บทที่ 5
ซู่เซิ่นฮุยฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาจบก็ยืนมองศพที่ถูกคลุมผ้าไว้นั้นถูกแบกออกไปทางซุ้มประตูด้านหลัง ก่อนจะเดินออกจากตำหนักข้างอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเรียบเฉยดุจเดิม ทว่าฝีเท้าหนักหน่วงกว่าปกติเล็กน้อย องครักษ์สองคนเดินตามหลังเงียบๆ ทิ้งระยะไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป พอเดินมาถึงหน้าหออรหันต์อันเป็นที่แสดงธรรมเมื่อครู่ ฝีเท้าก็ค่อยๆ ผ่อนความเร็วจนหยุดลงในที่สุด
ร่างในชุดสีแดงเข้มยืนอยู่ตรงกระถางธูปยักษ์หน้าหอ มีนางกำนัลติดตามรับใช้สองคน สายตานางทอดตรงไปข้างหน้าคล้ายกำลังเหม่อลอย ป่าสนร่มครึ้มไปทั้งบริเวณ แผ่กิ่งก้านบังแสงอาทิตย์ ขับเน้นให้ร่างนั้นดูแบบบางยิ่งกว่าความเป็นจริง
ซู่เซิ่นฮุยก้าวเท้าอีกครั้งเพื่อเดินไปหานาง ฝ่ายตรงข้ามเห็นเขาแล้วเช่นกัน ชายกระโปรงหลัวฉวิน* พลิ้วเมื่อหมุนตัวหันมา
“วันเหนียง เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ตามเสด็จไทเฮากลับไปเล่า” เขาถาม
เวินวันเป็นบุตรสาวของราชครูเวินเจี๋ยผู้ล่วงลับ รู้จักกับซู่เซิ่นฮุยตั้งแต่เล็กๆ ลือกันว่าความสัมพันธ์แนบแน่นมั่นคงอย่างยิ่ง หลายปีก่อนใครต่อใครล้วนแต่คิดว่าบุตรสาวสกุลเวินจะได้เป็นชายาฉีอ๋อง ต่อมาไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด จนป่านนี้ถึงยังเงียบกริบ ประกอบกับเวินเจี๋ยจากโลกนี้ไปแล้ว สกุลเวินมีบุตรชายเพียงคนเดียว ดำรงตำแหน่งไม่ใหญ่ไม่เล็กเป็นเสนาบดี การคาดเดานี้จึงลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครพูดถึงอีก
เวินวันรวบชายแขนเสื้อพลางตอบยิ้มๆ “ไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้หม่อมฉันอยู่ค้นคัมภีร์ธรรมสองสามเล่มกลับวังหลวงไปถวายเพคะ”
นางถือกำเนิดในตระกูลขุนนางใหญ่ รูปโฉมโนมพรรณงามล้ำ ซ้ำยังมีสติปัญญาเป็นเลิศ เป็นคนโปรดปรานของหลันไทเฮาที่มักจะถูกเรียกตัวเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติรับใช้ยามอ่านหนังสืออยู่เสมอ
เขาพยักหน้าน้อยๆ “หาครบหรือยัง”
“ยังขาดอีกเล่มเพคะ เมื่อครู่ภิกษุน้อยอู๋ฉิงไปช่วยหาในหอคัมภีร์ให้แล้ว แต่ยังไม่กลับมา หม่อมฉันกำลังรอเขาอยู่”
ซู่เซิ่นฮุยพยักหน้าอีกครั้ง แล้วทอดตามองนาง
“จำได้ว่าสมัยก่อนเจ้าร่างกายอ่อนแอ อากาศเย็นขึ้นทีไรปอดจะแห้งจนมีอาการไอเสมอ สองปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วเพคะ หลายวันก่อนพี่สะใภ้เชิญหมอมาที่จวน เลยให้ตรวจอาการหม่อมฉันด้วยเลยทีเดียว ได้กินยาไปสองเทียบก็ดีขึ้นมาก ขอบพระทัยอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ทรงห่วงใย” นางรวบชายแขนเสื้อพลางเอ่ยขอบคุณ
ซู่เซิ่นฮุยบอกนางว่าไม่ต้องคำนับ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว สำนักแพทย์หลวงมียาที่ปรุงขึ้นมาใหม่ ชื่อว่าน้ำเชื่อมสาลี่ฤดูสารท ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะให้จางเป่านำไปให้เจ้ากับพี่สะใภ้ หมั่นจิบบ่อยๆ ช่วยทำให้ปอดชุ่มชื้นขึ้นได้”
“ขอบพระทัยอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพี่สะใภ้ด้วยเพคะ” นางหลุบตากล่าว
ซู่เซิ่นฮุยมองนางคล้ายลังเลเล็กน้อย หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจก็เอ่ยขึ้นว่า “วันเหนียง ตามข้าไปหอคัมภีร์หน่อย”
เวินวันชะงัก เหลือบตามองเขาเร็วๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะรับคำเสียงแผ่ว
อ๋องผู้สำเร็จราชการสั่งองครักษ์สองคนไม่ให้ติดตาม ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางหอคัมภีร์ เวินวันเดินตามหลังเงียบๆ พอเดินมาจนใกล้หอคัมภีร์ ภิกษุน้อยที่เมื่อครู่เข้าไปหาของก็หอบม้วนคัมภีร์เดินออกมาพอดี พอเห็นซู่เซิ่นฮุยก็ค้อมกายหลีกทางให้
ซู่เซิ่นฮุยบอกภิกษุน้อยให้นำคัมภีร์ไปให้นางกำนัล จากนั้นก็เดินนำเวินวันเข้าไปในหอคัมภีร์
“นั่งสิ”
เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง แล้วชี้ไปยังเบาะอีกใบที่อยู่ตรงข้ามกัน
เวินวันค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งคุกเข่าปลายเท้าราบตัวตรงสำรวม
ซู่เซิ่นฮุยช้อนตาน้อยๆ มองอีกฝ่าย
พระอาทิตย์ฤดูใบไม้ร่วงส่องเป็นมุมเฉียงเข้ามาทางหน้าต่างทิศใต้ที่เปิดแง้มอยู่ข้างกายนาง แสงอ่อนรำไรสาดส่องบนร่างเวินวัน สะท้อนดอกไม้มุกที่ประดับเรือนผมให้ทอรัศมีสีชมพูเรื่อ ล้อมกรอบดวงหน้าละมุนให้ยิ่งงดงามจับตา
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะตรัสหรือเพคะ” นิ่งรออยู่สักพักเวินวันก็เอ่ยถามเบาๆ
“วันเหนียง ข้าไม่ใช่สามีที่เหมาะสมกับเจ้า อย่าได้เฝ้ารอข้าอีกต่อไปเลย”
อ๋องผู้สำเร็จราชการหนุ่มมองหญิงงามสะคราญราวกับบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากระบายยิ้มบางๆ ระหว่างพูด
เวินวันจ้องมองบุรุษที่นั่งฝั่งตรงข้าม ชายผู้นั้นเอ่ยต่อไปว่า “สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจารย์ห่วงเรื่องคู่ครองของเจ้ามากกว่าอะไรทั้งหมด หากได้พบชายที่เหมาะสมก็รีบออกเรือนเสียเถิด ไม่เพียงอาจารย์จะเบาใจ ตัวเจ้าเอง…ก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝามีที่พึ่งพิง”
เขานิ่งไปหลังพูดจบ
ห้วงเวลาในหอคัมภีร์โอ่อ่าทว่ามืดสลัวเหมือนหยุดอยู่กับที่ นกกินแมลงหัวดำตัวหนึ่งเผลอบินทะเล่อทะล่าเข้ามาโฉบผ่านบานหน้าต่างทิศใต้ไปอย่างลนลาน เรียกสตินางให้หลุดจากภวังค์ รอยยิ้มคลี่ตัวขึ้นบนดวงหน้างามอย่างรวดเร็ว
“หม่อมฉันได้ยินมาเช่นกันว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการจะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่เจียง เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงเสียกระมัง”
แม้จะพูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดฝาดก็ยังสะท้อนให้เห็นชัดอยู่นั่นเองว่าความรู้สึกเจ้าตัวในเวลานี้ปั่นป่วนว้าวุ่นเพียงไร
ดวงตาซู่เซิ่นฮุยฉายแววเวทนาแกมสงสาร กระนั้นก็ยังพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ถูกต้อง พระพันปีเสียนอ๋องเสด็จไปเจรจาสู่ขอให้ข้าแล้ว ทรงถึงที่นั่นตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน หากไม่มีอะไรผิดพลาดทางเจียงจู่วั่งคงไม่ปฏิเสธข้า”
รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากเวินวันขณะลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง
“ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ หม่อมฉันเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงแม่ทัพหญิงมาบ้างเช่นกัน รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ขอถวายพระพรให้ท่านอ๋องและแม่ทัพหญิงมีวาสนาได้ครองคู่กันจนแก่เฒ่า ไทเฮายังทรงรอให้หม่อมฉันกลับไปถวายรายงานอยู่ หม่อมฉันต้องขอทูลลาก่อน” นางค้อมศีรษะน้อยๆ เมื่อพูดจบ แล้วเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยฝีเท้ารัวเร็ว
“ช้าก่อน” เสียงทุ้มพลันดังขึ้นข้างหลัง
ปลายเท้าของเวินวันหยุดชะงักตรงหน้าธรณีประตู นางยกมือขึ้นจับวงกบประตูพยุงตัวไว้ ร่างทั้งร่างพลอยแข็งค้าง ทว่าไม่ได้หันไปมอง
“บุตรสาวสกุลเจียงเป็นหญิงที่เหมาะสมกับตำแหน่งชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการที่สุดแล้ว” หลังความเงียบปกคลุมอยู่สักพักบุรุษผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นมาจากด้านหลังนาง
ในที่สุดเวินวันก็ค่อยๆ ผินหน้าไปมอง แต่มิได้พูดอะไรทั้งสิ้น
เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม สายตาทอดตรงมายังดวงหน้านาง
“วันเหนียง เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าหลังเสด็จพ่อสวรรคต ช่วงเวลาไม่กี่ปีบนราชบัลลังก์เสด็จพี่มิได้มีอำนาจเท่าเสด็จพ่อ สมุหกลาโหมถือตัวว่าอยู่ในฐานะสูงส่งและเคยสร้างความดีความชอบทางการศึก วางตัวเห่อเหิมหนักข้อขึ้นทุกวัน จนใจที่อีกฝ่ายมีอำนาจอยู่ในมือ เสด็จพี่ทรงเคยพยายามรวบรวมอำนาจทางกองทัพที่กระจัดกระจายกลับคืนมาอยู่หลายครั้ง เสียดายที่เจออุปสรรคขัดขวางมากมายจนต้องถอดพระทัย บัดนี้พอฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์ สมุหกลาโหมก็ไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา ลอบส่งคนของตนเองเข้ามาแฝงตัวรอบพระวรกายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เสนาบดีในเมืองหลวงลงไปจนถึงขุนนางสำคัญในท้องที่ หากไม่กำจัดทิ้งเสีย อย่าว่าแต่พระประสงค์สุดท้ายของเสด็จพ่อเลย น่ากลัวว่าลำพังแค่จะรักษาราชสำนักให้สงบมั่นคงยังทำได้ยาก”
“ฮ่องเต้เซิ่งอู่มีพระประสงค์สุดท้ายหรือเพคะ”
หลังละล้าละลังอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็เอ่ยถามเบาๆ
“ถูกต้อง” เขาพยักหน้า “เสด็จพ่อทรงมีความมุ่งมาดสองประการในพระชนม์ชีพ หนึ่งคือรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น ให้ทวยราษฎร์ทั้งผองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สองคือขับไล่ชาวตี๋ ชิงเมืองทางเหนือที่สูญเสียไปกลับคืนมา เล่นงานให้พวกมันไม่กล้ามองแดนใต้ตาเป็นมันอีก อนิจจาที่ไม่ได้มีพระชนม์ชีพจนถึงวันนั้น จึงทรงทำความปรารถนาในพระทัยให้เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ทั้งหมด”
ความห่วงใยอันเข้มข้นสะท้อนออกมาในดวงตาเวินวัน นางหมุนตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะว่าเวลานี้ท่านอ๋องทรงถูกบีบคั้นเพียงไร ท่านสมุหกลาโหม…”
“สมุหกลาโหมถูกสังหารแล้ว” เขาบอกเรียบๆ
“ท่านอ๋องตรัสว่าอะไรนะเพคะ ท่านสมุหกลาโหม…” เวินวันตกตะลึงจนเสียงหาย คำพูดสะดุดลงกลางคัน
“เขาถูกสังหารแล้ว ถูกสังหารเมื่อครู่นี้นี่ล่ะ”
ดวงเนตรงามเบิกกว้าง เห็นชัดว่าเวินวันตื่นตระหนกเพียงไร นางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เขาพลอยเงียบตาม ราวกับจมลงสู่ห้วงความทรงจำบางอย่าง ผ่านไปสักพักก็เหลือบตาขึ้นมองนางอีกครั้ง
“วันเหนียง สมัยอายุสิบเจ็ดข้าเคยไปเยี่ยมเยียนชายแดนแถบเยี่ยนเหมิน จำได้ว่าวันที่กลับถึงเมืองหลวง ทั้งที่เสด็จพ่อกำลังประชวรก็ยังมีรับสั่งให้ข้าเข้าเฝ้ากลางดึกคืนนั้น ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ทรงให้ข้าถวายรายงานโดยละเอียด คืนนั้นพวกเราสนทนากันจนฟ้าสาง เสด็จพ่อมิได้ตรัสออกมาชัดๆ แต่ข้ารู้ว่าเวลานั้นพระวรกายพระองค์อ่อนระโหยเต็มทีแล้ว หาไม่จะต้องเสด็จประพาสชายแดนด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน ภายหลังเมื่อใกล้เสด็จสวรรคตก็ทอดถอนพระทัยอย่างเสียดายสุดซึ้งที่ต้องจากไปทั้งที่มีเรื่องคาใจ”
“ท่านอ๋องทรงประสงค์จะทำความมุ่งมาดของฮ่องเต้เซิ่งอู่ให้เป็นจริง ไม่ให้พระองค์มีสิ่งใดค้างคาพระทัยหรือเพคะ” เวินวานถามเบาๆ
เขาพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่ผิด ข้ายอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำพระประสงค์ของเสด็จพ่อให้เป็นจริง แต่ก็ไม่ใช่เพื่อพระประสงค์ของเสด็จพ่อเพียงอย่างเดียวหรอก ยังเพื่อคืนความมั่นคงให้ดินแดนทางเหนือของต้าเว่ยอีกด้วย ให้พื้นที่แถบนั้นได้สุขสงบอย่างแท้จริง ให้ราษฎรมากมายที่ต้องระทมทุกข์รุ่นแล้วรุ่นเล่าและลูกหลานของพวกเขาสามารถมีชีวิตอย่างผาสุก ได้ทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างที่ควร ไม่ต้องทรมานจากภัยสงคราม ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกคืนวันว่าเมื่อไรจะถึงคราวตนเองบ้านแตกสาแหรกขาดหรือไม่มีแผ่นดินให้หวนกลับ!”
ชายหนุ่มเว้นช่วงไปเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้มีเสียงบ่นว่าไม่พอใจมากมายจากกองทัพว่าเหตุใดถึงให้เอาแต่รักษาชายแดนเฉยๆ มานานปีโดยไม่ทำอะไรเลย เหตุใดราชสำนักถึงไม่สั่งเปิดศึกให้รู้แล้วรู้รอด นั่นเป็นเพราะราชสำนักยังไม่พร้อมในหลายด้าน เวลาอันสุกงอมยังมาไม่ถึง หากจะเปลี่ยนแปลงในวันนี้ย่อมเจ็บปวดเหมือนเราะกระดูก จำต้องกำจัดพิษร้ายทิ้งไปเสียก่อน ต้าเว่ยเราถึงจะเข้มแข็งขึ้นทั้งแคว้นและราษฎร แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นจำต้องสะสมกำลังพล ขุนม้าให้พ่วงพี รอวันที่จะได้ยกทัพออกโจมตี!”
ดวงตาคู่สวยของเวินวันเบิกกว้าง มองเขานิ่งงัน
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว วันข้างหน้าท่านอ๋องจำเป็นต้องใช้แม่ทัพใหญ่เจียงในภารกิจสำคัญ” นางพึมพำเบาๆ
เขาไม่ตอบรับ แต่ก็ชัดเจนว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย ก่อนจะพูดต่อไปว่า “วันเหนียง เจ้ากับข้ารู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย คนมิใช่ท่อนไม้ ใจเจ้ารู้สึกอย่างไรกับข้า มีหรือข้าจะไม่รับรู้เลย อีกประการหนึ่งข้าก็ติดตามเสด็จพี่เล่าเรียนกับท่านราชครูมาตั้งแต่เด็ก ได้รับความรู้ที่ท่านทุ่มเทถ่ายทอดให้ ซาบซึ้งในบุญคุณที่สอนสั่งเป็นกำลัง ซ้ำเจ้ายังเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมความสามารถ เฉลียวฉลาด มีความคิดละเอียดอ่อน หากได้กุลสตรีเช่นเจ้ามาเคียงข้าง ชีวิตนี้ยังต้องขออะไรอีก เพียงแต่…”
เขาเว้นช่วงเอ่ยไปครู่หนึ่ง
“นับแต่ไปเยี่ยมเยียนชายแดนตอนอายุสิบเจ็ด ข้าก็ได้ตั้งปณิธานไว้กับตนเอง แผ่นดินอันไพศาลผืนนี้อุดมสมบูรณ์และงดงาม จะยอมให้คนนอกกรีธาทัพเข้ามาเหยียบย่ำได้อย่างไร เรื่องจะยอมรับการรุกรานโดยไม่ต่อสู้ยิ่งไม่ต้องพูดกัน! แม้แต่ทรายเม็ดเดียวก็ต้องช่วงชิงกลับมาให้จงได้! ในเมื่อต้าเว่ยรับคำบัญชาจากสวรรค์ให้ผนึกแผ่นดินเก้าเมืองเป็นปึกแผ่น ก็ต้องชิงดินแดนที่เสียไปคืนมาพร้อมขับไล่ศัตรูให้สิ้นซาก นี่ก็คือภารกิจที่ข้าต้องทำให้สำเร็จในชีวิตนี้!
วันเหนียง หากแม้นเสด็จพ่อยังมีพระชนม์ชีพและแข็งแรงพอจะทำสิ่งที่ทรงปรารถนาจะทำได้ หากแม้นข้ายังเป็นเพียงอันเล่ออ๋อง สนใจแค่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบไปวันๆ ข้าจะต้องแต่งเจ้าเป็นชายาแน่นอน บุตรหลานชาติตระกูลดีนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงชื่นชมเจ้า ในจำนวนนั้นย่อมมีคนที่หล่อเหลามากสามารถ แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมออกเรือนจนทุกวันนี้ ข้ารู้ว่าข้าทำให้เจ้าเสียเวลา ก่อนหน้านี้ข้าคิดอยากขออภัยเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ทว่าไม่มีโอกาสเสียที…”
เวินวันหยาดน้ำตาทะลักพรั่งพรูอย่างสุดกลั้น ไหลกลิ้งลงมาตามแก้มของนาง
นางส่ายหน้าโดยแรง “ไม่เลย…ไม่เลย ท่านอ๋อง! ไม่ต้องตรัสเช่นนั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันเข้าใจจริงๆ เข้าใจหมดแล้วทุกอย่าง! อย่าได้ทรงตำหนิพระองค์เองเลย! ท่านอ๋องไม่ได้ทำให้หม่อมฉันเสียเวลา ไม่เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลยเพคะ ท่านอ๋องทรงรักษามารยาทกับหม่อมฉันมาโดยตลอด หม่อมฉันเองต่างหากที่แต่ก่อนมีความคิดไม่บังควรจนสร้างความกังวลใจให้พระองค์ หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ! มีเพียงแม่ทัพหญิงผู้นั้นจริงๆ ที่สามารถแบกรับตำแหน่งชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการได้” นางเบือนหน้าไปปาดน้ำตาบนแก้ม “ขอบพระทัยท่านอ๋องมากเพคะที่วันนี้ตรัสกับหม่อมฉันตามตรง”
ซู่เซิ่นฮุยมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“วันเหนียง วันข้างหน้าหากเจ้าเจอปัญหาที่ไม่สามารถจัดการด้วยตนเอง ให้ส่งคนมาบอกได้เต็มที่เลยนะ” คำพูดของเขามีแต่ความจริงใจ
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
เวินวันรวบชายแขนเสื้ออย่างสำรวมพลางคำนับเขาอีกคำรบ มองบุรุษหนุ่มตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
คราวนี้นางไปอย่างแท้จริง
ซู่เซิ่นฮุยเองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก
เขาเพียงแค่ลุกขึ้นจากเบาะมายืนอยู่ที่เดิม ใช้สายตามองส่งร่างในอาภรณ์สีแดงเข้มร่างนั้น
นอกหน้าต่างทางทิศใต้กิ่งไม้ฤดูสารทเสียดสีกันดังสวบสาบ นอกเหนือจากนั้นคือความเงียบ
หญิงงามเดินจากไปไกลจนลับตา แต่เขายังคงยืนนิ่งงันเดียวดายอยู่อย่างนั้น ผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อยๆ นั่งลง สีหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เอาแต่นั่งเฉยไม่ไหวติง
แมงมุมตัวหนึ่งกำลังชักใยอยู่ตรงมุมมืดฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของหอคัมภีร์ สาละวนพ่นใยสลับกับไต่ไปมา ทันใดนั้นมันก็พลาดท่าพลัดตกลงมาจากรังที่กำลังสร้าง ใยเส้นนั้นยึดมันให้ห้อยต่องแต่งกลางอากาศอยู่สามสี่ที สุดท้ายก็ขาดกลางจนมันร่วงตกลงบนแท่นวางพระคัมภีร์ด้านล่าง
“ออกมา!”
ดวงตาของซู่เซิ่นฮุยพลันเหลือบขึ้น แววตาทอประกายคมกริบขณะตวาดเบาๆ
บทที่ 6
ไร้ความเคลื่อนไหว…
ซู่เซิ่นฮุยมองทางเดินที่ทอดตัวออกจากหอคัมภีร์ เพียงครู่เดียวก็กระจ่างแจ้ง ประกายดุดันในดวงตาอันตรธาน เขาตวัดสายตามองไปทางหน้าต่างทางทิศใต้
“ยังจะแอบอยู่อีก ออกมาเถิด!” เขาบอกซ้ำอีกครั้ง
สิ่งที่ตอบกลับประโยคนั้นคือเสียงกุกกัก จากนั้นศีรษะของใครคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากหน้าต่างทางทิศใต้ตามที่เขาบอกจริงๆ เป็นศีรษะของเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมหมวกใบเล็ก แต่งกายอย่างข้ารับใช้ในวังหลวง หน้าตาหล่อเหลา ทว่าดวงหน้ายังเจริญวัยไม่เต็มที่ เห็นได้จากไรขนอ่อนๆ บนริมฝีปากที่ฟ้องว่าเจ้าตัวยังสลัดความเป็นเด็กทิ้งไปไม่หมด
“เสด็จอาสาม!” ผู้มาใหม่ทำหน้าเบ้ใส่ซู่เซิ่นฮุย “เพิ่งจะย่องเข้ามาแท้ๆ ยังไม่ทันได้ลงไปนั่งยองๆ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว! ไม่สนุกเอาเสียเลย! ท่านเดาได้อย่างไรว่าเป็นข้า” คนถามทำหน้าขัดอกขัดใจ
ซู่เซิ่นฮุยไม่ตอบ แต่รีบลุกขึ้นรับรอง เอ่ยเรียกว่า “ฝ่าบาท” พลางค้อมกายคำนับเด็กหนุ่มผู้นี้
เด็กหนุ่มปรี่เข้ามาข้างในห้องแล้วยกมือห้าม ปากก็บ่นว่า “เสด็จอาสาม ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลาไม่มีใครอยู่ด้วยไม่ต้องแสดงมารยาทมากมายเช่นนี้กับข้า!”
ซู่เซิ่นฮุยคำนับจนเสร็จแล้วยิ้มบางๆ “มารยาทจะงดเว้นไม่ได้ นี่เป็นธรรมเนียมระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง”
กลุ่มราชองครักษ์ที่วันนี้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของฮ่องเต้น้อยอย่างใกล้ชิดก็พากันโผล่ออกมาตรงสุดโค้งทางเดินนอกหอคัมภีร์แล้วเช่นกัน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้ากริ่งเกรง
เด็กหนุ่มผู้นี้คือซู่เจี่ยน ฮ่องเต้น้อยวัยสิบสามพรรษาผู้ครองราชย์องค์ปัจจุบัน อีกไม่กี่เดือนในปีหน้าถึงจะอายุครบสิบสี่ แต่เพราะโตไวจึงดูเหมือนหนุ่มน้อยอายุสิบห้าสิบหกตั้งแต่ตอนนี้ พระมาลาประดับม่านมุกระย้ากับฉลองพระองค์ที่ใส่แต่เดิมหายไปหมด กลายเป็นใส่ชุดข้ารับใช้เสียได้
เขาพิจารณาการแต่งกายของเด็กหนุ่ม ทว่าไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด
ฮ่องเต้น้อยเห็นผู้เป็นอามองมาที่ตนเองก็รีบชิงสารภาพก่อนโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม
“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านไม่ตามมาเสียที ไม่อยากกลับเข้าวังหลวงทั้งอย่างนี้ เลยสั่งให้ข้ารับใช้ถอดเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนบนรถม้า จากนั้นก็หาโอกาสลงจากรถม้ากลับมาหาท่าน เสด็จอาสาม ท่านอยู่ทำอะไรที่นี่กัน”
ซู่เซิ่นฮุยมองหลานชายอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ต่อให้รถม้าคันข้างหน้าของไทเฮาไม่ระแคะระคาย แต่ข้างหลังยังมีขุนนางใหญ่ตามมาเป็นพรวน หากลมไม่พัดเข้าตาจนมองอะไรไม่เห็น มีหรือจะปล่อยให้เจ้าทิ้งขบวนเดินอาดๆ ออกมากลางทาง”
เด็กหนุ่มรู้ว่าคงปิดไม่อยู่เสียแล้ว อีกประการหนึ่งอีกฝ่ายคือเสด็จอาสามที่เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อด้วยมากที่สุดมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีเรื่องใดเล่าให้ฟังไม่ได้ อีกทั้งแต่ก่อนเรื่องเหลวไหลยิ่งกว่านี้เขาก็เคยทำมาแล้ว
ซู่เจี่ยนยอมสารภาพแต่โดยดีว่าเมื่อผ่านทางโค้งที่มีแนวป่าย่อมๆ ตนรอให้รถม้าของไทเฮาเลี้ยวลับไปก่อนจึงค่อยสั่งให้หยุดรถม้าโดยเร็ว อ้างว่าปวดเบา พอลงมาแล้วก็เดินเข้าป่า บังคับให้หนึ่งในข้ารับใช้ที่ติดตามสลับเสื้อผ้ากับตนเอง แล้วสั่งให้พวกที่เหลือห้อมล้อมข้ารับใช้ผู้นั้นพากลับขึ้นรถม้าออกเดินทางต่อ เหล่าขุนนางที่หยุดรอเขาไม่ล่วงรู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นรถม้าของเขาเลื่อนล้อก็พากันเคลื่อนขบวนตาม เขาเลยแอบหนีมาได้ด้วยเหตุนี้
ระหว่างไล่เรียงลำดับขั้นตอนการหนีขบวนของตน ฮ่องเต้น้อยยังหัวเราะร่าอย่างกระหยิ่มใจ
“โอ๊ย ช่างน่าขันเป็นที่สุดเลย! ในขบวนมีคนตั้งเยอะ แต่ไม่มีใครจับได้เลยสักคนเดียว นึกว่าข้ากลับขึ้นรถม้าไปแล้วจริงๆ!”
ซู่เซิ่นฮุยมุ่นหัวคิ้ว “ฝ่าบาท เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ…”
เขาเพิ่งจะพูดออกมาเพียงเท่านั้นก็ถูกฮ่องเต้น้อยตัดบท
“เสด็จอาสาม ข้าทราบว่าท่านอยากพูดอะไร! ไม่ต้องรอให้ท่านบอกหรอก ราชครูติงพูดกรอกหูข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนหูข้าแทบเป็นสิวอยู่แล้ว! ใช่ ข้ารู้ว่าอะไรคือความน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์ ข้าต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าไม่ได้ออกมานอกวังหลวงครึ่งปีกว่าแล้วนะ! ข้าอึดอัดแทบตาย ต่อให้ไม่อึดอัดตายก็ต้องเหนื่อยตาย! วันนี้อุตส่าห์ได้มีโอกาสออกมาทั้งที เสด็จอาสาม ถือว่าสงสารข้าเถิด อย่าพร่ำสอนข้าอีกเลย!” พูดจบก็ทอดถอนใจ “หากเสด็จพี่รัชทายาทของข้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่คงจะดีมาก ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้ ได้ใช้ชีวิตสบายๆ มีความสุขไปวันๆ เหมือนแต่ก่อน…”
หลายปีก่อนเสด็จพี่รัชทายาทของเขาออกจากวังหลวงไปล่าสัตว์แล้วประสบเหตุไม่คาดฝันระหว่างขี่ม้าจนถึงแก่ชีวิต ภายหลังสืบรู้ว่าเป็นแผนร้ายของตระกูลฝั่งมารดาองค์ชายรอง ลอบใช้ขี้ผึ้งหนาผนึกยาพิษที่มีฤทธิ์ทำให้ม้าคลุ้มคลั่งแล้วนำมาผสมในหญ้าเลี้ยงม้าให้มันกินเข้าไป เมื่อขี้ผึ้งละลายหมดพิษก็ออกฤทธิ์ อาชาดีดขาอย่างบ้าคลั่ง สลัดเหล่าองครักษ์ที่ติดตามเอาไว้ข้างหลัง รัชทายาทไม่มีกำลังจะหยุดม้าด้วยตนเอง สุดท้ายจึงต้องจบชีวิตตามมันไป
เมื่อสืบต้นสายปลายเหตุจนกระจ่าง องค์ชายที่พัวพันถูกลงโทษสถานหนัก เพราะเหตุนี้ราชบัลลังก์จึงมาตกอยู่กับซู่เจี่ยน
แม้จะเป็นองค์ชายองค์หนึ่ง แต่เนื่องจากยังเยาว์วัย ซ้ำแต่ก่อนสกุลหลันของมารดาก็มิได้สูงส่งหรือสำคัญอะไรนัก อนาคตเขาคงแค่ได้ครองตำแหน่งอ๋องลอยๆ มีความสุขกับชีวิตที่ไร้ความวุ่นวายไปวันๆ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่มีใครสนใจเขา ซู่เจี่ยนชอบไปขลุกอยู่กับฉีอ๋องเสด็จอาสามของตน ด้วยนิสัยใจกล้าซุกซน สมัยก่อนจึงคอยจ้องหาโอกาสแอบหนีออกจากวังหลวงไปเล่นที่จวนฉีอ๋องอยู่เสมอ แต่เพราะเขาเป็นแค่องค์ชายธรรมดา ซ้ำฮ่องเต้หมิงตี้ยังรักใคร่แน่นแฟ้นกับน้องสามของตนเป็นอย่างยิ่ง แม้พฤติกรรมซุกซนของโอรสองค์นี้จะมาถึงหู แต่ในเมื่อเจ้าตัวสนิทสนมกับฉีอ๋อง ฮ่องเต้หมิงตี้จึงทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ มิได้สั่งห้ามเป็นพิเศษ ทว่านี่กลับกลายเป็นการบ่มเพาะนิสัยไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ให้ซู่เจี่ยน ต่อมาโชคชะตาเล่นตลกให้เขาต้องสืบราชบัลลังก์ ชีวิตก็พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในแต่ละวันเขามีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และกฎเกณฑ์ข้อจำกัดที่ต้องเผชิญมากเพียงไร
ทั้งที่ผ่านมานับปีแล้ว จวบจนบัดนี้ซู่เจี่ยนก็ยังไม่ชินกับชีวิตแบบใหม่นี้เสียที ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขาสุขุมสำรวมกิริยาจนดูนิสัยซุกซนไม่ออก วันนี้พอสบโอกาสนิสัยเดิมๆ จึงแผลงฤทธิ์ขึ้นมาใหม่
ซู่เซิ่นฮุยฟังหลานชายอุทธรณ์แล้วคิดได้ นับจากขึ้นครองราชย์มาตั้งแต่ปีกลายหลานชายผู้นี้นับว่าขยันมากแล้วจริงๆ พยายามเรียนรู้ทุกอย่างจนเข้าขั้น แตกฉานวิชาในระดับที่ราชครูติงยอมรับ เขาลองถามดูทีไร ทุกครั้งก็จะได้รับคำตอบว่า ‘ฝ่าบาทมีพระสติปัญญาเฉียบแหลม มีความก้าวหน้าในทุกวัน เสียอย่างเดียวตรงที่นิสัยยังไม่สุขุมพอ บางครั้งเกียจคร้านอยู่บ้าง หากปรับปรุงข้อนี้ได้จะประเสริฐยิ่ง’
ราชครูติงเป็นคนรอบคอบ สัตย์ซื่อตรงไปตรงมา ถึงขั้นขวานผ่าซากในบางครั้ง ไม่เคยมีพฤติกรรมปากไม่ตรงกับใจ แสดงความเห็นเช่นนี้ได้ย่อมหมายความว่าหลานชายเขามีความก้าวหน้าจริงๆ
คนก็เหมือนต้นกล้า คิดจะดึงรั้งเพื่อเร่งโตมีแต่จะสร้างความกดดันให้ต้นกล้าเฉาตาย
คิดได้เช่นนี้ น้ำเสียงเขาก็นุ่มนวลขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย ต้องทบทวนวิชาตัวเป็นเกลียว ไหนจะต้องศึกษาฎีกาเพื่อจัดการงานราชกิจอีก เจ้าเลื่อมใสเสด็จปู่ยิ่งกว่าใครทั้งนั้นไม่ใช่หรือ สมัยที่เสด็จปู่ของเจ้ายังมีพระชนม์ชีพ เหล่าผู้มีอำนาจในแผ่นดินตั้งตัวเป็นอิสระ สถาปนาแคว้นน้อยใหญ่ขึ้นมากมาย แล้วทำสงครามรบพุ่งกันไม่หยุด เวลานั้นข้าอายุน้อยกว่าเจ้า อายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้นแต่กลับจำได้จนถึงวันนี้ว่าตอนกลางวันเสด็จปู่ของเจ้าทรงขี่ม้ากรำศึก พอตกกลางคืนยังทรงตรวจฎีกาด่วนที่ให้ม้าเร็วนำมาถวายถึงกระโจมในกองทัพ ไม่เคยที่จะหยุดพักเลย ความตรากตรำของพระองค์อยู่เหนือกว่าความเหนื่อยยากของเจ้าและข้าในทุกวันนี้มากนัก หากต่อไปเจ้าอยากเป็นฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างเสด็จปู่ ความเหน็ดเหนื่อยในวันนี้คือบันไดที่เจ้าจำต้องไต่ขึ้นไป”
เขาพูดประโยคหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยก็พยักหน้าทีหนึ่งเหมือนลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร พอฟังผู้เป็นอาพูดจบก็โบกมือร้องว่า “ข้าจะจำไว้!” แล้วโผเข้ามากระแซะข้างๆ จากนั้นก็เหลียวกลับไปมองตามทางที่ตนมาเมื่อครู่ ก่อนจะลดเสียงเอ่ยเบาๆ “เสด็จอาสาม ตอนที่เข้ามาข้าเห็นบุตรสาวสกุลเวินเดินออกไปพอดี ข้าไม่อยากพบกับนางเลยหาที่หลบ แต่เห็นนางก้มหน้าเดินลิ่วๆ ลูกตาแดงก่ำราวกับเพิ่งร้องไห้…”
ซู่เจี่ยนทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางขยิบตาให้เสด็จอาสามของตน
“เสด็จอาสาม หรือว่านาง…”
“สมุหกลาโหมตายแล้ว” ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยปากพูดแทรก
ฮ่องเต้น้อยผงะอึ้ง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง วาจาที่เมื่อครู่จะเอ่ยออกมาถูกโยนทิ้งไปไกลลิบ สองตาเบิกกว้างจนกลมโต “เสด็จอาสามว่าอย่างไรนะ สมุหกลาโหมตายแล้ว?!”
ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า
ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม ซู่เจี่ยนก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว แล้วตบหน้าผากตนเองดังฉาด
“ข้าเข้าใจแล้ว! ตอนท่านรีบร้อนออกไปข้างนอกเมื่อเช้าข้าเห็นเขาลุกตามออกไป แต่ตอนท่านกลับมาเขาไม่ได้ตามกลับมาด้วย ขากลับวังหลวงก็ไม่เห็น! หรือว่าระหว่างช่วงเวลานั้นเสด็จอาสามจะ…”
ซู่เซิ่นฮุยพยักหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยชม “ฉลาดอย่างที่คิด”
ฮ่องเต้น้อยอ้าปากค้าง ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ชั่วอึดใจ จากนั้นอยู่ๆ ก็กระโดดตัวลอยแล้วหมุนตัวกลางอากาศเหมือนแมลงปอจนหมวกเล็กที่อยู่บนศีรษะกระเด็นหลุด จังหวะที่สองเท้าตกลงบนพื้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดังลั่นจนนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ในบริเวณนั้นพากันบินฮือขึ้นฟ้าอย่างแตกตื่น
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!” ซู่เจี่ยนย่ำเท้ากำมือแน่นอย่างตื่นเต้นพลางต้อนหน้าต้อนหลังผู้เป็นอา ท่าทางเริงร่าเบิกบานราวกับหนูที่บังเอิญพลัดตกลงไปในถังข้าวสารอย่างนั้น
“ก่อนเสด็จสวรรคตเสด็จพ่อทรงแต่งตั้งเขาเป็นที่ปรึกษาราชการเพื่อสะกดความทะเยอทะยานของเขาเท่านั้นเอง ในที่สุดตอนนี้เขาก็ทนอยู่เฉยไม่ไหว หมายจะลงมือแล้ว! แต่ไม่คาดคิดว่าเสด็จอาสามกำลังรอให้เขาเคลื่อนไหวนี่ล่ะ มิเช่นนั้นก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เสียที! ตาเฒ่านั่นน่าจะตายไปเสียตั้งนานแล้ว!”
ฮ่องเต้น้อยหัวเราะร่วนอีกครั้ง “ฮ่าๆๆ…ประเสริฐแท้! ตาเฒ่าตายไปได้เสียที! ทีนี้อย่าได้คิดจะขึ้นมาขี่หัวข้าอีกเลย! เสด็จอาสามยังจำได้หรือไม่ว่าเดือนก่อนข้าให้คนนำผลไม้ที่ทางใต้ส่งมาเป็นบรรณาการไปให้ท่านที่จวน ข้ารับใช้แอบมาบอกข้าว่าก่อนผลไม้เหล่านั้นจะเข้าวังหลวงก็โดนหลานชายตาเฒ่าดักไว้ก่อน อ้างว่าช่วงนี้ตาเฒ่าปากจืด กินอะไรไม่รู้รส เลือกเอาไปแต่ของดีๆ ทั้งนั้น ถึงค่อยส่งที่เหลือเข้าวังหลวง! ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงปล่อยผ่านไป ไม่ได้เล่าให้เสด็จอาสามฟังเพราะท่านงานยุ่ง ถุย! น้ำหน้าอย่างมันน่ะหรือ! ข้าไม่เสียดายของกินหรอก แต่ถ้าจะเลือกของดีให้ใครเป็นอันดับแรกก็ควรนำไปแสดงความกตัญญูต่อเสด็จอาสามต่างหาก อย่างมันมีสิทธิ์ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็จับไหล่ซู่เซิ่นฮุยเขย่าโดยแรงพลางแหงนหน้ามอง ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความภาคภูมิใจระคนเลื่อมใส
“เสด็จอาสาม เสด็จอาที่รักของข้า! ท่านเก่งกาจอะไรเยี่ยงนี้! กำจัดคนทั้งคนทิ้งได้อย่างเงียบเชียบ! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่แท้การมาไหว้พระวันนี้ยังมีแผนการแยบยลซ่อนอยู่เบื้องหลัง! ข้าดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ขากลับไม่เห็นตาเฒ่านั่นตามมาเสียที ข้ายังคิดในใจเลยว่ามันไปที่ใดของมันกันแน่!”
ซู่เซิ่นฮุยรอจนหลานชายคลายความตื่นเต้นลงก็เชิญให้อีกฝ่ายนั่ง แล้วจึงอธิบายอย่างเคร่งขรึม กล่าวอย่างเป็นทางการว่า “ฝ่าบาท ความจริงเรื่องใหญ่เช่นวันนี้กระหม่อมควรทูลให้พระองค์ทราบก่อน แต่สมุหกลาโหมเป็นคนสายตาเฉียบแหลม กระหม่อมเกรงว่าหากมาถึงที่แล้วฝ่าบาทเก็บพระอาการไม่อยู่ เผลอแสดงออกมาทางสีพระพักตร์จนเขาเห็นแล้วเอะใจขึ้นมา ทีนี้อย่าว่าแต่จะวางแผนเล่นงานมันซ้ำสองเลย เวลานี้เกรงว่าจะปั่นป่วนวุ่นวายทันทีด้วยซ้ำ ก่อนเสด็จสวรรคตฮ่องเต้องค์ก่อนได้ทรงมอบหมายเรื่องนี้ให้กระหม่อมจัดการ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะทำสำเร็จจนได้ สองปีที่ผ่านมาฝ่าบาทต้องทรงทนคับข้องใจมามาก เป็นเพราะกระหม่อมไร้สามารถโดยแท้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยให้กระหม่อมที่ลงมือทำไปโดยไม่กราบทูลด้วยเถิด”
ฮ่องเต้น้อยยิ้มตาหยีพลางโบกมือ “เสด็จอาสามพูดอะไรอย่างนั้น ข้าจะตำหนิติเตียนท่านได้อย่างไร! เสด็จอาสามคิดการได้รอบคอบยิ่งแล้ว! ขอเพียงกำจัดมันทิ้งได้ จะทำอย่างไรข้าก็ไม่ว่าหรอก!”
คำว่า ‘กำจัด’ ถูกเค้นเสียงลอดไรฟัน นัยน์ตาวาวโรจน์
ซู่เซิ่นฮุยยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าวันนี้กำจัดสมุหกลาโหมทิ้งสำเร็จ สมัครพรรคพวกในเมืองหลวงก็ถูกจับทั้งหมด แต่แมลงร้อยขาต่อให้ตายแล้วก็ยังดิ้นได้ หากคาดการณ์ไม่ผิด พวกที่มีใจเป็นอื่นย่อมจะตอบสนองต่อเรื่องนี้เป็นแน่ ซ้ำยังจะเคลื่อนไหวรุนแรงอีกด้วย แต่ก็คาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าผลที่ตามมาต้องเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรสมุหกลาโหมก็ตายไปแล้ว พวกที่เหลือมีแต่ทำการใหญ่ไม่เป็น ไม่น่ากลัวนักหรอก”
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้า “ข้ารู้ เฉิงอ๋องแห่งเมืองชิงโจวสินะ เขาเข้ากันกับตาเฒ่านั่นประหนึ่งเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกเลยทีเดียว! กองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น! ขอเพียงเสด็จอาสามยังอยู่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก!” พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาก็กลอกทีหนึ่ง ก่อนจะตบหน้าผากตนเองโดยแรงอีกครั้ง “ข้าเข้าใจอีกอย่างแล้ว!”
“เข้าใจอะไรอีกเล่า” ซู่เซิ่นฮุยถามอย่างเป็นกันเอง ไม่ได้มีท่าทางจริงจังเคร่งขรึมอีก
“ก่อนหน้านี้เสด็จอาสามตั้งใจปล่อยข่าวว่าจะสู่ขอบุตรสาวของเจียงจู่วั่งมาเป็นชายาเพื่อยั่วยุตาเฒ่านั่นแน่ๆ ใช่หรือไม่ ในเมื่อวันนี้กำจัดมันได้แล้ว เสด็จอาสามก็ไม่จำเป็นต้องสู่ขอนางจริงๆ! วิเศษยิ่งนัก! เร็วเข้า ตอนนี้ยังทัน รีบส่งคนไปตามเสด็จปู่กลับมาเถิด! มิเช่นนั้นหากตกลงกันแล้วจะแก้ไขไม่ได้ เช่นนั้นเสด็จอาสามก็น่าสงสารแย่สิ”
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างรีบร้อน ทำท่าจะวิ่งออกไปเรียกข้ารับใช้ข้างนอก
“ฝ่าบาท!” เสียงผู้เป็นอาดังขึ้นข้างหลัง
ฮ่องเต้น้อยชะงักเท้าพร้อมหันไปมอง เห็นฝ่ายนั้นอมยิ้มบางๆ “เจ้าพูดถูกต้องเพียงกึ่งหนึ่ง ข้าทำไปเพื่อยั่วยุเกาอ๋องจริงๆ แต่เรื่องสู่ขอก็เป็นความจริงเช่นกัน”
ซู่เจี่ยนจำต้องวกกลับมาใหม่
“เสด็จอาสาม ข้ารู้ว่าท่านอยากใช้บุญคุณซื้อใจเจียงจู่วั่ง แต่ท่านทำเช่นนี้มิเท่ากับทรมานตนเองหรอกหรือ! ได้ยินว่าบุตรสาวของเจียงจู่วั่งมีหมาป่าเป็นมารดาในวัยเยาว์ ต้องดื่มเลือดในคืนจันทร์เพ็ญ หาไม่จะกลายร่างเป็นหมาป่าเขี้ยวยาวแหลมคม!” สองมือทำท่าทำทางประกอบคำพูดไปด้วย ดวงตาเบิกกว้าง “ต่อให้เรื่องนั้นเป็นเพียงข่าวลือ แต่บุตรสาวเจียงจู่วั่งเติบโตมาในค่ายทหารทางเหนือแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเติบใหญ่ก็ออกศึกเข่นฆ่าคน เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน! ดังนั้นต่อให้นางไม่มีเขี้ยวยาวแหลมคมก็ต้องหน้าตาอัปลักษณ์ กิริยาหยาบกระด้าง…”
ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยขัดคำพูดหลานชาย “ฝ่าบาท! หากบุรุษสักคนเติบโตมาในค่ายทหาร ออกศึกเข่นฆ่าศัตรูเช่นนาง ฝ่าบาทยังจะทรงใช้รูปโฉมอันอัปลักษณ์และกิริยาอันหยาบกระด้างมาตัดสินเขาหรือไม่ ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวจะทำลายกำลังใจอันฮึกเหิมของเหล่าทหารกล้าที่เข่นฆ่าศัตรูเพื่อราชสำนักให้ฝ่อลงหรือ”
เด็กหนุ่มหน้าร้อนวาบ “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้น แต่…แต่ข้าแค่รู้สึกว่า…”
มาถึงตรงนี้เขาก็คอตก ไม่พูดอะไรอีก
ตอนแรกซู่เซิ่นฮุยยังใช้น้ำเสียงเฉียบขาดอยู่บ้าง พอเห็นท่าทางเช่นนั้นของหลานชาย สีหน้าก็นุ่มนวลขึ้น พูดอย่างเป็นกันเองว่า “เจี่ยนเอ๋อร์ เสด็จอาสามอยากให้เจียงจู่วั่งรู้ว่าราชสำนักให้ความสำคัญกับเขาอย่างแท้จริง หวังว่าเขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อราชสำนักโดยไม่คิดเป็นอื่น”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.