที่กระเสี้ยนกระสันเต็มแก่ ให้สุนัขดุร้ายหลายสิบตัวรุมกัดกิน ศีรษะกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นได้ไม่กี่ทีก็ถูกทึ้งเนื้อจนจำสภาพเดิมไม่ได้ น่าสยอนแสยงเป็นกำลัง

“ว่าอย่างไร มีพวกเจ้าคนใดอยากส่งลาองค์ชายหกอีกบ้าง”

ซู่เซิ่นฮุยหันไปถามอีกสามคนที่เหลือด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

ชาวเป่ยตี๋สามคนนั้นหน้าซีดไร้สีเลือด หันไปสบตากันแวบหนึ่ง แรกสุดยังไม่มีใครยอมพูดอะไร เฉินหลุนหันไปส่งสายตาให้นักรบที่ลงดาบเมื่อครู่ นักรบถือดาบชุ่มเลือดย่างสามขุมเข้ามากระชากคนหนึ่งขึ้นจากพื้น คนที่ถูกดึงขึ้นมาทำใจแข็งต่อไม่ไหว รีบละล่ำละลักเล่าเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนตั้งแต่ต้นจนจบ “…เดิมทีองค์ชายหกตั้งใจจะกลับไปเงียบๆ แต่มาได้รับข่าวอย่างไม่คาดคิดว่าชายาอ๋องอยู่ที่ตำหนักแปรพระราชฐานก็เลยเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้องค์ชายพยายามชิงที่ราบชิงมู่กลับมาหลายครั้งหลายคราก็ไม่สำเร็จเสียที ถือเป็นผลเสียต่อองค์ชายอย่างมาก องค์ชายอยากสร้างผลงานด้วยการจับชายาอ๋องกลับไป…พวกเราทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง ยังคงไล่ตามชายาอ๋องอย่างไม่ยอมรามือ…ชายาอ๋องหนีอยู่สามวัน วันนี้พวกเราตามมาถึงที่นี่ นางน่าจะหนีขึ้นเขา องค์ชายหกจึงให้จุดไฟเผาภูเขาเพื่อบีบให้นางลงมา แต่นางเจ้าเล่ห์มากอุบาย…”

คนผู้นั้นชะงัก ก่อนจะกลบเกลื่อนเปลี่ยนคำพูดว่า “แต่นางฉลาดเฉลียวมากไหวพริบ! นอกจากพวกเราจะจับตัวนางไม่ได้แล้ว องค์ชายหกยังถูกนางจับเป็นตัวประกัน แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสือโคร่งตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เปิดโอกาสให้องค์ชายหกรอดพ้นจากพันธนาการของนาง สุดท้ายชายาอ๋องถูกไล่ตามมาถึงริมหน้าผา องค์ชายหกบอกให้นางยอมแพ้ นางกลับหมุนตัวกระโดดจากหน้าผาเองโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว องค์ชายหกจะตามไปดึงไว้ก็สายเกินการณ์ ดึงนางไว้ไม่ทัน…เชื่อว่าเวลานี้นางน่าจะอยู่ข้างล่างเช่นกัน…ขออ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดไว้ชีวิตด้วย…”

ยิ่งฟังซู่เซิ่นฮุยก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด คนผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ เขาก็วกกลับไปตรงริมผา แล้วชะโงกตัวมองลงไป

พวกเฉินหลุนรีบตามไปติดๆ เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการหน้าเขม็งตึง สองตาจ้องลงไปในหุบเหวดำมืดที่แสงไฟส่องลงไปไม่ถึง ลึกจนมองไม่เห็นก้น เขาเห็นแล้วพรั่นใจ หลังลังเลเล็กน้อยก็ปลอบว่า “ท่านอ๋องอย่าทรงกังวลไปเลย พระชายาเป็นคนดี สวรรค์ต้องคุ้มครอง เชื่อว่า…”

“ส่งกำลังคนทั้งหมดลงไป! เดี๋ยวนี้! จะต้องหานางให้พบให้ได้!”

เขาตัดบทเฉินหลุนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วหมุนตัวเดินลิ่วๆ ออกไป

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: