X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักแม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 38-39

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 38

เฉินหลุนติดตามซู่เซิ่นฮุยมานานปี เห็นเจ้าตัวตั้งแต่เป็นอันเล่ออ๋อง ฉีอ๋อง จนเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ปกติไม่ว่าเจอสถานการณ์เลวร้ายหรือเหตุเหนือความคาดหมายอย่างไร อีกฝ่ายก็มักจะเยือกเย็นเหมือนไม่คณามือเสมอ ดูอย่างกรณีหนานอ๋องแห่งเป่ยตี๋เมื่อครู่ก็ได้ หากสามารถจับเป็นมาไว้ในมือจะน่าตื่นเต้นยินดีสักเท่าใด แต่สุดท้ายหลุดมือไป เขาก็แค่สั่งให้หลิวเซี่ยงนำคนลงไปค้นหา สีหน้าท่าทางไม่มีความโกรธเคืองหรือเสียดายแม้แต่นิดเดียว

บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินหลุนได้เห็นซู่เซิ่นฮุยเสียอาการจนถึงขั้นใช้น้ำเสียงเฉียบขาดเช่นนั้นพูดกับตน

ทว่าก็สามารถเข้าใจได้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแม่ทัพหญิงเป็นเรื่องใหญ่ เพิ่งแต่งงานกันไม่ทันไร นางก็ประสบเหตุร้ายระหว่างที่อยู่กับซู่เซิ่นฮุย แล้วจะให้เจ้าตัวไปอธิบายกับเจียงจู่วั่งอย่างไรเล่า

อ๋องผู้สำเร็จราชการเดินลิ่วๆ ไปแล้ว เฉินหลุนรู้ว่าฝ่ายนั้นจะลงไปยังเหวลึกด้วยตนเอง ทว่าเขาก็ไม่กล้าห้าม ได้แต่รีบเรียกระดมพลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่พามาด้วย กันคนส่วนหนึ่งให้คอยเฝ้าอยู่ที่นี่ นัดแนะการส่งสัญญาณไว้ กำชับให้เตรียมพร้อมสำหรับเคลื่อนไหวตามคำสั่งตลอดเวลา ก่อนจะพาพวกที่เหลือไล่ตามไป พร้อมกันนั้นยังแอบเรียกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งให้มาด้วยกัน เพื่อคอยตามประกบอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างใกล้ชิดทั้งซ้ายขวา

ที่ต้องทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจะสามารถรับมือกับเหตุเฉพาะหน้าด้วยตัวคนเดียว ตรงกันข้ามเขารู้ดีว่าสหายผู้นี้เป็นเลิศทั้งบุ๋นบู๊มาตั้งแต่เด็ก เอาแค่สามารถน้าวคันธนูจนโค้งกลมดั่งพระจันทร์เต็มดวงแล้วยิงเสียบทะลุคนสามคนด้วยธนูดอกเดียวเมื่อครู่ ต่อให้เป็นพลในหน่วยธนูที่เชี่ยวชาญด้านคันศรและลูกธนูเป็นพิเศษ คนที่ทำได้เช่นนี้ยังมีน้อยจนยกนิ้วนับได้

หากตอนนั้นซู่เซิ่นฮุยได้ไปประจำการมณฑลชายแดนสมปรารถนา ป่านนี้น่าจะเป็นแม่ทัพที่อาบเลือดในสมรภูมิมาอย่างโชกโชนผู้หนึ่ง ทว่าฟ้าลิขิตมาให้อยู่ในฐานะอื่น ในเมื่อชะตากำหนดมาให้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการของต้าเว่ยในปัจจุบัน ความสำคัญของเจ้าตัวจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ จะบอกว่าดวงชะตาของแผ่นดินต้าเว่ยผูกติดกับคนผู้นี้ก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด เฉินหลุนจึงไม่อาจประมาทเลินเล่อแม้เพียงน้อย เดิมทีจะให้ซู่เซิ่นฮุยทำเรื่องเสี่ยงถึงเพียงนี้เองไม่ได้เด็ดขาด ทว่าเฉินหลุนจะห้ามก็ไม่กล้า ได้แต่เตรียมการให้ดีที่สุด เพราะสถานการณ์ตรงก้นเหวนั่นเป็นอย่างไร หากยังไม่ลงไปใครเล่าจะรู้

หลิวเซี่ยงนำคนล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทางบางส่วนแล้ว ห่างออกไปจากจุดนั้นหลายหลี่มีหน้าผาที่ค่อยๆ ลาดเอียง สามารถใช้เบิกทางลงไปได้ เขาสั่งให้คนไปรวบรวมเถาวัลย์แก่ๆ จากในภูเขามามากๆ แล้วนำมาถักเข้าด้วยกัน จนได้เป็นเชือกเถาวัลย์ที่แข็งแรงทนทานพอจะรับน้ำหนักคนตัวโตๆ พร้อมกันหลายคน

แม้หน้าผาบริเวณนี้จะลาดเอียง แต่ระหว่างทางมีหลายจุดที่สะสมตะไคร่น้ำชั้นแล้วชั้นเล่ามานานปีจนลื่น ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามจนสูงท่วมหัว กำลังพลร้อยกว่านายแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยที่กระจายตัวหลายเส้นทาง ถือคบไฟไว้ให้แสงสว่าง จับยึดเถาวัลย์ไต่ตามกันไปเพื่อไม่ให้ลื่นล้ม ค่อยๆ หาจุดที่พอวางเท้าได้ทีละก้าวไต่ลงไปข้างล่างอย่างทุลักทุเล พวกเขาใช้เวลาทั้งคืน กว่าจะลงมาถึงก้นเหวก็ตอนใกล้รุ่ง แล้วรีบย้อนไปทางบริเวณหน้าผาตัดตรงนั้น

เฉินหลุนคอยติดตามซู่เซิ่นฮุยอย่างใกล้ชิดมาตลอดทาง พอถึงก้นเหวก็ยกคบไฟส่องไปรอบๆ

เปลวเพลิงบนภูเขาฝั่งตรงข้ามยังไม่ดับมอด ควันโขมงเต็มท้องฟ้า พอลงมาข้างล่างถึงเพิ่งรู้ว่าผาตัดตรงนี้อันตรายเพียงไร ตั้งแต่ช่วงกลางผาลงมาเว้าลึกเข้าข้างในคล้ายคันธนู ตัวผาสูงลิ่ว ภายใต้ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยควันไฟหนาทึบ มองขึ้นไปจากตรงนี้หน้าผาแลดูผงาดเงื้อมเหมือนจะพุ่งเสียดยอดเมฆ ชะรอยตรงก้นเหวจะไม่มีร่องรอยมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร หันไปทางใดจึงเห็นแต่ไม้ใหญ่สูงตระหง่านและเถาวัลย์ที่เลื้อยคลุมหน้าผา รอบตัวเงียบสงัดราวป่าช้า

หลิวเซี่ยงนำผู้ใต้บังคับบัญชาเริ่มค้นหาโดยละเอียด ตั้งแต่ด้านล่างของผาที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดไล่ลงมาข้างล่างชนิดแทบจะพลิกแผ่นดินหา ขยายวงสำรวจให้กว้างออกไปเรื่อยๆ จากจุดนั้น ผ่านไปครึ่งวันจนใกล้เที่ยงวัน สุดท้ายพบเพียงรอยกิ่งไม้หักใต้เงาไม้ใหญ่ยักษ์บริเวณก้นเหว ใกล้กันมีรอยเลือดประปราย ถัดจากนั้นออกไปอีกหลายสิบจั้งยังพบชายเสื้อสีครามเปื้อนเลือดที่น่าจะปลิวมาตามแรงลม นอกเหนือจากนี้ก็ไร้ความคืบหน้า

ตามคำบอกเล่าขององครักษ์สองคนนั้น สีชายเสื้อตรงกับชุดที่ชายาอ๋องใส่ตอนออกมาล่าสัตว์ แต่กลับไม่เจอใครสักคน ไม่พบชายาอ๋อง ทั้งยังไม่เห็นร่องรอยของชื่อซูผู้นั้น รอยเลือดนี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครกันแน่ระหว่างชายาอ๋องกับชื่อซู

ตอนเที่ยงวันควันไฟข้างบนยังไม่ทันจาง เมฆหมอกก็เริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ ประกอบกับชะง่อนผาบดบังแสงสว่าง ข้างล่างจึงมืดสลัวดังเดิม ทั้งยังมีเศษขี้เถ้าอวลไอระอุของต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกเผาลอยตามลมลงมาข้างล่างราวกับฝนตก

ซู่เซิ่นฮุยกำเศษเสื้อชิ้นนั้นไว้แน่น สีหน้าเคร่งเครียดบึ้งตึง

เฉินหลุนสะกดความกังวลในใจ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอ่ยปลอบ “ท่านอ๋องอย่าได้ทรงวิตกมากไปเลย จากสภาพที่เห็น ตอนร่วงตกลงมาน่าจะมีกิ่งไม้รับไว้ไม่ให้บาดเจ็บมาก ถือเป็นเรื่องดี พระชายามีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม ทั้งยังปราดเปรียวว่องไว ต่อให้เจ้าชื่อซูนั่นตกลงมาแล้วไม่ตาย นางก็ไม่เป็นอันตรายหรอก…”

ฟังอย่างนี้คล้ายกำลังปลอบโยนอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่ความจริงแล้วก็พูดให้ตนเองสบายใจด้วยเช่นกัน ร่วงตกลงมาจากที่สูงเพียงนี้ การเปลี่ยนท่าใดๆ ตอนอยู่กลางอากาศหรือทิศทางลมระหว่างทางล้วนแต่ส่งผลต่อตำแหน่งที่ตกลงพื้นได้ทั้งนั้น

บอกตามตรง การตกลงบนร่มไม้ใหญ่พอดิบพอดีถือว่าบังเอิญ มิหนำซ้ำเจ้าของร่องรอยเหล่านี้อาจไม่ใช่พระชายา…

ซู่เซิ่นฮุยเอาแต่เงียบ

“ท่านอ๋อง! แม่ทัพหลิวพบร่องรอยใหม่ข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ!”

ทหารนายหนึ่งพลันวิ่งมารายงาน ซู่เซิ่นฮุยทิ้งเฉินหลุนวิ่งตามไปทันที

ในหุบเหวปรากฏรอยแยกของแผ่นดิน ต่ำลงไปคือแม่น้ำใต้ดินกว้างถึงสิบกว่าจั้ง เท่าที่คะเนจากสายตาดูลึกเอาการ สายน้ำไหลรินช้าๆ อย่างเงียบเชียบ มิน่าเล่าตอนอยู่ข้างนอกถึงไม่ได้ยินเสียง

สุนัขล่าเนื้อพันธุ์ซี่เฉวี่ยนที่พาลงมาด้วยจำนวนหนึ่งดมเจอคราบเลือดหลายหยดในบริเวณเดียวกัน แล้วส่งเสียงเห่าไปทางแม่น้ำ

หลิวเซี่ยงแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้ออกค้นหาเลียบริมฝั่งตามกระแสธารไปจนถึงปากน้ำ ตัวเขาอยู่ในอีกกลุ่มที่ว่ายน้ำเก่ง รวมทั้งสิ้นสิบกว่าคน จะใช้บริเวณที่พบรอยเลือดเป็นจุดเริ่มต้น ดำน้ำไล่หาข้างใต้ไปพร้อมๆ กับกลุ่มบนบกจนถึงปากน้ำ เพื่อไม่ให้มีจุดใดที่ตกหล่นไป

เขานำคนสิบกว่าชีวิตถอดรองเท้าหุ้มแข้งและเสื้อคลุม โจนลงน้ำ ดำผุดดำว่ายไล่หาตามกระแสธารไปเรื่อยๆ น้ำข้างล่างไหลแรงกว่าข้างบน แสงส่องลงไปไม่ถึง การค้นหาจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ผ่านไปสักพักหลายคนที่ดำน้ำไม่เก่งเท่าคนอื่นๆ ก็เริ่มไม่ไหว พวกบนฝั่งยังไม่พบอะไร เฉินหลุนว่ายน้ำเป็นแค่พอเอาตัวรอด จึงได้แต่ยืนรออยู่บนฝั่ง พอมองไปทางอ๋องผู้สำเร็จราชการก็เห็นฝ่ายนั้นตรึงสายตาอยู่บนผิวน้ำสีเขียวสด จากนั้นอยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นถอดเกี้ยวออกแล้วถอดแถบรัดเอว เฉินหลุนรู้ว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการว่ายน้ำเก่ง ตอนเที่ยวเล่นด้วยกันสมัยเป็นเด็กหนุ่มยังว่ายข้ามแม่น้ำเว่ยอยู่บ่อยครั้ง เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคิดจะทำอะไร

เฉินหลุนถลาไปคุกเข่ากอดขาฝ่ายตรงข้ามไว้แน่น “ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาด! ที่นี่ไม่ใช่แม่น้ำเว่ย! พระวรกายสำคัญยิ่งยวด จะเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร วันนี้ต่อให้ถูกท่านอ๋องตัดหัว เฉินหลุนก็ไม่กล้าปล่อยท่านอ๋องลงไปแน่!”

ซู่เซิ่นฮุยดิ้นไม่หลุด ดวงตาเป็นประกายกร้าว ก่อนจะเงื้อเท้าถีบฝ่ายตรงข้ามกลิ้งไปนั่งกองอยู่บนพื้น

“เจ้าอยากให้ข้าถูกมโนธรรมกัดกินใจหรือไร อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ นี่คือคำอธิบายขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าเอาหน้าจากที่ใดไปหาเจียงจู่วั่ง” ทันทีที่จบประโยคนั้นเขาก็โยนเสื้อคลุมทิ้งแล้วโจนลงน้ำ ดำดิ่งหายวับไปในชั่วพริบตา

เฉินหลุนร้อนใจดังไฟลน อยากตามลงไปด้วยใจแทบขาด เขาลุกขึ้นจากพื้นมาเฝ้ารออยู่ริมน้ำอย่างเคร่งเครียด เห็นอ๋องผู้สำเร็จราชการดำตามกระแสธารไปเรื่อยๆ พร้อมพวกที่ลงน้ำไปก่อนหน้านี้ ครู่หนึ่งก็ผุดขึ้นมาพักสูดหายใจแล้วดำลงไปต่อ ทำเช่นนี้สลับไปมาซ้ำกันอยู่สิบกว่าครั้ง เวลาก็ผ่านไปอีกเกือบครึ่งวัน พระอาทิตย์ใกล้ลาลับ ในหุบเหวมืดทึมยิ่งกว่าเดิม ทุกคนรวมทั้งตัวซู่เซิ่นฮุยเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที กอปรกับร่างกายเย็นเฉียบจนทนไม่ไหว ไม่สามารถดำน้ำต่อได้อีกแล้ว จึงต่างทยอยหยุดการค้นหาแล้วขึ้นฝั่ง

อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นคนสุดท้ายที่กลับขึ้นมา ก่อนนั่งลงบนโขดหินริมน้ำ เนื้อตัวเปียกชุ่มโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าซีดเผือด ฟันกระทบกันเบาๆ เพราะความหนาว เฉินหลุนก่อกองไฟขึ้นใกล้ๆ ไว้ให้ความอบอุ่น แล้วรีบส่งเสื้อผ้าให้เขาและพวกหลิวเซี่ยง ตอนนี้กลุ่มบนฝั่งที่ไปได้ไกลกว่าส่งข่าวกลับมาแล้ว ยังคงไม่พบอะไรเหมือนเดิม

ทุกคนกลั้นหายใจไม่กล้าส่งเสียง รู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

ซู่เซิ่นฮุยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่ทอดสายตามองกองไฟโชติช่วงตรงหน้า นั่งนิ่งไม่ขยับ

เฉินหลุนมองแผ่นหลังของเขาที่เงียบงันราวกับก้อนหิน ตอนนี้ไม่กล้าปลอบโยนใดๆ อีก ได้แต่ยื่นขวดสุราที่อุ่นแล้วไปให้พลางบอกเบาๆ “ท่านอ๋องจิบสักสองสามอึกเถิด จะได้ตัวอุ่นขึ้น…”

ในจังหวะนั้นเองซู่เซิ่นฮุยก็แว่วเสียงแหลมสูงลอยมาเลือนๆ เสียงสั้นนิดเดียว ซ้ำยังแผ่วเบาอย่างยิ่ง ดังขึ้นมาทีหนึ่งก็เงียบหายไป ตอนแรกเขานึกว่าตนเองหูฝาด แต่พอมองหลิวเซี่ยงที่นั่งตรงข้ามก็เห็นฝ่ายนั้นเงยหน้าพรวดขึ้นมองมาที่ตนเอง แววตาลังเลคล้ายไม่กล้ายืนยัน ระหว่างที่ทั้งคู่สบตากัน เสียงที่เงียบหายไปเมื่อครู่ก็ลอยเข้าหูอีกครั้ง

คราวนี้แม้จะดังมาจากไกลๆ เหมือนเดิม แต่ก็ชัดและยาวขึ้น เหมือนยาวครั้งสั้นครั้งวนไปวนมา เท่าที่ฟังคล้ายจะดังมาจากทางหน้าผาที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลัง

ไม่เพียงเท่านั้นเฉินหลุนเองก็ฟังออกว่าเป็น…

“แตรเขากวาง!” เขาโพล่งออกมา

นี่เป็นเครื่องมือที่คนล่าสัตว์ต้องพกติดตัวสำหรับส่งสัญญาณหรือระบุตำแหน่งกันและกัน เสียงยาวหนึ่งสั้นหนึ่งเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มักใช้เวลาเชื้อพระวงศ์ออกมาล่าสัตว์

ซู่เซิ่นฮุยที่นั่งบนโขดหินทะลึ่งตัวลุกพรวดทันที หลังยืนเงี่ยหูฟังอยู่หลายอึดใจก็หมุนตัววิ่งไปตามทิศที่ได้ยินเสียง ทุกคนตามไปติดๆ พอมาถึงก้นเหวในตอนแรกเสียงแตรเขากวางที่ขาดๆ หายๆ ก็ดังขึ้นอีกหลายครั้ง จากนั้นก็เงียบหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ยินอีกเลย

ความร้อนใจสะท้อนอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มขณะกระโดดไปตามก้อนหินและร่องน้ำบริเวณใต้เหวที่ไร้ทางเรียบเตียน เขาเร่งฝีเท้าเร็วรี่ปานจะโผบิน จนเฉินหลุนกับคนที่เหลือถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ในที่สุดก็มาถึงใต้ผาบริเวณนั้น

เขาหยุดเท้า หอบหายใจน้อยๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะแหงนหน้ามองภูผาที่โอบล้อม สายหมอกยังลอยอ้อยอิ่งบดบังรอบตัวจนมองไม่เห็นท้องฟ้า แล้วส่งเสียงเรียก “เจียงซื่อ!”

เสียงตะโกนของเขาก้องสะท้อนดังอึงๆ กลับไปกลับมาระหว่างหน้าผา ส่งคลื่นสะเทือนจนนกกาที่หนีไฟไหม้บนภูเขาลงมาตรงนี้ตื่นตกใจจนบินฮือ ขยับปีกพึ่บพั่บวนยอดไม้อลหม่านวุ่นวาย

“พระชายา!” เขาเรียกอีก

“เจียงหานหยวน!”

เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนก้องเป็นครั้งที่สาม หลังเสียงสะท้อนเงียบลงครู่หนึ่งเสียงแตรเขากวางก็พลันดังขึ้นเหมือนตอบรับ ทว่าแผ่วแสนแผ่วคล้ายเรี่ยวแรงไม่พอ ทั้งยังขาดหายไปกลางคัน

ตอนนี้พวกเฉินหลุนและหลิวเซี่ยงไล่ตามมาทันแล้ว ได้ยินเสียงเมื่อครู่ก็ตาเป็นประกายกันทุกคน

มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าเสียงแตรดังมาจากด้านบน เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาจากจุดใดของหน้าผา

“บางทีพระชายาอาจจะอยู่บนนั้น! ให้คนโรยเชือกลงมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะขึ้นไปดูเอง!” หลิวเซี่ยงบอกโดยไม่รอช้า

“ข้าขึ้นไปดีกว่า! แม่ทัพหลิวเฝ้าอยู่ข้างล่างเถิด”

เฉินหลุนหนุ่มแน่นกว่า และรู้ว่าร่างกายอีกฝ่ายมีแผลเก่าจากเมื่อครั้งที่อยู่ในกองทัพ ไหนเลยจะปล่อยให้ทำเรื่องเช่นนี้ได้ เขาเป่าแตรสัญญาณ พอกลุ่มที่ทิ้งไว้ให้เฝ้าอยู่ด้านบนตั้งแต่เมื่อคืนได้ยินก็ค่อยๆ โรยเชือกเส้นใหญ่ที่ถักทอขึ้นจากเถาวัลย์แก่ๆ จำนวนมากลงมา ขณะที่เฉินหลุนกำลังเตรียมความพร้อมก็พลันได้ยินพวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างๆ อุทานว่า “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เมื่อหันไปมองจึงพบว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการรวบชายเสื้อคลุมขึ้นมามัดไว้ แล้วก้าวเข้าไปกระตุกเชือกเถาวัลย์ทดสอบความแข็งแรง จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ดึงรั้งเหนี่ยวตัวให้ลอยขึ้นจากพื้น สองเท้ายันผาหินไว้อย่างมั่นคง ค่อยๆ สาวเชือกไต่ขึ้นข้างบนทีละนิด

ตอนห้ามไม่ให้ลงน้ำ เฉินหลุนโดนถีบมาทีหนึ่งแล้ว นับเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ที่อ๋องผู้สำเร็จราชการทำกับเขาเช่นนี้ เมื่อเห็นเจ้าตัวปีนขึ้นไปเองเขาจึงไม่กล้าพูดมาก ทำได้แค่แหงนคอมองพร้อมคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อด้วยกันกับพวกหลิวเซี่ยง ซู่เซิ่นฮุยไต่หน้าผาสูงขึ้นทุกทีจนร่างค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในเมฆหมอก หลิวเซี่ยงยังคงเฝ้าอยู่เบื้องล่างต่อ ขณะที่เฉินหลุนรีบปีนกลับขึ้นไปทางเดียวกับขาลง เตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือตลอดเวลา

เจียงหานหยวนซ่อนตัวอยู่กลางหน้าผาจริงๆ ในซอกหินเล็กแคบที่คนเข้ามายืนตัวตรงพร้อมกันได้เพียงสองคน

ชั่วขณะที่หมุนตัวกระโดดลงมาอย่างไม่ลังเล ความสิ้นหวังในหัวใจทำให้นางนึกถึงความรู้สึกของมารดา ว่าเหตุใดตอนนั้นมารดาถึงเลือกที่จะขว้างนางลงจากหน้าผามากกว่าจะมีชีวิตอย่างไร้จุดมุ่งหมาย หากเป็นนาง นางก็ไม่มีวันยอมถูกศัตรูใช้เป็นตัวประกันไว้ข่มขู่หรือสร้างความอัปยศเช่นกัน ระหว่างที่ร่างทิ้งดิ่งลงไปด้านล่างด้วยความเร็วสูง ศีรษะพลันกระแทกเข้ากับหินโดยแรงจนนางแทบหมดสติ หากแต่ร่างกายยังคงสัมผัสความเจ็บปวดที่ถูกเงี่ยงแง่งและหนามไม้เลื้อยบนผาหินข่วนตำได้อย่างชัดเจน สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดทำงานเต็มที่ ดึงสตินางกลับมาอีกครั้ง

มารดาใช้ผ้าห่อนางไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะขว้างนางลงจากหน้าผาสุดแรงเกิด เพราะหวังให้นางมีชีวิตรอด ตัวนางเองก็รับปากผู้ใต้บังคับบัญชาในค่ายชิงมู่ไว้ว่าจะกลับไปร่วมเป็นร่วมตาย ยืนหยัดสู้ศัตรูเคียงข้างพวกเขา นอกจากนั้นยังมี…

ชั่วเสี้ยวขณะหนึ่งภาพคืนแต่งงานปรากฏขึ้นในความคิดอีกครั้ง เบื้องหน้าแสงโคมไฟที่สว่างไสวราวกับยามกลางวัน ประตูรถม้าเปิดออกอย่างเนิบนาบ อีกทั้งใบหน้าของบุรุษที่ยื่นมือมาประคองนางลงจากรถม้า

เขาเป็นสัญลักษณ์ของต้าเว่ย ส่วนนางก็แต่งงานกับต้าเว่ย

ไม่มีวันเสียหรอกที่นางจะยอมตายไปทั้งอย่างนี้ แล้วปล่อยให้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่นางยินยอมพร้อมใจเองต้องมาจบสิ้น

ประสบการณ์ที่เคยกระโดดลงจากผากระบี่เหล็กนับครั้งไม่ถ้วนช่วยเจียงหานหยวนให้เอาชีวิตรอดจากวิกฤตครานี้ นางพยายามควบคุมพละกำลังขืนร่างที่กลิ้งหลุนๆ ไปตามผาให้ชะลอความเร็วลง และไม่ให้ร่างกระดอนจนปลิวออกไป พร้อมกันนั้นก็เหยียดแขน กางมือคว้าทุกอย่างที่พอให้ยึดเป็นหลักได้ ไม่ว่าจะชะง่อนหินที่ยื่นออกจากผาหรือต้นหญ้ากับเถาวัลย์บริเวณใกล้เคียงกับจุดที่กลิ้งผ่าน ทว่าล้มเหลวติดๆ กันหลายรอบ จังหวะที่ร่างกระดอนลอยออกมากลางอากาศ ใกล้จะร่วงลิ่วลงไปด้านล่าง สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของนางก็ปะทุออกมาอย่างเข้มข้น ทำให้นางคว้าจับแง่งหินแง่งหนึ่งสำเร็จ แล้วฉวยเถาวัลย์เส้นหนาที่ผ่านลมฝนมานานปีบนนั้นเอาไว้ เถาวัลย์ถูกนางดึงจนทิ้งตัวลงมาเหมือนพร้อมจะขาดได้ทุกเมื่อ แต่ก็โชคดีที่ช่วยหยุดไม่ให้นางร่วงตกลงไปได้ชั่วคราว หญิงสาวตะกายตัวอย่างว่องไว จนในที่สุดก็สามารถปีนขึ้นไปแนบตัวติดกับผาหิน เหยียบยืนบนจุดที่พอวางเท้าได้ แล้วเคลื่อนที่ช้าๆ สุดท้ายก็เจอซอกหินแถวนั้นที่สามารถสอดตัวเข้าไปได้

ต่อเมื่อวิกฤตผ่านพ้น เจียงหานหยวนถึงเพิ่งตระหนักว่าตนเองบาดเจ็บตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่มือที่เต็มไปด้วยตุ่มไตสากกร้านยังเป็นแผลเหวอะหวะ หนักสุดคือขาซ้ายที่ถูกแง่งหินข่วนลึกเป็นทางยาวจนทำให้ร่างกายเสียเลือดเป็นจำนวนมากในตอนนี้ นางฉีกชายเสื้อเพื่อใช้พันแผล ทว่ามือสั่นเทาเสียจนจับผ้าไว้ไม่อยู่ ผ้าเลยถูกสายลมแรงริมผาพัดปลิวไป สุดท้ายนางก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพันแผลให้แน่นจนสำเร็จ เหลือแค่รอให้เลือดหยุดไหลเองช้าๆ แต่กว่าจะพันแผลเสร็จร่างกายก็อ่อนระโหยเต็มที ด้วยความที่ไม่ได้กินอิ่มมาหลายวันและเสียเลือดมากจึงสุดจะฝืนทนต่อไปได้ ตอนแรกแค่ตั้งใจเอนหลังพักผ่อนเล็กน้อยเพื่อให้เรี่ยวแรงฟื้นคืนโดยเร็ว ไม่นึกว่าพอหลับตาลงจะหมดสติไปทันที

อาจเพราะมีประสบการณ์ที่ต้องดื่มกินนมแม่หมาป่าช่วงแบเบาะ หรืออาจเพราะสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทรงพลังแรงกล้าเกินไป เจียงหานหยวนจึงเหมือนหูหยาง* ต้นน้อยที่พยายามหยั่งรากลึกลงไปใต้ดิน ไม่มีวันยอมตายโดยง่าย เมื่อครู่นางค่อยๆ ฟื้นคืนสติ แผลที่ขาเลือดแข็งตัวจนหยุดไหลแล้ว

นางประเมินว่าตอนนี้เข้าวันที่สอง หากพวกชื่อซูยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้างย่อมไม่มีทางรั้งรออยู่ที่นี่ต่อ

ตอนนี้นางอยู่ในซอกหิน ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส แขนขาไร้เรี่ยวแรง อยากปีนขึ้นไปด้านบนหรือลงไปด้านล่างด้วยตนเองคงไม่ต่างอะไรกับคนโง่เล่าความฝัน

นางนึกถึงบุรุษที่จูงตนเองลงจากรถม้าด้วยใบหน้าระบายยิ้มในคืนแต่งงานขึ้นมาอีกครั้ง

จริงอยู่ว่าคืนนั้นจบลงด้วยคำพูดเย็นชาที่เกิดจากโทสะผสมความอัปยศของเขา ก่อนที่เขาจะทิ้งนางไว้แล้วจากไป แต่หากรู้ว่านางไม่ได้กลับตำหนักแปรพระราชฐานหลายวัน เขาไม่มีทางไม่ไยดีอย่างแน่นอน ทั้งแผ่นดินต้าเว่ยในตอนนี้คนที่ไม่อยากให้นางตายมากที่สุดน่าจะเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการนี่ล่ะ หากนางตายไปก็เท่ากับแผนการของเขาสูญเปล่า ไหนจะต้องมีคำอธิบายให้บิดานางอีก เขาจะต้องส่งคนมาออกตามหานางแน่

เจียงหานหยวนนึกขึ้นได้ว่าตนพกแตรเขากวางติดตัวมาอันหนึ่ง จึงล้วงมันออกมา แล้วรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ช่วงที่ล่าสัตว์ด้วยกันกับเฉินหลุนและองค์หญิงหย่งไท่ สองสามีภรรยาเป็นคนบอกนางไว้

ตอนแรกเจียงหานหยวนตั้งใจจะเป่าไปเรื่อยๆ แต่เป่าได้ไม่กี่ครั้งก็พบว่าตนเองอ่อนระโหยจนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะพองกระพุ้งแก้มเพื่อเป่าอย่างต่อเนื่อง หลังจากเป่าไปได้ไม่กี่ทีก็รู้สึกหน้ามืด ลำคอเหมือนจะรับน้ำหนักศีรษะไม่ไหว นางจึงหยุดพักฟื้นฟูกำลังต่อ

เปลือกตาปิดลง ศีรษะเอนซบผนังซอกหิน ความเหนื่อยล้าเริ่มคืบคลานกลับมา จังหวะที่มึนๆ จวนหลับไปอีกรอบ ใบหูเหมือนจะแว่วเสียงคนตะโกนเรียกท่ามกลางความสะลึมสะลือ

เจียงซื่อ?

นางคิดอย่างเลื่อนลอย…ใครกัน

ถัดจากนั้นเหมือนจะเปลี่ยนไปเรียกพระชายาแทน?

พระชายา…ใครอีกเล่า…

“เจียงหานหยวน…”

เสียงเดิมลอยมากระทบหูอีกครั้ง นางสะท้านวาบ

ใช่แล้ว ที่แท้ก็ตัวข้าเอง!

สติสัมปชัญญะกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ เจียงหานหยวนจำเสียงนั้นได้ ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบุรุษที่นางแต่งงานด้วย อ๋องผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเว่ย ซู่เซิ่นฮุย

เขาถึงกับมาด้วยตนเองเลยหรือนี่

แม้จะเข้าใจดีว่าเหตุใดเขาถึงให้ความสำคัญกับนางนักหนา แต่ชั่วพริบตาที่ได้ยินเขาเปล่งชื่อของนางออกจากปากด้วยเสียงทุ้มห้าว กังวานสะท้อนก้องไปในพงไพรก้นเหว หัวใจก็ยังปวดแปลบจนขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

นางรีบตั้งสติเป่าเขากวางอีกครั้งเป็นการตอบรับ จากนั้นก็เงี่ยหูฟังเสียงที่หน้าผาด้านนอก

เสียงเศษหินแตกดังกร๊อบแล้วร่วงกราวเพราะถูกเหยียบใกล้เข้ามาเป็นลำดับ นางเป่าเขากวางอีกครั้งเพื่อบอกตำแหน่งของตนให้ฝ่ายตรงข้ามรู้

แทบจะในพริบตาเดียวกันร่างคนพลันปรากฏขึ้นกลางหน้าผา คนผู้นั้นวาบผ่านไป แล้ววางเท้าทั้งสองข้างลงบนซอกหินเป็นอันดับแรก ก่อนจะเหนี่ยวตัวขึ้นมาหยุดยืนตรงหน้านาง

เขาปีนขึ้นมาเอง

เจียงหานหยวนมองอีกฝ่าย พร้อมทนเจ็บเอามือเกาะผนังซอกหินเล็กแคบ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีค่อยๆ ยืนตัวตรง พยายามทำตัวกระฉับกระเฉงเป็นปกติให้มากที่สุด

แม้จะร่วงตกลงมาเนื้อตัวสะบักสะบอมจนต้องร้องขอความช่วยเหลือ นางก็ยังอยากให้ผู้อื่นเห็นตนเองในสภาพที่ดีที่สุดตามความเคยชิน

เหมือนเวลาได้รับบาดเจ็บในกองทัพ ต่อให้เจ็บแสนเจ็บเพียงใด นางก็ไม่มีวันแสดงออกว่าเจ็บให้พวกหยางหู่เห็นแม้แต่นิดเดียว

ในที่สุดก็ยืนตัวตรงสำเร็จ นางทอดตามองบุรุษตรงหน้า แล้วบังคับน้ำเสียงให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด “ขอบคุณท่านอ๋องที่เสี่ยงอันตรายมารับข้า หลายวันที่ผ่านมาทุกคนคงจะหาข้ากันเหนื่อยน่าดู ข้าผิดเอง ต่อไปข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ จะไม่สร้างปัญหาให้ท่านอ๋องอีกเป็นอันขาด”

ซู่เซิ่นฮุยใช้มือยึดผนังหินไม่ให้ร่างเอนไปเอนมาตามแรงลม สองเท้าเหยียบยืนบนพื้นของซอกแคบที่กว้างพอแค่ให้เขากับนางยืนหันหน้าเข้าหากัน จ้องมองสตรีที่อยู่ตรงหน้า…ชายาอ๋องที่เขาแต่งด้วย

เรือนผมและใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเศษใบไม้และเศษฝุ่น ริมฝีปากซีดเผือดไร้สีเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น คราบเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งตัว มีเพียงดวงตาที่มองตอบมาคู่นั้นที่ยังสุกใส พอให้เขามองเห็นเค้ารอยแต่เดิมของนางได้

เพิ่งจะพรูลมหายใจด้วยความโล่งอกที่เจอตัว ปรากฏว่ากลับต้องได้ยินนางเอ่ยโทษตนเองทันทีที่อ้าปากพูด ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้หงุดหงิดขึ้นมานิดๆ

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ซู่เซิ่นฮุยระงับความขุ่นมัวในใจ ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วเอ่ยถาม

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก…”

พูดยังไม่ทันขาดคำนางก็รู้สึกหน้ามืดตาลายจนต้องเอนหลังพิงผนังหิน พออาการทุเลาแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปอีกทีก็พบว่าเขาได้ก้าวเข้ามาใช้เชือกพันเอวนางไว้ ด้วยรู้ว่าเขาจะพาตนเองขึ้นไป นางจึงยืนนิ่งๆ ให้เขาจัดการ ชายหนุ่มมัดเชือกแล้วทดสอบความแน่นหนาแข็งแรง ถอดเสื้อคลุมออกมาห่มร่างนางไว้ ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดเอวนางไว้กับตัว

เจียงหานหยวนรู้สึกว่าเขาจะอุ้มนางขึ้นไป จึงขืนตัวหนีตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เป็นไรมาก ขอแค่มีเชือกผูกเอวไว้ก็สามารถ…”

“เงียบเถอะน่า!” เขาเอ็ดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก

หญิงสาวนิ่งเงียบ

ซู่เซิ่นฮุยใช้เชือกเถาวัลย์พันเอวตนเองไว้ด้วยกันกับนาง มือข้างหนึ่งยึดเชือกไว้แน่น อีกข้างกอดเอวนางไว้อย่างมั่นคง ใช้ฝักดาบเคาะผาหินหลายครั้งเพื่อส่งสัญญาณขึ้นไป รอให้คนข้างบนออกแรงสาวเชือกพร้อมกัน โดยใช้ท่อนไม้ที่ตัดโค่นลงมาเป็นรอกพันเชือก ร่วมแรงแข็งขันหมุนโคนต้นไม้ดึงเขาให้ไต่ขึ้นไปช้าๆ สุดท้ายเมื่อเขาพาเจียงหานหยวนปีนจนถึงยอดผาได้อย่างราบรื่น ก็ช่วยกันดึงพวกเขาขึ้นมา

ชายหนุ่มน่าจะใช้แรงไปมากเอาการ พอขึ้นมาข้างบนได้ก็ทรงตัวยืนไม่ไหว ต้องคุกเข่าเอามือยันพื้นอยู่สักพัก จนพอจะปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้เล็กน้อยถึงค่อยลุกขึ้นยืน ร้องขอน้ำจากผู้ติดตาม นำมาป้อนให้นางดื่มสองสามอึก จากนั้นก็ใช้ดาบตัดเชือกเถาวัลย์ที่มัดตนกับนางไว้ด้วยกันแล้วบอกเบาๆ “เจ้าเสียเลือดมาก อีกทั้งตอนนี้ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว หาที่ค้างแรมเพื่อทำแผลและพักผ่อนสักคืนก่อนแล้วกัน วันพรุ่งนี้ค่อยกลับไป”

บทที่ 39

ซู่เซิ่นฮุยแบ่งสรรงานให้ผู้ติดตามทั้งหมดในครานี้อีกครั้ง ให้หลิวเซี่ยงนำผู้ใต้บังคับบัญชาค้นหาชื่อซูต่อ เฉินหลุนสั่งให้คนไปสร้างแนวกันไฟตามพื้นที่ใต้ลมที่ไฟจากภูเขากำลังลามไปถึง กันไม่ให้เพลิงไหม้ขยายวงกว้างเกินไป ส่วนตัวเขากับอีกสิบกว่าคนที่เหลือหาพื้นที่เหนือลมที่เหมาะแก่การค้างแรมแล้วตั้งกระโจมกันที่นั่น

หลังจากให้หลิวเซี่ยงไปรับเจียงหานหยวนออกจากสวนป่าต้องห้าม ปรากฏว่าผ่านไปหนึ่งคืนแล้วยังไม่พบนาง ลางสังหรณ์ในใจซู่เซิ่นฮุยก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมิอาจนิ่งเฉย จึงนำกำลังคนตามมาสมทบด้วยตนเอง แม้จะออกจากเมืองหลวงอย่างฉุกละหุก แต่เขาสังหรณ์ใจว่าออกมาครานี้คงไม่อาจกลับไปโดยเร็ว จึงสั่งให้เตรียมของจำเป็น เช่น เครื่องมือจุดไฟ เสบียงกรัง หยูกยา และกระโจมมาด้วย

พวกเขาเลือกพักแรมบริเวณแหล่งน้ำไหลที่มีน้ำใสสะอาด ฟ้ามืดสนิทแล้ว ผู้ติดตามตั้งกระโจมสำหรับค้างแรมในคืนนี้เสร็จอย่างว่องไว เขาอุ้มเจียงหานหยวนเข้าไป วางนางลง ก่อนจะเดินออกไป เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมอานม้าของตนเองรวมทั้งถุงห้อยข้าง เขาหยิบผ้าแพรเนื้อหนาสีแดงสดปักดิ้นทองจากในถุงมาคลี่ปูลงบนกองฟางแห้งที่ใช้ต่างฟูกนอน จากนั้นก็วางอานม้าไว้ด้านบน แล้วหันมาอุ้มนางวางลงบนผ้าแพรอย่างเบามือ

หลังจัดที่ทางให้หญิงสาวเรียบร้อยเขาก็หยิบห่อยาออกมาแกะ ไขตะเกียงให้สูงขึ้นพลางเหลือบมองอีกฝ่าย ภายใต้แสงตะเกียงนั้นหญิงสาวที่อยู่บนผ้าแพรยังคงนั่งหลังตรงแหน็วราวกับเป็นความเคยชิน เขาเห็นแล้วอดมุ่นหัวคิ้วไม่ได้ “ข้าเอาอานม้ามาวางให้พิง เจ้าก็พิงเสียสิ!”

เจียงหานหยวนหลุบตา แล้วค่อยๆ ผ่อนร่างเอนหลังไปพิงอานม้าอย่างหมิ่นๆ

คนข้างนอกยกน้ำร้อนที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามาให้ ครั้นเห็นเขาจุ่มผ้าชุบน้ำ เจียงหานหยวนก็รู้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามตั้งใจจะเช็ดทำความสะอาดผิวอย่างง่ายๆ ให้ตนเองเพื่อตรวจดูบาดแผลและใส่ยาได้สะดวก จึงยื่นมือออกไป “ข้าทำเองดีกว่า…” พอพูดออกมาถึงได้รู้ว่าเสียงตนเองแหบแห้งเพียงใด ฟังแล้วไม่ไพเราะเอาเสียเลย

ซู่เซิ่นฮุยตอบเรียบๆ “เจ้านั่งพิงไปสบายๆ ก็พอ” พูดจบก็ประคองขาซ้ายนางให้วางราบ

แม่ทัพหญิงลดมือลงช้าๆ

เท่าที่คะเนจากสายตา ทั้งตัวนางมีรอยแผลใหญ่น้อยตามผิวเนื้อไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ทั้งหน้าอกและหลังแดงเถือกไปด้วยโลหิต เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลแห้งกรังติดเนื้อผ้า หนักสุดคือแผลบนขาซ้ายที่แน่นอนว่าต้องจัดการเป็นอันดับแรก

ชายเสื้อที่นางฉีกออกมาพันแผลห้ามเลือดเองแนบติดปากแผลสนิทแน่นเป็นเนื้อเดียว เขาไม่กล้าดึงออกด้วยกำลัง ได้แต่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นค่อยๆ ลูบให้รอยแห้งกรังอ่อนตัวลง

แม้จะทำอย่างเบามือที่สุดแล้ว แต่ระหว่างลอกผ้าออกก็มีช่วงที่แผลถูกกระเทือนจนเลือดไหลซึมออกมาใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้

“ทนไม่ไหวก็บอกนะ ข้าจะดึงให้ช้ากว่านี้”

ตลอดเวลานางไม่ส่งเสียงสักนิด กลับเป็นเขาเองเสียอีก เพิ่งจะลอกผ้าออกมาได้แค่ครึ่งเดียวก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมบนหน้าผาก อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงบอกนาง

“ท่านอ๋องเร่งมือให้เร็วขึ้นอีกก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทนไหวจริงๆ” ในที่สุดนางก็เอ่ยอย่างนั้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ไหนเลยเขาจะกล้าทำตามที่อีกฝ่ายบอก ยังคงค่อยๆ ลอกผ้าที่เหลือทีละนิดจนหลุดออกมาทั้งหมด เขาพรูลมหายใจเล็กน้อย แล้วรีบตรวจดูรอยแผลบนขาด้านใน พอเห็นว่าแผลยาวเกือบหนึ่งฉื่อ ลึกราวหนึ่งชุ่นก็รีบจัดการโดยไม่รอช้า เริ่มจากทำความสะอาดแผล จากนั้นก็หยิบสุราแรงมาถือไว้ จังหวะที่กำลังจะราดสุราลงไปก็พลันชะงัก พับผ้าเปียกเมื่อครู่เป็นทบหนา แล้วบอกให้นางอ้าปาก

เจียงหานหยวนเข้าใจจุดประสงค์ จึงอ้าปากเงียบๆ ให้อีกฝ่ายยัดผ้าเข้ามา จากนั้นเขาถึงค่อยราดสุราลงบนแผล

ความรู้สึกร้อนลวกเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นปราด นางกัดผ้าไว้แน่น เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาตามหน้าผาก กระนั้นก็ยังไม่แม้แต่จะร้องครางในคอ

เขาเหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วใส่ยาลงบนแผลให้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ผ้าสะอาดในห่อยาพันแผลให้ ถึงเป็นอันเสร็จสิ้น

ชายหนุ่มเปลี่ยนน้ำ ก่อนจะจัดการกับแผลส่วนที่เหลือ แรกสุดคือรอยแผลมีเลือดแห้งกรังตรงข้างหน้าผากที่กระแทกกับหิน ทั้งช่วยเช็ดทำความสะอาดเอาคราบฝุ่นที่ติดอยู่บนใบหน้านางมาทั้งคืนออกไปด้วย ตอนที่ลากผ้าลงไปตามลำคอนางปลายนิ้วเขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลงข้างสาบเสื้อนางพร้อมบอก “ข้าจะถอดเสื้อให้แล้วนะ” น้ำเสียงฟังดูราบเรียบเป็นปกติทุกประการ

ระหว่างที่บอกอย่างนั้นดวงตาเขาไม่ได้มองหญิงสาว จวบจนได้ยินนางตอบรับเบาๆ ถึงค่อยหลุบตามอง

นางเอนกายพิงอานม้า ลำคอโน้มลงเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาว แพขนตาดกดำหลุบต่ำ เปลือกตาหรี่ปรือ

ระหว่างทำแผลเมื่อครู่คงเจ็บมาก กระทั่งคนแข็งแกร่งอย่างนางยังแสดงความเปราะบางอ่อนแรงออกมาให้เห็น

ไม่รู้เพราะเหตุใด ความขุ่นมัวอันไร้สาเหตุที่ตอนแรกยังคงคุกรุ่นค้างคาในใจถึงได้มลายหายไปทันทีในพริบตานั้น

ชายหนุ่มค่อยๆ แหวกสาบเสื้อนางออกอย่างนุ่มนวล ให้เสื้อทุกชั้นเลื่อนหลุดลงจากหัวไหล่ จุดใดเนื้อผ้าเปื้อนมีเลือดแห้งติดแผลก็ใช้ผ้าชุบน้ำลูบให้อ่อนตัวลงทีละนิดเหมือนเมื่อครู่ จนสุดท้ายสามารถลอกผ้าเปื้อนเลือดออกไปทั้งหมด เผยเรือนร่างที่อยู่ข้างใต้

แม้ร่างท่อนบนของสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขานี้จะเต็มไปด้วยรอยแผล หลายจุดมีเลือดซึมออกมาใหม่ด้วยซ้ำ แต่คงเพราะแสงตะเกียงหรุบหรู่ละมุนตาเกินไป และนางก็เอนกายอยู่บนผ้าแพรสีแดงสด ร่างที่แสนบอบช้ำจึงดูเปล่งประกายจับตา

หรือไม่…ก็อาจเป็นเพราะนางในตอนนี้แสนจะว่าง่าย ซู่เซิ่นฮุยจึงรู้สึกไม่ชินเท่าไรนัก

แม้เมื่อครู่จะบอกตนเองซ้ำๆ ว่าเขาเป็นสามีนาง ใช่ว่าจะไม่เคยมีสัมพันธ์แนบชิดกันมาก่อน และเขาก็แค่จะทำแผลให้เท่านั้น สตรีที่ถอดเสื้อต่อหน้าเขาเวลานี้ไม่แตกต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ข้างนอกแต่อย่างใด ทว่าสุดท้ายเมื่อต้องมาประจันหน้ากันจริงๆ มือของเขาก็ยังหยุดชะงักไปกลางคันอยู่ดี

เชื่อว่าใจนางก็ไม่ยินดีให้เขาแตะต้องเช่นกัน

เขานึกถึงประสบการณ์ที่ได้แนบชิดนางสองครั้งขึ้นมาอีก

ครั้งแรกไม่รื่นรมย์เอาเสียเลย

ครั้งที่สองก็ไม่รื่นรมย์พอกัน

สรุปคือแต่ละครั้งมีความไม่รื่นรมย์แตกต่างกันไป

สุดท้ายทำให้เขาไม่อยากนึกถึงยิ่งกว่าคืนแต่งงานเสียด้วยซ้ำ พอนึกถึงก็ทั้งเสียใจทั้งคับแค้นปานไส้จะขาด

เขาเบนสายตาไปมองห่อยาที่วางอยู่ข้างๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางบอกด้วยน้ำเสียงปกติ “เดี๋ยวอีกครู่หนึ่งข้าจะมาใส่ยาบนหลังให้ ขอออกไปดูก่อนว่าพวกนั้นเตรียมอาหารกันคืบหน้าอย่างไรแล้วบ้าง เชื่อว่าเจ้าคงหิวแล้ว” พูดจบก็ลุกเดินออกไปแล้วยืนเงียบๆ ใต้ความมืดของรัตติกาลสักพัก คาดว่านางน่าจะใส่ยาบนแผลที่หน้าอกเรียบร้อยแล้วถึงค่อยกลับเข้าไปใหม่

ไม่ผิดจากที่คิด พอเข้าไปก็เห็นนางเปลี่ยนมานอนคว่ำบนผ้าแพรเองโดยไม่ต้องบอก มีอานม้ารองอยู่ใต้ร่าง เรือนผมยาวสยายถูกรวบปัดไปไว้ข้างไหล่ เผยแผ่นหลังเปล่าเปลือยรอเขาเงียบๆ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างๆ เช็ดทำความสะอาดรอยแผลบนหลังให้นาง คงเพราะตอนนี้ไม่ต้องประจันหน้ากันตรงๆ ความกล้าของเขาจึงกลับคืนมา ระหว่างที่ใส่ยาให้ก็ไล่สายตามองแผ่นหลังไปด้วย

แม้ก่อนหน้าจะเคยผ่านประสบการณ์ลักษณะนี้ด้วยกันมาแล้ว แต่บอกตามตรงเขายังไม่เคยมีโอกาสพิจารณาเรือนร่างนางเสียที เพิ่งได้เห็นโดยละเอียดก็ตอนนี้

เอวนางเล็กคอด ทว่าต่างจากท่อนเอวอ่อนบางเหมือนกิ่งไม้ลู่ลมของสตรีทั่วไปโดยสิ้นเชิง น่าจะเพราะฝึกยุทธ์อยู่เป็นนิตย์ เอวของนางจึงคอดเว้ากลมกลึง ผิวเนื้อเต่งตึงหนั่นแน่น แผ่นหลังกระชับงดงามราวกับมีร่องน้ำไหลผ่านได้ ตรงกลางสันหลังมีร่องลึกตั้งแต่ใต้ปีกสะบักลงไปเป็นทาง แล้วหายไปใต้เสื้อที่ร่นลงมากองอยู่ตรงบั้นเอว ภายใต้แสงตะเกียงที่ส่องเข้ามาจากด้านข้าง ร่องกลางหลังเป็นเงาโค้งนิดๆ ตามท่านอนหมอบของเจ้าตัว ดูเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นแล้วอยากสัมผัสไปตามความยาวของร่อง…

“ท่านอ๋องเร็วหน่อยก็ได้ ข้าไม่เจ็บจริงๆ”

คงเพราะสัมผัสได้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาช้าลง อยู่ๆ หญิงสาวที่เมื่อครู่เอาแต่นอนนิ่งเหมือนหลับไปแล้วถึงได้ส่งเสียงเตือน

ซู่เซิ่นฮุยสะท้านวาบ ได้สติกลับมาทันที อดละอายแก่ใจเงียบๆ ไม่ได้

“อืม” เขาตอบรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตั้งสมาธิเร่งมือ

ตอนที่ใส่ยาจวนเสร็จ ดวงตาคมหยุดอยู่บนรอยแผลเป็นยาวบนแผ่นหลังนางอีกหน พยายามข่มใจหลายครั้งก็ยังทนไม่ไหว เลยแสร้งถามเปรยๆ “เจ้าได้รอยแผลเป็นบนหลังมาอย่างไร”

ถามจบก็มองอีกฝ่าย เห็นนางนอนนิ่งไม่ขยับ สักพักถึงได้ยินเสียงตอบดังออกมาจากเจ้าของเรือนผมดกดำ “…ตอนนั้นออกรบแล้วไม่ทันระวัง…ไม่มีค่าให้พูดถึงหรอก”

นางตอบกว้างๆ เห็นชัดว่าไม่อยากพูดถึง เขาอดนึกเสียใจขึ้นมาอีกไม่ได้ที่ตนเองปากมาก เมื่อครู่ระงับความสงสัยไว้ไม่อยู่ ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร! ข้าก็ถามไปอย่างนั้นเอง!” เขายุติประเด็นลงแค่นั้นแล้วใส่ยาแผลบนหลังให้จนครบ ก่อนจะหยิบเสื้อสะอาดมาคลุมร่างหญิงสาว จับไหล่ประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ออกจากกระโจมอีกครั้งเพื่อไปเอาอาหาร “กินเสร็จก็นอนเสีย เดี๋ยวข้าจะออกไปแล้ว ไม่อยู่กวนเจ้าหรอก”

เจียงหานหยวนมองฝ่ายตรงข้ามม้วนห่อยาแล้วก้าวเท้าเดินออกไป นางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรียกไล่หลัง “ท่านอ๋อง!”

ซู่เซิ่นฮุยชะงักเท้าแล้วหันมามอง

นางเอ่ย “รอยแผลที่ท่านถามเมื่อครู่ได้มาจากศึกที่ราบชิงมู่เมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นหยางหู่เพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่นาน ดีแต่บุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูตามลำพัง ข้าไปช่วยเขาฝ่าวงล้อมออกมา ไม่ทันระวังหลังเลยโดนดาบฟันเข้าเต็มๆ แต่แผลหายนานแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง”

เขายืนมองนางนิ่งๆ อยู่กับที่สักพัก “หยางหู่แห่งสกุลหยางที่บรรพบุรุษเคยเป็นอันอู่จวิ้นกงน่ะหรือ”

เขายังจำที่จางเป่าเล่าให้ฟังได้ว่าตอนที่นางออกจากตำหนักหลังคืนแต่งงาน บ้านแรกที่ไปเยี่ยมก็คือบ้านสกุลหยางนี่ล่ะ

เจียงหานหยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ชีหลางโดดเด่นเรื่องความกล้าหาญ จิตใจดี มุ่งมั่นในปณิธาน เวลานี้กลายเป็นนายกองฝีมือฉกาจในกองทัพของข้าไปแล้ว”

นางเรียกหยางหู่ว่า ‘ชีหลาง’ อย่างคล่องปาก แสดงว่าปกติก็เรียกขานกันเช่นนี้ ซู่เซิ่นฮุยฟังแล้วรู้สึกบาดหูชอบกล

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน สิงหาคม 2567)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: